1พระวาทะทรงดำรงอยู่นับตั้งแต่เริ่มต้น และพระวาทะทรงอยู่กับพระเจ้า พระวาทะทรงเป็นพระเจ้า2พระองค์ผู้นี้ทรงดำรงอยู่กับพระเจ้ามาตั้งแต่เริ่มต้น3ทุกสิ่งถูกสร้างขึ้นโดยพระองค์ และถ้าไม่มีพระองค์ ก็ไม่มีสักสิ่งเดียวที่ถูกสร้างขึ้น4ชีวิตมีอยู่ในพระองค์ ซึ่งชีวิตนั้นเป็นความสว่างของมนุษย์5ความสว่างส่องเข้ามาในความมืดและความมืดไม่สามารถเอาชนะความสว่างได้6ยังมีชายคนหนึ่งที่พระเจ้าได้ส่งมา ชายคนนั้นชื่อยอห์น7ท่านมาเพื่อจะเป็นพยานถึงความสว่างนั้น เพื่อที่ทุกคนจะได้เชื่อผ่านทางท่าน8ยอห์นไม่ใช่ความสว่างนั้น แต่ท่านมาเพื่อจะเป็นพยานถึงความสว่างนั้น9คือความสว่างที่แท้จริง ที่ให้ความสว่างแก่มนุษย์ทั้งปวง ซึ่งได้เข้ามาในโลกนี้10พระองค์ทรงอยู่ในโลก และโลกนี้ถูกสร้างขึ้นผ่านทางพระองค์ แต่โลกนี้ไม่รู้จักพระองค์11พระองค์เข้ามาเพื่อชนชาติของพระองค์ แต่ชนชาติของพระองค์ไม่ยอมรับพระองค์12แต่คนทั้งหลายที่ต้อนรับพระองค์ คนที่เชื่อในพระนามของพระองค์ พระองค์จะประทานสิทธิให้เป็นบุตรของพระเจ้า13ไม่ใช่โดยทางสายเลือด หรือโดยความต้องการของเนื้อหนัง หรือโดยความต้องการของมนุษย์ แต่เป็นโดยพระเจ้า14พระวาทะมาบังเกิดเป็นมนุษย์และอยู่ท่ามกลางพวกเรา พวกเราได้เห็นพระสิริของพระองค์ เป็นพระสิริแบบเดียวกัน ซึ่งมาจากพระบิดาผู้เดียวเท่านั้น ที่เต็มด้วยพระคุณและความจริง15ยอห์นได้เป็นพยานถึงพระองค์และร้องเสียงดังว่า "นี่คือผู้หนึ่งที่เราได้บอกแก่พวกท่านว่า 'พระองค์ผู้ที่เสด็จมาภายหลังเรา เป็นใหญ่กว่าเรา เพราะพระองค์ทรงเป็นอยู่ก่อนเรา'"16เพราะว่าโดยความบริบูรณ์ของพระองค์ทำให้พวกเราทั้งหลายได้รับพระคุณซ้อนพระคุณ17เพราะบัญญัติเหล่านั้นที่ได้ประทานผ่านทางโมเสส ส่วนพระคุณและความจริงมาทางพระเยซูคริสต์18ไม่เคยมีใครเห็นพระเจ้าเลย พระองค์ผู้เดียวที่ทรงเป็นพระเจ้า ผู้ที่ประทับตรงพระทรวงของพระบิดา พระองค์ได้ทำให้พระเจ้าเป็นที่รู้จัก19และนี่คือคำพยานของยอห์น เมื่อพวกยิวจากกรุงเยรูซาเล็มได้ส่งพวกปุโรหิตและพวกคนเลวีมาถามท่านว่า "ท่านเป็นใคร?"20ท่านยอมรับ ไม่ปฏิเสธแต่ตอบว่า "ข้าพเจ้าไม่ใช่พระคริสต์"21พวกเขาจึงถามท่านอีกว่า "แล้วท่านเป็นใคร? ท่านเป็นเอลียาห์ใช่ไหม?" ท่านตอบว่า "ข้าพเจ้าไม่ใช่ผู้นั้น" พวกเขาพูดว่า "ท่านเป็นผู้เผยพระวจนะใช่ไหม?" ท่านตอบว่า "ไม่ใช่"22แล้วพวกเขาก็ถามท่านอีกว่า "แล้วท่านเป็นใคร เพื่อพวกเราจะได้เอาคำตอบนั้นไปบอกแก่คนที่ส่งพวกเรามา? แล้วท่านจะบอกว่าท่านเป็นใคร?"23ท่านตอบว่า "ข้าพเจ้าเป็นเสียงร้อง ป่าวประกาศในถิ่นทุรกันดารว่า 'จงทำทางขององค์พระผู้เป็นเจ้าให้ตรงไป' เหมือนกับที่ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ได้บอกไว้"24ในเวลานี้มีบางคนจากพวกฟาริสีที่ถูกส่งไป25และพวกเขาถามท่านว่า "ทำไมท่านถึงให้บัพติศมา ในเมื่อท่านเองก็ไม่ใช่ทั้ง พระคริสต์หรืออิสยาห์หรือผู้เผยพระวจนะ?"26ยอห์นตอบพวกเขาว่า "เราให้บัพติศมาด้วยน้ำ แต่ในท่ามกลางพวกท่านมีผู้หนึ่งซึ่งพวกท่านไม่รู้จัก27พระองค์ผู้มาภายหลังข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าไม่คู่ควรแม้กระทั่งจะแก้สายรัดรองเท้าของผู้นั้น"28สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเมื่อยอห์นกำลังให้บัพติศมาอยู่ที่หมู่บ้านเบธานีอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดน29วันต่อมา ยอห์นเห็นพระเยซูกำลังมาหาท่านและยอห์นพูดว่า "จงดูพระเมษโปดกของพระเจ้าผู้จะมาเอาความบาปของโลกนี้ออกไป30นี่คือผู้หนึ่งที่ข้าพเจ้าพูดถึงว่า 'พระองค์ผู้ที่จะมาภายหลังข้าพเจ้าทรงเป็นใหญ่กว่าข้าพเจ้า เพราะพระองค์ทรงเป็นอยู่ก่อนข้าพเจ้า'31ข้าพเจ้าไม่รู้จักพระองค์ แต่เพื่อพระองค์จะได้ถูกเปิดเผยให้แก่คนอิสราเอล ข้าพเจ้าจึงได้มาให้บัพติศมาด้วยน้ำ"32ยอห์นเป็นพยานว่า "ข้าพเจ้าได้เห็นพระวิญญาณสัณฐานเหมือนนกพิราบลงมาจากสวรรค์ ประทับบนพระองค์33ข้าพเจ้าไม่รู้จักพระองค์ แต่ผู้ที่ได้ส่งข้าพเจ้ามาเพื่อให้บัพติศมาด้วยน้ำ บอกข้าพเจ้าว่า 'เจ้าจะเห็นพระวิญญาณเป็นเหมือนนกพิราบลงมาอยู่เหนือพระองค์ผู้นั้น พระองค์ผู้นั้นคือผู้ที่จะให้บัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์'34ข้าพเจ้าได้เห็นและเป็นพยานว่านี่คือพระบุตรของพระเจ้า"35อีกครั้งหนึ่งในวันต่อมา ในขณะที่ยอห์นกำลังยืนอยู่กับสาวกของท่านสองคน36พวกเขาเห็นพระเยซูกำลังเสด็จผ่านมา และยอห์นจึงพูดว่า "จงมองดู พระเมษโปดกของพระเจ้า"37เมื่อสาวกสองคนของท่านได้ยินท่านพูดเช่นนี้ พวกเขาจึงตามพระเยซูไป38เมื่อพระเยซูหันกลับมาและเห็นพวกเขากำลังติดตามพระองค์ จึงพูดกับพวกเขาว่า "พวกท่านต้องการสิ่งใด?" พวกเขาตอบว่า "รับบี (คำแปลคือ อาจารย์) ท่านพักอยู่ที่ใด?"39พระองค์จึงบอกพวกเขาว่า "จงมาและดูเถิด" เมื่อพวกเขาตามพระองค์ไปและได้เห็นที่พระองค์ทรงพักอยู่ พวกเขาจึงอยู่กับพระองค์ในวันนั้น ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณสี่โมงเย็น40หนึ่งในสาวกสองคนที่ได้ยินยอห์นพูดและติดตามพระเยซูคืออันดรูว์ พี่ชายของซีโมนเปโตร41เขาได้ไปหาซีโมนพี่ชายของเขาและพูดว่า "เราได้พบพระเมสสิยาห์แล้ว" (คำแปลคือ พระคริสต์)42เขาพาท่านมาหาพระเยซู และพระเยซูมองดูเขาแล้วตรัสว่า "ท่านคือซีโมนบุตรของยอห์น ท่านจะถูกเรียกว่า เคฟาส (คำแปลคือ เปโตร)43วันต่อมา เมื่อพระเยซูทรงต้องการเสด็จไปยังกาลิลี พระองค์ได้พบกับฟิลิปและพูดกับเขาว่า "จงตามเรามา"44ฟิลิปมาจากเบธไซดา เมืองของแอนดรูว์และเปโตร45ฟิลิปได้เจอกับนาธานาเอลแล้วพูดกับเขาว่า "พวกเราได้พบพระองค์ผู้ซึ่งโมเสสได้กล่าวถึงในธรรมบัญญัติ และที่พวกผู้เผยพระวจนะได้กล่าวถึง คือพระเยซูบุตรโยเซฟ จากเมืองนาซาเร็ธ"46นาธานาเอลพูดกับท่านว่า "มีสิ่งดีอะไรที่มาจากนาซาเร็ธได้ด้วยหรือ?" ฟิลิปพูดกับเขาว่า "จงมาและดูเถิด"47พระเยซูทอดพระเนตรเห็นนาธานาเอลกำลังมาหาพระองค์จึงตรัสถึงเขาว่า "ดูสิ ชาวอิสราเอลที่แท้จริง ผู้ซึ่งไม่มีการหลอกลวง"48นาธานาเอลพูดกับพระองค์ว่า "ท่านรู้จักเราด้วยหรือ?" พระเยซูตรัสตอบเขาว่า "ก่อนที่ฟิลิปจะเรียกท่าน เราเห็นท่าน ตอนที่ท่านอยู่ใต้ต้นมะเดื่อ"49นาธานาเอลตอบว่า "รับบี พระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ของอิสราเอล"50พระเยซูตรัสตอบเขาว่า "เพราะเราบอกกับท่านว่า 'เราเห็นท่านที่ใต้ต้นมะเดื่อ' ท่านจึงเชื่อหรือ? ท่านจะได้เห็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านี้" 51แล้วพระองค์ตรัสว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ท่านจะได้เห็นแผ่นดินสวรรค์เปิดออก และทูตสวรรค์ของพระเจ้าขึ้นและลงอยู่เหนือบุตรมนุษย์
1สามวันต่อมา มีงานสมรสที่หมู่บ้านคานาในแคว้นกาลิลี และมารดาของพระเยซูก็อยู่ที่นั่นด้วย2พระเยซูและเหล่าสาวกก็ได้รับเชิญไปงานสมรสด้วย3เมื่อเหล้าองุ่นหมด มารดาของพระเยซูมาบอกพระองค์ว่า "พวกเขาไม่มีเหล้าองุ่นแล้ว"4พระเยซูตรัสกับเธอว่า "หญิงเอ๋ย ท่านมาหาเราทำไม? ยังไม่ถึงเวลาของเรา"5มารดาของพระองค์พูดกับพวกคนรับใช้ว่า "ไม่ว่าพระองค์ตรัสอะไรแก่ท่าน จงทำตาม"6ขณะนั้น มีโอ่งหินอยู่ที่นั่นหกใบที่เอาไว้ใช้สำหรับพิธีชำระของคนยิว โอ่งแต่ละใบสามารถจุน้ำได้แปดสิบถึงหนึ่งร้อยยี่สิบลิตร7พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า "จงเติมน้ำใส่โอ่งแต่ละใบให้เต็ม" ดังนั้นพวกเขาจึงเติมน้ำลงในโอ่งจนเต็มเสมอปากโอ่ง8จากนั้นพระองค์จึงบอกพวกคนรับใช้ว่า "จงตักและนำไปให้หัวหน้าคนรับใช้เถิด" พวกเขาก็ทำตาม9หัวหน้าคนรับใช้ก็ชิมน้ำที่กลายเป็นเหล้าองุ่นนั้น แต่เขาไม่รู้ว่าเหล้าองุ่นนั้นมาจากไหน (แต่คนรับใช้ที่นำน้ำไปให้หัวหน้านั้นรู้ดี) แล้วเขาก็เรียกเจ้าบ่าวเข้ามา10แล้วพูดกับเจ้าบ่าวว่า "ทุกคนรินเหล้าองุ่นอย่างดีให้ก่อน เสร็จแล้วค่อยรินเหล้าองุ่นที่ราคาถูกให้เมื่อคนเมาแล้ว แต่ท่านเก็บเหล้าองุ่นอย่างดีไว้จนถึงตอนนี้"11นี่คือหมายสำคัญครั้งแรกที่พระเยซูทำในหมู่บ้านคานา แคว้นกาลิลี และพระองค์ทรงสำแดงฤทธานุภาพของพระองค์ และบรรดาสาวกก็เชื่อในพระองค์12หลังจากนี้ พระเยซู มารดาของพระองค์ น้องชายของพระองค์ และบรรดาสาวกก็ไปยังเมืองคาเปอรนาอุม พวกเขาอยู่ที่นั่นประมาณสองสามวัน13เมื่อเทศกาลปัสกาของคนยิวใกล้เข้ามาและพระเยซูได้ขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม14พระองค์ทรงพบกับคนขายวัว แกะ นกพิราบ และพวกคนแลกเงินกำลังนั่งอยู่ที่นั่น15พระองค์จึงเอาเชือกมาทำเป็นแส้และขับไล่คนเหล่านั้นออกไปจากพระวิหาร รวมทั้งแกะและวัวด้วย พระองค์ทรงเทเงินเหรียญของพวกคนที่แลกเงินและทรงคว่ำโต๊ะของพวกเขา16แล้วพระองค์ก็บอกกับคนขายนกพิราบว่า "เอาของเหล่านี้ออกไปจากที่นี่ อย่าทำให้พระนิเวศของพระบิดาของเราให้เป็นตลาด"17เหล่าสาวกของพระองค์จำได้ถึงสิ่งที่ถูกเขียนเอาไว้ว่า "ความร้อนรนในเรื่องพระนิเวศของพระองค์จะเผาผลาญข้าพระองค์"18แล้วคนยิวที่มีอำนาจก็โต้ตอบกับพระองค์ว่า "ท่านจะแสดงหมายสำคัญอะไรแก่พวกเรา ในเมื่อท่านทำสิ่งเหล่านี้?"19พระเยซูตอบว่า "ทำลายพระวิหารนี้ แล้วเราจะสร้างขึ้นภายในสามวัน"20แล้วคนยิวที่มีอำนาจก็พูดว่า "พระวิหารนี้ใช้เวลาสร้างทั้งหมด 46 ปี แต่ท่านจะสร้างขึ้นภายในสามวันหรือ?"21อย่างไรก็ตาม พระวิหารที่พระองค์หมายถึงนั้นคือพระกายของพระองค์22เพราะเมื่อพระองค์ฟื้นขึ้นมาจากความตายแล้ว พวกสาวกของพระองค์จึงได้ระลึกถึงสิ่งที่พระองค์ได้ตรัสไว้ และพวกเขาได้เชื่อในพระวจนะและในถ้อยคำนี้ที่พระองค์ได้ตรัสเอาไว้23เมื่อพระองค์ยังอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็มในช่วงเทศกาลปัสกา ระหว่างงานเทศกาล มีหลายคนได้เชื่อในพระนามของพระองค์เมื่อพวกเขาได้เห็นหมายสำคัญที่พระองค์ทำ24แต่พระเยซูไม่ไว้ใจพวกเขา เพราะพระองค์ทรงรู้จักพวกเขาทั้งหมด25เพราะว่าพระองค์ไม่ต้องการให้ใครมาเป็นพยานแก่พระองค์ด้วยเรื่องของมนุษย์ เพราะพระองค์รู้ว่ามีอะไรอยู่ในมนุษย์
1ขณะนั้น มีฟาริสีที่เป็นผู้นำชาวยิวคนหนึ่ง ชื่อนิโคเดมัส2ชายคนนี้มาหาพระเยซูในตอนกลางคืนและทูลพระองค์ว่า "รับบี พวกเรารู้ว่าท่านเป็นอาจารย์ที่มาจากพระเจ้า เพราะไม่มีใครสามารถทำการอัศจรรย์เหล่านี้ได้เหมือนท่าน นอกเสียจากพระเจ้าทรงสถิตกับผู้นั้น"3พระเยซูตอบเขาว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านว่า นอกเสียจากคนนั้นจะบังเกิดใหม่ เขาจะไม่สามารถเห็นอาณาจักรของพระเจ้า"4นิโคเดมัสพูดกับพระองค์ว่า "คนเราจะบังเกิดใหม่ได้อย่างไร หากเขาอายุมากแล้ว? เขาจะกลับเข้าไปอยู่ในครรภ์มารดาเป็นครั้งที่สองและเกิดใหม่ได้หรือ?"5พระเยซูตรัสตอบว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าคนนั้นไม่เกิดใหม่โดยน้ำและพระวิญญาณ เขาไม่สามารถเข้าในอาณาจักรของพระเจ้าได้6ซึ่งเกิดจากเนื้อหนังก็เป็นเนื้อหนัง ซึ่งเกิดจากพระวิญญาณก็เป็นวิญญาณ7อย่าประหลาดใจในสิ่งที่เราตรัสแก่ท่านว่า 'ท่านจะต้องบังเกิดใหม่'8ลมพัดไปตามที่มันปรารถนา ท่านได้ยินเสียงของลม แต่ท่านไม่รู้ว่ามันมาจากทางไหน แล้วจะไปทางไหน ทุกคนที่บังเกิดใหม่โดยพระวิญญาณก็เป็นเช่นนั้น"9นิโคเดมัสตอบพระองค์ว่า "สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไร?"10พระเยซูตรัสตอบเขาว่า "ท่านเป็นอาจารย์ของคนอิสราเอล เหตุใดท่านจึงยังไม่เข้าใจสิ่งหล่านี้?11เราบอกความจริงแก่ท่านว่า พวกเราพูดในสิ่งที่พวกเรารู้และพวกเราเป็นพยานในสิ่งที่พวกเราได้เห็น แต่ถึงอย่างนั้น ท่านก็ยังไม่ยอมรับคำพยานของพวกเรา12ถ้าเราบอกท่านถึงสิ่งต่างๆ ทางโลกและท่านยังไม่เชื่อ แล้วท่านจะเชื่อเราได้อย่างไรถ้าหากเราบอกท่านถึงสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวกับสวรรค์?13ไม่มีใครได้เคยขึ้นไปยังสวรรค์ ยกเว้นแต่เพียงท่านผู้นั้นที่มาจากสวรรค์ คือบุตรมนุษย์14เหมือนโมเสสที่ได้ยกงูขึ้นในถิ่นทุรกันดาร ดังนั้นบุตรมนุษย์ก็จะต้องถูกยกขึ้นเช่นเดียวกัน15เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระองค์จะได้รับชีวิตนิรันดร์16เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนพระองค์ได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศแต่มีชีวิตนิรันดร์17เพราะว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงส่งพระบุตรเข้ามาในโลกเพื่อจะลงโทษโลกนี้ แต่เพื่อช่วยโลกให้รอดโดยผ่านทางพระองค์18ผู้ที่เชื่อในพระองค์จะไม่ถูกลงโทษ แต่คนที่ไม่เชื่อในพระองค์ก็ได้ถูกลงโทษแล้ว เพราะว่าเขาไม่เชื่อในพระนามของพระองค์และในพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า19นี่คือสาเหตุของการพิพากษา คือความสว่างได้เข้ามาในโลกนี้ และมนุษย์ทั้งหลายได้รักความมืดแทนที่จะรักความสว่างเพราะว่าการกระทำของพวกเขานั้นชั่วร้าย20เพราะทุกคนที่ทำการชั่วก็เกลียดความสว่างและไม่มาหาความสว่าง เพื่อการกระทำของพวกเขาจะไม่ถูกเปิดเผย21แต่คนที่ประพฤติความจริงก็มาถึงความสว่าง เพื่อให้เห็นว่าการกระทำของเขาทำได้โดยอาศัยพระเจ้า22หลังจากนี้ พระเยซูและพวกสาวกได้ไปยังแคว้นยูเดีย ที่นั่นพระองค์ใช้เวลากับเหล่าสาวกและให้บัพติศมา23ในขณะนั้นเองยอห์นก็ได้ให้บัพติศมาอยู่ที่อายโนนใกล้หมู่บ้านสาลิมเพราะว่าที่นั่นมีน้ำเยอะกว่า ผู้คนได้มาหาเขาและรับบัพติศมา24เพราะในตอนนั้นยอห์นยังไม่ได้ถูกจับขังคุก25เกิดการโต้แย้งกันขึ้นระหว่างสาวกบางคนของยอห์นและคนยิวด้วยเรื่องพิธีการชำระล้าง26พวกเขาไปหายอห์นและพูดกับท่านว่า "รับบี คนนั้นที่เคยอยู่กับท่านอีกฟากของแม่น้ำจอร์แดน คนที่ท่านมาเพื่อเป็นพยานนั้น ดูเถิด เขากำลังให้บัพติศมา และคนทั้งหมดก็กำลังไปหาเขาที่นั่น"27ยอห์นตอบว่า "มนุษย์ไม่สามารถรับสิ่งใดได้ นอกจากสิ่งนั้นถูกมอบแก่เขาจากสวรรค์28ท่านเองก็สามารถเป็นพยานถึงสิ่งที่ข้าพเจ้าได้พูดว่า 'ข้าพเจ้าไม่ใช่พระคริสต์' แต่ 'ข้าพเจ้าได้ถูกส่งมาก่อนพระองค์นั้น'29เจ้าสาวเป็นของเจ้าบ่าวฉันใด ขณะนี้ เพื่อนของเจ้าบ่าว ที่ยืนอยู่และได้ยินเสียงของเจ้าบ่าว ก็ชื่นชมยินดีอย่างยิ่ง เพราะเสียงของเจ้าบ่าว และความชื่นชมยินดีของข้าพเจ้าก็เต็มเปี่ยมแล้ว30พระองค์จะต้องสำคัญมากขึ้น แต่ข้าพเจ้าจะสำคัญน้อยลง31พระองค์ผู้มาจากเบื้องบนก็อยู่เหนือสิ่งทั้งปวง ผู้ที่มาจากโลกก็อยู่ฝ่ายโลกและพูดเกี่ยวกับโลก พระองค์ผู้ซึ่งมาจากสวรรค์ก็อยู่เหนือสิ่งทั้งปวง32พระองค์ทรงเป็นพยานถึงสิ่งที่พระองค์ได้เห็นและได้ยิน แต่ไม่มีใครยอมรับคำพยานของพระองค์33แต่คนที่ยอมรับคำพยานของพระองค์ก็ได้ยืนยันแล้วว่าพระเจ้าทรงเป็นจริง34เพราะผู้ที่พระเจ้าได้ส่งมานั้นได้พูดพระวจนะของพระเจ้า เพราะพระองค์ไม่ได้รับพระวิญญาณอย่างจำกัด35พระบิดาทรงรักพระบุตรและได้มอบทุกสิ่งไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์36คนที่เชื่อในพระบุตรก็มีชีวิตนิรันดร์ แต่สำหรับผู้ที่ไม่เชื่อฟังพระบุตรนั้นจะไม่ได้เห็นชีวิต แต่พระพิโรธของพระเจ้าจะตกอยู่กับเขา"
