1หนังสือลำดับพงศ์ของพระเยซูคริสต์ ผู้เป็นเชื้อสายของดาวิด ผู้สืบเชื้อสายมาจากอับราฮัม2อับราฮัมเป็นบิดาของอิสอัค และอิสอัคเป็นบิดาของยาโคบ และยาโคบเป็นบิดาของยูดาห์และพี่น้องของเขา3ยูดาห์เป็นบิดาของเปเรศกับเศราห์ซึ่งเกิดจากนางทามาร์ ส่วนเปเรศเป็นบิดาของเฮสโรน และเฮสโรนเป็นบิดาของราม4รามเป็นบิดาของอัมมีนาดับ อัมมีนาดับเป็นบิดาของนาโชน และนาโชนเป็นบิดาของสัลโมน5สัลโมนเป็นบิดาของโบอาสซึ่งเกิดจากนางราหับ โบอาสเป็นบิดาของโอเบดที่เกิดจากรูธ โอเบดเป็นบิดาของเจสซี6เจสซีเป็นบิดาของดาวิดผู้เป็นกษัตริย์ ดาวิดเป็นบิดาของซาโลมอนซึ่งเกิดจากภรรยาของอุรียาห์7ซาโลมอนเป็นบิดาของเรโหอัม เรโหอัมเป็นบิดาของอาบียาห์ อาบียาห์เป็นบิดาของอาสา8อาสาเป็นบิดาของเยโฮซาฟัท เยโฮซาฟัทเป็นบิดาของโยรัม และโยรัมเป็นบรรพบุรุษคนหนึ่งของอุสซียาห์9อุสซียาห์เป็นบิดาของโยธาม โยธามเป็นบิดาของอาหัส อาหัสเป็นบิดาของเฮเซคียาห์10เฮเซคียาห์เป็นบิดาของมนัสเสห์ มนัสเสห์เป็นบิดาของอาโมน อาโมนเป็นบิดาของโยสิยาห์11โยสิยาห์เป็นบิดาของเยโคนิยาห์และพี่น้องของเขาในช่วงที่ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยที่กรุงบาบิโลน12และหลังจากที่ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยที่กรุงบาบิโลนแล้ว เยโคนิยาห์เป็นบิดาของเชอัลทิเอล เชอัลทิเอลเป็นบรรพบุรุษคนหนึ่งของเศรุบบาเบล13เศรุบบาเบลเป็นบิดาของอาบียุด อาบียุดเป็นบิดาเป็นบิดาของเอลียาคิม และเอลียาคิมเป็นบิดาของอาซอร์14อาซอร์เป็นบิดาของศาโดก ศาโดกเป็นบิดาของอาคิม และอาคิมเป็นบิดาของเอลีอูด15เอลีอูดเป็นบิดาของเอเลอาซาร์ เอเลอาซาร์เป็นบิดาของมัทธาน และมัทธานเป็นบิดาของยาโคบ16ยาโคบเป็นบิดาของโยเซฟผู้เป็นสามีของมารีย์ที่ให้กำเนิดพระเยซูซึ่งเป็นผู้ที่ถูกเรียกว่าพระคริสต์17นับตั้งแต่อับราฮัมมาจนถึงดาวิดมีสิบสี่ชั่วอายุคน นับตั้งแต่ดาวิดไปจนถึงช่วงถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยที่กรุงบาบิโลนมีสิบสี่ชั่วอายุคน นับตั้งแต่ช่วงที่ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยที่กรุงบาบิโลนจนถึงพระคริสต์มานั้นมีสิบสี่ชั่วอายุคน18เรื่องราวการกำเนิดของพระเยซูคริสต์มีดังนี้ มารีย์มารดาของพระองค์ได้หมั้นกับโยเซฟเพื่อจะแต่งงานกัน แต่ก่อนที่จะอยู่กินด้วยกันก็พบว่ามารีย์ตั้งครรภ์โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์19โยเซฟคู่หมั้นของเธอเป็นผู้มีความชอบธรรมไม่ปรารถนาที่จะทำให้เธอต้องอับอายต่อหน้าผู้คน จึงวางแผนที่จะถอนหมั้นแบบลับๆ20ขณะที่เขาคิดเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาปรากฏในความฝันของเขา และบอกท่านว่า "โยเซฟ บุตรของดาวิดเอ๋ย จงอย่ากลัวที่จะรับมารีย์มาเป็นภรรยา เพราะผู้ที่ปฏิสนธิอยู่ในครรภ์ของเธอนั้น ได้ปฏิสนธิโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์21เธอจะให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง และเจ้าจงเรียกพระนามของพระองค์ว่าเยซู เพราะพระองค์จะช่วยให้ประชาชนของพระองค์ให้รอดพ้นจากความบาปของพวกเขา22สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นเพื่อให้พระวจนะของพระเจ้าที่มายังผู้เผยพระวจนะทั้งหลายนั้นสำเร็จ คือที่กล่าวไว้ว่า23"ดูเถิด หญิงพรหมจารีคนหนึ่งจะตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง แล้วพวกเขาจะเรียกนามของพระองค์ว่า อิมมานูเอล" ซึ่งมีความหมายว่า "พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา"24โยเซฟตื่นขึ้น แล้วก็ทำตามที่ทูตสวรรค์ของพระเจ้าสั่งไว้ เขารับมารีย์มาเป็นภรรยาของเขา25แต่โยเซฟไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางเพศกับเธอเลยจนกระทั่งเธอคลอดบุตรชาย แล้วเขาเรียกนามของบุตรนี้ว่า เยซู
1ภายหลังจากที่พระเยซูทรงบังเกิดในเมืองเบธเลเฮม แคว้นยูเดีย ซึ่งเป็นสมัยการปกครองของกษัตริย์เฮโรด ก็มีเหล่านักปราชญ์เดินทางมาจากทิศตะวันออกมาถึงกรุงเยรูซาเล็ม ถามว่า2"ผู้ซึ่งบังเกิดมาเพื่อเป็นกษัตริย์ของชาวยิวประทับอยู่ที่ไหนกัน? เราได้ติดตามดวงดาวของพระองค์มาตั้งแต่ฟากตะวันออก และเราปรารถนาจะนมัสการพระองค์"3ครั้นกษัตริย์เฮโรดได้ยินเช่นนั้นก็วุ่นวายใจยิ่งนัก รวมทั้งทุกคนในเยรูซาเล็มก็วุ่นวายใจเช่นกัน4เฮโรดเรียกพวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์ของประชาชนมาพบ แล้วถามพวกเขาว่า "พระคริสต์บังเกิดที่ไหน?"5คนเหล่านั้นตอบเขาว่า "ในเมืองเบธเลเฮม แคว้นยูเดีย เพราะมีเขียนไว้โดยพวกผู้เผยพระวจนะว่า6'และเจ้า เบธเลเฮม แผ่นดินของยูดาห์ ก็ไม่ได้เป็นผู้เล็กน้อยท่ามกลางเหล่าผู้นำของยูดาห์ เพราะจะมีผู้ครอบครองท่านหนึ่งมาจากพวกท่าน ผู้ซึ่งจะเลี้ยงดูอิสราเอลประชากรของเรา'"7จากนั้นเฮโรดได้เรียกเหล่านักปราชญ์เข้ามาหาอย่างลับๆ เพื่อสอบถามถึงเวลาที่ดาวปรากฏ8แล้วท่านก็ส่งพวกนักปราชญ์ไปที่เมืองเบธเลเฮมพร้อมกับบอกว่า "จงไปเถิดและเสาะหากุมารน้อยนี้อย่างถี่ถ้วน เมื่อท่านพบกุมารน้อยนี้แล้ว ให้กลับมารายงานเรา เพื่อเราเองจะได้ไปนมัสการกุมารนั้นด้วย"9หลังจากที่พวกนักปราชญ์ได้ฟังคำของกษัตริย์แล้ว ก็พากันออกเดินทางไป และดวงดาวที่ปรากฏกับพวกเขาในฟากตะวันออกได้นำหน้าไป จนมาหยุดอยู่เหนือที่กุมารน้อยประทับอยู่10เมื่อพวกเขาเห็นดวงดาวนั้น พวกเขาก็มีความปิติยินดียิ่งนัก11พวกเขาจึงเข้าไปในบ้านหลังนั้นและพบกุมารน้อยกับมารีย์มารดาของพระองค์ พวกเขาจึงคุกเข่าลงกราบและนมัสการพระองค์ พวกเขาเปิดหีบสมบัติและมอบเครื่องบรรณาการอันได้แก่ ทองคำ กำยาน และมดยอบ12พระเจ้าทรงเตือนพวกเขาในความฝันไม่ให้กลับไปหาเฮโรดอีก ดังนั้นพวกเขาจึงออกเดินทางกลับไปยังประเทศของตนในอีกเส้นทางหนึ่ง13หลังจากที่พวกเขากลับไปแล้ว ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็มาปรากฏกับโยเซฟในความฝันและพูดว่า "ลุกขึ้นเถิด จงพากุมารน้อยกับมารดาของพระองค์ หนีไปที่อียิปต์และจงอยู่ที่นั่นจนกว่าเราจะมาบอกท่าน เพราะว่าเฮโรดจะเสาะหากุมารน้อยเพื่อจะฆ่าเสีย"14ในคืนนั้นเอง โยเซฟก็ลุกขึ้นพากุมารน้อยกับมารดาของพระองค์ ออกเดินทางไปยังอียิปต์15และอาศัยอยู่ที่นั่นจนกระทั่งเฮโรดสิ้นพระชนม์ เพื่อให้เป็นไปตามคำเผยของผู้เผยพระวจนะที่ว่า "เราได้เรียกบุตรชายของเราออกมาจากอียิปต์"16จากนั้นเมื่อเฮโรดเห็นว่าตนหลงกลเหล่านักปราชญ์เข้าแล้ว ก็โกรธมาก จึงส่งคนไปฆ่าเด็กผู้ชายทุกคนที่อายุสองปีและต่ำกว่าสองปีที่อยู่ในเมืองเบธเลเฮมและในแถบนั้น โดยนับเวลาตามที่ได้ฟังมาจากเหล่านักปราชญ์นั้น17แล้วก็เป็นไปตามคำที่เผยไว้โดยเยเรมีย์ผู้เผยพระวจนะว่า18"มีเสียงร้องจากหมู่บ้านรามาห์ เป็นเสียงร้องไห้และคร่ำครวญครั้งใหญ่ ราเชลร้องไห้คร่ำครวญเพราะลูกๆ ของเธอ และเธอไม่ยอมรับแม้แต่การปลอบโยน เพราะเธอไม่เหลือบุตรเลยสักคน"19เมื่อเฮโรดสิ้นพระชนม์ ดูเถิด ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็มาปรากฏกับโยเซฟในความฝันที่อียิปต์และบอกว่า20"จงลุกขึ้นเถิด พากุมารและมารดาของพระองค์กลับไปยังดินแดนอิสราเอล เพราะบรรดาผู้ที่จ้องจะทำลายชีวิตของพระองค์นั้นสิ้นชีวิตแล้ว"21โยเซฟจึงลุกขึ้น และพากุมารกับมารดาของพระองค์มายังดินแดนอิสราเอล22แต่เมื่อได้ยินว่าอารเคลาอัสปกครองแคว้นยูเดียแทนเฮโรดผู้เป็นบิดา โยเซฟก็กลัวที่จะกลับไปอยู่ที่นั่น หลังจากที่พระเจ้าเตือนท่านในความฝัน ท่านจึงไปยังแคว้นกาลิลี23และไปอาศัยอยู่ที่เมืองนาซาเร็ธ ซึ่งเป็นไปตามคำเผยของเหล่าผู้เผยพระวจนะที่ว่าพระองค์จะถูกเรียกว่า ชาวนาซาเร็ธ
1ในช่วงนั้นยอห์นผู้ให้บัพติศมาได้มาเทศนาอยู่ในถิ่นทุรกันดารของแคว้นยูเดียว่า2"จงกลับใจเสียเถิด เพราะราชอาณาจักรสวรรค์มาใกล้แล้ว"3เพราะยอห์นก็คือผู้ที่อิสยาห์ผู้เผยพระวจนะได้กล่าวถึงว่า "มีเสียงของผู้หนึ่งร้องในถิ่นทุรกันดาร 'จงเตรียมทางของพระผู้เป็นเจ้าให้พร้อม และทำให้เส้นทางทั้งหลายของพระองค์ให้ตรงไป"'4ยอห์นผู้นี้สวมเสื้อที่ทำจากขนอูฐและคาดเข็มขัดหนังไว้ที่เอว อาหารที่เขากินคือจั๊กจั่นและน้ำผึ้งป่า5จากนั้นผู้คนจากกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วทั้งแคว้นยูเดีย และทั่วทั้งบริเวณแม่น้ำจอร์แดนต่างพากันออกไปหาเขา6พวกเขาได้รับบัพติศมาจากยอห์นที่แม่น้ำจอร์แดน เพราะพวกเขาสารภาพบาปทั้งหลายของตน7แต่เมื่อยอห์นเห็นว่ามีพวกฟาริสีและสะดูสีหลายคนมาหาเขาเพื่อจะรับบัพติศมาด้วย ยอห์นกล่าวกับพวกเขาว่า "พวกลูกหลานของงูพิษ ใครเล่าเตือนให้พวกท่านหลีกหนีจากพระพิโรธที่กำลังมาถึงพวกท่าน?8จงทำให้การกลับใจเกิดผลดีเถิด9และอย่าคิดทึกทักกับตนเองว่า 'เรามีอับราฮัมเป็นบิดา' เพราะข้าพเจ้าขอบอกพวกท่านว่าพระเจ้าสามารถทำให้หินเหล่านี้เป็นลูกหลานของอับราฮัมได้10ขวานถูกวางไว้ตรงรากของต้นไม้เรียบร้อยแล้ว ฉะนั้นต้นไม้ทุกต้นที่ไม่ออกผลดีก็จะถูกโค่นและทิ้งลงไปในกองไฟ11ข้าพเจ้าบัพติศมาท่านด้วยน้ำสำหรับการกลับใจ แต่ทว่ามีพระองค์อีกผู้หนึ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าข้าพเจ้า ซึ่งจะมาภายหลังข้าพเจ้า และข้าพเจ้าเองไม่บังควรแม้แต่จะแก้เชือกผูกรองเท้าของพระองค์ พระองค์จะทรงบัพติศมาท่านด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วยไฟ12พลั่วสำหรับแยกแกลบอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์เพื่อจะทำความสะอาดลานนวดข้าวและเพื่อเก็บรวมรวมข้าวสาลีของพระองค์ไว้ในยุ้งฉาง แต่พระองค์จะเผาแกลบด้วยไฟที่ไม่เคยมีวันดับ"13ครั้นแล้วพระเยซูก็เสด็จมาจากกาลิลีจนมาถึงแม่น้ำจอร์แดนเพื่อรับบัพติศมาจากยอห์น14แต่ยอห์นพยายามห้ามพระองค์และพูดว่า "ข้าพระองค์ต้องเป็นฝ่ายได้รับบัพติศมาจากพระองค์ แล้วควรหรือที่พระองค์จะมาหาข้าพระองค์?"15พระเยซูตรัสตอบท่านว่า "บัดนี้จงยอมเถิด เพราะเป็นการสมควรที่เราจะทำให้สำเร็จตามความชอบธรรมทุกประการ" แล้วยอห์นก็บัพติศมาให้กับพระองค์16หลังจากที่รับบัพติศมาแล้ว พระเยซูก็ขึ้นมาจากน้ำโดยทันที และดูเถิด ฟ้าสวรรค์ก็เปิดออกต่อพระองค์ พระองค์เห็นพระวิญญาณของพระเจ้าลงมาราวกับนกพิราบและบินลงมาเหนือพระองค์17นี่แน่ะ มีเสียงหนึ่งดังมาจากสวรรค์ ตรัสว่า "นี่คือบุตรที่รักของเรา เราพอใจท่านมาก"
1จากนั้นพระวิญญาณก็นำพระเยซูเข้าไปในถิ่นทุรกันดารเพื่อให้มารทดสอบพระองค์2เมื่อพระองค์ได้อดอาหารเป็นเวลาสี่สิบวันสี่สิบคืนแล้วพระองค์ก็ทรงหิว3ผู้ทดลองมาและพูดกับพระองค์ว่า "ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงสั่งหินเหล่านี้ให้เป็นอาหารเถิด"4แต่พระเยซูตรัสตอบกับเขาว่า "มีคำเขียนไว้ว่า 'มนุษย์ไม่อาจดำรงชีวิตได้ด้วยอาหารเพียงอย่างเดียว แต่ด้วยพระวจนะทุกคำที่ออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า'"5ครั้นแล้วมารก็พาพระองค์ไปยังนครบริสุทธิ์และให้พระองค์ประทับบนยอดหลังคาพระวิหารสูงสุด6แล้วพูดกับพระองค์ว่า "ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงกระโดดลงไปเถิด เพราะมีบันทึกไว้ว่า 'พระองค์จะสั่งให้เหล่าทูตสวรรค์คอยดูแลปกป้องท่าน' และ 'ทูตสวรรค์จะเอามือประคองท่านไว้ เพื่อที่เท้าของท่านจะไม่กระทบกับหินเลย'"7พระเยซูตรัสตอบมารร้ายนั้นว่า "และมีคำเขียนไว้อีกว่า 'ท่านไม่ควรทดสอบองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน'"8อีกครั้งหนึ่งมารก็นำพระองค์ไปยังสถานที่สูงสุดและให้พระองค์ดูอาณาจักรทั้งสิ้นและสง่าราศีของโลกนี้9มารพูดกับพระองค์ว่า "เราจะมอบทุกสิ่งเหล่านี้ให้กับท่าน ถ้าท่านก้มลงและนมัสการเรา"10จากนั้นพระเยซูตรัสกับเขาว่า "เจ้าซาตาน จงไปเสียให้พ้น เพราะมีบันทึกไว้ว่า 'ท่านจงนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านและรับใช้พระองค์แต่เพียงผู้เดียว"'11แล้วมารก็จากพระองค์ไป และดูเถิด เหล่าทูตสวรรค์ก็มาและรับใช้พระองค์12บัดนี้ เมื่อพระเยซูได้ยินว่ายอห์นถูกจับตัว พระองค์ก็แยกตัวไปยังแคว้นกาลิลี13พระองค์ออกจากเมืองนาซาเร็ธแล้วไปอาศัยอยู่ที่เมืองคาเปอร์นาอุม ซึ่งอยู่ติดกับทะเลกาลิลี ในอาณาเขตของเผ่าเศบูลุนและเผ่านัฟทาลี14สิ่งนี้เป็นไปตามที่อิสยาห์ผู้เผยพระวจนะได้เผยไว้ว่า15"ดินแดนของเศบูลุนและดินแดนของนัฟทาลี ตรงทางไปทะเล ฝั่งแม่น้ำจอร์แดนฟากโน้น ชาวกาลิลีของคนต่างชาติ16ประชาชนที่นั่งอยู่ในความมืดมิดก็ได้เห็นแสงสว่างอันยิ่งใหญ่ และสำหรับบรรดาผู้ที่นั่งอยู่ในเขตแดนและเงาแห่งความตาย ก็มีแสงสว่างส่องสว่างขึ้นเหนือพวกเขา"17นับตั้งแต่เวลานั้นมา พระเยซูก็ทรงเริ่มสั่งสอนและตรัสว่า "จงกลับใจเถิด เพราะราชอาณาจักรสวรรค์ได้ใกล้เข้ามาแล้ว"18ขณะที่พระองค์กำลังเดินเรียบฝั่งทะเลกาลิลี พระองค์ทรงเห็นพี่น้องคู่หนึ่งคือซีโมนที่เรียกว่า เปโตรและอันดรูว์ผู้เป็นน้องชาย กำลังทิ้งอวนลงไปในทะเล เพราะเขาทั้งสองเป็นชาวประมง19พระเยซูตรัสกับเขาว่า "มาเถิด จงตามเรามา แล้วเราจะทำให้ท่านเป็นผู้จับคนดั่งจับปลา"20ในทันใดนั้นเองพวกเขาก็ทิ้งอวนและติดตามพระองค์ไป21ขณะที่พระเยซูทรงกำลังเดินต่อไปจากที่นั่น พระองค์ทรงเห็นพี่น้องอีกคู่หนึ่งคือ ยากอบบุตรของเศเบดีและยอห์นผู้เป็นน้องชาย พวกเขากำลังอยู่ในเรือกับเศเบดีบิดาของพวกเขาและกำลังซ่อมแซมอวนกันอยู่ พระองค์เรียกพวกเขา22แล้วพวกเขาก็ทิ้งเรือและบิดาของพวกเขาไว้ทันทีแล้วออกติดตามพระองค์23พระเยซูออกไปทั่วทั้งแคว้นกาลิลี ทรงสอนในธรรมศาลาของพวกเขา ทรงสั่งสอนเรื่องข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร และรักษาโรคกับอาการป่วยทุกชนิดท่ามกลางผู้คน24ข่าวเกี่ยวกับพระองค์ก็แพร่สะพัดออกไปทั่วทั้งแคว้นซีเรีย และประชาชนพากันนำคนป่วย คนที่ป่วยด้วยสารพัดโรคและที่มีความเจ็บปวด บรรดาคนที่ถูกวิญญาณร้ายเข้าสิง และคนที่เป็นโรคลมบ้าหมูและคนที่เป็นอัมพาตมาหาพระองค์ พระเยซูทรงรักษาพวกเขา25มหาชนขนาดใหญ่ติดตามพระองค์มาตั้งแต่แคว้นกาลิลี ทศบุรี เยรูซาเล็ม และยูเดีย และจากอีกฟากหนึ่งของจอร์แดน
1เมื่อพระเยซูทรงเห็นฝูงชน พระองค์ก็เสด็จขึ้นไปบนภูเขา ครั้นพระองค์ประทับแล้ว เหล่าสาวกก็เข้ามาหาพระองค์2พระองค์ทรงเปิดปากและสั่งสอนพวกเขา พระองค์ตรัสว่า3"ผู้ที่ยากไร้ในฝ่ายวิญญาณก็เป็นสุข เพราะราชอาณาจักรสวรรค์เป็นของพวกเขา4ผู้ที่คร่ำครวญก็เป็นสุข เพราะพวกเขาจะได้รับการปลอบประโลม5ผู้ที่ถ่อมตนก็เป็นสุข เพราะพวกเขาจะได้โลกนี้เป็นมรดกของเขา6ผู้ที่หิวและกระหายต่อความชอบธรรมก็เป็นสุข เพราะพวกเขาได้จะรับจนเต็มล้น7ผู้ที่เปี่ยมด้วยความเมตตาก็เป็นสุข เพราะพวกเขาได้รับความเมตตา8ผู้ที่มีใจบริสุทธิ์ก็เป็นสุข เพราะพวกเขาจะเห็นพระเจ้า9ผู้สร้างสันติสุขก็เป็นสุข เพราะพวกเขาถูกเรียกว่าเป็นบรรดาบุตรของพระเจ้า10ผู้ที่ถูกข่มเหงเพราะเหตุของความชอบธรรมก็เป็นสุข เพราะราชอาณาจักรสวรรค์เป็นของพวกเขา11ผู้ที่ถูกคนสบประมาทและถูกข่มเหง หรือถูกกล่าวหาทั้งๆ ที่ไม่เป็นความจริงด้วยเหตุเพราะเรานั้นก็เป็นสุข12จงปิติยินดีและเปรมปรีดิ์เถิดเพราะรางวัลยิ่งใหญ่ของท่านอยู่ในสวรรค์ เพราะผู้คนข่มเหงบรรดาผู้เผยพระวจนะที่มาก่อนหน้าท่านด้วยวิธีอย่างเดียวกัน13ท่านเป็นเกลือของโลก หากเกลือหมดรสเค็มไปแล้วนั้น จะทำให้เค็มได้อีกอย่างไร? ก็ไม่อาจจะใช้ทำสิ่งดีอะไรได้อีกนอกจากจะถูกขว้างทิ้งและถูกเหยียบย่ำเสียด้วยเท้าของคน14ท่านเป็นความสว่างของโลก เมืองที่ตั้งอยู่บนภูเขาซึ่งไม่อาจปิดซ่อนไว้ได้15ไม่มีใครที่จุดตะเกียงแล้วเอาตระกร้าครอบไว้ แต่จะตั้งตะเกียงนั้นไว้บนขาตะเกียง เพื่อใช้ส่องสว่างให้กับทุกคนภายในบ้าน16จงให้แสงสว่างของท่านส่องสว่างต่อหน้าผู้คนในวิธีการที่พวกเขาจะเห็นการกระทำอันดีของท่านและสรรเสริญพระบิดาของท่านผู้ที่อยู่ในสวรรค์17จงอย่าคิดว่าเรามาเพื่อทำลายล้างธรรมบัญญัติหรือคำของบรรดาผู้เผยพระวจนะแต่อย่างใด เราไม่ได้มาเพื่อทำลายแต่เพื่อจะทำให้ทุกสิ่งสำเร็จ18เพราะเราขอบอกความจริงกับท่านว่า แม้ฟ้าสวรรค์และโลกจะล่วงไป แต่จะไม่มีสักขีดหรือส่วนเล็กน้อยใดๆ จากธรรมบัญญัติที่จะสูญสลาย จนกระทั่งทุกสิ่งจะเสร็จสมบูรณ์19ด้วยเหตุนี้ หากผู้ใดที่ละเมิดบัญญัติเหล่านี้แม้แต่เพียงข้อเดียวและยังสอนให้ผู้อื่นกระทำตามก็จะถูกเรียกว่าเป็นผู้เล็กน้อยที่สุดในราชอาณาจักรสวรรค์ แต่ผู้ใดก็ตามที่ปฏิบัติตามและสอนบัญญัติเหล่านี้ก็จะถูกเรียกผู้ยิ่งใหญ่ในราชอาณาจักรสวรรค์20เพราะเราขอบอกกับท่านว่าหากท่านไม่ได้ชอบธรรมมากไปกว่าพวกธรรมาจารย์และฟาริสีแล้วนั้น ท่านก็จะไม่มีทางเข้าสู่ราชอาณาจักรของสวรรค์ได้เลย21ท่านเคยได้ยินสิ่งที่กล่าวไว้กับคนในสมัยก่อนว่า 'อย่าฆ่า' และ 'ใครก็ตามที่ฆ่าจะถูกพิพากษาอย่างหนัก'22แต่เราขอบอกกับท่านว่าใครก็ตามที่โกรธพี่น้องของตนก็จะถูกพิพากษาอย่างหนัก และใครก็ตามที่พูดกับพี่น้องของตนว่า 'เจ้าคนไร้ค่า' ก็จะถูกพิพากษาโดยศาลระดับสูง และใครก็ตามที่พูดว่า 'ไอ้โง่' ก็จะตกอยู่ในบึงไฟนรก23ด้วยเหตุนี้ ถ้าท่านจะถวายเครื่องบูชาที่แท่นบูชาแล้วนึกขึ้นได้ว่าพี่น้องของท่านมีความขัดเคืองใจกับท่าน24จงละเครื่องบูชาไว้ตรงหน้าแท่นบูชา ให้ไปหาพี่น้องของท่าน คืนดีกับพี่น้องของท่านก่อน แล้วจึงมาถวายเครื่องบูชา25จงปรองดองกับผู้ที่กล่าวหาท่านโดยเร็วขณะที่ท่านกำลังไปขึ้นศาลกับเขา ไม่เช่นนั้นแล้ว ผู้กล่าวหาท่านจะมอบท่านไว้ในอำนาจของศาล และศาลจะมอบท่านไว้ในอำนาจของเจ้าหน้าที่ และท่านก็จะถูกจองจำไว้ในเรือนจำ26เราขอบอกความจริงกับท่านว่า ท่านไม่สามารถออกมาได้ นอกเสียจากว่าท่านได้จ่ายหนี้ของท่านให้ครบหมดก่อน27ท่านเคยได้ยินคำพูดที่ว่า 'อย่าล่วงประเวณี'28แต่เราขอบอกท่านว่า ทุกคนที่มองผู้หญิงด้วยความปรารถนาในตัวเธอก็ได้กระทำการล่วงประเวณีกับเธอภายในใจของเขาแล้ว29และถ้าตาขวาของท่านเป็นเหตุให้ท่านกระทำบาป จงควักดวงตานั้นออกและทิ้งไปให้พ้นตัว เพราะจะดีกว่าที่ท่านเสียเพียงอวัยวะใดอวัยวะหนึ่ง เพื่อไม่ให้ทั้งตัวของท่านต้องถูกทิ้งลงไปในนรก30และถ้ามือขวาของท่านเป็นเหตุให้ท่านกระทำบาปแล้วล่ะก็ จงตัดมือข้างนั้นและทิ้งไปให้พ้นตัว เพราะจะดีกว่าที่มีแค่อวัยวะใดอวัยวะหนึ่งของท่านเสียหาย แทนที่ทั้งตัวของท่านจะต้องตกอยู่ในนรก31มีคำพูดไว้ว่า 'ใครก็ตามไล่ภรรยาของตนไปนั้น ก็ให้เขามอบใบหย่ากับเธอ'32แต่เราขอบอกกับท่านว่า นอกจากเหตุของการผิดศีลธรรมทางเพศแล้วนั้น ผู้ใดที่หย่ากับภรรยาของตน ก็ทำให้เธอเป็นผู้ผิดประเวณี แล้วผู้ใดก็ตามที่แต่งงานกับเธอภายหลัง ก็ทำผิดฐานล่วงประเวณีเช่นกัน33ท่านเคยได้ยินสิ่งที่กล่าวไว้กับคนในสมัยก่อนอีกประการหนึ่งว่า 'อย่าสาบานด้วยคำสาบานเท็จ แต่ให้รักษาคำสาบานที่ให้ไว้กับพระเจ้า'34แต่เราขอบอกท่านว่า อย่าสาบานเลย ไม่ว่าจะสาบานต่อสวรรค์ เพราะนั่นคือพระบัลลังก์ของพระเจ้า35หรือสาบานต่อโลก เพราะนั่นคือที่วางพระบาทของพระองค์ หรือสาบานต่อเยรูซาเล็มเพราะนั่นเป็นเมืองสำหรับกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่36หรืออย่าสาบานโดยใช้ศีรษะท่านเป็นประกัน เพราะท่านไม่สามารถเปลี่ยนผมให้เป็นผมหงอกหรือดำได้37แต่ให้คำพูดของท่านเป็นจริง 'ใช่ ก็ว่าใช่' หรือ 'ไม่ ก็ว่าไม่' นอกเหนือไปจากนั้นถือว่ามาจากวิญญาณชั่ว38ท่านได้ยินที่พูดกันว่า 'ตาต่อตา และฟันต่อฟัน'39แต่เราขอบอกกับท่านว่า อย่าต่อสู้กับคนชั่ว และใครก็ตามที่ตบแก้มขวาของท่าน จงหันแก้มอีกข้างให้กับเขาด้วย40และถ้ามีผู้ใดต้องการนำตัวท่านไปขึ้นศาลและแย่งเอาเสื้อคลุมของท่านไป ก็จงให้เสื้อคลุมเขาไปเถิด41และใครก็ตามบังคับให้ท่านไปกับเขาหนึ่งกิโลเมตร ก็จงไปกับเขาสองกิโลเมตรเถิด42จงให้กับคนที่ขอจากท่าน และอย่าหันหน้าหนีไปจากผู้ที่หวังจะขอยืมจากท่าน43ท่านได้ยินคำที่กล่าวไว้ว่า 'จงรักเพื่อนบ้านของท่านและจงเกลียดชังศัตรูของท่าน'44แต่เราขอบอกกับท่านว่า จงรักศัตรูทั้งหลายของท่านและอธิษฐานเผื่อบรรดาผู้ที่ข่มเหงท่าน45เพื่อที่ท่านจะเป็นบรรดาบุตรของพระบิดาผู้ซึ่งประทับในฟ้าสวรรค์ เพราะพระองค์บันดาลให้ดวงอาทิตย์ขึ้นส่องให้ทั้งกับคนชั่วและคนดี และให้ฝนสำหรับผู้ที่มีความยุติธรรมและผู้ที่ไร้ความยุติธรรม46เพราะถ้าท่านรักบรรดาผู้ที่รักท่าน แล้วท่านจะได้รางวัลอันใดเล่า? แม้แต่คนเก็บภาษีก็ยังกระทำในสิ่งเดียวกันนี้มิใช่หรือ?47และถ้าหากท่านทักทายแต่กับพี่น้องของท่าน แล้วท่านจะต่างอะไรจากผู้อื่นเล่า? แม้แต่คนต่างชาติก็กระทำในสิ่งเดียวกันนี้มิใช่หรือ?48เหตุฉะนั้น ท่านจะต้องดีพร้อม เพราะพระบิดาแห่งฟ้าสวรรค์ของท่านนั้นเป็นผู้ที่ดีพร้อม
