1ข้าพเจ้าเปาโลผู้เป็นอัครทูต ข้าพเจ้าไม่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอัครทูตจากมนุษย์คนใดหรือตัวแทนของมนุษย์คนใด แต่พระเยซูคริสต์และพระเจ้าพระบิดาผู้ให้พระเยซูเป็นขึ้นจากความตายทรงเป็นผู้แต่งตั้ง2และบรรดาพี่น้องที่อยู่กับข้าพเจ้า เรียนคริสตจักรทั้งหลายแห่งแคว้นกาลาเทีย3ขอให้พระคุณและสันติสุขจากพระเจ้าพระบิดาและองค์พระเยซูคริสต์ของเราอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด4พระเยซูทรงสละพระองค์เองเพราะบาปของเรา เพื่อช่วยเราให้พ้นจากยุคชั่วร้ายในปัจจุบันนี้ตามพระประสงค์ของพระเจ้าและพระบิดาของเรา5ขอให้พระเกียรติมีแด่พระองค์ตลอดไปเป็นนิตย์ อาเมน6ข้าพเจ้าประหลาดใจอย่างมากที่พวกท่านหันหนีไปจากพระองค์ผู้ได้ทรงเรียกท่านโดยพระคุณของพระคริสต์และรีบหันไปหาข่าวประเสริฐอื่นอย่างรวดเร็ว7ซึ่งตามจริงแล้วไม่มีข่าวประเสริฐอื่นอีก แต่มีบางคนทำให้พวกท่านยุ่งยาก และอยากบิดเบือนข่าวประเสริฐของพระคริสต์8แม้แต่พวกเราเองหรือทูตจากฟ้าสวรรค์ ถ้าประกาศข่าวประเสริฐอื่นแก่พวกท่านที่ไม่ตรงกับที่พวกเราได้ประกาศแก่พวกท่านไปแล้วนั้น ผู้นั้นก็จะต้องถูกแช่งสาป9ตามที่พวกเราได้พูดไว้ก่อนแล้ว และบัดนี้ข้าพเจ้าขอพูดอีกว่า "ถ้าใครประกาศข่าวประเสริฐอื่นแก่พวกท่านซึ่งไม่ตรงกับที่พวกท่านได้รับไว้แล้ว ให้ผู้นั้นถูกแช่งสาป"10บัดนี้ข้าพเจ้าหาทางที่จะได้รับการยอมรับจากมนุษย์หรือจากพระเจ้า? ข้าพเจ้ากำลังหาทางให้มนุษย์พอใจหรือ? ถ้าข้าพเจ้ากำลังพยายามทำให้มนุษย์พอใจอยู่ ข้าพเจ้าก็ไม่ใช่ผู้รับใช้ของพระคริสต์11พี่น้องทั้งหลาย เพราะข้าพเจ้าอยากให้ท่านทราบว่า ข่าวประเสริฐที่ข้าพเจ้าได้ประกาศไปนั้นไม่ได้มาจากมนุษย์12ข้าพเจ้าไม่ได้รับจากมนุษย์และไม่มีใครสอนข้าพเจ้า แต่เป็นการที่พระเยซูคริสต์ทรงเปิดเผยแก่ข้าพเจ้า13พวกท่านเคยได้ยินถึงชีวิตในอดีตของข้าพเจ้าเมื่อยังอยู่ในศาสนายิวว่า ข้าพเจ้าได้ข่มเหงคริสตจักรของพระเจ้าอย่างรุนแรงอย่างไรและพยายามทำลายเสีย14ในด้านศาสนายิวนั้น ข้าพเจ้าก็ล้ำหน้ากว่าเพื่อนร่วมชาติหลายคนที่อยู่ร่วมสมัยกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าร้อนรนอย่างสุดโต่งในเรื่องขนบธรรมเนียมประเพณีของพวกบรรพบุรุษของข้าพเจ้า15แต่เมื่อพระเจ้าผู้ทรงเลือกข้าพเจ้าตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา ผู้ทรงเรียกข้าพเจ้าโดยพระคุณของพระองค์16ทรงพอพระทัยที่จะทรงสำแดงพระบุตรของพระองค์ในข้าพเจ้า เพื่อให้ข้าพเจ้าประกาศเรื่องพระบุตรในท่ามกลางคนต่างชาตินั้น ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ปรึกษากับเนื้อหนังและเลือดในทันทีเลย17ข้าพเจ้าไม่ได้ขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม เพื่อพบกับผู้ที่เป็นอัครทูตก่อนข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้ากลับออกไปยังประเทศอาระเบีย แล้วกลับมายังกรุงดามัสกัสอีก18สามปีต่อมา ข้าพเจ้าขึ้นไปกรุงเยรูซาเล็มเพื่อทำความรู้จักกับเคฟาส และพักอยู่กับท่านสิบห้าวัน19แต่ข้าพเจ้าไม่ได้พบอัครทูตคนอื่นเลย นอกจากยากอบ น้องชายขององค์พระผู้เป็นเจ้า20ต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า ในสิ่งที่ข้าพเจ้าเขียนถึงท่านข้าพเจ้าไม่ได้เขียนเรื่องโกหกให้แก่ท่าน21แล้วข้าพเจ้าก็ไปยังแคว้นซีเรียและซีลีเซีย22คริสตจักรในแคว้นยูเดียที่อยู่ในพระคริสต์เหล่านั้น ยังไม่เคยเห็นข้าพเจ้าเลย23เขาทั้งหลายเพียงแต่ได้ยินว่า "ผู้ที่เคยข่มเหงเรา บัดนี้ได้ประกาศความเชื่อซึ่งเขาได้เคยพยายามทำลาย"24ดังนั้นพวกเขาได้สรรเสริญพระเจ้าก็เพราะข้าพเจ้า
1แล้วสิบสี่ปีต่อมา ข้าพเจ้ากับบารนาบัสได้ขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็มอีก และพาทิตัสไปกับข้าพเจ้าด้วย2ข้าพเจ้าขึ้นไปเพราะการสำแดงและเพื่อประกาศข่าวประเสริฐในท่ามกลางคนต่างชาติ แต่ได้เล่าให้คนที่ดูเหมือนเป็นผู้นำที่สำคัญฟังเป็นส่วนตัว ข้าพเจ้าทำแบบนี้เพื่อให้มั่นใจว่าข้าพเจ้าไม่ได้กำลังวิ่งแข่งกันหรือวิ่งแล้วโดยไร้ประโยชน์3ถึงแม้ทิตัสซึ่งอยู่กับข้าพเจ้า จะเป็นคนกรีก เขาก็ไม่ได้ถูกบังคับให้เข้าสุหนัต4พวกพี่น้องจอมปลอมที่ได้ลอบเข้ามา เพื่อจะสอดแนมดูเสรีภาพซึ่งเรามีในพระเยซูคริสต์ พวกเขาอยากทำให้เราเป็นทาส5แต่เราไม่ได้ยอมอ่อนข้อให้พวกเขาเลยแม้แต่สักขณะเดียว เพื่อให้ความจริงของข่าวประเสริฐนั้นดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายต่อไป6แต่บรรดาคนที่ดูเหมือนเป็นคนสำคัญ (ไม่ว่าพวกเขาจะเคยเป็นอะไรมาก่อนก็ตามก็ไม่สำคัญต่อข้าพเจ้า เพราะพระเจ้ามิได้ทรงเห็นแก่หน้าผู้ใด) คนเหล่านั้นก็ไม่เคยให้อะไรแก่ข้าพเจ้า7แต่ตรงกันข้าม พวกเขาเห็นว่าข้าพเจ้าได้รับมอบให้ประกาศข่าวประเสริฐแก่คนที่ไม่ถือพิธีเข้าสุหนัต เช่นเดียวกับเปโตรที่ได้รับมอบให้ประกาศข่าวประเสริฐแก่คนที่ถือพิธีเข้าสุหนัต8เพราะพระเจ้าผู้ทรงทำการในเปโตรให้เป็นอัครทูตเพื่อไปหาพวกที่ถือพิธีเข้าสุหนัต ทรงทำการในข้าพเจ้าเพื่อให้ไปหาคนต่างชาติเช่นเดียวกัน9เมื่อยากอบกับเคฟาสและยอห์นผู้ที่เขานับถือว่าเป็นผู้ก่อตั้งคริสตจักร ได้เข้าใจถึงพระคุณซึ่งประทานแก่ข้าพเจ้าแล้ว พวกเขาได้ยื่นมือขวาแห่งการสามัคคีธรรมให้แก่บารนาบัสกับข้าพเจ้า พวกเขากระทำดังนี้เพื่อให้เราไปหาคนต่างชาติ และเพื่อพวกเขาจะไปยังคนที่ถือพิธีเข้าสุหนัต10ท่านเหล่านั้นต้องการให้เราคิดถึงคนยากจน ซึ่งเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าร้อนรนที่จะทำด้วย11แต่เมื่อเคฟาสมาถึงอันทิโอกแล้ว ข้าพเจ้าได้คัดค้านต่อหน้าท่าน เพราะว่าท่านทำผิด12ด้วยว่าก่อนที่คนของยากอบมาถึงที่นั่น เคฟาสได้กินอยู่ด้วยกันกับคนต่างชาติ แต่พอคนเหล่านี้มาถึง ท่านก็หยุดและปลีกตัวอยู่ห่างจากคนต่างชาติเพราะท่านกลัวพวกที่ถือพิธีเข้าสุหนัต13พวกยิวที่เหลือก็ร่วมในการเสแสร้งนี้ด้วย แม้แต่บารนาบัสหลงผิดร่วมในการเสแสร้งของคนเหล่านั้นด้วย14แต่เมื่อข้าพเจ้าเห็นว่า เขาไม่ได้ประพฤติตรงตามความจริงของข่าวประเสริฐนั้น ข้าพเจ้าจึงกล่าวแก่เคฟาสต่อหน้าพวกเขาทั้งหลายว่า "ถ้าท่านซึ่งเป็นพวกยิวยังดำเนินชีวิตตามอย่างคนต่างชาติ แทนที่จะทำตามอย่างพวกยิว แล้วท่านจะบังคับคนต่างชาติให้ดำเนินชีวิตตามอย่างพวกยิวได้อย่างไรเล่า?"15พวกเราเป็นยิวโดยกำเนิด ไม่ใช่คนต่างชาติที่เป็นคนบาป16แต่เราก็ยังรู้ว่าไม่มีผู้ใดถูกนับว่าเป็นคนชอบธรรมได้โดยการประพฤติตามธรรมบัญญัติ แต่โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ เรามาเชื่อในพระเยซูคริสต์เพื่อเราจะได้ถูกนับว่าเป็นคนชอบธรรมโดยความเชื่อในพระคริสต์ และไม่ใช่โดยการประพฤติตามธรรมบัญญัติ เพราะว่าโดยการประพฤติตามธรรมบัญญัตินั้น ไม่มีมนุษย์คนใดจะถูกนับว่าเป็นคนชอบธรรมได้เลย17แต่ในขณะที่พวกเราแสวงหาพระเจ้าเพื่อให้เราถูกนับว่าเป็นคนชอบธรรมในพระคริสต์ พวกเราเองก็เช่นกัน กลับถูกพบว่าเป็นคนบาปด้วย แล้วพระคริสต์จะทรงเป็นผู้ส่งเสริมบาปหรือ? ไม่ใช่อย่างแน่นอน18เพราะว่าถ้าข้าพเจ้าได้สร้างสิ่งต่างๆ ที่ข้าพเจ้าได้ทำลายลงแล้วขึ้นมาใหม่ ข้าพเจ้าก็ส่อตัวเองว่าเป็นคนฝ่าฝืนธรรมบัญญัติ19เพราะโดยทางธรรมบัญญัตินั้น ข้าพเจ้าได้ตายจากธรรมบัญญัติแล้ว เพื่อจะได้มีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้า20ข้าพเจ้าถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว ข้าพเจ้าเองไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระคริสต์ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า ชีวิตซึ่งข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในร่างกายนี้ ข้าพเจ้าดำเนินอยู่โดยความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้า ผู้ได้ทรงรักและได้ทรงสละพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า21ข้าพเจ้าไม่ได้ลบล้างพระคุณของพระเจ้า เพราะว่าถ้าความชอบธรรมเกิดจากธรรมบัญญัติแล้ว พระคริสต์ก็ทรงสิ้นพระชนม์โดยเปล่าประโยชน์
1ชาวกาลาเทียคนเขลาเอ๋ย ใครมาสะกดจิตให้ท่านเห็นผิดไป? ทั้งๆ ที่ภาพการถูกตรึงของพระเยซูคริสต์ปรากฏอยู่ต่อหน้าท่าน2นี่คือสิ่งเดียวที่ข้าพเจ้าอยากรู้จากพวกท่านว่า พวกท่านได้รับพระวิญญาณโดยการประพฤติตามธรรมบัญญัติหรือโดยการเชื่อในสิ่งที่พวกท่านได้ยิน?3พวกท่านโง่ขนาดนั้นเลยหรือ? เมื่อพวกท่านเริ่มต้นด้วยพระวิญญาณ บัดนี้พวกท่านจะจบลงด้วยเนื้อหนังหรือ?4พวกท่านได้ทนทุกข์มามากมายโดยไร้ประโยชน์หรือ มันไร้ประโยชน์จริงๆ หรือ?5แล้วพระองค์ผู้ทรงประทานพระวิญญาณแก่พวกท่าน และทรงสำแดงอิทธิฤทธิ์ท่ามกลางพวกท่าน ทรงกระทำเช่นนั้นโดยการประพฤติตามธรรมบัญญัติ หรือโดยการฟังด้วยความเชื่อหรือ?6ดั่งเช่นอับราฮัม "ได้เชื่อพระเจ้า และการเชื่อนั้น พระองค์ทรงนับว่าเป็นความชอบธรรมแก่ท่าน"7ในทำนองเดียวกัน พวกเราจึงเข้าใจว่า บรรดาคนที่เชื่อนั่นแหละเป็นบุตรของอับราฮัม8พระคัมภีร์รู้ล่วงหน้าว่า พระเจ้าจะทรงนับคนต่างชาติว่าเป็นคนชอบธรรมโดยความเชื่อ จึงได้ประกาศข่าวประเสริฐแก่อับราฮัมล่วงหน้าว่า "ชนชาติทั้งหลายจะได้รับพระพรเพราะเจ้า"9เหตุฉะนั้น บรรดาคนที่มีความเชื่อจึงได้รับพระพรร่วมกับอับราฮัมผู้ซึ่งมีความเชื่อ10คนทั้งหลายที่พึ่งการประพฤติตามธรรมบัญญัติก็อยู่ใต้คำแช่งสาป เพราะมีคำเขียนไว้ว่า "ทุกคนที่มิได้เข้าส่วนและประพฤติตามข้อความทุกข้อที่เขียนไว้ในหนังสือธรรมบัญญัติ ก็ถูกแช่งสาปทั้งหมด"11บัดนี้เป็นที่ชัดเจนอยู่แล้วว่า พระเจ้าไม่นับว่าผู้ใดเป็นคนชอบธรรมโดยการประพฤติตามธรรมบัญญัติ เพราะว่า "คนชอบธรรมจะมีชีวิตอยู่โดยความเชื่อ"12แต่ธรรมบัญญัติไม่ได้มาจากความเชื่อ ยิ่งกว่านั้นคือ "ผู้ที่ประพฤติตามธรรมบัญญัติ ก็จะมีชีวิตอยู่โดยธรรมบัญญัติ"13พระคริสต์ได้ทรงไถ่พวกเราให้พ้นคำแช่งสาปแห่งธรรมบัญญัติ โดยการที่พระองค์ทรงถูกแช่งสาปแทนพวกเรา เพราะมีคำเขียนไว้ว่า "ทุกคนที่ถูกแขวนไว้บนต้นไม้ต้องถูกแช่งสาป"14เพื่อว่าพระพรทางอับราฮัมจะได้มาถึงคนต่างชาติในพระเยซูคริสต์ เพื่อพวกเราจะได้รับพระวิญญาณตามพระสัญญาโดยผ่านทางความเชื่อ15พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าพูดตามแบบมนุษย์ แม้ว่าเมื่อมนุษย์ได้ทำข้อตกลงกันตามกฎหมายแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดล้มเลิกข้อตกลงหรือเพิ่มเติมได้อีก16บัดนี้พระสัญญาทั้งหลายที่ได้ตรัสไว้กับอับราฮัมและพงศ์พันธุ์ของท่าน มิได้ตรัสว่า "แก่พงศ์พันธุ์ทั้งหลาย" เหมือนอย่างให้แก่คนมากมาย แต่เหมือนกับตรัสแก่คนเดียวว่า "แก่พงศ์พันธุ์ของเจ้า" ผู้ซึ่งเป็นพระคริสต์17บัดนี้ข้าพเจ้าว่า ธรรมบัญญัติซึ่งมาภายหลังถึง 430 ปี จะไม่ทำให้พันธสัญญาซึ่งพระเจ้าได้ทรงตั้งไว้เมื่อก่อนนั้นเป็นโมฆะ18เพราะว่าถ้าได้รับมรดกโดยธรรมบัญญัติ ก็ไม่ได้รับโดยพระสัญญาอีกต่อไป แต่พระเจ้าทรงโปรดประทานมรดกนั้นให้แก่อับราฮัมโดยพระสัญญา19ถ้าเช่นนั้น อะไรคือวัตถุประสงค์ของธรรมบัญญัติ? ที่เพิ่มธรรมบัญญัติไว้ก็เพราะการละเมิด จนกว่าพงศ์พันธุ์ของอับราฮัมจะได้มาถึงคนที่ได้รับพระสัญญานั้น โดยทางพวกทูตสวรรค์ ธรรมบัญญัตินั้นได้ถูกทำให้อยู่ภายใต้คนกลางผู้หนึ่ง20บัดนี้ถ้ามีคนกลางก็แสดงว่าต้องมีสองฝ่าย แต่พระเจ้าทรงเป็นฝ่ายเดียวเท่านั้น21ถ้าเช่นนั้น ธรรมบัญญัติก็ขัดแย้งกับพระสัญญาของพระเจ้าหรือ? ไม่เป็นเช่นนั้นแน่นอน เพราะว่าถ้าธรรมบัญญัติที่ให้ไว้สามารถทำให้มีชีวิตได้ ความชอบธรรมก็คงเกิดขึ้นได้โดยทางธรรมบัญญัติอย่างแน่นอน22แต่พระคัมภีร์ได้กักขังทุกสิ่งให้อยู่ภายใต้ความบาป พระเจ้าทรงกระทำเช่นนี้เพื่อให้พระสัญญาของพระองค์ที่จะช่วยเราให้รอดโดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ จะได้ประทานให้แก่บรรดาคนที่เชื่อด้วย23แต่ก่อนที่ความเชื่อในพระคริสต์จะมาถึงนั้น เราถูกควบคุมและกักตัวไว้โดยธรรมบัญญัติจนกว่าความเชื่อจะปรากฏ24เพราะฉะนั้น ธรรมบัญญัติจึงได้ควบคุมเราไว้จนพระคริสต์เสด็จมา เพื่อเราจะได้ถูกนับว่าเป็นคนชอบธรรมโดยความเชื่อ25แต่บัดนี้ความเชื่อนั้นได้มาแล้ว เราจึงไม่ได้อยู่ภายใตัผู้ควบคุมอีกแล้ว26เพราะว่าท่านทั้งหลายเป็นบุตรของพระเจ้าโดยผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์27พวกท่านทุกคนที่ได้รับบัพติศมาเข้าในพระคริสต์แล้ว ต่างก็สวมตนด้วยพระคริสต์28จะไม่เป็นคนยิวหรือคนกรีก จะไม่เป็นทาสหรือไท จะไม่เป็นชายหรือหญิง เพราะว่าท่านเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในพระเยซูคริสต์29ถ้าท่านเป็นของพระคริสต์แล้ว ท่านก็เป็นพงศ์พันธุ์ของอับราฮัม คือเป็นผู้รับมรดกตามพระสัญญา
1ข้าพเจ้ากำลังบอกว่า ตราบใดที่ทายาทยังเป็นเด็กอยู่ เขาก็ไม่ต่างอะไรกับทาสเลย ถึงแม้เขาจะเป็นเจ้าของทรัพย์สมบัติทั้งหมด2แต่เขาก็อยู่ใต้บังคับของผู้ปกครองและพ่อบ้าน จนถึงเวลาที่บิดาได้กำหนดไว้3ดังนั้นเราก็เช่นกัน เมื่อเป็นเด็กอยู่ เราก็เป็นทาสอยู่ใต้บังคับของเหล่าวิญญาณที่ครอบครองในสถานฟ้าอากาศของโลก4แต่เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมแล้ว พระเจ้าก็ทรงส่งพระบุตรของพระองค์มา ประสูติจากผู้หญิงคนหนึ่งและทรงถือกำเนิดภายใต้ธรรมบัญญัติ5พระองค์ได้กระทำเช่นนี้เพื่อจะทรงไถ่บรรดาคนที่อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ เพื่อให้เราได้รับฐานะเป็นบุตร6และเพราะท่านทั้งหลายเป็นบุตรแล้ว พระเจ้าทรงให้พระวิญญาณแห่งพระบุตรของพระองค์เข้ามาในใจของเรา ร้องว่า "อับบา พระบิดา"7ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงไม่ใช่ทาสอีกต่อไป แต่เป็นบุตร และถ้าเป็นบุตรแล้ว ท่านก็เป็นทายาทโดยผ่านทางพระเจ้าด้วย8แต่ก่อนนี้ เมื่อท่านทั้งหลายยังไม่รู้จักพระเจ้า พวกท่านเป็นทาสของผู้ที่ซึ่งโดยสภาพแล้วไม่ใช่เทพเจ้าเลย9แต่บัดนี้เมื่อพวกท่านรู้จักพระเจ้าแล้ว หรือที่ถูกก็คือ พระเจ้าทรงรู้จักพวกท่านแล้ว ทำไมท่านทั้งหลายยังกลับไปหาพวกวิญญาณที่ครอบงำฟ้าอากาศที่อ่อนแอและไร้ค่า? ท่านอยากจะเป็นทาสของสิ่งเหล่านั้นอีกหรือ?10ท่านทั้งหลายถือรักษาวันพิเศษ เดือน ฤดู และปีต่างๆ11ข้าพเจ้าเกรงว่า การที่ข้าพเจ้าได้ตรากตรำเพื่อพวกท่านนั้นจะไร้ประโยชน์12พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าวิงวอนพวกท่านให้เป็นเหมือนข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าก็กลายเป็นเหมือนพวกท่านด้วย พวกท่านไม่ได้ทำผิดต่อข้าพเจ้าเลย13แต่พวกท่านรู้ว่าเป็นเพราะความเจ็บป่วยทางกาย เมื่อตอนที่ข้าพเจ้าเริ่มต้นประกาศข่าวประเสริฐแก่พวกท่านนั้น14แม้ว่าสภาพทางกายของข้าพเจ้าจะเป็นการทดลองใจพวกท่าน ท่านทั้งหลายก็ไม่ได้ดูหมิ่นหรือรังเกียจข้าพเจ้าเลย แต่ได้ต้อนรับข้าพเจ้าเหมือนกับเป็นทูตของพระเจ้า เหมือนกับว่าข้าพเจ้าคือพระเยซูคริสต์เอง15เหตุฉะนั้น ความสุขของท่านทั้งหลายหายไปไหนแล้วในตอนนี้? เพราะว่าข้าพเจ้าเป็นพยานให้พวกท่านได้ว่า ถ้าเป็นไปได้ พวกท่านก็คงจะควักตาของท่านทั้งหลายออกให้ข้าพเจ้า16แล้วข้าพเจ้าได้กลายเป็นศัตรูของท่านทั้งหลาย เพราะข้าพเจ้าบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายหรือ?17คนเหล่านี้เสาะหาท่านทั้งหลายอย่างกระตือรือร้น แต่ไม่ใช่ด้วยความหวังดีเลย พวกเขาอยากแยกพวกท่านออกจากข้าพเจ้า เพื่อท่านทั้งหลายจะได้ติดตามพวกเขา18การมีความกระตือรือร้นด้วยเหตุผลที่ดีก็เป็นการดีเสมอ และไม่ใช่เฉพาะเมื่อข้าพเจ้าอยู่กับพวกท่านเท่านั้น19ลูกน้อยของข้าพเจ้าเอ๋ย ข้าพเจ้าต้องเจ็บครรภ์เพราะท่านทั้งหลายอีก จนกว่าพระคริสต์จะได้ทรงก่อร่างขึ้นในท่าน20ข้าพเจ้าอยากจะอยู่กับพวกท่านเดี๋ยวนี้ และเปลี่ยนน้ำเสียงของข้าพเจ้า เพราะว่าข้าพเจ้ามีข้อสงสัยเกี่ยวกับท่านทั้งหลาย21ท่านทั้งหลายผู้ที่อยากอยู่ใต้ธรรมบัญญัติ บอกข้าพเจ้าหน่อยว่าท่านไม่ได้ฟังธรรมบัญญัติหรือ?22เพราะมีคำเขียนไว้ว่า อับราฮัมมีบุตรสองคน คนหนึ่งเกิดจากหญิงทาส อีกคนหนึ่งเกิดจากหญิงที่เป็นไท23บุตรที่เกิดจากหญิงทาสนั้นก็เกิดตามเนื้อหนัง แต่บุตรที่เกิดจากหญิงที่เป็นไทนั้นเกิดตามพระสัญญา24ข้อความนี้สามารถอธิบายได้โดยใช้คำอุปมาเปรียบเทียบ ผู้หญิงสองคนนี้เป็นเหมือนพันธสัญญาสองอย่าง คนหนึ่งมาจากภูเขาซีนาย นางได้คลอดลูกเป็นทาส คือนางฮาการ์25นางฮาการ์นั้นได้แก่ภูเขาซีนายในอาระเบีย และนางเล็งถึงกรุงเยรูซาเล็มในปัจจุบัน เพราะว่านางอยู่ในสภาพทาสพร้อมกับลูกๆ ของนาง26แต่ว่ากรุงเยรูซาเล็มซึ่งอยู่เบื้องบนนั้นเป็นไท นั่นคือมารดาของเรา27เพราะมีคำเขียนไว้ว่า "จงชื่นชมยินดีเถิด โอ หญิงหมันเอ๋ย เธอผู้ไม่คลอดบุตร จงเปล่งเสียงโห่ร้องออกมาด้วยความชื่นชมยินดี เจ้าผู้ไม่เคยเจ็บครรภ์ เพราะว่าคนที่เป็นบุตรของแม่ที่เคยเป็นหมัน ก็ยังมีมากมายกว่าบุตรของหญิงที่มีสามี"28บัดนี้พี่น้องทั้งหลาย เราเป็นบุตรแห่งพระสัญญาเช่นเดียวกับอิสอัค29แต่ในครั้งนั้น ผู้ที่เกิดตามเนื้อหนังได้ข่มเหงผู้ที่เกิดตามพระวิญญาณอย่างไร บัดนี้ก็เหมือนกันอย่างนั้น30แต่พระคัมภีร์ว่าอย่างไร? ก็ว่า "จงไล่หญิงทาสกับบุตรชายของนางไปเสีย เพราะว่าบุตรของหญิงทาสจะรับมรดกร่วมกับบุตรของหญิงที่เป็นไทไม่ได้"31เพราะฉะนั้น พี่น้องทั้งหลาย เราไม่ใช่บุตรของหญิงทาส แต่เป็นบุตรของหญิงที่เป็นไทต่างหาก
1เพื่อเสรีภาพนั้นเอง พระคริสต์จึงได้ให้เราเป็นไท ดังนั้น จงตั้งมั่นและอย่าตกอยู่ภายใต้แอกแห่งพันธนาการอีกเลย2ดูเถิด ข้าพเจ้าเปาโล ขอบอกพวกท่านว่า ถ้าพวกท่านรับพิธีเข้าสุหนัต พระคริสต์จะไม่เป็นประโยชน์อะไรสำหรับพวกท่านเลย3ข้าพเจ้าเป็นพยานให้ทุกคนที่รับพิธีเข้าสุหนัตทราบอีกว่า เขาถูกผูกมัดให้เชื่อฟังทำตามธรรมบัญญัติทั้งสิ้น4พวกท่านที่อยาก ถูกนับว่าเป็นคนชอบธรรม โดยธรรมบัญญัติ ก็ถูกแยกจากพระคริสต์ พวกท่านได้หลุดพ้นจากพระคุณเสียแล้ว5เพราะว่าโดยพระวิญญาณผ่านความเชื่อ เราก็กำลังรอคอยเพื่อให้มีความมั่นใจในความชอบธรรมนั้น6ในพระเยซูคริสต์นั้น การที่รับพิธีเข้าสุหนัตหรือไม่รับก็ไม่มีความหมายอะไร มีเพียงความเชื่อที่กำลังทำงานผ่านความรักเท่านั้นเป็นเรื่องที่สำคัญ7พวกท่านกำลังวิ่งแข่งดีอยู่แล้ว ใครเล่ายับยั้งพวกท่านไม่ให้เชื่อฟังทำตามความจริง?8การเกลี้ยกล่อมอย่างนั้นไม่ได้มาจากพระองค์ผู้ทรงเรียกท่านทั้งหลาย9เชื้อยีสต์เพียงนิดหน่อยย่อมทำให้แป้งดิบฟูขึ้นได้ทั้งก้อน10ข้าพเจ้าเชื่อมั่นในตัวพวกท่านในองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า พวกท่านจะไม่คิดไปในทางอื่นเลย ฝ่ายผู้ที่มีมาทำให้พวกท่านสับสนนั้นจะได้รับโทษของตนเอง ไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ตาม11พี่น้องทั้งหลาย ถ้าข้าพเจ้ายังเทศนาชักชวนให้รับพิธีเข้าสุหนัต เหตุใดข้าพเจ้าจึงยังถูกข่มเหงอยู่อีกเล่า? ถ้าเช่นนั้น อุปสรรคเรื่องไม้กางเขนถูกทำลายไปแล้ว12สำหรับคนเหล่านั้นที่มารบกวนพวกท่าน ข้าพเจ้าอยากให้พวกเขาตอนตนเองเสีย13พี่น้องทั้งหลาย เพราะพระเจ้าทรงเรียกพวกท่านก็เพื่อให้ท่านมีเสรีภาพ แต่อย่าเอาเสรีภาพของพวกท่านไปเปิดโอกาสให้แก่เนื้อหนัง แต่จงรับใช้กันและกันด้วยความรักเถิด14เพราะว่าธรรมบัญญัติทั้งสิ้นนั้นสรุปได้เป็นข้อเดียว คือว่า "พวกท่านต้องรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง"15แต่ถ้าพวกท่านกัดและกินเนื้อกันและกัน จงระวังให้ดี พวกท่านจะทำลายซึ่งกันและกัน16แต่ข้าพเจ้าขอบอกว่า จงดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ และพวกท่านจะไม่สนองความต้องการของเนื้อหนัง17เพราะว่าความต้องการของเนื้อหนังต่อสู้พระวิญญาณอย่างรุนแรง และความต้องการของพระวิญญาณก็ต่อสู้เนื้อหนังอย่างรุนแรง เพราะทั้งสองฝ่ายต่างต่อต้านกัน ผลก็คือพวกท่านไม่ได้ทำสิ่งที่พวกท่านปรารถนาที่จะทำ18แต่ถ้าพระวิญญาณทรงนำพวกท่าน พวกท่านก็ไม่อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ19บัดนี้การงานของเนื้อหนังนั้นเห็นได้ชัด คือการผิดศีลธรรมทางเพศ การโสโครก การลามก20การนับถือรูปเคารพ การถือวิทยาคม การเป็นศัตรูกัน การวิวาทกัน การริษยากัน การระเบิดความโกรธออกมา การชิงที่จะเป็นใหญ่กัน การทุ่มเถียงกัน การแตกก๊กกัน21การอิจฉากัน การเมาเหล้า เป็นอันธพาลขี้เมา และการอื่นๆ ในทำนองนี้อีก ข้าพเจ้าขอเตือนพวกท่านเหมือนกับที่เคยเตือนมาแล้วว่า คนที่ประพฤติเช่นนั้นจะไม่ได้รับแผ่นดินของพระเจ้าเป็นมรดก22แต่ผลของพระวิญญาณ คือความรัก ความชื่นชมยินดี สันติสุข ความอดกลั้นใจ ความปรานี