1เมื่อพระเยซูทรงทราบว่าพวกฟาริสีได้ยินว่าพระองค์มีคนติดตามและรับบัพติศมามากกว่ายอห์น2(พระเยซูไม่ได้ทรงให้บัพติศมาเอง แต่เหล่าสาวกของพระองค์ทำให้)3พระองค์เสด็จออกจากยูเดียและกลับไปยังแคว้นกาลิลีอีก4พระองค์จำเป็นต้องเสด็จผ่านทางสะมาเรีย5เมื่อพระองค์ได้เสด็จไปถึงเมืองหนึ่งของสะมาเรีย ชื่อเมืองสิคาร์ อยู่ใกล้กับที่ดินของยาโคบที่มอบให้โยเซฟบุตรของท่าน6ที่นั่นมีบ่อน้ำของยาโคบ พระเยซูทรงเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทาง จึงประทับที่ข้างบ่อน้ำนั้น ตอนนั้นเป็นเวลาเที่ยง7หญิงชาวสะมาเรียคนหนึ่งได้มาตักน้ำ และพระเยซูตรัสกับหญิงนั้นว่า "ขอน้ำให้เราดื่มบ้างได้ไหม"8ขณะนั้นเหล่าสาวกของพระองค์ได้เข้าไปในเมืองเพื่อซื้ออาหาร9แล้วหญิงชาวสะมาเรียทูลพระองค์ว่า "ทำไมท่านซึ่งเป็นคนยิวมาขอน้ำดื่มกับดิฉันซึ่งเป็นหญิงชาวสะมาเรีย?" เพราะคนยิวมักไม่ยุ่งเกี่ยวกับคนสะมาเรีย10พระเยซูตรัสตอบหญิงนั้นว่า "ถ้าเจ้าได้รู้จักของประทานของพระเจ้าและผู้ที่กำลังพูดอยู่กับเจ้าว่า 'ขอน้ำให้เราดื่ม' เจ้าคงจะขอจากท่านผู้นั้น และท่านคงจะมอบน้ำแห่งชีวิตนั้นแก่เจ้า"11หญิงนั้นตอบพระองค์ว่า "ท่านเจ้าคะ ท่านไม่มีถังตักน้ำและบ่อน้ำก็ลึก แล้วท่านจะหาน้ำแห่งชีวิตนั้นได้จากที่ไหน?12ท่านไม่ได้ยิ่งใหญ่กว่ายาโคบบิดาของพวกเรา ผู้ได้ให้บ่อน้ำนี้แก่พวกเราและดื่มน้ำจากบ่อนี้ทั้งตัวยาโคบเอง บุตรทั้งหลาย และฝูงสัตว์ของท่าน?"13พระเยซูตรัสตอบเธอว่า "ทุกคนที่ดื่มน้ำนี้ก็จะกระหายอีก14แต่ใครก็ตามที่ดื่มน้ำที่เราจะมอบให้ เขาจะไม่กระหายอีกเลย เพราะน้ำที่เราจะให้แก่เขานั้น จะกลายเป็นน้ำพุในตัวเขา พลุ่งขึ้นถึงชีวิตนิรันดร์"15หญิงนั้นทูลพระองค์ว่า "นายท่าน ขอน้ำนี้ให้แก่ดิฉันเพื่อดิฉันจะไม่กระหายและไม่ต้องมาตักน้ำที่บ่อนี้อีก"16พระเยซูตรัสกับหญิงนั้นว่า "จงไปเรียกสามีของเจ้าและกลับมาที่นี่"17หญิงนั้นตอบพระองค์ว่า "ดิฉันไม่มีสามี" พระเยซูตอบว่า "เจ้าพูดถูกแล้ว ที่เจ้าบอกว่า 'ดิฉันไม่มีสามี'18เพราะเจ้าได้มีสามีมาห้าคนแล้ว และคนที่เจ้ามีตอนนี้ก็ไม่ใช่สามีของเจ้า สิ่งที่เจ้าพูดนั้นเป็นความจริง"19หญิงนั้นทูลพระองค์ว่า "นายท่าน ดิฉันเห็นแล้วว่าท่านเป็นผู้เผยพระวจนะ20บรรพบุรุษของพวกเรา เคยนมัสการอยู่บนภูเขานี้ แต่พวกท่านบอกว่ากรุงเยรูซาเล็มนั้นคือสถานที่ที่ผู้คนไปนมัสการ"21พระเยซูตรัสกับหญิงนั้นว่า "จงเชื่อเราเถิด หญิงเอ๋ย ว่าเวลานั้นกำลังมาถึง เมื่อพวกเจ้าจะนมัสการพระบิดาไม่ใช่ที่บนภูเขานี้หรือในกรุงเยรูซาเล็ม22พวกเจ้านมัสการในสิ่งที่พวกเจ้าไม่รู้จัก พวกเรานมัสการสิ่งที่พวกเรารู้จัก เพราะความรอดจะมาจากพวกยิว23อย่างไรก็ตาม เวลานั้นใกล้เข้ามาแล้ว และเดี๋ยวนี้ก็ถึงแล้ว เมื่อผู้นมัสการที่แท้จริงจะนมัสการพระบิดาด้วยวิญญาณและความจริง เพราะพระบิดาทรงแสวงหาคนแบบนั้นที่จะเป็นผู้นมัสการพระองค์24พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณและผู้ที่นมัสการพระองค์ต้องนมัสการด้วยวิญญาณและความจริง"25หญิงนั้นทูลพระองค์ว่า "ดิฉันรู้แล้วว่าพระเมสสิยาห์กำลังเสด็จมา (ผู้ที่ถูกเรียกว่าพระคริสต์) เมื่อพระองค์เสด็จมา พระองค์จะอธิบายทุกสิ่งแก่พวกเรา"26พระเยซูตรัสกับเธอว่า "เราผู้ที่กำลังพูดกับเจ้าอยู่ คือผู้นั้น"27ขณะนั้น เหล่าสาวกของพระองค์ก็กลับมาถึง พวกเขาต่างก็ประหลาดใจว่า ทำไมพระองค์ทรงสนทนากับผู้หญิง แต่ไม่มีใครพูดว่า "พระองค์ทรงประสงค์อะไร?" หรือ"ทำไมพระองค์ถึงสนทนากับเธอ?"28แล้วหญิงนั้นก็ทิ้งหม้อน้ำของเธอไว้ แล้วกลับไปยังเมือง และพูดกับผู้คนว่า29"มาเถิด มาดูชายคนที่บอกดิฉันถึงทุกสิ่งที่ดิฉันเคยทำ ท่านผู้นี้เป็นพระคริสต์ใช่หรือไม่?"30พวกเขาก็ออกจากเมืองมาหาพระองค์31ในระหว่างนั้น เหล่าสาวกก็ชวนพระองค์ พูดว่า "รับบี เชิญรับประทานเถอะ"32แต่พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า "เรามีอาหารที่พวกท่านไม่รู้จัก"33แล้วเหล่าสาวกก็พูดคุยกันว่า "ยังไม่มีใครเอาอาหารมาให้พระองค์ใช่ไหม?"34พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า "อาหารของเราคือการทำตามพระทัยของผู้ที่ส่งเรามาและทำงานของพระองค์ให้สำเร็จ35พวกท่านไม่ได้กล่าวหรือว่า 'อีกตั้งสี่เดือนกว่าจะถึงเวลาเก็บเกี่ยว?' เราบอกสิ่งนี้กับท่านว่า จงมองดูทุ่งนาเหล่านั้น เพราะพวกมันพร้อมที่จะถูกเก็บเกี่ยวแล้ว36ผู้ที่กำลังเก็บเกี่ยวก็ได้รับค่าจ้างและรวบรวมผลสำหรับชีวิตนิรันดร์ เพื่อผู้ที่หว่านและผู้ที่เก็บเกี่ยวจะได้ชื่นชมยินดีร่วมกัน37เพราะมีคำกล่าวไว้ว่า 'คนหนึ่งหว่านและอีกคนหนึ่งเกี่ยว' ก็เป็นจริง38เราส่งท่านไปเก็บเกี่ยวในสิ่งที่ท่านไม่ได้ลงแรงทำงาน คนอื่นๆ ได้ลงแรงทำงานนั้น และท่านก็ได้เข้ามารับผลประโยชน์จากการลงแรงทำงานของพวกเขา"39มีชาวสะมาเรียจำนวนมากในเมืองนั้นเชื่อในพระองค์เพราะว่าสิ่งที่หญิงนั้นได้เป็นพยานยืนยันว่า "ท่านบอกฉันถึงทุกสิ่งที่ฉันได้ทำ"40เมื่อชาวสะมาเรียมาหาพระองค์ พวกเขาขอให้พระองค์พักอยู่กับพวกเขา และพระองค์จึงพักอยู่ที่นั่นสองวัน41มีคนจำนวนมากมาเชื่อเพราะคำตรัสของพระองค์42พวกเขาพูดกับหญิงนั้นว่า "พวกเราไม่ได้เชื่อเพราะสิ่งที่เจ้าพูดอีกต่อไป เพราะพวกเราได้ยินและพวกเรารู้แล้วว่าแท้จริงแล้วท่านผู้นี้คือพระผู้ช่วยให้รอดของโลก"43หลังจากนั้นสองวัน พระองค์ได้เสด็จออกจากที่นั่นไปยังแคว้นกาลิลี44เพราะพระเยซูได้ทรงประกาศว่าผู้เผยพระวจนะจะไม่ได้รับเกียรติในบ้านเกิดของตนเอง45เมื่อพระองค์เสด็จมายังแคว้นกาลิลี ชาวกาลิลีได้ต้อนรับพระองค์ พวกเขาได้เห็นสิ่งทั้งหลายที่พระองค์ทรงกระทำที่งานเทศกาลในกรุงเยรูซาเล็ม เพราะพวกเขาก็ไปยังงานเทศกาลนั้นด้วย46แล้วพระองค์ได้เสด็จกลับมาที่หมู่บ้านคานาในแคว้นกาลิลีอีกครั้ง คือที่ซึ่งพระองค์ได้เปลี่ยนน้ำให้กลายเป็นเหล้าองุ่น ที่นั่นมีข้าราชการคนหนึ่งซึ่งลูกชายของเขากำลังป่วยอยู่ที่เมืองคาเปอรนาอุม47เมื่อเขาได้ยินว่าพระเยซูเสด็จจากแค้วนยูเดียมายังแคว้นกาลิลี เขาได้ไปหาพระเยซูและขอให้พระองค์เสด็จไปรักษาลูกชายของเขาที่กำลังจะตาย48แล้วพระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า "จนกว่าท่านจะได้เห็นหมายสำคัญและการอัศจรรย์ ท่านก็จะไม่เชื่อ"49ข้าราชการคนนั้นได้ทูลพระองค์ว่า "นายท่าน ขอไปก่อนที่ลูกของข้าพเจ้าจะตาย"50พระเยซูตรัสกับเขาว่า "จงไปเถิด ลูกของท่านจะมีชีวิต" ชายคนนั้นเชื่อคำพูดที่พระเยซูตรัสกับเขา เขาจึงกลับไป51ในขณะที่เขากำลังเดินทางไป พวกคนใช้ของเขาก็มาเจอเขา แล้วบอกว่าลูกชายของเขามีชีวิตอยู่52เขาจึงถามคนใช้ว่าเป็นเวลาใดที่ลูกชายของเขาหายป่วย พวกเขาตอบว่า "เมื่อวานนี้ เวลาประมาณบ่ายโมงที่เขาหายไข้"53แล้วบิดาของเด็กคนนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่พระเยซูตรัสกับเขาว่า "ลูกท่านจะมีชีวิตอยู่" ทั้งเขาและคนในครอบครัวของเขาจึงเชื่อ54นี่คือหมายสำคัญอย่างที่สองที่พระเยซูได้ทรงทำขณะที่พระองค์เสด็จออกจากแคว้นยูเดียมายังแคว้นกาลิลี
1หลังจากนั้นก็มีงานเทศกาลของคนยิว พระเยซูจึงได้เสด็จขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม2ขณะนั้นในกรุงเยรูซาเล็มที่ประตูแกะ มีสระน้ำแห่งหนึ่ง ในภาษาฮีบรูเรียกว่าเบธไซดา ที่สระน้ำนั้นมีศาลาห้าหลัง3มีคนป่วยจำนวนมาก ทั้งคนตาบอด คนพิการและเป็นอัมพาตกำลังนอนอยู่ที่นั่น4เพราะทูตสวรรค์องค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้ลงมาและกวนน้ำนั้นในเวลาใดเวลาหนึ่ง และใครก็ตามที่ก้าวลงไปในน้ำขณะที่น้ำถูกกวนนั้น ก็จะได้รับการรักษาให้หายจากโรคที่เขาเป็นอยู่5มีชายคนหนึ่งอยู่ที่นั่น เขาป่วยมาได้สามสิบแปดปีแล้ว6เมื่อพระเยซูเห็นเขานอนอยู่ที่นั่น และหลังจากที่พระองค์รู้ว่าเขาได้อยู่ที่นั่นมานานแล้ว พระองค์ตรัสกับเขาว่า "ท่านอยากจะหายป่วยไหม?"7ชายที่ป่วยคนนั้นตอบว่า "ท่านเจ้าข้า ไม่มีใครเอาข้าพเจ้าวางลงไปในสระเมื่อน้ำนั้นกระเพื่อม เมื่อข้าพเจ้าจะลงไป ก็มีคนอื่นลงไปก่อนข้าพเจ้า"8พระเยซูตรัสกับเขาว่า "จงลุกขึ้น เก็บที่นอน และเดินไปเถิด"9ในทันใดนั้น ชายคนนั้นก็หายป่วย เขาลุกขึ้นและเก็บที่นอนของเขาและเดินไป วันนั้นเป็นวันสะบาโต10พวกคนยิวจึงพูดกับชายที่หายป่วยนั้นว่า "วันนี้เป็นวันสะบาโต ห้ามไม่ให้เจ้าแบกที่นอนของเจ้า"11เขาตอบว่า "แต่ชายคนที่รักษาข้าพเจ้าบอกให้ข้าพเจ้า 'ลุกขึ้น แบกที่นอน และเดินไป'"12พวกเขาถามชายคนนั้นว่า "ชายคนนั้นที่พูดกับเจ้าว่า 'จงแบกที่นอนและเดินไปคือใคร?'"13อย่างไรก็ตาม ชายคนนั้นไม่รู้จักผู้ที่รักษาเขา เพราะว่าพระเยซูได้จากไปอย่างเงียบๆ เพราะที่นั่นมีคนชุมนุมอยู่มาก14หลังจากนั้น พระเยซูทรงเจอชายคนนั้นที่พระวิหารและตรัสกับเขาว่า "ดูสิ เจ้าหายป่วยแล้ว อย่าทำบาปอีก เพื่อที่สิ่งเลวร้ายจะได้ไม่เกิดแก่เจ้า"15ชายคนนั้นออกไปและบอกแก่พวกยิวว่าผู้ที่รักษาเขาคือพระเยซู16ด้วยเหตุนี้ พวกยิวจึงข่มเหงพระเยซู เพราะว่าพระองค์ทรงกระทำสิ่งเหล่านี้ในวันสะบาโต17พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า "แม้ในขณะนี้ พระบิดาของเรากำลังทำงานอยู่ และเราเองก็ทำงานด้วย"18เพราะเหตุนี้ พวกยิวจึงหาทางที่จะฆ่าพระองค์เพราะนอกจากพระองค์จะทรงทำลายกฎวันสะบาโตแล้ว พระองค์ยังทรงเรียกพระเจ้าว่าเป็นพระบิดาของตัวเอง ซึ่งเป็นการทำตัวเสมอพระเจ้า19พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า "เราบอกความจริงว่า พระบุตรจะไม่ทรงทำสิ่งใดด้วยพระองค์เอง นอกจากสิ่งที่พระบุตรนั้นได้เห็นพระบิดาทรงทำ ไม่ว่าพระบิดากำลังทรงกระทำสิ่งใด พระบุตรก็ทรงกระทำสิ่งเหล่านั้นด้วย20เพราะว่าพระบิดาทรงรักพระบุตรและสำแดงทุกสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำให้พระบุตรเห็น และพระบิดาจะทรงสำแดงสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านี้แก่พระบุตรเพื่อที่ท่านทั้งหลายจะได้ประหลาดใจ21เพราะพระบิดาได้ทรงกระทำให้คนตายเป็นขึ้นและให้ชีวิตแก่พวกเขาฉันใด พระบุตรก็ได้ทรงให้ชีวิตแก่ผู้ที่พระองค์ประสงค์ฉันนั้น22ด้วยว่าพระบิดาไม่ทรงพิพากษาผู้ใด แต่ได้ทรงมอบการพิพากษาทั้งหมดนั้นไว้แก่พระบุตร23เพื่อทุกคนจะได้ถวายเกียรติแด่พระบุตรนั้นเหมือนอย่างที่พวกเขาถวายเกียรติแด่พระบิดา แต่ผู้ใดที่ไม่ถวายเกียรติแด่พระบุตรก็ไม่ได้ถวายเกียรติแด่พระบิดาผู้ทรงส่งพระบุตรมา24เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ผู้ที่ได้ยินคำของเราและวางใจท่านผู้นั้นที่ส่งเรามาจะมีชีวิตนิรันดร์และจะไม่ถูกพิพากษา แต่ได้ผ่านจากความตายไปสู่ชีวิตแล้ว25เราบอกความจริงแก่พวกท่านว่า เวลานั้นใกล้เข้ามาแล้ว และบัดนี้ก็มาถึงแล้ว เมื่อคนตายได้ยินพระสุรเสียงของพระบุตรของพระเจ้า และคนเหล่านั้นที่ได้ยินจะมีชีวิต26เพราะว่าเหมือนกับพระบิดาทรงมีชีวิตในพระองค์เองฉันใด พระองค์ก็ประทานชีวิตนั้นแก่พระบุตรเพื่อพระบุตรจะมีชีวิตอยู่ในพระองค์เองฉันนั้น27และพระบิดาประทานสิทธิอำนาจแก่พระบุตรเพื่อทำการพิพากษา เพราะพระองค์ทรงเป็นบุตรมนุษย์28อย่าประหลาดในเรื่องนี้ เพราะเวลานั้นจะมาถึง เมื่อทุกคนที่อยู่ในอุโมงค์จะได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์29และจะออกมา สำหรับคนเหล่านั้นที่ได้ทำการดีก็จะได้ฟื้นคืนสู่ชีวิต แต่คนที่ทำความชั่วก็จะฟื้นขึ้นมาสู่การพิพากษา30เราไม่ได้ทำด้วยตัวของเราเอง เราได้ยินอย่างไร เราพิพากษาตามนั้น และการพิพากษาของเราก็ชอบธรรม เพราะว่าเราไม่ได้ทำตามใจของเรา แต่เราทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ผู้ที่ส่งเรามา31หากเราเป็นพยานถึงตัวเราเอง คำพยานของเราก็ไม่เป็นความจริง32มีอีกคนหนึ่งที่มาเพื่อเป็นพยานแก่เรา และเรารู้ว่าคำพยานที่เขาให้ไว้เกี่ยวกับเราก็เป็นจริง33พวกท่านได้ส่งคนไปหายอห์นและเขาได้ยืนยันความจริงนี้แล้ว34แต่คำพยานที่เราได้รับนั้นไม่ได้มาจากมนุษย์ เราพูดอย่างนี้เพื่อที่พวกท่านจะรอดได้35ยอห์นเป็นโคมที่ถูกจุดไว้และส่องสว่าง และพวกท่านเองก็ได้ชื่นชมยินดีในแสงสว่างนั้นชั่วขณะหนึ่ง36แต่คำพยานที่เรามีนั้นก็ยิ่งใหญ่กว่าคำพยานของยอห์น เพราะการงานที่พระบิดาได้มอบหมายให้เราทำให้สำเร็จ ทุกอย่างที่เราได้ทำก็ได้เป็นพยานถึงเรา เป็นพยานว่าพระบิดาได้ส่งเรามา37พระบิดาผู้ที่ส่งเรามาได้เป็นพยานแก่เรา พวกท่านไม่เคยได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์หรือไม่เคยเห็นพระองค์เลย38พวกท่านไม่มีคำของพระองค์ดำรงอยู่ในพวกท่าน เพราะพวกท่านไม่ได้เชื่อในผู้นั้นที่พระองค์ได้ส่งมา39พวกท่านค้นหาในข้อพระคัมภีร์ เพราะพวกท่านคิดว่าในพระคัมภีร์มีชีวิตนิรันดร์ และพระคัมภีร์เดียวกันนี้ก็ได้เป็นพยานเกี่ยวกับเรา40และพวกท่านก็ไม่อยากเข้ามาหาเราเพื่อพวกท่านจะได้มีชีวิต41เราไม่ได้รับการสรรเสริญจากมนุษย์ทั้งหลาย42แต่เรารู้ว่าพวกท่านไม่มีความรักของพระเจ้าอยู่ในพวกท่าน43เราได้มาในพระนามของพระบิดาของเรา แต่พวกท่านก็ไม่ยอมรับเรา หากมีอีกคนมาในนามของเขาเอง พวกท่านจะยอมรับพวกเขา44พวกท่านผู้สรรเสริญกันเอง แต่ไม่ได้แสวงหาการสรรเสริญที่มาจากพระเจ้าแต่พระองค์เดียว พวกท่านจะเชื่อได้อย่างไร?45อย่าหาว่าเราได้กล่าวโทษพวกท่านต่อพระบิดา คนที่กล่าวโทษพวกท่านคือโมเสส ผู้ซึ่งที่ท่านมอบความหวังไว้กับเขา46หากท่านเชื่อโมเสสท่านก็จะเชื่อเราด้วย เพราะโมเสสได้เขียนเกี่ยวกับเรา47หากท่านไม่เชื่อสิ่งที่โมเสสเขียนไว้ แล้วท่านจะเชื่อคำของเราได้อย่างไร?"