1พวกท่านจงระวังที่จะไม่แสร้งทำเป็นชอบธรรมต่อหน้าผู้คนเพื่อให้พวกเขาได้เห็น หรือไม่เช่นนั้นแล้วพวกท่านจะไม่ได้รับบำเหน็จจากพระบิดาของพวกท่านผู้ซึ่งประทับอยู่ในฟ้าสวรรค์2ฉะนั้น เมื่อพวกท่านให้ทาน ก็อย่าเป่าแตรนำหน้าตนเองเหมือนอย่างที่พวกหน้าซื่อใจคดทำกันในธรรมศาลาและบนถนนต่างๆ เพื่อว่าเขาเหล่านั้นจะได้รับการยกย่องจากผู้คน เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า พวกคนเช่นนั้นได้รับบำเหน็จของตนแล้ว3แต่เมื่อพวกท่านให้ทาน ก็อย่าให้มือข้างซ้ายรู้ว่ามือข้างขวากำลังทำอะไรอยู่4เพื่อว่าของที่พวกท่านให้จะเป็นทานลับ แล้วพระบิดาของพวกท่านผู้ซึ่งเห็นในที่ลับจะเป็นผู้ให้รางวัลแก่พวกท่านเอง5และเมื่อพวกท่านอธิษฐาน อย่าเป็นเหมือนกับพวกหน้าซื่อใจคด เพราะคนเหล่านั้นชอบที่จะยืนขึ้นและอธิษฐานในธรรมศาลา และตรงมุมถนนต่างๆ เพื่อที่คนจะเห็นพวกเขา เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า พวกเขาได้รับบำเหน็จของตนแล้ว6แต่สำหรับพวกท่าน เมื่อพวกท่านอธิษฐาน จงเข้าไปที่ห้องชั้นใน ปิดประตู และอธิษฐานถึงพระบิดาของพวกท่านผู้ที่อยู่ในที่ลับ แล้วพระบิดาของพวกท่านผู้ซึ่งเห็นในที่ลับจะให้บำเหน็จแก่พวกท่าน7และเมื่อพวกท่านอธิษฐาน อย่าอธิษฐานซ้ำแล้วซ้ำอีกอย่างเช่นที่คนต่างชาติทำ เพราะพวกเขาคิดว่ายิ่งอธิษฐานด้วยถ้อยคำมากก็จะเป็นที่ได้ยิน8ด้วยเหตุนี้ อย่าเป็นเหมือนคนเหล่านั้น เพราะพระบิดาของพวกท่านทรงทราบถึงสิ่งที่พวกท่านต้องการก่อนที่จะทูลขอ9ฉะนั้น จงอธิษฐานเช่นนี้ว่า 'พระบิดาผู้ประทับในฟ้าสวรรค์ ขอพระนามของพระองค์เป็นเคารพสักการะ10ขอให้ราชอาณาจักรของพระองค์มาตั้งอยู่ ขอให้พระประสงค์ของพระองค์สำเร็จในโลกดั่งที่เป็นไปในสวรรค์11ขออย่างทรงนำพวกเราเข้าสู่การทดลอง แ่ขอทรงช่วยพวกเราให้พ้นจากสิ่งที่ชั่วร้าย'12ขอทรงโปรดประทานอาหารประจำวันแก่พวกเรา13ขอโปรดทรงยกหนี้ของพวกเรา เหมือนที่พวกเรายกหนี้ให้แก่ลูกหนี้ของเรา14เพราะถ้าพวกท่านยกโทษในการละเมิดของผู้อื่นแล้ว พระบิดาของพวกท่านในฟ้าสวรรค์ก็จะยกโทษให้กับพวกท่าน15แต่ถ้าพวกท่านไม่ยกโทษการละเมิดของคนเหล่านั้น พระบิดาของพวกท่านก็จะไม่ยกโทษการละเมิดของพวกท่านเช่นกัน16เมื่อพวกท่านอดอาหาร ก็อย่าให้ใบหน้าท่านเศร้าหมองเหมือนที่พวกคนหน้าซื่อใจคดทำกัน เพราะพวกเขาแสดงสีหน้าหม่นหมองเพื่อให้ผู้อื่นเห็นว่าตนกำลังอดอาหาร เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า พวกเขาได้รับบำเหน็จของตนแล้ว17แต่สำหรับพวกท่าน เมื่อพวกท่านอดอาหาร จงเจิมศีรษะด้วยน้ำมัน และชำระล้างใบหน้าของพวกท่าน18เพื่อคนอื่นจะไม่รู้ว่าพวกท่านกำลังอดอาหาร แต่ให้รู้เฉพาะพระบิดาของท่านผู้ที่อยู่ในที่ลับ และพระบิดาผู้ทรงเห็นพวกท่านในที่ลับก็จะประทานบำเหน็จแก่พวกท่าน19อย่าสั่งสมทรัพย์สมบัติของตนเองไว้บนโลกนี้ ที่ซึ่งมอดจะกัดกินหรือขึ้นสนิมได้ และที่ขโมยจะพังเข้ามาแล้วขโมยเอาไปเสีย20แต่จงสั่งสมทรัพย์ของพวกท่านไว้ในฟ้าสวรรค์ ที่ซึ่งมอดหรือสนิทไม่สามารถกัดกินได้ และที่ซึ่งขโมยก็ไม่สามารถพังเข้ามาแล้วขโมยไปได้21เพราะว่าทรัพย์สมบัติของพวกท่านอยู่ที่ใด ใจของพวกท่านก็จะอยู่ที่นั่นด้วย22ดวงตาคือประทีปของร่างกาย ด้วยเหตุนี้ ถ้าหากดวงตาของพวกท่านดี กายทั้งกายของพวกท่านก็เต็มไปด้วยความสว่าง23แต่ถ้าดวงตาของพวกท่านแย่ ทั้งกายของพวกท่านก็จะเต็มไปด้วยความมืด ดังนั้น ถ้าหากความสว่างภายในพวกท่านได้มืดมิดไป แล้วความมืดนั้นจะมึดทึบสักเพียงใด24ไม่มีผู้ใดสามารถรับใช้เจ้านายทั้งสองคนได้ เพราะเขาจะเกลียดชังนายคนหนึ่งและรักนายอีกคน หรือเขาจะอุทิศตนรับใช้นายอีกคนแล้วดูหมิ่นนายอีกคน พวกท่านไม่สามารถรับใช้ทั้งพระเจ้าและความมั่งมีได้25ด้วยเหตุนี้ เราบอกกับพวกท่านว่า อย่ามัวกังวลเรื่องชีวิตของพวกท่าน ว่าพวกท่านจะมีอะไรกินหรือจะมีอะไรดื่ม หรือกังวลเรื่องร่างกายของพวกท่าน ว่าจะมีอะไรให้นุ่งห่ม เพราะชีวิตมีค่ายิ่งกว่าอาหาร และร่างกายมีค่ายิ่งกว่าเครื่องนุ่งห่มมิใช่หรือ?26จงดูนกในอากาศ พวกมันไม่ได้หว่านหรือเก็บเกี่ยว หรือสั่งสมอาหารไว้ในยุ้งฉาง แต่พระบิดาแห่งฟ้าสวรรค์ทรงเลี้ยงดูพวกมัน พวกท่านมีค่ายิ่งกว่าพวกนกเหล่านี้มิใช่หรือ?27แล้วมีใครบ้างในพวกท่านที่สามารถยืดชีวิตไปได้อีกศอกหนึ่งด้วยความกังวล?28และทำไมพวกท่านจึงต้องกังวัลเรื่องเครื่องนุ่งห่ม? จงคิดถึงดอกหญ้าในทุ่งว่ามันโตขึ้นได้อย่างไร มันไม่ได้ทำงาน และไม่ได้ปั่นด้าย29แต่กระนั้น เราบอกกับพวกท่านว่า แม้แต่กษัตริย์ซาโลมอนพร้อมด้วยสง่าราศีของพระองค์ก็ยังเทียบไม่ได้กับดอกหญ้าเหล่านี้เลยสักดอก30ถ้าหากพระเจ้าทรงประดับประดาต้นหญ้าในทุ่ง ซึ่งอยู่ได้เพียงแค่วันนี้แล้วจะถูกทิ้งลงในเตาไฟพรุ่งนี้ แล้วพระองค์จะทรงประดับประดาพวกท่านมากกว่านั้นสักเพียงใด พวกท่านผู้มีความเชื่อน้อยเอ๋ย?31เพราะฉะนั้น อย่ามัวกังวลและพูดว่า 'แล้วเราจะมีอะไรให้กิน?' หรือ 'เราจะมีอะไรให้ดื่ม' หรือ 'เราจะมีอะไรให้นุ่งห่ม?'32เพราะคนต่างชาติล้วนแต่เสาะหาสิ่งเหล่านี้ และพระบิดาในฟ้าสวรรค์ของพวกท่านรู้ว่าพวกท่านต้องการสิ่งเหล่านี้33แต่จงแสวงหาราชอาณาจักรและความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงนี้ให้34เพราะฉะนั้น อย่ากระวนกระวายถึงวันพรุ่งนี้ เพราะพรุ่งนี้ก็มีเรื่องให้กังวลอยู่แล้ว ในแต่ละวันก็ทุกข์พออยู่แล้ว
1จงอย่าตัดสินผู้อื่น และพวกท่านจะไม่ถูกพิพากษา2เพราะด้วยคำพิพากษาที่พวกท่านใช้ตัดสินผู้อื่น พวกท่านก็จะถูกพิพากษาแบบเดียวกัน และพวกท่านตวงด้วยเครื่องตวงแบบไหน พวกท่านก็จะถูกตวงกลับแบบเดียวกัน3และทำไมพวกท่านจึงมองดูผงในดวงตาของพี่น้องของพวกท่าน แต่พวกท่านกลับไม่สังเกตเห็นไม้ทั้งท่อนในดวงตาของพวกท่านเอง?4พวกท่านพูดกับพี่น้องของตนได้อย่างไรว่า 'ให้เราเขี่ยเอาผงออกจากดวงตาของท่าน' ทั้งๆ ที่ยังมีไม้ทั้งท่อนอยู่ในดวงตาของพวกท่านเอง?5พวกท่านผู้หน้าซื่อใจคด จงเอาไม้ทั้งท่อนนั้นออกจากดวงตาพวกท่านเสียก่อน แล้วจึงจะเห็นผงที่อยู่ในดวงตาของพี่น้องของพวกท่านได้อย่างชัดเจน6จงอย่าให้ของบริสุทธิ์กับสุนัข และอย่าโยนไข่มุกของพวกท่านลงตรงหน้าฝูงหมู เพราะว่ามันจะเหยียบย่ำไข่มุกนั้นแล้วหันมาแล้วฉีกพวกท่านออกเป็นชิ้นๆ7จงขอแล้วพวกท่านจะได้ จงหาแล้วพวกท่านจะพบ จงเคาะ แล้วก็จะเปิดให้กับพวกท่าน8เพราะทุกคนที่ขอก็จะได้รับ และทุกคนที่ค้นหาก็จะพบ และคนที่เคาะนั้น ก็จะถูกเปิดออกให้9มีใครบ้างในพวกท่าน ที่บุตรชายขอขนมปังก้อนหนึ่ง แล้วบิดาจะให้หินก้อนหนึ่งกับบุตรของตนหรือ?10ถ้าเขาขอปลาหนึ่งตัว แล้วจะให้งูหนึ่งตัวกับเขาหรือ?11ฉะนั้น ถ้าพวกท่านผู้ซึ่งชั่วร้ายยังรู้จักวิธีให้ของดีกับบุตรทั้งหลายของตน แล้วพระบิดาในฟ้าสวรรค์จะให้สิ่งที่ดีแก่ผู้ที่ทูลขอพระองค์มากกว่านั้นสักเท่าใด?12เพราะเหตุนี้ สิ่งใดก็ตามที่พวกท่านปรารถนาให้ผู้อื่นกระทำต่อพวกท่าน พวกท่านควรที่จะกระทำเช่นนั้นต่อพวกเขาด้วย เพราะเป็นไปตามธรรมบัญญัติและหมวดผู้เผยพระวจนะ13จงเข้าทางประตูที่แคบ เพราะประตูที่ใหญ่และกว้างนั้นนำไปสู่ความพินาศ และมีคนมากมายที่เข้าทางประตูนั้น14เพราะทางที่แคบคือประตู และทางที่แคบคือหนทางที่นำไปสู่ชีวิต และมีคนน้อยนักที่จะพบหนทางนี้15จงระวังผู้เผยพระวจนะจอมปลอม ซึ่งมายังพวกท่านโดยสวมสภาพเหมือนแกะแต่แท้ที่จริงก็คือหมาป่าแสนตะกละ16พวกท่านจะรู้จักพวกเขาได้ก็โดยผลของเขา คนจะเก็บผลองุ่นจากพุ่มไม้หนามหรือจะเก็บผลมะเดื่อจากต้นไม้หนามได้อย่างไรเล่า?17เช่นเดียวกันนี้เอง ต้นไม้ดีก็จะออกผลดี แต่ต้นไม้เลวก็จะออกผลเลว18ต้นไม้ดีไม่สามารถออกผลที่เลวได้ หรือต้นไม้เลวจะออกผลดีก็ไม่ได้19ต้นไม้ทุกต้นที่ไม่ได้ออกผลดีก็จะถูกตัดและทิ้งลงไปในไฟ20ดังนั้นแล้ว พวกท่านจะรู้จักพวกเขาได้ด้วยผลของพวกเขา21ไม่ใช่ทุกคนที่พูดกับเราว่า 'องค์พระผู้เป็นเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้า' แล้วจะสามารถเข้าไปในราชอาณาจักรสวรรค์ได้ แต่เฉพาะผู้ที่ทำตามพระประสงค์ของพระบิดาของเราผู้ซึ่งอยู่ในฟ้าสวรรค์เท่านั้น22หลายคนจะพูดกับเราในวันนั้นว่า 'องค์พระผู้เป็นเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ได้เผยพระวจนะในนามของพระองค์ และขับไล่วิญญาณชั่วทั้งหลายในนามของพระองค์ และข้าพระองค์ได้ทำการอัศจรรย์ต่างๆ ในนามของพระองค์ มิใช่หรือ?'23แล้วเราจะประกาศกับพวกเขาอย่างเปิดเผยว่า 'เราไม่รู้จักเจ้า จงไปให้พ้นหน้าเรา เจ้าผู้กระทำสิ่งชั่วร้าย'24ด้วยเหตุนี้ ทุกคนที่ได้ยินถ้อยคำของเราและเชื่อฟังถ้อยคำเหล่านั้นก็จะเป็นเหมือนชายผู้มีปัญญาที่สร้างบ้านของตนไว้บนศิลา25เมื่อฝนตกลงมา น้ำท่วมทะลัก และลมพัดกระหน่ำบนบ้านหลังนั้น แต่บ้านก็ไม่พังทลายเพราะถูกสร้างขึ้นบนศิลา26แต่ทุกคนที่ได้ยินถ้อยคำของเราและไม่เชื่อฟังถ้อยคำเหล่านี้ก็เป็นเหมือนชายผู้โง่เขลาซึ่งสร้างบ้านของตนไว้บนผืนทราย27เมื่อฝนตกลงมา น้ำท่วมทะลัก และลมพัดกระหน่ำและปะทะบ้านหลังนั้น และบ้านก็พังทลายและเสียหายจนหมดสิ้น"28เมื่อพระเยซูตรัสพระวจนะเหล่านี้จบ ฝูงชนก็ทึ่งในคำสอนของพระองค์29เพราะพระองค์ทรงสอนพวกเขาอย่างผู้ที่เปี่ยมด้วยสิทธิอำนาจ และไม่เป็นเหมือนอย่างพวกธรรมาจารย์ของพวกเขา
1ครั้นพระเยซูเสด็จลงมาจากภูเขา ฝูงชนกลุ่มใหญ่ได้ติดตามพระองค์2ดูเถิด มีชายที่เป็นโรคเรื้อนคนหนึ่งมาหาพระองค์และคุกเข่าต่อหน้าพระองค์แล้วพูดว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้า หากพระองค์ทรงประสงค์ พระองค์ทรงสามารถทำให้ข้าพระองค์หายสะอาด"3พระเยซูทรงยื่นพระหัตถ์ไปแตะต้องชายผู้นั้น พลางตรัสว่า "เราประสงค์ให้เจ้าหาย จงหายสะอาดเถิด" ชายผู้นั้นก็หายจากโรคเรื้อนโดยทันที4พระเยซูตรัสกับเขาว่า "อย่าพูดเรื่องนี้กับใครทั้งสิ้น แต่จงไปแล้วแสดงตนต่อปุโรหิต และถวายเครื่องบูชาตามที่โมเสสสั่ง เพื่อเป็นหลักฐานต่อพวกเขา"5ครั้นพระเยซูได้เสด็จเข้าไปที่เมืองคาเปอรนาอุม นายร้อยท่านหนึ่งมาหาพระองค์และทูลขอพระองค์6ว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้า ทาสของข้าพเจ้านอนเป็นอัมพาตอยู่ในบ้านด้วยอาการเจ็บปวดแสนสาหัส"7พระเยซูตรัสกับเขาว่า "เราจะไปและรักษาเขา"8นายร้อยทูลตอบพระองค์ว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ไม่คู่ควรแม้แต่จะให้พระองค์เสด็จเข้าไปในบ้านของข้าพระองค์ ขอพระองค์ทรงรับสั่งแล้วทาสของข้าพระองค์ก็จะหายเป็นปกติ9เพราะข้าพระองค์ก็เป็นผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของผู้อื่น และยังมีเหล่าทหารที่อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของข้าพระองค์ ข้าพระองค์สั่งคนหนึ่งว่า 'ไป' เขาก็ไป และข้าพระองค์สั่งกับอีกคนหนึ่งว่า 'มา' เขาก็มา และกับทาสของข้าพระองค์ว่า 'ทำสิ่งนี้' เขาก็ทำตาม"10เมื่อพระเยซูได้ฟังดังนั้น พระองค์ทรงประหลาดใจยิ่งนักและตรัสกับผู้ที่กำลังติดตามพระองค์อยู่ว่า "เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า เราไม่เคยพบเห็นผู้ใดที่มีความเชื่อเช่นนี้ในอิสราเอลเลย11เราบอกพวกท่านว่า จะมีคนจำนวนมากมาจากตะวันออกและจากตะวันตก แล้วพวกเขาจะเอนกายร่วมโต๊ะอาหารกับอับราฮัม อิสอัค และยาโคบในราชอาณาจักรสวรรค์12แต่บรรดาบุตรของรอาณาจักรจะถูกโยนทิ้งไปในความมืดภายนอก ที่ซึ่งมีการร้องไห้และขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน"13พระเยซูตรัสกับนายร้อยผู้นั้นว่า "ไปเถิด เพราะท่านเชื่อ สิ่งนั้นก็จะสำเร็จเพื่อท่าน" แล้วทาสของนายร้อยก็หายเป็นปกติในเวลานั้น14เมื่อพระเยซูเสด็จมาที่บ้านของเปโตร พระองค์ทรงเห็นแม่ยายของเปโตรนอนป่วยเป็นไข้15พระเยซูทรงจับมือของเธอ แล้วอาการไข้ของเธอก็หายไป จากนั้นเธอจึงลุกขึ้นและเริ่มต้นรับใช้พระองค์16เมื่อถึงตอนเย็น ผู้คนได้นำคนมากมายที่ถูกวิญญาณชั่วเข้าสิงมาหาพระเยซู พระองค์ทรงขับไล่วิญญาณชั่วทั้งหลายด้วยพระวจนะและรักษาผู้ที่ป่วยทั้งสิ้น17เช่นนี้เองจึงเป็นไปตามคำเผยที่อิสยาห์ผู้เผยพระวจนะได้กล่าวไว้ว่า "พระองค์ทรงรับเอาความเจ็บป่วยและแบกเอาโรคของพวกเราไปเสีย"18บัดนี้ เมื่อพระเยซูเห็นฝูงชนอยู่รอบๆ พระองค์ พระองค์ทรงออกคำสั่งให้เดินทางไปยังอีกฟากหนึ่งของทะเลกาลิลี19จากนั้นธรรมาจารย์ผู้หนึ่งมาหาพระองค์และพูดว่า "อาจารย์ ข้าพเจ้าจะติดตามท่านไปทุกแห่งหน"20พระเยซูตรัสกับเขาว่า "พวกสุนัขจิ้งจอกยังมีรู และพวกนกในอากาศยังมีรัง แต่บุตรมนุษย์ไม่มีแม้แต่ที่จะวางศีรษะของท่าน"21อีกคนหนึ่งในบรรดาสาวกทูลพระองค์ว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดอนุญาตให้ข้าพระองค์กลับไปและฝังบิดาของข้าพเจ้าก่อน"22แต่พระเยซูตรัสว่า "ท่านจงตามเรามาเถิด แล้วปล่อยให้คนตายฝังคนตายของพวกเขาเองเถิด"23เมื่อพระเยซูเสด็จขึ้นเรือไปแล้วนั้น สาวกของพระองค์ก็ติดตามพระองค์เข้าไปในเรือ24ดูเถิด มีพายุลูกใหญ่เกิดขึ้นกลางทะเล จนเรือถูกคลื่นซัดกระหน่ำ แต่พระเยซูทรงกำลังบรรทมอยู่25พวกสาวกมาหาพระองค์และปลุกให้พระองค์ตื่นและพูดว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดช่วยชีวิตพวกเราด้วยเถิด เพราะพวกเราใกล้จะตายแล้ว"26พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า "พวกท่านช่างมีความเชื่อน้อยเสียจริง พวกท่านกลัวกันทำไม?" จากนั้นพระองค์ทรงลุกขึ้นห้ามลมและทะเล แล้วทุกอย่างก็สงบนิ่ง27ชายเหล่านั้นต่างประหลาดใจและพูดว่า "ท่านผู้นี้เป็นใครกัน ที่แม้แต่ลมและทะเลก็ยังเชื่อฟังพระองค์?"28เมื่อพระเยซูเสด็จมาถึงอีกฟากหนึ่งและมาถึงประเทศกาดารา ชายสองคนที่ถูกผีสิงอยู่ก็มาพบกับพระองค์ พวกเขาออกมาจากอุโมงค์ฝังศพและดุร้ายนักจนไม่มีใครกล้าเดินผ่านเส้นทางนั้น29นี่แน่ะ พวกเขาร้องขึ้นเสียงดังว่า "พระบุตรของพระเจ้า เราเกี่ยวข้องอะไรกับท่านเล่า? ท่านมาที่นี่เพื่อที่จะทรมานเราก่อนที่จะถึงเวลากำหนดหรือ?"30ในขณะนั้นมีฝูงสุกรจำนวนหนึ่งกำลังกินอาหารอยู่ตรงบริเวณซึ่งไม่ห่างไปจากพวกเขา31พวกผีเหล่านั้นเฝ้าวิงวอนพระเยซู "หากท่านจะขับเราออก โปรดส่งเราไปที่ฝูงสุกรนั้นเถิด"32พระเยซูตรัสกับพวกมันว่า "ไป" วิญญาณร้ายเหล่านั้นก็ออกไปและไปสิงสุกรเหล่านั้น และดูเถิด ฝูงสุกรทั้งหมดก็กระโจนจากหน้าผาสูงชันลงไปในทะเล แล้วพวกมันก็ตายอยู่ในน้ำ33คนเหล่านั้นที่ดูแลสุกรก็หนีไป และเมื่อพวกเขาเข้าไปในเมือง พวกเขาก็รายงานถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะเรื่องที่เกิดขึ้นกับชายสองคนที่ถูกผีร้ายสิง34นี่แน่ะ ทุกคนในเมืองพากันออกมาพบพระเยซู เมื่อพวกเขาเห็นพระองค์แล้ว พวกเขาขอร้องให้พระองค์ออกไปจากเขตแดนของพวกเขาเสีย
1พระเยซูทรงเสด็จขึ้นเรือ แล้วทรงข้ามฟากทะเล และกลับมายังเมืองของพระองค์เอง2ดูเถิด พวกเขานำชายผู้หนึ่งที่เป็นอัมพาตนอนอยู่บนเสื่อมาหาพระองค์ ครั้นเห็นความเชื่อของพวกเขาแล้ว พระเยซูตรัสกับชายที่เป็นอัมพาตนั้นว่า "บุตรเอ๋ย จงทำใจดีๆ เถิด บาของท่านได้รับการอภัยแล้ว"3ดูเถิด พวกธรรมาจารย์บางคนก็พูดกันเองว่า "ชายผู้นี้กำลังหมิ่นประมาทพระเจ้า"4พระเยซูทรงทราบถึงความคิดของพวกเขา จึงตรัสว่า "ทำไมพวกท่านจึงคิดชั่วอยู่ในใจของพวกท่านเล่า?5สิ่งไหนจะพูดง่ายกว่ากัน 'ความบาปของท่านได้รับการอภัยแล้ว' หรือจะพูดว่า 'จงลุกขึ้นแล้วเดินเถิด'?6แต่เพื่อที่พวกท่านจะได้รู้ว่าบุตรมนุษย์มีอำนาจที่จะอภัยบาปในโลกนี้" พระองค์ตรัสกับชายคนที่เป็นอัมพาตว่า "จงลุกขึ้น เก็บเสื่อของท่าน และกลับไปที่บ้านของท่านเถิด"7แล้วชายผู้นั้นก็ลุกขึ้นและกลับไปยังบ้านของตน8เมื่อฝูงชนเห็นสิ่งนี้แล้ว พวกเขาก็ประหลาดใจและพากันสรรเสริญพระเจ้าผู้ซึ่งประทานสิทธิอำนาจเช่นนี้ให้แก่มนุษย์9ขณะที่พระเยซูได้ผ่านที่นั่น พระองค์ทรงเห็นชายผู้หนึ่งมีชื่อว่ามัทธิวซึ่งนั่งอยู่ในที่เก็บภาษี พระองค์ตรัสกับเขาว่า "ตามเรามาเถิด" เขาจึงลุกขึ้นและตามพระองค์10เมื่อพระเยซูทรงนั่งลงเพื่อรับประทานอาหารในบ้าน ดูเถิด มีคนเก็บภาษีมากมายและคนบาปทั้งหลายมาร่วมรับประทานมื้อเย็นกับพระเยซูและเหล่าสาวกของพระองค์11เมื่อพวกฟาริสีเห็นเช่นนี้ พวกเขาจึงพูดกับเหล่าสาวกว่า "ทำไมอาจารย์ของพวกท่านจึงรับประทานอาหารร่วมกับคนเก็บภาษีและคนบาปทั้งหลาย?"12ครั้นพระเยซูทรงได้ยินเช่นนั้น พระองค์ก็ตรัสว่า "คนที่ร่างกายแข็งแรงก็ไม่ต้องการหมอรักษา มีแต่เฉพาะคนที่ป่วยเท่านั้นที่ต้องการ13พวกท่านควรกลับไปเรียนความหมายของคำนี้ 'เราประสงค์ความเมตตา เราไม่ประสงค์เครื่องสัตวบูชา' เพราะเราไม่ได้มาเพื่อจะเรียกคนชอบธรรมแต่เรียกคนบาปให้กลับใจต่างหาก"14จากนั้นพวกสาวกของยอห์นผู้ใหับัพติศมาก็มาหาพระองค์และทูลว่า "ทำไมเราและพวกฟาริสีถืออดอาหารบ่อยๆ แต่พวกสาวกของท่านไม่ถือเลย?"15พระเยซูตรัสกับเขาว่า "ผู้ที่มาร่วมพิธีแต่งงานจะต้องโศกเศร้าในขณะที่เจ้าบ่าวยังอยู่กับพวกเขาหรือ? แต่จะถึงวันนั้นเมื่อเจ้าบ่าวถูกพาออกไปจากพวกเขา แล้วพวกเขาก็จะถืออดอาหาร16ไม่มีผู้ใดปะผ้าชิ้นใหม่ลงบนเสื้อคลุมตัวเก่า เพราะผ้าใหม่ที่ปะจะทำให้เป็นรอยขาดกว้างมากขึ้นไปอีก17หรือไม่มีผู้ใดที่เทเหล้าองุ่นใหม่ลงในถุงหนังเก่า ถ้าพวกเขาทำเช่นนั้น ถุงหนังก็จะขาด เหล้าองุ่นก็จะทะลักออกมา และถุงหนังก็จะเสียไป แต่เขาจะเทเหล้าองุ่นลงในถุงหนังอันใหม่ แล้วทั้งสองอย่างก็จะอยู่ด้วยกันได้ดี"18ขณะที่พระเยซูกำลังตรัสถึงสิ่งเหล่านี้กับพวกเขาอยู่นั้น นี่แน่ะ มีนายธรรมศาลาท่านหนึ่งมาคุกเข่าต่อพระองค์ เขาทูลว่า "ลูกสาวของข้าพเจ้าเพิ่งจะตายไป แต่ได้โปรดมาวางมือของพระองค์บนตัวเธอ แล้วเธอจะมีชีวิต"19แล้วพระเยซูจึงทรงลุกขึ้นและเสด็จตามเขาไปพร้อมกับเหล่าสาวกของพระองค์20ดูเถิด มีหญิงผู้หนึ่งที่เป็นโรคโลหิตตกมาสิบสองปีแล้ว เธอเข้ามาทางด้านหลังของพระเยซูและแตะต้องปลายฉลองของพระองค์21เพราะเธอคิดในใจว่า "ถ้าเพียงฉันได้จับฉลองของพระองค์ ฉันก็จะหายจากโรค"22แต่พระเยซูทรงหันมาเห็นเธอแล้วตรัสว่า "บุตรหญิงเอ๋ย มีใจกล้าเถิด ความเชื่อของเธอได้ทำให้เธอหายจากโรคแล้ว" และผู้หญิงคนนั้นก็หายเป็นปลิดทิ้งในทันที23เมื่อพระเยซูมาถึงบ้านของนายธรรมศาลา พระองค์ทรงเห็นคนเป่าขลุ่ยและฝูงชนส่งเสียงดังมากมาย24พระองค์จึงตรัสว่า "จงออกไปเสียเถิด เพราะเด็กผู้หญิงคนนี้ยังไม่ตาย เธอเพียงแต่หลับไปเท่านั้น" แต่พวกเขาหัวเราะเยาะพระองค์25เมื่อฝูงชนถูกพาออกไปข้างนอกแล้ว พระองค์เสด็จเข้าไปในห้อง และจับมือของเธอ แล้วเด็กผู้หญิงคนนี้ก็ลุกขึ้น26ข่าวเรื่องนี้แพร่กระจายไปทั่วทั้งในเขตแดนนั้น27ขณะที่พระเยซูผ่านที่นั่น ชายตาบอดสองคนได้ติดตามพระองค์ พวกเขาตะโกนร้องอยู่ตลอดทางว่า "ได้โปรดเมตตาต่อเราเถิด บุตรของดาวิด"28เมื่อพระเยซูเสด็จเข้าไปยังบ้านหลังหนึ่ง ชายตาบอดทั้งสองเข้ามาหาพระองค์ พระเยซูจึงตรัสกับพวกเขาว่า "ท่านเชื่อหรือว่าเราทำสิ่งนี้ได้?" พวกเขาตอบพระองค์ว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้า พวกเราเชื่อ"29จากนั้นพระเยซูทรงแตะที่ดวงตาของเขาทั้งสองแล้วตรัสว่า "จงเกิดขึ้นกับพวกท่านตามความเชื่อของพวกท่านเถิด"30แล้วดวงตาของพวกเขาทั้งสองคนก็เปิดออกมองเห็น แล้วพระเยซูทรงกำชับกับพวกเขาว่า "อย่าให้ผู้ใดรู้เรื่องนี้โดยเด็ดขาด"31แต่ชายทั้งสองออกไปแล้วแพร่ข่าวเรื่องนี้ออกไปทั่วทั้งในเขตแดนนั้น32ขณะที่ชายทั้งสองคนนั้นกำลังออกไป ดูเถิด มีคนนำชายใบ้ที่ถูกผีสิงมาหาพระเยซู33เมื่อผีนั้นถูกขับออกไปแล้ว ชายใบ้ก็พูดได้ ฝูงชนต่างประหลาดใจและพูดว่า "สิ่งนี้ไม่เคยเกิดขึ้นให้เห็นมาก่อนเลยในอิสราเอล"34แต่ฟาริสีกำลังพูดว่า "เขาขับผีออกโดยอำนาจของหัวหน้าผีร้าย"35พระเยซูเสด็จออกไปทั่วทุกเมืองและในทุกหมู่บ้าน พระองค์ทรงสอนในธรรมศาลาของพวกเขาอย่างต่อเนื่อง สั่งสอนเกี่ยวกับข่าวประเสริฐของราชอาณาจักร และรักษาคนให้หายจากโรคและความเจ็บป่วยในทุกประการ36เมื่อพระองค์ทรงเห็นฝูงชน พระองค์ทรงเกิดความสงสารพวกเขา เพราะพวกเขาถูกรังควานและขาดกำลังใจ พวกเขาเป็นเหมือนฝูงแกะที่ปราศจากผู้เลี้ยง37พระองค์ตรัสกับพวกสาวกของพระองค์ว่า "ข้าวที่ต้องเก็บเกี่ยวนั้นมีมาก แต่คนงานมีน้อยเหลือเกิน38ฉะนั้น จงอธิษฐานขอต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าสำหรับการเก็บเกี่ยวนี้อย่างเร่งด่วนเถิด เพื่อที่พระองค์จะส่งคนงานทั้งหลายให้มาเก็บเกี่ยวพืชผลของพระองค์"