ความดี ความเชื่อ23ความสุภาพอ่อนน้อม การรู้จักบังคับตน เรื่องอย่างนี้ไม่มีธรรมบัญญัติห้ามไว้เลย24ผู้ที่อยู่ฝ่ายพระเยซูคริสต์ ได้เอาเนื้อหนังกับความอยาก และความปรารถนาชั่วตรึงไว้ที่กางเขนแล้ว25ถ้าพวกเรามีชีวิตอยู่โดยพระวิญญาณ ก็ให้พวกเราดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณด้วย26พวกเราอย่าถือตัว อย่ายั่วโทสะกัน และอย่าอิจฉาริษยากันเลย
1พี่น้องทั้งหลาย ถ้ามีสักคนถูกจับได้ว่าทำการละเมิดบางอย่าง พวกท่านซึ่งเป็นคนฝ่ายพระวิญญาณควรช่วยผู้นั้นให้กลับตัวใหม่ด้วยวิญญาณแห่งความสุภาพ จงระวังตัวเองด้วย เพื่อพวกท่านจะไม่ถูกล่อลวงให้หลง2จงช่วยแบกรับภาระของกันและกัน เพื่อจะได้ทำตามพระบัญญัติของพระคริสต์ให้สำเร็จ3เพราะถ้าผู้ใดคิดว่าเขาเป็นคนสำคัญในขณะที่เขาไม่สำคัญอะไร เขาก็หลอกลวงตนเอง4ทุกคนควรสำรวจการงานของตนเอง แล้วเขาจึงจะมีอะไรที่จะอวดได้ในตัวเอง โดยไม่ต้องไปเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น5เพราะว่าแต่ละคนจะต้องแบกภาระหนักของตนเอง6ส่วนผู้ที่รับคำสอน ต้องแบ่งสิ่งที่ดีทุกอย่างให้แก่ผู้ที่สอน7อย่าหลงเลย พวกท่านจะหลอกพระเจ้าไม่ได้ เพราะว่าผู้ใดหว่านอะไรลง เขาก็จะเก็บเกี่ยวสิ่งนั้น8เพราะผู้ที่หว่านเมล็ดแห่งนิสัยบาปของตนเองก็จะเก็บเกี่ยวความพินาศ แต่ผู้ที่หว่านเมล็ดฝ่ายวิญญาณ ก็จะเก็บเกี่ยวชีวิตนิรันดร์จากพระวิญญาณ9เราไม่ควรเมื่อยล้าในการทำดี เพราะเมื่อถึงเวลาอันเหมาะสมแล้ว เราก็จะได้เก็บเกี่ยวผล ถ้าเราไม่ท้อใจเสียก่อน10เหตุฉะนั้น เมื่อเรามีโอกาส ให้เราทำดีต่อคนทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ให้เราทำดีต่อครอบครัวที่มีความเชื่อ11จงสังเกตดูตัวหนังสือที่ข้าพเจ้าเขียนถึงพวกท่านด้วยมือของของตนเองว่าตัวโตเพียงใด12บรรดาคนที่ปรารถนาได้หน้าตามเนื้อหนังได้บังคับให้พวกท่านรับพิธีเข้าสุหนัต พวกเขาทำแบบนี้เพื่อพวกเขาจะได้ไม่ถูกข่มเหงเพราะเรื่องกางเขนของพระคริสต์เพียงแค่นั้น13ถึงแม้คนที่เข้าสุหนัตแล้ว ก็ยังไม่ได้ประพฤติตามธรรมบัญญัติเลย แต่พวกเขากลับอยากให้พวกท่านเข้าสุหนัต เพื่อพวกเขาจะได้เอาเนื้อหนังของท่านไปอวด14แต่ขออย่าให้ข้าพเจ้าอวดในเรื่องอื่นเลย นอกจากเรื่องกางเขนขององค์พระเยซูคริสต์ของเรา ซึ่งโดยทางพระองค์นั้น โลกได้ถูกตรึงไว้จากข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็ถูกตรึงไว้จากโลก15เพราะว่าการที่ถือพิธีเข้าสุหนัตหรือไม่ถือ ไม่สำคัญอะไร แต่การถูกสร้างใหม่นั้นสำคัญ16ขอให้สันติสุขและพระเมตตาคุณจงมีแก่ทุกคนที่ดำเนินชีวิตตามกฎนี้ และแก่คนอิสราเอลของพระเจ้า17ต่อไปนี้ ขออย่าให้ผู้ใดมารบกวนข้าพเจ้า เพราะว่าข้าพเจ้ามีรอยเครื่องหมายของพระเยซู ติดอยู่ที่กายของข้าพเจ้าแล้ว18พี่น้องทั้งหลาย ขอให้พระคุณขององค์พระเยซูคริสต์ของเรา จงสถิตอยู่กับวิญญาณจิตของท่านทั้งหลายด้วยเถิด เอเมน