1หลังจากสิ่งเหล่านี้ พระเยซูได้เสด็จไปยังอีกฟากของทะเลสาบกาลิลี ซึ่งเรียกอีกชื่อว่าทะเลสาบทิเบเรียส2มีฝูงชนมากมายติดตามพระองค์เพราะว่าพวกเขาได้เห็นหมายสำคัญที่พระองค์ได้ทรงกระทำแก่คนป่วยเหล่านั้น3พระเยซูเสด็จขึ้นไปบนภูเขาและประทับกับเหล่าสาวกของพระองค์4(ตอนนั้น ใกล้จะถึงเทศกาลปัสกาและเทศกาลของพวกยิว)5เมื่อพระเยซูเงยพระพักต์ขึ้นดูก็เห็นฝูงชนมากมายกำลังมาหาพระองค์ พระองค์บอกกับฟิลิปว่า "พวกเราจะไปซื้ออาหารที่ไหนเพื่อให้คนเหล่านี้กิน?"6(แต่พระเยซูตรัสสิ่งนี้เพื่อทดสอบฟิลิป เพราะพระองค์ทรงรู้อยู่แล้วว่าพระองค์จะทรงทำอะไร)7ฟิลิปตอบพระองค์ว่า "สองร้อยเหรียญเดนาริอันก็ไม่พอซื้ออาหารให้พวกเขารับประทานแม้คนละเล็กละน้อย"8สาวกคนหนึ่งชื่ออันดรูว์ น้องชายของซีโมนเปโตรทูลพระเยซูว่า9"มีเด็กชายคนหนึ่งเขามีขนมปังบาร์เลย์ห้าก้อนกับปลาสองตัว แต่จะพอกับคนมากมายเหล่านี้หรือ?"10พระเยซูตรัสว่า "ให้พวกเขานั่งลง" (ที่นั่นมีหญ้าขึ้นอยู่มากมาย) พวกผู้ชายจึงนั่งลง มีประมาณห้าพันคน11แล้วพระเยซูก็เอาขนมปังและหลังจากที่ขอบพระคุณแล้ว พระองค์ก็แจกขนมปังนั้นให้แก่พวกคนที่นั่งอยู่ พระองค์ทรงทำอย่างนั้นกับปลาด้วย ทรงให้พวกเขามากตามที่พวกเขาต้องการ12เมื่อผู้คนได้รับประทานจนอิ่ม พระองค์ตรัสกับเหล่าสาวกของพระองค์ว่า "จงเก็บเศษขนมปังที่เหลือ เพื่อไม่ให้อะไรเสียเลย"13ดังนั้นพวกเขาจึงรวบรวมเศษขนมปังและรวมได้สิบสองตะกร้าเต็มจากขนมปังบาร์เลย์ห้าก้อน ซึ่งเป็นเศษเหลือหลังจากที่คนเหล่านั้นได้รับประทานแล้ว14หลังจากนั้น เมื่อพวกเขาได้เห็นหมายสำคัญที่พระเยซูได้ทำ พวกเขาพูดว่า "แท้จริงแล้ว นี่คือผู้เผยพระวจนะที่จะเข้ามาในโลกนี้"15เมื่อพระเยซูทรงทราบว่าพวกเขากำลังมาหาและเพื่อบังคับให้พระองค์เป็นกษัตริย์ของพวกเขา พระองค์จึงเสด็จไปยังภูเขาแต่เพียงผู้เดียว16เมื่อถึงเวลาเย็น เหล่าสาวกของพระองค์ได้ลงไปยังทะเล17พวกเขาขึ้นเรือเพื่อจะข้ามฟากไปยังเมืองคาเปอรนาอุม ตอนนั้นก็มืดมากแล้วและพระเยซูก็ยังไม่เสด็จมาหาพวกเขา18แล้วลมก็เริ่มพัดแรงและทะเลก็มีคลื่นแรงขึ้น19เมื่อพวกเขากำลังพายไปได้ประมาณห้าหรือหกกิโลเมตร พวกเขาเห็นพระเยซูกำลังดำเนินมาบนทะเลและมาใกล้เรือมากขึ้น และพวกเขาก็กลัว20แต่พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า "คือเราเอง อย่ากลัวเลย"21แล้วพวกเขาจึงรับพระองค์ขึ้นมาบนเรือ แล้วในทันใดนั้น เรือของพวกเขาก็มาถึงฝั่งที่พวกเขากำลังจะไป22วันต่อมา ฝูงชนที่ได้ยืนคอยอยู่อีกฟากของทะเลเห็นว่าไม่มีเรือลำอื่น นอกจากลำที่อยู่ที่นั่น แต่พระเยซูก็ไม่ได้เสด็จขึ้นเรือนั้นกับเหล่าสาวกของพระองค์ แต่พวกสาวกได้ออกเรือลำนั้นไปตามลำพัง23แต่มีเรือบางลำมาจากทิเบเรียส ใกล้ๆกับสถานที่ที่พวกเขาได้กินขนมปังที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้อธิษฐานขอบพระคุณ24เมื่อฝูงชนพบว่าทั้งพระเยซูและพวกสาวกของพระองค์ไม่ได้อยู่ที่นั่น พวกเขาจึงลงเรือและไปยังเมืองคาเปอรนาอุมเพื่อตามหาพระเยซู25เมื่อพวกเขาพบพระองค์ที่อีกฟากของทะเล พวกเขาทูลพระองค์ว่า "รับบี ท่านมาที่นี่เมื่อไหร่?"26พระเยซูตรัสตอบพวกเขาว่า "เราบอกความจริงแก่พวกท่านว่า พวกท่านแสวงหาเรา ไม่ใช่เพราะว่าพวกท่านได้เห็นหมายสำคัญ แต่เพราะพวกท่านได้กินขนมปังจนอิ่ม27อย่าทำงานเพื่ออาหารที่เสื่อมสูญได้ แต่จงทำงานเพื่อที่จะได้อาหารที่คงทนจนถึงชีวิตนิรันดร์ที่บุตรมนุษย์จะทรงให้แก่พวกท่าน เพราะว่าพระเจ้าพระบิดาได้ทรงประทับตราบนพระบุตรแล้ว"28พวกเขาจึงทูลพระองค์ว่า "พวกเราจะต้องทำเช่นไร เพื่อพวกเราจะได้ทำงานของพระเจ้า?"29พระองค์ตรัสแก่พวกเขาว่า "งานของพระเจ้าคือการที่พวกท่านเชื่อในผู้นั้นที่พระองค์ได้ส่งมา"30ดังนั้น พวกเขาจึงถามพระองค์ว่า "แล้วพระองค์จะทำหมายสำคัญอะไร เพื่อพวกเราจะได้เห็นและเชื่อพระองค์? พระองค์จะทำสิ่งใดบ้าง?31บรรพบุรุษของพวกเราได้กินมานาในถิ่นทุรกันดาร อย่างที่ได้เขียนไว้ 'ท่านได้ให้พวกเขากินอาหารจากสวรรค์'"32แล้วพระเยซูจึงตรัสตอบพวกเขาว่า "เราบอกความจริงแก่พวกท่านว่า ไม่ใช่โมเสสที่ให้อาหารนั้นจากสวรรค์ แต่เป็นพระบิดาของเราที่ให้อาหารที่แท้จริงจากสวรรค์แก่พวกท่าน33เพราะว่าอาหารของพระเจ้านั้นคือผู้ที่ได้ลงมาจากสวรรค์และให้ชีวิตแก่โลกนี้"34พวกเขาทูลพระองค์ว่า "ได้โปรดให้อาหารนี้แก่เราตลอดไป"35พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า "เราเป็นอาหารแห่งชีวิต ผู้ที่มาหาเราจะไม่หิว และผู้ที่เชื่อในเราจะไม่กระหายอีกเลย36แต่เราบอกพวกท่านว่า พวกท่านได้เห็นเราแล้ว และพวกท่านก็ไม่เชื่อ37ทุกคนที่พระบิดาได้มอบให้กับเราจะมาหาเรา และผู้ที่มาหาเรา เราจะไม่โยนเขาทิ้งไป38เพราะเราได้ลงมาจากสวรรค์ ไม่ได้มาทำตามความประสงค์ของเรา แต่ทำตามพระประสงค์ของผู้ที่ส่งเรามา39และนี่คือพระประสงค์ของผู้ที่ส่งเรามา เพื่อจะไม่ให้คนทั้งปวงที่มอบไว้กับเรานั้นสูญหายไปแม้สักคนเดียว แล้วพวกเขาจะเป็นขึ้นมาในวันสุดท้าย40และนี่คือพระประสงค์ของพระบิดาของเรา คือทุกคนที่เห็นพระบุตรและเชื่อในพระบุตรนั้นจะได้รับชีวิตนิรันดร์และเราจะให้เขาเป็นขึ้นมาในวันสุดท้าย41แล้วพวกคนยิวก็เริ่มบ่นพระองค์ที่พระองค์ได้ตรัสว่า "เราคืออาหารที่ได้ลงมาจากสวรรค์"42พวกเขาพูดว่า "นี่คือเยซูบุตรโยเซฟมิใช่หรือ? พ่อแม่ของเขาพวกเราก็รู้จัก? แล้วเขาพูดอย่างนี้ได้อย่างไรว่า 'เราได้ลงมาจากสวรรค์'?"43พระเยซูตรัสตอบพวกเขาว่า "เลิกพึมพำท่ามกลางพวกท่านเสียที44ไม่มีใครจะมาหาเราได้นอกเสียจากว่าพระบิดาผู้ที่ส่งเรามาจะนำเขาเข้ามา และเราจะให้คนนั้นเป็นขึ้นมาในวันสุดท้าย45มีคำเขียนไว้โดยผู้เผยพระวจนะว่า 'พระเจ้าจะสั่งสอนพวกเขาทุกคน' ทุกคนที่ได้ยินและเรียนจากพระบิดาก็มาหาเรา46ไม่มีใครได้เห็นพระบิดา นอกจากผู้ที่มาจากพระเจ้า เขาคือคนที่เคยเห็นพระบิดา47เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า ผู้ที่เชื่อก็มีชีวิตนิรันดร์48เราเป็นอาหารแห่งชีวิต49บรรพบุรุษของท่านทั้งหลายได้กินมานาในถิ่นทุรกันดาร และพวกเขาก็ตาย50นี่คืออาหารที่ลงมาจากสวรรค์ เพื่อคนที่ได้กินแล้วจะไม่ตาย51เราเป็นอาหารแห่งชีวิตที่ลงมาจากสวรรค์ หากใครได้กินอาหารนี้ ผู้นั้นจะอยู่ตลอดไปเป็นนิจ อาหารที่เราให้แก่พวกท่านคือเนื้อของเราที่มีเพื่อชีวิตของโลกนี้"52คนยิวท่ามกลางพวกเขาก็เริ่มโมโหและโต้เถียงว่า "ชายคนนี้จะเอาเนื้อของเขาให้พวกเรากินได้อย่างไร?"53แล้วพระเยซูจึงตรัสกับพวกเขาว่า "เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า นอกเสียจากพวกท่านจะกินเนื้อของบุตรมนุษย์และดื่มเลือดของพระองค์ พวกท่านจะไม่มีชีวิตอยู่ภายในพวกท่านเลย54ผู้ที่กินเนื้อของเราและดื่มเลือดของเรา จะมีชีวิตนิรันดร์และเราจะให้เขาเป็นขึ้นในวันสุดท้าย55เพราะเนื้อของเราคืออาหารที่แท้จริง และเลือดของเราก็คือเครื่องดื่มที่แท้จริง56ผู้ที่กินเนื้อของเราและดื่มเลือดของเราก็จะคงอยู่ในเราและเราอยู่ในผู้นั้น57พระบิดาผู้ทรงพระชนม์อยู่ได้ส่งเรามาและที่เราได้มีชีวิตอยู่ก็เพราะพระบิดา ผู้ใดที่กินเรา ผู้นั้นจะมีชีวิตอยู่เพราะเราด้วย58นี่คืออาหารที่ได้มาจากสวรรค์ ไม่ใช่ที่พวกบรรพบุรุษได้กินแล้วตาย ผู้ใดที่ได้กินอาหารนี้จะมีชีวิตตลอดไป"59พระเยซูได้ตรัสสิ่งเหล่านี้ในธรรมศาลาขณะที่พระองค์สอนอยู่ที่เมืองคาเปอรนาอุม60เมื่อสาวกของพระองค์หลายคนได้ยินพระองค์ตรัสดังนั้นแล้วจึงถามว่า "คำสอนนี้ยากเหลือเกิน ใครจะรับได้?"61แต่พระเยซูทรงรู้อยู่แล้วว่าเหล่าสาวกต่างบ่นพึมพำในเรื่องนี้ จึงตรัสแก่พวกเขาว่า "เรื่องนี้ได้ทำให้พวกท่านสะดุดหรือ?62แล้วอะไรจะเกิดขึ้นถ้าหากพวกท่านได้เห็นบุตรมนุษย์เสด็จกลับขึ้นไปยังที่ที่พระองค์อยู่ก่อนหน้านี้ล่ะ?63คือพระวิญญาณที่ให้ชีวิต เนื้อหนังไม่มีประโยชน์อะไร ถ้อยคำที่เราได้ตรัสแก่พวกท่านเป็นฝ่ายวิญญาณ และถ้อยคำเหล่านั้นเป็นชีวิต64ยังมีบางคนในพวกเจ้าที่ไม่เชื่อ" เพราะพระเยซูทรงรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าใครคนไหนที่ไม่เชื่อ และคนไหนที่จะทรยศพระองค์ด้วย65พระองค์ตรัสว่า "เป็นเพราะเหตุนี้ เราจึงบอกท่านว่าไม่มีใครมาหาเราได้นอกจากพระบิดาจะประทานผู้นั้นมา"66ด้วยเหตุนี้ มีสาวกหลายคนได้ละทิ้งพระองค์และไม่ติดตามพระองค์อีก67พระองค์จึงตรัสกับสาวกสิบสองคนว่า "พวกท่านไม่คิดจะจากเราไปด้วยหรือ?"68ซีโมนเปโตรตอบพระองค์ว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้า มีใครที่พวกเราควรติดตามอีกหรือ? พระองค์ทรงมีถ้อยคำแห่งชีวิตนิรันดร์69และพวกเราได้เชื่อและมารู้ว่าพระองค์ทรงเป็นองค์บริสุทธิ์องค์เดียวของพระเจ้า"70พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า "เราได้เลือกท่านทั้งสิบสองคนมิใช่หรือ แต่หนึ่งในพวกท่านนั้นคือมารร้าย?71ที่พระองค์ตรัสนั้นหมายถึงยูดาสบุตรของซีโมนอิสคาริโอท เพราะเขาคือคนที่เป็นหนึ่งในสิบสองคนที่จะทรยศพระเยซู
1หลังจากเหตุการณ์เหล่านี้ พระเยซูได้เสด็จไปยังที่ต่างๆ ในแคว้นกาลิลี เพราะพระองค์ไม่อยากไปยังแคว้นยูเดียเหตุเพราะพวกยิวแสวงหาที่จะฆ่าพระองค์2เทศกาลอยู่เพิงของพวกยิวก็ใกล้เข้ามา3พวกน้องชายของพระองค์บอกกับพระองค์ว่า "ท่านจงออกจากที่นี่และไปยังแคว้นยูเดีย เพื่อที่พวกสาวกของท่านจะได้เห็นงานที่ท่านทำ4ไม่มีใครทำอะไรในที่ลับหากตัวของเขาอยากเป็นที่ปรากฏ หากท่านทำสิ่งเหล่านี้ จงสำแดงตัวท่านต่อโลกนี้"5แม้กระทั่งพวกน้องชายของพระองค์ก็ยังไม่เชื่อพระองค์6พระเยซูจึงตรัสแก่พวกเขาว่า "เวลาของเรายังมาไม่ถึง แต่เวลาของพวกท่านนั้นพร้อมอยู่เสมอ7โลกนี้จะเกลียดพวกท่านไม่ได้ แต่โลกนี้เกลียดเรา เพราะเราได้เป็นพยานว่าการงานของโลกนี้ชั่วร้าย8พวกท่านจงขึ้นไปยังงานเทศกาล แต่เราจะยังไม่ไปงานเทศกาล เพราะยังไม่ถึงกำหนดเวลาของเรา"9เมื่อพระองค์ตรัสแก่พวกเขาดังนั้นแล้ว พระองค์ก็ประทับอยู่ที่แคว้นกาลิลี10เมื่อพวกน้องชายของพระองค์ขึ้นไปยังงานเทศกาล พระองค์ก็เสด็จไปที่งานเทศกาลภายหลังอย่างลับๆ โดยไม่เปิดเผย11พวกยิวกำลังมองหาพระองค์และพูดว่า "คนนั้นอยู่ที่ไหน?"12มีหลายคนท่ามกลางฝูงชนพูดกันถึงพระองค์ บางคนพูดว่า "ชายคนนั้นเป็นคนดี" คนอื่นพูดว่า "ไม่ใช่ เขากำลังทำให้ผู้คนหลงไป"13แต่ก็ยังไม่มีใครพูดถึงพระองค์อย่างเปิดเผย ด้วยว่าพวกเขากลัวพวกยิว14เมื่องานเทศกาลผ่านไปแล้วครึ่งหนึ่ง พระเยซูได้ขึ้นไปยังพระวิหารและเริ่มเทศนาสั่งสอน15แล้วพวกยิวก็เริ่มประหลาดใจพูดว่า "ทำไมชายคนนี้ถึงรู้อะไรมากมาย? เขาไม่เคยได้เรียนมาก่อน"16พระเยซูตรัสตอบพวกเขาว่า "คำสอนนี้ไม่ใช่ของเรา แต่เป็นของผู้ที่ส่งเรามา17ถ้าหากผู้ใดปรารถนาที่จะทำตามพระประสงค์ของพระองค์ เขาจะรู้จักคำสอนนี้ ไม่ว่าคำสอนมาจากพระเจ้าหรือมาจากสิ่งที่เราพูดโดยตัวของเราเอง18ผู้ใดก็ตามที่พูดสิ่งที่ออกมาจากตัวของเขาเอง ผู้นั้นก็พูดเพื่อแสวงหาเกียรติของเขา แต่ผู้ใดที่แสวงหาเกียรติของพระองค์ผู้ที่ส่งผู้นั้นมา คนนั้นแหละคือคนจริง และไม่มีความอธรรมในคนนั้นเลย19โมเสสไม่ได้ให้ธรรมบัญญัติแก่พวกท่านหรือ? แต่ไม่มีใครในพวกท่านรักษาธรรมบัญญัตินั้นไว้เลย ทำไมพวกท่านแสวงหาเพื่อที่จะฆ่าเรา ?20ฝูงชนตอบว่า "ท่านมีผีร้าย ใครแสวงหาที่จะฆ่าท่านหรือ?"21พระเยซูตรัสตอบพวกเขาว่า "เราทำงานอย่างหนึ่ง และพวกท่านทั้งหมดก็ประหลาดใจเพราะเรื่องนี้22โมเสสได้ให้พวกท่านเข้าสุหนัต (ไม่ใช่ว่าสิ่งนั้นมาจากโมเสส แต่มาจากบรรพบุรุษ) และท่านก็ให้ผู้ชายเข้าสุหนัตในวันสะบาโต23หากชายคนใดเข้าสุหนัตในวันสะบาโตเพื่อไม่ให้ธรรมบัญญัติของโมเสสเสียไป ทำไมพวกท่านถึงโมโหที่เราได้รักษาชายคนหนึ่งจนหายดีในวันสะบาโต?24อย่าตัดสินเฉพาะสิ่งที่ปรากฎแต่ภายนอก แต่จงตัดสินด้วยความชอบธรรม"25บางคนในพวกเขาที่มาจากกรุงเยรูซาเล็มพูดว่า "ไม่ใช่ผู้นี้หรอกหรือที่พวกเขาแสวงหาเพื่อฆ่าเสีย?26ดูสิ เขากำลังพูดอย่างเปิดเผยแต่ไม่มีใครพูดอะไรเกี่ยวกับเขาเลย เป็นไปไม่ได้ที่พวกเจ้าหน้าที่จะรู้ว่าชายคนนี้คือพระคริสต์ หรือว่าจะเป็นไปได้?27แต่พวกเรารู้ว่าท่านผู้นี้มาจากไหน แต่เมื่อพระคริสต์เสด็จมา จะไม่มีใครรู้ว่าพระองค์มาจากที่ไหน"28แล้วพระเยซูก็ประกาศออกมาขณะที่กำลังสั่งสอนในพระวิหารและตรัสว่า "ท่านทั้งสองรู้จักเราและรู้ว่าเรามาจากไหน เราไม่ได้มาด้วยตัวของเราเอง แต่ผู้ที่ส่งเรามานั้นสัตย์จริง และพวกท่านไม่รู้จักพระองค์29เรารู้จักพระองค์ เพราะว่าเรามาจากพระองค์คือผู้ที่ส่งเรามา"30พวกเขาพยายามที่จะจับพระองค์ แต่ว่าไม่มีใครกล้าเอามือแตะต้องพระองค์เพราะว่าเวลาของพระองค์ยังมาไม่ถึง31แต่ฝูงชนมากมายเชื่อในพระองค์ พวกเขาพูดว่า "เมื่อพระคริสต์เสด็จมา ท่านจะทำหมายสำคัญมากยิ่งกว่าที่ผู้นี้ได้ทำอีกหรือ?"32พวกฟาริสีได้ยินสิ่งที่ฝูงชนกำลังคุยกันเกี่ยวกับพระเยซู แล้วพวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกฟาริสีได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปจับพระองค์33แล้วพระเยซูจึงตรัสว่า "เรายังจะอยู่กับพวกท่านอีกสักหน่อยหนึ่ง แล้วเราจะไปหาพระองค์คือผู้นั้นที่ส่งเรามา34พวกท่านจะแสวงหาเราแต่พวกท่านจะไม่พบเรา ที่ที่เราไปนั้น พวกท่านไปไม่ได้"35แล้วพวกยิวก็พูดในท่ามกลางพวกเขาว่า "เขาจะไปที่ไหนที่พวกเราไม่สามารถไปหาเขาได้? เขาจะเดินทางไปหาคนที่กระจัดกระจายอยู่ในคนกรีกเพื่อสอนคนกรีกหรือ?36คำนี้หมายความว่าอย่างไรที่ว่า ''พวกท่านจะแสวงหาเราแต่พวกท่านจะไม่พบเรา ที่ที่เราไปนั้น พวกท่านไปไม่ได้'?"37เมื่อมาถึงวันสุดท้าย คือวันที่ยิ่งใหญ่ของเทศกาล พระองค์ยืนขึ้นและประกาศว่า "ถ้าผู้ใดกระหาย จงให้ผู้นั้นมาหาเราและดื่ม38ผู้ที่เชื่อในเรา เหมือนที่มีคำเขียนเอาไว้ว่า "แม่น้ำที่เป็นน้ำแห่งชีวิตจะไหลออกมาจากท้องของเขา"39แต่พระองค์ตรัสอย่างนี้ ทรงหมายถึงพระวิญญาณที่คนที่เชื่อในพระองค์จะได้รับ แต่พระวิญญาณยังไม่ได้ถูกประทานมาเพราะพระเยซูยังไม่ได้รับเกียรตินั้น40บางคนในฝูงชน เมื่อพวกเขาได้ยินสิ่งเหล่านี้ก็พูดว่า "นี่คือผู้เผยพระวจนะ"41คนอื่นพูดว่า "นี่คือพระคริสต์" แต่บางคนว่า "พระคริสต์มาจากกาลิลีได้หรือ?42พระคัมภีร์ไม่ได้กล่าวเอาไว้หรือว่าพระคริสต์นั้นจะมาจากเชื้อสายของดาวิดและจากหมู่บ้านเบธเลเฮม คือหมู่บ้านที่ดาวิดเคยอยู่?"43ดังนั้นจึงเกิดความแตกแยกกันในฝูงชนเพราะพระองค์44บางคนอยากจะจับพระองค์ แต่ไม่มีใครเหยียดมือเพื่อจับพระองค์45แล้วพวกเจ้าหน้าที่ก็กลับมาหาพวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกฟาริสีผู้ซึ่งพูดกับพวกเขาว่า "ทำไมพวกท่านไม่พาเขามา?"46พวกเจ้าหน้าที่ตอบว่า "ไม่เคยมีใครพูดอย่างนี้มาก่อนเลย"47แล้วพวกฟาริสีตอบพวกเขาว่า "พวกท่านเองก็ถูกหลอกด้วยหรือ?48มีผู้ปกครองคนไหนหรือพวกฟาริสีคนไหนที่เชื่อเขาบ้าง?49แต่ฝูงชนนี้ที่ไม่รู้จักกฏบัญญัติ พวกเขาจึงถูกแช่งสาป"50นิโคเดมัส (หนึ่งในพวกหัวหน้าฟาริสี ที่ได้มาหาพระองค์ก่อนหน้านี้) บอกพวกเขาว่า51"กฏหมายของเรานั้นตัดสินผู้หนึ่งผู้ใดก่อนที่จะได้ยินจากเขาและดูว่าเขาทำสิ่งใดหรือ?"52พวกเขาตอบท่านว่า "ท่านมาจากกาลิลีด้วยหรือ? ลองไปหาดูสิและท่านจะรู้ว่าไม่มีผู้เผยพระวจนะคนใดมาจากกาลิลีเลย"53แล้วพวกเขาก็กลับไปยังบ้านของตนเอง