1พระเยซูทรงเรียกสาวกทั้งสิบสองคนมาพร้อมกันและให้พวกเขามีสิทธิอำนาจเหนือพวกผีโสโครก เพื่อที่จะขับไล่พวกมันออกได้ และให้รักษาโรคทั้งหลายและความเจ็บป่วยทุกประการได้2บัดนี้ เหล่าสาวกทั้งสิบสองคนนั้นมีชื่อดังนี้ คนแรกคือ ซีโมน (ซึ่งพระองค์เรียกเขาว่าเปโตร) และอันดรูว์ผู้เป็นน้องชายของเขา ยากอบบุตรของเศเบดี และยอห์นผู้เป็นน้องชายของเขา3ฟิลิป และบารโธโลมิว โธมัสและมัทธิวคนเก็บภาษี ยากอบบุตรอัลเฟลอัสและเลบเบอัส ผู้ที่มีชื่ออีกว่า ธัดเดอัส4ซีโมนพรรคชาตินิยม และยูดาส อิสคาริโอท ผู้ที่ทรยศพระองค์5พระเยซูทรงส่งเหล่าสาวกทั้งสิบสองคนนี้ออกไป พระองค์ตรัสสั่งพวกเขาว่า "อย่าเข้าไปในเมืองที่มีคนต่างชาติอาศัยอยู่ และอย่าเข้าไปในเมืองของชาวสะมาเรีย6แต่จงไปยังบ้านของแกะผู้หลงหายของอิสราเอล7และเมื่อพวกท่านไป จงสั่งสอนว่า 'ราชอาณาจักรสวรรค์ได้มาใกล้แล้ว'8จงรักษาผู้ป่วย ปลุกคนตายให้ฟื้น ทำให้คนโรคเรื้อนหายเป็นปกติ และขับไล่ผีร้ายทั้งปวง เมื่อพวกท่านได้รับมาโดยเปล่าๆ ก็จงให้โดยเปล่าๆ9อย่านำเหรียญทอง เหรียญเงิน หรือเหรียญทองแดงในกระเป๋าของพวกท่าน10อย่านำกระเป๋าเดินทางไปกับพวกท่าน หรือเสื้อคลุมตัวที่สอง หรือรองเท้าอีกคู่ หรือไม้เท้า เพราะคนงานสมควรจะได้กินอาหารของตน11เมื่อพวกท่านเข้าไปในเมืองหรือหมู่บ้านไหนก็ตาม จงค้นหาผู้ที่เหมาะสมในที่นั่นและพักอาศัยกับเขาจนกว่าพวกท่านจะออกจากที่นั่นไป12ขณะที่พวกท่านเข้าไปในบ้าน จงให้พรแก่บ้านนั้น13ถ้าบ้านนั้นสมควรที่จะได้รับพร ก็ให้สันติสุขของพวกท่านอยู่เหนือที่นั่น แต่ถ้าบ้านนั้นไม่สมควร ก็ให้สันติสุขกลับคืนมาสู่พวกท่าน14ถ้ามีผู้ที่ไม่ต้อนรับพวกท่านหรือไม่ฟังคำของพวกท่าน เมื่อพวกท่านออกมาจากบ้านหรือเมืองนั้น จงสลัดฝุ่นออกจากเท้าของพวกท่าน15เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า ในวันแห่งการพิพากษา โทษของเมืองของโสโดมและโกโมราห์จะเบากว่าโทษของเมืองนั้น16ดูเถิด เราส่งพวกท่านไปเหมือนแกะเข้าไปในท่ามกลางพวกหมาป่า ดังนั้นจงฉลาดให้เหมือนงูและไม่มีภัยเหมือนนกพิราบ17จงระวังผู้คนให้ดี เพราะเขาจะนำท่านไปขึ้นศาล และเฆี่ยนตีท่านในธรรมศาลาของพวกเขา18และพวกท่านก็จะถูกนำตัวไปต่อหน้าผู้ปกครองและกษัตริย์เพราะชื่อของเรา เพื่อเป็นพยานต่อพวกเขาและต่อคนต่างชาติ19เมื่อพวกเขามอบตัวพวกท่านไว้แล้วนั้น จงอย่ากังวลว่าจะพูดอะไรหรืออย่างไร เพราะในเวลานั้นเองพระเจ้าจะประทานคำพูดให้20เพราะไม่ใช่ตัวของพวกท่านเองที่จะพูด แต่เป็นพระวิญญาณของพระบิดาของพวกท่านที่จะเป็นผู้ที่ตรัสผ่านพวกท่าน21พี่น้องจะมอบซึ่งกันและกันให้ถึงแก่ความตาย และบิดาจะกระทำต่อบุตร บรรดาบุตรจะลุกขึ้นต่อต้านบิดามารดาของตนและเป็นเหตุให้พวกเขาต้องถูกฆ่าตาย22ทุกคนจะเกลียดชังพวกท่านเพราะะนามของเรา แต่ผู้ใดก็ตามที่อดทนได้จนถึงที่สุด ผู้นั้นก็จะรอด23เมื่อพวกเขากดขี่ข่มเหงท่านในเมืองนี้ จงหนีไปยังเมืองถัดไป เพราะเราบอกความจริงกับพวกท่าน พวกท่านจะไปไม่ได้ครบทุกเมืองในอิสราเอลก่อนที่บุตรมนุษย์จะมา24สาวกก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่ไปกว่าอาจารย์ของตน หรือทาสก็ไม่อยู่เหนือเจ้านายของตน25สาวกจะเป็นเหมือนอย่างอาจารย์ของตน และทาสจะเป็นเหมือนอย่างนายของตน นั่นก็พออยู่แล้ว ถ้าหากพวกเขาเรียกเจ้าบ้านว่าเบเอลเซบูล แล้วเขาจะเหยียดหยามลูกบ้านของพวกท่านยิ่งกว่านั้นเพียงใด26ฉะนั้น จงอย่ากลัวพวกเขา เพราะไม่มีสิ่งใดที่ถูกปิดไว้แล้วจะไม่เป็นที่เปิดเผย และไม่มีสิ่งใดที่ซ่อนไว้แล้วจะไม่เป็นที่รู้กัน27สิ่งที่เราบอกพวกท่านในที่มืด จงพูดในเวลากลางวัน และสิ่งไหนที่พวกท่านได้ยินกระซิบที่หูของพวกท่าน จงประกาศบนหลังคาบ้าน28อย่ากลัวผู้ที่ฆ่าได้เฉพาะร่างกายแต่ไม่สามารถฆ่าจิตใจของพวกท่านได้ แต่จงยำเกรงพระองค์ผู้ที่สามารถทำลายได้ทั้งจิตใจและร่างกายในนรก29นกกระจาบสองตัวถูกขายเพียงเหรียญเล็กๆ เหรียญเดียวมิใช่หรือ? ถึงกระนั้น ก็ไม่มีสักตัวหนึ่งที่จะร่วงลงที่พื้นโดยที่พระบิดาไม่ทรงทราบ30แม้แต่เส้นผมบนศีรษะของพวกท่านก็ถูกนับไว้แล้ว31อย่ากลัวเลย พวกท่านมีค่ายิ่งกว่านกกระจาบมากมาย32เหตุฉะนั้น ทุกคนที่รับเราต่อหน้ามนุษย์ เราก็จะรับเขาต่อหน้าพระบิดาของเราผู้ประทับอยู่ในสวรรค์33แต่ผู้ใดก็ตามที่ปฏิเสธเราต่อหน้ามนุษย์ เราก็จะปฏิเสธผู้นั้นต่อหน้าพระบิดาของเราผู้ประทับอยู่ในสวรรค์ด้วย34จงอย่าคิดว่าเรามาเพื่อนำสันติสุขมาบนโลกนี้ เราไม่ได้มาเพื่อนำสันติสุขมาให้ แต่เรานำดาบมา35เพราะข้าพเจ้ามาเพื่อทำให้บุตรต่อต้านบิดาของตน และบุตรหญิงต่อต้านมารดาของตน และบุตรสะใภ้ต่อต้านแม่ยายของตน36ผู้ที่อยู่บ้านเดียวกันจะเป็นศัตรูต่อกัน37ใครที่รักบิดามารดาของตนมากกว่ารักเรา ก็ไม่คู่ควรกับเรา และใครที่รักบุตรชายบุตรหญิงของตนมากยิ่งกว่าที่รักเราก็ไม่คู่ควรกับเรา38คนที่ไม่แบกกางเขนของตนและติดตามเรามาก็ไม่คู่ควรกับเรา39ผู้ที่รักชีวิตของตนก็จะสูญเสียชีวิตนั้น แต่ผู้ที่ยอมสูญเสียชีวิตของตนเพื่อนามของเราก็จะพบชีวิตนั้น40ผู้ใดที่ต้อนรับท่าน ก็เท่ากับต้อนรับเรา และผู้ใดที่ต้อนรับเราก็เท่ากับต้อนรับพระองค์ผู้ที่ส่งเรามา41ผู้ที่ต้อนรับผู้เผยพระวจนะเพราะเขาคือผู้เผยพระวจนะก็จะได้รับบำเหน็จของผู้เผยพระวจนะ และผู้ที่ต้อนรับชายผู้ชอบธรรมเพราะเขาเป็นผู้ที่ชอบธรรมก็จะได้รับบำเหน็จของผู้ชอบธรรม42ผู้ใดก็ตามที่ให้กับผู้ที่เล็กน้อยคนใดคนหนึ่งในนี้ แม้จะเป็นเพียงน้ำเย็นแก้วหนึ่งให้ดื่ม เพราะเขาคือสาวกนั้น เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า บำเหน็จของเขาก็จะไม่มีวันสูญหายเลย"
1อยู่มาวันหนึ่งเมื่อพระเยซูทรงสั่งสาวกทั้งสิบสองของพระองค์เสร็จแล้ว พระองค์ก็ออกจากที่นั่นเพื่อไปสอนและประกาศในเมืองของพวกเขา2ในขณะนั้น เมื่อยอห์นผู้ให้บัพติศมาได้ยินเรื่องการกระทำของพระคริสต์ขณะที่อยู่ในเรือนจำ ท่านก็ส่งสารผ่านทางสาวกของท่าน3และทูลต่อพระองค์ว่า "พระองค์คือผู้ที่จะมานั้น หรือยังมีอีกผู้หนึ่งที่พวกเราต้องรอ?"4พระเยซูตรัสตอบพวกเขาว่า "จงไปและรายงานต่อยอห์นในสิ่งที่พวกท่านได้เห็นและได้ยินเถิดว่า5คนตาบอดทั้งหลายมองเห็นได้ คนง่อยเดินได้ คนโรคเรื้อนกลับหายดี คนหูหนวกกลับได้ยินอีกครั้ง คนตายก็ถูกทำให้เป็นขึ้นจากความตาย และบรรดาผู้ที่ยากไร้ก็ได้ฟังข่าวประเสริฐ6และผู้ที่ไม่มีเหตุสะดุดในตัวเรานั้นย่อมเป็นสุข"7ขณะที่ชายเหล่านี้กำลังกลับออกไปตามทางของพวกเขานั้น พระเยซูเริ่มพูดกับฝูงชนเกี่ยวกับยอห์นผู้ให้บัพติศมาว่า "พวกท่านออกไปในถิ่นทุรกันดารเพื่อดูอะไร ไม้อ้อที่สั่นไหวเพราะลมหรือ?8แต่พวกท่านออกไปดูสิ่งใดกันเล่า ชายที่นุ่งห่มผ้านุ่มๆ เช่นนั้นหรือ? แท้จริงแล้ว ชายที่นุ่งผ้านุ่มๆ นั้นอาศัยอยู่ในราชวังของกษัตริย์ต่างหาก9แล้วพวกท่านออกไปเพื่อดูสิ่งใด ผู้เผยพระวจนะหรือ? ใช่แล้ว เราบอกกับพวกท่านว่า ท่านผู้นี้ยิ่งใหญ่กว่าผู้เผยพระวจนะ10มีคำเขียนถึงท่านไว้ว่า 'ดูสิ เรากำลังส่งผู้ส่งข่าวของเราไปก่อนหน้าท่าน ผู้ที่จะจัดเตรียมหนทางให้แก่ท่าน'11เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า ท่ามกลางบุตรที่เกิดจากหญิงนั้นไม่มีผู้ใดจะยิ่งใหญ่กว่ายอห์นผู้ให้บัพติศมา แต่กระนั้น ผู้ที่มีความสำคัญเพียงเล็กน้อยในราชอาณาจักรสวรรค์ก็ยังยิ่งใหญ่กว่ายอห์น12นับตั้งแต่วันของยอห์นผู้ให้บัพติศมาจนบัดนี้ ราชอาณาจักรสวรรค์ถูกโจมตีอย่างรุนแรง และพวกที่รุนแรงก็ใช้กำลังชิงไปได้13เพราะบรรดาผู้เผยพระวจนะและธรรมบัญญัติได้ถูกเผยไว้จนมาถึงยอห์น14และถ้าพวกท่านเต็มใจที่จะรับไว้นั้น ยอห์นผู้นี้คือเอลียาห์ผู้ที่จะมา15ใครที่มีหูเพื่อจะฟัง ก็จงฟังเถิด16เราควรเปรียบคนในยุคนี้กับอะไรดี? เป็นเหมือนเด็กที่เล่นกันในตลาด ซึ่งนั่งและเรียกกันและกัน17แล้วพูดว่า 'เราเป่าขลุ่ยให้เธอ แล้วเธอก็ไม่เต้น เราร้องคร่ำครวญให้เธอ แล้วเธอก็ไม่ร้องไห้'18เพราะว่ายอห์นมาไม่กินขนมปังหรือดื่มเหล้าองุ่น แล้วพวกเขาก็พูดว่า 'ชายคนนี้มีผีสิง'19บุตรมนุษย์มาทั้งกินและดื่ม แล้วพวกเขาก็พูดว่า 'ดูสิ เขาเป็นคนตะกละและขี้เมา เพื่อนของคนเก็บภาษีและคนบาป' แต่ปัญญาได้รับการพิสูจน์โดยการกระทำของเธอ"20จากนั้นพระเยซูทรงเริ่มว่ากล่าวเมืองต่างๆ ที่แม้พระองค์ทรงกระทำการอัศจรรย์หลายอย่างแต่พวกเขาไม่ยอมกลับใจ21"วิบัติแก่เจ้า เมืองโคราซิน วิบัติแก่เจ้าเมองเบธไซดา ถ้าหากการอัศจรรย์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในเมืองเจ้าได้เกิดขึ้นอย่างเดียวกันที่เมืองไทระและเมืองไซดอน พวกเขาก็คงจะกลับใจด้วยการสวมผ้ากระสอบและโรยขี้เถ้าใส่ศีรษะมานานแล้ว22แต่ในวันพิพากษานั้น โทษของเมืองไทระและเมืองไซดอนก็จะเบากว่าเมืองของเจ้า23เจ้าคือเมืองคาเปอรนาอุม เจ้าคิดว่าเจ้าจะถูกยกขึ้นสูงเทียมฟ้าเช่นนั้นหรือ? ไม่เลย เจ้าจะถูกนำลงไปสู่แดนมรณา เพราะถ้าเกิดการอัศจรรย์ต่างๆ ในเมืองโสโดมอย่างที่ได้เกิดขึ้นในเมืองของเจ้าแล้วนั้น เมืองโสโดมก็จะยังคงอยู่จนถึงทุกวันนี้24แต่เราบอกกับเจ้าว่า ในวันแห่งการพิพากษานั้นโทษของเมืองโสโดมก็จะเบายิ่งกว่าเมืองของเจ้า"25ในเวลานั้นพระเยซูตรัสว่า "ข้าพเจ้าขอสรรเสริญ พระบิดา ผู้เป็นเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก เพราะพระองค์ทรงซ่อนทุกสิ่งเหล่านี้ไว้จากผู้ที่มีปัญญาและผู้ที่จะเข้าใจ และทรงเปิดเผยสิ่งเหล่านี้ให้กับเด็กเล็กๆ ทั้งหลาย26ใช่แล้ว พระบิดาเจ้าข้า เพื่อเป็นที่โปรดปรานในสายพระเนตรของพระองค์27ทุกสิ่งที่ได้มอบไว้ให้แก่ข้าพระองค์ก็มาจากพระบิดา และไม่มีใครรู้จักพระบุตรนอกจากพระบิดา และไม่มีใครรู้จักพระบิดานอกจากพระบุตร และผู้ที่พระบุตรทรงเลือกที่จะเปิดเผยให้แก่เขา28จงมาหาเราเถิด พวกท่านทุกคนที่เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก แล้วเราจะให้พวกท่านได้พักสงบ29จงรับเอาแอกของเราและเรียนรู้จากเรา เพราะเราสุภาพและถ่อมใจ แล้วท่านจะได้พบที่พักสงบสำหรับจิตใจของท่าน30เพราะแอกของเราก็ง่ายและภาระของเราก็เบา"
1ในเวลานั้น พระเยซูได้เสด็จผ่านทุ่งนาในวันสะบาโต เหล่าสาวกของพระองค์หิวและเริ่มเด็ดรวงข้าวมาแกะกิน2แต่เมื่อพวกฟาริสีเห็นเข้า พวกเขาจึงพูดกับพระเยซูว่า "เห็นไหม เหล่าสาวกของท่านทำสิ่งที่ถือว่าผิดกฎวันสะบาโต"3แต่พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า "พวกท่านไม่เคยได้อ่านที่ดาวิดทำหรอกหรือ ตอนที่ท่านกับพวกผู้ชายที่อยู่กับท่านหิว?4ที่ท่านเข้าไปในพระนิเวศของพระเจ้าและรับประทานขนมปังเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้าซึ่งท่านได้ทำผิดธรรมบัญญัติในการรับประทานรวมทั้งพวกที่มากับท่านด้วย เพราะมีแต่พวกปุโรหิตเท่านั้นที่รับประทานแล้วนับว่าถูกต้องตามธรรมบัญญัติ5แล้วพวกท่านไม่เคยอ่านในธรรมบัญญัติหรือว่า ในวันสะบาโต หากพวกปุโรหิตอยู่ในพระวิหารก็ถือเป็นการดูหมิ่นวันสะบาโตแต่ไม่นับว่ามีความผิด?6แต่เราบอกพวกท่านว่าผู้ที่ยิ่งใหญ่กว่าพระวิหารก็อยู่นี่แล้ว7ถ้าพวกท่านเข้าใจว่า 'เราประสงค์ความเมตตา ไม่ใช่เครื่องสัตวบูชา' มีความหมายอย่างไร พวกท่านคงไม่กล่าวหาผู้ที่ไร้ความผิด8เพราะบุตรมนุษย์คือองค์พระผู้เป็นเจ้าของวันสะบาโต"9จากนั้นพระเยซูเสด็จออกไปจากที่นั่นและเข้าไปในธรรมศาลาของพวกเขา10นี่แน่ะ มีชายผู้หนึ่งที่แขนลีบข้างหนึ่งอยู่ที่นั่นด้วย พวกฟาริสีถามพระเยซูว่า "การรักษาคนในวันสะบาโตถือว่าถูกต้องตามธรรมบัญญัติหรือไม่?" เพื่อที่พวกเขาจะกล่าวโทษว่าพระองค์ทรงกระทำบาป11พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า "มีใครบ้างท่ามกลางพวกท่าน หากเขามีแกะเพียงแค่ตัวเดียว และถ้าแกะตัวนั้นตกลงไปในหลุมลึกในวันสะบาโต แล้วเขาจะไม่พยายามจับตัวแกะแล้วยกมันออกมาจากหลุมหรือ?12คนหนึ่งคนยิ่งมีค่ามากกว่าแกะไม่ใช่หรือ ดังนั้นแล้วการทำสิ่งดีในวันสะบาโตถือว่าถูกต้องตามธรรมบัญญัติ"13แล้วพระเยซูตรัสกับชายผู้นั้นว่า "ยื่นมือของท่านมาเถิด" เขาจึงยื่นมือออก และมือข้างนั้นก็กลับหายดี เป็นเหมือนอย่างมืออีกข้างหนึ่ง14แต่พวกฟาริสีพากันออกไปข้างนอกและครุ่นคิดแผนร้ายต่อพระองค์ พวกเขากำลังหาทางฆ่าพระองค์15เมื่อพระเยซูทราบเรื่องนี้ พระองค์ทรงปลีกตัวออกจากที่นั่น คนจำนวนมากติดตามพระองค์ และพระองค์ทรงรักษาพวกเขาทั้งหมดให้หาย16พระองค์ตรัสสั่งพวกเขาไม่ให้พูดเรื่องพระองค์ให้คนอื่นรู้17เพื่อให้เป็นจริงตามที่อิสยาห์ผู้เผยพระวจนะได้กล่าวไว้ว่า18"ดูเถิด ผู้รับใช้ของเราที่เราได้เลือกไว้ ผู้เป็นที่รักยิ่งของเรา ผู้ที่จิตใจของเราแสนยินดี เราจะใส่วิญญาณของเราเหนือท่าน และท่านจะประกาศความยุติธรรมแก่คนต่างชาติ19ท่านจะไม่ต่อสู้หรือร้องเสียงดัง หรือใครเลยจะได้ยินเสียงของท่านบนถนน20ท่านจะไม่หักต้นอ้อที่ช้ำ ท่านจะไม่ดับแสงเทียนที่ริบหรี่ จนกว่าท่านจะนำความยุติธรรมสู่ชัยชนะ21และที่คนต่างชาติจะมีความหวังที่แน่นอนในนามของท่าน"22จากนั้นมีคนพาตัวชายตาบอดและเป็นใบ้ ซึ่งถูกผีร้ายสิงมาให้พระเยซู พระองค์ทรงรักษาเขา และผลก็คือชายใบ้ผู้นั้นสามารถพูดและมองเห็นได้23ทุกคนต่างประหลาดใจและพูดว่า "ท่านผู้นี้เป็นเชื้อสายของดาวิดใช่ไหม?"24แต่พอพวกฟาริสีได้ยินเรื่องอัศจรรย์ในครั้งนี้ พวกเขาพูดว่า "ชายผู้นี้จะไม่สามารถขับผีออกได้เลยนอกจากใช้อำนาจของเบเอลเซบูล ผู้เป็นนายของผีร้ายทั้งหลาย"25แต่พระเยซูทรงทราบถึงความคิดของพวกเขา จึงพูดกับพวกเขาว่า "ทุกอาณาจักรที่มีการแบ่งแยกกันเองก็จะถูกทำให้ร้างว่างเปล่า และทุกเมืองหรือบ้านไหนที่แบ่งแยกต่อต้านกันเองก็จะไม่อาจตั้งอยู่ได้26ถ้าซาตานขับไล่ซาตานเอง มันก็จะต่อต้านตัวมันเอง แล้วอาณาจักรของมันจะตั้งอยู่ได้อย่างไร?27และถ้าเราขับไล่ผีร้ายโดยเบเอลเซบูล แล้วพวกผู้ติดตามของพวกท่านขับไล่ได้โดยใคร? เพราะเรื่องนี้เอง พวกเขาจะเป็นผู้ตัดสินพวกท่าน28แต่ถ้าเราขับไล่ผีร้ายโดยพระวิญญาณของพระเจ้า เช่นนี้แล้วราชอาณาจักรของพระเจ้าก็ได้มาอยู่เหนือพวกท่าน29และจะมีผู้ใดที่เข้าไปในบ้านของชายที่มีเข้มแข็งและขโมยข้าวทั้งสิ้นของเขามาได้โดยไม่ต้องจับชายที่เข้มแข็งนั้นมัดไว้เสียก่อน? แล้วเขาจึงจะสามารถขโมยข้าวของทั้งสิ้นจากบ้านของผู้นั้นได้30ผู้ที่ไม่ได้อยู่ฝ่ายเราก็ต่อต้านเรา และผู้ที่ไม่ได้ถูกรวมไว้กับเราก็จะกระจัดกระจายไป31ด้วยเหตุนี้ เราบอกพวกท่านว่า ความบาปทุกอย่างและคำหมิ่นประมาทของมนุษย์ทุกประการจะได้รับการยกโทษ แต่การหมิ่นประมาทพระวิญญาณจะไม่มีวันได้รับการยกโทษ32และผู้ใดก็ตามที่พูดคำใดที่ต่อต้านบุตรมนุษย์ ก็ยังได้รับการยกโทษให้แก่เขา แต่ผู้ใดก็ตามที่พูดต่อต้านพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็จะไม่มีการยกโทษให้กับผู้นั้นเลย แม้ในโลกนี้หรือในที่ซึ่งกำลังจะมาถึง33หากเป็นต้นไม้ดี ผลของมันก็จะดี หรือเป็นต้นไม้ที่ไม่ดี ผลของมันก็ไม่ดี เพราะจะรู้จักต้นไม้ได้ก็โดยผลของมัน34พวกเจ้าชาติงูร้าย เพราะพวกเจ้าชั่วร้ายจะพูดดีได้อย่างไร? เพราะปากย่อมพูดสิ่งที่เอ่อล้นออกมาจากใจ35คนดีย่อมพูดดีเพราะใจของเขาได้สั่งสมสิ่งดีไว้ และคนที่ชั่วร้ายที่สั่งสมความชั่วไว้ในใจก็พูดสิ่งที่ชั่วออกมา36และเราบอกพวกเจ้าว่าในวันแห่งการพิพากษา คนทั้งหลายจะต้องให้รายงานคำพูดอันไร้ผลที่พวกเขาพูดไป37พวกเจ้าจะถูกนับว่าชอบธรรม หรือพวกเจ้าจะถูกกล่าวโทษก็โดยคำพูดของพวกเจ้าเอง"38จากนั้นพวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสีบางส่วนตอบพระเยซูว่า "อาจารย์ เราหวังจะเห็นหมายสำคัญจากท่าน"39แต่พระเยซูตรัสตอบพวกเขาว่า "คนในยุคของความชั่วร้ายและล่วงประเวณีมักเสาะหาหมายสำคัญ แต่ไม่มีหมายสำคัญใดที่จะให้นอกจากหมายสำคัญของโยนาห์ผู้เผยพระวจนะ40เพราะโยนาห์อยู่ในท้องปลาใหญ่เป็นเวลาสามวันสามคืน ดังนั้น บุตรมนุษย์จะอยู่ในใจกลางของโลกสามวันสามคืนเช่นกัน41คนทั้งหลายจากเมืองนีนะเวห์จะลุกขึ้นในวันพิพากษาพร้อมกับคนทั้งหลายจากยุคนี้และจะกล่าวโทษ เพราะพวกเขากลับใจด้วยคำสั่งสอนของโยนาห์ และดูเถิด ผู้ที่ยิ่งใหญ่กว่าโยนาห์ก็อยู่นี่แล้ว42ราชินีแห่งทิศใต้จะลุกขึ้นในวันพิพากษาพร้อมกับคนทั้งหลายจากยุคนี้ และจะกล่าวโทษพวกไว้และจัดระเบียบอย่างดีสุดปลายแผ่นดินโลกเพื่อรับฟังสติปัญญาของซาโลมอน และดูเถิด ผู้ที่ใหญ่กว่าซาโลมอนก็อยู่นี่แล้ว43เมื่อผีโสโครกออกจากคนไปแล้ว มันก็ผ่านไปในที่กันดารน้ำและหาแหล่งที่พัก แต่ก็ไม่พบ44แล้วมันพูดว่า 'เราจะกลับไปที่บ้านที่เราจากมา' เมื่อกลับมา มันก็เห็นว่าบ้านปัดกวาดไว้และจัดระเบียบอย่างดี45แล้วมันก็ไปพาผีร้ายมาอีกเจ็ดตนที่ชั่วร้ายยิ่งกว่ามัน และพวกมันทั้งหมดก็มาอาศัยอยู่ที่นั่น แล้วสภาพของคนนั้นก็ยิ่งแย่กว่าตอนแรก คนในยุคที่ชั่วร้ายนี้ก็จะเป็นเช่นนี้แหละ"46เมื่อพระเยซูกำลังตรัสอยู่กับฝูงชนนั้น นี่แน่ะ มารดาของพระองค์ และพวกน้องชายของพระองค์พากันยืนอยู่ด้านนอก หาโอกาสที่จะคุยกับพระองค์47บางคนบอกกับพระองค์ว่า "ดูเถิด มารดาของท่านและพวกน้องชายของท่านยืนอยู่ด้านนอก หาทางจะคุยกับท่าน"48แต่พระเยซูตรัสตอบคนที่บอกพระองค์ว่า "ใครคือมารดาของเราหรือ? และใครกันที่เป็นพี่น้องของเรา?"49แล้วพระองค์ทรงยื่นพระหัตถ์ออกไปทางเหล่าสาวกของพระองค์และตรัสว่า "ดูนี่ คนเหล่านี้คือมารดาและพี่น้องของเรา50เพราะผู้ใดที่กระทำตามน้ำพระทัยของพระบิดาของเราผู้ที่ประทับในสวรรค์ ก็นับว่าผู้นั้นเป็นพี่น้องชายหญิงและมารดาของเรา"
1ในวันนั้นพระเยซูออกไปจากบ้านและนั่งอยู่ริมทะเล2ฝูงชนมากมายพากันมาห้อมล้อมรอบพระองค์ ดังนั้นพระองค์จึงเสด็จลงเรือและประทับในนั้น ฝูงชนทั้งหมดยืนกันบนหาดทราย3แล้วพระเยซูตรัสหลายๆ สิ่งกับพวกเขาเป็นคำอุปมา พระองค์ตรัสว่า "ดูเถิด มีชาวนาคนหนึ่งออกไปหว่านเมล็ด4ขณะที่เขาหว่านนั้น มีบางเมล็ดที่ตกข้างริมถนน และนกก็มาจิกกินเมล็ดเหล่านั้นเสีย5มีบางเมล็ดที่ตกบนดินกรวด ที่ไม่ค่อยจะมีดิน เมล็ดเหล่านั้นก็งอกขึ้นทันที เพราะดินไม่ลึกนัก6แต่เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น พวกมันก็ถูกแดดเผาเสียเพราะไม่มีราก และพวกมันก็ค่อยๆ เหี่ยวเฉาตายไป7เมล็ดอื่นๆ ตกลงในที่มีพืชไม้หนาม เมื่อพืชไม้หนามโตขึ้นก็คลุมเมล็ดเหล่านั้นเสีย8เมล็ดอื่นๆ ที่ตกบนดินดีก็ให้ผลที่เป็นร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง และสามสิบเท่าบ้าง9ผู้ใดมีหูจงฟังเถิด"10พวกสาวกเข้ามาทูลถามพระเยซูว่า "เหตุใดพระองค์จึงตรัสเป็นคำอุปมามากมายให้ฝูงชนฟัง?"11พระเยซูตรัสตอบเขาว่า "ท่านได้รับสิทธิพิเศษที่จะเข้าใจถึงความล้ำลึกของราชอาณาจักรสวรรค์ แต่สำหรับพวกเขาไม่ได้สิทธิพิเศษนี้12เพราะผู้ใดที่มีอยู่แล้ว ก็จะได้รับเพิ่มมากขึ้น และเขาจะมีเหลือเฟือ แต่ผู้ที่ไม่มีนั้น ถึงแม้สิ่งที่เขามีอยู่ก็จะถูกเอาไปเสีย13ดังนั้น เราจึงพูดกับพวกเขาเป็นคำอุปมา เพราะแม้ว่าพวกเขามอง พวกเขาก็ไม่ได้เห็น และแม้ว่าพวกเขาจะฟัง พวกเขาก็ไม่ได้ยิน หรือไม่เข้าใจได้เลย14จึงเป็นจริงกับพวกเขาตามที่อิสยาห์ผู้เผยพระวจนะได้กล่าวไว้ว่า 'ขณะที่ฟังท่านจะได้ยิน แต่ท่านจะไม่มีทางเข้าใจได้เลย ขณะที่กำลังมองท่านจะเห็น แต่ท่านก็จะไม่มีทางรู้ได้อย่างถ่องแท้15เพราะหัวใจของคนเหล่านี้ด้านชา และพวกเขาหูตึง และพวกเขาได้ปิดดวงตาของตน ดังนั้น เขาจะมองไม่เห็นด้วยตาตนเอง หรือได้ยินด้วยหูตนเอง หรือเข้าใจด้วยใจของพวกเขาเอง ไม่เช่นนั้นแล้วเขาคงจะหันกลับมาอีกครั้งและเราจะรักษาพวกเขาให้หาย'16แต่ดวงตาและหูของพวกท่านได้รับพระพร เพราะพวกท่านได้เห็น พวกท่านได้ยิน17เราบอกความจริงกับท่านว่าบรรดาผู้เผยพระวจนะและบรรดาผู้ชอบธรรมมากมายปรารถนาที่จะได้เห็นสิ่งที่ท่านเห็น แต่ก็ไม่ได้เห็น พวกเขาปรารถนาจะได้ฟังในสิ่งที่ท่านได้ยิน แต่ก็ไม่ได้ยิน18จงฟังคำอุปมาเรื่องชาวนาผู้หว่านเมล็ดของเขาเถิด19เมื่อผู้ใดก็ตามที่ได้ยินพระวจนะของราชอาณาจักรแต่ไม่เข้าใจในพระวจนะ มารร้ายจึงมาคว้าสิ่งที่ถูกหว่านไว้ในใจของเขาไปเสีย นี่คือเมล็ดที่ถูกหว่านริมถนน20เมล็ดที่ถูกหว่านไว้บนดินกรวดก็คือผู้ที่ได้ยินพระวจนะแล้วรับไว้ด้วยความยินดีโดยทันที21แต่เมื่อไม่มีรากภายในตนเอง ก็จะทนได้เพียงชั่วเวลาสั้นๆ ครั้นเกิดความยากลำบากหรือการข่มเหงขึ้นเพราะพระวจนะนั้น เขาก็จะสะดุดล้มลงโดยทันที22เมล็ดที่ถูกหว่านลงในที่มีไม้หนาม ก็คือผู้ที่ได้ยินพระวจนะแต่เพราะความกังวลของโลกนี้และความร่ำรวยอันหลอกลวงได้สะกัดกั้นพระวจนะ และเขาก็ไม่เกิดผล23เมล็ดที่ถูกหว่านลงบนดินดีคือผู้ที่ได้ยินพระวจนะแล้วเข้าใจในพระวจนะ จึงเป็นผู้ที่เกิดผลและพัฒนาขึ้น บางคนเกิดผลร้อยเท่าบ้าง บ้างก็เกิดผลหกสิบเท่า และบ้างก็เกิดผลสามสิบเท่า24พระเยซูทรงตรัสคำอุปมาอีกอย่างให้พวกเขาฟัง พระองค์ตรัสว่า "ราชอาณาจักรสวรรค์เป็นเหมือนชายคนหนึ่งที่หว่านเมล็ดดีไว้ในไร่ของตน25แต่ขณะที่คนกำลังหลับกันอยู่นั้นเอง ศัตรูของเขาก็เข้ามาและหว่านวัชพืชไว้กับข้าวสาลีแล้วจากไป26เมื่อต้นข้าวงอกและออกดอกออกผลแล้วนั้น พวกวัชพืชก็ปรากฏด้วยเช่นกัน27พวกคนรับใช้ของเจ้าของที่นาจึงมาบอกท่านว่า 'นายท่าน ท่านไม่ได้หว่านเมล็ดข้าวที่ดีไว้ในทุ่งนาของท่านหรือ? เพราะเหตุใดจึงมีวัชพืชเกิดขึ้น?'28เจ้าของนาจึงพูดกับพวกเขาว่า 'ศัตรูได้กระทำสิ่งนี้' คนรับใช้จึงถามท่านว่า 'ท่านอยากให้พวกเราไปถอนพวกมันออกเลยไหม?'29เจ้าของทุ่งนาตอบว่า 'ไม่ต้อง เพราะเมื่อท่านถอนวัชพืชออกก็จะถอนติดต้นข้าวมาด้วย30ปล่อยให้ทั้งสองอย่างโตจนกระทั่งถึงเวลาเกี่ยวเก็บ ในช่วงเก็บเกี่ยวเราจะบอกคนเก็บเกี่ยวว่า "จงถอนเอาวัชพืชแล้วมัดพวกมันเป็นฟ่อนๆ เพื่อเผาทิ้งเสีย แต่จงเก็บข้าวสาลีไว้ในยุ้งฉางของเรา"'"31จากนั้นพระเยซูตรัสคำอุปมาอีกอย่างให้พวกเขาฟัง พระองค์ตรัสว่า "ราชอาณาจักรสวรรค์เป็นเหมือนเมล็ดผักกาดที่คนนำไปหว่านไว้ในนาของตน32เมล็ดนี้เป็นเมล็ดที่เล็กที่สุดจากเมล็ดทั้งหมด แต่เมื่อได้โตขึ้น กลายเป็นต้นไม้ต้นใหญ่กว่าต้นอื่นๆ ในสวน คือต้นไม้ใหญ่ที่นกในท้องอากาศมาทำรังอยู่ตามกิ่งก้านมากมาย"33แล้วพระเยซูตรัสกับพวกเขาเป็นคำอุปมาอีกอย่างว่า "ราชอาณาจักรสวรรค์เป็นเหมือนเชื้อยีสต์ที่หญิงนางหนึ่งนำมาและผสมกับแป้งสามถ้วยตวงจนกระทั่งแป้งฟูขึ้น"34สิ่งเหล่านี้ทุกประการพระเยซูได้ตรัสกับฝูงชนเป็นเพียงคำอุปมา และหากไม่ใช่คำอุปมาแล้ว พระองค์ก็ไม่ตรัสอะไรกับพวกเขา35เพื่อที่จะเป็นไปตามที่ผู้เผยพระวจนะได้กล่าวไว้ว่า "เราจะเปิดปากของเราพูดเฉพาะคำอุปมา เราจะพูดถึงสิ่งที่ซ่อนไว้ตั้งแต่เริ่มสร้างโลก"36จากนั้นพระเยซูทรงละฝูงชนและเสด็จเข้าไปในบ้าน สาวกของพระองค์เข้ามาหาพระองค์และทูลว่า "ได้โปรดอธิบายคำอุปมาของวัชพืชในทุ่งนาให้เราฟังเถิด"37พระเยซูตรัสตอบเขาว่า "ชายผู้ที่หว่านเมล็ดที่ดีคือบุตรมนุษย์38ทุ่งนานั้นเปรียบเหมือนโลกนี้ และเมล็ดที่ดีก็คือบรรดาบุตรทั้งหลายของราชอาณาจักร วัชพืชก็คือบรรดาบุตรของมารร้าย39และศัตรูที่ได้หว่านพวกเขาก็คือวิญญาณชั่ว การเก็บเกี่ยวคือจุดจบของโลกและผู้เก็บเกี่ยวก็คือบรรดาทูตสวรรค์40เหตุฉะนั้น เมื่อได้รวบรวมเอาวัชพืชและเผาทิ้งด้วยไฟแล้ว ก็จะเป็นจุดจบของโลกนี้41บุตรมนุษย์จะส่งเหล่าทูตสวรรค์ของพระองค์ไป และพวกเขาแยกสิ่งเหล่านี้ออกจากราชอาณาจักรของพระองค์รวมทั้งทุกสิ่งที่ก่อให้เกิดบาปและผู้ที่ทำความผิดบาป42ซึ่งเหล่าทูตสวรรค์จะโยนทุกสิ่งนี้ลงไปในไฟที่ไม่มีวันดับ ที่ซึ่งมีการร่ำไห้และขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน43แล้วบรรดาผู้ที่ชอบธรรมจะส่องสว่างเฉกเช่นดวงอาทิตย์ในราชอาณาจักรของพระบิดาของพวกเขา ผู้ที่มีหูจงฟังเถิด44ราชอาณาจักรสวรรค์เป็นเหมือนขุมทรัพย์ที่ถูกซ่อนไว้ในทุ่งนา ชายผู้หนึ่งพบขุมทรัพย์นี้และซ่อนเอาไว้ เขาจึงไปขายทุกๆ สิ่งของตนด้วยความยินดีแล้วซื้อที่นาผืนนั้น45อีกครั้ง ราชอาณาจักรสวรรค์เป็นเหมือนชายผู้หนึ่งที่เป็นพ่อค้าตามหาไข่มุกที่ล้ำค่า46เมื่อเขาพบไข่มุกเม็ดหนึ่งที่มีค่ามาก เขาจึงไปขายทุกสิ่งที่ตนมีแล้วนำมาซื้อไข่มุกเม็ดนี้47อีกประการหนึ่ง ราชอาณาจักรสวรรค์เป็นเหมือนกับอวนที่ลากอยู่ในทะเล และที่ลากติดสัตว์ทะเลมาทุกชนิด48เมื่ออวนเต็มแล้ว ชาวประมงก็ลากอวนขึ้นไปบนหาดทราย แล้วเขาจะนั่งลงเพื่อคัดสิ่งที่ดีไว้ในถังบรรจุ ส่วนสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ก็จะถูกโยนทิ้งไปเสีย49จุดจบของโลกก็จะเป็นอย่างเดียวกัน เหล่าทูตสวรรค์จะมาและแยกคนที่ชั่วช้าออกจากผู้ที่ชอบธรรม50พวกเขาจะโยนคนที่ชั่วช้าลงไปในไฟที่ไม่มีวันดับ ที่ซึ่งมีการร่ำไห้และขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน51ท่านได้เข้าใจสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดหรือยัง?" เหล่าสาวกพูดกับพระองค์ว่า "เข้าใจแล้ว"52จากนั้นพระเยซูตรัสกับเขาว่า "ด้วยเหตุนี้ ธรรมาจารย์ทุกคนที่ได้มาเป็นสาวกของราชอาณาจักรสวรรค์ก็เป็นเช่นชายที่เป็นเจ้าของบ้าน ผู้ซึ่งนำสิ่งของทั้งเก่าและใหม่ออกมาจากคลังของตน"53แล้วเมื่อพระเยซูตรัสคำอุปมาเหล่านี้จบแล้ว พระองค์เสด็จออกไปจากที่นั่น54จากนั้นพระเยซูเสด็จเข้าไปในบริเวณบ้านเกิดของพระองค์ และสอนผู้คนในธรรมศาลาของพวกเขา ผลก็คือว่าผู้คนพากันตะลึงและพูดว่า "ชายผู้นี้ได้รับสติปัญญาและการอัศจรรย์เหล่านี้จากไหนกัน?55เขาไม่ใช่ลูกช่างไม้หรอกหรือ? แม่เขาคือนางมารีย์ไม่ใช่หรือ? และพี่ชายของเขา คือยากอบ โยเซฟ ซีโมน และยูดาส ไม่ใช่หรือ?56แล้วน้องสาวของเขาก็อยู่ท่ามกลางเรานี่เองไม่ใช่หรือ? แล้วชายคนนี้ไปเอาสิ่งเหล่านี้มาจากไหนกัน?"57พวกเขาไม่พอใจพระเยซู แต่พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า "ผู้เผยพระวจนะไม่ได้รับเกียรติจากประเทศของตนและครอบครัวของตน"58แล้วพระองค์ก็ไม่กระทำการอัศจรรย์ใดๆ เลยสืบเนื่องจากความไม่เชื่อของพวกเขา
1ในเวลานั้นเอง เฮโรดผู้ปกครองเมืองได้ยินข่าวเกี่ยวกับพระเยซู2ท่านพูดกับผู้รับใช้ของท่านว่า "นี่คือยอห์นผู้ให้บัพติศมาเช่นนั้นหรือ ท่านได้เป็นขึ้นจากความตาย เพราะเช่นนี้เอง ฤทธานุภาพทั้งหลายจึงทำงานอยู่ภายในตัวเขา"3เพราะเฮโรดได้จับตัวยอห์น มัดท่านไว้ และขังท่านไว้ในเรือนจำด้วยเหตุจากเฮโรเดียส ซึ่งเป็นภรรยาของฟิลิปน้องชายของตน4เพราะยอห์นพูดกับท่านว่า "เป็นการไม่ถูกต้องที่ท่านจะเอาเธอมาเป็นภรรยาของท่าน"5เฮโรดใคร่จะฆ่าท่านเสีย แต่ด้วยความที่เขาเกรงกลัวผู้คน เพราะว่าคนทั้งหลายเห็นว่ายอห์นคือผู้เผยพระวจนะ6แต่เมื่อถึงวันเกิดของเฮโรด ลูกสาวของเฮโรเดียสได้ร่ายรำท่ามกลางงานและทำให้เฮโรดพอใจมาก7เฮโรดจึงให้สัญญาเป็นคำสาบานไว้ที่จะประทานสิ่งที่เธอปรารถนาไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดก็ตามเพื่อเป็นการตอบแทน8หลังจากที่ได้รับคำแนะนำจากมารดาของเธอแล้ว เธอจึงพูดว่า "โปรดประทาน ศีรษะของยอห์นผู้ให้บัพติศมาใส่มาบนถาดเดี๋ยวนี้เถิด"9กษัตริย์ทรงกลัดกลุ้มกับคำขอของเธอมาก แต่เพราะคำสาบานนั้นและเพราะบรรดาคนที่มาร่วมรับประทานอาหารเย็นกับพระองค์ พระองค์จึงจำเป็นต้องสั่งให้เป็นไปตามนั้น10พระองค์จึงส่งคนไปตัดศีรษะของยอห์นในคุก11แล้วศีรษะของยอห์นจึงถูกนำใส่ถาดมาให้กับเธอ แล้วเธอก็นำไปให้กับมารดาของตน12แล้วพวกสาวกของยอห์นได้มานำศพไปฝังไว้ หลังจากนี้แล้ว พวกเขาก็ไปบอกกับพระเยซู13บัดนี้ เมื่อพระเยซูทรงรับฟังเรื่องนี้แล้ว พระองค์ทรงแยกตัวออกไปจากที่นั่นโดยประทับเรือไปยังที่เปลี่ยวแต่เพียงลำพัง เมื่อฝูงชนรู้เข้า พวกเขาออกติดตามพระองค์ไปโดยเดินออกจากเมืองไป14แล้วพระเยซูจึงเสด็จมาอยู่ต่อหน้าพวกเขา และทอดพระเนตรเห็นฝูงชนมากมาย พระองค์ทรงมีความกรุณาสงสารพวกเขา และทรงรักษาความเจ็บป่วยของพวกเขา15ครั้นถึงเวลาเย็น เหล่าสาวกมาหาพระเยซูและทูลว่า "ที่แห่งนี้กันดารเหลือเกิน และนี่ก็เย็นมากแล้ว ปล่อยให้ฝูงชนกลับไปเพื่อเขาจะได้เข้าไปในหมู่บ้านและหาอาหารให้ตัวเองเถิด"16แต่พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า "พวกเขาไม่จำเป็นต้องไปไหน ท่านหาอาหารให้พวกเขารับประทานกันเถิด"17พวกเขาทูลกับพระองค์ว่า "เรามีขนมปังเพียงห้าก้อนและปลาสองตัวเท่านั้น"18พระเยซูบอกว่า "นำอาหารเหล่านั้นมาให้เรา"19จากนั้นพระเยซูทรงรับสั่งให้ฝูงชนนั่งลงบนพื้นหญ้า พระองค์ทรงรับขนมปังห้าก้อนและปลาสองตัว ทรงแหงนพระพักตร์ขึ้นต่อสวรรค์ พระองค์ทรงอวยพรแล้วหักขนมปังและให้กับเหล่าสาวก พวกสาวกก็ส่งอาหารให้กับฝูงชน20พวกเขาได้รับประทานกันจนอิ่มแล้ว พวกสาวกก็เก็บอาหารที่เป็นเศษได้จนเต็มสิบสองตระกร้า21คนทั้งหลายที่รับประทานอาหารนั้น มีผู้ชายจำนวนห้าพันคน นอกจากนั้นก็เป็นผู้หญิงและเด็กๆ22ทันใดนั้นเองพระองค์ให้สาวกขึ้นเรือและให้ข้ามฟากล่วงหน้าไปก่อนพระองค์ ขณะที่พระองค์ประทับส่งฝูงชนทั้งหลายให้กลับบ้านไปเพียงลำพัง23หลังจากที่พระองค์ทรงอำลาฝูงชนแล้วนั้น พระองค์เสด็จขึ้นไปบนภูเขาแต่เพียงลำพังเพื่ออธิษฐาน เมื่อถึงเวลาค่ำ พระองค์ประทับที่นั่นแต่เพียงลำพัง24แต่เรือของเหล่าสาวกกำลังอยู่กลางทะเล และเกือบจะควบคุมเรือไม่ได้ และถูกคลื่นซัดเพราะกำลังทวนลมอยู่25ในเวลาใกล้รุ่ง พระเยซูเข้ามาใกล้พวกเขา ขณะกำลังเสด็จอยู่บนน้ำ26เมื่อสาวกเห็นพระองค์กำลังเสด็จมาบนน้ำ พวกเขาตกใจกลัวและพูดว่า "นั่นคือผี" แล้วพวกเขาก็ร้องเสียงหลงด้วยความกลัว27แต่พระเยซูตรัสกับพวกเขาโดยทันทีว่า "จงกล้าหาญเถิด นี่เราเอง อย่ากลัวเลย"28เปโตรทูลตอบพระองค์ว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้า ถ้าหากใช่พระองค์จริงๆ โปรดรับสั่งให้ข้าพระองค์ไปหาพระองค์บนน้ำด้วยเถิด"29พระเยซูตรัสว่า "มาเถิด" ดังนั้นเปโตรจึงออกจากเรือและเดินบนน้ำเพื่อไปหาพระเยซู30แต่เมื่อเปโตรเห็นว่ามีลม เขาก็กลัว ขณะที่เขากำลังจะจมลง เขาร้องเสียงดังว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดช่วยข้าพระองค์ด้วย"31พระเยซูทรงยื่นพระหัตถ์มาจับเปโตรไว้โดยทันที และตรัสกับเขาว่า "เจ้าช่างมีความเชื่อน้อยเสียจริง เจ้าสงสัยทำไม?"32จากนั้นเมื่อพระเยซูและเปโตรขึ้นเรือแล้ว ลมก็สงบลงทันที33แล้วพวกสาวกในเรือก็นมัสการพระเยซูและพูดว่า "พระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าแน่แท้"34เมื่อพวกเขาข้ามฟากแล้ว พวกเขาได้มาถึงดินแดนเยนเนเซเรท35เมื่อคนในที่นั่นจำพระเยซูได้ พวกเขาก็ส่งข่าวไปยังทุกที่ในบริเวณอันใกล้ และพวกเขาก็นำคนป่วยทุกคนมาหาพระองค์36พวกเขาอ้อนวอนกับพระเยซูขอจับตรงชายฉลองของพระองค์ แล้วคนมากมายที่ได้จับตรงชายฉลองก็หายจากความเจ็บป่วย
1จากนั้น พวกฟาริสีและพวกธรรมาจารย์บางคนจากกรุงเยรูซาเล็มมาหาพระเยซู พวกเขาพูดว่า2"ทำไมพวกสาวกของท่านฝ่าฝืนประเพณีธรรมเนียมของบรรพบุรษ? เพราะพวกเขาไม่ล้างมือเวลารับประทานอาหาร"3พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า "แล้วพวกเจ้าเล่า ทำไมพวกเจ้าถึงได้ฝ่าฝืนพระบัญญัติของพระเจ้าเพื่อรักษากฎธรรมเนียมประเพณีของพวกเจ้าเอง?4เพราะพระเจ้าตรัสว่า 'จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของเจ้า' และ 'ผู้ที่พูดไม่ดีถึงบิดาหรือมารดาของตน สมควรตาย'5แต่พวกเจ้ากลับพูดว่า 'ผู้ใดก็ตามที่พูดกับบิดาหรือมารดาของตนว่า "สิ่งใดก็ตามที่พวกท่านจะได้รับจากเรานั้น เวลานี้ถือเป็นของถวายสำหรับพระเจ้าแล้ว"'6คนผู้นั้นไม่จำเป็นต้องให้เกียรติกับบิดาของตน ด้วยวิธีนี้เองที่เจ้าได้ทำให้พระวจนะของพระเจ้าเป็นโมฆะเพื่อธรรมเนียมปฏิบัติของพวกเจ้า7พวกเจ้า คนหน้าซื่อใจคด อิสยาห์ผู้เผยพระวจนะได้พูดถึงพวกเจ้าไว้อย่างถูกต้องเมื่อท่านกล่าวว่า8'คนเหล่านี้ให้เกียรติแค่ลมปาก แต่หัวใจของพวกเขาช่างห่างไกลจากเราเหลือเกิน9พวกเขานมัสการเราโดยเปล่าประโยชน์เมื่อคำสั่งสอนของพวกเขาเป็นคำสั่งอันเกิดจากมนุษย์'"10จากนั้นพระองค์ทรงเรียกให้ฝูงชนเข้ามาหาพระองค์และตรัสกับพวกเขาว่า "จงฟังและเข้าใจเถิด11ไม่มีสิ่งใดที่เข้าทางปากแล้วจะทำให้ผู้นั้นเป็นมลทิน แต่สิ่งที่ออกมาจากปากต่างหาก ที่จะทำให้ผู้นั้นมีมลทิน"12จากนั้นเหล่าสาวกมาหาพระเยซูและทูลว่า "พระองค์ทราบหรือไม่ว่าพวกฟาริสีไม่พอใจเมื่อได้ฟังพระองค์ตรัสเช่นนี้?"13พระเยซูตรัสตอบพวกเขาว่า "ต้นไม้ทุกต้นที่พระบิดาแห่งฟ้าสวรรค์ของเราไม่ได้ปลูกไว้ก็จะถูกถอนรากออกไป14ปล่อยพวกเขาไปเถิด เพราะพวกเขาเป็นคนนำทางที่ตาบอด ถ้าคนตาบอดนำทางคนตาบอดอีกคน ทั้งสองคนก็จะตกลงไปในหลุม"15เปโตรตอบสนองต่อพระเยซูโดยทูลว่า "ได้โปรดอธิบายคำอุปมานี้ให้พวกเราฟังเถิด"16พระเยซูตรัสว่า "พวกท่านยังไม่เข้าใจอีกหรือ?17พวกท่านไม่เห็นหรือว่าสิ่งใดก็ตามที่เข้าไปทางปาก ก็จะลงไปถึงท้องแล้วก็จะถูกถ่ายออกลงส้วมไป?18แต่สิ่งที่ออกมาจากปาก ก็ออกมาจากใจด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้แหละที่ทำให้คนเป็นมลทิน19เพราะจากในหัวใจเกิดเป็นความคิดที่ชั่วร้าย การฆ่าคน การผิดประเวณี การผิดศีลธรรม การขโมย การเป็นพยานเท็จ และการใส่ร้าย20สิ่งเหล่านี้ต่างหากเป็นสิ่งที่ทำให้คนเป็นมลทิน แต่การกินโดยที่ไม่ได้ล้างมือนั้น ไม่ได้เป็นเหตุทำให้คนเป็นมลทิน21จากนั้นพระเยซูเสด็จออกไปจากที่นั่นและเข้าไปในบริเวณเขตแดนของเมืองไทระและไซดอน22และดูเถิด หญิงชาวคานาอันมาจากบริเวณในแถบนั้น นางตะโกนเสียงดังว่า "โปรดมีเมตตาต่อข้าพระองค์เถิด องค์พระผู้เป็นเจ้า บุตรของดาวิด ลูกสาวของข้าพระองค์ทรมานมากเหลือเกินเพราะผีร้าย"23แต่พระองค์ไม่ตรัสตอบนางเลยแม้แต่คำเดียว เหล่าสาวกของพระองค์มาและอ้อนวอนพระองค์ว่า "โปรดให้นางไปเสียเถิด เพราะนางกำลังตะโกนตามหลังพวกเรา"24แต่พระเยซูตรัสตอบว่า "เราไม่ได้ถูกส่งมาให้แก่ผู้อื่นนอกจากบรรดาแกะที่หลงหายของอิสราเอลเท่านั้น"25แต่นางเข้ามาและก้มลงกราบต่อหน้าพระองค์ พูดว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดช่วยข้าพระองค์ด้วยเถิด"26พระองค์ตรัสตอบว่า "ไม่ควรที่เราจะเอาขนมปังของบุตรของเราแล้วโยนให้กับสุนัขตัวเล็กๆ ทั้งหลาย"27นางตอบว่า "ใช่แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่แม้แต่สุนัขตัวเล็กก็กินเศษอาหารที่หล่นจากโต๊ะของเจ้านายของพวกมัน"28จากนั้นพระเยซูตรัสตอบนางว่า "หญิงเอ๋ย ความเชื่อของเจ้าช่างยิ่งใหญ่นัก จงเป็นไปตามที่เจ้าหวังไว้เถิด" แล้วลูกสาวของนางก็หายดีในเวลานั้น29พระเยซูเสด็จออกจากที่นั่นและไปใกล้ๆ กับทะเลกาลิลี จากนั้นพระองค์ขึ้นไปบนภูเขาและประทับที่นั่น30ฝูงชนจำนวนมากมาหาพระองค์ พวกเขานำทั้งคนพิการ คนตาบอด คนใบ้ คนง่อยและคนอื่นๆ ที่เจ็บป่วยมาหาพระองค์ พวกเขาพาคนมายังพระบาทของพระเยซู และพระองค์ทรงรักษาเขาให้หาย31ดังนั้นฝูงชนจึงอัศจรรย์ใจที่ได้เห็นคนใบ้พูดได้ คนง่อยได้หายดี คนพิการเดินปกติ และคนตาบอดสามารถมองเห็นได้ พวกเขาสรรเสริญพระเจ้าของอิสราเอล32พระเยซูทรงเรียกเหล่าสาวกมาหาพระองค์และพูดว่า "เราเห็นอกเห็นใจฝูงชนเหลือเกิน เพราะพวกเขาได้อยู่กับเรามาสามวันแล้ว และไม่มีอะไรให้รับประทาน เราไม่อยากให้พวกเขากลับไปทั้งที่ยังไม่รับประทานอะไร เพื่อที่พวกเขาจะไม่เป็นลมในระหว่างทาง"33เหล่าสาวกพูดกับพระองค์ว่า "แล้วเราจะหาขนมปังมากพอสำหรับฝูงชนจำนวนมากเช่นนี้ได้จากที่กันดารอาหารเช่นนี้ได้อย่างไรกัน?"34พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า "ท่านมีขนมปังกี่ก้อน?" พวกเขาตอบ "เจ็ดก้อน และมีปลาตัวเล็กๆ สองสามตัว"35จากนั้นพระเยซูทรงสั่งให้ฝูงชนนั่งลงบนพื้น36พระองค์รับเอาขนมปังเจ็ดก้อนและปลา ภายหลังจากที่ได้โมทนาขอบพระคุณแล้ว พระองค์ทรงหักขนมปังและประทานให้กับเหล่าสาวก พวกสาวกก็ส่งให้กับฝูงชน37คนทั้งปวงได้รับประทานกันจนอิ่ม และพวกเขาเก็บรวบรวมอาหารที่เหลืออยู่จากที่หักเป็นเศษก็ได้เจ็ดตระกร้าเต็ม คนทั้งหลายที่ได้รับประทานอาหาร38มีผู้ชายจำนวนสี่พันคน นอกจากนั้นก็เป็นผู้หญิงและเด็ก39จากนั้นพระเยซูทรงให้ฝูงชนกลับไป แล้วทรงขึ้นเรือและไปยังเขตแดนเมืองมากาดาน