1พระเยซูได้เสด็จไปยังภูเขามะกอกเทศ2ในเวลาเช้าตรู่ พระองค์ได้เสด็จมาสั่งสอนที่พระวิหารอีกครั้งหนึ่ง และคนทั้งปวงก็มาด้วย พระองค์ทรงนั่งลงและสั่งสอนพวกเขา3พวกธรรมจารย์และพวกฟาริสีได้พาผู้หญิงคนหนึ่งที่ถูกจับเพราะทำผิดล่วงประเวณี พวกเขาให้เธออยู่ตรงกลาง4แล้วพวกเขาทูลพระองค์ว่า "อาจารย์ หญิงคนนี้ถูกจับในขณะทำผิดประเวณี5ในธรรมบัญญัติ โมเสสสั่งให้พวกเราเอาหินขว้างคนเช่นนี้ ท่านจะว่าอย่างไรกับเธอ?"6พวกเขาพูดอย่างนี้ก็เพื่อล่อพระองค์ให้ทำผิดเพื่อพวกเขาจะได้หาเหตุฟ้องพระองค์ แต่พระเยซูทรงโน้มพระกายลงและใช้นิ้วพระหัตถ์ของพระองค์เขียนที่ดิน7เมื่อพวกเขายังคงถามพระองค์อีก พระองค์ทรงลุกขึ้นและตรัสแก่เขาทั้งหลายว่า "ใครในพวกท่านที่ไม่มีบาป ให้คนนั้นปาก้อนหินใส่เธอก่อน"8แล้วพระองค์ก็นั่งลงอีกครั้งและเอานิ้วพระหัตถ์ของพระองค์เขียนที่ดิน9เมื่อพวกเขาได้ยินเช่นนี้ พวกเขาเริ่มออกไปทีละคน เริ่มจากคนที่อาวุโส จนในที่สุดก็เหลือเพียงพระเยซูกับหญิงคนนั้นที่ถูกนำมาไว้ตรงกลาง10พระเยซูทรงลุกขึ้นและพูดกับเธอว่า "หญิงเอ๋ย คนที่กล่าวหาเจ้าไปไหนแล้ว? ไม่มีใครลงโทษเจ้าหรือ?"11เธอพูดว่า "ไม่มีใครเลย พระองค์เจ้า" พระเยซูตรัสว่า "เราก็ไม่ลงโทษเจ้าเหมือนกัน จงไปเถิดและอย่าทำบาปอีก"12แล้วพระเยซูก็ตรัสกับพวกเขาอีกครั้งว่า "เราเป็นความสว่างของโลกนี้ ผู้ใดที่ติดตามเราจะไม่เดินในความมืดแต่จะมีแสงสว่างของชีวิต"13พวกฟาริสีทูลพระองค์ว่า "ท่านเป็นพยานให้แก่ตนเอง พยานของท่านนั้นไม่จริง"14พระเยซูตรัสตอบพวกเขาว่า "ถึงแม้ว่าเราเป็นพยานด้วยตัวของเราเอง พยานของเราก็เป็นจริง เรารู้ว่าเรามาจากที่ไหนและเรากำลังไปที่ไหน แต่พวกท่านไม่รู้ว่าเรามาจากที่ไหนหรือว่าเราจะไปที่ไหน15พวกท่านพิพากษาตามเนื้อหนัง แต่เราไม่ได้พิพากษาผู้ใดเลย16ถ้าหากเราพิพากษา การพิพากษาของเราเป็นจริง เพราะว่าเราไม่ได้พิพากษาตามลำพัง แต่เราพิพากษาร่วมกับพระบิดาผู้ที่ส่งเรามาด้วย17ใช่แล้ว ในกฎหมายของพวกท่านเขียนไว้ว่าคำพยานของคนสองคนถึงจะเป็นความจริง18เราคือคนนั้นที่ได้เป็นพยานถึงตัวเราเอง และพระบิดาที่ส่งเรามาก็เป็นพยานถึงเรา"19พวกเขาพูดกับพระองค์ว่า "พระบิดาของท่านอยู่ที่ไหน?" พระเยซูตอบว่า "พวกท่านไม่รู้จักเราหรือพระบิดาของเรา ถ้าพวกท่านรู้จักเรา ท่านทั้งหลายก็รู้จักพระบิดาของเราด้วย"20พระองค์ตรัสคำเหล่านี้เป็นคำอุปมาในขณะที่พระเยซูทรงสอนในพระวิหารและไม่มีใครจับพระองค์เพราะว่าเวลาของพระองค์ยังไม่มาถึง21อีกครั้งหนึ่ง พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า "เราจะจากไป พวกท่านจะแสวงหาเราและจะตายอยู่ในบาปของพวกท่าน ที่ที่เราจะไปนั้นพวกท่านไปไม่ได้"22พวกยิวพูดว่า "เขาจะฆ่าตัวเองหรือ? เขาถึงพูดว่า 'ที่ที่เราจะไปนั้นพวกท่านไปไม่ได้'?"23พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า "พวกท่านมาจากเบื้องล่างส่วนเรามาจากเบื้องบน พวกท่านเป็นของโลกนี้ เราไม่ได้เป็นของโลกนี้24เหตุฉะนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่า พวกท่านจะตายในความบาปของพวกท่าน นอกเสียจากพวกท่านเชื่อว่าเราเป็นผู้นั้น พวกท่านจะตายในความบาปของพวกท่าน"25ดังนั้นพวกเขาจึงพูดกับพระองค์ว่า "แล้วท่านเป็นใคร?" พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า "สิ่งที่เราได้บอกท่านทั้งหลายตั้งแต่เริ่มแรก26เรามีหลายอย่างที่อยากจะพูดเกี่ยวกับพวกท่านและพิพากษาพวกท่าน อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ส่งเรามาเป็นจริง และสิ่งที่เราได้ยินจากผู้นั้น คือสิ่งเหล่านี้ที่เราได้กล่าวต่อโลก"27พวกเขาไม่เข้าใจว่าพระองค์กำลังตรัสแก่พวกเขาเกี่ยวกับพระบิดา28พระเยซูตรัสว่า "เมื่อพวกท่านได้ยกบุตรมนุษย์ขึ้น พวกท่านจะรู้ว่าเราเป็นผู้นั้น และเราไม่ได้ทำสิ่งใดด้วยตัวเราเอง เราพูดสิ่งต่างๆ เหล่านี้ที่พระบิดาได้ทรงสอนเรา29พระองค์ผู้ที่ส่งเรามาก็อยู่กับเรา และพระองค์ไม่ได้ทิ้งเราไว้แต่ลำพัง เพราะว่าเราทำทุกสิ่งที่พระบิดาพอพระทัยเสมอ"30ในขณะที่พระเยซูตรัสสิ่งเหล่านี้ คนจำนวนมากก็เชื่อในพระองค์31พระเยซูตรัสแก่พวกคนยิวที่เชื่อในพระองค์ว่า "ถ้าพวกท่านยึดมั่นอยู่ในถ้อยคำของเรา พวกท่านก็เป็นสาวกของเราอย่างแท้จริง32และพวกท่านจะได้รู้จักความจริง และความจริงนั้นจะปลดปล่อยพวกท่านเป็นอิสระ"33พวกเขาตอบพระองค์ว่า "พวกเราเป็นลูกหลานของอับราฮัมและพวกเราไม่เคยเป็นทาสของใครเลย ทำไมท่านถึงพูดว่า 'พวกท่านจะเป็นอิสระ'?"34พระเยซูตอบพวกเขาว่า "เราบอกความจริงแก่พวกท่านว่า ผู้ใดก็ตามที่ทำบาปก็ตกเป็นทาสของความบาป35ทาสนั้นจะไม่ได้อยู่ในบ้านเสมอไป แต่บุตรจะอยู่เสมอไป36เหตุฉะนั้น ถ้าพระบุตรได้ปลดปล่อยให้พวกท่านเป็นอิสระ พวกท่านก็จะเป็นอิสระอย่างแท้จริง37เรารู้ว่าพวกท่านเป็นเชื้อสายของอับราฮัม แต่พวกท่านแสวงหาที่จะฆ่าเราเพราะถ้อยคำของเราไม่ได้อยู่ในพวกท่าน38เราพูดในสิ่งที่เราได้เห็นด้วยกันกับพระบิดาของเรา และพวกท่านก็ทำในสิ่งที่พวกท่านได้ยินจากบิดาของพวกท่าน"39พวกเขาตอบพระองค์ว่า "บิดาของพวกเราคืออับราฮัม" พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า "หากพวกท่านเป็นลูกหลานของอับราฮัมแล้ว พวกท่านก็จะทำงานของอับราฮัม40แต่จนบัดนี้ พวกท่านยังแสวงหาที่จะฆ่าเรา คือผู้ชายคนหนึ่งที่ได้บอกความจริงแก่พวกท่านซึ่งเราได้ยินจากพระบิดา อับราฮัมไม่ได้ทำเช่นนี้41พวกท่านก็ทำงานของบิดาของพวกท่าน" พวกเขาทูลพระองค์ว่า "พวกเราไม่ได้เกิดมาจากการล่วงประเวณี พวกเรามีพระบิดาองค์เดียวกัน คือพระเจ้า"42พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า "ถ้าพระเจ้าทรงเป็นพระบิดาของพวกท่าน พวกท่านจะรักเรา เพราะเรามาจากพระเจ้าและเราอยู่ที่นี่ เพราะเราไม่ได้มาด้วยตัวของเราเอง แต่พระบิดาส่งเรามา43ทำไมพวกท่านไม่เข้าใจถ้อยคำของเรา? นั่นเป็นเพราะพวกท่านไม่สามารถได้ยินถ้อยคำของเรา44พวกท่านมาจากบิดาของพวกท่านคือมาร และพวกท่านมีความประสงค์ที่จะทำงานของบิดาของพวกท่าน บิดาของพวกท่านเป็นฆาตกรตั้งแต่แรกและมันก็ไม่ได้ยืนอยู่ในความจริง เพราะว่าในตัวมันไม่มีความจริงเลย เมื่อมันพูดคำโกหก มันก็พูดตามธรรมชาติของมัน เพราะมันเป็นจอมโกหกและเป็นบิดาแห่งการโกหก45เพราะว่าเราได้บอกความจริง แต่พวกท่านไม่ได้เชื่อเรา46ใครในพวกท่านที่พบความบาปในเราเล่า? ถ้าเราพูดความจริง ทำไมพวกท่านถึงไม่เชื่อเรา?47ผู้ที่เป็นของพระเจ้าก็จะฟังถ้อยคำของพระเจ้า พวกท่านไม่ฟังถ้อยคำเหล่านั้น เพราะพวกท่านไม่ได้เป็นของพระเจ้า"48พวกยิวตอบพระองค์ว่า "พวกเราไม่ได้บอกกับท่านจริงๆ หรือว่า ท่านคือชาวสะมาเรียและมีมารร้าย?"49พระเยซูตรัสตอบว่า "เราไม่มีมารร้าย แต่เราให้เกียรติพระบิดาของเรา และพวกท่านไม่ได้ให้เกียรติเรา"50เราไม่ได้แสวงหาเกียรติของเราเอง มีการแสวงหาเดียวและการพิพากษาเดียว51เราบอกความจริงแก่พวกท่านว่า ถ้าผู้ใดประพฤติตามถ้อยคำของเรา เขาจะไม่ได้พบกับความตาย"52พวกยิวทูลพระองค์ว่า "ตอนนี้พวกเรารู้แล้วว่าท่านมีมารร้ายสิงอยู่ อับราฮัมและผู้เผยพระวจนะได้ตายไปหมดแล้ว แต่ท่านพูดว่า 'ถ้าใครประพฤติตามถ้อยคำของเราคนนั้นจะไม่ตาย'53ท่านไม่ได้ยิ่งใหญ่กว่าอับราฮัมบิดาของพวกเราที่ตายไปแล้วใช่ไหม? ผู้เผยพระวจนะนั้นก็ตายแล้วด้วย แล้วท่านจะว่าท่านเป็นใครนอกเหนือจากคนเหล่านี้?"54พระเยซูตรัสตอบว่า "ถ้าเราให้เกียรติตัวเราเอง เกียรติของเราก็ไม่มีค่าอะไร คือพระบิดาที่ได้ให้เกียรตินั้นแก่เรา และคนที่พวกท่านพูดนั้นก็คือพระเจ้าของพวกท่าน55พวกท่านไม่รู้จักพระองค์ แต่เรารู้จักพระองค์ ถ้าหากเราจะพูดว่า 'เราไม่รู้จักพระองค์' เราก็เหมือนพวกท่านที่พูดโกหก อย่างไรก็ตาม เรารู้จักพระองค์และประพฤติตามพระดำรัสของพระองค์56อับราฮัมผู้เป็นบิดาของพวกท่านจะชื่นชมยินดีที่เห็นวันของเรา เขาได้เห็นและยินดี"57พวกยิวทูลพระองค์ว่า "ท่านอายุไม่ยังไม่ถึงห้าสิบปี แต่ท่านได้เห็นอับราฮัมหรือ?"58พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า "เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า ก่อนอับราฮัมเกิด เราเป็นและอยู่ที่นั่น"59แล้วพวกเขาจึงหยิบก้อนหินขึ้นมาขว้างพระองค์ แต่พระเยซูหลบและออกไปจากพระวิหาร
1ขณะที่พระเยซูกำลังเสด็จผ่านไป พระองค์ทอดพระเนตรเห็นชายคนหนึ่งที่ตาบอดตั้งแต่เกิด2พวกสาวกของพระองค์ทูลถามว่า "รับบี ใครได้ทำบาป ชายคนนี้หรือบิดามารดาของเขา ที่ทำให้เขาเกิดมาตาบอด?"3พระเยซูตรัสตอบว่า "ไม่ใช่ทั้งชายผู้นี้หรือบิดามารดาของเขาที่บาป แต่เพื่อที่การงานทั้งสิ้นของพระเจ้าจะได้เปิดเผยในตัวเขา4พวกเราต้องทำงานของพระองค์ผู้ที่ส่งเรามา ในขณะที่ยังเป็นเวลากลางวัน เมื่อกลางคืนมาถึงก็จะไม่มีใครสามารถทำงานได้5ในขณะที่เรายังอยู่ในโลกนี้ เราเป็นความสว่างของโลก"6หลังจากที่พระเยซูได้ตรัสสิ่งเหล่านี้ พระองค์ถ่มน้ำลายลงที่พื้น ใช้น้ำลายผสมดินเป็นโคลนแล้วทาที่ตาของเขา7พระองค์ตรัสกับเขาว่า "จงไปล้างออกที่สระสิโลอัม (ซึ่งแปลว่าส่งไป)" แล้วชายคนนั้นก็ไปล้างและกลับมาพร้อมกับมองเห็นแล้ว8จากนั้นเพื่อนบ้านของชายคนนั้นและบรรดาคนที่เคยเห็นชายคนนี้ก่อนหน้านี้ตอนที่เขายังเป็นขอทานพูดว่า "นั่นชายที่เคยนั่งขอทานอยู่มิใช่หรือ?"9บางคนพูดว่า "เขาคือคนนั้น" คนอื่นว่า "ไม่ใช่ แต่เขาดูเหมือนคนนั้น" แต่ชายคนนั้นพูดว่า "คือข้าพเจ้าเอง"10พวกเขาพูดกับคนนั้นว่า "แล้วตาของเจ้าหายบอดได้อย่างไร?"11เขาตอบว่า "ชายคนที่ชื่อว่าเยซู ทำโคลนขึ้นมาและทาที่ตาของข้าพเจ้าและบอกกับข้าพเจ้าว่า 'ไปที่สระสิโลอัมและล้างออก' ดังนั้นข้าพเจ้าจึงไปและล้างออก และข้าพเจ้าก็มองเห็นได้"12พวกเขาพูดกับชายคนนั้นว่า "ท่านผู้นั้นอยู่ที่ไหน" เขาตอบว่า "ข้าพเจ้าไม่ทราบ"13พวกเขาจึงได้พาชายคนนั้นที่เคยตาบอดไปหาพวกฟาริสี14วันที่พระเยซูทรงทำโคลนทาตาชายตาบอดและทำให้เขาหายตาบอดนั้นเป็นวันสะบาโต15แล้วพวกฟาริสีก็ถามชายคนนี้อีกว่าเขามองเห็นได้อย่างไร เขาพูดกับพวกนั้นว่า "เขาเอาโคลนทาที่ตาของข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าล้างออก และเดี๋ยวนี้ข้าพเจ้าก็มองเห็น"16บางคนในพวกฟาริสีพูดว่า "ชายคนนี้ไม่ได้มาจากพระเจ้าเพราะว่าเขาไม่ได้ถือรักษาวันสะบาโต" คนอื่นๆ พูดว่า "ทำไมชายผู้เป็นคนบาปถึงทำหมายสำคัญเหล่านี้ได้?" จึงมีการแบ่งแยกในหมู่พวกเขา17พวกเขาจึงถามชายตาบอดอีกครั้งหนึ่งว่า "เจ้าว่าอย่างไรในเมื่อเขาทำให้เจ้าหายตาบอด?" ชายคนตาบอดพูดว่า "เขาเป็นผู้เผยพระวจนะ"18ขณะนั้นพวกยิวยังคงไม่เชื่อชายคนนั้นว่าเขาเคยตาบอดและหายตาบอดแล้ว จนกระทั่งเขาได้เรียกบิดามารดาของชายตาบอดที่มองเห็นได้มา19พวกเขาถามบิดามารดาว่า "นี่คือลูกชายของพวกท่านที่บอกว่าเขาตาบอดตั้งแต่เกิดใช่ไหม? แล้วตอนนี้เขามองเห็นได้อย่างไร?"20บิดามารดาของชายคนนั้นตอบว่า "เรารู้ว่าชายคนนี้คือลูกของเราและเขาก็เกิดมาตาบอด21ตอนนี้เขาเห็นได้อย่างไร เราไม่รู้ ชายคนที่เปิดตาของเขา พวกเราไม่รู้จัก ถามเขาสิ เขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว เขาพูดด้วยตัวเองได้"22บิดามารดาของเขาพูดเช่นนี้ก็เพราะพวกเขาเกรงกลัวพวกยิว เนื่องจากพวกยิวได้ลงความเห็นแล้วว่า หากใครยอมรับว่าคนนั้นเป็นพระคริสต์ เขาจะถูกขับไล่ออกจากธรรมศาลา23ด้วยเหตุนี้ บิดามารดาของเขาจึงพูดว่า "เขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว ถามเขาสิ"24พวกเขาได้เรียกชายที่เคยตาบอดเข้ามาเป็นครั้งที่สองและพูดกับเขาว่า "ขอพระเกียรตินั้นจงมีแด่พระเจ้า พวกเรารู้ว่าชายคนนี้เป็นคนบาป"25ชายคนนั้นตอบว่า "ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าชายคนนั้นเป็นคนบาป แต่สิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้ารู้ตอนนี้คือ ข้าพเจ้าตาบอดแต่ตอนนี้ข้าพเจ้าเห็นแล้ว"26แล้วพวกเขาพูดกับคนนั้นว่า "เขาทำอะไรแก่ท่าน? เขาทำให้ตาของท่านหายบอดได้อย่างไร?"27เขาตอบว่า ข้าพเจ้าได้บอกพวกท่านแล้วแต่พวกท่านไม่ฟัง ทำไมพวกท่านถึงอยากฟังอีกครั้ง? พวกท่านอยากจะเป็นสาวกของเขาด้วยอย่างนั้นหรือ?28พวกเขาดูถูกชายคนนั้นพูดว่า "เจ้าเป็นสาวกของเขาแต่พวกเราเป็นสาวกของโมเสส29พวกเรารู้ว่าพระเจ้าได้ตรัสกับโมเสส แต่พวกเราไม่รู้ว่าคนนี้มาจากไหน"30ชายคนนี้จึงตอบพวกเขาว่า "เรื่องนี้ช่างไม่ธรรมดาเสียจริง ที่พวกท่านไม่รู้ว่าเขามาจากไหน แต่เขาได้ทำให้ตาของข้าพเจ้าหายบอด31พวกเรารู้ว่าพระเจ้าไม่ได้ฟังคนบาป แต่ใครก็ตามที่อุทิศตนและทำตามพระประสงค์ของพระองค์ พระองค์จะฟังเขา32ตั้งแต่โลกนี้เริ่มมีมา ก็ไม่เคยได้ยินว่าจะมีใครที่สามารถทำให้คนตาบอดตั้งแต่กำเนิดหายตาบอดได้33ถ้าหากชายคนนี้ไม่ได้มาจากพระเจ้า เขาก็คงทำอะไรไม่ได้เลย"34พวกเขาตอบชายคนนี้ว่า "เจ้าเกิดมาในความบาปทั้งสิ้น และเจ้ากำลังสอนพวกเราหรือ?" แล้วพวกเขาก็โยนชายคนนี้ออกไป35เมื่อพระเยซูทรงได้ยินว่าพวกเขาได้ไล่ชายคนนี้ออกจากธรรมศาลา พระองค์ทรงพบเขาและพูดว่า "ท่านเชื่อในบุตรมนุษย์ไหม?"36เขาตอบว่า "ผู้นั้นคือใคร องค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อที่ข้าพเจ้าจะเชื่อในท่านผู้นั้น?"37พระเยซูตรัสกับเขาว่า "เจ้าได้เห็นท่านผู้นั้นแล้ว และผู้นั้นก็คือผู้ที่กำลังคุยกับเจ้าอยู่"38ชายคนนั้นพูดว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าเชื่อ" และเขาก็นมัสการพระองค์39พระเยซูตรัสว่า "สำหรับการพิพากษานั้นเราได้เข้ามาในโลกนี้ก็เพื่อคนที่มองไม่เห็นจะได้เห็นและคนที่เห็นได้นั้นจะตาบอด"40พวกฟาริสีบางคนที่อยู่กับพระองค์ที่นั่นได้ยินสิ่งเหล่านี้ก็พูดว่า "วเราตาบอดด้วยหรือ?"41พระเยซูตรัสตอบพวกเขาว่า "หากพวกท่านตาบอด พวกท่านจะไม่มีความบาป แต่เดี๋ยวนี้พวกท่านพูดว่า 'เราเห็น' บาปของพวกท่านก็ยังคงอยู่"
1"เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า หากใครไม่ได้เข้ามาทางประตูของคอกแกะ แต่ปีนเข้าไปทางอื่น คนผู้นั้นคือขโมยและโจร2ผู้ที่เข้ามาทางประตู ผู้นั้นก็คือผู้เลี้ยงของแกะ3นายประตูจะเปิดให้แก่เขา แกะฟังเสียงของเขา และเขาเรียกแกะแต่ละตัวด้วยชื่อของมันและนำพวกมันออกไป4เมื่อเขาพาแกะทั้งหมดของเขาออกไปข้างนอก เขาเดินนำหน้าฝูงแกะ และฝูงแกะก็ติดตามเขา เพราะพวกมันรู้จักเสียงของเขา5พวกมันจะไม่ติดตามคนแปลกหน้า แต่จะพยายามหลีกหนี เพราะว่าพวกแกะไม่รู้จักเสียงของคนแปลกหน้า"6พระเยซูตรัสคำอุปมาแก่พวกเขา แต่พวกเขาไม่เข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้ที่พระองค์ตรัสกับพวกเขานั้นหมายความว่าอย่างไร7พระเยซูตรัสกับพวกเขาอีกว่า "เราบอกความจริงกับท่านว่าเราเป็นประตูของแกะทั้งหลาย8ทุกคนที่มาก่อนเราก็เป็นขโมยและโจร แต่แกะจะไม่ฟังพวกเขา9เราเป็นประตู ถ้าผู้ใดเข้ามาทางเรา ผู้นั้นจะรอด เขาจะเข้าออกและเจอทุ่งหญ้า10ขโมยนั้นมาเพื่อต้องการจะลัก ฆ่าและทำลาย แต่เรามาเพื่อให้พวกเขาจะมีชีวิตและมีอย่างบริบูรณ์11เราเป็นผู้เลี้ยงแกะที่ดี ผู้เลี้ยงแกะที่ดีจะสละชีวิตเพื่อแกะของเขา12คนรับใช้ที่ถูกจ้างมาไม่ใช่คนเลี้ยงแกะ เมื่อเขาเห็นหมาป่ามา เขาก็ทิ้งฝูงแกะไว้และหลบหนีไป แล้วหมาป่าก็มาฆ่าแกะและทำให้แกะกระจัดกระจายไป13คนรับใช้นั้นหนีไปเพราะว่าเขาเป็นคนรับใช้ที่ถูกจ้างมา เขาจึงไม่ได้ห่วงใยแกะเหล่านั้น14เราเป็นผู้เลี้ยงแกะที่ดี เรารู้จักแกะของเรา และแกะของเราก็รู้จักเรา15พระบิดาทรงรู้จักเรา และเราก็รู้จักพระบิดา และเราก็วางชีวิตของเราลงเพื่อแกะเหล่านั้น16เรายังมีแกะอื่นที่ไม่ได้อยู่ในคอกนี้ เราต้องพาพวกเขากลับมา พวกเขาจะได้ยินเสียงของเราและจะรวมเป็นฝูงเดียว และมีผู้เลี้ยงแกะแต่ผู้เดียว17นี่เป็นเหตุที่พระบิดาทรงรักเรา เพราะเราวางชีวิตของเราลงเพื่อที่เราจะได้มีชีวิตอีกครั้ง18ไม่มีใครที่จะเอาชีวิตของเราไปได้ แต่เรายอมวางชีวิตของเราเอง เรามีสิทธิที่จะวางลงและเราก็มีสิทธิที่จะมีชีวิตอีกครั้ง เราได้รับคำบัญชานี้จากพระบิดาของเรา"19ด้วยคำกล่าวนี้เองก็ทำให้เกิดการแตกแยกอีกครั้งท่ามกลางพวกคนยิว20พวกเขาหลายคนพูดว่า "เขามีผีร้ายและเขาเป็นคนบ้า พวกเจ้าไปฟังเขาทำไม?"21คนอื่นว่า "นี่ไม่ใช่คำกล่าวที่มาจากคนที่ผีร้ายสิงอยู่ ผีร้ายนั้นจะทำให้คนตาบอดมองเห็นได้หรือ?"22ในขณะนั้นก็ถึงช่วงเทศกาลฉลองพระวิหารที่กรุงเยรูซาเล็ม23ช่วงนั้นเป็นช่วงหน้าหนาว และพระเยซูกำลังดำเนินอยู่ที่เฉลียงของซาโลมอนในพระวิหาร24แล้วพวกคนยิวก็มาห้อมล้อมพระองค์ทูลว่า "ท่านจะทำให้เราสงสัยอีกนานเท่าใด? ถ้าหากท่านเป็นพระคริสต์ จงบอกเราอย่างเปิดเผยเถิด"25พระเยซูตรัสตอบพวกเขาว่า "เราบอกท่านทั้งหลายแล้วแต่พวกท่านไม่เชื่อ งานที่เราได้ทำโดยพระนามของพระบิดาของเรา ได้เป็นพยานเกี่ยวกับตัวเรา26ที่ท่านยังไม่เชื่อเพราะท่านไม่ใช่แกะของเรา27แกะของเราได้ยินเสียงของเรา เรารู้จักแกะเหล่านั้นและและพวกเขาก็ติดตามเรา28เราให้แกะเหล่านั้นมีชีวิตนิรันดร์ พวกเขาจะไม่ตาย และจะไม่มีใครฉุดพวกเขาออกจากมือของเราได้29พระบิดาของเราผู้ที่มอบแกะเหล่านั้นไว้แก่เรา พระองค์ทรงยิ่งใหญ่มากกว่าผู้ใด และไม่มีใครที่จะฉุดพวกเขาออกจากมือของพระบิดาได้30เราและพระบิดาของเราเป็นหนึ่งเดียวกัน"31แล้วพวกยิวก็หยิบก้อนหินขึ้นมาเพื่อจะขว้างพระองค์32พระเยซูตรัสตอบพวกเขาว่า "เราได้ให้พวกท่านเห็นการงานอันดีหลายประการจากพระบิดา และด้วยเหตุเพราะการงานเหล่านี้พวกท่านจะเอาหินขว้างใส่เราหรือ?"33พวกยิวทูลตอบพระองค์ว่า "เราไม่ได้ขว้างหินเหตุเพราะการงานที่ดีเหล่านั้น แต่เพราะการหมิ่นประมาท เพราะว่าทั้งที่ท่านเป็นมนุษย์แต่กลับตั้งตนเป็นพระเจ้า"34พระเยซูตรัสตอบพวกเขาว่า "ไม่ได้เขียนไว้ในกฏบัญญัติของพวกท่านหรือ 'เรากล่าวว่า "พวกท่านเป็นเทพเจ้า""?35หากพระองค์เรียกคนเหล่านั้นว่าเป็นเทพเจ้า คือคนที่พระวจนะของพระเจ้ามาถึง (พระคัมภีร์มิอาจถูกฝ่าฝืนได้)36พวกท่านกล่าวหาผู้ที่พระบิดาได้ทรงแยกไว้และส่งเข้ามาในโลกนี้ว่า 'ท่านหมิ่นประมาท' เพราะเราได้กล่าวว่า 'เราเป็นบุตรของพระเจ้า' หรือ?37ถ้าเราไม่ทำการงานของพระบิดาของเรา ก็อย่าเชื่อเรา38แต่ถ้าเราได้ทำการงานเหล่านั้น ถึงแม้ว่าพวกท่านจะไม่เชื่อในเรา ขอพวกท่านจงเชื่อในงานนั้นเพื่อที่พวกท่านจะรู้และสามารถเข้าใจว่าพระบิดาทรงอยู่ในเราและเราอยู่ในพระบิดา"39พวกเขาพยายามจะจับกุมพระองค์อีกครั้ง แต่พระองค์ก็รอดพ้นจากเงื้อมมือของพวกเขา40พระองค์เสด็จไปอีกยังฟากแม่น้ำจอร์แดน ไปยังที่ซึ่งยอห์นได้ให้บัพติศมาครั้งแรก แล้วพระองค์ก็ประทับที่นั่น41มีคนจำนวนมากมาหาพระองค์แล้วทูลว่า "ยอห์นไม่ได้ทำหมายสำคัญอันใด แต่ทุกสิ่งที่ยอห์นได้กล่าวไว้เกี่ยวกับท่านผู้นี้เป็นความจริง"42คนจำนวนมากได้เชื่อพระองค์ที่นั่น
1ดูเถิด มีชายคนหนึ่งชื่อลาซารัสที่ป่วยอยู่ เขามาจากหมู่บ้านเบธานี คือหมู่บ้านของมารีย์และมารธาพี่สาวของเธอ2มารีย์ผู้นี้คือหญิงที่ได้เอาน้ำมันหอมชโลมองค์พระผู้เป็นเจ้าและใช้ผมของเธอเช็ดพระบาทของพระองค์ ซึ่งลาซารัสน้องชายของเธอป่วยอยู่3พี่สาวสองคนนี้ได้ส่งคนไปหาพระเยซูทูลว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้า มาดูเถิด ผู้ที่พระองค์ทรงรักกำลังป่วย"4เมื่อพระเยซูได้ยินดังนั้น พระองค์ตรัสว่า "การป่วยไข้นี้จะไม่ตาย แต่เพื่อเชิดชูพระเกียรติของพระเจ้าเพื่อที่พระบุตรของพระเจ้าจะได้รับเกียรติเพราะการป่วยไข้นั้น"5เพราะพระเยซูทรงรักมารธาและน้องสาวของเธอและลาซารัส6เมื่อพระองค์ได้ยินว่าลาซารัสป่วย พระเยซูยังคงอยู่ที่เดิมต่ออีกสองวัน7หลังจากนั้น พระองค์ตรัสกับเหล่าสาวกของพระองค์ว่า "ให้เราไปยังแคว้นยูเดียอีกครั้งเถิด"8พวกสาวกจึงทูลพระองค์ว่า "รับบี เวลานี้พวกยิวกำลังหาทางเอาหินขว้างพระองค์ และพระองค์จะยังกลับไปที่นั่นอีกหรือ?9พระเยซูตรัสตอบว่า "ในหนึ่งวันนั้นมีสิบสองชั่วโมงที่สว่างมิใช่หรือ? หากผู้ใดเดินในตอนกลางวัน เขาจะไม่สะดุด เพราะว่าเขาสามารถมองเห็นโดยอาศัยความสว่างของโลกนี้10อย่างไรก็ตาม ถ้าเขาเดินในเวลากลางคืน เขาก็จะสะดุดเพราะว่าความสว่างไม่ได้อยู่ในเขา"11หลังจากที่พระองค์ทรงตรัสสิ่งเหล่านี้แล้ว พระองค์บอกกับพวกเขาว่า "ลาซารัสเพื่อนของเรากำลังนอนหลับอยู่ แต่เราจะไปปลุกเขาให้ตื่น"12ดังนั้นพวกสาวกจึงทูลพระองค์ว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้า ถ้าหากเขานอนหลับอยู่ เขาจะหายป่วย"13แต่ที่พระเยซูตรัสนั้นหมายถึงความตายของเขา แต่พวกเขาคิดว่าที่พระองค์ตรัสนั้นหมายถึงการนอนพักผ่อน14แล้วพระเยซูตรัสกับพวกเขาตรงๆ ว่า "ลาซารัสตายแล้ว15เรายินดีเพราะเห็นแก่ท่านทั้งหลาย ที่เราไม่ได้อยู่ที่นั่นก็เพื่อที่ท่านจะได้เชื่อ ให้เราไปหาเขากันเถิด"16โธมัส คนที่ถูกเรียกว่าฝาแฝด พูดกับบรรดาเพื่อนสาวกด้วยกันว่า "ให้เราไปกันเถิด เพื่อเราจะได้ตายกับพระเยซูด้วย"17เมื่อพระเยซูมาถึง พระองค์พบว่าลาซารัสถูกนำไปฝังไว้ในอุโมงค์ได้สี่วันแล้ว18ในเวลานั้นหมู่บ้านเบธานีอยู่ใกล้กับกรุงเยรูซาเล็มประมาณไม่ถึงสามกิโลเมตร19พวกยิวหลายคนมาหามารธาและมารีย์เพื่อปลอบโยนพวกเธอด้วยเรื่องน้องชายของพวกเธอ20แล้วมารธาก็ได้ยินว่าพระเยซูกำลังเสด็จมา เธอจึงไปพบพระองค์ แต่มารีย์ยังนั่งอยู่ในบ้าน21แล้วมารธาทูลพระองค์ว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้า ถ้าเพียงแต่พระองค์อยู่ที่นี่ น้องชายของดิฉันก็คงไม่ตาย22แต่ดิฉันทราบว่า ไม่ว่าสิ่งใดก็ตามที่พระองค์จะทูลขอเวลานี้จากพระเจ้า พระเจ้าจะประทานให้กับพระองค์"23พระเยซูตรัสกับเธอว่า "น้องของเจ้าจะฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง"24มารธาทูลพระองค์ว่า "ดิฉันรู้ว่าเขาจะฟื้นขึ้นมาอีกครั้งในการฟื้นคืนในวันสุดท้าย"25พระเยซูตรัสกับเธอว่า "เราเป็นขึ้นจากความตายและเป็นชีวิต ผู้ที่เชื่อในเรา ถึงแม้เขาตาย เขาจะมีชีวิตอีก26และใครก็ตามที่มีชีวิตอยู่และเชื่อในเราจะไม่มีวันตาย เจ้าเชื่ออย่างนี้ไหม?"27เธอทูลพระองค์ว่า "ใช่แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้า ดิฉันเชื่อว่าท่านเป็นพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า ที่เสด็จเข้ามาในโลกนี้"28เมื่อเธอพูดเช่นนี้ เธอก็ออกไปและเรียกมารีย์น้องสาวเป็นการส่วนตัวและพูดว่า "ท่านอาจารย์อยู่ที่นี่และกำลังเรียกหาเจ้า"29เมื่อเธอได้ยินเช่นนั้น จึงลุกขึ้นอย่างรวดเร็วและไปหาพระองค์30เวลานั้นพระเยซูยังไม่ได้เข้าไปในหมู่บ้าน แต่ยังอยู่ตรงที่มารธามาพบพระองค์31เมื่อพวกยิวที่อยู่ในบ้านกับเธอซึ่งมาปลอบโยนเธอ ได้เห็นนางมารีย์ที่รีบลุกออกไปอย่างรวดเร็ว พวกเขาจึงตามเธอไป ด้วยคิดว่าเธอกำลังจะไปร้องไห้ที่อุโมงค์32เมื่อมารีย์มาถึงที่พระเยซูประทับและได้เห็นพระองค์ เธอจึงทรุดลงแทบพระบาทของพระองค์และทูลพระองค์ว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้า ถ้าเพียงแต่พระองค์อยู่ที่นี่ น้องชายของข้าพระองค์ก็คงไม่ตาย"33เมื่อพระเยซูเห็นเธอร้องไห้ และพวกยิวที่มากับเธอก็ร้องไห้ด้วย พระองค์ทรงรู้สึกสะเทือนพระทัยและเป็นทุกข์หนัก34พระองค์ตรัสว่า "เจ้าวางเขาไว้ที่ไหน?" พวกเขาทูลพระองค์ว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้า เชิญเสด็จมาดูเถิด"35พระเยซูทรงกันแสง36แล้วพวกยิวก็พูดว่า "ดูสิ พระองค์รักลาซารัสมากขนาดไหน"37แต่บางคนในพวกเขาพูดว่า "คนนี้มิใช่หรือที่สามารถรักษาคนตาบอดให้หาย แล้วจะช่วยให้ชายคนนี้ไม่ตายไม่ได้หรือ?"38จากนั้น พระเยซูเสด็จไปที่อุโมงค์พร้อมกับทรงสะเทือนพระทัย เมื่อไปถึงที่อุโมงค์ ที่ปากถ้ำมีหินปิดขวางไว้39พระเยซูตรัสว่า "จงเอาหินออกเสีย" มารธาพี่สาวของลาซารัสที่เสียชีวิตทูลพระองค์ว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้า จนถึงเวลานี้ร่างก็คงจะเน่าเปื่อย เพราะเขาตายมาได้สี่วันแล้ว"40พระเยซูตรัสกับเธอว่า "เราไม่ได้บอกเจ้าหรือว่า ถ้าเจ้าเชื่อ เจ้าจะได้เห็นพระสิริของพระเจ้า?"41พวกเขาจึงเอาหินออก พระเยซูแหงนพระพักตร์ขึ้นแล้วตรัสว่า "พระบิดา ข้าพระองค์ขอบพระคุณพระองค์ที่พระองค์ทรงฟังข้าพระองค์42ข้าพระองค์รู้ว่าพระองค์ทรงฟังเสียงของข้าพระองค์เสมอ แต่เพราะฝูงชนที่อยู่ล้อมรอบข้าพระองค์ ข้าพระองค์จึงตรัสเช่นนี้ เพื่อที่พวกเขาจะได้เชื่อว่าพระองค์ได้ทรงส่งข้าพระองค์มา"43หลังจากที่พระองค์ตรัสเช่นนั้นแล้ว พระองค์ร้องด้วยเสียงอันดังว่า "ลาซารัส จงออกมา"44คนตายก็ออกมา ทั้งมือและเท้าของเขายังมีผ้าพันอยู่ และใบหน้าของเขาก็ยังมีผ้าพันอยู่ด้วย พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า "จงแก้ผ้าที่พันเขาและปล่อยเขาเถิด"45พวกยิวหลายคนที่ได้มากับมารีย์และเห็นสิ่งที่พระเยซูได้ทำก็เชื่อในพระองค์46แต่บางคนนั้นได้ออกไปหาฟาริสีเพื่อบอกสิ่งที่พระเยซูได้ทำ47แล้วพวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกฟาริสีเรียกประชุมสมาชิกสภาพูดว่า "พวกเราจะทำอย่างไร? ชายคนนี้ได้ทำหมายสำคัญมากมาย48หากพวกเราปล่อยเขาไปแบบนี้ ทุกคนจะหลงเชื่อเขาหมด แล้วพวกโรมจะมาและจะเอาทั้งพระวิหารกับชนชาติของเราไป"49แต่ชายคนหนึ่งท่ามกลางพวกเขาชื่อคายาฟาส ที่เป็นมหาปุโรหิตในปีนั้น พูดกับพวกเขาว่า "พวกท่านไม่รู้อะไรเลย50พวกท่านไม่ได้พิจารณาดูหรือว่า การให้ชายคนนี้คนเดียวตายเพื่อทุกคนก็ดีกว่าให้ชนทั้งชาติต้องพินาศ"51สิ่งที่เขาพูดนั้นไม่ได้มาจากตัวเขาเอง แต่เพราะในปีนั้นเขาเป็นมหาปุโรหิต เขาจึงได้พยากรณ์ว่าพระเยซูจะสิ้นพระชนม์เพื่อชนชาตินั้น52และไม่ใช่แค่เพียงชนชาติเดียวเท่านั้น แต่เพื่อรวบรวมบรรดาบุตรของพระเจ้าทั้งหลายที่กระจัดกระจายให้เป็นหนึ่งเดียว53หลังจากวันนั้น พวกเขาก็เริ่มวางแผนเพื่อหาทางฆ่าพระองค์ให้ตาย54พระเยซูไม่ได้เสด็จอย่างเปิดเผยท่ามกลางพวกคนยิวอีกแต่พระองค์ได้เสด็จออกจากที่นั่นไปยังชนบทที่อยู่ใกล้กับถิ่นทุรกันดารเข้าไปยังเมืองที่เรียกว่าเอฟราอิม พระองค์ประทับกับพวกสาวกที่นั่น55ขณะนั้นเทศกาลปัสกาของชาวยิวก็ใกล้เข้ามา และผู้คนมากมายจากชนบทก็ได้ขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็มก่อนเทศกาลปัสกาเพื่อชำระตัวของพวกเขาให้บริสุทธิ์56พวกเขากำลังมองหาพระเยซูและพูดคุยกันในขณะที่ยืนอยู่ในบริเวณพระวิหารว่า "พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร? เขาจะไม่มางานเทศกาลนี้หรือ?"57แล้วพวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกฟาริสีได้ออกคำสั่งให้ใครก็ตามที่รู้ว่าพระเยซูอยู่ที่ไหน เขาจะต้องมารายงานแก่พวกเขาเพื่อที่พวกเขาจะไปจับพระองค์
1ก่อนถึงเทศกาลปัสกาหกวัน พระเยซูได้เสด็จมายังหมู่บ้านเบธานีที่ลาซารัสผู้ที่พระเยซูทรงทำให้ฟื้นขึ้นจากความตายอาศัยอยู่2พวกเขาได้จัดเตรียมอาหารมื้อเย็นให้พระองค์ที่นั่น มารธากำลังปรนนิบัติอยู่ แต่ลาซารัสคือคนหนึ่งท่ามกลางคนเหล่านั้นที่กำลังร่วมรับประทานอาหารอยู่กับพระเยซู3แล้วมารีย์ก็เอาน้ำหอมจำนวนหนึ่งลิตรซึ่งทำมาจากน้ำมันนารดาบริสุทธิ์และราคาแพง เทลงบนพระบาทของพระเยซูและเอาผมของเธอเช็ดพระบาทพระองค์ ในบ้านก็อบอวลเต็มไปด้วยกลิ่นหอมจากน้ำมันหอมนั้น4ยูดาส อิสคาริโอท หนึ่งในบรรดาสาวกของพระองค์ คนที่จะทรยศพระองค์พูดว่า5"ทำไมไม่เอาน้ำมันหอมนี้ไปขายเพื่อได้เงินสามร้อยเหรียญเดนาริอันแล้วเอาไปแจกจ่ายให้คนจน?"6เขาพูดเช่นนี้ ไม่ใช่เพราะว่าเขาใส่ใจคนจน แต่เพราะว่าเขาเป็นขโมย เขาดูแลถุงเงินและเขาขโมยเงินที่ใส่ไว้ในนั้น7พระเยซูตรัสว่า "ปล่อยให้เธอเก็บสิ่งที่เธอมีไว้เพื่อวันที่ฝังศพเราเถิด8คนจนจะอยู่กับพวกท่านเสมอ แต่เราจะไม่ได้อยู่กับพวกท่านเสมอไป"9แล้วชาวยิวกลุ่มใหญ่รู้ว่าพระเยซูประทับอยู่ที่นั่นและพวกเขาก็มา ไม่ได้มาเพื่อพระเยซูเท่านั้น แต่เพื่อมาดูลาซารัส ผู้ที่พระเยซูทรงทำให้ฟื้นขึ้นมาจากความตาย10พวกหัวหน้าปุโรหิตร่วมวางแผนเพื่อที่พวกเขาจะฆ่าลาซารัสด้วย11เพราะว่าเขาเป็นเหตุให้คนยิวหลายๆ คนออกไปจากคำสอนของพวกเขาและมาเชื่อในพระเยซู12ในวันต่อมา มีฝูงชนขนาดใหญ่มาที่งานเทศกาล เมื่อพวกเขาได้ยินว่าพระเยซูกำลังเสด็จมาที่กรุงเยรูซาเล็ม13พวกเขานำใบไม้ต้นปาล์มและออกไปพบพระองค์และร้องเสียงดังว่า "โฮซันนา ขอให้พระองค์ผู้เสด็จมาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า กษัตริย์ของชนชาติอิสราเอล ทรงพระเจริญ"14พระองค์ทรงพบลาหนุ่มตัวหนึ่งและขึ้นขี่ลานั้น ตามที่มีคำเขียนไว้ว่า15"อย่ากลัวเลย บุตรสาวของศิโยน ดูเถิด กษัตริย์ของท่านมาถึงแล้ว คือผู้ประทับบนลาหนุ่มนั้น"16ตอนแรกบรรดาสาวกของพระองค์ยังไม่เข้าใจเหตุการณ์เหล่านี้ แต่เมื่อพระเยซูทรงได้รับเกียรติแล้ว พวกเขาจึงระลึกถึงสิ่งต่างๆ ที่มีเขียนบันทึกไว้เกี่ยวกับพระองค์ได้ และที่คนทั้งหลายได้กระทำสิ่งเหล่านี้เพื่อพระองค์17ฝูงชนที่อยู่กับพระองค์ตอนที่พระองค์ทรงเรียกลาซารัสออกมาจากอุโมงค์และฟื้นขึ้นจากความตายก็ได้เป็นพยาน18และเพราะเหตุนี้ฝูงชนจึงไปหาพระองค์เพราะว่าพวกเขาได้ยินว่าพระองค์ทรงทำหมายสำคัญหลายอย่าง19พวกฟาริสีจึงพูดท่ามกลางพวกเขาว่า "เห็นไหม พวกท่านทำอะไรไม่ได้เลย ดูสิ โลกนี้ได้ตามเขาไปแแล้ว20ในบรรดาคนที่ขึ้นไปนมัสการที่งานเทศกาล ก็มีพวกกรีกพวกหนึ่ง21คนเหล่านี้ไปหาฟิลิป ซึ่งมาจากหมู่บ้านเบธไซดาในแคว้นกาลิลีโดยถามเขาว่า "ท่านเจ้าข้า พวกเราต้องการพบพระเยซู"22ฟิลิปจึงไปบอกกับอันดรูว์ อันดรูว์จึงไปกับฟิลิปเพื่อไปทูลพระเยซู23พระเยซูตรัสตอบพวกเขาว่า "เวลาที่พระบุตรจะได้รับเกียรติมาถึงแล้ว24เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าเมล็ดข้าวตกลงไปในดินและไม่ตายไป ก็จะยังคงอยู่เหลือเมล็ดเดียว แต่ถ้าได้ตายลงในดิน ก็จะเกิดผลมาก25ผู้ที่รักชีวิตของตนก็จะสูญเสียชีวิต แต่ถ้าผู้ใดเกลียดชังชีวิตในโลกนี้ เขาจะมีชีวิตนิรันดร์26ถ้าผู้ใดปรนนิบัติเรา ให้ผู้นั้นติดตามเรามา และไม่ว่าเราอยู่ที่ไหน ผู้รับใช้ของเราก็จะอยู่ที่นั่นด้วย ถ้าผู้ใดปรนนิบัติเรา พระบิดาก็จะให้เกียรติผู้นั้น27ตอนนี้ใจเราก็เป็นทุกข์ยิ่งนัก เราจะพูดอย่างไรดี? 'พระบิดา ขอทรงช่วยกู้ข้าพระองค์จากเวลานี้'? แต่นี่คือเหตุผลที่ข้าพระองค์ได้มาจนถึงเวลานี้28พระบิดาเจ้า ขอพระนามของพระองค์ทรงได้รับเกียรติ" มีเสียงมาจากสวรรค์ตรัสว่า "เราได้รับเกียรตินั้นและเราจะได้รับเกียรติอีก"29แล้วฝูงชนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ได้ยินและพูดว่านั่นเป็นเสียงฟ้าร้อง บางคนว่า "ทูตสวรรค์ได้พูดกับเขา"30พระเยซูตรัสตอบว่า "เสียงนั้นไม่ได้มาเพื่อเรา แต่มาเพื่อท่านทั้งหลาย31เวลานี้เป็นเวลาแห่งการพิพากษาโลกนี้ เป็นเวลาที่ผู้ปกครองโลกนี้จะถูกโยนออกไป32และเมื่อเราถูกยกขึ้นจากโลกนี้แล้ว เราจะนำทุกคนเข้ามาหาเรา"33พระองค์ตรัสเช่นนี้เพื่อสำแดงว่าพระองค์จะสิ้นพระชนม์อย่างไร34ฝูงชนตอบพระองค์ว่า "พวกเราได้ยินจากธรรมบัญญัติแล้วว่าพระคริสต์จะอยู่ชั่วนิรันดร์ แล้วท่านพูดได้อย่างไรว่า 'พระบุตรจะต้องถูกยกขึ้น'? บุตรมนุษย์ผู้นี้คือใครกันเล่า?"35พระเยซูตรัสตอบเขาว่า "ความสว่างจะยังคงอยู่กับท่านอีกสักพักหนึ่ง จงเดินในขณะที่ท่านยังมีความสว่างอยู่ เพื่อที่ความมืดจะไล่ตามท่านไม่ทัน เพราะผู้ที่เดินในความมืดนั้นไม่รู้ว่าเขากำลังไปทางไหน36ในขณะที่ท่านยังมีความสว่างอยู่นั้น จงเชื่อในความสว่างเพื่อที่ท่านจะได้เป็นบุตรของความสว่างด้วย" เมื่อพระเยซูตรัสสิ่งเหล่านี้แล้ว พระองค์ก็เสด็จออกไปและซ่อนตัวจากพวกเขา37ถึงแม้ว่าพระองค์ได้ทำหมายสำคัญมากมายแก่พวกเขา แต่พวกเขาก็ยังไม่เชื่อพระองค์38เพื่อให้เป็นไปตามที่ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ได้กล่าวเอาไว้ว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้า จะมีผู้ใดเชื่อในสิ่งที่พวกเราบอก และพระกรขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้สำแดงแก่ผู้ใด?"39เพราะเหตุนี้พวกเขาจึงไม่เชื่อ ด้วยอิสยาห์กล่าวไว้อีกว่า40"พระองค์ทำให้พวกเขาตาบอด และให้หัวใจของเขาเหล่านั้นแข็งกระด้างไป ไม่เช่นนั้น พวกเขาจะเห็นด้วยตาของพวกเขาและเข้าใจด้วยหัวใจของพวกเขาแล้วหันกลับมาเพื่อให้เรารักษาพวกเขาให้หาย"41อิสยาห์ได้กล่าวถึงสิ่งเหล่านี้เพราะว่าท่านได้เห็นพระสิริของพระเยซูและพูดถึงพระองค์42อย่างไรก็ดี มีผู้ปกครองมากมายได้เชื่อในพระเยซู แต่เป็นเพราะพวกฟาริสี พวกเขาจึงไม่เปิดเผยตัวเพื่อที่พวกเขาจะไม่ถูกไล่ออกจากธรรมศาลา43พวกเขาชอบการสรรเสริญที่มาจากผู้คนมากกว่าการสรรเสริญที่มาจากพระเจ้า44พระเยซูร้องด้วยเสียงอันดังและตรัสว่า "ผู้ที่เชื่อในเรา เขาไม่ได้เชื่อในเราเท่านั้นแต่เชื่อในผู้ที่ส่งเรามาด้วย45และผู้ที่เห็นเราก็จะได้เห็นพระองค์ผู้ที่ส่งเรามาด้วย46เราได้เข้ามาเป็นความสว่างในโลกนี้ เพื่อคนที่เชื่อในเราจะไม่ได้อยู่ในความมืดอีก47ถ้าผู้ใดได้ยินคำของเรา แต่ไม่ปฏิบัติตาม เราจะไม่พิพากษาผู้นั้น เพราะเราไม่ได้มาเพื่อพิพากษาโลกนี้ แต่มาเพื่อช่วยโลกนี้ให้รอด48ผู้ที่ปฏิเสธเราและผู้ที่ไม่รับเอาคำของเรา จะมีผู้หนึ่งมาพิพากษาเขา คือคำเหล่านั้นที่เราได้พูดไว้ จะพิพากษาเขาในวันสุดท้าย49เพราะเราไม่ได้พูดตามใจของเราเอง แต่เป็นพระบิดาผู้ที่ส่งเรามา เป็นผู้ที่บัญชาว่าอะไรควรพูดและอะไรที่เราควรกล่าว50เรารู้ว่าพระบัญชาของพระองค์นั้นคือชีวิตนิรันดร์ ดังนั้นเราจึงพูดว่า พระบิดาที่ได้พูดกับเราเช่นไร เราก็พูดเช่นนั้น
1ก่อนถึงเทศกาลปัสกา เมื่อพระเยซูทรงทราบว่าใกล้ถึงเวลาที่พระองค์จะออกจากโลกนี้เพื่อไปหาพระบิดา พระองค์ทรงรักคนของพระองค์ที่อยู่ในโลกนี พระองค์ทรงรักพวกเขาจนถึงที่สุด2บัดนี้ มารได้ดลใจให้ยูดาส อิสคาริโอท บุตรของซีโมนทรยศพระองค์3พระองค์ทรงรู้ว่าพระบิดาได้มอบทุกสิ่งไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์และที่พระองค์ทรงมาจากพระเจ้าและกำลังจะเสด็จกลับไปหาพระเจ้า4พระองค์ทรงลุกขึ้นจากการรับประทานอาหารเย็นและถอดฉลองชั้นนอกของพระองค์ออก พระองค์ทรงหยิบผ้าเช็ดตัวและคาดเอวพระองค์ไว้5แล้วพระองค์ทรงเทน้ำลงไปในอ่างน้ำและเริ่มล้างเท้าให้เหล่าสาวกของพระองค์และเช็ดด้วยผ้าที่พระองค์ทรงคาดเอวไว้6เมื่อพระองค์มาถึงซีโมนเปโตร และเปโตรทูลพระองค์ว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์จะล้างเท้าของข้าพระองค์ด้วยหรือ?"7พระเยซูตรัสตอบเขาว่า "สิ่งที่เรากำลังทำอยู่นี้ท่านยังไม่เข้าใจในตอนนี้ แต่ท่านจะเข้าใจในภายหลัง"8เปโตรตอบพระองค์ว่า "พระองค์จะต้องไม่ล้างเท้าของข้าพระองค์" พระเยซูตรัสตอบเขาว่า "หากเราไม่ได้ล้างเท้าให้ท่าน ท่านจะไม่ได้มีส่วนในเรา"9ซีโมนเปโตรตอบพระองค์ว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้า อย่าล้างเพียงแค่เท้าของข้าพระองค์เลย ขอทรงโปรดล้างมือและศีรษะของข้าพระองค์ด้วย"10พระเยซูตรัสแก่เขาว่า "ผู้ใดที่อาบน้ำแล้วไม่จำเป็นต้องล้างตัวอีก ยกเว้นแต่เท้าของเขาที่ต้องล้าง เขาสะอาดเพียงพอแล้ว ท่านก็สะอาดแล้ว แต่ไม่ใช่ทุกคน"11(พระองค์ทรงรู้ว่าใครจะทรยศพระองค์ นั่นถึงเป็นเหตุที่พระองค์ตรัสว่า "ไม่ใช่ทุกคนที่สะอาด")12เมื่อพระองค์ได้ล้างเท้าให้เหล่าสาวกเสร็จและเอาเสื้อคลุมของพระองค์มาสวมและนั่งลงอีกครั้ง พระองค์ตรัสแก่เขาว่า "พวกท่านรู้ไหมว่าเราได้ทำอะไรให้กับพวกท่าน?13พวกท่านเรียกเราว่า 'อาจารย์' และ 'องค์พระผู้เป็นเจ้า' พวกท่านพูดถูกแล้ว เพราะเราคือผู้นั้นแหละ14ถ้าเช่นนั้น หากเราซึ่งเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าและอาจารย์ของพวกท่าน ได้ล้างเท้าของพวกท่าน พวกท่านก็ควรจะล้างเท้าซึ่งกันและกันด้วย15เพราะเราได้เป็นแบบอย่างแก่พวกท่านเพื่อที่พวกท่านจะได้ปฏิบัติเช่นเดียวกันกับที่เราได้ทำให้กับพวกท่าน16เราบอกความจริงแก่พวกท่านว่า ผู้รับใช้จะไม่เป็นใหญ่กว่านาย และผู้ส่งข่าวก็ไม่เป็นใหญ่ไปกว่าผู้ที่ส่งเขาไป17หากพวกท่านเข้าใจสิ่งเหล่านี้ ถ้าพวกท่านทำตามก็จะได้รับพระพร18เราไม่ได้พูดถึงพวกท่านทั้งหมด เรารู้จักคนเหล่านั้นที่เราได้เลือก แต่ที่เป็นเช่นนี้ก็เพื่อให้พระวจนะสมบูรณ์ 'ผู้ที่รับประทานอาหารของเราคือผู้ที่จะยกส้นเท้าใส่เรา'19เราบอกเรื่องนี้แก่พวกท่านก่อนที่สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นเพื่อพวกท่านจะเชื่อว่าเราเป็น20เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า ใครก็ตามที่รับผู้ที่เราส่งไป ก็จะรับเราด้วย และผู้ใดรับเรา เขาก็จะรับพระองค์ผู้ที่ส่งเรามา"21เมื่อพระเยซูตรัสสิ่งเหล่านี้ พระองค์ก็เป็นทุกข์ยิ่งนักในวิญญาณของพระองค์ พระองค์ได้เป็นพยานและตรัสว่า "เราบอกความจริงแก่พวกท่านว่า คนหนึ่งในพวกท่านจะทรยศเรา"22เหล่าสาวกจึงเริ่มมองหน้ากันและสงสัยว่าพระองค์กำลังตรัสถึงใคร23หนึ่งในสาวกของพระองค์ ผู้ที่พระเยซูทรงรักที่สุด กำลังเอนกายอยู่ตรงโต๊ะอาหารใกล้พระทรวงของพระองค์24ซีโมนเปโตรจึงโบกมือให้กับสาวกคนนั้นและพูดว่า "ถามพระองค์เถิดว่าที่พระองค์ตรัสนั้นคือผู้ใด"25เขาจึงเอนตัวเข้าไปใกล้พระเยซูและทูลว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้นั้นคือใคร?"26แล้วพระเยซูจึงตรัสตอบเขาว่า "คือคนที่เราจะเอาขนมปังจุ่มแล้วส่งให้แก่เขา" เมื่อพระองค์เอาขนมปังจุ่มแล้ว พระองค์ก็ยื่นขนมปังนั้นแก่ยูดาสบุตรของซีโมนอิสคาริโอท27หลังจากนั้น เมื่อเขาได้รับขนมปังไปแล้ว ซาตานจึงเข้าไปในเขา แล้วพระเยซูตรัสว่า "ท่านจะทำอะไร ก็จงรีบทำเถิด"28ในขณะที่ทุกคนกำลังเอนกายอยู่ที่โต๊ะอาหารนั้น ไม่มีใครรู้ว่าทำไมพระเยซูจึงตรัสกับเขาเช่นนั้น29บางคนคิดว่า เพราะยูดาสดูแลถุงเงิน พระองค์จึงตรัสแก่เขาว่า "จงไปซื้อสิ่งที่เราต้องการสำหรับงานเทศกาล" หรือที่เขาควรให้บางสิ่งแก่คนยากจน30หลังจากที่ยูดาสได้รับขนมปังแล้ว เขาก็ออกไปทันที เวลานั้นเป็นเวลากลางคืน31เมื่อยูดาสจากไปแล้ว พระเยซูก็ตรัสว่า "ถึงเวลาแล้วที่บุตรมนุษย์จะได้รับเกียรติและพระเจ้าจะได้รับเกียรติในพระองค์32พระเจ้าจะให้เกียรติบุตรมนุษย์ด้วยพระองค์เอง และพระองค์จะให้บุตรมนุษย์ได้รับเกียรติในทันที33บุตรน้อยทั้งหลาย เราจะอยู่กับพวกท่านอีกหน่อยเดียว พวกท่านจะแสวงหาเรา และเหมือนกับที่เราได้พูดกับพวกยิว 'ที่ที่เราจะไปนั้น พวกเจ้าจะไปไม่ได้' ตอนนี้เราก็พูดกับพวกท่านเช่นนี้ด้วย34เราได้ให้คำบัญญัติใหม่แก่พวกท่าน พวกท่านจงรักซึ่งกันและกัน อย่างที่เราได้รักพวกท่าน ดังนั้นพวกท่านก็จงรักกันและกันด้วย35ด้วยเหตุนี้ทุกคนจะรู้ว่าพวกท่านเป็นสาวกของเรา ถ้าพวกท่านรักซึ่งกันและกัน"36ซีโมนเปโตรทูลพระองค์ว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์จะเสด็จไปที่ไหน?" พระเยซูทรงตอบว่า "ที่ที่เราจะไปนั้น พวกท่านตามเราไปไม่ได้ แต่พวกท่านจะตามเราไปในภายหลัง"37เปโตรทูลพระองค์ว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้า ทำไมข้าพระองค์ถึงตามพระองค์ไปตอนนี้ไม่ได้? ข้าพระองค์จะสละชีวิตนี้ถวายแด่พระองค์"38พระเยซูตอบว่า "ท่านจะสละชีวิตของท่านให้เราหรือ? เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ก่อนไก่ขัน ท่านจะปฏิเสธเราสามครั้ง"
1"อย่าให้ใจของพวกท่านเป็นทุกข์เลย ถ้าพวกท่านเชื่อในพระเจ้า พวกท่านก็เชื่อในเราด้วย2ในนิเวศของพระบิดาของเรานั้นมีที่อยู่มากมาย ถ้าไม่มี เราก็คงบอกพวกท่านแล้ว เรากำลังจะไปจัดเตรียมที่ไว้สำหรับพวกท่าน3ถ้าเราไปจัดเตรียมสถานที่แก่พวกท่าน เราจะกลับมาอีกและรับพวกท่านไปอยู่กับเรา เพื่อที่ไม่ว่าเราอยู่ที่ไหน พวกท่านจะอยู่ที่นั่นด้วย4พวกท่านรู้จักทางที่เรากำลังจะไป"5โธมัสทูลพระเยซูว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้า พวกเราไม่รู้ว่าพระองค์กำลังเสด็จไปที่ไหน พวกเราจะรู้จักทางนั้นได้อย่างไร?"6พระเยซูตรัสกับเขาว่า "เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่มีใครจะไปหาพระบิดาได้นอกจากจะผ่านทางเรา7ถ้าพวกท่านรู้จักเรา พวกท่านก็จะรู้จักพระบิดาของเราด้วย จากนี้เป็นต้นไป ท่านรู้จักพระบิดาและได้เห็นพระองค์แล้ว"8ฟิลิปทูลพระเยซูว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงสำแดงพระบิดาแก่พวกเราเถิด นั่นก็เป็นที่เพียงพอแก่พวกเราแล้ว"9พระเยซูตรัสแก่เขาว่า "ฟิลิปเอ๋ย เราได้อยู่กับท่านมานานมากและท่านก็ยังไม่รู้จักเรา? ใครก็ตามที่ได้เห็นเราก็ได้เห็นพระบิดา ท่านพูดได้อย่างไรว่า 'ขอทรงสำแดงพระบิดาให้กับพวกเรา'?10ท่านไม่เชื่อว่าเราอยู่ในพระบิดาและพระบิดาทรงอยู่ในเราหรือ? ถ้อยคำที่เราได้กล่าวแก่ท่าน เราไม่ได้พูดโดยสิทธิอำนาจของเราเอง แต่เป็นพระบิดาที่ทรงสถิตอยู่ในเราและกำลังทำงานของพระองค์11จงเชื่อเราเถิดว่าเราอยู่ในพระบิดา และพระบิดาทรงอยู่ในเรา หรือไม่เช่นนั้น ก็จงเชื่อเพราะการงานทั้งหลายเหล่านั้น12เราบอกความจริงแก่พวกท่านว่า ผู้ที่เชื่อในเราจะทำงานที่เราทำ และเขาจะได้ทำงานที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ เพราะว่าเรากำลังจะไปหาพระบิดา13สิ่งใดก็ตามที่พวกท่านขอในนามของเรา เราจะทำสิ่งนั้นเพื่อที่พระบิดาจะได้รับเกียรติในพระบุตร14ถ้าพวกท่านขอสิ่งใดในนามของเรา เราจะทำสิ่งนั้นให้15ถ้าพวกท่านรักเรา พวกท่านจะรักษาบัญญัติของเรา16และเราจะอธิษฐานขอจากพระบิดา และพระองค์จะให้องค์ผู้ปลอบโยนอีกพระองค์หนึ่งเพื่อที่พระองค์นั้นจะได้อยู่กับพวกท่านเสมอไป17พระวิญญาณแห่งความจริง ผู้ซึ่งโลกไม่สามารถรับไว้ได้ เพราะว่ามองไม่เห็นและไม่รู้จักพระองค์ แต่พวกท่านรู้จักพระองค์ เพราะพระองค์จะสถิตอยู่กับพวกท่านและอยู่ในพวกท่าน18เราจะไม่ทิ้งพวกท่านไว้เพียงลำพัง เราจะกลับมาหาพวกท่าน19อีกหน่อยหนึ่งโลกนี้จะไม่เห็นเราแต่พวกท่านยังจะเห็นเรา เพราะว่าเรามีชีวิตอยู่ พวกท่านก็จะมีชีวิตอยู่กับเราด้วย20ในวันนั้นพวกท่านจะรู้ว่าเราอยู่ในพระบิดา และพวกท่านก็อยู่ในเรา และเราก็อยู่ในพวกท่าน21ผู้ใดที่มีบัญญัติของเราและถือรักษาบัญญัติเหล่านั้นไว้ผู้นั้นก็คือผู้ที่รักเรา และผู้ที่รักเรานั้น พระบิดาก็ทรงรักเขาด้วย เราจะรักเขาและเราจะสำแดงตัวของเราแก่เขา"22ยูดาส (ซึ่งไม่ใช่อิสคาริโอท) ทูลพระเยซูว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้า ทำไมพระองค์ถึงทรงจะสำแดงพระองค์เองแก่พวกเราแต่ไม่สำแดงต่อโลก?"23พระเยซูตรัสตอบเขาว่า "ถ้าผู้ใดรักเรา เขาจะรักษาถ้อยคำของเรา พระบิดาของเราจะรักเขา และเรากับพระบิดาจะมาหาเขาและเราทั้งสองจะอยู่กับเขา24ผู้ใดที่ไม่รักเรา ก็จะไม่รักษาถ้อยคำของเรา ถ้อยคำที่พวกท่านได้ยินไม่ได้มาจากเราแต่มาจากพระบิดาของเราผู้ที่ส่งเรามา25เราได้พูดสิ่งเหล่านี้แก่พวกท่าน ในขณะที่เรายังอยู่กับพวกท่าน26แต่องค์ผู้ปลอบโยน คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้ที่พระบิดาจะส่งมาในนามของเรา พระองค์จะสอนท่านทั้งหลายในทุกสิ่งและทำให้พวกท่านระลึกถึงทุกสิ่งที่เราได้พูดไว้แก่พวกท่านแล้ว27เราให้สันติสุขไว้กับพวกท่าน คือสันติสุขของเรา ไม่ใช่สันติสุขเหมือนอย่างที่โลกให้ อย่าให้หัวใจของพวกท่านต้องทุกข์และอย่ากลัวเลย28พวกท่านได้ยินในสิ่งที่เราพูดกับพวกท่านว่า 'เราจะจากไปและเราจะกลับมาหาพวกท่านอีก' ถ้าพวกท่านรักเรา พวกท่านก็จะยินดีเพราะเราจะไปหาพระบิดา เพราะพระบิดาทรงยิ่งใหญ่กว่าเรา29เดี๋ยวนี้เราได้บอกแก่พวกท่านก่อนสิ่งนี้จะเกิดขึ้น เพราะเมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้น พวกท่านจะเชื่อ30เราจะไม่พูดอะไรกับพวกท่านอีก เพราะผู้ปกครองโลกนี้กำลังจะมา ผู้นั้นไม่มีอำนาจใดเหนือเรา31แต่เพื่อให้โลกได้รู้ว่าเรารักพระบิดา เราจึงทำในสิ่งที่พระบิดาทรงบัญชาแก่เรา ให้เราลุกขึ้นและไปจากที่นี่กันเถิด"
1เราเป็นเถาองุ่นแท้ และพระบิดาคือผู้ดูแลสวน2พระองค์ทรงตัดแขนงทุกแขนงในเราที่ไม่ออกผล และพระองค์ทรงลิดทุกแขนงที่ออกผลเพื่อที่แขนงนั้นจะออกผลมากยิ่งขึ้น3พวกท่านสะอาดบริสุทธิ์แล้วเพราะพระวจนะที่เราได้พูดกับพวกท่าน4จงอยู่ในเรา และเราจะอยู่ในพวกท่าน เหมือนกับแขนงที่ออกผลเองไม่ได้นอกจากแขนงนั้นจะติดอยู่กับเถา พวกท่านเองก็ออกผลไม่ได้ นอกจากพวกท่านจะคงอยู่ในเรา5เราเป็นเถาองุ่น ท่านทั้งหลายเป็นแขนง ผู้ที่อยู่ในเราและเราอยู่ในเขา เขาจะออกผลมาก เพราะถ้าไม่มีเราเขาก็ทำอะไรไม่ได้เลย6ถ้าผู้ใดไม่ได้อยู่ในเรา เขาจะถูกโยนทิ้งไปเหมือนกับแขนงที่เหี่ยวแห้ง พวกเขาจะเก็บรวบรวมแขนงเหล่านั้นและโยนทิ้งเข้าไปในกองไฟ และเผาไฟเสีย7ถ้าพวกท่านอยู่ในเรา และพระวจนะของเราอยู่ในพวกท่าน จงทูลขอสิ่งใดก็ตามที่พวกท่านปรารถนาและพวกท่านก็จะได้สิ่งนั้น8พระบิดาของเราทรงได้รับเกียรติในสิ่งนี้ เพราะเมื่อพวกท่านเกิดผลมาก พวกท่านก็เป็นสาวกของเรา9เพราะพระบิดาทรงรักเราฉันใด เราก็รักท่านทั้งหลายฉันนั้น จงคงอยู่ในความรักของเรา10ถ้าพวกท่านทำตามบัญญัติของเรา พวกท่านก็จะอยู่ในความรักของเราเช่นเดียวกับที่เราได้ทำตามบัญญัติของพระบิดาของเราและคงอยู่ในความรักของพระองค์11เราได้พูดสิ่งเหล่านี้แก่ท่านทั้งหลาย เพื่อที่ความยินดีของเราจะอยู่ในพวกท่านและที่ความยินดีของพวกท่านจะเต็มเปี่ยม12นี่คือคำบัญชาของเรา ให้พวกท่านรักซึ่งกันและกันเหมือนอย่างที่เราได้รักพวกท่าน13ไม่มีใครที่มีรักที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ คือการที่เขายอมสละชีวิตของเขาเพื่อพวกสหายของเขา14พวกท่านเป็นสหายของเรา ถ้าพวกท่านทำตามสิ่งที่เราได้บัญชาแก่พวกท่าน15เราจะไม่เรียกพวกท่านว่าบ่าวอีกต่อไป เพราะบ่าวจะไม่รู้ว่าเจ้านายของเขากำลังทำอะไรอยู่ เราได้เรียกพวกท่านว่าเป็นสหายของเรา เพราะทุกสิ่งที่เราได้ยินจากพระบิดาของเรา เราก็ได้สำแดงแก่พวกท่านด้วย16พวกท่านไม่ได้เลือกเรา แต่เราได้เลือกพวกท่านและได้แต่งตั้งพวกท่านไว้เพื่อที่พวกท่านจะออกไปและเกิดผล และเพื่อที่ผลของพวกท่านจะคงอยู่ เพื่อว่าเมื่อพวกท่านขอสิ่งใดจากพระบิดาในนามของเรา พระองค์จะมอบสิ่งนั้นให้แก่พวกท่าน17สิ่งต่างๆ เหล่านี้ที่เราได้บัญชาแก่พวกท่าน คือให้พวกท่านรักซึ่งกันและกัน18ถ้าโลกเกลียดชังพวกท่าน จงรู้เถิดว่าโลกนี้ได้เกลียดชังเราก่อนที่จะเกลียดชังพวกท่าน19ถ้าพวกท่านเป็นของโลก โลกก็จะรักพวกท่านเหมือนพวกท่านเป็นของโลก แต่เพราะพวกท่านไม่ได้เป็นของโลกและเพราะเราได้เลือกพวกท่านออกมาจากโลก ดังนั้นโลกจึงเกลียดชังพวกท่าน20จงระลึกถึงพระวจนะที่เราได้พูดกับพวกท่านว่า 'ทาสย่อมไม่เป็นใหญ่เหนือกว่านายของเขา' ถ้าเขาข่มเหงเรา เขาก็จะข่มเหงพวกท่านด้วย ถ้าพวกเขาทำตามคำของเรา พวกเขาก็จะทำตามคำของพวกท่านด้วย21พวกเขาจะทำสิ่งเหล่านั้นแก่พวกท่านเพราะนามของเราเพราะว่าพวกเขาไม่รู้จักผู้ที่ส่งเรามา22ถ้าเราไม่ได้มาเพื่อที่จะพูดสิ่งเหล่านี้แก่พวกเขา พวกเขาก็คงไม่มีบาป แต่ตอนนี้พวกเขาก็ไม่มีข้อแก้ตัวใดใดในเรื่องความบาปของพวกเขา23ผู้ใดที่เกลียดชังเราก็จะเกลียดพระบิดาของเราด้วย24ถ้าเราไม่ทำงานที่ไม่มีใครได้ทำในท่ามกลางพวกเขา พวกเขาก็คงไม่มีบาป แต่ตอนนี้พวกเขาได้เห็นและยังเกลียดชังเราและพระบิดาด้วย25แต่เพื่อพระวจนะที่ได้บอกเอาไว้ว่าในธรรมบัญญัติของพวกเขาว่า 'พวกเขาเกลียดชังเราโดยไม่มีสาเหตุ' จะเป็นจริง26เมื่อองค์ผู้ปลอบโยน คือผู้ที่เราจะส่งมายังพวกท่านซึ่งมาจากพระบิดา นั่นคือพระวิญญาณแห่งความจริง ผู้ที่ออกมาจากพระบิดานั้น พระองค์จะเป็นพยานเกี่ยวกับเรา27พวกท่านเองก็เป็นพยานด้วยเพราะว่าพวกท่านได้อยู่กับเราตั้งแต่เริ่มแรก