1พวกฟาริสีและพวกสะดูสีมาหาและทดสอบพระองค์ โดยขอให้พระองค์สำแดงหมายสำคัญจากท้องฟ้า2แต่พระองค์ตรัสตอบพวกเขาว่า "เมื่อถึงเวลาเย็น พวกเจ้าจะพูดว่า 'อากาศดี เพราะท้องฟ้าเป็นสีแดง'3และในตอนเช้าพวกเจ้าจะพูดว่า 'วันนี้อากาศไม่แจ่มใส เพราะท้องฟ้าสีแดงและมืดครึ้ม' พวกเจ้ารู้ว่าควรจะแปลความหมายของลักษณะท้องฟ้าอย่างไร แต่พวกเจ้าไม่สามารถแปลความหมายของหมายสำคัญของเวลาทั้งหลายได้4คนในยุคที่ชั่วร้ายและผิดประเวณีได้แสวงหาแต่หมายสำคัญ แต่จะไม่มีหมายสำคัญใดเกิดขึ้นนอกจากหมายสำคัญของโยนาห์" จากนั้นพระองค์เสด็จจากพวกเขาไปยังที่อื่น5เหล่าสาวกได้ข้ามมายังอีกฟากหนึ่งแล้ว แต่พวกเขาลืมนำขนมปังมา6พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า "จงเอาใจใส่และระวังเชื้อยีสต์จากพวกฟาริสีและพวกสะดูสีเถิด"7พวกสาวกจึงหาเหตุผลท่ามกลางตนเองว่า "เพราะพวกเราไม่ได้นำขนมปังมา"8พระเยซูทรงทราบถึงเรื่องนี้และตรัสว่า "พวกท่านผู้มีความเชื่อน้อย ทำไมจึงคิดกันเองและพูดว่าเป็นเพราะพวกท่านไม่ได้นำขนมปังมากันเล่า?9พวกท่านยังไม่เข้าใจหรือจำได้อีกหรือว่า ขนมปังห้าก้อนสำหรับคนห้าพันคน และพวกท่านเก็บรวบรวมกันได้กี่ตระกร้า?10หรือขนมปังเจ็ดก้อนสำหรับคนสี่พันคน และพวกท่านได้เก็บรวบรวมที่เหลือได้กี่ตระกร้า?11แล้วพวกท่านจะยังไม่เข้าใจกันอีกหรือ ว่าเราไม่ได้พูดถึงขนมปังกับพวกท่าน? จงเอาใจใส่และระวังเชื้อยีสต์จากพวกฟาริสีและสะดูสีเถิด"12จากนั้นพวกเขาจึงเข้าใจว่าพระองค์ไม่ได้บอกพวกเขาให้ระวังเชื้อยีสต์ในขนมปังแต่ให้ระวังถึงคำสอนจากพวกฟาริสีและพวกสะดูสี13บัดนี้ เมื่อพระเยซูเสด็จมาถึงพื้นที่ของเมืองซีซารียาฟิลิปปี พระองค์ตรัสถามสาวกว่า "คนพูดกันว่าบุตรมนุษย์คือผู้ใด?"14พวกเขาตอบว่า "บ้างก็บอกว่าเป็นยอห์นผู้ให้บัพติศมา บ้างก็ว่าคืออิสยาห์ และคนอื่นๆ ก็ว่าเป็นเยเรมีย์ หรือเป็นผู้เผยพระวจนะท่านใดท่านหนึ่ง"15พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า "แต่พวกท่านว่าเราเป็นใคร?"16เปโตรทูลตอบว่า "พระองค์คือพระคริสต์ พระบุตรแห่งพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่"17พระเยซูตรัสตอบเขาว่า "ท่านได้รับพระพร ซีโมน บุตรโยนาห์ เพราะด้วยเนื้อหนังและเลือดก็ไม่ได้เปิดเผยเรื่องนี้แก่ท่านได้ แต่เป็นพระบิดาของเราผู้ประทับอยู่ในฟ้าสวรรค์18เราบอกกับท่านด้วยว่า ท่านคือเปโตร และบนศิลานี้เอง เราจะสร้างคริสตจักรของเราขึ้น ประตูแห่งความตายไม่อาจมีอำนาจเหนือกว่าได้เลย19เราจะให้กุญแจต่างๆ สำหรับราชอาณาจักรสวรรค์กับท่าน สิ่งใดก็ตามที่ท่านจะผูกมัดบนโลกก็จะถูกผูกมัดในสวรรค์ด้วย และสิ่งใดก็ตามที่ท่านอนุญาตบนโลกนี้ก็จะอนุญาตในสวรรค์ด้วย"20จากนั้นพระเยซูสั่งห้ามไม่ให้พวกสาวกบอกใครเลยว่าพระองค์คือพระคริสต์21นับจากเวลานั้น พระเยซูทรงเริ่มบอกพวกสาวกของพระองค์ว่าพระองค์จะต้องเสด็จไปที่เยรูซาเล็ม ทนทุกข์กับสิ่งต่างๆ ด้วยมือของผู้อาวุโส และพวกหัวหน้าปุโรหิต และพวกธรรมาจารย์ พระองค์จะทรงถูกฆ่าตาย และจะถูกทำให้เป็นขึ้นจากความตายในวันที่สาม22จากนั้นเปโตรพาพระองค์ไปคุยเป็นการส่วนตัวและตำหนิพระองค์ว่า "ขอให้สิ่งนี้ห่างไกลไปจากพระองค์ องค์พระผู้เป็นเจ้า อย่าให้สิ่งนี้เกิดขึ้นกับพระองค์เลย"23แต่พระเยซูทรงหันมาและตรัสกับเปโตรว่า "จงไปให้พ้น เจ้าซาตาน เจ้าเป็นสิ่งกีดขวางเรา เพราะเจ้าไม่ได้ใส่ใจต่อสิ่งที่เป็นของพระเจ้า แต่เฉพาะสิ่งที่เป็นของมนุษย์"24จากนั้นพระเยซูตรัสกับสาวกของพระองค์ว่า "ถ้าผู้ใดปรารถนาจะตามเรามา เขาจะต้องปฏิเสธตนเอง แบกเอากางเขนของตนและติดตามเรามา25เพราะผู้ใดที่ต้องการจะรักษาชีวิตของตนไว้ก็จะสูญสิ้นชีวิตนั้น และผู้ใดที่ยอมสูญสิ้นชีวิตเพื่อประโยชน์ของเราก็จะพบชีวิตนั้น26เพราะจะมีประโยชน์อันใดสำหรับเขาในเมื่อเขาได้รับโลกนี้ทั้งโลกแต่ต้องสูญสิ้นชีวิตของตนเอง? แล้วเขาจะยอมแลกกับสิ่งใดได้เพื่อจะได้ชีวิตของตนคืนมา?27เพราะบุตรมนุษย์จะมาพร้อมด้วยพระสิริของพระบิดากับทูตสวรรค์ของพระองค์ จากนั้นพระองค์จะทรงให้ตามการกระทำของแต่ละคน28เราบอกความจริงว่า จะมีพวกท่านบางคนที่จะยืนอยู่โดยที่ไม่ได้สัมผัสถึงความตายเลยจนกระทั่งเขาได้เห็นบุตรมนุษย์มาพร้อมกับราชอาณาจักรของพระองค์"
1หกวันต่อมาพระเยซูทรงพาเปโตร และยากอบ และยอห์นผู้ซึ่งเป็นน้องชายของยากอบขึ้นไปบนภูเขา2พระกายของพระองค์ได้ถูกทำให้เปลี่ยนไปต่อหน้าต่อตาพวกเขา พระพักตร์ของพระองค์ส่องแสงราวกับดวงอาทิตย์ และฉลองของพระองค์ดุจดังแสงโชติช่วง3ดูเถิด โมเสสและเอลียาห์มาปรากฏต่อหน้าพวกเขา พูดคุยอยู่กับพระเยซู4เปโตรทูลพระเยซูว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้า เป็นการดีเหลือเกินที่เราอยู่ที่นี่ หากพระองค์ปรารถนา ข้าพระองค์จะสร้างเพิงสามหลังที่นี่ หลังหนึ่งเป็นของพระองค์ อีกหลังหนึ่งเป็นของโมเสส และอีกหลังหนึ่งสำหรับเอลียาห์"5ขณะที่เขากำลังพูดอยู่นั้นเอง เมฆที่เจิดจ้าก็บดบังพวกเขา และดูเถิด มีเสียงจากเมฆก้อนนั้นพูดว่า "นี่คือบุตรที่รักของเรา ผู้ซึ่งเราพอใจมาก จงฟังท่านเถิด"6เมื่อพวกสาวกได้ยินเช่นนั้น พวกเขาก็ก้มตัวซบหน้าลงกับพื้นดินและหวาดกลัวอย่างมาก7พระเยซูเสด็จมาแตะต้องตัวพวกเขาและตรัสว่า "จงลุกขึ้นเถิด อย่ากลัวเลย"8แล้วพวกเขาจึงเงยหน้าขึ้นแต่ไม่มีเห็นผู้ใดนอกจากพระเยซูเท่านั้น9เมื่อพวกเขาลงมาจากบนภูเขา พระเยซูทรงกำชับพวกเขาว่า "อย่าบอกให้ใครรู้เรื่องนิมิตนี้จนกว่าบุตรมนุษย์จะถูกทำให้เป็นขึ้นจากความตายเสียก่อน"10พวกสาวกทูลถามพระองค์ว่า "ทำไมพวกธรรมาจารย์จึงพูดว่าเอลียาห์ต้องมาก่อน?"11พระเยซูตรัสตอบพวกเขาว่า "เอลียาห์จะมาและฟื้นฟูทุกสิ่งแน่แท้12แต่เราบอกพวกท่านว่า เอลียาห์ได้มาแล้ว แต่พวกเขาไม่รู้ว่าเป็นท่าน แต่พวกเขากระทำตามใจชอบต่อท่านผู้นั้น ทำนองเดียวกันนี้ บุตรมนุษย์ก็จะต้องทนทุกข์อยู่ในมือของพวกเขา"13แล้วพวกสาวกก็เข้าใจว่าผู้ที่พระเยซูตรัสถึงคือยอห์นผู้ให้บัพติศมา14เมื่อพวกเขาได้มาถึงเหล่าฝูงชนแล้ว ชายคนหนึ่งมาหาพระองค์ คุกเข่าต่อหน้าพระองค์และพูดว่า15"องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดเมตตาบุตรชายของข้าพเจ้าด้วยเถิด เพราะเขาเป็นโรคลมบ้าหมูและทนทุกข์สาหัสเหลือเกิน เพราะเขามักจะตกไปในไฟหรือในน้ำ16ข้าพเจ้าได้นำเขามาหาเหล่าสาวกของพระองค์ แต่พวกเขาไม่สามารถรักษาให้หายได้"17พระเยซูตรัสตอบว่า "คนในยุคแห่งความไม่เชื่อและเสื่อมทรามเอ๋ย เราจะต้องอยู่กับพวกเจ้าไปอีกนานเท่าใด? เราจะต้องทนพวกเจ้าไปอีกนานเท่าใด? จงนำเขามาหาเราเถิด"18พระเยซูทรงกระหนาบวิญญาณชั่วนั้น และมันก็ออกมาจากตัวเขา แล้วเด็กชายคนนั้นก็ได้รับการรักษาให้หายในเวลานั้นเอง19จากนั้นพวกสาวกมาหาพระเยซูเป็นการส่วนตัวและทูลว่า "ทำไมพวกเราจึงขับไล่มันออกไปไม่ได้?"20พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า "เพราะพวกท่านมีความเชื่อน้อย เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า ถ้าหากพวกท่านมีความเชื่อแม้เพียงเล็กน้อยเทียบเท่ากับเมล็ดผักกาด พวกท่านก็สามารถสั่งภูเขาลูกนี้ว่า 'จงย้ายออกจากที่นี่เพื่อไปที่โน่น' มันก็จะย้ายไปและไม่มีสิ่งใดเลยที่เป็นไปไม่ได้สำหรับพวกท่าน21แต่วิญญาณชั่วชนิดนี้ไม่สามารถขับออกได้นอกจากการอธิษฐานและอดอาหาร22ขณะที่พวกเขายังคงอยู่ที่กาลิลี พระเยซูตรัสกับเหล่าสาวกของพระองค์ว่า "บุตรมนุษย์จะถูกมอบไว้ในมือของคนทั้งหลาย23และพวกเขาก็จะฆ่าพระองค์ และในวันที่สามพระองค์ก็จะเป็นขึ้นจากความตาย" พวกสาวกก็พากันเศร้าใจ24เมื่อพวกเขามาถึงเมืองคาเปอรนาอุม มีชายผู้ที่เก็บค่าบำรุงพระวิหารมาหาเปโตรและพูดว่า "อาจารย์ของท่านไม่จ่ายค่าบำรุงพระวิหารหรือ?"25เปโตรตอบว่า "จ่าย" แต่เมื่อเปโตรเข้าไปในบ้าน พระเยซูตรัสกับเขาก่อนว่า "ท่านคิดว่าอย่างไร ซีโมน? บรรดากษัตริย์บนโลกนี้ควรจะได้เก็บภาษีหรือเงินบำรุงจากใคร? จากบรรดาโอรสของตนเองหรือจากคนอื่นๆ?"26เมื่อเปโตรทูลว่า "จากคนอื่นๆ" พระเยซูตรัสกับเขาว่า "แสดงว่าบรรดาโอรสก็ได้รับการยกเว้น"27แต่เพื่อที่พวกเราจะไม่ทำให้คนเก็บภาษีต้องทำบาป จงออกไปตกปลาที่ทะเล เมื่อได้ปลาตัวแรก จงเปิดปากของมัน แล้วท่านจะพบเหรียญหนึ่งเชเขล จงนำไปให้กับคนเก็บภาษีสำหรับเราและสำหรับท่าน"
1ในเวลาเดียวกันนั้นเองพวกสาวกเข้ามาหาพระเยซูและทูลว่า "ใครคือผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในราชอาณาจักรสวรรค์?"2พระเยซูทรงเรียกเด็กเล็กๆ คนหนึ่งมาหาพระองค์ และให้เด็กคนนั้นนั่งลงท่ามกลางพวกเขา3พระองค์ตรัสว่า "เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า นอกจากพวกท่านจะเป็นเหมือนเด็กน้อยคนนี้ พวกท่านก็จะไม่มีทางเข้าไปในราชอาณาจักรสวรรค์ได้เลย4เพราะผู้ใดก็ตามที่ถ่อมใจเหมือนเด็กน้อยคนนี้ คนนั้นก็จะเป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในราชอาณาจักรแห่งสวรรค์5และผู้ใดที่ยอมรับเด็กเล็กเช่นนี้ในนามของเรา เขาก็ยอมรับเราด้วย6แต่ผู้ใดก็ตามที่เป็นเหตุให้เด็กเล็กๆ เหล่านี้ที่เชื่อในเราต้องทำบาป การที่เอาหินโม่แป้งถ่วงคอของเขาให้จมลงไปในที่ลึกของทะเลเสียก็ยังจะดีกว่า7วิบัติแก่โลกนี้เนื่องจากหินสะดุดทั้งหลาย เพราะจำเป็นที่หินสะดุดเหล่านั้นจะเกิดขึ้น แต่วิบัติแก่ผู้นั้นที่ทำให้หินสะดุดเกิดขึ้น8หากมือหรือเท้าของพวกท่านเป็นเหตุให้พวกท่านทำบาป จงตัดมันทิ้งเสียและขว้างออกไปให้ไกลจากพวกท่าน เพราะจะดีสำหรับพวกท่านที่ได้เข้าสู่การมีชีวิตอย่างคนพิการหรือขาเสียแทนที่จะถูกโยนลงไปในไฟนิรันดร์ทั้งๆ ที่ยังมีมือหรือเท้าครบทั้งสองข้าง9ถ้าดวงตาของพวกท่านเป็นเหตุให้พวกท่านสะดุด จงควักตานั้นออกและทิ้งไปให้ไกลจากพวกท่านเสีย เพราะจะดีสำหรับพวกท่านที่ได้เข้าสู่การมีชีวิตด้วยตาข้างเดียวแทนที่จะถูกโยนลงไปในไฟนิรันดร์ทั้งๆ ที่ยังมีตาครบทั้งสองข้าง10พวกท่านอย่าดูถูกผู้เล็กน้อยเพียงเช่นนี้เลย เพราะเราบอกพวกท่านว่าในสวรรค์เหล่าทูตสวรรค์ของพวกเขาคอยเฝ้าดูอยู่ต่อพระพักตร์ของพระบิดาผู้ประทับในฟ้าสวรรค์11เพราะบุตรมนุษย์มาเพื่อรับใช้ผู้ที่เล็กน้อยเหล่านั้น12พวกท่านคิดว่าอย่างไร? ถ้าหากผู้หนึ่งมีแกะหนึ่งร้อยตัว และมีตัวหนึ่งที่หลงหายไป เขาจะไม่ทิ้งทั้งเก้าสิบเก้าตัวนั้นไว้บนภูเขาและออกตามหาตัวหนึ่งที่หลงทางไปหรือ?13และถ้าเขาพบมันแล้ว เราบอกความจริงกับท่านว่า เขาผู้นั้นก็จะยินดีเพราะแกะตัวนั้นมากยิ่งกว่าเพราะอีกเก้าสิบเก้าตัวที่ไม่ได้หลงหายเลย14ในทำนองเดียวกันนี้ พระบิดาของพวกท่านในฟ้าสวรรค์ไม่ปรารถนาให้ผู้เล็กน้อยเช่นนี้สักคนหนึ่งพินาศเลย15ถ้าหากพี่น้องของพวกท่านทำบาปต่อพวกท่าน จงไปบอกความผิดนั้นกับเขาเพียงลำพัง ถ้าเขาฟังพวกท่าน พวกท่านก็จะได้พี่น้องคนหนึ่งคืนกลับมาดังเดิม16แต่ถ้าเขาไม่ฟังพวกท่าน ให้พาพี่น้องคนอื่นไปอีกหนึ่งหรือสองคน เพื่อสามารถรับรองคำพูดได้โดยปากของสองคนหรือสามคนนั้น17และถ้าหากเขายังไม่ฟังพวกเขาอีกนั้น จงนำเรื่องนี้ไปแจ้งต่อคริสตจักร ถ้าหากเขาปฏิเสธที่จะฟังคริสตจักร ก็ให้เขาเป็นเหมือนคนต่างชาติและคนเก็บภาษีสำหรับพวกท่าน18เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า สิ่งใดก็ตามที่พวกท่านสั่งห้ามบนโลกนี้ก็จะถูกสั่งห้ามในสวรรค์ และสิ่งใดก็ตามที่พวกท่านอนุญาตในโลกนี้ก็จะถูกอนุญาตในสวรรค์19ยิ่งไปกว่านั้น เราบอกพวกท่านว่า หากมีสองคนในพวกท่านเห็นพ้องต้องกันบนโลกนี้ในสิ่งที่พวกเขาขอ ก็จะเป็นไปตามนั้นสำหรับพวกเขาโดยพระบิดาผู้ประทับในฟ้าสวรรค์20เพราะที่ซึ่งสองหรือสามคนได้รวมกันในนามของเรา เราก็จะอยู่ท่ามกลางพวกเขาในที่นั่น"21จากนั้นเปโตรมาและทูลต่อพระเยซูว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ควรจะยกโทษให้กับพี่น้องที่กระทำผิดต่อข้าพระองค์บ่อยแค่ไหน? จนครบเจ็ดครั้งหรือ?"22พระเยซูตรัสกับเขาว่า "เราบอกพวกท่านว่า ไม่เพียงเจ็ดครั้งเท่านั้น แต่จนกระทั้งเจ็ดสิบคูณเจ็ด23เหตุเพราะราชอาณาจักรสวรรค์เป็นเหมือนกษัตริย์องค์หนึ่งที่ต้องการปิดบัญชีกับพวกผู้รับใช้ของพระองค์24เมื่อพระองค์เริ่มที่จะปิดบัญชีนั้น ทาสผู้หนึ่งที่ค้างหนี้หนึ่งหมื่นตะลันต์ถูกนำตัวมาหาพระองค์25แต่เพราะเขาไม่มีทางที่จะจ่ายหนี้ได้ เจ้านายจึงรับสั่งให้ขายทาสนั้นเสีย รวมทั้งภรรยาและลูกๆ และทุกๆ สิ่งที่เขามี และเพื่อที่จะจ่ายหนี้ให้หมดได้26ดังนั้นทาสผู้นั้นก็ล้มลงแทบพื้น คุกเข่ากราบต่อหน้าพระองค์ และพูดว่า "เจ้านายเจ้าข้า ได้โปรดสงสารข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะจ่ายคืนให้ท่านทุกสิ่ง"27ดังนั้นเจ้านายของทาสผู้นั้นจึงปล่อยตัวเขาไปและยกหนี้ให้ เพราะเจ้านายมีความเมตตาสงสาร28แต่ทาสผู้นั้นออกไปข้างนอกและพบเพื่อนทาสด้วยกันอีกคนหนึ่งที่เป็นหนี้เขาหนึ่งร้อยเหรียญเดนาริอัน เขาจึงจับทาสคนนั้น ลากคอไปและพูดว่า 'จ่ายหนี้ที่ค้างไว้ให้ข้า'29แต่ทาสผู้นั้นล้มลงตรงหน้าและวิงวอนเขาว่า 'ได้โปรดมีเมตตาต่อข้าเถิด แล้วข้าจะจ่ายคืนให้'30แต่ทาสคนแรกปฏิเสธ และเขาจับตัวเพื่อนทาสคนนั้นไปขังไว้ในคุก จนกว่าเพื่อนทาสจะจ่ายคืนในสิ่งที่ติดค้างอยู่ได้31เมื่อเพื่อนทาสคนอื่นๆ เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น พวกเขาก็โกรธมาก พวกเขามาและบอกเจ้านายในทุกสิ่งที่เกิดขึ้น32จากนั้นเจ้านายของทาสผู้นั้นก็เรียกเขามา และพูดกับเขาว่า 'เจ้าทาสผู้ชั่วช้า เราได้ยกหนี้ให้เจ้าทั้งหมดเพราะเจ้าวิงวอนต่อเรา33เจ้าไม่ควรหรือที่จะมีเมตตาให้กับเพื่อนทาสของเจ้าด้วย ในเมื่อเราเองก็มีเมตตาเราได้ยก'34เจ้านายของเขาโกรธมากและมอบเขาไว้ให้กับคนที่ทรมานเขาจนกว่าเขาจะจ่ายครบในทุกสิ่งที่เขาติดหนี้ไว้35ดังนั้นพระบิดาในฟ้าสวรรค์ก็จะทำอย่างเดียวกันกับพวกท่าน ถ้าหากพวกท่านไม่ยอมยกโทษให้กับพี่น้องของตนจากใจของพวกท่านเอง"
1ครั้นเมื่อพระเยซูตรัสสิ่งเหล่านี้เสร็จแล้ว พระองค์ก็เสด็จออกจากกาลิลี และมาอยู่ในบริเวณเขตแดนของแคว้นยูเดียตรงอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดน2ฝูงชนจำนวนมากได้ติดตามพระองค์ และพระองค์ทรงรักษาพวกเขาที่นั่น3พวกฟาริสีมาหาพระองค์ ทดสอบพระองค์โดยพูดกับพระองค์ว่า "เป็นเรื่องที่ถูกต้องตามธรรมบัญญัติหรือไม่ ถ้าชายผู้หนึ่งจะหย่ากับภรรยาของเขาไม่ว่าด้วยกรณีใดก็ตาม?"4พระเยซูตรัสตอบว่า "พวกท่านไม่ได้อ่านหรือ ที่พระองค์ผู้สร้างพวกเขาตั้งแต่แรกเริ่มได้สร้างชายและหญิงให้คู่กัน?5และพระองค์ผู้ที่สร้างพวกเขาก็ได้ตรัสว่า 'ด้วยเหตุนี้เองผู้ชายจึงต้องละบิดามารดาของตนและไปผูกผันเป็นหนึ่งเดียวกับภรรยาของเขา แล้วทั้งคู่ก็จะเป็นเนื้อเดียวกัน'6ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เป็นสองอีกต่อไป แต่เป็นเนื้อเดียวกัน เพราะเหตุนี้ ผู้ที่พระเจ้าทรงผูกพันไว้ต่อกันแล้วนั้น อย่าให้ผู้ใดไปแยกเขาจากกันเลย"7พวกเขาพูดกับพระองค์ว่า "แล้วทำไมโมเสสจึงสั่งให้พวกเรามอบใบหย่าและไล่ภรรยาไปได้?"8พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า "เพราะหัวใจที่แข็งกระด้างของพวกท่าน โมเสสจึงยอมให้พวกท่านหย่ากับภรรยาของพวกท่านได้ แต่นับตั้งแต่แรกเริ่มไม่ได้เป็นเช่นนี้เลย9เราบอกกับพวกท่านว่า ผู้ใดก็ตามที่หย่ากับภรรยานอกจากเหตุเพราะการผิดศีลธรรม แล้วไปแต่งงานกับผู้อื่น ก็ถือว่าผิดประเวณี และถ้าชายใดที่แต่งงานกับหญิงที่หย่าแล้วนั้น ก็ถือว่าผิดประเวณีเช่นกัน"10เหล่าสาวกทูลพระเยซูว่า "ถ้าในกรณีนี้ที่เกิดขึ้นระหว่างชายคนหนึ่งกับภรรยาของตนแล้ว การแต่งงานก็ไม่ดีเลย"11แต่พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า "ไม่ใช่ว่าทุกคนจะรับคำสอนเช่นนี้ได้ แต่มีเพียงผู้ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นจึงจะรับได้12เพราะมีผู้ที่เป็นแบบขันทีมาตั้งแต่เกิดจากท้องมารดา และก็มีผู้ที่เป็นแบบขันทีอันเกิดจากมนุษย์ และมีผู้ที่ทำให้ตนเองเป็นแบบขันทีเพื่อประโยชน์ของราชอาณาจักรสวรรค์ ผู้ใดที่สามารถรับเอาคำสอนเช่นนี้ได้ ก็ให้เขารับเอาเถิด"13จากนั้นมีเด็กเล็กๆ บางคนที่ถูกนำมาหาพระองค์เพื่อที่จะให้พระองค์วางพระหัตถ์บนพวกเขาและอธิษฐานเผื่อ แต่พวกสาวกสั่งห้ามพวกเขา14แต่พระเยซูตรัสว่า "จงให้เด็กเล็กๆ เข้ามาเถิด อย่าห้ามพวกเขาที่จะมาหาเราเลย เพราะราชอาณาจักรสวรรค์ก็เป็นของเด็กเล็กๆ เหล่านี้"15และพระองค์จึงวางพระหัตถ์ของพระองค์บนพวกเขา แล้วจากนั้นพระองค์ก็เสด็จออกไปจากที่นั่น16ดูเถิด มีชายคนหนึ่งมาหาพระเยซูและพูดว่า "อาจารย์ ข้าพเจ้าจะต้องกระทำสิ่งดีอันใดจึงจะได้มีชีวิตอันเป็นนิรันดร์?"17พระเยซูตรัสกับเขาว่า "ทำไมท่านจึงถามเราว่าถึงสิ่งดี? มีเพียงอย่างเดียวที่เป็นสิ่งดี แต่ถ้าท่านอยากจะเข้าสู่การมีชีวิต จงรักษาพระบัญญัติเถิด"18ชายคนนั้นพูดกับพระองค์ว่า "พระบัญญัติประการใดเล่า?" พระเยซูตรัสว่า "อย่าฆ่าคน อย่าผิดประเวณี อย่าขโมย และอย่าเป็นพยานเท็จ19จงให้เกียรติบิดามารดาของตน และรักเพื่อนบ้านเหมือนที่รักตนเอง"20ชายหนุ่มคนนั้นทูลกับพระองค์ว่า "สิ่งเหล่านี้ข้าพเจ้าทำตามอยู่แล้ว ยังมีอะไรอีกที่ข้าพเจ้าต้องทำ?"21พระเยซูตรัสกับเขาว่า "ถ้าท่านหวังที่จะดีพร้อม จงไปขายสิ่งทั้งปวงที่ท่านมี และแจกจ่ายให้แก่คนยากไร้ ซึ่งท่านจะมีขุมทรัพย์อยู่ในสวรรค์ แล้วจงมาติดตามเรา"22แต่เมื่อชายหนุ่มคนนั้นได้ยินที่พระเยซูตรัสกับเขา เขาออกไปอย่างเศร้าโศก เพราะเขาเป็นผู้ที่มีทรัพย์สินมากมาย23พระเยซูตรัสกับสาวกของพระองค์ว่า "เราบอกความจริงกับท่านว่า ยากเหลือเกินที่คนร่ำรวยคนหนึ่งจะเข้าสู่ราชอาณาจักรสวรรค์24เราบอกกับท่านอีกประการหนึ่งว่า อูฐตัวหนึ่งลอดผ่านรูเข็มได้ง่ายเสียยิ่งกว่าที่คนร่ำรวยคนหนึ่งจะเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้า"25เมื่อพวกสาวกได้ยินเช่นนั้น พวกเขาก็อึ้งและพูดว่า "ใครกันเล่าที่จะรอดได้?"26พระเยซูมองที่พวกเขาและตรัสว่า "ยากที่จะเป็นไปได้สำหรับมนุษย์ แต่สำหรับพระเจ้าแล้ว ทุกสิ่งล้วนเป็นไปได้ทั้งนั้น"27จากนั้นเปโตรจึงทูลตอบพระองค์ว่า "ดูสิ เราได้ทิ้งทุกสิ่งและติดตามพระองค์ แล้วเราจะได้รับอะไร?"28พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า "เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า พวกท่านที่ได้ติดตามเรา ในโลกใหม่เมื่อบุตรมนุษย์ประทับอยู่บนบัลลังก์แห่งพระสิริของพระองค์แล้ว พวกท่านก็จะนั่งอยู่บนบัลลังก์ทั้งสิบสองเผ่า เพื่อพิพากษาเผ่าทั้งสิบสองเผ่าของอิสราเอล29ทุกๆ คนที่ได้ละบ้านเรือน พี่น้องชายหญิง บิดามารดา บุตรทั้งหลาย หรือที่ดิน เพื่อนามของเรา ก็จะได้รับเป็นร้อยเท่าและเป็นเจ้าของชีวิตอันเป็นนิรันดร์30แต่มีหลายคนที่เป็นพวกแรกก็จะกลายเป็นพวกสุดท้าย และหลายคนที่เป็นพวกสุดท้ายก็จะกลายเป็นพวกแรก
1เพราะราชอาณาจักรสวรรค์เปรียบเหมือนเจ้าของที่ดินที่ออกไปหาคนงานทำสวนองุ่นของเขาตั้งแต่เช้าตรู่2หลังจากที่เขาได้ตกลงค่าจ้างกับพวกคนงานคือหนึ่งเหรียญเดนาริอันต่อวันแล้ว เขาก็ให้คนงานเหล่านั้นไปที่สวนองุ่นของเขา3เขาออกไปอีกในช่วงเก้าโมงและเห็นพวกคนงานที่ยืนอยู่เฉยๆ ในตลาด4เขาจึงบอกกับคนเหล่านั้นว่า 'พวกท่านด้วย จงไปที่สวนองุ่น และเราจะให้ค่าจ้างกับพวกท่านอย่างสมควร' ดังนั้นพวกเขาจึงออกไปทำงาน5อีกครั้งหนึ่ง เขาออกไปราวๆ เที่ยงและบ่ายสาม และทำเหมือนเดิม6พอตอนห้าโมงเย็น เขาก็ออกไปอีกและเห็นคนอื่นยังว่างงานอยู่ เขาจึงพูดว่า 'ทำไมพวกท่านจึงยืนที่นี่ไม่มีอะไรทำทั้งวันอย่างนี้?'7พวกเขาจึงตอบว่า 'เพราะไม่มีใครจ้างพวกเรา' เขาจึงพูดกับคนเหล่านั้นว่า 'พวกท่านจงไปทำที่สวนองุ่นด้วยเช่นกัน'8เมื่อถึงเวลาเย็น เจ้าของไร่องุ่นพูดกับผู้จัดการของตนว่า 'เรียกคนงานทั้งหลายมาและจ่ายค่าจ้างให้กับพวกเขา เรียงลำดับจากคนที่มาหลังสุดไปจนถึงคนแรก'9เมื่อคนงานที่ถูกจ้างในช่วงห้าโมงเย็นมา พวกเขาแต่ละคนได้รับหนึ่งเหรียญเดนาริอัน10เมื่อพวกคนงานกลุ่มแรกมา พวกเขาคิดว่าตนเองจะได้รับค่าจ้างที่มากกว่านั้น แต่พวกเขาก็ได้รับหนึ่งเหรียญเดนาริอันด้วยเช่นกัน11เมื่อพวกเขาได้รับค่าจ้างแล้ว พวกเขาก็พร่ำบ่นกับเจ้าของสวน12พวกเขาพูดว่า 'คนงานที่มาทีหลังทำงานได้เพียงแค่ชั่วโมงเดียว แต่ท่านก็ให้พวกเขาเท่าๆ กับพวกเรา ซึ่งพวกเราทำงานทั้งวันแล้วยังต้องทนแดดร้อนๆ ด้วย'13แต่เจ้าของได้ตอบโดยพูดกับคนหนึ่งในพวกเขาว่า 'เพื่อนเอ๋ย เราไม่ได้ทำอะไรผิดเลย ท่านไม่ได้ตกลงกับเราว่าหนึ่งเหรียญเดนาริอันหรือ?14จงเอาสิ่งที่เป็นของท่านและกลับไปตามทางของท่านเถิด เราเลือกที่จะให้ค่าจ้างคนงานกลุ่มสุดท้ายเท่าๆ กับที่เราให้กับท่าน15เป็นสิทธิของเราที่จะทำตามที่เราอยากทำกับทรัพย์สินของเราไม่ใช่หรือ? หรือท่านมองด้วยแววตาอิจฉาเพราะเราเป็นคนใจกว้างหรือ?'16ดังนั้นคนสุดท้ายจะเป็นคนต้น และคนต้นจะเป็นคนสุดท้าย"17เมื่อพระเยซูกำลังจะเสด็จขึ้นไปที่เยรูซาเล็ม พระองค์นำสาวกทั้งสิบสองไปด้วยและในระหว่างทางพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า18"ดูเถิด เรากำลังจะขึ้นไปที่กรุงเยรูซาเล็ม และบุตรมนุษย์ก็จะถูกมอบไว้ในมือของพวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์ พวกเขาจะตัดสินท่านให้ถึงแก่ความตาย19และจะมอบท่านไว้ในมือของพวกคนต่างชาติเพื่อให้เยาะเย้ย เฆี่ยนตี และตรึงท่านเสีย แต่ในวันที่สามท่านก็จะถูกทำให้เป็นขึ้นจากความตาย"20จากนั้นมารดาของบุตรของเศเบดีมาหาพระเยซูพร้อมด้วยบุตรทั้งสองของเธอ เธอโน้มคำนับต่อหน้าพระองค์และทูลขอบางสิ่งจากพระองค์21พระเยซูตรัสกับเธอว่า "ท่านต้องการสิ่งใด?" เธอทูลตอบพระองค์ว่า "โปรดสั่งให้บุตรทั้งสองของข้าพเจ้านั่งทางด้านขวาของท่านคนหนึ่งและทางด้านซ้ายของท่านอีกคนหนึ่งในราชอาณาจักรของท่านด้วยเถิด"22แต่พระเยซูตรัสตอบว่า "พวกท่านไม่รู้ถึงสิ่งที่ท่านขอ พวกท่านจะสามารถดื่มถ้วยที่เรากำลังจะดื่มได้หรือ?" พวกเขาทูลตอบพระองค์ว่า "เราทำได้"23พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า "ถ้วยของเราพวกท่านจะได้ดื่มแน่นอน แต่ที่จะนั่งทางขวามือของเราและทางซ้ายมือของเราไม่ใช่สิทธิที่เราจะให้ได้ แต่เป็นของผู้ที่พระบิดาของเราได้เตรียมไว้ให้"24เมื่อสาวกอีกสิบคนได้ยินเช่นนั้น พวกเขาก็โกรธสองพี่น้องคู่นี้อย่างมาก25แต่พระเยซูรับสั่งพวกเขาให้มาหาและตรัสว่า "พวกท่านรู้ว่าผู้ปกครองของคนต่างชาติทำให้คนทั้งหลายต้องเชื่อฟังพวกเขา และบุคคลสำคัญทั้งหลายของพวกเขาก็จะใช้อำนาจเหนือผู้คน26แต่อย่าให้เป็นเช่นนั้นในพวกท่าน ใครก็ตามที่ปรารถนาจะเป็นใหญ่ในพวกท่านจะต้องเป็นคนรับใช้ของพวกท่าน27และผู้ใดที่ต้องการจะเป็นคนแรกในพวกท่านก็ต้องเป็นทาสรับใช้ของพวกท่าน28เหมือนดังเช่นที่บุตรมนุษย์ไม่ได้มาเพื่อรับการปรนนิบัติ แต่เพื่อจะปรนนิบัติ และเพื่อมอบชีวิตเป็นค่าไถ่ของคนจำนวนมาก"29เมื่อพวกเขาออกไปจากเมืองเยรีโค ก็มีฝูงชนจำนวนมากติดตามพระองค์30แล้วมีชายตาบอดสองคนที่นั่งอยู่ตรงถนน เมื่อพวกเขาได้ยินว่าพระเยซูกำลังจะเสด็จผ่านมา พวกเขาก็ตะโกนว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้า บุตรของดาวิด โปรดเมตตาเราด้วยเถิด"31ฝูงชนสั่งห้ามพวกเขาไม่ให้ส่งเสียง แต่พวกเขาก็ยิ่งร้องเสียงดังยิ่งขึ้นอีกและพูดว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้า บุตรของดาวิด โปรดเมตตาเราด้วยเถิด"32แล้วพระเยซูทรงหยุดนิ่งและรับสั่งให้พวกเขามาหา และตรัสว่า "พวกท่านปรารานาให้เราทำอะไรให้กับพวกท่าน?"33พวกเขาทูลตอบพระองค์ว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้าขอให้ตาของพวกเรามองเห็นได้"34แล้วพระเยซูทรงเปี่ยมด้วยความเมตตาสงสาร แตะต้องดวงตาของพวกเขา ในทันใดนั้นเองพวกเขาก็สามารถมองเห็นได้และติดตามพระองค์ไป
1เมื่อพระเยซูและพวกสาวกของพระองค์มาใกล้กรุงเยรูซาเล็มและมาถึงหมู่บ้านเบธฟายี ที่ภูเขามะกอกเทศ จากนั้นพระเยซูทรงส่งสาวกสองคนไป2โดยรับสั่งแก่พวกเขาว่า "จงเข้าไปในหมู่บ้านถัดไป แล้วพวกท่านจะพบแม่ลากับลูกลาที่ถูกมัดไว้ที่นั่นเลยทันที จงแก้มัดพวกมันแล้วนำมาให้เรา3ถ้าหากมีใครพูดอะไรก็ตามกับพวกท่านเกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกท่านจะพูดว่า 'องค์พระผู้เป็นเจ้าจำเป็นต้องใช้พวกมัน' แล้วคนนั้นจะส่งพวกมันมากับพวกท่านโดยทันที"4เรื่องนี้เกิดขึ้นเป็นจริงตามคำของผู้เผยพระวจนะ ที่ท่านกล่าวไว้ว่า5"จงบอกบุตรสาวแห่งศิโยน 'ดูเถิด กษัตริย์ของเจ้ากำลังมาหาเจ้า กษัตริย์ผู้ถ่อมใจและทรงลาตัวหนึ่งซึ่งเป็นลูกลา ลูกลาเพิ่งคลอดออกมาจากแม่ลา'"6จากนั้นพวกสาวกจึงออกไปและทำตามที่พระเยซูทรงแนะนำพวกเขา7พวกเขานำแม่ลาและลูกลามาแล้วเอาเสื้อคลุมของตนคลุมบนหลังลาทั้งสอง แล้วพระเยซูประทับบนเสื้อคลุมนั้น8คนในฝูงชนส่วนใหญ่พากันเอาเสื้อคลุมปูทางบนถนนและที่เหลือก็ตัดกิ่งไม้จากต้นไม้มาและวางกระจายกันตามทางถนน9ทั้งฝูงชนที่เดินนำหน้าพระเยซูและกลุ่มคนที่เดินตามมา ต่างร้องประกาศว่า "โฮซันนา แด่บุตรของดาวิด สาธุการแต่ผู้ที่มาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า โฮซันนาในที่สูงสุด"10เมื่อพระเยซูเสด็จมาถึงกรุงเยรูซาเล็ม คนจากในเมืองทั้งหลายตื่นเต้นและพูดกันว่า "ท่านผู้นี้เป็นใครกัน?"11ฝูงชนจึงตอบว่า "นี่คือพระเยซู ผู้เผยพระวจนะจากเมืองนาซาเร็ธแคว้นกาลิลี"12จากนั้นพระเยซูเสด็จเข้าไปในพระวิหาร พระองค์ทรงขับไล่บรรดาผู้ที่ซื้อขายกันในพระวิหาร ทรงคว่ำโต๊ะของคนแลกเงินและที่นั่งของพวกที่ขายนกพิราบ13พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า "มีคำที่เขียนไว้ว่า 'นิเวศของเราจะถูกเรียกว่านิเวศของการอธิษฐาน' แต่พวกท่านทำให้เป็นรังของพวกโจร"14จากนั้นคนตาบอดและคนพิการมาหาพระองค์ในพระวิหาร แล้วพระองค์ทรงรักษาพวกเขา15แต่เมื่อพวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์เห็นในสิ่งอัศจรรย์ที่พระองค์ทรงกระทำ และเมื่อพวกเขาได้ยินเด็กๆ ร้องตะโกนกันในพระวิหารว่า "โฮซันนาแด่บุตรของดาวิด" พวกเขาก็เต็มไปด้วยความเคืองแค้น16พวกเขาพูดกับพระองค์ว่า "ท่านไม่ได้ยินในสิ่งที่คนเหล่านี้กำลังร้องกันหรือ?" พระเยซูตรัสตอบพวกเขาว่า "ใช่แล้ว แต่ท่านไม่เคยอ่านหรือ 'พระองค์ทรงทำให้คำสรรเสริญออกมาจากปากของเด็กและทารกที่ยังไม่หย่านม'?"17จากนั้นพระเยซูทรงละพวกเขาไว้และออกไปจากเมืองไปยังหมู่บ้านเบธานีแล้วทรงค้างแรมที่นั่น18บัดนี้พระองค์เสด็จกลับเข้าไปในเมืองตอนเช้า พระองค์ทรงหิว19เมื่อเห็นต้นมะเดื่ออยู่ริมทางถนน พระองค์เสด็จไปที่ต้นมะเดื่อนั้น ครั้นไม่เห็นว่ามีผลเลยนอกจากใบเต็มต้น พระองค์จึงตรัสว่า "จงอย่าเกิดผลอีกเลย" และต้นมะเดื่อก็แห้งเหี่ยวในทันที20เมื่อเหล่าสาวกเห็น พวกเขาประหลาดใจและพูดกันว่า "เป็นไปได้อย่างไรที่ต้นมะเดื่อจะแห้งเหี่ยวในทันที?"21พระเยซูตรัสตอบพวกเขาว่า "เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า ถ้าพวกท่านมีความเชื่อและไม่มีความสงสัยเลย พวกท่านจะทำได้ยิ่งกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับต้นมะเดื่อ เพราะพวกท่านจะพูดกับภูเขาลูกนี้ได้ว่า 'จงลอยขึ้นและเคลื่อนลงไปในทะเลเถิด' แล้วก็จะเกิดขึ้นตามนั้น22พวกท่านอธิษฐานขอสิ่งใดก็ตาม จงเชื่อแล้วพวกท่านก็จะได้รับ"23เมื่อพระเยซูเสด็จเข้ามาในพระวิหาร พวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกผู้อาวุโสของประชาชนมาหาพระองค์ในขณะที่พระองค์ทรงกำลังสอนแล้วพูดว่า "ท่านทำสิ่งเหล่านี้โดยสิทธิอำนาจใด? และใครกันที่ให้สิทธิอำนาจนี้แก่ท่าน?"24พระเยซูตรัสตอบพวกเขาว่า "เราก็อยากจะถามพวกท่านคำถามหนึ่งเช่นกัน ถ้าพวกท่านบอกเราได้ เราก็จะบอกพวกท่านว่าเราทำสิ่งเหล่านี้ด้วยสิทธิอำนาจใด25การบัพติศมาของยอห์นนั้นมาจากที่ใด? จากสวรรค์หรือจากมนุษย์?" พวกเขาพูดคุยท่ามกลางพวกเขากันเอง โดยพูดว่า "ถ้าพวกเราบอกว่า 'มาจากสวรรค์' เขาก็จะพูดกับพวกเราว่า 'แล้วทำไมพวกท่านจึงไม่เชื่อยอห์น?'26แต่ถ้าพวกเราพูดว่า 'จากมนุษย์' พวกเราก็หวั่นเกรงฝูงชน เพราะพวกเขาเห็นว่ายอห์นคือผู้เผยพระวจนะ"27จากนั้นพวกเขาจึงตอบพระเยซูว่า "พวกเราไม่ทราบ" พระองค์จึงตรัสตอบพวกเขาด้วยเช่นกันว่า "ถ้าเช่นนั้นเราก็จะไม่บอกพวกท่านว่าเราทำสิ่งเหล่านี้โดยสิทธิอำนาจใด28แต่พวกท่านคิดอย่างไร? ชายคนหนึ่งมีบุตรสองคน พวกท่านไปหาบุตรคนแรกแล้วพูดว่า 'บุตรเอ๋ย วันนี้จงไปทำงานในไร่องุ่นเถิด'29บุตรผู้นั้นตอบว่า 'ลูกจะไม่ไป' แต่มาภายหลังเขาเปลี่ยนใจและไปทำงาน30และชายคนนี้ไปหาบุตรคนที่สองและพูดในสิ่งเดียวกัน บุตรคนนี้ตอบว่า 'ได้พ่อ ลูกจะไป' แต่เขาก็ไม่ไป31คนไหนในบุตรทั้งสองคนนี้ที่ทำตามความประสงค์ของบิดาของตน?" พวกเขาตอบว่า "คนแรก" พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า "เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า คนเก็บภาษีและหญิงโสเภณีจะเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้าก่อนพวกท่านเสียอีก32เพราะยอห์นมายังพวกท่านด้วยทางของความชอบธรรม แต่พวกท่านกลับไม่เชื่อเขา ขณะที่พวกคนเก็บภาษีและหญิงโสเภณีต่างก็เชื่อเขา และพวกท่าน เมื่อได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ทีหลังก็ยังไม่กลับใจและเชื่อเขา33จงฟังคำอุปมาอีกเรื่องหนึ่งเถิด มีชายคนหนึ่ง ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดิน เขาปลูกต้นองุ่น และทำรั้วไว้รอบๆ ขุดบ่อย่ำองุ่นไว้ในนั้น สร้างหอคอยไว้ และให้พวกคนทำสวนเช่าสวนองุ่นนี้ จากนั้นเขาก็ไปยังประเทศอื่น34เมื่อเวลาเก็บเกี่ยวผลองุ่นใกล้เข้ามาแล้ว เขาก็ส่งคนรับใช้ไปหาคนดูแลสวนเพื่อขอผลองุ่นของเขา35แต่พวกคนดูแลสวนจับตัวพวกคนรับใช้ของเขาไว้ ทุบตีเสียคนหนึ่ง ฆ่าเสียคนหนึ่ง และเอาหินขว้างอีกคนหนึ่ง36แล้วเจ้าของสวนองุ่นก็ส่งพวกคนรับใช้ของเขาไปอีกครั้ง โดยให้ไปกันหลายคนมากกว่าครั้งแรก แต่พวกคนดูแลสวนก็ปฏิบัติกับคนเหล่านั้นอย่างเดียวกัน37หลังจากนั้น เจ้าของสวนก็ส่งบุตรชายของตนไป โดยพูดว่า 'พวกเขาคงจะให้เกียรติกับบุตรชายของเรา'38แต่เมื่อพวกคนดูแลสวนเห็นบุตรชายคนนั้น พวกเขาพูดกันว่า 'คนนี้เป็นทายาท มาเถิด ให้เราฆ่าเขาเสียและเป็นเจ้าของทรัพย์สินเหล่านี้แทน'39ดังนั้นพวกเขาจึงจับตัวบุตรชายคนนั้น โยนเขาออกไปจากสวนองุ่นและฆ่าเขาเสีย40ต่อมาเมื่อเจ้าของสวนองุ่นมาถึง แล้วเขาจะกระทำอย่างไรกับพวกผู้ดูแลสวนเหล่านั้นเล่า?"41พวกเขาตอบพระองค์ว่า "เขาก็จะทำลายพวกคนเลวเหล่านั้นด้วยวิธีที่รุนแรงที่สุด และจะให้พวกผู้ดูแลสวนคนอื่นๆ มาเช่าสวนแทน ซึ่งพวกเขาจะแบ่งผลองุ่นให้แก่เจ้าของสวนเมื่อผลองุ่นสุกแล้ว"42พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า "พวกท่านไม่เคยอ่านในพระคัมภีร์หรือ 'ศิลาที่ผู้ก่อสร้างได้ปฏิเสธนั้นถูกทำให้เป็นศิลามุมเอกแล้ว และองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้กระทำ และจะเป็นสิ่งอัศจรรย์แก่สายตาของเราทั้งหลาย'?43ด้วยเหตุนี้ เราบอกพวกท่านว่า ราชอาณาจักรของพระเจ้าจะถูกนำไปเสียจากพวกท่านและจะมอบให้แก่ชนชาติหนึ่งที่เกิดผล44ผู้ใดก็ตามที่ล้มลงบนศิลานี้ก็จะแหลกละเอียดเป็นชิ้นๆ แต่ผู้ใดที่ถูกศิลานี้ทับก็จะถูกบดขยี้"45เมื่อพวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกฟาริสีได้ยินคำอุปมาของพระองค์ พวกเขาเข้าใจว่าพระองค์กำลังหมายถึงพวกเขา46ขณะกำลังหาทางจับกุมพระองค์นั้น พวกเขาหวั่นเกรงฝูงชน เพราะคนนับถือพระองค์ว่าเป็นผู้เผยพระวจนะท่านหนึ่ง
1พระเยซูตรัสกับพวกเขาอีกครั้งหนึ่งเป็นคำอุปมาว่า2"ราชอาณาจักรสวรรค์เป็นเหมือนกษัตริย์องค์หนึ่งที่ได้จัดเตรียมงานเลี้ยงเพื่อการอภิเษกสมรสของราชโอรสของพระองค์ขึ้น3พระองค์ทรงส่งพวกผู้รับใช้ออกไปตามคนที่ได้รับเชิญให้มางานเลี้ยงของการอภิเษกสมรสนั้น แต่พวกเขาไม่ใคร่จะมากัน4แล้วกษัตริย์ก็ส่งพวกผู้รับใช้คนอื่นออกไปอีกครั้งหนึ่ง พระองค์รับสั่งว่า 'ให้บอกแก่คนที่ได้รับเชิญว่า "เราได้จัดเตรียมอาหารเย็นของเราไว้แล้ว ทั้งวัวและลูกวัวตัวอ้วนพีของเราก็ได้ฆ่าและทุกสิ่งทุกอย่างก็เตรียมไว้พร้อมแล้ว เชิญมาร่วมงานเลี้ยงฉลองอภิเษกสรมรสนี้เถิด'"5แต่พวกเขาไม่สนใจในคำเชิญนี้และพวกเขาก็ไปเสีย บางคนก็ไปยังไร่นาของเขา คนอื่น ๆ ก็ไปค้าขาย6ฝ่ายคนที่เหลือก็จับพวกข้าราชบริพารของกษัตริย์มาทำการอัปยศต่าง ๆ แล้วฆ่าเสีย7กษัตริย์ทรงพิโรธ พระองค์จึงส่งกองทัพของพระองค์ออกไปฆ่าบรรดาฆาตกรเหล่านั้น รวมทั้งเผาเมืองของพวกเขาเสีย8จากนั้น พระองค์ทรงรับสั่งกับพวกข้าราชบริพารของพระองค์ว่า 'งานอภิเษกสมรสพร้อมแล้ว แต่พวกที่ได้รับเชิญนั้นไม่คู่ควรกับงานนี้เลย9เหตุฉะนั้นจงออกไปตามทางหลวงและเชิญผู้คนจำนวนมากที่สุดเท่าที่พวกท่านจะเชิญมาได้เพื่อมางานเลี้ยงอภิเษกสมรส'10พวกข้าราชบริพารก็ออกไปยังถนนหลวงต่างๆ และรวบรวมทุกคนที่พบเข้าด้วยกันซึ่งมีทั้งคนดีและคนไม่ดี ดังนั้นห้องโถงงานอภิเษกสมรสนั้นจึงเต็มไปด้วยแขก11แต่เมื่อกษัตริย์เสด็จไปทอดพระเนตรแขกทั้งหลาย พระองค์ก็ทอดพระเนตรเห็นชายคนหนึ่งไม่ได้สวมเสื้อสำหรับงานอภิเษกสมรส12กษัตริย์จึงตรัสถามเขาว่า 'สหายเอ๋ย ทำไมท่านมาที่นี่โดยไม่สวมเสื้อสำหรับงานอภิเษกสมรส?' และเขาก็นิ่งอยู่พูดไม่ออก13แล้วกษัตริย์จึงรับสั่งกับพวกข้าราชบริพารว่า 'จงมัดมือมัดเท้าคนนี้และเอาไปโยนทิ้งบริเวณที่มืดข้างนอก ซึ่งเป็นที่มีการร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน'14เพราะว่าคนที่ได้รับเชิญนั้นมีมาก แต่คนที่ได้รับการเลือกสรรนั้นมีน้อย"15หลังจากนั้นพวกฟาริสีก็ออกไปและได้วางแผนว่าจะให้พระองค์ติดกับดักด้วยคำตรัสของพระองค์ได้อย่างไร16ต่อจากนั้นพวกเขาจึงได้ส่งพวกสาวกของตนร่วมกับพวกเฮโรดให้ไปทูลพระเยซูว่า "ท่านอาจารย์ พวกเราทราบว่าท่านเป็นคนซื่อสัตย์ และสั่งสอนทางของพระเจ้าด้วยความสัตย์จริง ท่านมิได้เอาใจผู้ใด และท่านไม่ได้เข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด17ดังนั้น ขอพระองค์ทรงโปรดบอกให้พวกข้าพเจ้าทราบด้วยเถิดว่า พระองค์คิดอย่างไร การที่จะส่งส่วยให้แก่ซีซาร์นั้นควรหรือไม่"18แต่ว่าพระเยซูทรงทราบแผนการที่ชั่วร้ายของพวกเขาและตรัสว่า "พวกหน้าซื่อใจคด เจ้าทดลองเราทำไม?19จงเอาเหรียญที่จะเสียส่วยนั้นมาให้เราดู" จากนั้นพวกเขาจึงนำเงินหนึ่งเดนาริอันถวายพระองค์20พระเยซูจึงตรัสถามพวกเขาว่า "รูปและชื่อนี้เป็นของใคร?"21พวกเขาจึงทูลพระองค์ว่า "เป็นของซีซาร์" พระเยซูจึงตรัสกับพวกเขาว่า "เหตุฉะนั้นของของซีซาร์จงถวายแก่ซีซาร์ และของของพระเจ้าจงถวายแด่พระเจ้า"22เมื่อพวกเขาได้ยินดังนั้นแล้ว พวกเขาก็ประหลาดใจ พวกเขาจึงละพระองค์ไว้และพากันกลับไป23ในวันเดียวกันนั้นได้มีบางคนในพวกสะดูสีมาหาพระองค์ ซึ่งพวกสะดูสีนี้เป็นผู้ที่ได้กล่าวว่า การฟื้นขึ้นมาจากความตายนั้นไม่มี พวกเขาทูลถามพระองค์ว่า24"พระอาจารย์ โมเสสสั่งว่า 'ถ้าผู้ตายยังไม่มีบุตร ก็จำเป็นที่จะให้น้องชายแต่งงานกับภรรยาของื้อสำหรับงานอภิเษกสมรสื้อสายของพี่ชายไว้'25พวกเขามีพี่น้องผู้ชายด้วยกันทั้งหมดเจ็ดคน ฝ่ายพี่ชายคนหัวปีแต่งงานและตายไป โดยที่ยังไม่มีบุตร ก็ละภรรยาไว้ให้กับน้องชาย26ฝ่ายน้องชายคนที่สองก็ตายและไม่มีบุตรเช่นกัน คนที่สามก็เหมือนกัน จนถึงคนที่เจ็ด27และในที่สุดผู้หญิงนั้นก็ตายด้วย28ดังนั้นในวันที่จะฟื้นขึ้นมาจากความตายหญิงนั้นจะเป็นภรรยาของใครในพี่น้องทั้งเจ็ดคนนั้น? เพราะว่าเธอนั้นได้เป็นภรรยาของชายทั้งเจ็ดคนนั้นแล้ว"29แต่พระเยซูตรัสตอบกับพวกเขาว่า "ท่านเข้าใจผิดแล้ว เพราะท่านไม่รู้พระคัมภีร์หรือฤทธิ์เดชของพระเจ้า30ด้วยว่าเมื่อมนุษย์เป็นขึ้นมาจากความตายนั้น จะไม่มีการสมรสหรือยกให้เป็นสามีภรรยากันอีก แต่พวกเขาจะเป็นเหมือนบรรดาทูตในฟ้าสวรรค์31แต่เรื่องคนตายกลับฟื้นขึ้นมานั้น ท่านยังไม่ได้อ่านที่พระเจ้าตรัสไว้กับพวกท่านหรือว่า32'เราเป็นพระเจ้าของอับราฮัม เป็นพระเจ้าของอิสอัค และเป็นพระเจ้าของยาโคบ' พระเจ้าไม่ได้เป็นพระเจ้าของคนตาย แต่เป็นพระเจ้าของคนเป็น"33เมื่อฝูงชนได้ยินอย่างนัั้นแล้วก็พากันประหลาดใจในคำสอนของพระองค์34แต่เมื่อพวกฟาริสีได้ยินว่าพระเยซูทำให้พวกสะดูสีนิ่งเงียบไป พวกเขาจึงได้รวมตัวกัน35มีนักกฏหมายคนหนึ่งซึ่งอยู่ท่ามกลางพวกเขาได้ทดลองพระองค์โดยทูลถามพระองค์ว่า36"ท่านอาจารย์ ในธรรมบัญญัตินั้น พระบัญญัติข้อไหนสำคัญที่สุด?"37พระเยซูตรัสกับเขาว่า '"จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าของเจ้า ด้วยสุดใจของเจ้า ด้วยสุดจิตของเจ้า และด้วยสุดความคิดของเจ้า'38นี่แหละเป็นพระบัญญัติข้อใหญ่และข้อแรก39และพระบัญญัติข้อที่สองก็เหมือนกันคือ 'จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง'40ธรรมบัญญัติและบรรดาคำของผู้เผยพระวจนะทั้งสิ้น ก็ขึ้นอยู่กับพระบัญญัติทั้งสองข้อนี้"41ขณะที่พวกฟาริสียังอยู่ที่นั่นด้วยกัน พระเยซูตรัสถามพวกเขาว่า42"พวกท่านคิดอย่างไรเกี่ยวกับพระคริสต์ พระองค์ทรงเป็นบุตรของผู้ใด" พวกเขาจึงทูลพระองค์ว่า "เป็นบุตรของดาวิด"43พระเยซูตรัสถามพวกเขาว่า "ถ้าอย่างนั้นทำไมดาวิดจึงทรงเรียกพระองค์ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าโดยเดชพระวิญญาณและทรงกล่าวว่า44'พระเจ้าตรัสกับองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าว่า "จงนั่งที่ขวามือของเรา จนกว่าเราจะปราบศัตรูของท่านให้อยู่ใต้เท้าของท่านเล่า?'"45ถ้าดาวิดเรียกพระคริสต์ว่า 'องค์พระผู้เป็นเจ้า' แล้วพระองค์จะเป็นบุตรของดาวิดได้อย่างไร?"46ไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดสามารถตอบคำถามของพระองค์ได้สักคำหนึ่ง ตั้งแต่วันนั้นมา ไม่มีใครกล้าซักถามพระองค์อีกต่อไป
1หลังจากนั้นพระเยซูได้ตรัสกับฝูงชนและกับบรรดาสาวกของพระองค์2พระองค์ตรัสว่า "พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสีนั่งบนที่นั่งของโมเสส3เหตุฉะนั้น ทุกสิ่งที่พวกเขาสั่งสอนพวกท่าน จงประพฤติตาม แต่อย่าเลียนแบบในสิ่งที่พวกเขากระทำ เพราะว่าพวกเขาสอนสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ แต่พวกเขาหาทำตามที่พวกเขาสอนไม่4ด้วยว่าพวกเขาเอาภาระหนักซึ่งยากที่จะแบกวางไว้บนบ่ามนุษย์ แต่ฝ่ายพวกเขาแม้แต่นิ้วเดียวก็ไม่ยอมจับต้องเลย5การกระทำของพวกเขาทุกอย่างก็เพื่อเป็นการอวดให้คนอื่นได้เห็น พวกเขาทำกลักพระธรรมขนาดใหญ่และสวมเสื้อที่มีพู่ห้อยยาว6พวกเขาชอบที่นั่งอันมีเกียรติในงานเลี้ยงและที่นั่งตำแหน่งสูงในธรรมศาลา7และชอบรับการคำนับที่กลางตลาดและชอบให้ผู้คนเรียกพวกเขาว่า 'อาจารย์'8แต่ฝ่ายพวกท่านอย่าให้ใครเรียกพวกท่านว่า 'ท่านอาจารย์' เพราะว่าพวกท่านมีพระอาจารย์แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น และพวกท่านทุกคนเป็นพี่น้องกัน9และอย่าเรียกผู้ใดในโลกว่าเป็นบิดาของพวกท่านเลย เพราะว่าพวกท่านมีพระบิดาองค์เดียวคือพระองค์ผู้ทรงสถิตในสวรรค์10อย่าให้ผู้ใดเรียกพวกท่านว่า 'พระครู' เพราะว่าพระครูของพวกท่านมีแต่ผู้เดียวคือพระคริสต์11เพราะว่าผู้ใดที่เป็นใหญ่ที่สุดในพวกท่าน ผู้นั้นจะเป็นผู้รับใช้ของพวกท่านทั้งหลาย12ผู้ใดที่ยกตัวขึ้น ผู้นั้นจะถูกทำให้ต่ำลง และผู้ใดที่ถ่อมตัวลง ผู้นั้นจะได้รับการยกขึ้น13แต่ว่าวิบัติแก่พวกเจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี พวกหน้าซื่อใจคด ด้วยว่าพวกเจ้าได้ปิดประตูแห่งสวรรค์ไว้จากมนุษย์ เพราะว่าพวกเจ้าเองไม่ยอมเข้าไป และเมื่อคนอื่นจะเข้าไปพวกเจ้าก็ไม่ยอม14วิบัติแก่พวกเจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด พวกเจ้าล้างผลาญบ้านของหญิงม่าย ในขณะที่พวกเจ้าทำทีเป็นอธิษฐานเสียยืดยาว พวกเจ้าจะได้รับการลงโทษที่ร้ายแรงยิ่งกว่า15วิบัติแก่พวกเจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด ด้วยว่าพวกเจ้าเที่ยวไปทั่วทั้งทางทะเลและทางบก เพื่อจะได้คนเดียวเข้าจารีต และเมื่อได้แล้วพวกเจ้าก็ทำให้เขากลายเป็นลูกแห่งนรกยิ่งกว่าตัวพวกเจ้าเองถึงสองเท่า16วิบัติแก่พวกเจ้า คนนำทางคนตาบอด พวกเจ้ากล่าวว่า 'ผู้ใดจะสาบานโดยอ้างพระวิหาร คำสาบานนั้นไม่ผูกมัด แต่ผู้ใดจะสาบานโดยอ้างทองคำของพระวิหาร ผู้นั้นจะต้องทำตามคำสาบาน'17พวกเจ้าผู้ตาบอดและโฉดเขลาเอ๋ย สิ่งไหนจะสำคัญกว่า ทองคำหรือพระวิหารที่กระทำให้ทองคำนั้นศักดิ์สิทธิ์?18และว่า 'ผู้ใดที่สาบานโดยอ้างแท่นบูชานั้น คำสาบานนั้นไม่ผูกมัด แต่ผู้ใดที่สาบานโดยอ้างเครื่องถวายบนแท่นบูชานั้น ผู้นั้นต้องทำตามคำสาบาน'19พวกเจ้าคนตาบอดเอ๋ย สิ่งไหนสำคัญกว่า เครื่องถวายบนแท่นบูชาหรือแท่นบูชาที่ทำให้เครื่องถวายบนแท่นบูชานั้นศักดิ์สิทธิ์?20เหตุฉะนั้น ผู้ใดจะสาบานโดยอ้างแท่นบูชาก็สาบานโดยอ้างแท่นบูชาและสิ่งสารพัดซึ่งตั้งอยู่บนแท่นนั้นด้วย21และผู้ใดจะสาบานโดยอ้างพระวิหารก็สาบานโดยอ้างพระองค์ผู้ทรงสถิตในพระวิหารนั้นด้วย22และผู้ใดจะสาบานโดยอ้างสวรรค์ก็สาบานโดยอ้างพระที่นั่งของพระเจ้าและอ้างพระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่งนั้นด้วย23วิบัติแก่พวกเจ้า พวกธรรมาจาราย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด ด้วยว่าพวกเจ้าถวายสิบลดที่เป็นสะระแหน่และลูกผักชีและยี่หร่า แต่พวกเจ้าละทิ้งสิ่งที่สำคัญในธรรมบัญญัติ คือความยุติธรรมและความเมตตาและความเชื่อ ซึ่งสิ่งเหล่านี้พวกเจ้าควรทำและไม่ควรละเลย24พวกเจ้าผู้นำคนตาบอดเอ๋ย เจ้ากรองลูกน้ำทั้งตัวแต่เจ้ากลับกลืนตัวอูฐเข้าไป25วิบัติแก่พวกเจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด ด้วยว่าพวกเจ้าทำความสะอาดถ้วยชามแต่ภายนอก แต่ว่าข้างในของถ้วยชามนั้นเต็มไปด้วยการโจรกรรมและการมัวเมากิเลส26พวกเจ้า ฟาริสีตาบอดเอ๋ย จงชำระถ้วยชามภายในเสียก่อน แล้วข้างนอกก็จะสะอาดด้วย27วิบัติแก่พวกเจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด ด้วยว่าพวกเจ้าเป็นเหมือนอุโมงค์ฝังศพซึ่งฉาบด้วยปูนขาว ข้างนอกมองดูสวยงาม แต่ข้างในเต็มด้วยกระดูกคนตายและทุกสิ่งที่โสโครก28พวกเจ้าทั้งหลายเป็นอย่างนั้นเช่นกัน ภายนอกที่ปรากฏแก่มนุษย์นั้นเป็นคนชอบธรรม แต่ภายในของพวกเจ้าเต็มไปด้วยความหน้าซื่อใจคดและความชั่วช้า29วิบัติแก่พวกเจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด ด้วยว่าพวกเจ้าสร้างบรรดาอุโมงค์ฝังศพของเหล่าผู้เผยพระวจนะและตกแต่งอุโมงค์ฝังศพของบรรดาผู้ชอบธรรมให้งดงาม30พวกเจ้ากล่าวว่า 'ถ้าพวกเราได้อยู่ในสมัยบรรพบุรุษของพวกเรานั้น พวกเราจะไม่มีส่วนในการทำให้โลหิตของเหล่าผู้เผยพระวจนะตกเลย'31อย่างนั้นเจ้าทั้งหลายก็เป็นพยานปรักปรำตัวพวกเจ้าเองว่า พวกเจ้าเป็นบุตรของคนเหล่านั้นซึ่งได้ฆ่าบรรดาผู้เผยพระวจนะ32พวกเจ้าทั้งหลายจงทำตามที่บรรพบุรุษของพวกเจ้าได้กระทำให้ครบถ้วนเถิด33เจ้าพวกงู พวกชาติงูร้าย พวกเจ้าจะหนีจากการลงโทษแห่งนรกได้อย่างไร?34เหตุฉะนั้น ดูเถิด เราได้ส่งพวกผู้เผยพระวจนะ พวกนักปราชญ์ และพวกธรรมาจารย์ไปหาพวกเจ้า พวกเจ้าก็ฆ่าเสียบ้าง ตรึงเสียที่กางเขนบ้าง และพวกเจ้าก็เฆี่ยนตีพวกเขาในธรรมศาลาของพวกเจ้าและข่มเหงไล่ออกจากเมืองนี้ไปเมืองนั้นบ้าง35ดังนั้นบรรดาโลหิตอันชอบธรรมได้ตกยังแผ่นดินโลก ตั้งแต่โลหิตของอาเบลผู้ชอบธรรมถึงโลหิตของเศคาริยาห์บุตรชายของเบเรคิยาห์ผู้ซึ่งเจ้าได้ฆ่าเสียที่ระหว่างพระวิหารและแท่นบูชา36เราบอกพวกเจ้าด้วยความจริงว่า สิ่งทั้งปวงเหล่านี้จะมาเหนือคนในยุคนี้37เยรูซาเล็ม โอ้ เยรูซาเล็ม เมืองที่ฆ่าบรรดาผู้เผยพระวจนะและเอาหินขว้างบรรดาผู้ที่ถูกส่งมาให้เจ้า เราใคร่จะรวบรวมบรรดาลูกๆ ของเจ้าอยู่เนืองๆ เหมือนแม่ไก่ที่รวบรวมลูกๆ ของมันไว้ใต้ปีก แต่เจ้ากลับไม่ยอม38ดูเถิด บ้านเมืองของเจ้าจะถูกทิ้งให้รกร้าง39เพราะเรากล่าวกับเจ้าว่า ตั้งแต่นี้ต่อไปเจ้าจะไม่เห็นเราอีก จนกว่าเจ้าจะกล่าวว่า 'สรรเสริญแด่พระเจ้าผู้ซึ่งเสด็จมาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า'