1"เราได้บอกสิ่งเหล่านี้กับพวกท่านเพื่อที่พวกท่านจะไม่ล้มลง2พวกเขาจะไล่พวกท่านออกจากธรรมศาลา แต่เวลานั้นจะมาถึงเมื่อทุกคนที่ฆ่าพวกท่านจะคิดว่าเขากำลังทำการนี้เพื่อปรนนิบัติพระเจ้า3พวกเขาจะทำสิ่งเหล่านี้เพราะว่าพวกเขาไม่รู้จักพระบิดาและไม่รู้จักเราด้วย4เราได้บอกสิ่งเหล่านี้กับพวกท่าน ซึ่งเมื่อเวลานั้นมาถึง พวกท่านจะระลึกว่าเราได้บอกกับพวกท่านเกี่ยวกับพวกเขา เราไม่ได้บอกพวกท่านเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ตั้งแต่แรกเพราะว่าเรายังอยู่กับพวกท่าน5แต่ตอนนี้เราจะไปหาผู้ที่ส่งเรามา แต่ไม่มีผู้ใดในพวกท่านถามเราว่า 'พระองค์กำลังจะเสด็จไปที่ไหน'6แต่เพราะว่าเราได้บอกสิ่งเหล่านี้กับพวกท่าน จิตใจของพวกท่านจึงเต็มไปด้วยความโศกเศร้า7แต่เราบอกความจริงแก่พวกท่านว่า เป็นการดีกว่าที่เราจะจากพวกท่านไป เพราะถ้าเราไม่จากพวกท่านไป องค์ผู้ปลอบโยนจะไม่มาหาพวกท่าน แต่ถ้าเราจากไป เราจะส่งพระองค์มาหาพวกท่าน8เมื่อพระองค์เสด็จมา องค์ผู้ปลอบโยนจะพิสูจน์ให้โลกเห็นความบาป ความชอบธรรม และการพิพากษา9ในเรื่องบาปนั้น เพราะว่าพวกเขาไม่ได้เชื่อในเรา10ในเรื่องความชอบธรรมนั้นเพราะว่าเรากำลังจะไปหาพระบิดาและพวกท่านจะไม่เห็นเราอีก11และในเรื่องการพิพากษานั้น เพราะว่าผู้ปกครองโลกนี้ได้ถูกพิพากษาแล้ว12เรามีอีกหลายสิ่งที่จะพูดกับพวกท่าน แต่พวกท่านจะยังไม่เข้าใจสิ่งเหล่านั้นในตอนนี้13แต่เมื่อผู้นั้น คือพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมา พระองค์จะนำพวกท่านเข้าสู่ความจริง เพราะพระองค์ไม่ได้พูดตามใจพระองค์เอง แต่พระองค์จะพูดในสิ่งที่พระองค์ได้ยิน และพระองค์จะตรัสกับพวกท่านถึงสิ่งต่างๆ ที่จะมาถึง14พระองค์จะให้เราได้รับเกียรติ เพราะว่าพระองค์จะเอาสิ่งที่เป็นของเราและพระองค์จะบอกสิ่งนั้นแก่พวกท่าน15ทุกสิ่งที่พระบิดาทรงมีนั้นเป็นของเรา เหตุฉะนั้น เราจึงบอกว่าพระวิญญาณจะเอาสิ่งที่เป็นของเราและพระองค์จะบอกสิ่งนั้นแก่พวกท่าน16ในอีกไม่นาน พวกท่านจะไม่เห็นเราอีก และภายหลังอีกไม่นานพวกท่านก็จะเห็นเรา"17แล้วบางคนในพวกสาวกของพระองค์ก็พูดกันว่า "พระองค์กำลังตรัสสิ่งใดแก่พวกเราที่ว่า 'ในอีกไม่นานนัก พวกท่านจะไม่เห็นเราอีก และภายหลังอีกไม่นานพวกท่านจะเห็นเรา' และ ''เพราะว่าเราจะไปหาพระบิดา'?"18ดังนั้นพวกเขาจึงพูดว่า "ที่พระองค์ตรัสว่า 'อีกไม่นาน' นั้นหมายความว่าอะไร? พวกเราไม่เข้าใจว่าพระองค์กำลังตรัสถึงสิ่งใด"19พระเยซูทรงเห็นว่าพวกเขาต้องการที่จะถามพระองค์ พระองค์จึงตรัสแก่พวกเขาว่า "นี่คือสิ่งที่ท่านกำลังถามกันเองในหมู่พวกท่านหรือที่ว่า 'อีกไม่นาน พวกท่านจะไม่เห็นเราและภายหลังจากนั้นไม่นานพวกท่านจะเห็นเรา'?20เราบอกความจริงแก่พวกท่านว่า พวกท่านจะร้องไห้และคร่ำครวญ แต่โลกนั้นจะยินดี พวกท่านจะเต็มไปด้วยความโศกเศร้า แต่ความโศกเศร้าของพวกท่านจะเปลี่ยนเป็นความชื่นชมยินดี21เมื่อผู้หญิงนั้นให้กำเนิดบุตร เธอโศกเศร้าเพราะว่าเวลาของเธอมาถึงแล้ว แต่เมื่อเธอได้คลอดบุตรของเธอออกมา เธอจะไม่ระลึกถึงความเจ็บปวดของเธออีกเพราะความชื่นชมยินดีที่บุตรของเธอได้เกิดมาในโลกนี้22แม้ขณะนี้พวกท่านเศร้าใจ แต่เราจะมาหาพวกท่านอีกและหัวใจของพวกท่านจะยินดี และจะไม่มีผู้ใดเอาความชื่นชมยินดีนั้นไปจากพวกท่านได้23ในวันนั้นพวกท่านจะไม่ถามอะไรเราอีก เราบอกความจริงแก่พวกท่านว่า ถ้าพวกท่านทูลขอสิ่งใดกับพระบิดาในนามของเรา พระองค์จะให้แก่พวกท่าน24แม้กระทั่งเดี๋ยวนี้ถ้าพวกท่านยังไม่ได้ขอสิ่งใดในนามของเรา จงขอเถิด แล้วพวกท่านจะได้รับเพื่อที่ความชื่นชมยินดีของพวกท่านจะได้เต็มเปี่ยม25เราได้บอกสิ่งเหล่านี้กับพวกท่านเป็นคำอุปมา แต่เมื่อเวลานั้นมาถึง คือเมื่อเราจะไม่พูดกับพวกท่านเป็นคำอุปมาอีก แต่เราจะพูดกับพวกท่านถึงเรื่องของพระบิดาอย่างชัดเจน26ในวันนั้นพวกท่านจะขอในนามของเราและเราจะไม่พูดกับพวกท่านว่าเราจะอธิษฐานทูลขอพระบิดาเพื่อพวกท่าน27เพราะพระบิดาเองทรงรักพวกท่านเพราะว่าพวกท่านได้รักเราและเพราะพวกท่านได้เชื่อว่าเรามาจากพระบิดา28เรามาจากพระบิดา และเราได้เข้ามาในโลกนี้ อีกครั้งหนึ่ง เรากำลังจะจากโลกนี้ไปและเราจะไปหาพระบิดาของเรา"29พวกสาวกของพระองค์ทูลว่า "นี่แน่ะ ตอนนี้พระองค์กำลังตรัสอย่างชัดเจนและพระองค์ไม่ได้ตรัสแก่พวกเราเป็นคำอุปมา30ตอนนี้ พวกเรารู้แล้วว่าพระองค์ทรงรู้ทุกสิ่ง และพระองค์ไม่ต้องการให้ใครถามพระองค์อีก ด้วยเหตุนี้ พวกเราเชื่อแล้วว่าพระองค์ทรงมาจากพระเจ้า"31พระเยซูตรัสตอบพวกเขาว่า "ตอนนี้พวกท่านเชื่อเราแล้วหรือ?32ดูเถิด เวลานั้นกำลังจะมาถึง อันที่จริงเวลานั้นก็ได้มาถึงแล้วเมื่อพวกท่านจะถูกทำให้กระจัดกระจายไป ทุกคนจะแยกกลับไปบ้านของตนและพวกท่านจะทิ้งเราไว้ แต่ว่าเราไม่โดดเดี่ยวด้วยว่าพระบิดาทรงสถิตกับเรา33เราได้บอกสิ่งเหล่านี้แก่พวกท่านเพื่อที่พวกท่านจะได้มีสันติสุขในเรา พวกท่านจะเผชิญกับความทุกข์ยากในโลกนี้ แต่จงกล้าหาญเถิด เพราะว่าเราได้ชนะโลกแล้ว"
1เมื่อพระเยซูตรัสอย่างนั้นแล้ว พระองค์ก็แหงนพระพักตร์ขึ้นดูฟ้าและตรัสว่า "ข้าแต่พระบิดา บัดนี้ถึงเวลาแล้ว ขอโปรดให้พระบุตรของพระองค์ได้รับเกียรติ เพื่อพระบุตรจะได้ถวายพระเกียรติแด่พระองค์2ดังที่พระองค์โปรดให้พระบุตรมีสิทธิอำนาจเหนือมนุษย์ทั้งสิ้น เพื่อให้พระบุตรประทานชีวิตนิรันดร์แก่คนที่พระองค์ได้ประทานให้แก่พระบุตรนั้น3และนี่แหละคือชีวิตนิรันดร์ คือการที่พวกเขารู้จักพระองค์ ผู้ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว และรู้จักพระเยซูคริสต์ที่พระองค์ทรงใช้มา4ข้าพระองค์ถวายพระเกียรติแด่พระองค์ในโลก เพราะข้าพระองค์ทำกิจที่พระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์ทำนั้นสำเร็จแล้ว5บัดนี้ข้าแต่พระบิดา ขอโปรดให้ข้าพระองค์ได้รับเกียรติต่อพระพักตร์ของพระองค์ คือเกียรติที่ข้าพระองค์มีร่วมกับพระองค์ก่อนที่โลกนี้มีมา6ข้าพระองค์สำแดงพระนามของพระองค์ แก่บรรดาคนที่พระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์จากโลกนี้ คนเหล่านั้นเป็นของพระองค์แล้ว และพระองค์ประทานพวกเขาแก่ข้าพระองค์ และพวกเขาได้ปฏิบัติตามพระดำรัสของพระองค์แล้ว7บัดนี้พวกเขารู้ว่าทุกสิ่งที่พระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์นั้นมาจากพระองค์8เพราะว่าพระดำรัสที่พระองค์ตรัสแก่ข้าพระองค์นั้น ข้าพระองค์ให้พวกเขาแล้วและพวกเขารับไว้ และรู้แน่ว่าข้าพระองค์มาจากพระองค์ และเชื่อแล้วว่าพระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์มา9ข้าพระองค์อธิษฐานเพื่อพวกเขา ข้าพระองค์ไม่ได้อธิษฐานเพื่อโลก แต่เพื่อคนเหล่านั้นที่พระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์ เพราะว่าพวกเขาเป็นของพระองค์10ทุกสิ่งที่เป็นของข้าพระองค์ก็เป็นของพระองค์ และทุกสิ่งที่เป็นของพระองค์ก็เป็นของข้าพระองค์ และข้าพระองค์ได้รับเกียรติในสิ่งเหล่านั้น11ข้าพระองค์จะไม่อยู่ในโลกนี้อีก แต่พวกเขายังอยู่ในโลกนี้ และข้าพระองค์กำลังจะไปหาพระองค์ ข้าแต่พระบิดาผู้บริสุทธิ์ ขอพระองค์ทรงพิทักษ์รักษาบรรดาคนที่พระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์ไว้โดยพระนามของพระองค์ เพื่อพวกเขาจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เหมือนอย่างข้าพระองค์เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์12เมื่อข้าพระองค์ยังอยู่กับพวกเขา ข้าพระองค์พิทักษ์รักษาพวกเขา คือผู้ซึ่งพระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์ไว้โดยพระนามของพระองค์ และข้าพระองค์ปกป้องพวกเขาไว้ และไม่มีใครในพวกเขาพินาศนอกจากลูกแห่งความพินาศ เพื่อให้เป็นจริงตามข้อพระคัมภีร์13แต่บัดนี้ข้าพระองค์กำลังจะไปหาพระองค์ ข้าพระองค์กล่าวถึงสิ่งนี้ในโลก เพื่อให้พวกเขาได้รับความชื่นชมยินดีในข้าพระองค์อย่างเต็มเปี่ยม14ข้าพระองค์มอบพระดำรัสของพระองค์ให้แก่พวกเขาแล้ว และโลกนี้เกลียดชังเขา เพราะพวกเขาไม่ใช่ของโลก เหมือนอย่างที่ข้าพระองค์ไม่ใช่ของโลก15ข้าพระองค์ไม่ได้ขอให้พระองค์เอาพวกเขาออกไปจากโลก แต่ขอให้ปกป้องพวกเขาไว้ให้พ้นจากมารร้าย16พวกเขาไม่ใช่ของโลก เหมือนอย่างที่ข้าพระองค์ไม่ใช่ของโลก17ขอทรงแยกพวกเขาให้บริสุทธิ์ด้วยความจริง พระวจนะของพระองค์เป็นความจริง18พระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์มาในโลกอย่างไร ข้าพระองค์ก็ใช้พวกเขาไปในโลกอย่างนั้น19ข้าพระองค์แยกตัวให้บริสุทธิ์เพราะเห็นแก่เขาทั้งหลาย เพื่อให้พวกเขารับการแยกให้บริสุทธิ์ด้วยความจริง20ข้าพระองค์ไม่ได้อธิษฐานเพื่อคนเหล่านี้พวกเดียว แต่เพื่อทุกคนที่วางใจในข้าพระองค์เพราะถ้อยคำของพวกเขา21เพื่อพวกเขาจะได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ดังเช่นพระองค์ผู้เป็นพระบิดาสถิตในข้าพระองค์และข้าพระองค์ในพระองค์ ข้าพระองค์อธิษฐานเพื่อพวกเขาจะได้อยู่ในพระองค์และในข้าพระองค์ด้วย เพื่อโลกจะได้เชื่อว่าพระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์มา22เกียรติซึ่งพระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์นั้น ข้าพระองค์มอบให้แก่พวกเขา เพื่อพวกเขาจะได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ดังเช่นพระองค์กับข้าพระองค์23ข้าพระองค์อยู่ในพวกเขาและพระองค์ทรงอยู่ในข้าพระองค์ เพื่อพวกเขาจะได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างสมบูรณ์ เพื่อโลกจะได้รู้ว่าพระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์มา และพระองค์ทรงรักพวกเขาเหมือนอย่างที่พระองค์ทรงรักข้าพระองค์24ข้าแต่พระบิดา ข้าพระองค์ปรารถนาให้คนเหล่านั้นที่พระองค์ประทานให้แก่ข้าพระองค์ อยู่กับข้าพระองค์ในที่ที่ข้าพระองค์อยู่นั้น เพื่อพวกเขาจะได้เห็นสง่าราศีของข้าพระองค์ซึ่งพระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์ เพราะพระองค์ทรงรักข้าพระองค์ก่อนที่พระองค์ทรงสร้างโลก25ข้าแต่พระบิดาผู้ทรงธรรม โลกนี้ไม่รู้จักพระองค์ แต่ข้าพระองค์รู้จักพระองค์ และคนเหล่านี้คือรู้ว่าพระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์มา26ข้าพระองค์ทำให้พวกเขารู้จักพระนามของพระองค์ และจะทำให้พวกเขารู้อีก เพื่อความรักที่พระองค์ทรงรักข้าพระองค์นั้นจะอยู่ในพวกเขา และข้าพระองค์อยู่ในพวกเขา"
1เมื่อพระเยซูตรัสถ้อยคำเหล่านี้แล้ว พระองค์ก็เสด็จออกไปกับพวกสาวกของพระองค์ ข้ามห้วยขิดโรนไปยังสวนแห่งหนึ่ง พระองค์เสด็จเข้าไปในสวนนั้นกับพวกสาวก2ยูดาสคนที่จะทรยศพระองค์ก็รู้จักสวนนั้นด้วย เพราะพระเยซูกับพวกสาวกเคยมาพบกันที่นั่นบ่อยๆ3ยูดาสนำพวกทหารที่มาจากพวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกฟาริสี และพวกเจ้าหน้าที่ พวกเขาถือโคม ถือคบเพลิง และอาวุธไปที่นั่นด้วย4พระเยซูทรงทราบทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับพระองค์ พระองค์จึงเสด็จออกไปถามพวกเขาว่า "พวกท่านมาหาใคร?"5พวกเขาทูลตอบพระองค์ว่า "มาหาเยซูชาวนาซาเร็ธ" พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า "เราเป็นผู้นั้น" ยูดาสคนที่ทรยศพระองค์ก็ยืนอยู่กับพวกทหารเหล่านั้น6เมื่อพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า "เราเป็นผู้นั้น" เขาก็ถอยหลังและล้มลงที่ดิน7พระองค์ตรัสถามพวกเขาอีกว่า "พวกท่านมาหาใคร?" พวกเขาทูลตอบว่า "มาหาเยซูชาวนาซาเร็ธ"8พระเยซูตรัสตอบว่า "เราบอกพวกท่านแล้วว่าเราเป็นผู้นั้น ถ้าพวกท่านตามหาเราก็จงปล่อยคนเหล่านี้ไปเถิด"9ทั้งนี้เพื่อให้เป็นจริงตามพระดำรัสที่พระองค์ตรัสว่า "คนเหล่านั้นซึ่งพระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์ไม่ได้เสียไปสักคนเดียว"10ซีโมนเปโตรมีดาบจึงชักออกฟันทาสคนหนึ่งของมหาปุโรหิตถูกหูข้างขวาขาด ทาสคนนั้นชื่อมัลคัส11พระเยซูตรัสกับเปโตรว่า "จงเอาดาบใส่ฝักเสีย เราจะไม่ดื่มถ้วยที่พระบิดาประทานแก่เราหรือ?"12พวกพลทหารกับนายทหารและเจ้าหน้าที่ของพวกยิวจึงจับพระเยซูมัดไว้13แล้วพาพระองค์ไปหาอันนาสก่อน เพราะอันนาสเป็นพ่อตาของคายาฟาสซึ่งเป็นมหาปุโรหิตในปีนั้น14คายาฟาสคนนี้แหละที่แนะนำพวกยิวว่าควรให้คนหนึ่งตายแทนประชาชน15ซีโมนเปโตรกับสาวกอีกคนหนึ่งติดตามพระเยซูไป แต่เพราะสาวกคนนั้นรู้จักกับมหาปุโรหิต เขาจึงเข้าไปกับพระเยซูจนถึงลานบ้านของมหาปุโรหิต16แต่เปโตรยืนอยู่ข้างนอกริมประตู สาวกอีกคนหนึ่งนั้นรู้จักกับมหาปุโรหิตจึงออกไปพูดกับผู้หญิงที่เฝ้าประตูแล้วพาเปโตรเข้าไป17ทาสหญิงคนที่เฝ้าประตูถามเปโตรว่า "ท่านก็เป็นคนหนึ่งในพวกสาวกของคนนั้นด้วยไม่ใช่หรือ?" เขาตอบว่า "ไม่ใช่"18พวกทาสกับเจ้าหน้าที่ก็ยืนอยู่ที่นั่น เอาถ่านมาก่อไฟเพราะอากาศหนาว แล้วก็ยืนผิงไฟกัน เปโตรก็ยืนผิงไฟอยู่กับเขาด้วย19มหาปุโรหิตก็ถามพระเยซูถึงพวกสาวกของพระองค์และคำสอนของพระองค์20พระเยซูตรัสตอบเขาว่า "เรากล่าวให้โลกฟังโดยเปิดเผย เราสั่งสอนเสมอทั้งในธรรมศาลาและในบริเวณพระวิหารที่พวกยิวเคยชุมนุมกัน เราไม่ได้สอนสิ่งใดอย่างลับๆ เลย21ท่านถามเราทำไม? จงถามคนที่ฟังเราว่า เราพูดอะไรกับพวกเขา พวกเขารู้ว่าเราสอนอะไร"22เมื่อพระเยซูตรัสอย่างนั้นแล้ว เจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่ยืนอยู่ที่นั่นก็ตบพระพักตร์พระเยซูแล้วพูดว่า "เจ้าตอบมหาปุโรหิตแบบนั้นหรือ?"23พระเยซูตรัสตอบเขาว่า "ถ้าเราพูดผิดก็จงเป็นพยานในสิ่งที่ผิดนั้น แต่ถ้าเราพูดถูก ท่านตบเราทำไม?"24อันนาสจึงให้พาพระเยซูซึ่งถูกมัดอยู่ไปหาคายาฟาสมหาปุโรหิต25ขณะนั้นซีโมนเปโตรกำลังยืนผิงไฟอยู่ คนพวกนั้นถามเปโตรว่า "เจ้าเป็นสาวกของคนนั้นด้วยไม่ใช่หรือ?" เปโตรปฏิเสธว่า "ไม่ใช่"26ทาสคนหนึ่งของมหาปุโรหิตซึ่งเป็นญาติกับคนที่เปโตรฟันหูขาดก็ถามว่า "ข้าเห็นเจ้ากับคนนั้นในสวนไม่ใช่หรือ?"27เปโตรปฏิเสธอีกครั้งหนึ่ง และในทันใดนั้นไก่ก็ขัน28แล้วพวกเขาก็พาพระเยซูออกจากบ้านของคายาฟาสไปยังวังของผู้ว่าการ ขณะนั้นเป็นเวลาเช้าตรู่ และพวกเขาไม่ได้เข้าไปในวังของผู้ว่าการนั้น เพื่อไม่ให้เป็นมลทินและจะได้กินปัสกาได้29ปีลาตจึงออกมาหาพวกเขาและถามว่า "พวกท่านมีเรื่องอะไรมาฟ้องคนนี้?"30พวกเขาตอบท่านว่า "ถ้าเขาไม่ใช่ผู้ร้าย พวกเราก็คงจะไม่มอบตัวเขาไว้กับท่าน"31ปีลาตกล่าวกับพวกเขาว่า "พวกท่านจงเอาคนนี้ไปพิพากษาตามกฎหมายของท่านเองเถิด" พวกยิวจึงเรียนท่านว่า "กฎหมายห้ามไม่ให้พวกเราประหารชีวิตคนหนึ่งคนใด"32ทั้งนี้เพื่อให้เป็นจริงตามพระดำรัสของพระเยซูที่ตรัสไว้ว่าพระองค์จะสิ้นพระชนม์อย่างไร33ปีลาตจึงเข้าไปในวังของผู้ว่าการอีก และเรียกพระเยซูมาแล้วถามว่า "เจ้าเป็นกษัตริย์ของพวกยิวหรือ?"34พระเยซูตรัสตอบว่า "ท่านถามอย่างนั้นตามความเข้าใจของท่านเอง หรือว่าคนอื่นบอกท่านถึงเรื่องของเรา?"35ปีลาตตอบว่า "เราเป็นยิวหรือ? ชนชาติของเจ้าเองและพวกหัวหน้าปุโรหิตมอบเจ้าไว้กับเรา เจ้าทำผิดอะไร?"36พระเยซูตรัสตอบว่า "ราชอาณาจักรของเราไม่ได้เป็นของโลกนี้ ถ้าราชอาณาจักรของเรามาจากโลกนี้ คนของเราก็คงจะต่อสู้ไม่ให้เราถูกมอบไว้ในมือของพวกยิว แต่ราชอาณาจักรของเราไม่ได้มาจากโลกนี้"37ปีลาตจึงพูดกับพระองค์ว่า "ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็เป็นกษัตริย์น่ะสิ?" พระเยซูตรัสตอบว่า "ท่านพูดว่าเราเป็นกษัตริย์ เพราะเหตุนี้เราจึงเกิดมาและเข้ามาในโลก เพื่อเป็นพยานให้กับความจริง ทุกคนที่เป็นของความจริงย่อมฟังเสียงของเรา"38ปีลาตถามพระองค์ว่า "ความจริงคืออะไร?" เมื่อถามอย่างนั้นแล้วปีลาตก็ออกไปหาพวกยิวอีก และบอกเขาว่า "เราไม่เห็นว่าคนนี้มีความผิด"39แต่พวกท่านมีธรรมเนียมให้เราปล่อยคนหนึ่งให้แก่พวกท่านในเทศกาลปัสกา พวกท่านอยากให้เราปล่อยกษัตริย์ของพวกยิวหรือ?"40พวกเขาร้องตอบว่า "อย่าปล่อยคนนี้ แต่ให้ปล่อยบารับบัส" บารับบัสนั้นเป็นโจร
1ปีลาตจึงให้เอาพระเยซูไปโบยตี2และพวกทหารก็เอาหนามสานเป็นมงกุฎสวมพระเศียรของพระเยซูและให้พระองค์สวมเสื้อสีม่วง3แล้วพวกเขาก็มาหาพระองค์ทูลว่า "ข้าแต่กษัตริย์ของพวกยิว ขอทรงพระเจริญ" แล้วพวกเขาก็ตบพระพักตร์พระองค์4ปีลาตก็ออกไปด้านนอกอีกและกล่าวกับพวกเขาว่า "นี่แนะ เราพาคนนี้ออกมามอบให้พวกท่าน เพื่อให้พวกท่านรู้ว่าเราไม่พบความผิดอะไรในตัวเขาเลย"5พระเยซูจึงเสด็จออกมา ทรงสวมมงกุฎทำด้วยหนามและทรงสวมเสื้อสีม่วง ปีลาตกล่าวกับพวกเขาว่า "คนนี้ไงล่ะ"6เมื่อพวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกเจ้าหน้าที่เห็นพระเยซู พวกเขาก็ร้องอื้ออึงว่า "ตรึงเขาเสีย ตรึงเขา" ปีลาตกล่าวกับพวกเขาว่า "พวกท่านจงพาเขาไปตรึงเอาเอง เพราะเราไม่เห็นว่าเขามีความผิดอันใด"7พวกยิวตอบท่านว่า "เรามีกฎหมาย และตามกฎหมายนั้นเขาสมควรตาย เพราะเขาตั้งตัวเป็นพระบุตรของพระเจ้า"8เมื่อปีลาตได้ยินอย่างนั้นท่านก็ตกใจกลัวมากขึ้น9ท่านเข้าไปในวังของผู้ว่าการอีกและทูลถามพระเยซูว่า "เจ้ามาจากไหน?" แต่พระเยซูไม่ตรัสตอบอะไร10ปีลาตจึงทูลถามพระองค์ว่า "เจ้าจะไม่พูดกับเราหรือ? เจ้าไม่รู้หรือว่าเรามีสิทธิอำนาจที่จะปล่อยเจ้า และมีสิทธิอำนาจที่จะตรึงเจ้าที่กางเขนได้?"11พระเยซูตรัสตอบว่า "ท่านไม่มีสิทธิอำนาจเหนือเรานอกจากที่ได้ประทานแก่ท่านจากเบื้องบน เพราะเหตุนี้คนที่มอบเราไว้กับท่านจึงมีความผิดมากกว่าท่าน"12ตั้งแต่นั้นปีลาตก็หาโอกาสที่จะปล่อยพระองค์ แต่พวกยิวร้องอื้ออึงว่า "ถ้าท่านปล่อยชายคนนี้ ท่านก็ไม่ใช่มิตรของซีซาร์ ทุกคนที่ตั้งตัวเป็นกษัตริย์ก็ต่อต้านซีซาร์"13เมื่อปีลาตได้ยินอย่างนั้นท่านจึงพาพระเยซูออกมาแล้วนั่งบัลลังก์พิพากษาตรงที่ที่เรียกว่า "ลานปูศิลา" ภาษาฮีบรูเรียกว่า "กับบาธา"14วันนั้นเป็นวันเตรียมปัสกา เวลาประมาณเที่ยง ปีลาตพูดกับพวกยิวว่า "นี่คือกษัตริย์ของพวกท่าน"15พวกเขาร้องอื้ออึงว่า "เอาเขาไป เอาเขาไป เอาไปตรึงที่กางเขน" ปีลาตพูดกับพวกเขาว่า "จะให้เราตรึงกษัตริย์ของพวกท่านหรือ?" พวกหัวหน้าปุโรหิตตอบว่า "เราไม่มีกษัตริย์อื่นนอกจากซีซาร์"16แล้วปีลาตก็มอบพระเยซูให้พวกเขาไปตรึงที่กางเขน17พวกเขาจึงพาพระเยซูออกไป ให้พระองค์แบกกางเขนของพระองค์ไปยังที่ที่เรียกว่า "กะโหลกศีรษะ" ภาษาฮีบรูเรียกว่า "กลโกธา"18ที่นั่นพวกเขาตรึงพระเยซูไว้ที่กางเขน พร้อมกับชายอีกสองคนคนละข้าง โดยมีพระเยซูทรงอยู่ตรงกลาง19ปีลาตให้เขียนป้ายติดไว้บนกางเขนอ่านว่า "เยซูชาวนาซาเร็ธกษัตริย์ของพวกยิว"20พวกยิวจำนวนมากได้อ่านป้ายนี้ เพราะที่ที่เขาตรึงพระเยซูนั้นอยู่ใกล้กับกรุง และป้ายนั้นเขียนเป็นภาษาฮีบรู ภาษาลาติน และภาษากรีก21พวกหัวหน้าปุโรหิตของพวกยิวจึงเรียนปีลาตว่า "อย่าเขียนว่า `กษัตริย์ของชาวยิว` แต่เขียนว่า `คนนี้บอกว่า "เราเป็นกษัตริย์ของพวกยิว"'"22ปีลาตตอบว่า "อะไรที่เราเขียนแล้วก็แล้วไป"23เมื่อพวกทหารตรึงพระเยซูไว้ที่กางเขนแล้ว พวกเขาจะเอาเสื้อของพระองค์มาแบ่งเป็นสี่ส่วน ให้ทหารคนละส่วน แต่เสื้อในนั้นไม่มีตะเข็บ ทอเป็นผืนเดียวตลอด24ฉะนั้นพวกเขาจึงปรึกษากันว่า "เราอย่าฉีกแบ่งกันเลย แต่ให้เราจับฉลากกัน จะได้รู้ว่าใครจะได้เป็นเจ้าของ" ทั้งนี้ให้เป็นจริงตามข้อพระคัมภีร์ที่ว่า "เสื้อผ้าของข้าพระองค์ เขาแบ่งกัน และเสื้อของข้าพระองค์เขาจับฉลากกัน" พวกทหารทำกันอย่างนี้25คนที่ยืนอยู่ด้านข้างกางเขนของพระเยซูนั้นมีมารดากับน้าสาวของพระองค์ มารีย์ภรรยาของเคลโอปัส และมารีย์ชาวมักดาลา26เมื่อพระเยซูทอดพระเนตรเห็นมารดาของพระองค์ และสาวกคนที่พระองค์ทรงรักยืนอยู่ใกล้ๆ พระองค์ตรัสกับมารดาของพระองค์ว่า "หญิงเอ๋ย นี่คือบุตรของท่าน"27แล้วพระองค์ตรัสกับสาวกคนนั้นว่า "นี่คือมารดาของท่าน" แล้วสาวกคนนั้นก็รับมารดาของพระองค์มาอยู่ในบ้านของตนตั้งแต่เวลานั้น28หลังจากนั้นพระเยซูทรงทราบว่าทุกสิ่งสำเร็จแล้ว และเพื่อให้เป็นจริงตามข้อพระคัมภีร์ พระองค์จึงตรัสว่า "เรากระหายน้ำ"29ที่นั่นมีภาชนะใส่เหล้าองุ่นเปรี้ยววางอยู่ พวกเขาจึงเอาฟองน้ำชุบเหล้าองุ่นเปรี้ยวใส่ปลายไม้หุสบ ชูขึ้นให้ถึงพระโอษฐ์ของพระองค์30เมื่อพระเยซูทรงรับเหล้าองุ่นเปรี้ยวแล้ว พระองค์ตรัสว่า "สำเร็จแล้ว" และก้มพระเศียรลงสิ้นพระชนม์31วันนั้นเป็นวันเตรียม พวกยิวจึงขอปีลาตให้ทุบขาของคนที่ถูกตรึงให้หักและยกศพออกไป เพื่อไม่ให้ศพค้างอยู่ที่กางเขนในวันสะบาโต (เพราะวันสะบาโตนั้นเป็นวันสำคัญ)32ดังนั้น พวกทหารจึงมาทุบขาของคนแรกและขาของอีกคนที่ถูกตรึงอยู่กับพระเยซู33แต่เมื่อพวกเขามาถึงพระเยซูและเห็นว่าพระองค์สิ้นพระชนม์แล้ว พวกเขาจึงไม่ได้ทุบขาของพระองค์34แต่ทหารคนหนึ่งเอาทวนแทงที่สีข้างของพระองค์ และโลหิตกับน้ำก็ไหลออกมาทันที35คนนั้นที่เห็นก็เป็นพยาน และคำพยานของเขาก็เป็นความจริง และเขาก็รู้ว่าสิ่งที่พระองค์ตรัสนั้นเป็นความจริงเพื่อพวกท่านจะได้เชื่อ36เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้นเพื่อให้เป็นจริงตามข้อพระคัมภีร์ที่ว่า "กระดูกของพระองค์จะไม่หักสักชิ้นเดียว"37และมีข้อพระคัมภีร์อีกข้อหนึ่งว่า "พวกเขาจะมองดูพระองค์ผู้ที่เขาแทง"38หลังจากนั้น โยเซฟจากอาริมาเธียซึ่งเป็นสาวกของพระเยซู (แต่อย่างลับๆ เพราะความกลัวพวกยิว) ก็มาขอพระศพพระเยซูจากปีลาต และปีลาตก็อนุญาต โยเซฟจึงนำเอาพระศพของพระองค์ไป39นิโคเดมัสคนที่ตอนแรกเคยไปหาพระเยซูในตอนกลางคืนก็มา เขานำเครื่องหอมผสมคือมดยอบกับกฤษณาหนักประมาณสามสิบกิโลกรัมมาด้วย40พวกเขานำพระศพพระเยซูมา แล้วเอาผ้าป่านกับเครื่องหอมพันพระศพนั้นตามธรรมเนียมฝังศพของพวกยิว41ในบริเวณที่พระองค์ถูกตรึงนั้นมีสวนแห่งหนึ่ง ในสวนนั้นมีอุโมงค์ฝังศพที่ยังไม่ได้ฝังศพใครเลย42เนื่องจากวันนั้นเป็นวันเตรียมของพวกยิว และเพราะอุโมงค์นั้นอยู่ใกล้ พวกเขาจึงบรรจุพระศพพระเยซูไว้ที่นั่น
1ในตอนเช้าวันแรกของสัปดาห์ ในขณะที่ยังมืดอยู่ มารีย์ชาวมักดาลามาถึงอุโมงค์ฝังศพและเห็นว่าหินที่ปิดปากอุโมงค์นั้นถูกกลิ้งออกแล้ว2เธอจึงวิ่งไปหาซีโมนเปโตรกับสาวกอีกคนหนึ่งที่พระเยซูทรงรักนั้นและพูดกับพวกเขาว่า "พวกเขาเอาองค์พระผู้เป็นเจ้าออกไปจากอุโมงค์แล้ว และพวกเราก็ไม่รู้ว่าพวกเขาเอาพระองค์ไปไว้ที่ไหน"3เปโตรจึงออกไปที่อุโมงค์กับสาวกคนนั้น4พวกเขาวิ่งไปทั้งสองคน แต่สาวกคนนั้นวิ่งเร็วกว่าเปโตรจึงมาถึงอุโมงค์ก่อน5เขาก้มลงมองดูเห็นผ้าป่านวางอยู่ แต่เขาไม่ได้เข้าไปข้างใน6ซีโมนเปโตรตามมาถึงภายหลัง แล้วเข้าไปในอุโมงค์เห็นผ้าป่านวางอยู่7ส่วนผ้าพันพระเศียรของพระองค์ ไม่ได้วางกับผ้าอื่น แต่พับไว้ต่างหาก8สาวกคนนั้นที่มาถึงที่อุโมงค์ก่อนก็ตามเข้าไปด้วย เขาได้เห็นและเชื่อ9แต่จนถึงเวลานั้นเขาก็ยังไม่เข้าใจข้อพระคัมภีร์ที่เขียนไว้ว่าพระองค์จะต้องเป็นขึ้นจากตาย10ดังนั้นสาวกทั้งสองจึงกลับไปที่บ้านอีกครั้ง11ส่วนมารีย์ยังยืนร้องไห้อยู่นอกอุโมงค์ ขณะที่ร้องไห้อยู่เธอก้มลงมองเข้าไปในอุโมงค์12และเห็นทูตสวรรค์สององค์สวมเสื้อขาวนั่งอยู่ที่ที่พวกเขาวางพระศพพระเยซู องค์หนึ่งอยู่เบื้องพระเศียร อีกองค์หนึ่งอยู่เบื้องพระบาท13ทูตทั้งสองพูดกับมารีย์ว่า "หญิงเอ๋ย ร้องไห้ทำไม?" เธอตอบว่า "เพราะพวกเขาเอาองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าไป และข้าพเจ้าไม่ทราบว่าพวกเขาเอาไปไว้ที่ไหน"14เมื่อมารีย์พูดอย่างนั้นแล้ว ก็หันกลับมาและเห็นพระเยซูทรงยืนอยู่ แต่ไม่ทราบว่าเป็นพระองค์15พระเยซูตรัสถามว่า "หญิงเอ๋ย ร้องไห้ทำไม? ตามหาใคร?" มารีย์เข้าใจว่าพระองค์เป็นคนทำสวนจึงตอบว่า "นายเจ้าข้า ถ้าท่านเอาพระองค์ไป ขอบอกให้ดิฉันรู้ว่าเอาพระองค์ไปไว้ที่ไหน ดิฉันจะไปได้รับพระองค์กลับมา"16พระเยซูตรัสกับนางว่า "มารีย์เอ๋ย" มารีย์จึงหันมาทูลพระองค์เป็นภาษาอาราเมคว่า "รับโบนี" (ซึ่งแปลว่า "ท่านอาจารย์")17พระเยซูตรัสกับเธอว่า "อย่าแตะต้องเรา เพราะเรายังไม่ได้ขึ้นไปหาพระบิดา แต่จงไปหาพวกพี่น้องของเรา และบอกพวกเขาว่าเรากำลังจะขึ้นไปหาพระบิดาของเราและพระบิดาของพวกท่าน ไปหาพระเจ้าของเราและพระเจ้าของพวกท่าน"18มารีย์ชาวมักดาลาจึงไปบอกพวกสาวกว่า "ข้าพเจ้าเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว" และเธอก็เล่าให้พวกเขาฟังว่าพระองค์ตรัสคำเหล่านั้นกับเธอ19ค่ำวันนั้นซึ่งเป็นวันอาทิตย์ เมื่อพวกสาวกปิดประตูห้องที่พวกเขาอยู่เพราะกลัวพวกยิว พระเยซูก็เสด็จเข้ามาและทรงยืนอยู่ท่ามกลางพวกเขา ตรัสว่า "สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลาย"20หลังจากพระองค์ตรัสดังนั้นแล้ว พระองค์ทรงให้พวกเขาดูพระหัตถ์และสีข้างของพระองค์ เมื่อพวกสาวกเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้วก็มีความยินดี21พระเยซูตรัสกับพวกเขาอีกว่า "สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลาย พระบิดาทรงใช้เรามาอย่างไร เราก็ใช้พวกท่านไปอย่างนั้น"22เมื่อพระเยซูตรัสอย่างนั้นแล้วจึงทรงระบายลมหายใจเหนือพวกเขาและตรัสกับพวกเขาว่า "จงรับพระวิญญาณบริสุทธิ์เถิด23ถ้าพวกท่านจะอภัยบาปของใคร บาปของพวกเขาก็จะได้รับการอภัย ถ้าพวกท่านไม่อภัยบาปของใคร บาปของพวกเขาก็จะไม่ได้รับการอภัย"24โธมัสหรือที่เขาเรียกกันว่าดิดุโมสซึ่งเป็นสาวกคนหนึ่งในสิบสองคนนั้นไม่ได้อยู่กับพวกเขาเมื่อพระเยซูเสด็จมา25สาวกคนอื่นๆ จึงบอกโธมัสว่า "เราเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว" แต่โธมัสตอบพวกเขาว่า "ถ้าข้าไม่เห็นรอยตะปูที่พระหัตถ์ของพระองค์ และไม่ได้เอานิ้วของข้าแยงเข้าไปที่รอยตะปูนั้น และไม่ได้เอามือของข้าแยงเข้าไปที่สีข้างของพระองค์แล้ว ข้าจะไม่เชื่อเลย"26เมื่อผ่านไปแปดวันแล้ว พวกสาวกของพระองค์อยู่ด้วยกันในบ้านนั้นอีกและโธมัสอยู่กับพวกเขาด้วย ประตูก็ปิดแล้ว แต่พระเยซูเสด็จเข้ามาและทรงยืนอยู่ท่ามกลางพวกเขาตรัสว่า "สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลาย"27แล้วพระองค์ตรัสกับโธมัสว่า "เอานิ้วของท่านแยงที่นี่ และดูที่มือของเรา ยื่นมือของท่านออกมาคลำที่สีข้างของเรา อย่าสงสัยเลย แต่จงเชื่อ"28โธมัสทูลพระองค์ว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์"29พระเยซูตรัสกับเขาว่า "เพราะท่านเห็นเราท่านจึงเชื่อหรือ? คนที่ไม่เห็นเราแต่เชื่อก็เป็นสุข"30พระเยซูทรงทำหมายสำคัญอื่นๆ อีกหลายอย่างต่อหน้าพวกสาวก ซึ่งไม่ได้บันทึกไว้ในหนังสือเล่มนี้31แต่การที่บันทึกเหตุการณ์เหล่านี้ไว้ ก็เพื่อพวกท่านจะได้เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้า และเมื่อมีความเชื่อแล้ว พวกท่านก็จะมีชีวิตโดยพระนามของพระองค์
1ต่อมาพระเยซูทรงสำแดงพระองค์แก่พวกสาวกอีกครั้งหนึ่งที่ทะเลทิเบเรียส พระองค์ทรงสำแดงพระองค์อย่างนี้คือ2ซีโมนเปโตร โธมัสที่เรียกว่าดิดุโมส นาธานาเอลชาวบ้านคานาแคว้นกาลิลี บุตรทั้งสองของเศเบดี และสาวกของพระเยซูอีกสองคน กำลังอยู่ด้วยกัน3ซีโมนเปโตรบอกพวกเขาว่า "ข้าจะไปจับปลา" พวกเขาจึงพูดกับซีโมนว่า "เราจะไปด้วย" แล้วพวกเขาก็ออกไปลงเรือ แต่คืนนั้นพวกเขาจับปลาไม่ได้เลย4เมื่อถึงรุ่งเช้า พระเยซูทรงยืนอยู่ที่ฝั่ง แต่พวกสาวกไม่รู้ว่าเป็นพระเยซู5พระเยซูตรัสถามพวกเขาว่า "ลูกเอ๋ย พวกเจ้ามีอะไรรับประทานหรือยัง?" พวกเขาตอบว่า "ไม่มีเลย"6พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า "จงทอดอวนลงทางด้านขวาของเรือ แล้วจะได้ปลามาบ้าง พวกเขาจึงทอดอวนลงและได้ปลาจำนวนมาก จนลากอวนขึ้นไม่ไหว7สาวกคนที่พระเยซูทรงรัก บอกเปโตรว่า "เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า" เมื่อซีโมนเปโตรได้ยินว่าเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า เขาก็หยิบเสื้อมาสวม (เพราะถอดเสื้อและตัวเปล่าอยู่) แล้วก็กระโดดลงทะเล8แต่สาวกคนอื่นๆ นั้นนั่งเรือมา (เพราะเขาอยู่ห่างจากฝั่งไม่มากนัก ไกลประมาณหนึ่งร้อยเมตรเท่านั้น) และพวกเขาลากอวนที่ติดปลาเต็มนั้นมาด้วย9เมื่อพวกเขาขึ้นมาบนฝั่งก็เห็นถ่านติดไฟอยู่ มีปลาวางอยู่ข้างบนและมีขนมปัง10พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า "เอาปลาที่เพิ่งจับได้มาบ้าง"11ซีโมนเปโตรจึงลงไปในเรือแล้วลากอวนขึ้นฝั่งอวนนั้นเต็มไปด้วยปลาตัวใหญ่ๆ มีหนึ่งร้อยห้าสิบสามตัว แม้จะมีมากขนาดนั้นอวนก็ไม่ขาด12พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า "มารับประทานกันเถิด" พวกสาวกไม่มีใครกล้าถามพระองค์ว่า "ท่านเป็นใคร?" เพราะพวกเขารู้อยู่แล้วว่าเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า13พระเยซูทรงเข้ามาหยิบขนมปังแจกให้พวกเขา และทรงหยิบปลาแจกด้วย14นี่เป็นครั้งที่สามที่พระเยซูทรงสำแดงพระองค์แก่พวกสาวก หลังจากที่พระองค์ทรงเป็นขี้นจากความตาย15เมื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้ว พระเยซูตรัสกับซีโมนเปโตรว่า "ซีโมนบุตรยอห์นเอ๋ย ท่านรักเรามากกว่าพวกนี้หรือ?" เปโตรทูลต่อพระองค์ว่า "ใช่ องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงทราบว่าข้าพระองค์รักพระองค์" พระเยซูตรัสสั่งเขาว่า "จงเลี้ยงดูลูกแกะของเราเถิด"16พระองค์ตรัสกับเขาครั้งที่สองว่า "ซีโมนบุตรยอห์นเอ๋ย ท่านรักเราหรือ?" เปโตรทูลตอบพระองค์ว่า "ใช่ องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทราบว่าข้าพระองค์รักพระองค์" พระเยซูตรัสกับเขาว่า "จงดูแลแกะของเราเถิด"17พระองค์ตรัสกับเขาครั้งที่สามว่า "ซีโมนบุตรยอห์นเอ๋ย ท่านรักเราหรือ?" เปโตรเศร้าใจที่พระเยซูตรัสถามเขาครั้งที่สามว่า "ท่านรักเราหรือ?" เขาจึงทูลพระองค์ว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงทราบทุกสิ่ง พระองค์ทรงรู้ดีว่าข้าพระองค์รักพระองค์" พระเยซูตรัสกับเขาว่า "จงเลี้ยงดูแกะของเราเถิด18เราบอกความจริงกับท่านว่า เมื่อท่านยังหนุ่ม ท่านก็คาดเอวของท่านและเดินไปไหนๆ ตามที่ท่านปรารถนา แต่เมื่อแก่แล้ว ท่านจะเหยียดมือออก และจะมีคนมาคาดเอวท่าน และพาไปที่ที่ท่านไม่ปรารถนาจะไป"19พระเยซูตรัสอย่างนั้นก็เพื่อชี้ให้เห็นว่าเปโตรจะถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าด้วยการตายแบบใด เมื่อพระองค์ตรัสอย่างนั้นแล้ว พระองค์จึงตรัสกับเปโตรว่า "จงตามเรามาเถิด"20เปโตรเหลียวหลังเห็นสาวกคนที่พระเยซูทรงรักตามมา สาวกคนนั้นคือคนที่เอนตัวลงแนบพระทรวงของพระเยซูขณะรับประทานอาหารและทูลถามว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้า คนที่จะทรยศพระองค์เป็นใคร?"21เมื่อเปโตรเห็นสาวกคนนั้นจึงทูลถามพระเยซูว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้า คนนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง?"22พระเยซูตรัสกับเขาว่า "ถ้าเราอยากให้เขาอยู่จนกว่าเราจะมา มันเกี่ยวอะไรกับท่าน? จงตามเรามาเถิด"23เพราะฉะนั้น คำที่ว่าสาวกคนนั้นจะไม่ตาย จึงลือกันไปท่ามกลางพวกพี่น้อง พระเยซูก็ไม่ได้ตรัสกับเปโตรว่าสาวกคนนั้นจะไม่ตาย แต่ตรัสว่า "ถ้าเราอยากให้เขาอยู่จนกว่าเราจะมา มันเกี่ยวอะไรกับท่าน?"24สาวกคนนี้แหละที่เป็นพยานถึงเหตุการณ์เหล่านี้ และเป็นคนที่บันทึกสิ่งเหล่านี้ไว้ และพวกเราทราบว่าคำพยานของเขาเป็นความจริง25พระเยซูยังทรงทำสิ่งอื่นๆ อีกมากมาย ถ้าจะเขียนให้หมดทุกสิ่ง ข้าพเจ้าคิดว่าแม้พื้นที่ทั้งโลกก็ยังไม่พอสำหรับบรรจุหนังสือที่จะเขียนนั้น