1พระเยซูเสด็จออกจากพระวิหารและขณะที่พระองค์ทรงดำเนินตามทางก็มีเหล่าสาวกของพระองค์ได้มาหาพระองค์และชี้ไปยังตึกทั้งหลายที่อยู่ในบริเวณพระวิหาร2แต่พระองค์ตรัสตอบพวกเขาว่า "พวกท่านเห็นสิ่งเหล่านี้แล้วไม่ใช่หรือ? เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า ก้อนหินที่ซ้อนทับกันนี้จะไม่มีสักก้อนเดียวที่จะไม่ถูกทำให้พังทะลายลงมา"3ขณะที่พระองค์ประทับบนภูเขามะกอกเทศ บรรดาสาวกได้มาเฝ้าพระองค์เป็นส่วนตัวและทูลว่า "ขอโปรดบอกแก่ข้าพระองค์ทั้งหลายด้วยเถิดว่า สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่? อะไรจะเป็นหมายสำคัญแห่งการเสด็จมาของพระองค์และวาระสุดท้ายของยุคนี้หรือ?"4พระเยซูตรัสตอบพวกเขาว่า "ระวังให้ดี อย่าให้ใครนำพวกท่านให้หลงไป5เพราะว่าจะมีหลายคนมาโดยอ้างนามของเรา ด้วยการกล่าวว่า 'เราคือพระคริสต์' และจะล่อลวงคนเป็นอันมากให้หลงไป6พวกท่านจะได้ยินถึงเรื่องของสงครามและข่าวลือเรื่องสงคราม จงเข้าใจเพื่อพวกท่านจะไม่ตระหนก เพราะว่าสิ่งเหล่านี้จำเป็นที่จะต้องเกิดขึ้น แต่ที่สุดของปลายยุคนั้นยังมาไม่ถึง7เพราะว่าประชาชาติจะลุกขึ้นต่อสู้กับประชาชาติ ราชอาณาจักรต่อสู้กับราชอาณาจักร รวมทั้งจะเกิดการกันดารอาหารและแผ่นดินไหวในที่ต่างๆ8แต่สิ่งทั้งปวงเหล่านี้เป็นเพียงการเริ่มต้นของความเจ็บปวดเมื่อจะคลอดบุตรเท่านั้น9หลังจากนั้นพวกเขาจะมอบตัวของพวกท่านไว้ให้ทนทุกข์ลำบากและจะฆ่าพวกท่านเสีย พวกท่านจะถูกบรรดาชนชาติทั้งหมดเกลียดชังเพื่อเห็นแก่นามของเรา10หลังจากนั้นคนจำนวนมากจะสะดุดและทรยศกัน รวมทั้งจะเกลียดชังกันเองด้วย11ผู้เผยพระวจนะเท็จจำนวนมากจะลุกขึ้นและนำคนมากมายให้หลงไป12เพราะว่าการไม่เคารพกฎหมายจะเพิ่มมากขึ้น และความรักของคนเป็นอันมากจะเยือกเย็นลง13แต่ผู้ที่ทนได้จนถึงที่สุด ผู้นั้นจะได้รับการช่วยให้รอด14ข่าวประเสริฐเรื่องราชอาณาจักรนี้จะถูกเทศนาไปทั่วโลกโดยเป็นดั่งคำพยานแก่บรรดาประชาชาติทั้งปวง แล้วที่สุดปลายจะมาถึง15เหตุฉะนั้น เมื่อท่านทั้งหลายเห็นสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนซึ่งทำให้เกิดความหดหู่ใจ ตามที่ดาเนียลผู้เผยพระวจนะได้กล่าวไว้ จงตั้งมั่นอยู่ในสถานอันบริสุทธิ์" (ให้ผู้อ่านเข้าใจเอาเองเถิด)16"จงให้ผู้คนที่อยู่ในแคว้นยูเดียหนีไปยังบรรดาภูเขาทั้งหลาย17ผู้ที่อยู่บนดาดฟ้าหลังคาบ้าน อย่าลงมาเก็บข้าวของใดๆ ออกจากบ้านของตน18และผู้ที่อยู่ตามไร่นา อย่ากลับไปเอาเสื้อผ้าของตน19แต่วิบัติแก่คนเหล่านั้นที่มีลูกเล็ก และผู้ที่ให้นมบุตรอยู่ในช่วงเวลาเหล่านั้น20จงอธิษฐานเพื่อการที่ต้องหนีของพวกท่านนั้นจะไม่เกิดขึ้นในช่วงฤดูหนาวหรือในวันสะบาโต21ด้วยว่าวันแห่งความทุกข์ลำบากครั้งยิ่งใหญ่นั้นจะมาอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนตั้งแต่จุดเริ่มต้นของโลกมาจนกระทั่งบัดนี้ และจะไม่มีอีกเลย22ถ้าหากวันเหล่านั้นไม่ได้ถูกย่นสั้นเข้าก็จะไม่มีมนุษย์คนใดถูกช่วยให้รอดได้ แต่เพราะเห็นแก่คนที่พระองค์ทรงเลือก วันเหล่านั้นจึงถูกย่นให้สั้นลง23และถ้ามีคนกล่าวกับพวกท่านว่า 'ดูเถิด พระคริสต์อยู่ที่นี่' หรือ 'พระคริสต์อยู่ที่โน่น' อย่าได้เชื่อ24ด้วยว่าจะมีบรรดาพระคริสต์เทียมและพวกผู้เผยพระวจนะเท็จปรากฏขึ้นมาและจะสำแดงหมายสำคัญกับการอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ ถ้าเป็นได้พวกเขาจะล่อลวงบรรดาผู้ที่ทรงเลือกให้หลงไป25ดูเถิด เราได้บอกท่านทั้งหลายก่อนที่เวลานั้นจะมาถึง26ด้วยเหตุนี้ ถ้าพวกเขาได้บอกพวกท่านว่า 'ดูเถิด พระองค์ประทับในถิ่นทุรกันดาร' ก็จงอย่าออกไป หรือพวกเขากล่าวว่า 'ดูเถิด พระองค์ประทับในห้อง' ก็จงอย่าเชื่อ27ด้วยว่าฟ้าแลบส่องมาจากทิศตะวันออกไปจนจรดทิศตะวันตกอย่างไร การเสด็จมาของบุตรมนุษย์ก็จะเป็นอย่างนั้น28ด้วยว่าซากศพอยู่ที่ไหน ฝูงแร้งก็จะอยู่ที่นั่น29แต่หลังจากความทุกข์ยากลำบากในวันเหล่านั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว ดวงอาทิตย์ก็จะมืดดับไปทันที ดวงจันทร์ก็จะไม่ส่องแสง ดวงดาวก็จะตกลงมาจากท้องฟ้าและบรรดาสิ่งที่มีอำนาจในฟ้าสวรรค์ก็จะถูกทำให้สั่นไหว30ต่อจากนั้นหมายสำคัญแห่งบุตรมนุษย์จะปรากฏขึ้นในท้องฟ้า และมนุษย์ทุกเผ่าพันธ์ุบนโลกนี้จะคร่ำครวญ พวกเขาจะเห็นบุตรมนุษย์มาบนเมฆในท้องฟ้า พร้อมด้วยฤทธานุภาพและสง่าราศีอย่างยิ่งใหญ่31พระองค์จะส่งบรรดาทูตสวรรค์ของพระองค์พร้อมด้วยเสียงแตรอันดังยิ่ง และพวกเขาจะรวบรวมบรรดาคนที่พระองค์ทรงเลือกสรรไว้แล้วจากลมทั้งสี่ทิศและจากที่สุดของปลายฟ้าข้างหนึ่งสู่ปลายฟ้าข้างโน้น32จงเรียนรู้จากต้นมะเดื่อ เพราะว่าเมื่อใดที่เริ่มแตกหน่ออ่อนและออกใบ ท่านทั้งหลายย่อมรู้ว่าฤดูร้อนใกล้เข้ามาแล้ว33เช่นเดียวกัน เมื่อพวกท่านเห็นสิ่งเหล่านี้ พวกท่านควรทราบว่าพระองค์เสด็จมาใกล้จะถึงประตูแล้ว34เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า คนในยุคนี้จะไม่ล่วงลับไปก่อนที่สิ่งทั้งปวงเหล่านี้จะเกิดขึ้น35ฟ้าและดินจะล่วงไป แต่ถ้อยคำของเราจะไม่มีวันตายไป36แต่เกี่ยวกับวันนั้นและชั่วโมงนั้นย่อมไม่มีใครรู้ แม้แต่เหล่าทูตสวรรค์แห่งท้องฟ้า หรือพระบุตรก็ยังไม่รู้ มีแต่พระบิดาเท่านั้นที่รู้37ด้วยว่าสมัยของโนอาห์เป็นอย่างไร การเสด็จมาของบุตรมนุษย์ก็จะเป็นอย่างนั้น38ด้วยว่าก่อนที่จะมีน้ำท่วมโลกนั้นผู้คนพากันกินและดื่ม ทำการสมรสและยกให้เป็นสามีภรรยากัน จนกระทั่งถึงวันที่โนอาห์ได้เข้าไปในเรือแล้ว39และพวกเขาไม่รู้อะไรเลย จนกระทั่งน้ำท่วมและกวาดเอาพวกเขาไปสิ้นทุกคน เมื่อบุตรมนุษย์จะเสด็จมาก็จะเป็นอย่างนั้นด้วย40ในเวลานั้นมีชายสองคนอยู่ในทุ่งนา จะทรงรับคนหนึ่งและทิ้งอีกคนหนึ่งไว้41หญิงสองคนที่กำลังโม่แป้งอยู่ที่โรงโม่ จะทรงรับคนหนึ่งและทิ้งอีกคนหนึ่งไว้42เหตุฉะนั้นพวกท่านจงเฝ้าระวังอยู่ ด้วยว่าพวกท่านไม่รู้ว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าของพวกท่านจะเสด็จมาเวลาใด43แต่จงทราบอย่างนี้ว่า ถ้าเจ้าของบ้านล่วงรู้ได้ว่าขโมยจะมาในเวลาใด เขาก็จะเฝ้าระวังและจะไม่ยอมให้ขโมยเข้าไปในบ้านของเขาได้44เพราะเหตุนี้พวกท่านก็จงเตรียมพร้อมไว้เช่นกัน ด้วยว่าบุตรมนุษย์จะมาในเวลาที่ท่านไม่คิดไม่ฝัน45ดังนั้น ใครที่เป็นคนรับใช้ที่สัตย์ซื่อและฉลาด ที่นายตั้งเขาไว้เหนือพวกคนรับใช้เพื่อแจกอาหารตามเวลาหรือ?46เมื่อนายมาพบว่าเขากำลังทำอย่างนั้น ผู้นั้นก็จะเป็นสุข47เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่านายจะตั้งให้คนรับใช้คนนั้นให้ดูแลบรรดาข้าวของของเขาทุกอย่าง48แต่ถ้าคนรับใช้ที่ชั่วช้าคิดในใจว่า 'นายของข้าคงมาช้า'49และเริ่มต้นโบยตีบรรดาเพื่อนที่เป็นคนรับใช้และดื่มกินกับพวกขี้เมา50แล้วนายของคนรับใช้นั้นจะมาในวันที่เขาไม่คิดและในเวลาที่เขาไม่รู้51นายของเขาจะตัดเขาออกเป็นชิ้นๆ และส่งเขาให้ไปอยู่ในที่เดียวกันกับพวกหน้าซื่อใจคด ซึ่งที่นั่นจะมีแต่การร้องไห้และขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
1ราชอาณาจักรสวรรค์จะเปรียบเหมือนหญิงพรหมจารีสิบคนถือตะเกียงของตนและออกไปรับเจ้าบ่าว2ในพวกเธอเป็นคนโง่ห้าคนและคนที่มีปัญญาห้าคน3ฝ่ายหญิงพรหหมจารีที่เป็นคนโง่นั้นได้ถือตะเกียงของพวกเธอไปแต่ว่าไม่ได้เอาน้ำมันไปด้วย4แต่หญิงหรหมจารีที่มีปัญญานั้นได้นำภาชนะที่บรรจุน้ำมันไปพร้อมกับตะเกียงของพวกเธอด้วย5เนื่องจากเจ้าบ่าวมาล่าช้า พวกเธอจึงง่วงเหงาและพากันหลับไป6แต่ในตอนเที่ยงคืนนั้นก็มีเสียงหนึ่งร้องว่า 'ดูเถิด เจ้าบ่าวมาแล้ว จงออกไปและต้อนรับเขาเถิด'7หญิงพรหมจารีทั้งหมดก็ตื่นขึ้นและตกแต่งตะเกียงของพวกเธอ8ฝ่ายคนโง่นั้นพูดกับคนที่มีปัญญาว่า 'ขอน้ำมันของท่านให้เราบ้าง เพราะว่าตะเกียงของเราจวนจะดับแล้ว'9แต่ฝ่ายคนที่มีปัญญากล่าวตอบพวกเธอไปว่า 'น้ำมันมีไม่เพียงพอสำหรับทั้งพวกเราและพวกท่าน จงออกไปหาคนขายและซื้อสำหรับตัวของพวกท่านเองเถิด'10ขณะที่พวกเธอออกไปซื้อน้ำมันนั้น เจ้าบ่าวก็มาถึง และพวกที่เตรียมพร้อมก็ไปกับท่านและร่วมงานเลี้ยงสมรสนั้น แล้วประตูก็ปิดลง11ภายหลังพวกหญิงพรหมจารีอีกพวกหนึ่งก็มาถึงและร้องว่า 'นายเจ้าข้า นายเจ้าข้า ขอเปิดประตูให้พวกเราด้วย'12แต่ท่านตอบว่า 'เรากล่าวความจริงกับพวกเจ้าว่า เราไม่รู้จักพวกเจ้า'13เหตุฉะนั้น พวกท่านจงเฝ้าระวังอยู่ เพราะว่าพวกท่านไม่รู้วันและเวลานั้น14ราชอาณาจักรสวรรค์ยังเปรียบเหมือนชายคนหนึ่งจะออกเดินทางไปยังอีกประเทศหนึ่ง เขาจึงเรียกบรรดาคนรับใช้ของเขามาและให้ดูแลทรัพย์สินของเขา15คนหนึ่งเขาให้ห้าตะลันต์ อีกคนหนึ่งเขาให้สองตะลันต์ และอีกคนหนึ่งเขาให้ตะลันต์เดียว ซึ่งแต่ละคนได้รับตามความสามารถของพวกเขาเอง และชายคนนี้ก็ออกเดินทางไป16คนที่ได้รับห้าตะลันต์นั้นก็ออกไปทันทีและเอาไปลงทุน และได้กำไรมาอีกห้าตะลันต์17ในทำนองเดียวกัน คนที่ได้รับสองตะลันต์ก็ได้กำไรมาอีกสองตะลันต์ด้วย18แต่คนรับใช้ที่ได้รับตะลันต์เดียวก็ออกไป ขุดหลุม และเอาเงินของเจ้านายซ่อนไว้19หลังจากผ่านไปเป็นเวลานาน เจ้านายของพวกคนรับใช้ก็กลับมาและคิดบัญชีกับพวกเขา20คนที่ได้รับห้าตะลันต์มาพร้อมกับเงินที่ได้กำไรอีกห้าตะลันต์ เขากล่าวว่า 'นายเจ้าข้า ท่านได้ให้เงินห้าตะลันต์แก่ข้า ดูเถิดข้าได้กำไรมาอีกห้าตะลันต์'21นายจึงกล่าวแก่เขาว่า 'เจ้าทำดีแล้วและเจ้าเป็นคนรับใช้ที่ดีและสัตย์ซื่อ เจ้าสัตย์ซื่อในของเล็กน้อย เราจะตั้งให้เจ้าดูแลของจำนวนมาก จงเปรมปรีดิ์ร่วมกับเจ้านายของเจ้าเถิด'22คนที่ได้รับสองตะลันต์ก็เข้ามาและกล่าวว่า 'นายเจ้าข้า ท่านได้ให้เงินแก่ข้าสองตะลันต์ ดูเถิด ข้าได้กำไรมาอีกสองตะลันต์'23นายของเขาจึงกล่าวว่า 'เจ้าทำดีแล้ว เจ้าเป็นคนรับใช้ที่ดีและสัตย์ซื่อ เจ้าสัตย์ซื่อในของเล็กน้อย เราจะตั้งให้เจ้าดูแลของจำนวนมาก จงเปรมปรีดิ์ร่วมกับเจ้านายของเจ้าเถิด'24หลังจากนั้น คนรับใช้ที่ได้รับตะลันต์เดียวก็เข้ามาและกล่าวว่า 'นายเจ้าข้า ข้าพเจ้าทราบว่าท่านเป็นคนเข้มงวด ท่านเกี่ยวผลในสิ่งที่ท่านไม่ได้หว่าน และเก็บเกี่ยวในสิ่งที่ท่านไม่ได้โปรย25ข้าพเจ้ากลัวจึงได้ออกไปและนำเงินตะลันต์ของท่านซ่อนไว้ในดิน ดูซิ นี่คือเงินของท่าน'26แต่เจ้านายตอบเขาว่า 'เจ้าคนรับใช้ผู้ชั่วช้าและขี้เกียจ เจ้ารู้แล้วว่าเราเกี่ยวผลในสิ่งที่เราไม่ได้หว่านและเกี่ยวในสิ่งที่เราไม่ได้โปรย27เหตุฉะนั้น เจ้าควรจะเอาเงินของเราไปฝากธนาคาร และเมื่อเรามาเราก็จะได้รับเงินรวมทั้งดอกเบี้ยคืนมาด้วย28เพราะฉะนั้น จงเอาเงินตะลันต์จากเขามาและนำไปให้กับคนรับใช้ที่มีสิบตะลันต์นั้น29ด้วยว่าทุกคนที่มีอยู่แล้วก็จะได้รับเพิ่มอีก จนกระทั่งมีอย่างเหลือเฟือ แต่ส่วนคนที่ไม่มี แม้ว่าที่เขามีอยู่ก็จะต้องเอาไปจากเขา30จงโยนคนรับใช้ที่ไร้ค่านี้ไปยังที่มืดข้างนอก ซึ่งที่นั่นจะมีการร้องไห้และขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน'31เมื่อบุตรมนุษย์กลับมาด้วยพระสิริและพร้อมด้วยเหล่าทูตสวรรค์ เมื่อนั้นพระองค์จะประทับบนพระที่นั่งอันรุ่งเรืองของพระองค์32บรรดาประชาชาติทั้งปวงจะมารวมตัวกันต่อหน้าพระพักตร์พระองค์ และพระองค์จะทรงแยกคนพวกหนึ่งออกจากอีกพวกหนึ่ง เหมือนกับผู้เลี้ยงแกะที่แยกแกะออกจากแพะ33พระองค์จะให้ฝูงแกะอยู่ทางเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ แต่ให้ฝูงแพะอยู่เบื้องซ้ายของพระองค์34หลังจากนั้นกษัตริย์ก็จะตรัสแก่บรรดาผู้ที่อยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ว่า 'ท่านผู้ที่ได้รับพระพรจากพระบิดาของเรา จงมารับเอาราชอาณาจักรซึ่งได้เตรียมไว้สำหรับพวกท่านตั้งแต่แรกสร้างโลกเป็นมรดก35ด้วยว่าเมื่อเราหิว พวกท่านได้ให้อาหารแก่เรา เมื่อเรากระหาย พวกท่านก็ได้ให้เราดื่ม เมื่อเราเป็นแขกแปลกหน้า พวกท่านก็ได้ต้อนรับเรา36เมื่อเราเปลือยกาย พวกท่านก็ให้เสื้อผ้าแก่เราสวมใส่ เมื่อเราป่วย พวกท่านก็ดูแลเรา เมื่อเราอยู่ในคุก พวกท่านได้มาเยี่ยมเรา'37แล้วบรรดาผู้ชอบธรรมจะทูลว่า 'องค์พระผู้เป็นเจ้า ที่พวกข้าพระองค์เห็นพระองค์ทรงหิวและให้พระองค์รับประทาน หรือที่พระองค์กระหาย และให้พระองค์ดื่มนั้นตั้งแต่เมื่อไร?38และที่พวกข้าพระองค์เห็นว่าพระองค์ทรงเป็นคนแปลกหน้า และได้ต้อนรับพระองค์ไว้ หรือที่พระองค์ทรงเปลือยกาย พวกข้าพระองค์ได้สวมฉลองพระองค์ให้ตั้งแต่เมื่อไร?39และข้าพระองค์เห็นพระองค์ประชวรหรือถูกขังคุก และมาเฝ้าพระองค์ตั้งแต่เมื่อไร?'40และกษัตริย์จะตรัสตอบพวกเขาว่า 'เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า สิ่งที่พวกท่านได้ทำแก่คนหนึ่งคนใดในพี่น้องผู้เล็กน้อยที่สุดที่นี่ ก็เหมือนได้ทำกับเราด้วย'41และในเวลานั้นพระองค์จะตรัสแก่บรรดาผู้ที่อยู่เบื้องซ้ายพระหัตถ์ของพระองค์ว่า 'พวกเจ้าผู้ถูกแช่งสาปจงถอยออกไปจากเราและเข้าไปอยู่ในไฟที่ไหม้อยู่เป็นนิตย์ ซึ่งเตรียมไว้สำหรับมารร้ายและสมุนของมัน42เพราะว่าเมื่อเราหิว พวกเจ้าก็ไม่ได้ให้อาหารแก่เรา เมื่อเรากระหาย พวกเจ้าก็ไม่ได้ให้เราดื่ม43เมื่อเราเป็นแขกแปลกหน้า พวกเจ้าก็ไม่ได้ต้อนรับเรา เมื่อเราเปลือยกาย พวกเจ้าก็ไม่ได้ให้เสื้อผ้าแก่เราสวมใส่ เมื่อเราป่วย พวกเจ้าก็ไม่ได้ดูแลเรา เมื่อเราอยู่ในคุก พวกเจ้าก็ไม่ได้มาเยี่ยมเรา'44แล้วพวกเขาจะถามว่า 'องค์พระผู้เป็นเจ้า พวกข้าพระองค์เห็นพระองค์ทรงหิว หรือกระหาย หรือเป็นแขกแปลกหน้า หรือเปลือยกาย หรือประชวร หรือถูกขังคุก และพวกข้าพระองค์ไม่ได้ปรนนิบัติพระองค์ตั้งแต่เมื่อไร'45แล้วพระองค์ตรัสตอบพวกเขาว่า 'เราบอกความจริงกับพวกเจ้าว่า สิ่งซึ่งพวกเจ้าไม่ได้กระทำกับคนหนึ่งคนใดในพี่น้องผู้เล็กน้อยที่สุดเหล่านี้นั้น ก็เหมือนกับว่าพวกเจ้าไม่ได้กระทำแก่เราด้วย'46พวกคนเหล่านี้จะต้องออกไปรับโทษอยู่เป็นนิตย์ แต่ผู้ชอบธรรมจะเข้าสู่ชีวิตนิรันดร์"
1ต่อมาเมื่อพระเยซูตรัสถ้อยคำเหล่านั้นเสร็จแล้ว พระองค์จึงตรัสกับกับเหล่าสาวกของพระองค์ว่า2"พวกท่านรู้ว่าอีกสองวันจะถึงเทศกาลปัสกา และบุตรมนุษย์จะถูกอายัดให้ถูกตรึงที่กางเขน"3จากนั้นพวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกผู้ใหญ่ของประชาชนได้มาประชุมร่วมกันที่คฤหาสน์ของมหาปุโรหิตผู้ซึ่งมีชื่อว่าคายาฟาส4พวกเขาได้ปรึกษากันเพื่อจับกุมพระเยซูด้วยอุบายและฆ่าพระองค์เสีย5พวกเขาต่างพูดกันว่า "จะไม่ทำในช่วงเทศกาล เพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวายท่ามกลางประชาชน"6ในเวลานี้ระหว่างที่พระเยซูประทับที่หมู่บ้านเบธานีในบ้านของซีโมนคนโรคเรื้อน7ขณะที่พระเยซูทรงเอนพระกายลงที่โต๊ะ มีผู้หญิงคนหนึ่งมาเฝ้าพระองค์พร้อมถือผอบน้ำมันหอมซึ่งมีราคาแพงมาก แล้วเธอก็เทน้ำมันนั้นลงบนศีรษะของพระองค์8แต่เมื่อพวกสาวกของพระองค์เห็นดังนั้น พวกเขาโกรธและพูดว่า "เหตุใดจึงทำให้ของนี้เสียไป?9เพราะว่าถ้านำน้ำมันนี้ไปขายก็จะได้เงินมากมายมหาศาลและนำไปแจกจ่ายให้แก่คนจนได้"10แต่พระเยซูทรงทราบเรื่องนี้ จึงตรัสกับพวกเขาว่า "ทำไมพวกท่านจึงสร้างความลำบากให้ผู้หญิงนี้? ด้วยว่าเธอได้ทำสิ่งที่ดีงามเพื่อเรา11คนจนจะอยู่กับพวกท่านตลอดไป แต่เราจะไม่ได้อยู่กับพวกท่าน12ด้วยว่าการที่เธอได้เทน้ำมันบนกายของเรา เธอกระทำเพื่อการฝังศพของเรา13เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า ไม่ว่าที่ใดทั่วโลกนี้ที่ข่าวประเสริฐนี้ได้ถูกเทศนา สิ่งที่ผู้หญิงคนนี้ได้กระทำจะได้รับการกล่าวถึงเพื่อเป็นการระลึกถึงเธอ"14เวลานั้นคนหนึ่งในสาวกสิบสองคนชื่อยูดาส อิสคาริโอท ได้ไปหาพวกหัวหน้าปุโรหิต15และถามว่า "ถ้าข้าพเจ้ามอบพระองค์ให้กับพวกท่าน แล้วพวกท่านจะให้อะไรแก่ข้าพเจ้า?" พวกเขาตอบอย่างหนักแน่นว่าจะให้เหรียญเงินจำนวนสามสิบเหรียญแก่เขา16ตั้งแต่นั้นมา ยูดาสก็คอยหาช่องทางที่จะมอบพระองค์ให้กับพวกหัวหน้าปุโรหิต17ในวันแรกของเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อ บรรดาสาวกได้มาทูลถามพระเยซูว่า "พระองค์จะให้พวกข้าพระองค์จัดเตรียมปัสกาเพื่อให้พระองค์รับประทานที่ไหน?"18พระองค์ตรัสตอบว่า "จงเข้าไปในเมืองเพื่อหาผู้ชายคนหนึ่ง และบอกเขาว่า 'พระอาจารย์บอกว่า "เวลาของเรามาใกล้แล้ว เราจะถือเทศกาลปัสกาที่บ้านของท่านร่วมกับบรรดาสาวกของเรา"'"19บรรดาสาวกก็ทำตามที่พระเยซูรับสั่งนั้น และพวกเขาได้จัดเตรียมปัสกาไว้พร้อม20ครั้นถึงเวลาพลบค่ำ พระองค์นั่งลงเพื่อร่วมสำรับกับสาวกสิบสองคน21ขณะที่พระองค์กำลังเสวยนั้น พระองค์ตรัสว่า "เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่ามีคนหนึ่งในพวกท่านที่จะทรยศเรา"22พวกเขามีความทุกข์ใจเป็นอย่างมาก และแต่ละคนก็ทูลถามพระองค์ว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่ข้าพระองค์แน่นอนใช่ไหม?"23พระองค์ตรัสตอบว่า "คนที่เอามือจิ้มลงในชามเดียวกับเรานั่นแหละ คือคนที่จะทรยศเรา24บุตรมนุษย์จะเสด็จไปตามที่ได้เขียนไว้เกี่ยวกับพระองค์นั้น แต่วิบัติแก่คนที่ทรยศบุตรมนุษย์ ถ้าคนนั้นไม่เกิดมาก็จะดีกว่า"25ยูดาสผู้ซึ่งจะทรยศพระองค์ทูลถามว่า "พระอาจารย์ คือข้าพระองค์หรือ?" พระองค์ตรัสตอบเขาว่า "ท่านพูดเองแล้วนี่"26ขณะที่พวกเขากำลังรับประทานอยู่นั้น พระเยซูทรงหยิบขนมปังมา และเมื่อขอบพระคุณแล้วพระองค์ก็ทรงหัก และแจกจ่ายขนมปังนั้นให้บรรดาสาวกของพระองค์ และตรัสว่า "จงรับไปรับประทานเถิด นี่เป็นกายของเรา"27แล้วพระองค์ทรงหยิบถ้วยมาและเมื่อขอบพระคุณแล้วก็ส่งให้พวกเขาและตรัสว่า "จงรับไปดื่มทุกคนเถิด28เพราะว่านี่เป็นโลหิตของเราซึ่งเป็นโลหิตแห่งพันธสัญญาที่หลั่งออกมาเพื่อยกโทษบาปของคนจำนวนมาก29แต่เราบอกท่านทั้งหลายว่า เราจะไม่ดื่มน้ำจากผลของเถาองุ่นนี้อีกต่อไปจนกว่าจะถึงวันนั้น คือวันที่เราจะดื่มกันใหม่กับพวกท่านในราชอาณาจักรแห่งพระบิดาของเรา"30เมื่อพวกเขาร้องเพลงสรรเสริญแล้ว พวกเขาก็พากันไปยังภูเขามะกอกเทศ31ที่นั่นพระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า "ในคืนนี้พวกท่านทุกคนจะตีตัวออกห่างจากเรา ด้วยมีคำเขียนไว้ว่า 'เราจะตีผู้เลี้ยงแกะและฝูงแกะนั้นจะกระจัดกระจายไป'32แต่หลังจากที่เราฟื้นขึ้นมาแล้ว เราจะไปยังแคว้นกาลิลีก่อนหน้าพวกท่าน"33แต่เปโตรทูลพระองค์ว่า "แม้คนทั้งปวงจะออกห่างจากพระองค์ ข้าพระองค์จะไม่มีทางออกห่างเลย"34พระเยซูตรัสกับเขาว่า "เราบอกความจริงกับท่านว่า ในคืนนี้ก่อนไก่ขัน ท่านจะปฏิเสธเราสามครั้ง"35เปโตรทูลพระองค์ว่า "ถึงแม้ว่าข้าพระองค์จะต้องตายด้วยกันกับพระองค์ ข้าพระองค์ก็จะไม่ปฏิเสธพระองค์เลย" บรรดาสาวกคนอื่นๆ ก็ทูลเช่นนั้นเหมือนกันทุกคน36แล้วพระเยซููทรงพาพวกสาวกไปยังสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งเรียกว่า เกทเสมนี แล้วตรัสกับพวกสาวกของพระองค์ว่า "จงนั่งอยู่ที่นี่ ขณะที่เราไปอธิษฐานที่โน่น"37พระองค์ทรงนำเปโตร และบุตรชายทั้งสองของเศเบดีไปด้วย และพระองค์ทรงเริ่มโศกเศร้าและมีความทุกข์ในพระทัยยิ่งนัก38แล้วพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า "ใจของเราเป็นทุกข์แทบจะตาย จงอยู่และเฝ้าระวังกับเราที่นี่เถิด"39แล้วพระองค์เสด็จดำเนินไปอีกหน่อยหนึ่งก็ซบพระพักตร์ลงและอธิษฐานว่า "โอ ข้าแต่พระบิดาของข้าพระองค์ ถ้าเป็นไปได้ ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนออกไปจากข้าพระองค์เถิด แต่ขออย่าให้เป็นไปตามความประสงค์ของข้าพระองค์ แต่ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์เถิด"40พระองค์กลับมายังเหล่าสาวกของพระองค์และพบว่าพวกเขานอนหลับอยู่ แล้วพระองค์ตรัสกับเปโตรว่า "อะไรกัน พวกท่านจะเฝ้าระวังกับเราสักหนึ่งชั่วโมงไม่ได้หรือ?41จงเฝ้าระวังและอธิษฐานเพื่อพวกท่านจะไม่ต้องเข้าสู่การทดลอง จิตวิญญาณพร้อมแล้วก็จริง แต่กายยังอ่อนกำลังอยู่"42พระองค์จึงเสด็จไปที่นั่นและอธิษฐานเป็นครั้งที่สองว่า "โอ ข้าแต่พระบิดาของข้าพระองค์ ถ้าถ้วยนี้ไม่สามารถเลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์ได้ และข้าพระองค์จำต้องดื่มแล้ว ข้าพระองค์ก็จะทำตามน้ำพระทัยของพระองค์"43แล้วพระองค์ก็เสด็จมายังบรรดาสาวกของพระองค์อีกครั้งหนึ่งและพบว่าพวกเขายังคงนอนหลับอยู่ เพราะตาของพวกเขาลืมไม่ขึ้น44และพระองค์ก็เสด็จไปจากพวกเขาอีกครั้งหนึ่ง พระองค์อธิษฐานเป็นครั้งที่สามด้วยถ้อยคำเช่นเดิมอีก45แล้วพระเยซูก็เสด็จมายังพวกสาวกและตรัสว่า "พวกท่านยังจะนอนและพักผ่อนอยู่อีกหรือ? นี่แน่ะ เวลามาใกล้แล้ว บุตรมนุษย์จะถูกทรยศและมอบไว้ในมือของพวกคนบาป46จงลุกขึ้นและไปกันเถิด เพราะนี่แน่ะ คนที่ทรยศเรามาใกล้แล้ว"47ในขณะที่พระเยซูกำลังตรัสอยู่นั้น ยูดาสซึ่งเป็นคนหนึ่งในสิบสองคนก็มาถึง พร้อมกับคนกลุ่มใหญ่ซึ่งมาจากพวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกผู้ใหญ่ของประชาชนซึ่งถือดาบและไม้ตะบองมาด้วย48ถึงเวลานี้คนที่จะทรยศต่อพระเยซูก็ให้สัญญาณกับพวกเขาว่า "เราจุบใคร ก็เป็นผู้นั้นแหละ จงจับกุมเขาเถิด"49เขาจึงได้ไปหาพระเยซูอย่างทันทีทันใดและทูลว่า "สวัสดีพระอาจารย์" แล้วจุบพระองค์50พระเยซูทรงตรัสกับเขาว่า "สหายเอ๋ย จงทำตามที่ท่านตั้งใจเถิด" แล้วพวกเขาก็เข้ามาและยื่นมือเพื่อจับกุมพระเยซู51ดูเถิด มีคนหนึ่งซึ่งอยู่กับพระเยซูได้ยื่นมือชักดาบออก และตัดหูคนรับใช้ของมหาปุโรหิตขาด52พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า "จงเอาดาบของท่านใส่ในฝักเสีย ด้วยว่าทุกคนที่ใช้ดาบก็จะพินาศด้วยดาบ53ท่านคิดว่าเราจะทูลขอต่อพระบิดาของเราไม่ได้หรือ? และพระองค์จะประทานทูตสวรรค์มากกว่าสิบสองกองไม่ได้หรือ?54แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว ข้อพระคัมภีร์ที่ได้กล่าวไว้ว่า จำเป็นจะต้องเป็นอย่างนี้จะสำเร็จได้อย่างไร?"55ในเวลานั้น พระเยซูตรัสกับฝูงชนนั้นว่า "ท่านทั้งหลายมาหาเราด้วยดาบและไม้ตะบองและจับเรามัดเหมือนกับว่าเราเป็นโจรหรือ? เราได้สั่งสอนพวกท่านในพระวิหารทุกวันและพวกท่านก็หาได้จับเราไม่56แต่เหตุการณ์ทั้งปวงที่ได้เกิดขึ้นนี้ก็เพื่อที่จะสำเร็จตามที่ผู้เผยพระวจนะได้กล่าวเอาไว้" หลังจากนั้นสาวกทั้งหมดก็ละทิ้งพระองค์และพากันหนีไป57ผู้ที่จับกุมพระเยซูก็ได้นำพระองค์ไปหาคายาฟาสมหาปุโรหิต ที่ซึ่งบรรดาธรรมาจารย์และพวกผู้ใหญ่ประชุมกันอยู่58แต่เปโตรได้ติดตามพระองค์ไปห่างๆ จนถึงลานบ้านของมหาปุโรหิต เขาได้เข้าไปข้างในและนั่งอยู่กับบรรดาคนใช้เพื่อดูว่าเหตุการณ์นั้นจะจบลงอย่างไร59ในเวลานั้นพวกหัวหน้าปุโรหิตและบรรดาสมาชิกสภาได้หาพยานเท็จมาปรักปรำพระเยซูเพื่อที่จะประหารพระองค์เสีย60ถึงแม้ว่าจะมีพยานเท็จหลายคนมาให้การก็ยังหาหลักฐานไม่ได้ แต่หลังจากนั้นมีพยานเท็จสองคนได้มา61และให้การว่า "คนนี้ได้กล่าวว่า เราสามารถทำลายพระวิหารของพระเจ้าและสามารถที่จะสร้างขึ้นใหม่ภายในสามวัน"62มหาปุโรหิตจึงได้ลุกขึ้นและทูลถามพระองค์ว่า "ท่านจะไม่ตอบอะไรหรือ? คนเหล่านี้ได้เป็นพยานปรักปรำท่านด้วยเรื่องอะไรหรือ?"63แต่พระเยซูทรงนิ่งอยู่ มหาปุโรหิตจึงทูลพระองค์ว่า "เราขอสั่งท่านในนามของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ ให้บอกเราว่าท่านเป็นพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าหรือไม่"64พระเยซูจึงตรัสตอบเขาว่า "ท่านพูดแล้วนี่ แต่เราบอกท่านว่า ตั้งแต่นี้ต่อไป ท่านจะได้เห็นบุตรมนุษย์นั่งที่เบื้องพระหัตถ์ขวาของผู้ทรงฤทธิ์ และผู้ที่จะเสด็จมาบนเมฆแห่งฟ้าสวรรค์65แล้วมหาปุโรหิตได้ฉีกเสื้อผ้าของตนออกและกล่าวว่า "เขาพูดหมิ่นประมาทพระเจ้า แล้วเรายังต้องการพยานอีกหรือ? นี่แน่ะ ท่านก็ได้ยินเขาพูดหมิ่นประมาทพระเจ้าแล้ว66พวกท่านคิดอย่างไรหรือ?" พวกเขาจึงตอบว่า "เขาสมควรตาย"67แล้วพวกเขาก็ถ่มน้ำลายรดพระพักตร์ของพระองค์และเฆี่ยนตีพระองค์ และตบพระองค์ด้วยฝ่ามือของพวกเขา68และกล่าวว่า "ท่านผู้เป็นพระคริสต์ จงทำนายให้เรารู้ว่าใครตบเจ้าหรือ?"69ในขณะที่เปโตรนั่งอยู่ข้างนอกที่ลานบ้านอยู่นั้น มีสาวใช้คนหนึ่งเข้ามาหาเขาและพูดว่า "เจ้าได้อยู่ด้วยกันกับเยซูชาวกาลิลี"70แต่เปโตรปฏิเสธต่อหน้าคนทั้งปวงนั้น โดยกล่าวว่า "ที่เจ้าพูดนั้น ข้าไม่รู้เรื่อง"71เมื่อเขาเดินออกไปที่ประตูบ้าน มีสาวใช้อีกคนหนึ่งพบกับเขาและได้บอกกับคนทั้งหลายที่นั่นว่า "คนนี้ก็ได้อยู่ด้วยกันกับเยซูชาวนาซาเร็ธ"72และเปโตรก็ปฏิเสธอีกครั้งหนึ่ง ด้วยคำสาบานว่า "ข้าไม่รู้จักชายคนนั้น"73หลังจากนั้นสักครู่หนึ่ง คนทั้งหลายที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ กันนั้นก็เข้ามาและพูดกับเปโตรว่า "แน่แล้ว เจ้าเป็นคนหนึ่งในพวกนั้น ด้วยว่าสำเนียงของเจ้าส่อตัวเอง"74จากนั้นเปโตรก็เริ่มสบถและสาบานว่า "ข้าไม่รู้จักคนนั้น" ในทันใดนั้นไก่ก็ขัน75เปโตรจึงระลึกถึงคำที่พระเยซูเคยตรัสว่า "ก่อนไก่ขัน ท่านจะปฏิเสธเราสามครั้ง" แล้วเปโตรก็ออกไปข้างนอกและร้องไห้ด้วยความขมขื่นยิ่งนัก
1ครั้นถึงเวลารุ่งเช้า พวกหัวหน้าปุโรหิตทั้งหมดและพวกผู้ใหญ่ของประชาชนได้ปรึกษากันเพื่อที่จะประหารพระเยซูเสีย2พวกเขาจึงมัดพระองค์ และนำพระองค์ไปมอบกับปีลาตเจ้าเมือง3หลังจากนั้นยูดาส ผู้ซึ่งทรยศพระองค์ เห็นว่าพระเยซูถูกลงโทษก็กลับใจและนำเหรียญเงินสามสิบเหรียญคืนให้กับพวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกผู้ใหญ่4และกล่าวว่า "ข้าพเจ้าได้ทำบาปด้วยการทรยศโลหิตอันบริสุทธิ์" แต่คนเหล่านั้นกล่าวว่า "มันเกี่ยวอะไรกับเรา? มันเป็นเรื่องของเจ้าเอง"5จากนั้นเขาก็เอาเหรียญเงินโยนลงในพระวิหารและจากไป และเขาก็ไปผูกคอตาย6บรรดาพวกหัวหน้าปุโรหิตจึงเก็บเหรียญเงินนั้นมาและกล่าวว่า "มันเป็นการผิดธรรมบัญญัติถ้าเก็บเงินนี้ไว้ในคลัง เพราะว่าเป็นค่าโลหิต"7พวกเขาจึงปรึกษากันและนำเงินนี้ไปซื้อทุ่งของช่างหม้อสำหรับฝังศพคนต่างบ้านต่างเมือง8ด้วยเหตุนี้จึงเรียกทุ่งนั้นว่า "ทุ่งโลหิต" จนถึงทุกวันนี้9ครั้งนั้นก็สำเร็จตามพระวจนะโดยเยเรมีย์ผู้เผยพระวจนะ ซึ่งกล่าวว่า "พวกเขารับเงินสามสิบเหรียญ ซึ่งเป็นราคาของผู้นั้น ที่คนอิสราเอลตีราคาไว้10และพวกเขานำไปซื้อทุ่งของช่างหม้อ ตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงบัญชาข้าพเจ้า"11เมื่อพระเยซูทรงยืนต่อหน้าเจ้าเมือง แล้วเจ้าเมืองถามว่า "ท่านเป็นกษัตริย์ของพวกยิวหรือ?" พระเยซูตรัสตอบเขาว่า "ก็ท่านว่าแล้วนี่"12แต่เมื่อพวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกผู้ใหญ่ได้ฟ้องกล่าวโทษพระองค์ พระองค์จึงมิได้ตรัสตอบสิ่งใดๆ เลย13ในเวลานั้นปีลาตจึงกล่าวกับพระองค์ว่า "พวกเขาปรักปรำท่านหลายประการด้วยกัน ท่านไม่ได้ยินหรือ?"14แต่พระองค์ไม่ตรัสอะไรเลยแม้แต่คำเดียว ซึ่งเจ้าเมืองรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก15ในช่วงเทศกาลปัสกา มีธรรมเนียมที่เจ้าเมืองจะปล่อยนักโทษคนหนึ่งตามที่ฝูงชนต้องการ16ในเวลานั้นมีนักโทษอุกฉกรรจ์คนหนึ่งชื่อบารับบัส17ดังนั้นเมื่อเขามาประชุมร่วมกัน ปีลาตได้ถามพวกเขาว่า "พวกเจ้าปรารถนาจะให้เราปล่อยใครหรือ บารับบัสหรือว่าเยซูที่เรียกว่าพระคริสต์?"18เพราะท่านรู้แล้วว่าพวกเขามอบพระองค์ไว้ด้วยความอิจฉา19ในขณะที่ปีลาตนั่งบัลลังก์พิพากษาอยู่นั้น ภรรยาของท่านได้ส่งคนใช้มาเรียนว่า "อย่าทำอะไรแก่ผู้ไร้ความผิดคนนี้เลย ด้วยว่าดิฉันมีความทุกข์ใจอย่างมากมายในวันนี้เนื่องด้วยความฝันเกี่ยวกับท่านผู้นี้"20ในขณะที่พวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกผู้ใหญ่ได้ปลุกระดมฝูงชนให้ขอปล่อยบารับบัสและฆ่าพระเยซูเสีย21แล้วเจ้าเมืองจึงถามพวกเขาว่า "ในสองคนนี้เจ้าจะให้เราปล่อยคนไหนให้พวกเจ้าหรือ?" พวกเขาตอบว่า "บารับบัส"22ปีลาตจึงถามว่า "เจ้าจะให้เราทำอย่างไรกับเยซูที่เรียกว่าพระคริสต์" พวกเขาทั้งหมดก็กล่าวว่า "ตรึงเขาเสียที่กางเขนเถิด"23แล้วปีลาตจึงถามว่า "ตรึงทำไม เขาทำผิดอะไรหรือ?" แต่พวกเขายิ่งร้องเสียงดังว่า "ตรึงเขาเสียที่กางเขนเถิด"24เมื่อปีลาตเห็นว่าเขาไม่สามารถทำสิ่งใดๆ ได้แล้ว และมีแต่จะเกิดความวุ่นวาย ท่านจึงเอาน้ำมาและล้างมือของท่านต่อหน้าบรรดาฝูงชนนั้น และกล่าวว่า "เราไม่มีความผิดในเรื่องการตายของผู้ไร้ความผิดคนนี้ พวกเจ้าจำต้องรับผิดชอบเอาเองเถิด"25ประชาชนทั้งหมดก็ร้องว่า "ขอให้ความผิดเรื่องความตายของเขาตกอยู่กับพวกเราและบรรดาลูกๆ ของเรา"26จากนั้นปีลาตก็ปล่อยบารับบัสให้กับพวกเขา แต่เขาได้เฆี่ยนตีพระเยซูแล้วมอบพระองค์ให้ตรึงไว้ที่กางเขน27แล้วพวกทหารของเจ้าเมืองก็นำพระเยซูไปที่กองบัญชาการปรีโทเรียมและรวบรวมทั้งกองไว้เฉพาะพระพักตร์พระเยซู28พวกเขาเปลื้องเสื้อผ้าของพระองค์ออกและใส่เสื้อคลุมสีแดงเข้มให้พระองค์29พวกเขาทำมงกุฏหนามและสวมบนศีรษะของพระองค์ แล้วนำไม้อ้อมาใส่ไว้ในพระหัตถ์ขวาของพระองค์ พวกเขาคุกเข่าลงต่อพระพักตร์ของพระองค์และกล่าวเยาะเย้ยพระองค์ว่า "ข้าแต่กษัตริย์ของพวกยิว ขอทรงพระเจริญ"30และพวกเขาได้ถ่มน้ำลายรดและเอาไม้อ้อตีที่ศีรษะของพระองค์ครั้งแล้วครั้งเล่า31เมื่อพวกเขาเยาะเย้ยพระองค์แล้ว พวกเขาก็ถอดเสื้อคลุมนั้นออกและเอาเสื้อผ้าของพระองค์เองมาใส่คืนให้ และนำพระองค์ไปเพื่อตรึงที่กางเขน32ขณะที่พวกเขาได้ออกไปแล้วก็พบชายคนหนึ่งชื่อซีโมน มาจากเมืองไซรีน จึงได้บังคับเขาให้แบกกางเขนของพระองค์ไป33พวกเขามาถึงสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งเรียกว่ากลโกธาซึ่งมีความหมายว่า "กะโหลกศีรษะ"34พวกเขาเอาเหล้าองุ่นผสมกับของขมมาถวายพระองค์ พระองค์ทรงลองชิมดูแต่ไม่ทรงดื่ม35เมื่อพวกเขาตรึงพระองค์ที่กางเขนแล้วพวกเขาก็เอาเสื้อผ้าของพระองค์มาจับฉลากแบ่งกัน36แล้วพวกเขาก็นั่งลงและเฝ้ามองดูพระองค์37พวกเขาเอาป้ายที่มีข้อความที่เป็นข้อหาลงโทษพระองค์ไปติดไว้เหนือศีรษะของพระองค์ ซึ่งอ่านว่า "คนนี้คือเยซู กษัตริย์ของพวกยิว"38มีโจรสองคนถูกตรึงพร้อมกับพระองค์ ข้างขวาของพระองค์คนหนึ่งและข้างซ้ายของพระองค์คนหนึ่ง39บรรดาผู้คนที่เดินผ่านไปมา ได้พูดหมิ่นประมาทและสั่นศีรษะเยาะเย้ยพระองค์40และกล่าวว่า "ท่านผู้ที่จะทำลายพระวิหารและจะสร้างใหม่ภายในสามวันเอ๋ย จงช่วยตัวเองให้รอดก่อนเถิด และถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงลงมาจากกางเขนเถิด"41ในขณะเดียวกัน พวกหัวหน้าปุโรหิต พวกธรรมาจารย์และพวกผู้ใหญ่ ก็ได้กล่าวเยาะเย้ยพระองค์ด้วยเหมือนกันว่า42"เขาช่วยคนอื่นให้รอดได้ แต่ช่วยตัวเองไม่ได้ เขาเป็นกษัตริย์ของชนชาติอิสราเอล ให้เขาลงจากกางเขนเถิด แล้วเราจะได้เชื่อเขาบ้าง43เขาวางใจในพระเจ้า ถ้าพระองค์พอพระทัยก็ขอให้พระเจ้าทรงช่วยเขาเดี๋ยวนี้เถิด เพราะเขากล่าวว่า 'เราเป็นพระบุตรของพระเจ้า'"44และโจรบนกางเขนทั้งสองคนก็กล่าวหมิ่นประมาทพระองค์เช่นเดียวกัน45ในเวลานั้นได้มีความมืดปกคลุมทั่วทั้งแผ่นดิน ตั้งแต่เวลาเที่ยงวันจนถึงเวลาบ่ายสามโมง46ครั้นพอเวลาประมาณบ่ายสามโมงพระเยซูร้องด้วยเสียงดังว่า "เอลี เอลี ลามา สะบักธานี?" ซึ่งมีความหมายว่า "พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ไฉนพระองค์ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์?"47เมื่อบางคนซึ่งยืนอยู่ที่นั่นได้ยินดังนั้น จึงพูดว่า "เขาเรียกเอลียาห์"48ในทันใดนั้นมีคนหนึ่งในคนเหล่านั้นก็วิ่งไปและเอาฟองน้ำจุ่มเหล้าองุ่นเปรี้ยวเสียบไม้อ้อแล้วส่งให้พระองค์ทรงดื่ม49ฝ่ายคนที่เหลืออยู่กล่าวว่า "อย่าไปยุ่งกับเขาเลย ให้เราดูว่าเอลียาห์จะมาช่วยเขาหรือไม่"50จากนั้นพระเยซูก็ร้องออกมาอีกครั้งด้วยเสียงดังและทรงสิ้นลมหายใจ51และดูเถิด ม่านในพระวิหารก็ฉีกขาดออกเป็นสองท่อนตั้งแต่ด้านบนลงล่าง และแผ่นดินก็สั่นสะเทือน และศิลาก็แตกแยกออกจากกัน52อุโมงค์ก็เปิดออก และร่างของผู้ชอบธรรมทั้งหลายที่ได้ล่วงหลับไปก็เป็นขึ้นมา53พวกเขาก็ออกจากอุโมงค์หลังจากการเป็นขึ้นมาของพระองค์ พวกเขาเข้าไปในนครบริสุทธิ์ และปรากฏต่อผู้คนจำนวนมาก54ในเวลานั้น เมื่อนายร้อยและบรรดาผู้คนที่เฝ้ามองดูพระเยซูอยู่ด้วยกัน ได้เห็นแผ่นดินไหวและสิ่งต่าง ๆ ที่ได้บังเกิดขึ้นนั้น พวกเขามีความกลัวเป็นอย่างมากและพูดว่า "ท่านผู้นี้เป็นพระบุตรของพระเจ้าอย่างแท้จริง"55มีผู้หญิงหลายคนที่ติดตามพระเยซูจากกาลิลีเพื่อที่จะปรนนิบัติพระองค์ได้มองดูอยู่แต่ไกล56ในพวกนั้นมีมารีย์ชาวมักดาลา มารีย์มารดาของยากอบและโยเซฟ และมารดาของบุตรทั้งสองของเศเบดี57ครั้นถึงเวลาเย็น มีเศรษฐีคนหนึ่งซึ่งเดินทางมาจากอาริมาเธียชื่อโยเซฟ ผู้เป็นสาวกคนหนึ่งของพระเยซูด้วย58เขาได้ไปหาปีลาตและขอพระศพของพระเยซู ปีลาตจึงสั่งให้มอบพระศพนั้นแก่เขา59โยเซฟจึงนำพระศพมาและหุ้มพันพระศพนั้นด้วยผ้าป่านที่สะอาด60และนำพระศพไปประดิษฐานไว้ในอุโมงค์ใหม่ของเขาเอง ซึ่งเขาได้สกัดไว้ในศิลา และเขาได้กลิ้งหินก้อนใหญ่มาปิดปากอุโมงค์ไว้แล้วก็จากไป61ฝ่ายมารีย์ชาวมักดาลาและมารีย์อีกคนหนึ่งก็อยู่ที่นั่น พวกเธอนั่งตรงข้ามกับอุโมงค์นั้น62ในวันรุ่งขึ้น ซึ่งเป็นวันถัดจากวันเตรียม บรรดาหัวหน้าปุโรหิตและพวกฟาริสีได้ประชุมร่วมกันกับปีลาต63พวกเขากล่าวว่า "ท่านเจ้าเมือง พวกเราจำได้ว่าเมื่อคนล่อลวงนั้นยังมีชีวิตอยู่ เขาได้กล่าวเอาไว้ว่า 'ล่วงไปสามวันเราจะเป็นขึ้นมาใหม่'64เหตุฉะนั้นขอให้ท่านได้สั่งการเพื่อจะจัดให้มีการเฝ้าอุโมงค์อย่างแข็งแรงจนถึงวันที่สาม เพราะเกรงว่าพวกสาวกของเขาจะมาและขโมยศพไปแล้วประกาศแก่ประชาชนว่า 'เขาเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว' และการหลอกลวงในครั้งนี้จะร้ายแรงกว่าครั้งแรกอีก"65ปีลาตจึงบอกกับพวกเขาว่า "เอาคนยามไปเถิด และจงเฝ้าให้แข็งแรงเท่าที่ท่านจะทำได้"66ดังนั้นพวกเขาจึงออกไปและเฝ้าอุโมงค์อย่างแน่นหนา ประทับตราไว้ที่หิน และวางยามเฝ้าอยู่
1ภายหลังวันสะบาโต เวลาใกล้รุ่งเช้าวันต้นสัปดาห์ มารีย์ชาวมักดาลาและมารีย์อีกคนหนึ่งก็มาดูที่อุโมงค์ฝังพระศพ2แต่ดูเถิด ได้เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง ด้วยว่ามีทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้ลงมาจากสวรรค์ และกลิ้งก้อนหินออกแล้วนั่งบนก้อนหินนั้น3ใบหน้าของทูตสวรรค์นั้นเหมือนแสงฟ้าแลบ และเสื้อของทูตสวรรค์นั้นขาวเหมือนหิมะ4ฝ่ายพวกยามก็กลัวจนตัวสั่นและเป็นเหมือนคนตาย5ทูตสวรรค์นั้นได้กล่าวแก่ผู้หญิงเหล่านั้นว่า "อย่ากลัวเลย ด้วยเรารู้แล้วว่าท่านทั้งหลายมาหาพระเยซูผู้ซึ่งถูกตรึงที่กางเขน6พระองค์ไม่ได้ประทับที่นี่ แต่พระองค์ทรงเป็นขึ้นแล้ว ตามที่พระองค์ได้ตรัสไว้แล้ว มาดูที่ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าได้นอนลงนั้น7แล้วจงรีบไปบอกบรรดาสาวกของพระองค์ ว่า 'พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตายแล้ว ดูเถิด พระองค์จะเสด็จไปยังแคว้นกาลิลีก่อนพวกท่าน พวกท่านจะพบกับพระองค์ที่นั่น' ดูเถิด เราได้บอกพวกท่านแล้ว"8พวกผู้หญิงนั้นก็รีบวิ่งออกจากอุโมงค์นั้นอย่างรวดเร็วด้วยความกลัวและความยินดีอย่างยิ่ง และได้วิ่งไปบอกบรรดาสาวกของพระองค์9ดูเถิด พระเยซูทรงพบกับพวกเธอและตรัสว่า "จงเป็นสุขเถิด" ผู้หญิงเหล่านั้นก็มากอดพระบาทของพระองค์และนมัสการพระองค์10จากนั้นพระเยซูตรัสกับพวกเธอว่า "อย่ากลัวเลย จงไปบอกพี่น้องของเราให้ไปยังแคว้นกาลิลีเถิด แล้วพวกเขาจะได้พบกับเราที่นั่น"11ในขณะที่พวกผู้หญิงกำลังเดินทางไปนั้น ดูเถิด มีบางคนในพวกที่เฝ้ายามได้เข้าไปในเมืองและแจ้งให้กับบรรดาหัวหน้าปุโรหิตให้ทราบถึงทุกสิ่งที่ได้เกิดขึ้น12เมื่อพวกปุโรหิตและพวกผู้ใหญ่ได้ประชุมและปรึกษาถึงเรื่องที่เกิดขึ้นนั้น พวกเขาจึงได้ให้เงินจำนวนมากมายแก่ทหารเหล่านั้น13และบอกกับพวกเขาว่า "ให้พูดอย่างนี้ว่า 'บรรดาสาวกของพระเยซูมาในตอนกลางคืนและขโมยศพไปในขณะที่พวกเราหลับอยู่'14ถ้าเรื่องนี้ทราบไปถึงเจ้าเมืองแล้ว เราจะพูดแก้ตัวให้ท่านเองและไม่ให้พวกท่านต้องเป็นกังวล"15ดังนั้นบรรดาทหารจึงรับเงินไปและทำตามคำแนะนำนั้น ซึ่งเรื่องนี้เลื่องลือไปในบรรดาคนยิวและยังคงเลื่องลืออยู่ แม้กระทั่งทุกวันนี้16แต่สาวกสิบเอ็ดคนก็ไปยังแคว้นกาลิลี ถึงภูเขาที่พระเยซูทรงกำหนดไว้17เมื่อพวกเขาเห็นพระองค์ พวกเขาก็นมัสการพระองค์ แต่บางคนยังสงสัยอยู่18พระเยซูเสด็จไปหาพวกเขาและตรัสว่า "สิทธิอำนาจทั้งสิ้นทั้งในสวรรค์และบนแผ่นดินโลก ทรงมอบให้แก่เราแล้ว19เหตุฉะนั้น จงออกไปและสร้างชนทุกชาติให้เป็นสาวก จงบัพติศมาพวกเขาในพระนามของพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์20จงสอนพวกเขาให้เชื่อฟังสิ่งทั้งปวงที่เราได้สั่งพวกท่านเอาไว้ ดูเถิด เราอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค"