1 ในปฐมกาล พระเจ้าทรงสร้างฟ้าและแผ่นดิน 2 แผ่นดินนั้นไม่มีสัณฐาน และว่างเปล่าอยู่ ความมืดปกคลุมอยู่เหนือผิวหน้าของที่ลึก พระวิญญาณของพระเจ้าเคลื่อนไหวอยู่เหนือผิวน้ำนั้น
3 พระเจ้าตรัสว่า "จงเกิดความสว่าง" และความสว่างก็เกิดขึ้น 4 พระเจ้าทรงเห็นว่าความสว่างนั้นดี พระองค์ทรงแยกความสว่างออกจากความมืด 5 พระเจ้าทรงเรียกความสว่างว่า "วัน" และความมืดนั้นพระองค์ทรงเรียกว่า "คืน" มีเวลาเย็น และเวลาเช้าเป็นวันที่หนึ่ง
6 พระเจ้าตรัสว่า "จงเกิดภาคพื้นระหว่างน้ำ และให้ภาคพื้นแยกน้ำออกจากกัน" 7 พระเจ้าทรงสร้างภาคพื้น และแบ่งแยกน้ำซึ่งอยู่ใต้ภาคพื้นออกจากน้ำที่อยู่เหนือภาคพื้น ก็เป็นอย่างนั้น 8 พระเจ้าทรงเรียกภาคพื้นนั้นว่า "ท้องฟ้า" มีเวลาเย็นและเวลาเช้าเป็นวันที่สอง
9 พระเจ้าตรัสว่า "ให้น้ำที่อยู่ใต้ฟ้ารวมอยู่ในที่ที่เดียวกัน และให้พื้นดินแห้งปรากฏขึ้น ก็เป็นอย่างนั้น 10 พระเจ้าทรงเรียกพื้นดินแห้งว่า "แผ่นดิน" และน้ำที่รวมกันนั้นพระองค์ทรงเรียกว่า "ทะเล" พระองค์ทรงเห็นว่าดี 11 พระเจ้าตรัสว่า "ให้แผ่นดินมีผักเกิดขึ้น พืชต่าง ๆ ที่มีเมล็ด และต้นไม้ผลที่ให้ผลไม้ที่มีเมล็ดข้างในผล แต่ละอย่างตามชนิดของพวกมัน" ก็เป็นอย่างนั้น 12 แผ่นดินได้ให้ผัก พืชต่าง ๆ ที่ให้เมล็ดตามชนิดของพวกมัน และต้นไม้ทั้งหลายที่มีผลที่มีเมล็ดอยู่ในผลตามชนิดของพวกมัน พระเจ้าทรงเห็นว่าดี 13 มีเวลาเย็นและเวลาเช้าเป็นวันที่สาม
14 พระเจ้าตรัสว่า "จงมีดวงสว่างในท้องฟ้าเพื่อแยกวันออกจากคืน และให้พวกมันเป็นสัญลักษณ์สำหรับฤดูต่าง ๆ สำหรับวันต่าง ๆ และปีทั้งหลาย 15 ให้มันทั้งหลายเป็นดวงสว่างในท้องฟ้าเพื่อที่จะให้แสงสว่างเหนือแผ่นดิน" ก็เป็นอย่างนั้น 16 พระเจ้าทรงสร้างดวงสว่างใหญ่สองดวง ดวงสว่างที่ใหญ่กว่าให้ครองวัน และดวงสว่างที่เล็กกว่าครองคืน พระองค์ทรงสร้างดวงดาวต่าง ๆ ด้วย 17 พระเจ้าทรงตั้งมันทั้งหลายไว้ในท้องฟ้าเพื่อส่องสว่างเหนือแผ่นดิน 18 เพื่อที่จะครองวัน และคืน เพื่อจะแยกความสว่างออกจากความมืด พระเจ้าทรงเห็นว่าดี 19 มีเวลาเย็นและเวลาเช้าเป็นวันที่สี่
20 พระเจ้าตรัสว่า "ในน้ำจงเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตจำนวนมาก และให้นกทั้งหลายบินเหนือแผ่นดิน ในภาคพื้นแห่งท้องฟ้า" 21 พระเจ้าทรงสร้างสัตว์ทะเลขนาดใหญ่ตามชนิดของพวกมันเช่นเดียวกันกับสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย สิ่งมีชีวิตที่เคลื่อนไหว และอยู่ในน้ำทุกแห่ง และนกที่บินได้ทั้งหลายตามชนิดของพวกมัน พระเจ้าทรงเห็นว่าดี 22 พระเจ้าทรงอวยพรพวกมันทั้งหลาย ตรัสว่า "จงแพร่พันธ์ุ และทวีมากขึ้น จงมีอุุดมในน้ำ ในทะเล ให้นกทั้งหลายทวีมากขึ้นบนแผ่นดิน 23 มีเวลาเย็นและเวลาเช้าเป็นวันที่ห้า
24 พระเจ้าตรัสว่า "ให้แผ่นดินเกิดสัตว์ที่มีชีวิตแต่ละอย่างตามชนิดของพวกมัน คือสัตว์ใช้งาน สัตว์เลื้อยคลาน และสัตว์ป่าของแผ่นดินแต่ละอย่างตามชนิดของพวกมัน" ก็เป็นอย่างนั้น 25 พระเจ้าได้ทรงสร้างสัตว์ป่าของแผ่นดินตามชนิดของพวกมัน สัตว์ใช้งานตามชนิดของพวกมัน และทุกสิ่งที่เลื้อยคลานบนพื้นดินตามชนิดของพวกมัน พระองค์ทรงเห็นว่าดี
26 พระเจ้าตรัสว่า "ให้เราสร้างมนุษย์ตามฉายาของเรา ตามลักษณะของเรา ให้พวกเขาครอบครองฝูงปลาของทะเล ฝูงนกของท้องฟ้า ฝูงสัตว์เลี้ยง เหนือแผ่นดินทั้งหมด และครอบครองสัตว์เลื้อยคลานทุกชนิดที่เคลื่อนไหวบนแผ่นดิน 27 พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ตามพระฉายาของพระองค์ ตามพระฉายาของพระองค์ พระองค์ทรงสร้างพวกเขาเป็นชายและหญิง
28 พระเจ้าทรงอวยพรพวกเขา และตรัสกับพวกเขาว่า "จงแพร่พันธ์ุ และทวีมากยิ่งขึ้นจนเต็มแผ่นดิน และครอบครองแผ่นดิน จงครอบครองฝูงปลาของทะเล ครอบครองฝูงนกของท้องฟ้า และสิ่งที่มีชีวิตทุกอย่างซึ่งเคลื่อนไหวบนแผ่นดิน" 29 พระเจ้าตรัสว่า "ดูเถิดเราได้ให้พืชทุกชนิดที่มีเมล็ด ที่อยู่บนพื้นผิวของแผ่นดินทั้งหมด และต้นไม้ทุกต้นที่ให้ผลซึ่งมีเมล็ดอยู่ข้างใน พวกมันจะเป็นอาหารของพวกเจ้า 30 ของพวกสัตว์ทุกตัวของแผ่นดิน ของนกทุกตัวของท้องฟ้า และสิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่เลื้อยคลานบนแผ่นดิน และของทุกสิ่งซึ่งทรงสร้างที่มีลมหายใจ เราให้พืชสีเขียวทุกอย่างเป็นอาหาร" ก็เป็นอย่างนั้น 31 พระเจ้าทรงเห็นทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง ดูเถิด มันดีมาก มีเวลาเย็นและเวลาเช้าเป็นวันที่หก
1 เมื่อฟ้าและแผ่นดิน และสรรพสิ่งที่มีชีวิตซึ่งมีอยู่ในนั้นถูกสร้างเสร็จแล้ว 2 ในวันที่เจ็ด พระเจ้าทรงเสร็จสิ้นงานของพระองค์ที่พระองค์ทรงกระทำ และดังนั้นพระองค์จึงทรงพักจากการงานของพระองค์ทั้งหมดในวันที่เจ็ด 3 พระเจ้าทรงอวยพระพรวันที่เจ็ด และทรงตั้งไว้เป็นวันบริสุทธิ์ เพราะว่าในวันที่เจ็ดพระองค์ทรงพักจากงานทั้งสิ้นของพระองค์ซึ่งพระองค์ทรงได้กระทำในการทรงสร้างของพระองค์
4 เหล่านี้คือเหตุการณ์เกี่ยวกับฟ้าและแผ่นดินเมื่อถูกสร้างขึ้น ในวันที่พระยาห์เวห์ พระเจ้าทรงสร้างแผ่นดินและฟ้า 5 ยังไม่มีพุ่มไม้ของท้องทุ่งเกิดขึ้นบนแผ่นดินเลย ไม่มีต้นไม้ของทุ่งนางอกขึ้น เพราะว่าพระยาห์เวห์ พระเจ้าไม่ได้ทรงทำให้ฝนตกลงมาบนแผ่นดิน และไม่มีผู้คนไถพรวนดิน 6 มีแต่หมอกปกคลุมแผ่นดิน และให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวหน้าของพื้นดินทั้งหมด 7 พระเจ้า พระยาห์เวห์ ทรงสร้างมนุษย์จากผงคลีดิน และระบายลมหายใจแห่งชีวิตเข้าทางจมูกของเขา และมนุษย์จึงกลายเป็นผู้ที่มีชีวิต
8 พระเจ้า พระยาห์เวห์ ทรงสร้างสวนขึ้นสวนหนึ่งทางทิศตะวันออกในเอเดน และพระองค์ทรงให้มนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างอยู่ที่นั่น 9 จากพื้นดินพระเจ้า พระยาห์เวห์ ทรงทำให้ตันไม้ทุกต้นงอกจากพื้นดินเติบโต สวยงามน่าดู และดีที่จะเป็นอาหาร นี่รวมถึงต้นไม้แห่งชีวิต และต้นไม้แห่งความรู้ดีและชั่วซึ่งอยู่กลางสวนนั้น
10 มีแม่น้ำสายหนึ่งไหลมาจากเอเดนไปรดสวนนั้น จากที่นั่นก็แยกออกและกลายเป็นแม่น้ำสี่สาย 11 แม่น้ำสายแรกชื่อปิโชน มันเป็นแม่น้ำที่ไหลผ่านแผ่นดินทั้งหมดของฮาวิลาห์ ที่นั่นมีทองคำ 12 ทองคำของแผ่นดินนั้นเป็นทองคำที่ดี มียางไม้ตะคร้ำ และโมราด้วย 13 แม่น้ำสายที่สองชื่อกิโฮน แม่น้ำสายนี้ไหลผ่านแผ่นดินทั้งหมดของคูช 14 แม่น้ำสายที่สามชื่อไทกริสซึ่งไหลไปทางตะวันออกของอัสซีเรีย แม่น้ำสายที่สี่คือยูเฟรติส
15 พระเจ้า พระยาห์เวห์ ได้ให้มนุษย์อยู่ในสวนแห่งเอเดน เพื่อทำงานและดูแลสวน 16 พระเจ้า พระยาห์เวห์ ได้ตรัสสั่งมนุษย์ว่า "เจ้าสามารถกินผลไม้จากไม้ผลทุกต้นในสวนนี้ 17 ยกเว้นผลจากต้นไม้แห่งความรู้ดีและชั่ว เจ้าอย่าได้กินเพราะว่าในวันที่เจ้าขืนกิน เจ้าจะต้องตายแน่นอน"
18 จากนั้นพระเจ้า พระยาห์เวห์ ได้ตรัสว่า "ไม่เป็นการดีที่ผู้ชายจะอยู่คนเดียว เราจะสร้างผู้ช่วยเหลือที่เหมาะสมสำหรับเขา" 19 จากพื้นดินพระเจ้า พระยาห์เวห์ ทรงสร้างสัตว์ทุกตัวของท้องทุ่ง และนกทุกตัวของท้องฟ้า จากนั้นพระองค์ได้นำพวกมันมาให้มนุษย์เพื่อดูว่าเขาจะเรียกพวกมันว่าอะไร ไม่ว่าผู้ชายนั้นจะเรียกสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดนั้นว่าอะไร นั่นก็คือชื่อของพวกสัตว์เหล่านั้น 20 ผู้ชายนั้นได้ตั้งชื่อให้บรรดาสัตว์เลี้ยง และนกทั้งหลายของท้องฟ้า และพวกสัตว์ป่าของท้องทุ่ง แต่สำหรับตัวผู้ชายนั้นไม่พบว่ามีผู้ช่วยเหลือที่เหมาะสมสำหรับเขา
21 พระเจ้า พระยาเวห์ ได้ทรงกระทำให้ผู้ชายนอนหลับสนิท ดังนั้นผู้ชายนั้นจึงหลับ พระเจ้า พระยาห์เวห์ ได้ทรงชักกระดูกซี่โครงอันหนึ่งของเขาออกมา และทรงกระทำให้เนื้อตรงที่พระองค์ทรงชักกระดูกซี่โครงออกมานั้นปิดสนิท 22 ด้วยซี่โครงที่ชักออกมาจากผู้ชายนั้นพระเจ้า พระยาห์เวห์ ได้ทรงสร้างผู้หญิง และทรงนำเธอมาพบผู้ชาย 23 ผู้ชายนั้นได้พูดว่า "นี่แหละ นี่คือกระดูกของกระดูกของฉัน และเนื้อจากเนื้อของฉัน เธอจะถูกเรียกว่า 'ผู้หญิง' เพราะว่าเธอถูกนำออกมาจากผู้ชาย" 24 ดังนั้นผู้ชายจะละบิดา มารดาของเขา เขาจะรวมเป็นหนึ่งเดียวกับภรรยาของเขา และพวกเขาจะกลายเป็นเนื้อเดียวกัน
25 ผู้ชายและภรรยาของเขา พวกเขาทั้งสองเปลือยกายอยู่ แต่ไม่อายกัน
1 ส่วนงูนั้นเป็นสัตว์ที่ฉลาดกว่าสัตว์อื่นของท้องทุ่งซึ่งพระเจ้า พระยาห์เวห์ ได้ทรงสร้าง มันถามผู้หญิงนั้นว่า "พระเจ้าตรัสจริง ๆ หรือว่า 'เจ้าต้องไม่กินผลไม้ใด ๆ ในสวนนี้' " 2 ผู้หญิงนั้นตอบงูว่า "เราสามารถกินผลไม้จากต้นไม้ผลทั้งหลายของสวนนี้ 3 ยกเว้นผลของต้นไม้ซึ่งอยู่กลางสวนนั้น พระเจ้าตรัสไว้ว่า 'เจ้าจงอย่าได้กินหรือแตะต้องมัน มิฉะนั้นเจ้าจะตาย' " 4 งูกล่าวกับผู้หญิงนั้นว่า "เจ้าจะไม่ตายจริงหรอก 5 เพราะพระเจ้ารู้ว่าในวันที่เจ้ากินผลไม้นั้น ดวงตาของเจ้าจะถูกเปิดออกและเจ้าจะเป็นเหมือนพระเจ้า คือรู้ถึงความดีและความชั่ว" 6 เมื่อผู้หญิงนั้นเห็นว่าต้นไม้นั้นดีที่จะเป็นอาหาร และมันก็น่าดู และต้นไม้นั้นเป็นสิ่งที่น่าปรารถนาคือที่จะทำให้คนฉลาดขึ้น เธอจึงเก็บผลจำนวนหนึ่งของต้นไม้นั้นและกิน จากนั้นเธอจึงให้ผลไม้บางส่วนแก่สามีของเธอผู้ซึ่งอยู่กับเธอ และเขาก็กินผลไม้นั้นด้วย 7 ดวงตาของพวกเขาทั้งสองก็ถูกเปิดออก และพวกเขาก็รู้ว่าพวกเขาได้เปลือยกายอยู่ พวกเขาจึงเย็บใบมะเดื่อเข้าด้วยกัน และทำเป็นสิ่งที่ใช้ปกคลุมสำหรับพวกเขา
8 ในตอนเย็นพวกเขาได้ยินเสียงพระเจ้า พระยาห์เวห์ กำลังทรงดำเนินอยู่ในสวน ดังนั้นผู้ชายและภรรยาของเขาได้ไปซ่อนตัวให้พ้นจากพระพักตร์พระยาห์เวห์ พระเจ้าอยู่ท่ามกลางต้นไม้ทั้งหลายในสวน 9 พระเจ้า พระยาห์เวห์ ทรงเรียกหาผู้ชายนั้น และตรัสกับเขาว่า "เจ้าอยู่ที่ไหน?" 10 ผู้ชายตอบว่า "ข้าพระองค์ได้ยินเสียงพระองค์ในสวน และข้าพระองค์กลัวเพราะว่าข้าพระองค์เปลือยกายอยู่ ดังนั้นข้าพระองค์จึงได้ซ่อนตัวอยู่" 11 พระเจ้าตรัสว่า "ใครบอกเจ้าว่าเจ้าเปลือยกายอยู่? เจ้าได้กินผลจากต้นไม้ที่เราสั่งเจ้าว่าอย่ากินแล้วหรือ?" 12 ผู้ชายนั้นตอบว่า "ผู้หญิงผู้ที่พระองค์ทรงให้อยู่กับข้าพระองค์นั้น เป็นผู้ให้ผลจากต้นไม้นั้นแก่ข้าพระองค์ และข้าพระองค์ก็กินมัน 13 พระเจ้า พระยาห์เวห์ ตรัสกับผู้หญิงนั้นว่า "เจ้าได้กระทำอะไรลงไปนี่?" ผู้หญิงนั้นตอบว่า "งูได้หลอกลวงข้าพระองค์ ข้าพระองค์จึงกิน"
14 พระเจ้า พระยาห์เวห์ ตรัสแก่งูนั้น "เพราะว่าเจ้าได้กระทำสิ่งนี้ เจ้าตัวเดียวจะถูกแช่งสาปท่ามกลางสัตว์ใช้งานทั้งหมด และสัตว์ป่าทั้งหลายของท้องทุ่ง เจ้าจะต้องเลื้อยไปด้วยท้อง และผงคลีดินจะเป็นสิ่งที่เจ้าต้องกินไปตลอดชีวิตของเจ้า 15 เราจะทำให้เจ้ากับผู้หญิงเป็นปรปักษ์กัน และระหว่างพงศ์พันธุ์ของเจ้ากับพงศ์พันธุ์ของเธอ เขาจะทำให้หัวของเจ้าฟกช้ำ และเจ้าจะทำให้ส้นเท้าของเขาฟกช้ำ 16 พระองค์ตรัสกับผู้หญิงว่า "เราจะเพิ่มความเจ็บปวดอย่างมากมายให้แก่เจ้าในขณะที่เจ้าจะมีบุตรทั้งหลาย มันเป็นความเจ็บปวดที่เจ้าจะคลอดบุตรทั้งหลาย ความปรารถนาของเจ้าจะทำเพื่อสามีของเจ้า แต่เขาจะปกครองเหนือเจ้า" 17 พระองค์ตรัสกับอาดัมว่า "เพราะว่าเจ้าฟังเสียงของภรรยาของเจ้า และกินผลจากต้นไม้นั้น ตามที่เราได้สั่งเจ้าว่า 'เจ้าอย่ากินผลจากต้นไม้นั้น' แผ่นดินถูกสาปเพราะเจ้า เจ้าจะหาเลี้ยงชีพด้วยการทำงานอย่างทุกข์ยากลำบากแสนเข็ญตลอดชีวิตของเจ้า 18 แผ่นดินจะงอกต้นไม้ที่มีหนาม และพืชที่มีหนามให้เจ้า และเจ้าจะกินบรรดาพืชของท้องทุ่ง 19 เจ้าจะได้กินอาหารโดยหยาดเหงื่อของใบหน้าของเจ้า จนกว่าเจ้าจะกลับไปเป็นดินที่เจ้าถูกสร้างมา เพราะเจ้าเป็นผงคลีดินและเจ้าจะกลับไปเป็นผงคลีดิน"
20 ผู้ชายได้เรียกชื่อภรรยาของเขาว่า "เอวา" เพราะว่าเธอเป็นมารดาของสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลาย 21 พระเจ้า พระยาห์เวห์ ได้ทำเสื้อผ้าด้วยหนังสัตว์สำหรับอาดัมกับภรรยาของเขา และสวมให้พวกเขา
22 พระเจ้า พระยาห์เวห์ ตรัสว่า "บัดนี้มนุษย์ได้กลายเป็นคนหนึ่งเหมือนพวกเรา ในความรู้ดีและชั่ว ดังนั้นตั้งแต่นี้ไปเขาจะต้องไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปใช้มือปลิดผลของต้นไม้แห่งชีวิต และกิน และมีชีวิตตลอดไป" 23 ดังนั้นพระเจ้า พระยาห์เวห์ จึงทรงส่งเขาออกไปจากสวนแห่งเอเดน เพื่อเพาะปลูกบนพื้นดินจากที่ซึ่งเขาได้ถูกนำมานั้น 24 ดังนั้นพระเจ้าได้ทรงขับผู้ชายออกไปจากสวน และพระองค์ได้ทรงตั้งพวกเครูปไว้ที่ทางตะวันออกของสวนแห่งเอเดน และดาบเพลิงที่หมุนได้รอบทุกทิศทางเพื่อเฝ้าทางเข้าถึงต้นไม้แห่งชีวิต
1 ผู้ชายนั้นจึงหลับนอนกับเอวาภรรยาของเขา นางได้ตั้งครรภ์และให้กำเนิดคาอิน นางกล่าวว่า "ฉันได้ให้กำเนิดชายคนหนึ่งโดยการช่วยเหลือของพระยาห์เวห์" 2 จากนั้นนางได้ให้กำเนิดอาเบล น้องชายของเขา ส่วนอาเบลเป็นคนเลี้ยงแกะ แต่คาอินเป็นคนเพาะปลูกพืช 3 อยู่มาวันหนึ่งคาอินได้นำผลแห่งพื้นดินมาถวายพระยาห์เวห์ 4 ส่วนอาเบลนั้น เขาได้นำแกะหัวปีจากฝูงแกะและไขมันบางส่วนมาถวาย พระยาห์เวห์ทรงยอมรับอาเบลและของถวายของเขา 5 แต่คาอินและของถวายของเขานั้นพระองค์ไม่ทรงยอมรับ ดังนั้นคาอินจึงโกรธมาก และเขาทำหน้าบูดบึ้ง 6 พระยาห์เวห์ตรัสกับคาอินว่า "เจ้าโกรธทำไม และทำไมเจ้าทำหน้าบูดบึ้ง? 7 ถ้าเจ้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าจะไม่ได้รับการยอมรับหรือ? แต่หากเจ้าทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ความบาปก็หมอบอยู่ที่ประตู และปรารถนาที่จะควบคุมเจ้า ซึ่งเจ้าจะต้องเอาชนะมัน"
8 คาอินได้พูดกับอาเบลน้องชายของเขา ในขณะที่พวกเขาอยู่ในท้องทุ่ง คาอินได้ลุกขึ้นทำร้ายอาเบลน้องชายของเขาและฆ่าเขา 9 ภายหลังพระยาห์เวห์ได้ตรัสกับคาอินว่า "อาเบลน้องชายของเจ้าอยู่ไหน?" เขาตอบว่า "ข้าพระองค์ไม่รู้ ข้าพระองค์เป็นผู้ดูแลน้องของข้าพระองค์หรือ?" 10 พระยาห์เวห์ตรัสว่า "เจ้าได้ทำอะไร? เลือดของน้องชายเจ้ากำลังส่งเสียงจากพื้นดินถึงเรา 11 บัดนี้เจ้าได้ถูกสาปแช่งจากแผ่นดินซึ่งอ้าปากรับเลือดของน้องชายเจ้า จากมือของเจ้า 12 เมื่อเจ้าไถพรวนเพาะปลูกจะไม่เกิดผลมาก เจ้าจะเป็นผู้ที่หลบหนี และพเนจรไปในแผ่นดิน " 13 คาอินทูลกับพระยาห์เวห์ว่า "โทษของข้าพระองค์ก็ใหญ่หลวงนัก เกินกว่าข้าพระองค์จะรับได้ 14 ที่จริงแล้ว วันนี้พระองค์ได้ขับไล่ข้าพระองค์ออกจากแผ่นดินนี้ และข้าพระองค์จะหลบซ่อนจากพระพักตร์พระองค์ ข้าพระองค์จะเป็นผู้ที่หลบหนี และพเนจรไปในแผ่นดิน และใครก็ตามที่พบข้าพระองค์ก็จะฆ่าข้าพระองค์" 15 พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับเขาว่า "ถ้าใครฆ่าคาอิน ผู้นั้นจะถูกแก้แค้นตอบแทนเจ็ดเท่า" จากนั้นพระยาห์เวห์ได้ทำเครื่องหมายไว้บนคาอิน เหตุนั้นถ้าใครพบเขา ผู้นั้นจะไม่ได้ทำร้ายเขา 16 ดังนั้นคาอินจึงได้ออกไปพ้นพระพักตร์พระยาห์เวห์ และอาศัยอยู่ในแผ่นดินของโนด ทางทิศตะวันออกของเอเดน
17 คาอินได้หลับนอนกับภรรยาของเขาและนางก็ตั้งครรภ์ นางคลอดบุตรชายชื่อเอโนค เขาได้สร้างเมืองหนึ่งและตั้งชื่อเมืองนั้นตามชื่อบุตรชายของเขาคือ เอโนค 18 เอโนคมีบุตรชื่ออิราด อิราดเป็นบิดาของเมหุยาเอล เมหุยาเอลเป็นบิดาของเมธูชาเอล เมธูชาเอลเป็นบิดาของลาเมค 19 ลาเมคมีภรรยาสองคน คนหนึ่งชื่ออาดาห์ อีกคนหนึ่งชื่อศิลลาห์ 20 อาดาห์ให้กำเนิดยาบาล เขาเป็นบิดาของคนทั้งหลายที่อาศัยอยู่ในเต็นท์ผู้ซึ่งเลี้ยงสัตว์ 21 น้องชายของเขาชื่อยูบาล เขาเป็นบิดาของคนเหล่านั้นผู้ซึ่งเล่นพิณเขาคู่และเป่าปี่ 22 สำหรับศิลลาห์ นางได้ให้กำเนิดทูบัลคาอินผู้เป็นช่างทำเครื่องทองสัมฤทธิ์ และเหล็ก น้องสาวของทูบัลคาอิน คือนาอามาห์ 23 ลาเมคได้พูดกับภรรยาทั้งสองของเขาว่า "อาดาห์ และศิลลาห์ จงฟังเสียงของเรา เจ้าผู้เป็นภรรยาของลาเมค จงฟังในสิ่งที่เราจะพูด เพราะว่าเราได้ฆ่าผู้ชายคนหนึ่งผู้ที่ทำให้เราบาดเจ็บ ชายหนุ่มคนหนึ่งผู้ที่ทำให้เราฟกซ้ำ 24 ถ้าทำกับคาอินจะถูกแก้แค้นตอบแทนเจ็ดเท่า ดังนั้นถ้าทำกับลาเมคก็จะถูกแก้แค้นตอบแทนถึงเจ็ดสิบเจ็ดเท่า"
25 อาดัมได้หลับนอนกับภรรยาของเขา และนางได้ให้กำเนิดบุตรชายอีกคนหนึ่ง นางเรียกชื่อเขาว่าเสท และกล่าวว่า "พระเจ้าได้ทรงให้บุตรชายอีกคนหนึ่งแก่ฉันแทนอาเบลซึ่งถูกคาอินฆ่า" 26 เสทมีบุตรชายและเขาได้เรียกชื่อว่าเอโนช ในเวลานั้นคนทั้งหลายได้เริ่มออกพระนามของพระยาห์เวห์
1 นี่คือบันทึกของเชื้อสายของอาดัม ในวันที่พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ พระองค์ทรงสร้างพวกเขาตามพระฉายาของพระองค์ 2 พระองค์ทรงสร้างพวกเขาเป็นชายและหญิง เมื่อพวกเขาได้ถูกสร้างพระองค์ทรงอวยพรพวกเขา 3 เมื่ออาดัมมีอายุได้ 130 ปี เขามีบุตรชายคนหนึ่งในลักษณะตามรูปแบบของเขา และตั้งชื่อเขาว่าเสท 4 หลังจากเขาได้ให้กำเนิดเสทแล้ว เขาได้มีชีวิตอีก แปดร้อยปี เขาได้ให้กำเนิดบุตรชาย และบุตรหญิงอีกหลายคน 5 อาดัมมีชีวิตอยู่ได้ 930 ปี และจากนั้นเขาจึงเสียชีวิต
6 เมื่อเสทมีอายุได้ 105 ปี เขาได้เป็นบิดาของเอโนช 7 หลังจากเขาได้เป็นบิดาของเอโนชแล้ว เขาได้มีชีวิตอีก 807 ปี และได้เป็นบิดาของบุตรชาย และบุตรหญิงอีกหลายคน 8 เสทมีชีวิตอยู่ได้ 912 ปี และจากนั้นเขาจึงเสียชีวิต
9 เมื่อเอโนชมีชีวิตอยู่มาได้ 90 ปี เขาได้เป็นบิดาของเคนัน 10 หลังจากเขาได้เป็นบิดาของเคนันแล้ว เอโนชได้มีชีวิตอีก 815 ปี เขาได้เป็นบิดาของบุตรชาย และบุตรหญิงอีกหลายคน 11 เอโนชมีชีวิตอยู่ได้ 905 ปี และจากนั้นเขาจึงเสียชีวิต
12 เมื่อเคนันมีชีวิตอยู่มาได้เจ็ดสิบปี เขาได้เป็นบิดาของมาหะลาเลล 13 หลังจากเขาได้เป็นบิดาของมาหะลาเลลแล้ว เคนันได้มีชีวิตอีก 840 ปี เขาได้เป็นบิดาของบุตรชาย และบุตรหญิงอีกหลายคน 14 เคนันมีชีวิตอยู่ได้ 910 ปี และจากนั้นเขาจึงเสียชีวิต
15 เมื่อมาหะลาเลลมีชีวิตอยู่ได้หกสิบห้าปี เขาได้เป็นบิดาของยาเรด 16 หลังจากเขาได้เป็นบิดาของยาเรดแล้ว มาหะลาเลลได้มีชีวิตอีก 830 ปี เขาได้เป็นบิดาบุตรชาย และบุตรหญิงอีกหลายคน 17 มาหะลาเลลมีชีวิตอยู่ได้ 895 ปี และจากนั้นเขาจึงเสียชีวิต
18 เมื่อยาเรดมีชีวิตอยู่ได้ 162 ปีเขาได้เป็นบิดาของเอโนค 19 หลังจากเขาได้เป็นบิดาของเอโนคแล้ว ยาเรดได้มีชีวิตอีกแปดร้อยปีเขาได้เป็นบิดาของบุตรชาย และบุตรหญิงอีกหลายคน 20 ยาเรดมีชีวิตอยู่ได้ 962 ปี และจากนั้นเขาจึงเสียชีวิต
21 เมื่อเอโนคมีอายุ 65 ปีเขาได้เป็นบิดาของเมธูเสลาห์ 22 เอโนคดำเนินกับพระเจ้าสามร้อยปีหลังจากเขาได้ให้กำเนิดเมธูเสลาห์แล้ว เขาได้เป็นบิดาของบุตรชายและบุตรหญิงอีกหลายคน 23 เอโนคมีชีวิตอยู่ได้ 365 ปี 24 เอโนคได้ดำเนินกับพระเจ้าและจากนั้นเขาก็ได้จากไปเพราะพระเจ้าได้ทรงรับเขาไป
25 เมื่อเมธูเสลาห์มีชีวิตอยู่ได้ 187 ปี เขาได้เป็นบิดาของลาเมค 26 หลังจากเขาได้เป็นบิดาของลาเมคแล้ว เมธูเสลาห์มีชีวิตอีก 782 ปี เขาได้เป็นบิดาของบุตรชายและบุตรหญิงอีกหลายคน 27 เมธูเสลาห์มีชีวิตอยู่ได้ 969 ปี จากนั้นเขาจึงเสียชีวิต
28 เมื่อลาเมคมีชีวิตอยู่ได้ 182 ปี เขาได้เป็นบิดาของบุตรชายคนหนึ่ง 29 เขาได้ตั้งชื่อของเขาว่าโนอาห์เพราะว่า "คนนี้จะทำให้เราพักจากงานของเรา และจากการทำงานที่ลำบากของมือของเราซึ่งเราต้องทำ เพราะแผ่นดินที่พระยาห์เวหได้ทรงสาปแช่ง" 30 ลาเมคมีชีวิตอีก 595 ปี เขาได้เป็นบิดาของบุตรชาย และบุตรหญิงอีกหลายคน 31 ลาเมคมีชีวิตอยู่ได้ 777 ปี จากนั้นเขาจึงเสียชีวิต
32 หลังจากโนอาห์มีชีวิตอยู่ได้ 500 ปี เขามีบุตรชื่อ เชม ฮาม และยาเฟท
1 ต่อมาเมื่อมนุษย์ได้เริ่มทวีมากขึ้นบนแผ่นดิน และให้กำเนิดบุตรสาวทั้งหลาย 2 บุตรชายทั้งหลายของพระเจ้าได้เห็นว่าบุตรสาวทั้งหลายของมนุษย์มีเสน่ห์ พวกเขาจึงเลือกและรับหญิงเหล่านั้นมาเป็นภรรยา 3 พระยาห์เวห์ตรัสว่า "วิญญาณของเราจะไม่อยู่กับมนุษย์ตลอดไป เพราะพวกเขาเป็นเนื้อหนัง พวกเขาจะมีอายุเพียง 120 ปี 4 มีคนรูปร่างใหญ่โตบนแผ่นดินในเวลานั้น และหลังจากนั้นด้วย นี่เกิดขึ้นเมื่อบุตรชายทั้งหลายของพระเจ้าแต่งงานกับบรรดาบุตรสาวของมนุษย์ และมีบุตร คนเหล่านี้เป็นผู้ชายที่แข็งแรงในสมัยโบราณ เป็นผู้ชายที่มีชื่อเสียง"
5 พระยาห์เวห์ทรงเห็นว่าความชั่วร้ายของมนุษย์มีมากยิ่งขึ้นบนแผ่นดิน และความคิดในจิตใจทุกอย่างของพวกเขาโน้มเอียงไปในสิ่งเลวร้ายอย่างต่อเนื่อง 6 พระยาห์เวห์ทรงเสียพระทัยที่พระองค์ได้ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นบนแผ่นดิน และทำให้พระทัยของพระองค์ทรงโทมนัส 7 ดังนั้นพระยาห์เวห์ได้ตรัสว่า "เราจะกวาดล้างมนุษย์ผู้ที่เราได้สร้างเสียจากพื้นแผ่นดิน ทั้งมนุษย์ และสัตว์ใหญ่ และสิ่งต่าง ๆ ที่เลื้อยคลาน และนกทั้งหลายของท้องฟ้า เพราะเราเสียใจที่ได้สร้างพวกเขาทั้งหลาย" 8 แต่โนอาห์เป็นผู้ที่ชอบในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์
9 เหล่านี้เป็นเหตุการณ์เกี่ยวข้องกับโนอาห์ โนอาห์เป็นคนชอบธรรม ปราศจากตำหนิท่ามกลางคนทั้งหลายในเวลาของเขานั้น โนอาห์ได้เดินกับพระเจ้า 10 โนอาห์ได้ให้กำเนิดบุตรชายสามคนคือ เชม ฮาม และยาเฟท
11 แผ่นดินถูกทำให้เสื่อมทรามลงต่อพระพักตร์พระเจ้า และเต็มไปด้วยความโหดร้ายรุนแรง 12 พระเจ้าได้ทอดพระเนตรดูพื้นแผ่นดิน ดูเถิดมันเสื่อมทรามลง เพราะว่าเนื้อหนังทั้งหมดเสื่อมทรามลงบนทางของพวกเขาทั้งหลายบนแผ่นดิน
13 พระเจ้าได้ตรัสกับโนอาห์ว่า "เราเห็นว่ามันถึงเวลาแล้วที่จะนำจุดจบมายังเนื้อหนังทั้งหลาย เพราะว่าแผ่นดินเต็มไปด้วยความโหดร้ายรุนแรงผ่านพวกเขา ที่จริงแล้วเราจะทำลายพวกเขาพร้อมกับพื้นแผ่นดิน 14 จงสร้างเรือเพื่อตัวเจ้าเองจากไม้สน จงสร้างห้องต่าง ๆ ภายในเรือ และปิดผนึกมันด้วยยาชันทั้งภายในและภายนอก 15 ต่อไปนี้คือวิธีการที่เจ้าจะสร้างเรือ ความยาวของเรือสามร้อยศอก ความกว้างของเรือห้าสิบศอก และมีความสูง ของเรือสามสิบศอก 16 จงทำหลังคาสำหรับเรือ จงทำช่องสำหรับมันให้เสร็จห่างจากด้านบนหนึ่งศอก และจงทำประตูบนด้านนั้นของเรือ และทำดาดฟ้าชั้นที่หนึ่ง ชั้นที่ 2 และชั้นที่ 3 17 จงฟัง เราจะนำน้ำท่วมมาเหนือพื้นแผ่นดิน เพื่อทำลายเนื้อหนังที่มีลมปราณแห่งชีวิตจากภายใต้ท้องฟ้า ทุกสิ่งที่ซึ่งอยู่บนพื้นแผ่นดินจะตาย 18 แต่เราจะตั้งพันธสัญญาของเรากับเจ้า เจ้าจะเข้ามาในเรือนั้น เจ้าและบรรดาบุตรชายของเจ้า และภรรยาของเจ้า และบรรดาภรรยาของบุตรชายทั้งหลายของเจ้า 19 และเจ้าจงนำสิ่งที่ชีวิตแห่งเนื้อหนังทั้งหมด ทุกชนิดอย่างละสองตัวทั้งตัวผู้และตัวเมีย เพื่อให้พวกมันมีชีวิตอยู่กับเจ้า 20 นกทั้งหลายตามชนิดของพวกมัน สัตว์ใหญ่ตามชนิดของพวกมัน สิ่งที่เลื้อยคลานแห่งแผ่นดินตามชนิดของมัน สัตว์ทุกชนิดจะมาหาเจ้าเป็นคู่ ๆ เพื่อพวกมันจะรอดตาย 21 จงจัดเตรียมอาหารทุกชนิดเพื่อที่จะกินและเก็บเอาไว้เพื่อตัวเจ้าเอง ดังนั้นมันจะเป็นอาหารสำหรับเจ้าและพวกมัน" 22 ดังนั้นโนอาห์จึงได้ทำสิ่งนี้ตามที่พระเจ้าได้ทรงบัญชาแก่เขาทุกอย่าง และเขาก็ได้ทำ
1 พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับโนอาห์ว่า "เจ้าและทุกคนในครัวเรือนของเจ้า จงเข้ามาในเรือ เพราะว่าในคนรุ่นนี้เราได้เห็นแล้วว่าเจ้าเป็นคนชอบธรรมต่อหน้าเรา 2 เจ้าจงนำสัตว์สะอาดทุกชนิด ตัวผู้เจ็ดตัว ตัวเมียเจ็ดตัว สัตว์ไม่สะอาดทุกชนิด อย่างละสองตัวคือ ตัวผู้หนึ่งตัวและคู่ของมัน 3 นกทั้งหลายของท้องฟ้าให้นำมา ตัวผู้เจ็ดตัว และตัวเมียเจ็ดตัว เพื่อรักษาพันธุ์ไว้บนพื้นแผ่นดินทั้งหมด 4 เพราะว่าในอีกเจ็ดวันเราจะทำให้ฝนตกบนแผ่นดินนานสี่สิบวันสี่สิบคืน เราจะทำลายสิ่งที่มีชีวิตทุกอย่างที่เราได้สร้างจากพื้นแผ่นดิน" 5 โนอาห์ได้ปฏิบัติทุกสิ่งตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาเขา
6 โนอาห์มีอายุได้หกร้อยปีเมื่อน้ำท่วมแผ่นดิน 7 โนอาห์ บุตรชายทั้งหลายของเขา ภรรยาของเขา และภรรยาทั้งหลายของบรรดาบุตรชายของเขา ได้เข้าไปในเรือด้วยกันเพราะน้ำท่วมนั้น 8 สัตว์ทั้งหลายทั้งที่สะอาดและไม่สะอาด นกทั้งหลาย และสัตว์ทุกชนิดที่เลื้อยคลานบนพื้นดิน 9 เป็นคู่ ๆ ตัวผู้และตัวเมียได้มาหาโนอาห์ และเข้าไปในเรือดังที่พระเจ้าได้ทรงบัญชาโนอาห์ 10 ก็เป็นอย่างนั้นหลังจากเจ็ดวันผ่านไป น้ำก็ได้ท่วมพื้นแผ่นดิน
11 ในปีที่หกร้อยของชีวิตโนอาห์ ในเดือนที่สอง ในวันที่สิบเจ็ดของเดือน ในวันนั้นเองตาน้ำทั้งหลายของที่ลึกมากได้พลุ่งขึ้นมาอย่างเฉียบพลัน และหน้าต่างทั้งหลายของท้องฟ้าก็ได้ถูกเปิดออก 12 ฝนได้เริ่มตกและตกลงบนพื้นแผ่นดินสี่สิบวันสี่สิบคืน 13 ในวันเดียวกันนั้นโนอาห์และบุตรชายทั้งหลายของเขา เชม ฮาม และยาเฟท และภรรยาของโนอาห์ และภรรยาทั้งสามคนของบรรดาบุตรชายของเขา กับพวกเขาทั้งหลายได้เข้าไปในเรือนั้น 14 พวกเขาได้เข้าไปพร้อมกับสัตว์ป่าตามชนิดของมัน และสัตว์ใช้งานตามชนิดของมัน และบรรดาสิ่งที่เลื้อยคลานบนพื้นดินตามชนิดของมัน และนกทุกชนิดตามชนิดของมัน สิ่งที่มีชีวิตทุกชนิดที่มีปีก 15 สัตว์ทั้งหลายที่มีลมปราณแห่งชีวิตได้มาหาโนอาห์ และเข้าไปในเรือเป็นคู่ ๆ 16 สัตว์ทั้งหลายทั้งหมดที่เข้าไปเป็นตัวผู้และตัวเมีย พวกมันเข้ามาตามที่พระเจ้าได้ทรงบัญชาแก่เขา จากนั้นพระยาห์เวห์ได้ปิดประตูหลังจากที่พวกเขาเข้าไป
17 จากนั้นน้ำได้ท่วมแผ่นดินเป็นเวลาสี่สิบวัน และน้ำได้เพิ่มขึ้น และยกเรือขึ้นและยกเรือขึ้นเหนือแผ่นดิน 18 น้ำได้ท่วมเหนือแผ่นดินทั้งหมด และเรือได้ลอยอยู่บนผิวน้ำ 19 น้ำได้เพิ่มขึ้นอย่างมากมาย ดังนั้นภูเขาสูงทั้งหมดซึ่งอยู่ใต้ท้องฟ้ากว้างถูกน้ำท่วมหมด 20 น้ำได้เพิ่มขึ้นสูงสิบห้าศอกเหนือยอดภูเขาทั้งหลาย 21 สิ่งที่มีชีวิตทุกลิ่งที่เคลื่อนไหวบนพื้นแผ่นดินตายทั้งหมดคือ บรรดานกทั้งหลาย สัตว์ใช้งาน สัตว์ป่าทั้งหลาย ทุกสิ่งที่มีชีวิตจำนวนมากที่อาศัยอยู่บนแผ่นดิน และมนุษย์ทั้งหมด 22 ทุกสิ่งที่มีชีวิตบนแผ่นดินที่หายใจด้วยลมปราณแห่งชีวิตผ่านจมูกของพวกเขาได้ตายหมด 23 ดังนั้นทุกสิ่งที่มีชีวิตที่อยู่บนพื้นผิวของแผ่นดินถูกกวาดล้างออกไป นับตั้งแต่มนุษย์ไปจนถึงสัตว์ที่มีขนาดใหญ่กว่า สิ่งที่เลื้อยคลาน และนกทั้งหลายแห้ท้องฟ้า พวกเขาทั้งหลายได้ถูกทำลายไปจากแผ่นดิน เหลือเพียงโนอาห์และคนเหล่านั้นที่อยู่กับเขาในเรือนั้นเท่านัั้น 24 น้ำไม่ได้ลดลงจากแผ่นดินเป็นเวลาหนึ่งร้อยห้าสิบวัน
1 พระเจ้าได้ทรงระลึกถึงโนอาห์ สัตว์ป่าทั้งหมดและ สัตว์ใช้งานทั้งหลายที่อยู่กับเขาในเรือนั้น พระเจ้าทรงทำให้ลมพัดมาเหนือแผ่นดิน และน้ำก็เริ่มลดลง 2 น้ำพุของที่ลึก และหน้าต่างทั้งหลายของท้องฟ้าก็ถูกปิด และฝนก็หยุดตก 3 น้ำท่วมได้ลดลงอย่างช้า ๆ จากพื้นดิน และหลังจากหนึ่งร้อยห้าสิบวันผ่านไปน้ำกลดลง 4 เรือได้หยุดลงติดค้างอยู่ที่ยอดเขาอารารัตในเดือนที่เจ็ด ในวันที่สิบเจ็ดของเดือนนั้น 5 น้ำยังลดลงอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งเดือนที่สิบ ในวันที่หนึ่งของเดือนนั้น ยอดเขาต่าง ๆ ก็ได้ปรากฏขึ้น
6 เรื่องนี้ได้เกิดขึ้นหลังจากสี่สิบวันที่โนอาห์ได้เปิดหน้าต่างของเรือซึ่งเขาได้ทำไว้ 7 เขาได้ปล่อยอีกาออกไป และมันได้บินกลับไปกลับมาจนกระทั่งน้ำแห้งจากแผ่นดิน 8 จากนั้นเขาได้ส่งนกพิราบตัวหนึ่งออกไปเพื่อจะดูว่าน้ำได้ลดลงจากจากพื้นผิวของแผ่นดินหรือยัง 9 แต่นกพิราบไม่มีที่จะเกาะ และมันได้กลับมาหาเขาที่เรือ เพราะว่าน้ำยังคงท่วมพื้นแผ่นดินทั้งหมดอยู่ เขาได้ยื่นมือของเขาออก และจับมันและนำมันเข้ามาในเรือกับเขา 10 เขาได้รออีกเจ็ดวัน และเขาได้ส่งนกพิราบออกไปจากเรืออีกครั้ง 11 นกพิราบกลับมาหาเขาในตอนเย็น ดูเถิดในปากของมันมีใบมะกอกเขียวสดด้วย ดังนั้นโนอาห์จึงรู้ได้ว่าน้ำได้ลดลงจากแผ่นดินแล้ว 12 เขาได้รออีกเจ็ดวัน และได้ส่งนกพิราบนั้นออกไปอีกครั้ง และมันไม่ได้กลับมาหาเขาอีก
13 ต่อมาในปีที่หกร้อยหนึ่ง ในเดือนที่หนึ่ง ในวันที่หนึ่งของเดือนนั้นที่น้ำได้แห้งไปจากพื้นดิน โนอาห์ได้เอาสิ่งที่คลุมเรือออก ได้มองออกไปข้างนอกและได้เห็น ดูเถิดผิวพื้นดินได้แห้งแล้ว 14 ในเดือนที่สอง ในวันที่ยี่สิบเจ็ดของเดือนนั้น พื้นแผ่นดินก็แห้ง 15 พระเจ้าตรัสกับโนอาห์ว่า 16 "จงออกไปจากเรือ เจ้า ภรรยาของเจ้า บุตรชายทั้งหลายของเจ้า และภรรยาทั้งหลายของบรรดาบุตรชายของเจ้า กับเจ้า 17 จงนำทุกสิ่งที่มีชีวิตของเนื้อหนังทั้งหมดที่อยู่กับเจ้า ออกไปกับเจ้าคือนกทั้งหลาย สัตว์ต่าง ๆ และสัตว์เลื้อยคลานทุกชนิดที่เลื้อยคลานบนแผ่นดิน ดังนั้นพวกมันทั้งหลายจะเติบโตเพิ่มจำนวนขึ้นของสิ่งที่มีชีวิตอย่างมากมายทั่วพื้นแผ่นดิน แพร่พันธุ์ และเพิ่มจำนวนบนแผ่นดิน" 18 ดังนั้นโนอาห์ได้ออกไปกับบรรดาบุตรของเขา ภรรยาของเขา และภรรยาทั้งหลายของพวกบุตรชายของเขา พร้อมกับเขา 19 ทุกสิ่งที่มีชีวิต ทุกสิ่งที่เลื้อยคลาน และนกทุกตัว ทุกสิ่งที่เคลื่อนไหวบนแผ่นดินตามพันธุ์ของพวกมัน ได้ออกจากเรือ
20 โนอาห์ได้สร้างแท่นบูชาแด่พระยาห์เวห์ เขาได้นำสัตว์สะอาดบางตัว และนกที่สะอาดบางตัว และเผาบูชาบนแท่นบูชานั้น 21 พระยาห์เวห์ทรงได้กลิ่นที่พอพระทัย และตรัสในพระทัยของพระองค์ว่า "เราจะไม่แช่งสาปแผ่นดินอีก เพราะถึงแม้ว่ามนุษย์มีจิตใจที่โน้มเอียงไปในทางที่ชั่วร้ายมาตั้งแต่เด็ก หรือจะไม่ทำลายทุกสิ่งที่มีชีวิตอย่างที่เราได้เคยทำอีก 22 ตราบใดที่พื้นแผ่นดินยังคงอยู่ ฤดูหว่านและฤดูเก็บเกี่ยว เย็นและร้อน ฤดูร้อนและฤดูหนาว และกลางวันและกลางคืนจะยังคงมีเรื่อยไปตราบนั้น"
1 จากนั้นพระเจ้าได้ทรงอวยพรโนอาห์และบุตรทั้งหลายของเขา และได้ตรัสกับพวกเขาว่า "จงมีลูกดก ทวีมากขึ้น และเต็มแผ่นดิน" 2 ความหวาดกลัวต่อเจ้า และความเกรงกลัวต่อเจ้าจะมีเหนือสัตว์ทุกตัวที่มีชีวิตบนพื้นแผ่นดิน เหนือนกทุกตัวของท้องฟ้า เหนือทุกสิ่งที่เลื้อยคลานบนพื้นดิน และเหนือปลาทั้งหมดแห่งท้องทะเล พวกมันทั้งหมดได้ถูกมอบไว้ในมือเจ้า 3 สิ่งที่เคลื่อนไหวทุกสิ่งที่มีชีวิตอยู่จะเป็นอาหารสำหรับเจ้า บัดนี้เราให้ทุกสิ่งแก่เจ้า เหมือนที่เราได้ให้พืชสีเขียวแก่เจ้า 4 แต่เจ้าต้องไม่กินเนื้อกับชีวิตของมัน คือเลือดของมัน ในเนื้อนั้น 5 แต่สำหรับเลือดของเจ้า ชีวิตที่อยู่ในเลือดของเจ้า เราจะเรียกค่าตอบแทน จากมือของสัตว์ทุกตัว เราจะเรียกค่าตอบแทนจากมือของมนุษย์ใด ๆ นั่นคือจากมือของใครก็ตามผู้ซึ่งฆ่าพี่น้องของเขา เราจะเรียกคืนเพราะชีวิตของคน ๆ นั้น 6 ใครก็ตามที่ทำให้มนุษย์เลือดไหล เลือดของเขาก็จะไหลโดยมนุษย์ด้วย เพราะว่ามันอยู่ในพระฉายาของพระเจ้าที่พระองค์ได้ทรงสร้างมนุษย์ 7 สำหรับพวกเจ้า จงแพร่พันธุ์ และเพิ่มจำนวนขึ้น แพร่ออกไปทั่วแผ่นดิน และทวีมากขึ้นบนแผ่นดิน"
8 จากนั้นพระเจ้าได้ตรัสกับโนอาห์ และกับบุตรชายทั้งหลายของเขาที่อยู่กับเขา ตรัสว่า 9 " จงฟัง สำหรับเรา เราจะยืนยันพันธสัญญาของเรากับเจ้า และเชื้อสายของเจ้าหลังจากเจ้า 10 และสรรพสิ่งที่มีชีวิตที่อยู่กับเจ้า กับนกทั้งหลาย สัตว์เลี้ยง และสรรพสิ่งแห่งแผ่นดินที่อยู่กับเจ้า จากทั้งหมดที่ออกมาจากเรือ ถึงสรรพสิ่งที่มีชีวิตบนแผ่นดิน 11 เรายืนยันพันธสัญญาของเราที่มีกับเจ้า คือเนื้อหนังทั้งหมดจะไม่ถูกทำลายโดยน้ำท่วมอีก จะไม่มีน้ำท่วมทำลายแผ่นดินอีก" 12 พระเจ้าตรัสว่า "นี่คือเครื่องหมายแห่งพันธสัญญาซึ่งเราได้ทำขึ้นระหว่างเรากับเจ้า และทุกสิ่งที่มีชีวิตที่อยู่กับเจ้า สำหรับคนทุกชั่วอายุ 13 เราได้ตั้งรุ้งกินน้ำของเราไว้ที่เมฆ และนี่จะเป็นเครื่องหมายของพันธสัญญาระหว่างเราและแผ่นดิน 14 จะเป็นอย่างนั้นเมื่อเราให้มีเมฆเหนือแผ่นดิน และเห็นรุ้งกินน้ำที่เมฆนั้น 15 เราก็จะระลึกถึงพันธสัญญาของเราที่ได้ทำระหว่างเรากับเจ้า และทุกสิ่งที่มีชีวิตแห่งเนื้อหนัง น้ำจะไม่ท่วมทำลายเนื้อหนังทั้งหมด 16 รุ้งกินน้ำจะอยู่ที่เมฆและเราจะเห็นเพื่อที่จะระลึกถึงพันธสัญญานิรันดร์ระหว่างพระเจ้าและทุกสิ่งที่มีชีวิตของเนื้อหนังทั้งหมดซึ่งอยู่บนแผ่นดิน" 17 จากนั้นพระเจ้าได้ตรัสกับโนอาห์ว่า "นี่คือเครื่องหมายของพันธสัญญาที่เราได้ยืนยันไว้แล้วระหว่างเรากับเนื้อหนังทั้งหมดที่อยู่บนแผ่นดิน"
18 บุตรทั้งหลายของโนอาห์ทีี่ออกมาจากเรือ คือ เชม ฮาม และยาเฟท ฮามเป็นบิดาของคานาอัน 19 ทั้งสามคนนี้เป็นบุตรของโนอาห์ และด้วยพวกเขาเหล่านี้ทำให้พื้นแผ่นดินทั้งหมดเต็มไปด้วยประชาชน
20 โนอาห์ได้เริ่มเป็นชาวสวน เขาได้ทำสวนองุ่น 21 เขาได้ดื่มเหล้าองุ่นและเมา เขาได้นอนเปลือยกายอยู่ในเต็นท์ของเขา 22 จากนั้นฮาม บิดาของคานาอัน มาเห็นการเปลือยกายของบิดา และได้ไปบอกพี่น้องของเขาที่อยู่ข้างนอก 23 ดังนั้นเชม และยาเฟทจึงได้เอาเสื้อคลุมยาว และพาดบนบ่าของพวกเขาทั้งสอง และเดินถอยหลังเข้าไป และปกปิดการเปลือยกายของบิดาของพวกเขา พวกเขาได้หันหน้าไปทางอื่น ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้เห็นการเปลือยกายของบิดาของพวกเขา 24 เมื่อโนอาห์ตื่นขึ้นจากการเมาของเขา เขาได้รู้ถึงสิ่งที่บุตรชายคนสุดท้องทำกับเขา 25 ดังนั้นเขาจึงได้พูดว่า "คานาอันจงถูกแช่งสาป ให้เป็นคนใช้ของคนรับใช้ทั้งหลายของพวกพี่น้องเขา" 26 เขายังพูดด้วยอีกว่า "ขอให้พระยาห์เวห์ พระเจ้าของเชมได้รับการสรรเสริญ และให้คานาอันเป็นคนรับใช้ของเขา 27 ขอให้พระเจ้าเพิ่มอาณาเขตของยาเฟท และให้เขาสร้างบ้านในเต็นท์ทั้งหลายของเชม ให้คานาอันเป็นคนใช้ของเขา" 28 หลังจากน้ำท่วม โนอาห์มีชีวิตอยู่ได้อีกสามร้อยห้าสิบปี 29 รวมโนอาห์มีอายุได้เก้าร้อยห้าสิบปี และจากนั้นเขาก็ตาย
1 เหล่านี้คือเชื้อสายของบุตรชายทั้งหลายของโนอาห์ คือ เชม ฮามและยาเฟท พวกเขาได้ให้กำเนิดบุตรชายทั้งหลายหลังน้ำท่วม
2 บุตรชายทั้งหลายของยาเฟทคือโกเมอร์ มาโกก มาดัย ยาวาน ทูบัล เมเชค และทิราส 3 บุตรชายทั้งหลายของโกเมอร์คือ อัชเคนัส รีฟาท และโทการมาห์ 4 บุตรชายทั้งหลายของยาวานคือ เอลีชาห์ ทารชิช คิทธิม และโดดานิม 5 จากคนเหล่านี้ ประชาชนตามชายฝั่งได้แยกและเข้าไปในแผ่นดินของพวกเขา แต่ละคนตามภาษาของตน ตามตระกูล โดยประชาชาติทั้งหลายของพวกเขา
6 บุตรชายทั้งหลายของฮามคือคูช มิสรายิม พูต และคานาอัน 7 บุตรชายทั้งหลายของคูชคือ เส-บา ฮาวิลาห์ สับทาห์ ราอามาห์ และสับเทคา บุตรชายทั้งหลายของราอามาห์คือ เชบา และเดดาน 8 คูชเป็นบิดาของนิมโรดซึ่งเป็นผู้พิชิตคนแรกของแผ่นดิน 9 เขาเป็นนายพรานที่ทรงพลังต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ นั่นคือที่มาของคำพูดที่ว่า "เหมือนนิมโรด นายพรานที่ทรงพลังต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์" 10 ศูนย์กลางของอำนาจแห่งแรกของเขาคือเมืองบาบิโลน เมืองเอเรก เมืองอัคคัด และเมืองคาลเนห์ในแผ่นดินชินาร์ 11 นอกจากแผ่นดินนั้นเขาได้ไปยังอัสซีเรียและสร้างเมืองนีนะเวห์ เมืองเรโหโบทอีร์ เมืองคาลาห์ 12 และเมืองเรเสน ซึ่งอยู่ระหว่างเมืองนีนะเวห์และเมืองคาลาห์ มันเป็นเมืองใหญ่ 13 มิสรายิมได้ให้กำเนิดคนลูดิม คนอานามิม คนเลหะบิม คนนัฟทูฮิม 14 คนปัทรุสิม คนคัสลูฮิม(ต้นตระกูลคนฟีลิสเตีย) และคนคัฟโทริม
15 คานาอันเป็นบิดาของไซดอนซึ่งเป็นบุตรคนแรกของเขา และเฮท 16 และคนเยบุส คนอาโมไรต์ คนเกอร์กาซี 17 คนฮีไวต์ คนอารคี คนสินี 18 คนอารวัต คนเศเมอร์ และคนฮามัธ ภายหลังตระกูลของคนคานาอันได้ขยายออกไป 19 อาณาเขตของคนคานาอันเริ่มจากเมืองไซดอน ไปทางเมืองเกราห์ ไกลไปจนถึงเมืองกาซา และไปทางเมืองโซโดม เมืองโกโมราห์ เมืองอัดมาห์ และเมืองเศโบยิมไปไกลจนถึงเมืองลาซา 20 เหล่านี้คือบุตรชายทั้งหลายของฮามโดยตระกูลของพวกเขา โดยภาษาของพวกเขา ในแผ่นดินของพวกเขาและในประชาชาติทั้งหลายของพวกเขา
21 เชม พี่ชายคนโตของยาเฟทได้ให้กำเนิดบุตรชายทั้งหลายด้วย 22 เชมเป็นบรรพบุรุษของคนเอเบอร์ทั้งหมด บุตรชายทั้งหลายของเชมคือ เอลาม อัสซูร์ อารปัคชาด ลูด และอารัม 23 บุตรชายทั้งหลายของอารัมคือ อูส ฮูล เกเธอร์ และมัช 24 อารปัคชาดได้ให้กำเนิดเชลาห์ และเชลาห์ได้ให้กำเนิดเอเบอร์ 25 เอเบอร์มีบุตรชายสองคน คนหนึ่งชื่อเพเลกเพราะว่าในสมัยของเขาได้มีการแบ่งแยกแผ่นดิน น้องชายของเขาชื่อโยกทาน 26 โยกทานได้ให้กำเนิดอัลโมดัด เชเลฟ ฮาซารมาเวท เยราห์ 27 ฮาโดรัม อุซาล ดิคลาห์ 28 โอบาล อาบีมาเอล เชบา 29 โอฟีร์ ฮาวิลาห์ และโยบับ ทั้งหมดเหล่านี้คือบุตรชายทั้งหลายของโยกทาน 30 ดินแดนของพวกเขาเริ่มจากเมืองเมชาไปทางเสฟาร์ ภูเขาทางทิศตะวันออก 31 คนเหล่านี้คือบุตรชายทั้งหลายของเชม ตามตระกูลของพวกเขาและภาษาต่าง ๆ ของพวกเขา ในแผ่นดินของเขาทั้งหลาย ตามประชาชาติทั้งหลายของพวกเขา
32 เหล่านี้คือตระกูลของบุตรชายทั้งหลายของโนอาห์ ตามพงศ์พันธุ์ของพวกเขา โดยประชาชาติทั้งหลายของพวกเขา จากพวกเหล่านี้ประชาชาติทั้งหลาย ได้แบ่งแยกและไปทั่วแผ่นดินหลังน้ำท่วม
1 เมื่อนั้นคนทั้งแผ่นดินใช้ภาษาและคำศัพท์เดียวกัน 2 ในขณะที่พวกเขาได้เดินทางไปทางตะวันออก พวกเขาได้พบที่ราบในแผ่นดินชินาร์ และพวกเขาจึงได้ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นั่น 3 พวกเขาได้พูดกันว่า "มาเถิด ให้เราปั้นอิฐ และเผาอิฐให้สุก" พวกเขาใช้อิฐแทนก้อนหิน และน้ำมันดินแทนปูน 4 พวกเขาได้พูดว่า "มาเถิด ให้พวกเราสร้างเมือง และหอคอยซึ่งมียอดถึงท้องฟ้าด้วยพวกเราเอง และให้เราสร้างชื่อสำหรับพวกเราเอง ถ้าเราไม่สร้าง เราจะถูกทำให้กระจัดกระจายไปทั่วแผ่นดิน" 5 ดังนั้นพระยาห์เวห์จึงได้เสด็จลงมาเพื่อทอดพระเนตรเมืองและหอคอยนั้นซึ่งพงศ์พันธุ์ของอาดัมได้สร้างขึ้น 6 พระยาห์เวห์ได้ตรัสว่า "ดูเถิด พวกเขาเป็นประชาชนหนึ่งเดียว มีภาษาเดียว และพวกเขากำลังเริ่มต้นทำสิ่งนี้ ในไม่ช้าสิ่งที่พวกเขาตั้งใจจะทำ จะไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้สำหรับพวกเขา 7 มาเถิด ให้พวกเราลงไปและทำให้ภาษาของพวกเขาวุ่นวายที่นั่น เพื่อที่ว่าพวกเขาจะไม่เข้าใจซึ่งกันและกัน" 8 ดังนั้นพระยาห์เวห์ได้ทรงกระทำให้พวกเขากระจัดกระจายไปจากที่นั่น ไปทั่วพื้นแผ่นดินและพวกเขาได้หยุดการก่อสร้างเมืองนั้น 9 ดังนั้นจึงเรียกชื่อเมืองนั้นว่าบาเบล เพราะที่นั่นพระยาห์เวห์ได้ทรงกระทำให้ภาษาของทั้งแผ่นดินวุ่นวาย และจากที่นั่นพระยาห์เวห์ได้ทรงกระทำให้พวกเขากระจัดกระจายไปทั่วพื้นแผ่นดิน
10 คนเหล่านี้คือเชื้อสายของเชม เชมมีได้อายุหนึ่งร้อยปี และหลังน้ำท่วมสองปี เขาได้เป็นบิดาของอารปัคชาด 11 เชมได้มีชีวิตต่อไปอีกห้าร้อยปี หลังจากที่เขาได้เป็นบิดาของอารปัคชาด เขายังได้เป็นบิดาของบุตรชายและบุตรหญิงอีกหลายคนด้วย
12 เมื่ออารปัคชาดมีชีวิตอยู่ได้สามสิบห้าปี เขาได้เป็นบิดาของบุตรชื่อเชลาห์ 13 อารปัคชาดได้มีชีวิตต่อไปอีก 403 ปี หลังจากที่เขาได้เป็นบิดาของเชลาห์ เขายังได้เป็นบิดาของบุตรชายและบุตรหญิงอีกหลายคนด้วย
14 เมื่อเชลาห์มีชีวิตได้สามสิบปี เขาได้เป็นบิดาของบุตรชื่อเอเบอร์ 15 เชลาห์ได้มีชีวิตต่อไปอีก 403 ปี หลังจากที่เขาได้เป็นบิดาของเอเบอร์ เขายังได้เป็นบิดาของบุตรชายและบุตรหญิงอีกหลายคนด้วย
16 เมื่อเอเบอร์มีชีวิตสามสิบสี่ปี เขาได้เป็นบิดาของบุตรชื่อเปเลก 17 เอเบอร์ได้มีชีวิตต่อไปอีก 430 ปี หลังจากที่เขาได้เป็นบิดาของเปเลก เขายังได้เป็นบิดาของบุตรชายและบุตรหญิงอีกหลายคนด้วย
18 เมื่อเปเลกมีชีวิตได้สามสิบปี เขาได้เป็นบิดาของบุตรชื่อเรอู 19 เปเลกได้มีชีวิตต่อไปอีก 209 ปี หลังจากที่เขาได้เป็นบิดาของเรอู เขายังได้เป็นบิดาของบุตรชายและบุตรหญิงอีกหลายคนด้วย
20 เมื่อเรอูมีชีวิตได้สามสิบสองปี เขาได้เป็นบิดาของบุตรชื่อเสรุก 21 เรอูได้มีชีวิตต่อไปอีก 207 ปี หลังจากที่เขาได้เป็นบิดาของเสรุก เขายังได้เป็นบิดาของบุตรชายและบุตรหญิงอีกหลายคนด้วย
22 เมื่อเสรุกมีชีวิตได้สามสิบปี เขาได้เป็นบิดาของบุตรชื่อนาโฮร์ 23 เสรุกได้มีชีวิตต่อไปอีกสองร้อยปี หลังจากที่เขาได้เป็นบิดาของนาโฮร์ เขายังได้เป็นบิดาของบุตรชายและบุตรหญิงอีกหลายคนด้วย
24 เมื่อนาโฮร์มีชีวิตได้ยี่สิบเก้าปี เขาได้เป็นบิดาของบุตรชื่อเทราห์ 25 นาโฮร์ได้มีชีวิตต่อไปอีก 119 ปี หลังจากที่เขาได้เป็นบิดาของเทราห์ เขายังได้เป็นบิดาของบุตรชายและบุตรหญิงอีกหลายคนด้วย
26 หลังจากที่เทราห์ชีวิตได้เจ็ดสิบปี เขาได้เป็นบิดาของบุตรชื่ออับราม นาโฮร์ และฮาราน 27 คนเหล่านี้เป็นเชื้อสายของเทราห์ เทราห์ได้เป็นบิดาของอับราม นาโฮร์ และฮาราน และฮารานได้เป็นบิดาของบุตรชื่อโลท 28 ฮารานได้เสียชีวิตขณะที่เทราห์ บิดาของเขายังมีชีวิตอยู่ ในแผ่นดินที่เขาเกิดคือเมืองเออร์ของชาวเคลเดีย 29 อับรามและนาโฮร์ได้แต่งงาน ภรรยาของอับรามคือซาราย และภรรยานาโฮร์คือมิลคาห์บุตรสาวของฮารานผู้เป็นบิดาของมิลคาห์ และอิสคาห์ 30 เนื่องจากซารายเป็นหมัน นางจึงไม่มีบุตร
31 เทราห์ได้พาอับรามบุตรชายของเขา โลทบุตรชายของฮาราน บุตรชายของเขา และซาราย ลูกสะใภ้ ภรรยาของอับรามบุตรชายของเขาจากเมืองเออร์ของชาวเคลเดียไปด้วยกัน เพื่อไปยังแผ่นดินคานาอัน แต่พวกเขาได้มาถึงเมืองฮาราน และพักอยู่ที่นั่น 32 เทราห์มีชีวิตได้ 205 ปี และจากนั้นได้เสียชีวิตที่เมืองฮาราน
1 เวลานั้นพระยาห์เวห์ได้ตรัสกับอับรามว่า "จงไปจากประเทศของเจ้า จากญาติพี่น้องของเจ้า และจากครัวเรือนของบิดาเจ้า ไปยังดินแดนที่เราจะแสดงแก่เจ้า 2 เราจะทำให้เจ้าเป็นชนชาติที่ยิ่งใหญ่ และเราจะอวยพรเจ้า และทำให้ชื่อของเจ้ายิ่งใหญ่ และเจ้าจะเป็นพร 3 เราจะอวยพรคนเหล่านั้นที่อวยพรเจ้า แต่ใครก็ตามที่ไม่ให้เกียรติเจ้า เราจะแช่งสาปเขา ผ่านทางเจ้า ครอบครัวทั้งหมดของแผ่นดินจะรับพร"
4 ดังนั้นอับรามจึงได้ไปตามที่พระยาห์เวห์ได้ทรงบอกให้เขาไป และโลทได้ไปกับเขา อับรามมีอายุได้เจ็ดสิบห้าปีเมื่อเขาออกจากเมืองฮาราน 5 อับรามได้นำซาราย ภรรยาของเขา โลท บุตรชายของน้องชายของเขา ทรัพย์สินทั้งหมดของพวกเขาที่พวกเขาได้สะสมไว้ และคนทั้งหลายที่พวกเขาได้มาในเมืองฮาราน พวกเขาได้ออกไปยังแผ่นดินคานาอัน และได้มาถึงแผ่นดินคานาอัน 6 อับรามได้ผ่านเข้าไปในแผ่นดินนั้น เข้าไปไกลถึงเมืองเชเคม ถึงต้นโอ๊คแห่งโมเรห์ ที่เวลานั้นคนคานาอันได้อาศัยอยู่ในแผ่นดินนั้น 7 พระยาห์เวห์ได้ทรงปรากฏแก่อับรามและตรัสว่า "เราจะมอบแผ่นดินนี้ให้กับเชื้อสายทั้งหลายของเจ้า" ณ ที่นั่น อับรามได้สร้างแท่นบูชาแก่พระยาห์เวห์ พระองค์ผู้ได้ปรากฏแก่เขา 8 จากที่นั่น เขาได้ย้ายไปยังแถบเทือกเขา ไปทางตะวันออกของเมืองเบธเอลที่ซึ่งเขาได้ตั้งเต็นท์ของเขา โดยเมืองเบธเอลอยู่ทางตะวันตก และเมืองอัยอยู่ทางตะวันออก ที่นั่นเขาได้สร้างแท่นบูชาแก่พระยาห์เวห์ และออกพระนามของพระยาห์เวห์ 9 จากนั้นอับรามยังคงได้เดินทางมุ่งหน้าไปยังเนเกบ
10 ได้เกิดการกันดารอาหารในแผ่นดิน ดังนั้นอับรามได้ลงไปยังอียิปต์เพื่อที่จะอาศัยอยู่ เพราะการกันดารอาหารได้รุนแรงมากขึ้นในแผ่นดิน 11 เมื่อเขาจะเข้าไปในอียิปต์ เขาได้พูดกับซาราย ภรรยาของเขาว่า "ดูเถิด เรารู้ว่าเจ้าเป็นผู้หญิงสวย 12 เมื่อคนอียิปต์เห็นเจ้า พวกเขาจะพูดว่า 'นี่คือภรรยาของเขา' และพวกเขาจะฆ่าเรา แต่ให้เจ้ามีชีวิตรอด 13 จงพูดว่าเจ้าเป็นน้องสาวของเรา ดังนั้นจะเป็นการดีสำหรับเราเพราะเจ้า และดังนั้นชีวิตของเราจะถูกสงวนไว้เพราะเจ้า" 14 และก็เป็นอย่างนั้นเมื่ออับรามได้เข้าไปในอียิปต์ ชาวอียิปต์ได้เห็นว่าซารายสวยมาก 15 เจ้าชายของฟาโรห์ได้เห็นนาง และทูลยกย่องนางต่อฟาโรห์ นางได้ถูกนำไปยังพระราชวังของฟาโรห์ 16 ฟาโรห์ได้ทรงดูแลอับรามเป็นอย่างดีเพราะเห็นแก่นาง และได้มอบบรรดาแกะ วัว ลาตัวผู้ คนรับใช้ชาย คนรับใช้หญิง ลาตัวเมีย และอูฐทั้งหลายให้กับเขา
17 พระยาห์เวห์ได้ทรงทำให้เกิดภัยพิบัติร้ายแรงกับฟาโรห์และพระราชวงศ์ของพระองค์ เพราะซาราย ภรรยาของอับราม 18 ฟาโรห์ได้ทรงเรียกหาอับรามและตรัสว่า "อะไรกันนี่ เจ้าได้กระทำต่อเรา?" ทำไมเจ้าไม่บอกเราว่านางเป็นภรรยาของเจ้า? 19 ทำไมเจ้าจึงบอกว่า 'นางคือน้องสาวของเจ้า' ดังนั้นเราจึงนำนางมาเป็นภรรยาของเรา? ดังนั้นบัดนี้ นี่คือภรรยาของเจ้า จงนำนางไป และไปตามทางของเจ้า" 20 จากนั้นฟาโรห์ได้ทรงออกคำสั่งแก่คนของพระองค์เกี่ยวกับเขา และพวกเขาได้ส่งเขาไปพร้อมกับภรรยาของเขา และทุกสิ่งที่เขามีอยู่
1 ดังนั้นอับรามได้ออกจากอียิปต์และเข้าไปยังเนเกบ คือ เขา ภรรยาของเขา และทุกสิ่งที่เขามี และโลทก็ได้ไปกับพวกเขาด้วย 2 ขณะนี้อับรามร่ำรวยมากทั้งในด้านของฝูงสัตว์เลี้ยง เงินและทอง 3 เขาได้เดินทางต่อไปจากเนเกบถึงเบธเอล ไปถึงที่ที่เขาตั้งเต็นท์ครั้งก่อน อยู่ระหว่างเมืองเบธเอลกับเมืองอัย 4 เขาไปยังที่ที่ตั้งแท่นบูชาที่เขาได้สร้างไว้ครั้งก่อน ที่นี่อับรามได้ร้องออกพระนามพระยาห์เวห์ 5 ส่วนโลทที่เดินทางมากับอับรามก็มีฝูงสัตว์ ผู้คน และเต็นท์จำนวนมากด้วย 6 แผ่นดินนั้นไม่กว้างขวางมากพอสำหรับพวกเขาที่จะอาศัยอยู่ใกล้กัน เพราะว่าทรัพย์สินของพวกเขามีมากมาย ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้ 7 และเกิดการทะเลาะวิวาทกันระหว่างคนเลี้ยงสัตว์ของอับรามและคนเลี้ยงสัตว์ของโลท ในเวลานั้นคนคานาอัน และคนเปริสซีได้อาศัยอยู่ในแผ่นดินนั้น
8 ดังนั้นอับรามจึงได้พูดกับโลทว่า "อย่าให้มีการทะเลาะวิวาทระหว่างเรากับเจ้า และระหว่างคนของเจ้ากับคนของเราเลย เพราะเราเป็นครอบครัวเดียวกัน 9 แผ่นดินทั้งหมดอยู่ต่อหน้าเจ้าแล้วมิใช่หรือ? ไปเถิด เจ้าจงแยกไปจากเรา ถ้าเจ้าไปทางซ้าย เราก็จะไปทางขวา หรือถ้าเจ้าไปทางขวา เราก็จะไปทางซ้าย" 10 โลทก็ได้มองไปรอบ ๆ และได้เห็นว่าที่ราบของแม่น้ำจอร์แดนทั้งหมดเป็นที่มีน้ำบริบูรณ์ทุกแห่งไปจนถึงเมืองโศอาร์ เหมือนสวนของของพระยาห์เวห์ เหมือนแผ่นดินอียิปต์ นี่เป็นสภาพก่อนที่พระยาห์เวห์จะทำลายเมืองโสโดม และเมืองโกโมราห์ 11 ดังนั้นโลทจึงเลือกที่ราบทั้งหมดของแม่น้ำจอร์แดนสำหรับตัวเขาเอง และได้เดินทางไปทางตะวันออก และญาติทั้งสองก็ได้แยกทางกัน 12 อับรามได้อาศัยอยู่ในแผ่นดินคานาอัน และโลทได้อาศัยอยู่ท่ามกลางเมืองทั้งหลายของที่ราบนั้น เขาตั้งเต็นท์ของเขาอยู่ห่างไกลจากเมืองโสโดม 13 ส่วนชาวเมืองโสโดมนั้นเป็นคนบาปชั่วร้ายต่อต้านพระยาห์เวห์
14 พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับอับรามหลังจากที่โลทได้แยกตัวออกไปจากเขาแล้วว่า "จงมองดูจากที่ที่เจ้ากำลังยืนอยู่นี้ไปทางทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก และทิศตะวันตก 15 แผ่นดินทั้งหมดที่เจ้าเห็นนี้ เราจะมอบให้แก่เจ้าและแก่เชื้อสายทั้งหลายของเจ้าตลอดไปเป็นนิตย์ 16 เราจะทำให้บรรดาเชื้อสายของเจ้ามีมากเหมือนผงคลีแห่งแผ่นดิน ดังนั้นถ้าใครสามารถนับผงคลีแห่งแผ่นดินได้ ก็จะนับเชื้อสายของเจ้าได้อย่างนั้น 17 จงลุกขึ้น เดินไปให้ทั่วแผ่นดินนี้ ทั้งด้านยาว และด้านกว้าง เพราะว่าเราจะมอบแผ่นดินนี้ให้เจ้า" 18 ดังนั้นอับรามจึงได้ย้ายเต็นท์ของเขา และมาอาศัยอยู่ที่ต้นโอ๊คแห่งมัมเร ที่ซึ่งอยู่ในเฮโบรน และที่นั่นเขาได้สร้างแท่นบูชาแด่พระยาห์เวห์
1 ในรัชสมัยของอัมราเฟลกษัตริย์เมืองชินาร์ อารีโอคกษัตริย์เมืองเอลลาสาร์ เคโดร์ลาโอเมอร์กษัตริย์เมืองเอลาม และทิดาลกษัตริย์เมืองโกยิมนั้น 2 พวกเขาได้ทำสงครามต่อสู้กับเบ-รากษัตริย์เมืองโสโดม บิรชากษัตริย์เมืองโกโมราห์ ชินาบกษัตริย์เมืองอัดมาห์ เชเมเบอร์กษัตริย์เมืองเศโบยิม และกษัตริย์เมืองเบ-ลา(ถูกเรียกว่า โศอาร์ ด้วย) 3 ภายหลังกษัตริย์ทั้งห้าพระองค์เหล่านี้ได้ร่วมมือกันที่หุบเขาสิดดิม (ถูกเรียกว่าทะเลเกลือด้วย ) 4 พวกเขาได้รับใช้เคโดร์ลาโอเมอร์มาสิบสองปี แต่ในปีที่สิบสาม พวกเขาได้ก่อการกบฏ 5 จากนั้นในปีที่สิบสี่เคโดร์ลาโอเมอร์ และกษัตริย์ทั้งหลายผู้ที่อยู่ฝ่ายเขาได้มา และโจมตีคนเรฟาอิมที่เมืองอัชทาโรทคารนาอิม คนศูซิมที่เมืองฮาม คนเอมิมที่เมืองชาเวห์คีริยาธาอิม 6 และคนโฮรีที่ดินแดนภูเขาเสอีร์ของพวกเขา ไกลไปถึงเมืองเอลปารานซึ่งอยู่ใกล้ทะเลทราย 7 จากนั้นพวกเขาได้กลับมายังเมืองเอนมิสปัท (ถูกเรียกว่าคาเดชด้วย) และรบชนะดินแดนทั้งหมดของคนอามาเลข และคนอาโมไรต์ที่อาศัยอยู่ที่เมืองฮาซาโซนทามาร์ด้วย 8 จากนั้นกษัตริย์เมืองโสโดม กษัตริย์เมืองโกโมราห์ กษัตริย์เมืองอัดมาห์ กษัตริย์เมืองเศโบยิม และกษัตริย์เมืองเบ-ลา (ถูกเรียกว่า โศอาร์ด้วย) ได้ออกไปและเตรียมตัวทำสงครามในหุบเขาสิดดิม 9 ต่อสู้กับเคโดร์ลาโอเมอร์กษัตริย์เมืองเอลาม ทิดาลกษัตริย์เมืองโกยิม อัมราเฟลกษัตริย์เมืองชินาร์ อารีโอคกษัตริย์เมืองเอลลาสาร์ รวมเป็นกษัตริย์สี่พระองค์ต่อสู้กับกษัตริย์ห้าพระองค์ 10 ขณะนั้นหุบเขาสิดดิมเต็มไปด้วยบ่อน้ำมันดิน เมื่อกษัตริย์เมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์หนีไปนั้น พวกเขาได้ตกลงไปในบ่อนั้น เหล่าคนที่เหลือได้หนีไปยังภูเขา 11 ดังนั้นพวกข้าศึกได้ยึดเอาเสบียงอาหารและสิ่งของทั้งหมดของเมืองโสโดมและโกโมราห์ และไปตามทางของพวกเข้า 12 เมื่อพวกเขาจากไป พวกเขาได้จับตัวโลท หลานชายของอับรามซึ่งอาศัยอยู่ที่เมืองโสโดม และทรัพย์สินทั้งหมดของเขาไปด้วย
13 มีคนหนึ่งหนีมาได้และได้มาบอกอับราม คนฮีบรู เขาอยู่ที่ต้นโอ๊คที่เป็นของมัมเร คนอาโมไรต์ผู้ซึ่งเป็นพี่น้องของเอชโคล์ และอาเนอร์ คนเหล่านี้ทั้งหมดเป็นมิตรกับอับราม 14 ในขณะนั้นเมื่ออับรามได้ยินว่าพวกศัตรูได้จับตัวญาติของเขาไป เขาได้นำผู้ชายที่ได้รับการฝึกของเขา 318 คนผู้ซึ่งเกิดในบ้านของเขา และเขาได้ไล่ตามพวกเขาไปไกลถึงเมืองดาน 15 เขาได้แบ่งคนของเขาออกต่อสู้กับพวกเขาในเวลากลางคืน และโจมตีพวกเขา และไล่ตามพวกเขาไปไกลถึงเมืองโฮบาห์ซึ่งอยู่ทางเหนือของเมืองดามัสกัส 16 จากนั้นเขาก็ได้นำสิ่งที่ถูกยึดคืนมาได้ทั้งหมด และนำญาติของเขาคือ โลท และทรัพย์สินของเขา รวมทั้งบรรดาผู้หญิงและคนอื่น ๆ กลับมาด้วย
17 หลังจากอับรามได้กลับมาจากการทำให้เคโดร์ลาโอเมอร์ และกษัตริย์ทั้งหลายที่อยู่ฝ่ายเขา พ่ายแพ้แล้ว กษัตริย์เมืองโสโดมได้ออกมาพบเขาที่หุบเขาชาเวห์ (ถูกเรียกว่า หุบเขากษัตริย์ ด้วย) 18 เมลคีเซเดค กษัตริย์เมืองซาเลมได้นำเอาขนมปังและเหล้าองุ่นออกมาให้ เขาเป็นปุโรหิตของพระเจ้าสูงสุด 19 เขาได้อวยพรอับรามว่า "พระพรจงมีแด่อับรามโดยพระเจ้าสูงสุด ผู้ทรงสร้างท้องฟ้าและแผ่นดิน 20 สรรเสริญพระเจ้าสูงสุด ผู้ทรงทำให้ศัตรูของเจ้าอยู่ในมือของเจ้า" จากนั้นอับรามได้ถวายหนึ่งในสิบของทุกสิ่งให้แก่เมลคีเซเดค
21 กษัตริย์เมืองโสโดมได้ตรัสกับอับรามว่า "จงให้ประชาชนแก่ข้า และเอาสิ่งของไปสำหรับตัวเจ้าเอง" 22 อับรามได้พูดกับกษัตริย์เมืองโสโดมว่า "ข้าพระองค์ได้ยกมือของข้าพระองค์ต่อพระยาห์เวห์ พระเจ้าสูงสุด ผู้ทรงสร้างท้องฟ้าและแผ่นดินว่า 23 ข้าพระองค์จะไม่เอาเส้นด้ายสักหนึ่งเส้น สายรัดรองเท้าสักหนึ่งเส้น หรือสิ่งใด ๆ ที่เป็นของพระองค์ ดังนั้นพระองค์จะไม่สามารถตรัสได้ว่า 'เราได้ทำให้อับรามมั่งคั่ง' 24 ข้าพระองค์จะไม่เอาอะไรเลยยกเว้นสิ่งที่บรรดาคนหนุ่มทั้งหลายได้กินและส่วนแบ่งของพวกผู้ชายที่ไปกับข้าพระองค์ ขอให้อาเนอร์ เอชโคล์ และมัมเร ได้รับส่วนของพวกเขาเถิด"
1 หลังจากสิ่งเหล่านี้แล้ว พระดำรัสของพระยาห์เวห์ได้มาถึงอับรามในนิมิต ตรัสว่า "อย่ากลัวเลยอับราม เราเป็นโล่ของเจ้าและบำเหน็จอันยิ่งใหญ่ของเจ้า" 2 อับรามได้กล่าวว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้า พระยาห์เวห์ พระองค์จะทรงให้อะไรแก่ข้าพระองค์ ในเมื่อข้าพระองค์ยังไม่มีบุตรชาย และผู้สืบทอดมรดกของบ้านข้าพระองค์ก็คือ เอลีเอเซอร์แห่งดามัสกัสหรือ? 3 อับรามได้ทูลอีกว่า "ตั้งแต่พระองค์ไม่ได้ให้ข้าพระองค์มีทายาท ดูเถิด พ่อบ้านของข้าพระองค์ก็คือผู้สืบทอดมรดกของข้าพระองค์" 4 จากนั้น ดูเถิดพระดำรัสของพระยาห์เวห์ได้มาถึงเขา ตรัสว่า "คนผู้นี้ไม่ใช่ผู้รับมรดกของเจ้า แต่ผู้ที่จะมาจากร่างกายของเจ้าจะเป็นผู้รับมรดกของเจ้า" 5 จากนั้นพระองค์ได้ทรงนำเขาออกไปข้างนอก และตรัสว่า "จงดูบนท้องฟ้า และนับดวงดาวทั้งหลาย ถ้าเจ้าสามารถนับพวกมันได้" จากนั้นพระองค์ได้ตรัสแก่เขาอีกว่า "ดังนั้นเชื้อสายของเจ้าก็จะเป็นอย่างนั้น" 6 เขาเชื่อพระยาห์เวห์ และพระองค์ทรงถือว่านี่คือความชอบธรรมของเขา
7 พระองค์ได้ตรัสแก่เขาว่า "เราคือพระยาห์เวห์ผู้ที่นำเจ้าออกมาจากเมืองเออร์ของคนเคลเดีย เพื่อที่จะให้แผ่นดินนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้า" 8 เขาได้พูดว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้า พระยาห์เวห์ ข้าพระองค์จะรู้ได้อย่างไรว่าข้าพระองค์จะได้แผ่นดินนี้เป็นกรรมสิทธิ์?" 9 จากนั้นพระองค์ได้ตรัสสั่งเขาว่า "จงนำวัวสาวอายุสามปีหนึ่งตัว แพะตัวเมียอายุสามปีหนึ่งตัว แกะตัวผู้อายุสามปีหนึ่งตัว นกเขาหนึ่งตัว และนกพิราบหนุ่มหนึ่งตัว มาให้เรา" 10 เขาได้นำสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดมาให้พระองค์ และตัดออกเป็นสองท่อน และวางแต่ละท่อนไว้ตรงข้ามกัน แต่เขาไม่ได้ตัดแบ่งพวกนก 11 เมื่อพวกนกที่ล่าเหยื่อบินโฉบลงมาบนเหล่าซากสัตว์ทั้งหลาย อับรามก็ได้ขับไล่พวกมันไป
12 จากนั้นเมื่อดวงอาทิตย์ได้กำลังคล้อยต่ำลง อับรามรู้สึกง่วงนอนและ ดูเถิด ความมืดที่ลึกล้ำ และน่ากลัวยิ่งได้มาปกคลุมเขาไว้ 13 พระยาห์เวห์จึงได้ตรัสกับอับรามว่า "จงรู้แน่เถิดว่าเชื้อสายทั้งหลายของเจ้าจะเป็นคนแปลกหน้าในดินแดนที่ไม่ใช่ของพวกเขา และจะต้องถูกบังคับให้เป็นทาส และกดขี่ข่มเหงเป็นเวลาสี่ร้อยปี 14 เราจะพิพากษาชนชาตินั้นที่พวกเขารับใช้ และหลังจากนั้นพวกเขาจะออกมาพร้อมกับทรัพย์สินมากมาย 15 แต่เจ้าจะไปหาบรรพบุรุษของเจ้าอย่างสงบ และเจ้าจะถูกฝังเมื่ออายุมากแล้ว 16 ในชั่วอายุคนที่สี่พวกเขาจะมาที่นี่อีกครั้ง เพราะว่าความชั่วช้าของคนอาโมไรต์ยังไม่ถึงขีดสุด"
17 เมื่อดวงอาทิตย์ตก และมืดแล้ว ดูเถิด มีหม้อควันไฟและคบเพลิงได้ผ่านไประหว่างซากสัตว์เหล่านั้น 18 ในวันนั้นพระยาห์เวห์ได้ทรงกระทำพันธสัญญากับอับราม ตรัสว่า " โดยนัยนี้ เรามอบแผ่นดินนี้แก่เชื้อสายทั้งหลายของเจ้า จากแม่น้ำแห่งอียิปต์ถึงแม่น้ำใหญ่ คือแม่น้ำยูเฟรติส 19 แผ่นดินของคนเคไนต์ คนเคนัส คนขัดโมไนต์ 20 คนฮิตไทต์ คนเปริสซี คนเรฟาอิม 21 คนอาโมไรต์ คนคานาอัน คนเกอร์กาชี และคนเยบุส "
1 ถึงวันนี้ ซารายภรรยาอับรามยังไม่ได้ให้กำเนิดบุตรแก่อับราม แต่นางมีคนใช้ผู้หญิงคนอียิปต์คนหนึ่งชื่อฮาการ์ 2 ดังนั้นซารายจึงพูดกับอับรามว่า "ดูเถิด พระยาห์เวห์ไม่ทรงให้ฉันมีบุตร ไปเถิด ไปหลับนอนกับคนใช้ของฉัน บางทีฉันอาจจะมีบุตรโดยนาง" อับรามก็ได้ฟังเสียงของซาราย 3 นั่นเป็นเวลาสิบปีหลังจากที่อับรามได้อาศัยอยู่ในแผ่นดินคานาอัน ที่ซาราย ภรรยาของอับรามได้ยกฮาการ์คนใช้ชาวอียิปต์ของนางให้เป็นภรรยาของอับราม 4 ดังนั้นเขาจึงได้หลับนอนกับฮาการ์ และนางได้ตั้งครรภ์ เมื่อนางรู้ว่านางตั้งครรภ์ นางจึงได้ดูหมิ่นนายหญิงของนาง 5 ซารายจึงได้พูดกับอับรามว่า "ความทุกข์นี้ตกแก่ฉันเพราะท่าน ฉันได้ยกสาวใช้ของฉันไปสู่อ้อมกอดของท่าน และเมื่อนางพบว่านางตั้งครรภ์ ฉันก็ถูกดูหมิ่นในสายตาของนาง ขอให้พระยาห์เวห์ตัดสินความระหว่างฉันกับท่าน" 6 แต่อับรามได้พูดกับซารายว่า "นี่แน่ะ หญิงคนใช้ของเจ้าอยู่ในอำนาจของเจ้า จงกระทำกับนางในสิ่งที่เจ้าเห็นว่าดีที่สุด" ดังนั้นซารายจึงได้จัดการกับนางอย่างหนัก และนางก็ได้หนีไปจากเธอ
7 ทูตสวรรค์ของพระยาห์เวห์ได้พบนางที่บ่อน้ำพุในถิ่นทุรกันดาร บ่อน้ำพุที่อยู่บนทางไปเมืองชูร์ 8 ท่านได้ถามว่า "ฮาการ์ คนใช้ของซาราย เจ้ามาจากไหน และเจ้ากำลังจะไปไหน?" นางจึงตอบว่า "ฉันกำลังหนีจากนายหญิงของฉัน ซาราย" 9 ทูตสวรรค์ของพระยาห์เวห์ได้พูดกับนางว่า "จงกลับไปหานายหญิงของเจ้า และยอมอยู่ใต้อำนาจของนาง" 10 จากนั้นทูตสวรรค์ของพระยาห์เวห์ได้พูดกับนางว่า "เราจะเพิ่มเชื้อสายของเจ้าอย่างทวีคูณ ดังนั้นพวกเขาจะมีจำนวนมากมายเกินกว่าจะนับได้" 11 ทูตสวรรค์ของพระยาห์เวห์นั้นยังได้พูดกับนางอีกด้วยว่า "ดูเถิด เจ้าตั้งครรภ์ และจะให้กำเนิดบุตรชาย และเจ้าจะเรียกชื่อของเขาว่า อิชมาเอล เพราะว่าพระยาห์เวห์ได้ทรงสดับฟังความทุกข์ร้อนของเจ้า 12 เขาจะเป็นลาป่าของผู้ชาย เขาจะเป็นปรปักษ์ต่อสู้กับผู้ชายทุกคน และผู้ชายทุกคนจะเป็นปรปักษ์กับเขา และเขาจะอาศัยแยกออกจากพี่น้องทั้งหมดของเขา" 13 จากนั้นนางได้เรียกนามนี้ต่อพระยาห์เวห์ผู้ที่ได้ตรัสแก่นางว่า "พระองค์คือพระเจ้าผู้ที่ทรงเห็นข้าพระองค์" เพราะนางได้พูดว่า "แม้ว่าหลังจากที่พระองค์ได้ทรงเห็น ข้าพระองค์ยังเห็นได้จริง ๆ หรือ?" 14 ดังนั้นบ่อน้ำนั้นจึงถูกเรียกชื่อว่า เบเออลาไฮรอย ดูเถิดมันตั้งอยู่ระหว่างคาเดชกับเบเรด
15 ฮาการ์ได้ให้กำเนิดบุตรชายแก่อับราม และอับรามได้ตั้งชื่อบุตรชายของเขาที่เกิดจากฮาการ์ว่า อิชมาเอล 16 อับรามมีอายุได้แปดสิบหกปี เมื่อฮาการ์ได้ให้กำเนิดอิชมาเอลแก่อับราม
1 เมื่ออับรามอายุได้เก้าสิบเก้าปี พระยาห์เวห์ได้ทรงปรากฏแก่อับราม และตรัสกับเขาว่า "เราเป็นพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ จงดำเนินต่อหน้าเรา และปราศจากที่ตำหนิ 2 จากนั้นเราจะยืนยันพันธสัญญาของเราระหว่างเรากับเจ้า และจะเพิ่มทวีให้แก่เจ้าอย่างล้นเหลือ" 3 อับรามได้โน้มตัวลงหน้าจรดพื้น และพระเจ้าได้ทรงสนทนากับเขา ตรัสว่า 4 "สำหรับเรา นี่คือพันธสัญญาของเรากับเจ้า เจ้าจะเป็นบิดาของชนชาติมากมาย 5 อับรามจะไม่ใช่ชื่อของเจ้าอีกต่อไป แต่ชื่อของเจ้าจะเป็นอับราฮัม เพราะว่าเราจะให้เจ้าเป็นบิดาของชนชาติมากมาย 6 เราจะทำให้เจ้าทวีเพิ่มขึ้นเหลือคณานับ และเราจะให้ชนชาติทั้งหลายของเจ้าเกิดขึ้น และกษัตริย์หลายพระองค์จะออกมาจากเจ้า 7 เราจะตั้งพันธสัญญาระหว่างเรากับเจ้า และเชื้อสายทั้งหลายของเจ้าที่เกิดมาภายหลังเจ้า ตลอดทุกชั่วอายุคนของพวกเขา เป็นพันธสัญญานิรันดร์ ที่จะเป็นพระเจ้าของเจ้า และของเชื้อสายทั้งหลายของเจ้าที่เกิดมาภายหลังเจ้า 8 เราจะมอบแผ่นดินที่ซึ่งเจ้าได้อาศัยอยู่แก่เจ้า และเชื้อสายทั้งหลายที่เกิดมาภายหลังเจ้า คือแผ่นดินคานาอันทั้งหมดเป็นกรรมสิทธิ์นิรันดร์ และเราจะเป็นพระเจ้าของพวกเขา"
9 จากนั้นพระเจ้าได้ตรัสแก่อับราฮัมว่า "สำหรับเจ้า เจ้าต้องรักษาพันธสัญญาของเรา เจ้าและเชื้อสายทั้งหลายของเจ้าที่เกิดมาภายหลังเจ้า ตลอดทุกชั่วอายุคนของพวกเขา 10 นี่คือพันธสัญญาของเราซึ่งเจ้าต้องรักษาระหว่างเรากับเจ้าและเชื้อสายทั้งหลายของเจ้าที่เกิดมาภายหลังเจ้า คือผู้ชายทุกคนท่ามกลางเจ้าต้องเข้าสุหนัต 11 เจ้าต้องเข้าสุหนัตตัดหนังหุ้มปลายองคชาต และนี่จะเป็นหมายสำคัญของพันธสัญญาระหว่างเรากับเจ้า 12 ผู้ชายทุกคนท่ามกลางเจ้าซึ่งมีอายุแปดวันต้องเข้าสุหนัตตลอดทุกชั่วอายุชาติพันธ์ุของเจ้า นี่รวมถึงผู้ชายที่เกิดในครัวเรือนของเจ้า และผู้ชายที่ถูกซื้อมาจากคนต่างชาติด้วยเงิน ผู้ซึ่งไม่ใช่เชื้อสายทั้งหลายของเจ้า 13 ผู้ชายซึ่งเกิดในครัวเรือนของเจ้า และผู้ชายที่ถูกซื้อมาด้วยเงินของเจ้าต้องเข้าสุหนัต ดังนั้นพันธสัญญาของเราจะอยู่ในเนื้อหนังของเจ้า เป็นพันธสัญญานิรันดร์ 14 ผู้ชายคนใดที่ไม่เข้าสุหนัตตัดหนังหุ้มปลายองคชาตจะถูกตัดออกจากชนชาติของเขา เขาได้ละเมิดพันธสัญญาของเรา"
15 พระเจ้าได้ตรัสแก่อับราฮัมว่า "สำหรับซาราย ภรรยาของเจ้า อย่าเรียกนางว่าซารายอีกต่อไป แต่ชื่อของนางจะเป็นซาราห์ 16 เราจะอวยพรนาง และเราจะให้บุตรชายคนหนึ่งจากนางแก่เจ้า เราจะอวยพรนาง และนางจะเป็นมารดาของชนชาติทั้งหลาย กษัตริย์ทั้งหลายของปวงชนจะมาจากนาง" 17 จากนั้นอับราฮัมได้ก้มลง หน้าจรดพื้นดิน และหัวเราะ และพูดในใจของเขาว่า "ผู้ชายที่อายุหนึ่งร้อยปีจะมีบุตรได้หรือ? ซาราห์ซึ่งมีอายุเก้าสิบปีจะให้กำเนิดบุตรชายได้หรือ?" 18 อับราฮัมได้ทูลพระเจ้าว่า "โอ ขอให้อิชมาเอลมีชีวิตอยู่ต่อพระพักตร์พระองค์" 19 พระเจ้าได้ตรัสว่า "ไม่ใช่เช่นนั้น แต่ซาราห์ ภรรยาของเจ้าจะให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่งแก่เจ้า และเจ้าต้องตั้งชื่อเขาว่า อิสอัค เราจะตั้งพันธสัญญาของเรากับเขาเป็นพันธสัญญานิรันดร์กับเชื้อสายทั้งหลายของเขาที่เกิดภายหลังเขา 20 สำหรับอิชมาเอลนั้น เราได้ฟังเจ้า ดูเถิดเราจะอวยพรเขา และจะทำให้เขามีเพิ่มมากขึ้น และจะทวีคูณอย่างมากมายแก่เขา เขาจะเป็นบิดาของผู้นำสิบสองเผ่า และเราจะทำให้เขาเป็นชาติที่ยิ่งใหญ่ 21 แต่พันธสัญญาของเรา เราจะตั้งไว้กับอิสอัคผู้ซึ่งซาราห์จะให้กำเนิดแก่เจ้า ในเวลานี้ ในปีหน้า "
22 เมื่อพระองค์ทรงกล่าวกับเขาเสร็จแล้ว พระเจ้าจึงไปจากอับราฮัม 23 จากนั้นอับราฮัมได้นำอิชมาเอล บุตรชายของเขา และคนเหล่านั้นทั้งหมดที่เกิดในครัวเรือนของเขา และคนเหล่านั้นทั้งหมดที่ถูกซื้อมาด้วยเงินของเขา ผู้ชายทุกคนในท่ามกลางครัวเรือนของอับราฮัม ให้มาเข้าสุหนัตตัดหนังหุ้มปลายองคชาตในวันเดียวกันที่พระเจ้าได้ตรัสแก่เขา 24 อับราฮัมอายุได้เก้าสิบเก้าปีเมื่อเขาเข้าสุหนัตตัดหนังหุ้มปลายองคชาต 25 อิชมาเอลบุตรของเขาอายุได้สิบสามปีเมื่อเขาเข้าสุหนัตตัดหนังหุ้มปลายองคชาต 26 ในวันเดียวกันนั้นทั้งอับราฮัม และอิชมาเอลบุตรชายของเขาได้เข้าสุหนัต 27 ผู้ชายทั้งหมดในครัวเรือนของเขาได้เข้าสุหนัตกับเขา รวมทั้งคนเหล่านั้นที่เกิดในครัวเรือนนั้น และคนเหล่านั้นที่ถูกซื้อมาจากคนต่างชาติด้วยเงิน
1 พระยาห์เวห์ได้ทรงปรากฏแก่อับราฮัมที่หมู่ต้นโอ๊คของมัมเร ในเวลาอากาศร้อนของวัน ในขณะที่เขานั่งอยู่ที่ประตูเต็นท์ 2 เขาเงยหน้าขึ้นมองดู นี่แน่ะเขาเห็นผู้ชายสามคนกำลังยืนอยู่ตรงข้ามกับเขา เมื่ออับราฮัมได้เห็นพวกเขา อับราฮัมได้วิ่งจากประตูเต็นท์ไปพบพวกเขา และโน้มตัวลงถึงดิน 3 เขาได้พูดว่า "นายท่าน ถ้าข้าพเจ้าเป็นที่โปรดปรานในสายตาของท่าน ขออย่าได้ผ่านไป และละทิ้งผู้รับใช้ของท่าน 4 ขอให้ข้าพเจ้าได้นำเอาน้ำมาให้ท่านสักเล็กน้อย ล้างเท้าของท่าน ให้ท่านได้พักผ่อนใต้ต้นไม้ 5 ให้ข้าพเจ้านำอาหารสักเล็กน้อยมาให้ ดังนั้นท่านจะได้กระทำให้ท่านเองสดชื่นขึ้น หลังจากนั้นท่านค่อยเดินทางต่อไป เพราะท่านได้แวะมาเยี่ยมเยียนผู้รับใช้ของท่าน" พวกเขาตอบว่า "จงทำตามที่เจ้าพูดเถิด" 6 แล้วอับราฮัมได้รีบเข้าไปในเต็นท์ ไปหาซาราห์ และพูดว่า "รีบหน่อย เอาแป้งอย่างดีสามถัง นวดและทำขนมปัง" 7 จากนั้นอับราฮัมได้วิ่งไปที่ฝูงสัตว์ และนำเอาลูกวัวที่ยังอ่อนและดี มาให้คนใช้ และเขาได้รีบที่จะจัดเตรียมทำเป็นอาหาร 8 เขาได้เอาเนย และน้ำนม และลูกวัวที่ได้จัดทำไว้แล้ว และวางอาหารนั้นต่อหน้าพวกเขา และเขาได้ยืนอยู่ข้างพวกเขาใต้ต้นไม้ในขณะที่พวกเขากินอาหาร
9 พวกเขาได้พูดกับเขาว่า "ซาราห์ ภรรยาของเจ้าอยู่ไหน?" เขาตอบว่า "ที่นั่น อยู่ในเต็นท์" 10 เขาได้พูดว่า "แน่ทีเดียว เราจะกลับมาหาเจ้าในฤดูใบ้ผลิและดูเถิดซาราห์ ภรรยาของเจ้าจะมีบุตรชาย" ซาราห์กำลังฟังอยู่ที่ประตูเต็นท์ซึ่งอยู่ข้างหลังเขา 11 ขณะนั้นอับราฮัมและซาราห์แก่ มีอายุมากแล้ว และซาราห์ก็มีอายุมากเกินกว่าที่จะมีบุตรได้ 12 ดังนั้นซาราห์จึงหัวเราะกับตัวเองและพูดกับตัวเองว่า "หลังจากที่ฉันหมดแรงแล้ว และเจ้านายของฉันก็แก่แล้ว ฉันจะมีความยินดีในเรื่องนี้อีกหรือ?" 13 พระยาห์เวห์จึงตรัสแก่อับราฮัมว่า "ทำไมซาราห์หัวเราะและพูดว่า 'ฉันจะให้กำเนิดบุตรคนหนึ่งจริงหรือ ในเมื่อฉันแก่แล้ว?' 14 มีอะไรที่ยากเกินไปสำหรับพระยาห์เวห์หรือ? ในเวลาที่เราได้กำหนด ในฤดูใบไม้ผลิ เราจะกลับมาหาเจ้า ประมาณเวลานี้ ในปีหน้าซาราห์จะให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง" 15 ซาราห์ได้ปฏิเสธและพูดว่า "ข้าพระองค์ไม่ได้หัวเราะ" เพราะนางหวาดกลัว พระองค์ทรงตอบว่า "อย่าเลย เจ้าได้หัวเราะ"
16 แล้วผู้ชายเหล่านั้นจึงได้ลุกขึ้นจากไป และมองลงไปที่เมืองโสโดม อับราฮัมไปกับพวกเขาเพื่อมองดูพวกเขาไปตามทาง 17 แต่พระยาห์เวห์ได้ตรัสว่า "ควรหรือที่เราจะปิดบังอับราฮัมในสิ่งที่เราจะทำ 18 เพราะว่าอับราฮัมจริง ๆ แล้วจะเป็นชนชาติที่ยิ่งใหญ่และมีอำนาจมาก และชนชาติทั้งหมดของแผ่นดินจะได้รับพรเพราะเขา? 19 เพราะว่าเราได้เลือกเขา ดังนั้นเขาจะสั่งสอนบุตรทั้งหลายของเขา และครัวเรือนของเขาที่จะมาภายหลังเขาให้ถือรักษาทางของพระยาห์เวห์ เพื่อกระทำความชอบธรรมและยุติธรรม ดังนั้นพระยาห์เวห์จะได้ประทานให้แก่อับราฮัมตามที่พระองค์ได้ตรัสแก่เขาแล้วนั้น" 20 จากนั้นพระยาห์เวห์ได้ตรัสว่า "เพราะว่ามีเสียงเรียกร้องกล่าวโทษเมืองโสโดม และเมืองโกโมราห์อย่างมากมาย และเพราะว่าความบาปของพวกเขานั้นร้ายแรง 21 บัดนี้เราจะลงไปที่นั่นและดูตามเสียงเรียกร้องกล่าวโทษเมืองนั้นที่มาถึงเรา ดูว่าพวกเขาได้ทำบาปอย่างนั้นจริงไหม ถ้าไม่ เราก็จะรู้"
22 ดังนั้นพวกผู้ชายได้หันไปจากที่นั่น และมุ่งตรงไปยังเมืองโสโดม แต่อับราฮัมยังคงยืนอยู่ต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ 23 จากนั้นอับราฮัมได้เข้ามาใกล้และทูลถามว่า "พระองค์จะทรงทำลายล้างคนชอบธรรมพร้อมกับคนอธรรมหรือ? 24 บางทีอาจจะมีผู้ชอบธรรมห้าสิบคนในเมืองนั้น พระองค์จะทรงทำลายเมืองนั้น และจะไม่ละเว้นเมืองนั้นเพราะคนชอบธรรมห้าสิบคนที่อยู่ที่นั่นหรือ? 25 ขอให้มันอยู่ห่างไกลจากพระองค์ที่จะทรงกระทำสิ่งนั้นคือ การฆ่าคนชอบธรรมพร้อมกับคนอธรรม ดังนั้นควรหรือที่คนชอบธรรมจะถูกกระทำแบบเดียวกันกับคนอธรรม ขอให้มันอยู่ห่างไกลจากพระองค์เถิด ผู้พิพากษาของแผ่นดินทั้งหมดจะไม่ทำอะไรที่ยุติธรรมหรือ?" 26 พระยาห์เวห์ได้ตรัสว่า "หากเราพบคนชอบธรรมห้าสิบคนในเมืองโสโดม เราจะละเว้นเมืองนั้นทั้งเมืองเพื่อเห็นแก่พวกเขา" 27 อับราฮัมได้ตอบและทูลว่า "ดูเถิด ข้าพระองค์ขอพระกรุณาที่จะทูลต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ แม้ว่าข้าพระองค์จะเป็นเพียงธุลี และขี้เถ้าว่า 28 ถ้าหากมีคนชอบธรรมน้อยกว่าห้าสิบคนไปห้าคน พระองค์จะทรงทำลายเมืองทั้งเมืองเพราะขาดไปห้าคนนั้นหรือไม่? " พระองค์ได้ตรัสว่า "เราจะไม่ทำลายเมืองนั้น ถ้าเราพบสี่สิบห้าคนที่นั่น" 29 เขาได้พูดกับพระองค์อีกครั้ง และได้ทูลว่า "และถ้าพบสี่สิบคนที่นั่นเล่า" พระองค์ได้ตรัสตอบว่า "เราก็จะไม่ทำลายมันเพราะเห็นแก่สี่สิบคนนั้น" 30 เขาได้ทูลว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงพระกรุณาอย่าทรงกริ้วเลย ข้าพระองค์ขอทูลว่า บางทีอาจจะพบสามสิบคนที่นั่น" พระองค์ตรัสตอบว่า "เราจะไม่ทำลายมันถ้าเราพบสามสิบคนที่นั่น" 31 เขาได้ทูลว่า "ดูเถิด ข้าพระองค์ขอทรงพระกรุณาที่จะทูลต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ บางทีอาจจะพบยี่สิบคนที่นั่น" พระองค์ตรัสตอบว่า "เราจะไม่ทำลายเมืองนั้นเพราะเห็นแก่ยี่สิบคนนั้น" 32 เขาได้ทูลว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้าขอทรงพระกรุณาอย่าทรงกริ้ว และข้าพระองค์ขอทูลครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย บางทีอาจจะพบสิบคนที่นั่น" แล้วพระองค์ได้ตรัสว่า "เราจะไม่ทำลายเมืองนั้นเพราะเห็นแก่สิบคนนั้น" 33 พระยาห์เวห์ได้เสด็จไปทันทีเมื่อพระองค์เสร็จสิ้นการพูดกับอับราฮัม และอับราฮ้มก็ได้กลับไปบ้าน
1 ทูตสวรรค์สององค์ได้มาถึงเมืองโสโดมในตอนเย็น ขณะที่โลทกำลังนั่งอยู่ที่ประตูเมืองโสโดม โลทจึงเห็นพวกเขา จึงลุกขึ้นไปพบพวกเขา และโน้มตัวลงหน้าถึงพื้น 2 เขาพูดว่า "กรุณาเถอะ เจ้านายของขัาพเจ้า ข้าพเจ้าขอเชิญท่านแวะไปยังบ้านผู้รับใช้ของท่าน พักค้างคืน และล้างเท้าของท่าน จากนั้นท่านสามารถตื่นขึ้นแต่เช้า และเดินทางต่อไป" พวกเขาตอบว่า "ไม่หรอก เราจะพักค้างคืนที่ลานเมือง" 3 แต่เขาพยายามคะยั้นคะยอมากขึ้น ดังนั้นพวกเขาจึงได้ไปกับเขา และเข้าไปในบ้านของเขา เขาได้จัดเตรียมอาหาร และปิ้งขนมปังไร้เชื้อ และพวกเขาก็ได้กิน 4 แต่ก่อนที่พวกเขาจะนอนลง พวกผู้ชายของเมืองนั้น พวกผู้ชายของเมืองโสโดมได้ล้อมบ้านนั้นไว้ ทั้งคนหนุ่มและคนแก่ ผู้ชายทั้งหมดจากทุกซอกทุกซอยของเมืองนั้น 5 พวกเขาร้องเรียกหาโลท และได้พูดกับเขาว่า "พวกผู้ชายที่ได้เข้ามาหาเจ้าคืนนี้อยู่ไหน? จงนำพวกเขาออกมาให้เรา พวกเราจะหลับนอนกับพวกเขา"
6 โลทจึงได้ออกไปนอกประตู ไปหาพวกเขา และได้ปิดประตูหลังจากที่เขาออกไปแล้ว 7 เขาได้พูดว่า "ข้าพเจ้าขอร้องพวกท่าน พี่น้องของข้าพเจ้า อย่ากระทำชั่วร้ายอย่างนั้นเลย 8 ดูเถิด ข้าพเจ้ามีบุตรสาวสองคนผู้ที่ไม่เคยหลับนอนกับผู้ชายคนใดมาก่อน ข้าพเจ้าขอร้องท่าน ข้าพเจ้าจะนำพวกเขาออกมาให้พวกท่าน และพวกท่านจะทำอะไรกับพวกเขาก็แล้วแต่พวกท่าน เพียงแต่อย่าทำอะไรกับผู้ชายเหล่านี้ เพราะว่าพวกเขาได้มาอยู่ใต้ร่มเงาหลังคาบ้านของข้าพเจ้า" 9 พวกเขาพูดว่า "จงถอยไป" พวกเขาพูดอีกด้วยว่า "คนนี้มาที่นี่เพื่อที่จะอาศัยอยู่ที่นี่เหมือนคนต่างชาติคนหนึ่ง แต่บัดนี้เขาได้กลายเป็นผู้พิพากษาเรา บัดนี้พวกเราจะจัดการอย่างที่เลวร้ายยิ่งแก่เจ้ามากกว่าที่จะกระทำกับพวกเขา" พวกเขาได้ผลักผู้ชายคนนั้นอย่างแรง คือสู้กับโลท และเข้ามาใกล้ จวนที่จะพังประตูบ้านลง 10 แต่พวกผู้ชายนั้นได้ยื่นมือออกไปดึงโลทกลับเข้ามาในบ้านและปิดประตู 11 จากนั้นพวกแขกของโลทได้จู่โจมอย่างที่ไม่สามารถมองเห็นได้ต่อพวกผู้ชายที่อยู่นอกประตูบ้าน ทั้งคนหนุ่มและคนแก่ ดังนั้นพวกเขาจึงอ่อนแรงลงเมื่อพวกเขาได้พยายามเข้ามาที่ประตูบ้าน
12 แล้วพวกผู้ชายนั้นได้พูดกับโลทว่า"เจ้ามีใครอยู่ที่นี่อีกไหม? บุตรเขยทั้งหลาย บุตรชายและบุตรสาวทั้งหลาย และใครก็ตามที่เจ้ามีในเมืองนี้ จงพาพวกเขาออกจากที่นี่ 13 เพราะว่าเราจะทำลายสถานที่นี้เพราะว่าการเรียกร้องกล่าวหาเรื่องนี้ดังมากไปถึงพระพักตร์พระยาห์เวห์ ดังนั้นพระองค์จึงทรงส่งพวกเรามาทำลายเมืองนี้" 14 โลทได้ออกไปพูดกับพวกบุตรเขยของเขา พวกผู้ชายที่ได้สัญญาว่าจะแต่งงานกับบุตรสาวทั้งหลายของเขา และพูดว่า "เร็วๆ รีบออกไปจากที่นี่ เพราะพระยาห์เวห์กำลังจะทรงทำลายเมืองนี้" แต่สำหรับพวกบุตรเขยของเขา เขาดูเหมือนพูดเรื่องตลก
15 เมื่อใกล้จะสว่าง เหล่าทูตสวรรค์ได้เร่งโลท กล่าวว่า "จงไปเถิด นำภรรยาของเจ้าและบุตรสาวสองคนที่อยู่ที่นี่ เพื่อที่จะไม่ถูกทำลายไปกับการลงโทษเมืองนี้" 16 แต่เขาลังเล พวกผู้ชายนั้นจึงจับมือเขา และมือของภรรยาของเขา และมือของบุตรสาวทั้งสองของเขาเพราะว่าพระยาห์เวห์ทรงพระกรุณาต่อเขา พวกเขาได้นำเขาทั้งหลาย และออกไปนอกเมืองนั้น 17 เมื่อพวกเขาได้นำเขาทั้งหลายออกมา ผู้ชายคนหนึ่งได้พูดว่า "จงวิ่งไปเพื่อเอาชีวิตรอด อย่าหันกลับมามอง หรือหยุดพักที่ใดในที่ราบนั้น จงหนีไปยังภูเขาทั้งหลายเพื่อที่พวกเจ้าจะไม่ถูกกวาดล้าง"
18 โลทได้พูดกับพวกเขาว่า "อย่าเลย กรุณาเถอะ 19 เจ้านายของข้าพเจ้า ผู้รับใช้ของท่านได้เป็นที่โปรดปรานในสายตาของท่านแล้ว และท่านได้สำแดงความเมตตาที่ยิ่งใหญ่แก่ข้าพเจ้าในการช่วยชีวิตของข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าไม่สามารถหนีไปยังภูเขาทั้งหลายได้ทันเพราะภัยพิบัติจะถึงข้าพเจ้าเสียก่อน และข้าพเจ้าจะตาย 20 ดูเถิดเมืองนั้น อยู่ที่นั่น อยู่ใกล้พอที่จะหนีไปที่นั่น และเป็นเมืองเล็ก ๆ กรุณาอนุญาตให้ข้าพเจ้าหนีไปที่นั่นเถิด (ไม่ใช่เมืองเล็กหรือ?) และชีวิตของข้าพเจ้าจะปลอดภัย" 21 เขาได้พูดกับท่านว่า "ตกลง เรายอมรับคำร้องขอนี้ด้วย ที่เราจะไม่ทำลายเมืองที่เจ้าได้กล่าวถึง 22 เร็วเถิด จงหนีไปที่นั่น เพราะเราจะไม่สามารถทำอะไรได้จนกว่าเจ้าจะไปถึงที่นั่น" ด้วยเหตุนี้เมืองนั้นจึงถูกเรียกว่า โศอาร์ 23 ดวงอาทิตย์ขึ้นเหนือแผ่นดินเมื่อโลทได้ไปถึงเมืองโศอาร์
24 จากนั้นพระยาห์เวห์ทรงได้ส่งกำมะถันและไฟจากท้องฟ้าลงมาเหนือเมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์ 25 พระองค์ทรงได้ทำลายเมืองเหล่านั้น และที่ราบทั้งหมด และผู้ที่อยู่ในเมืองเหล่านั้นทั้งหมด และพืชทั้งหลายที่เติบโตบนพื้นดิน 26 แต่ภรรยาของโลทที่อยู่ข้างหลังเขา ได้หันกลับไปมองดู และนางได้กลายเป็นเสาเกลือ 27 อับราฮัมได้ลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ และได้ไปที่ที่เขาได้ยืนอยู่ต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ 28 เขาได้มองลงไปยังเมืองโสโดม และเมืองโกโมราห์ และแผ่นดินของที่ราบนั้นทั้งหมด เขาได้มองดู และนี่แน่ะ มีควันพลุ่งขึ้นจากแผ่นดินเหมือนควันของเตาเผา
29 ดังนั้นเมื่อพระเจ้าทรงได้ทำลายเมืองทั้งหลายของที่ราบ พระเจ้าทรงได้ระลึกถึงอับราฮัม พระองค์ทรงได้ส่งโลทออกไปพ้นจากการทำลายล้างเมื่อพระองค์ทรงได้ทำลายเมืองทั้งหลายที่โลทได้อาศัยอยู่ 30 โลทจึงได้ออกไปจากเมืองโศอาร์ไปอาศัยอยู่บนภูเขากับบุตรสาวทั้งสองคนเพราะเขาหวาดกลัวที่จะอาศัยอยู่ในเมืองโศอาร์ เหตุนี้เขาจึงได้อาศัยอยู่ในถ้ำ เขาและบุตรสาวทั้งสอง
31 บุตรสาวคนโตได้พูดกับน้องสาวว่า "บิดาของเราอายุมากแล้ว และไม่มีผู้ชายคนใดที่จะมาหลับนอนกับเราตามธรรมเนียมประพณีของโลก 32 มาเถิด ให้เราชักชวนบิดาดื่มเหล้าองุ่น และเราจะหลับนอนกับเขา เพื่อที่จะขยายพงศ์พันธ์ุของบิดาเรา" 33 ดังนั้นพวกเขาจึงให้บิดาของพวกเขาดื่มเหล้าองุ่นในคืนนั้น จากนั้นบุตรสาวคนโตได้เข้าไปหลับนอนกับบิดาของนาง เขาไม่รู้ว่านางได้เข้ามานอนเมื่อใด หรือนางได้ลุกออกไปเมื่อใด 34 ในวันต่อมาบุตรสาวคนโตได้พูดกับน้องสาวว่า "จงฟัง เมื่อคืนนี้ฉันได้หลับนอนกับบิดาของฉัน ให้เราชักชวนเขาดื่มเหล้าองุ่นอีกคืนนี้ และเจ้าควรเข้าไปและหลับนอนกับเขา ดังนั้นเราจะขยายพงศ์พันธ์ุของบิดา" 35 ดังนั้นพวกเขาจึงให้บิดาของพวกเขาดื่มเหล้าองุ่นในคืนนั้นด้วย และบุตรสาวคนน้องก็ได้เข้าไปและหลับนอนกับเขา เขาไม่รู้ว่านางได้เข้ามานอนเมื่อใด หรือนางได้ลุกออกไปเมื่อใด 36 นี่แหละบุตรสาวทั้งสองของโลทก็ได้ตั้งครรภ์โดยบิดาของพวกเขา 37 บุตรสาวคนแรกได้ให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง และได้ตั้งชื่อเขาว่า โมอับ เขาได้เป็นบรรพบุรุษของคนโมอับทุกวันนี้ 38 สำหรับบุตรสาวคนน้อง นางก็ได้ให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง และได้ตั้งชื่อเขาว่า เบนอัมมี เขาได้เป็นบรรพบุรุษของคนอัมโมนทุกวันนี้
1 อับราฮัมได้เดินทางจากที่นั่นไปยังแผ่นดินเนเกบ และได้อาศัยอยู่ระหว่างเมืองคาเดชกับเมืองชูร์ เขาได้เป็นคนต่างชาติอาศัยอยู่ในเมืองเกราร์ 2 อับราฮัมได้พูดเกี่ยวกับซาราห์ภรรยาของเขาว่า "นางคือน้องสาวของฉัน" ดังนั้นอาบีเมเลค กษัตริยฺ์แห่งเมืองเกราร์จึงได้ส่งคนของพระองค์มาและนำซาราห์ไป
3 แต่พระเจ้าได้เสด็จมาหาอาบีเมเลคในพระสุบินในคืนนั้น และได้ตรัสกับเขาว่า "ดูเถิด เจ้าเป็นผู้ชายที่ตายแล้ว เพราะผู้หญิงผู้ที่เจ้าได้เอามานั้น นางเป็นภรรยาของผู้ชายคนหนึ่ง" 4 ขณะนั้นอาบีเมเลคยังไม่ได้เข้าใกล้นาง และพระองค์จึงทูลว่า "ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์จะทรงประหารชนชาติที่ชอบธรรมหรือ? 5 เขาเองไม่ใช่หรือที่พูดกับข้าพระองค์ว่า 'นางคือน้องสาวของฉัน'? แม้กระทั่งตัวนางเองก็ได้พูดว่า 'เขาคือพี่ชายของฉัน' ข้าพระองค์ได้กระทำสิ่งนี้ด้วยความซื่อสัตย์จากใจของข้าพระองค์ และมือที่ไร้เดียงสาของข้าพระองค์" 6 พระเจ้าจึงได้ตรัสแก่พระองค์ในพระสุบินว่า "ถูกต้อง เรารู้ด้วยว่าเจ้าได้ทำสิ่งนี้ด้วยความซื่อสัตย์จากใจของเจ้า เราจึงได้ป้องกันเจ้าจากการทำบาปต่อต้านเราด้วย ดังนั้นเราจึงไม่ได้อนุญาตให้เจ้าแตะต้องนาง 7 ดังนั้นจงคืนภรรยาของเขาไป เพราะว่าเขาเป็นผู้เผยพระวจนะ เขาจะอธิษฐานเผื่อเจ้า และเจ้าจะมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่ถ้าเจ้าไม่คืนนางไป จงรู้เถิดว่าเจ้า และคนทั้งหมดที่เป็นของเจ้าจะตายอย่างแน่นอน"
8 อาบีเมเลคทรงตื่นบรรทมแต่เช้าตรู่ และทรงได้เรียกข้าราชการทั้งหมดของพระองค์เข้ามาหาพระองค์เอง พระองค์ทรงได้บอกถึงสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดแก่พวกเขา และพวกผู้ชายทั้งหลายก็หวาดกลัว 9 จากนั้นอาบีเมเลคทรงได้เรียกอับราฮัมเข้ามาเฝ้า และได้ตรัสกับเขาว่า "เจ้าได้ทำอะไรกับพวกเรา? เราได้กระทำบาปต่อสู้กับเจ้าอย่างไร เจ้าได้นำความบาปที่ยิ่งใหญ่มาบนเรา และบนอาณาจักรของเรา? เจ้าได้กระทำต่อเราในสิ่งที่ไม่ควรกระทำ" 10 อาบีเมเลคได้ตรัสกับอับราฮัมว่า "อะไรที่กระตุ้นเจ้าให้ทำสิ่งนี้?" 11 อับราฮัมได้ทูลว่า "เพราะว่าข้าพระองค์ได้คิดว่า 'แน่ทีเดียว ในสถานที่นี้คงไม่มีใครเกรงกลัวพระเจ้า และพวกเขาจะฆ่าข้าพระองค์เพราะภรรยาของข้าพระองค์' 12 นอกจากนั้น ที่จริงแล้วนางคือน้องสาวของข้าพระองค์ บุตรสาวของบิดาของข้าพระองค์ แต่ไม่ใช่บุตรสาวของมารดาของข้าพระองค์ และนางก็ได้กลายเป็นภรรยาของข้าพระองค์ 13 เมื่อพระเจ้าทรงได้กระทำให้ข้าพระองค์ออกจากบ้านของบิดาของข้าพระองค์ และเดินทางจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง ข้าพระองค์ได้พูดกับนางว่า 'เจ้าต้องแสดงถึงความสัตย์ซื่อนี้เช่นภรรยาของฉัน คือในทุกแห่งที่เราจะไป ให้พูดถึงฉันว่า 'เขาคือพี่ชายของฉัน'"
14 จากนั้นอาบีเมเลคทรงได้นำเอา แกะ และวัว ข้าทาสชายหญิงจำนวนหนึ่ง และมอบพวกเขาแก่อับราฮัม จากนั้นพระองค์ทรงได้คืนซาราห์ ภรรยาของอับราฮัมให้กับเขา 15 อาบีเมเลคได้ตรัสว่า "ดูเถิด แผ่นดินของเราอยู่ต่อหน้าเจ้าแล้ว จงเลือกตั้งรกรากตามที่เจ้าพอใจ" 16 ส่วนซาราห์ พระองค์ตรัสว่า "นี่แน่ะ เราได้ให้เงินหนึ่งพันแผ่นแก่พี่ของเจ้า เป็นค่าทำขวัญเจ้า ท่ามกลางสายตาคนทั้งหลายที่อยู่กับเจ้า และต่อหน้าคนทั้งปวง เจ้าได้ทำสิ่งที่ถูกต้องอย่างสมบูรณ์" 17 จากนั้นอับราฮัมได้อธิษฐานต่อพระเจ้า และพระเจ้าทรงเยียวยารักษาอาบีเมเลค ภรรยาของเขา และทาสผู้หญิงของเขา ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถให้กำเนิดบุตรได้ 18 เพราะว่าพระยาห์เวห์ทรงได้ทำให้ผู้หญิงทั้งหมดของครัวเรือนของอาบีเมเลคเป็นหมันอย่างสมบูรณ์ เพราะเรื่องของซาราห์ ภรรยาของอับราฮัม
1 พระยาห์เวห์ทรงเอาใจใส่ซาราห์ ดังที่พระองค์ได้ตรัสว่าพระองค์จะทรงกระทำ และพระยาห์เวห์ทรงกระทำแก่ซาราห์เหมือนดังที่พระองค์ทรงได้สัญญาไว้ 2 ซาราห์ตั้งครรภ์และคลอดบุตรชายคนหนึ่งให้แก่อับราฮัมในวัยชราของเขา ในเวลาที่กำหนดไว้ตามที่พระเจ้าได้ตรัสแก่เขาแล้วนั้น 3 อับราฮัมตั้งชื่อบุตรชายของเขา บุตรคนเดียวที่ได้เกิดมาให้เขา ผู้ที่ซาราห์ให้กำเนิดแก่เขา คือ อิสอัค 4 อับราฮัมได้ทำสุหนัตบุตรชายของเขา คือ อิสอัค เมื่อเขาอายุได้แปดวันตามที่พระเจ้าทรงมีพระบัญชา 5 อับราฮัมมีอายุได้หนึ่งร้อยปีเมื่อบุตรชายของเขา คือ อิสอัคได้กำเนิดมาให้เขา 6 ซาราห์พูดว่า "พระเจ้าทรงได้ทำให้ฉันหัวเราะ นั่นคือทุกคนที่ได้ยินจะหัวเราะกับฉัน" 7 นางจึงพูดอีกด้วยว่า "ใครควรจะพูดแก่อับราฮัมว่าซาราห์ควรเลี้ยงเด็ก และฉันยังให้บุตรชายคนหนึ่งแก่เขาในวัยชราของเขา"
8 เด็กคนนั้นได้เติบโตและหย่านม และอับราฮัมจึงจัดงานเลี้ยงฉลองใหญ่ในวันที่อิสอัคหย่านม 9 เมื่อซาราห์ได้เห็นบุตรชายของฮาการ์ คนอียิปต์ผู้ซึ่งนางได้ให้กำเนิดแก่อับราฮัมที่กำลังล้อเลียน 10 ดังนั้นนางจึงพูดกับอับราฮัมว่า "จงขับไล่นางทาสคนนี้และบุตรชายของนางไปเสีย เพราะบุตรชายของนางทาสคนนี้จะไม่เป็นผู้สืบทอดมรดกกับบุตรชายของฉันกับอิสอัค" 11 สิ่งนี้ทำให้อับราฮัมเป็นทุกข์ใจอย่างมากเพราะบุตรชายของเขา 12 แต่พระเจ้าได้ตรัสแก่อับราฮัมว่า "อย่าเป็นทุกข์เพราะเด็กคนนั้นเลย และเพราะหญิงรับใช้ของเจ้า จงฟังคำของนางในทุกสิ่งที่นางพูดแก่เจ้าในเรื่องนี้ เพราะโดยทางอิสอัค เชื้อสายของเจ้าจะมีชื่อเสียง 13 เราจะทำให้บุตรชายของหญิงรับใช้คนนั้นเป็นชาติหนึ่งด้วย เพราะว่าเขาคือเชื้อสายของเจ้า" 14 อับราฮัมได้ลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ เอาขนมปังและน้ำหนึ่งถุงหนัง และให้แก่ฮาการ์ วางบนไหล่ของนาง เขาได้ให้เด็กชายนั้นแก่นาง และส่งนางไป นางได้จากไปและเดินไปอย่างไม่มีจุดมุ่งหมายในถิ่นทุรกันดารแห่งเบเออร์เชบา
15 เมื่อน้ำในถุงหนังหมด นางจึงทิ้งเด็กไว้ใต้พุ่มไม้แห่งหนึ่ง 16 จากนั้นนางได้ไปและนั่งลงไม่ไกลไปจากเขา ระยะไกลประมาณลูกธนูตก เพราะนางได้พูดว่า "อย่าให้ฉันมองดูความตายของเด็กนั้น" เมื่อนางได้นั่งที่นั่นตรงข้ามกับเขานางได้ร้องเสียงดังและร่ำไห้ 17 พระเจ้าทรงได้สดับเสียงของเด็กนั้น และทูตสวรรค์ของพระเจ้าได้เรียกฮาการ์จากท้องฟ้า และพูดกับนางว่า "เจ้ามีปัญหาอะไร ฮาการ์? อย่ากลัวเลย เพราะว่าพระเจ้าทรงได้สดับเสียงของเด็กนั้นจากที่ที่เขาอยู่ 18 จงลุกขึ้น ยกเด็กนั้นขึ้น และให้กำลังใจเขา เพราะว่าเราจะทำให้เขาเป็นชนชาติที่ยิ่งใหญ่ชนชาติหนึ่ง" 19 จากนั้นพระเจ้าทรงได้เปิดตาของนาง และนางได้เห็นบ่อน้ำ นางได้ไป และเติมน้ำในถุงหนังและให้เด็กนั้นดื่ม 20 พระเจ้าได้ประทับอยู่กับเด็กนั้น และเขาได้เติบโตขึ้น เขาได้อาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดาร และกลายเป็นมือธนู 21 เขาอาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดารแห่งปาราน และมารดาของเขาได้หาภรรยาให้เขาจากแผ่นดินอียิปต์
22 และในเวลานั้นที่อาบีเมเลคและฟีโคล์แม่ทัพของเขาได้กล่าวกับอับราฮัมว่า "พระเจ้าประทับอยู่กับเจ้าในทุกสิ่งที่เจ้าทำ 23 เหตุฉะนั้นบัดนี้ จงปฏิญาณต่อเรา ณ ที่นี่โดยพระเจ้าว่าเจ้าจะไม่ประพฤติอย่างผิดๆ กับเรา หรือกับบุตรหลานของเรา หรือกับเชื้อสายทั้งหลายของเรา จงแสดงแก่เรา และแก่ดินแดนซึ่งเจ้ากำลังอาศัยอยู่นี้ เหมือนพันธสัญญาที่สัตย์ซื่อที่เราได้แสดงต่อเจ้า" 24 อับราฮัมพูดว่า "ข้าพระองค์ขอปฏิญาณ"
25 อับราฮัมยังได้บ่นกับอาบีเมเลคเรื่องบ่อน้ำที่ข้าราชการของอาบีเมเลคได้ยึดไปจากเขา 26 อาบีเมเลคได้ตรัสว่า "เราไม่ทราบว่าใครได้ทำสิ่งนี้ เจ้าไม่ได้บอกเรามาก่อนหน้านี้ เราไม่เคยยินเรื่องนี้มาก่อนจนถึงวันนี้" 27 ดังนั้นอับราฮัมจึงเอาแกะ และวัวหลายตัว และยกพวกมันให้อาบีเมเลค และชายทั้งสองได้ทำพันธสัญญาต่อกัน 28 จากนั้นอับราฮัมได้จัดเอาลูกแกะตัวเมียเจ็ดตัวจากฝูงแกะตามที่กำหนดไว้ 29 อาบีเมเลคตรัสแก่อับราฮัมว่า "ลูกแกะตัวเมียเจ็ดตัวเหล่านี้ที่เจ้าได้จัดแยกตามที่กำหนดไว้ มีความหมายอะไร?" 30 เขาทูลตอบว่า "ลูกแกะตัวเมียเจ็ดตัวเหล่านี้พระองค์จะได้รับจากมือของข้าพระองค์ นี่แหละจะเป็นพยานสำหรับข้าพระองค์ว่าข้าพระองค์ได้ขุดบ่อน้ำนี้"
31 เขาจึงเรียกสถานที่นั้นว่า เบเออร์เชบา 32 เพราะว่าพวกเขาทั้งสองฝ่ายได้ปฏิญาณกันที่นั่น พวกเขาได้ทำพันธสัญญากันที่เบเออร์เชบา และจากนั้นอาบีเมเลคและฟีโคล์แม่ทัพของเขาจึงกลับไปยังแผ่นดินฟีลิสเตีย 33 อับราฮัมได้ปลูกต้นสนหมอกไว้ที่เบเออร์เชบา ที่นั่นเขาได้นมัสการพระยาห์เวห์ พระเจ้านิรันดร์ 34 อับราฮัมยังคงได้เป็นคนต่างด้าวในแผ่นดินของฟีลิสเตียเป็นเวลาหลายวัน
1 ต่อมาพระเจ้าทรงทดสอบอับราฮัม พระองค์ตรัสแก่เขาว่า "อับราฮัม" อับราฮัมทูลตอบว่า "ข้าพระองค์อยู่ที่นี่" 2 จากนั้นพระเจ้าตรัสว่า "จงนำบุตรชายของเจ้า บุตรชายเพียงคนเดียวของเจ้าผู้ซึ่งเจ้ารัก คืออิสอัค และไปยังแผ่นดินโมริยาห์ ถวายเขาที่นั่นเป็นเครื่องเผาบูชาบนภูเขาลูกหนึ่งที่นั่น ซึ่งเราจะบอกแก่เจ้า"
3 อับราฮัมจึงตื่นแต่เช้าตรู่ ผูกอานลาของเขา และนำชายหนุ่มสองคนไปกับเขาด้วย พร้อมกับอิสอัคบุตรชายของเขา เขาได้ตัดไม้ฟืนเพื่อใช้สำหรับการเผาเครื่องบูชา จากนั้นจึงเริ่มต้นการเดินทางของเขาไปยังสถานที่ที่พระเจ้าทรงบอกแก่เขานั้น 4 ในวันที่สาม อับราฮัมมองขึ้นไป และเห็นสถานที่นั้นอยู่แต่ไกล 5 อับราฮัมพูดกับพวกชายหนุ่มของเขาว่า "จงอยู่ที่นี่กับลานั้น และเรากับเด็กจะไปที่นั่น เราจะไปนมัสการและกลับมาหาพวกเจ้าอีก" 6 จากนั้นอับราฮัมเอาไม้ฟืนสำหรับเผาเครื่องบูชา และวางบนอิสอัคบุตรชายของเขา เขาถือไฟและมีดในมือของเขาเอง และพวกเขาทั้งสองไปด้วยกัน 7 อิสอัคพูดกับอับราฮัมบิดาของเขาว่า "บิดาของฉัน" และเขาตอบว่า "เราอยู่นี่ ลูกเอ๋ย" เขาพูดว่า "ดูเถิด ที่นี่มีไฟและไม้ฟืน แต่ลูกแกะสำหรับการเผาบูชาอยู่ไหน?" 8 อับราฮัมพูดว่า "ลูกเอ๋ย พระเจ้าพระองค์เองจะจัดเตรียมลูกแกะสำหรับการเผาบูชาเอง" ดังนั้นพวกเขาทั้งสองจึงออกไปด้วยกัน
9 เมื่อพวกเขามาถึงสถานที่ซึ่งพระเจ้าทรงบอกแก่เขานั้น อับราฮัมได้สร้างแท่นบูชาที่นั่น และวางฟืนบนแท่นนั้น จากนั้นเขามัดอิสอัค บุตรชายของเขา และวางเขาบนแท่นบูชา บนกองฟืน 10 อับราฮัมยื่นมือของเขาออกจับมีดเพื่อจะฆ่าบุตรชายของเขา 11 แล้วทูตสวรรค์ของพระยาห์เวห์เรียกเขาจากท้องฟ้า พูดว่า "อับราฮัม อับราฮัม" และเขาทูลตอบว่า "ข้าพระองค์อยู่ที่นี่" 12 ทูตสวรรค์กล่าวว่า "อย่าแตะต้องเด็กนั้น หรือทำอะไรที่จะทำร้ายเขา บัดนี้เรารู้แล้วว่าเจ้าเกรงกลัวพระเจ้า เราเห็นว่าเจ้านั้นไม่ได้หวงแหนบุตรชายของเจ้า บุตรชายเพียงคนเดียวของเจ้าจากเรา" 13 อับราฮัมมองขึ้นไป และดูเถิด ข้างหลังเขามีแกะตัวผู้ตัวหนึ่งติดอยู่ในพุ่มไม้เพราะเขาของมัน อับราฮัมจึงไปนำแกะตัวผู้นั้นมา และถวายเป็นเครื่องเผาบูชาแทนบุตรชายของเขา 14 ดังนั้นอับราฮัมจึงเรียกสถานที่นั้นว่า "พระยาห์เวห์จะทรงจัดเตรียมไว้" และทำให้กล่าวกันในทุกวันนี้ว่า "ที่บนภูเขาของพระยาห์เวห์ จะมีการถูกจัดเตรียมไว้"
15 ทูตสวรรค์ของพระยาห์เวห์เรียกอับราฮัมครั้งที่สองจากท้องฟ้า 16 และกล่าวว่า นี่คือคำประกาศของพระยาห์เวห์ว่า "โดยเราเอง เราปฏิญาณว่าเพราะเจ้าได้ทำในสิ่งนี้ และไม่ได้หวงแหนบุตรชายของเจ้า บุตรชายเพียงคนเดียวของเจ้า 17 แน่นอน เราจะอวยพรเจ้า และเราจะเพิ่มเชื้อสายทั้งหลายของเจ้าอย่างมากมายเหมือนบรรดาดวงดาวแห่งท้องฟ้า และเหมือนทรายที่ชายทะเล และบรรดาเชื้อสายทั้งหลายของเจ้าจะยึดครองประตูเมืองของศัตรูทั้งหลายของพวกเขา 18 ผ่านบรรดาผู้สืบเชื้อสายของเจ้า บรรดาประชาชาติทั้งหลายแห่งแผ่นดินจะได้รับพระพรเพราะเจ้าเชื่อฟังเสียงของเรา" 19 ดังนั้นอับราฮัมกลับมาหาพวกชายหนุ่มของเขา และพวกเขาเดินทางกลับไปด้วยกันถึงเมืองเบเออร์เชบา และเขาได้อาศัยอยู่ที่เมืองเบเออร์เชบา
20 อับราฮัมได้รับการบอกเล่าว่า "มิลคาห์ได้ให้กำเนิดบุตรทั้งหลายแก่นาโฮร์น้องชายท่านด้วย" 21 พวกเขาคือ อูสบุตรชายคนโตของเขา บูสน้องชายของเขา เคมูเอลบิดาของอารัม 22 เคเสด ฮาโซ ปิลดาซ ยิดลาฟ และเบธูเอล 23 เบธูเอลได้ให้กำเนิดเรเบคาห์ ทั้งแปดคนเหล่านี้คือบุตรที่มิลคาห์ได้ให้กำเนิดแก่นาโฮร์ น้องชายของอับราฮัม 24 ภรรยาน้อยของเขาที่ชื่อเรอูมาห์ก็ได้ให้กำเนิดเทบาห์ กาฮัม ทาหาช และมาอาคาห์
1 ซาราห์มีชีวิตหนึ่งร้อยยี่สิบเจ็ดปี นี่คือปีแห่งชีวิตของซาราห์ 2 ซาราห์ตายในเมืองคีริยาทอารบา นั่นคือเฮโบรน ในดินแดนคานาอัน อับราฮัมโศกเศร้าเสียใจและร้องไห้ให้กับซาราห์
3 จากนั้นอับราฮัมลุกขึ้น และไปจากภรรยาที่เสียชีวิตแล้วของเขา และพูดกับบรรดาบุตรชายทั้งหลายของคนฮิตไทต์ว่า 4 "ข้าพเจ้าเป็นคนต่างด้าวคนหนึ่งอยู่ท่ามกลางพวกท่าน กรุณาให้ที่ดินเป็นสุสานท่ามกลางพวกท่าน เพื่อที่ข้าพเจ้าจะได้ฝังคนตายของข้าพเจ้า" 5 บุตรชายทั้งหลายของคนฮิตไทต์ตอบอับราฮัมว่า 6 "จงฟังเรา เจ้านายของเรา ท่านคือเจ้าชายของพระเจ้าท่ามกลางพวกเรา จงฝังคนตายของท่านในอุโมงค์ที่ดีที่สุดของพวกเราเถอะ ไม่มีใครในพวกเราจะปฏิเสธไม่ให้อุโมงค์ของเขาแก่ท่าน เพื่อที่ท่านจะฝังคนตายของท่าน" 7 อับราฮัมลุกขึ้น และก้มลงคำนับชาวแผ่นดินนั้น บุตรชายทั้งหลายของคนฮิตไทต์
8 เขาพูดกับพวกเขา กล่าวว่า "ถ้าท่านตกลงที่จะให้ข้าพเจ้าฝังคนตายของข้าพเจ้า อย่างนั้นจงฟังข้าพเจ้า และขอร้องเอโฟรนบุตรชายของโศหาร์เพื่อข้าพเจ้า 9 ขอให้เขาขายถ้ำแห่งมัคเปลาห์ที่เขาเป็นเจ้าของ ซึ่งอยู่ที่ปลายนาของเขาให้ข้าพเจ้า ขอให้เขาขายที่นั้นให้ข้าพเจ้าเต็มตามราคาอย่างเปิดเผยเพื่อใช้เป็นสุสาน" 10 ในขณะนั้นเอโฟรนกำลังนั่งอยู่ท่ามกลางบุตรชายทั้งหลายของคนฮิตไทต์ และเอโฟรนคนฮิตไทต์ตอบอับราฮัมให้บุตรชายทั้งหลายของคนฮิตไทต์ได้ยิน คนเหล่านั้นทั้งหมดที่ได้มาที่ประตูเมืองของเขา กล่าวว่า 11 "อย่าเลย เจ้านายของข้าพเจ้า จงฟังข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอให้ที่นา และถ้ำที่อยู่ที่นั่นแก่ท่าน ข้าพเจ้าให้แก่ท่านต่อหน้าบรรดาบุตรชายทั้งหลายของประชาชนของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าให้ท่านใช้เป็นที่ฝังคนตายของท่าน" 12 อับราฮัมจึงก้มลงคำนับต่อหน้าชาวแผ่นดินนั้น
13 เขาพูดกับเอโฟรนให้ชาวแผ่นดินนั้นได้ยิน กล่าวว่า "แต่ถ้าท่านเต็มใจ กรุณาฟังข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะจ่ายเงินสำหรับที่นานั้น จงรับเงินจากข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะฝังคนตายที่นั่น" 14 เอโฟรนตอบอับราฮัมว่า 15 "เจ้านายของข้าพเจ้า กรุณาฟังข้าพเจ้าบ้าง ที่ดินผืนหนึ่งมีค่าเป็นเงินหนักสี่ร้อยเชเขล มีอะไรระหว่างข้าพเจ้ากับท่านหรือ? จงฝังคนตายของท่านเถิด" 16 อับราฮัมได้ฟังเอโฟรน และอับราฮัมก็ชั่งเงินให้แก่เอโฟรนตามจำนวนที่เขาบอกให้บุตรชายทั้งหลายของคนฮิตไทต์ได้ยิน เงินหนักสี่ร้อยเชเขลตามมาตรฐานการชั่งของพ่อค้าทั้งหลาย
17 ดังนั้นที่นาของเอโฟรนที่อยู่ในมัคเปลาห์ ซึ่งอยู่ถัดจากมัมเร นั่นคือ ที่นา ถ้ำที่อยู่ที่นั่น และต้นไม้ทั้งหมดที่อยู่ในทุ่งนานั้น และรอบๆ เขตแดน 18 ได้ถูกมอบให้อับราฮัมโดยการซื้อต่อหน้าบรรดาบุตรชายทั้งหลายของคนฮิตไทต์ ต่อหน้าคนเหล่านั้นทั้งหมดที่ได้มาที่ประตูเมืองของเขา 19 หลังจากนี้ อับราฮัมได้ฝังซาราห์ ภรรยาของเขาในถ้ำของที่นาของมัคเปลาห์ ซึ่งอยู่ถัดจากมัมเร นั่นคือ เฮโบรน ในแผ่นดินคานาอัน 20 ดังนั้นที่นาและถ้ำที่นั่นถูกมอบให้อับราฮัมเป็นที่ดินที่ใช้เป็นสุสานจากบุตรชายทั้งหลายของคนฮิตไทต์
1 ขณะนั้นอับราฮัมมีอายุมากแล้ว และพระยาห์เวห์ทรงอวยพรอับราฮัมในทุกสิ่งทุกอย่าง 2 อับราฮัมพูดกับคนรับใช้ของท่าน คนที่มีอายุมากที่สุดในครัวเรือนของท่าน และเป็นผู้ซึ่งดูแลทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านมี กล่าวว่า "จงวางมือของเจ้าใต้ขาอ่อนของเรา 3 และเราจะให้เจ้าสาบานโดยพระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ และพระเจ้าแห่งแผ่นดินโลก ว่าเจ้าจะไม่หาภรรยาให้บุตรชายของเราจากบุตรสาวทั้งหลายของคนคานาอัน ผู้ที่เราอาศัยอยู่ท่ามกลางพวกเขา 4 แต่เจ้าจงไปยังดินแดนของเรา และพวกญาติของเรา และหาภรรยาให้อิสอัคบุตรชายของเรา"
5 คนรับใช้นั้นถามอับราฮัมว่า "ถ้าหญิงนั้นไม่เต็มใจที่จะติดตามข้าพเจ้ากลับมาแผ่นดินนี้เล่า? ข้าพเจ้าจะต้องนำบุตรชายของท่านกลับไปยังแผ่นดินที่ท่านจากมานั้นหรือ?" 6 อับราฮัมตอบเขาว่า "ระวัง อย่าให้เจ้านำบุตรชายของเรากลับไปที่นั่น 7 พระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ ผู้ทรงนำเราออกมาจากบ้านของบิดา และจากแผ่นดินของพวกญาติของเรา ผู้ทรงสัญญากับเราด้วยคำสัตย์สาบานที่หนักแน่น ตรัสว่า 'เราจะประทานแผ่นดินนี้ให้แก่ผู้ที่สืบเชื้อสายของเจ้า' พระองค์จะทรงส่งทูตสวรรค์ของพระองค์ไปข้างหน้าเจ้า และเจ้าจะได้ภรรยาสำหรับบุตรชายของเราจากที่นั่น 8 แต่ถ้าหญิงนั้นไม่เต็มใจที่จะติดตามเจ้ามา นั่นก็หมายความว่าเจ้าเป็นอิสระจากคำสัตย์สาบานที่ให้กับไว้กับเรา เพียงแต่เจ้าอย่านำบุตรชายของเรากลับไปที่นั่น"
9 คนรับใช้นั้นก็เอามือของเขาวางที่ใต้ขาอ่อนของอับราฮัม เจ้านายของเขา และสาบานต่อท่านเกี่ยวกับเรื่องนี้ 10 คนรับใช้นั้นนำอูฐสิบตัวของเจ้านายของเขาและออกเดินทาง เขานำของขวัญชนิดต่าง ๆ จากเจ้านายของเขาไปกับเขาด้วย เขาออกเดินทางและไปยังดินแดนอารัม นาหะราอิม ไปเมืองของนาโฮร์
11 เขาให้พวกอูฐคุกเข่าลงที่ริมบ่อน้ำนอกเมืองนั้น มันเป็นเวลาเย็น เป็นเวลาที่พวกผู้หญิงจะออกไปตักน้ำ 12 เขาจึงกล่าวว่า "พระยาห์เวห์ พระเจ้าของอับราฮัม เจ้านายของข้าพเจ้า ในวันนี้ขอประทานความสำเร็จให้ข้าพระองค์ และสำแดงพันธสัญญาที่สัตย์ซื่อแก่อับราฮัม เจ้านายของข้าพระองค์ 13 ดูเถิด ขณะที่ข้าพระองค์กำลังยืนอยู่ที่น้ำพุ และพวกบุตรสาวของผู้ชายทั้งหลายของเมืองนี้กำลังออกมาตักน้ำ 14 ขอให้สิ่งนี้เกิดขึ้นเถิด เมื่อข้าพระองค์พูดกับหญิงสาวคนหนึ่งคนใดว่า 'ขอลดเหยือกน้ำของเจ้าลงให้เราดื่มน้ำหน่อย' และนางจะพูดกับข้าพระองค์ว่า 'จงดื่มเถิด และฉันจะเอาน้ำให้พวกอูฐของท่านด้วย' ขอให้นางเป็นผู้ที่พระองค์ทรงกำหนดให้สำหรับอิสอัคผู้รับใช้ของพระองค์ คือ ด้วยการนี้ข้าพระองค์จะรู้ว่าพระองค์ได้ทรงสำแดงพันธสัญญาที่สัตย์ซื่อแก่เจ้านายของข้าพระองค์"
15 เวลาผ่านไป แม้ว่าเขายังพูดไม่จบ ดูเถิด เรเบคาห์ออกมาพร้อมด้วยเหยือกน้ำบนไหล่ของนาง เรเบคาห์เป็นบุตรของเบธูเอล บุตรของมิลคาห์ ภรรยาของนาโฮร์ น้องชายของอับราฮัม 16 หญิงสาวนั้นสวยงามมาก และเป็นหญิงพรหมจารี ยังไม่มีผู้ชายคนใดหลับนอนกับนาง นางลงไปที่น้ำพุเอาน้ำใส่เต็มเหยือกของนาง และกลับขึ้นมา
17 คนรับใช้นั้นจึงวิ่งไปหานางและพูดว่า "ขอน้ำจากเหยือกน้ำของเจ้าให้เราดื่มหน่อย" 18 นางตอบว่า "จงดื่มเถิด เจ้านายของฉัน" และนางก็รีบลดเหยือกน้ำลงบนมือของนาง และให้เขาดื่ม 19 เมื่อนางให้เขาดื่มเสร็จแล้ว นางกล่าวว่า "ฉันจะตักน้ำให้พวกอูฐของท่านจนกว่าพวกมันจะกินอิ่มด้วย" 20 ดังนั้นนางจึงรีบและเทน้ำจากเหยือกน้ำของนางลงในรางน้ำ และวิ่งไปที่บ่อน้ำอีกครั้งเพื่อที่จะตักน้ำ และตักน้ำสำหรับอูฐทั้งหมดของเขา 21 ผู้ชายนั้นเฝ้าดูนางอย่างเงียบๆ เพื่อที่จะดูว่าพระยาห์เวห์ทรงทำให้การเดินทางของเขาประสบความสำเร็จหรือไม่
22 เมื่อพวกอูฐดื่มน้ำเสร็จ คนรับใช้นั้นได้เอาแหวนทองคำน้ำหนักครึ่งเชเขล สำหรับใส่จมูกและกำไรทองคำน้ำหนักสิบเชเขลสำหรับใส่แขนของนางออกมา 23 และถามว่า "เจ้าเป็นบุตรสาวของใคร? ขอกรุณาบอกข้าพเจ้าด้วยว่าที่บ้านบิดาของเจ้ามีห้องพักที่จะให้เราพักค้างคืนไหม?" 24 นางตอบเขาว่า "ฉันเป็นบุตรสาวของเบธูเอล บุตรชายของมิลคาห์ ผู้ที่นางให้กำเนิดแก่นาโฮร์" 25 นางบอกเขาอีกด้วยว่า "เรามีทั้งฟางข้าว และอาหารมากมาย และห้องสำหรับให้ท่านพักค้างคืนด้วย" 26 ผู้ชายนั้นจึงโค้งคำนับ และนมัสการพระยาห์เวห์ 27 เขากล่าวว่า "สรรเสริญแด่พระยาห์เวห์ พระเจ้าของอับราฮ้ม เจ้านายของข้าพเจ้า ผู้ไม่ทรงทอดทิ้งพันธสัญญาที่สัตย์ซื่อและน่าเชื่อถือของพระองค์ต่อเจ้านายของข้าพเจ้า สำหรับข้าพเจ้า พระยาห์เวห์ทรงนำข้าพเจ้าตรงสู่บ้านญาติทั้งหลายของเจ้านายของข้าพเจ้า"
28 หญิงสาวนั้นจึงวิ่งไป และบอกให้ครัวเรือนของมารดาของนางเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด 29 ขณะนั้นเรเบคาห์มีพี่ชายคนหนึ่ง และเขาชื่อลาบัน ลาบันวิ่งไปหาผู้ชายคนนั้น ผู้อยู่ที่ถนนทางไปน้ำพุ 30 เมื่อเขาเห็นแหวนใส่จมูก และกำไรบนแขนน้องสาวของเขา และเมื่อเขาได้ยินเรื่องของเรเบคาห์น้องสาวของเขา "นี่คือสิ่งที่ผู้ชายคนนั้นพูดกับฉัน" เขาไปหาผู้ชายคนนั้น และดูเถิด เขากำลังยืนอยู่ข้างอูฐที่น้ำพุ 31 ลาบันจึงพูดว่า "มาเถิด ท่านคือพระพรของพระยาห์เวห์ ทำไมท่านจึงยืนอยู่ข้างนอก? เราจัดเตรียมบ้าน และที่สำหรับพวกอูฐแล้ว"
32 ผู้ชายคนนั้นมายังบ้าน และนำของลงจากหลังอูฐทั้งหลาย พวกอูฐรับฟางข้าวและเลี้ยงดู และน้ำถูกจัดเตรียมไว้สำหรับล้างเท้าของเขา และเท้าของพวกผู้ชายที่อยู่กับเขา 33 พวกเขาจัดตั้งอาหารต่อหน้าเขาเพื่อให้เขากิน แต่เขาพูดว่า "ข้าพเจ้าจะไม่กินจนกว่าข้าพเจ้าจะพูดในสิ่งที่ข้าพเจ้าต้องพูด" ดังนั้นลาบันจึงพูดว่า "จงพูดเถิด"
34 เขาพูดว่า "ข้าพเจ้าเป็นคนรับใช้ของอับราฮัม 35 พระยาห์เวห์ทรงอวยพรอับราฮัม เจ้านายของข้าพเจ้าอย่างมากมาย และท่านเป็นผู้ยิ่งใหญ่ พระองค์ประทานผู้คนและฝูงสัตว์เลี้ยง เงิน และทอง คนรับใช้ทั้งชายและหญิง และอูฐ และลาทั้งหลายแก่ท่าน 36 ซาราห์ ภรรยาของเจ้านายของข้าพเจ้าได้ให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่งแก่เจ้านายของข้าพเจ้าเมื่อนางมีอายุมากแล้ว และท่านมอบทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านเป็นเจ้าของแก่เขา
37 นายของข้าพเจ้าให้ข้าพเจ้าสาบานว่า 'เจ้าต้องไม่หาภรรยาให้บุตรชายของเราจากบรรดาบุตรสาวทั้งหลายของคนคานาอัน ซึ่งเราอาศัยอยู่ในแผ่นดินของพวกเขา 38 แต่เจ้าต้องไปหาครอบครัวของบิดาของเรา และญาติของเรา และหาภรรยาให้บุตรชายของเรา 39 ข้าพเจ้ากล่าวแก่เจ้านายของข้าพเจ้าว่า 'บางทีหญิงนั้นจะไม่ติดตามข้าพเจ้ามา' 40 แต่ท่านพูดกับข้าพเจ้าว่า 'พระยาห์เวห์ ผู้ที่เราเดินอยู่ต่อพระพักตร์พระองค์ จะทรงส่งทูตสวรรค์ของพระองค์ไปกับเจ้า และพระองค์จะทรงทำให้ทางของเจ้าประสบความสำเร็จ ดังนั้นเจ้าหาภรรยาให้บุตรชายของเราจากท่ามกลางญาติของเรา และจากเชื้อสายครอบครัวของบิดาของเรา 41 แต่เจ้าจะเป็นอิสระจากคำสัตย์สาบานของเรา ถ้าเจ้ามาถึงญาติของเรา และพวกเขาไม่ให้นางแก่เจ้า ดังนั้นเจ้าจะเป็นอิสระจากคำสัตย์สาบานของเรา'
42 ดังนั้น วันนี้ข้าพเจ้ามาถึงน้ำพุ และพูดว่า "โอ พระยาห์เวห์ พระเจ้าของอับราฮัม ของเจ้านายของข้าพระองค์ กรุณาเถิด ถ้าพระองค์ทรงปรารถนาที่กระทำให้การเดินทางของข้าพระองค์ประสบความสำเร็จ 43 ข้าพระองค์อยู่ที่นี่ กำลังยืนอยู่ที่ริมน้ำพุ ขอให้หญิงสาวผู้ที่ออกมาตักน้ำผู้หญิงคนนั้นผู้ที่ข้าพระองค์พูดกับนางว่า "ขอน้ำจากเหยือกน้ำของเจ้าให้เราดื่มสักหน่อยเถิด 44 " ผู้หญิงนั้นผู้ที่จะพูดกับข้าพระองค์ว่า "จงดื่มเถิด และฉันจะตักน้ำให้อูฐทั้งหลายของท่านด้วย" ขอให้นางเป็นผู้หญิงผู้ที่พระองค์ พระยาห์เวห์ ทรงเลือกให้บุตรชายของเจ้านายของข้าพระองค์'
45 ก่อนที่ข้าพเจ้าจะพูดในใจจนจบ ดูเถิด เรเบคาห์ได้ออกมาพร้อมกับเหยือกใส่น้ำของนาง บนไหล่ของนาง และนางลงมาที่น้ำพุ และตักน้ำ ข้าพเจ้าจึงพูดกับนางว่า 'กรุณาให้น้ำดื่มแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด' 46 นางเอาเหยือกน้ำของนางลงจากไหล่ของนางทันที และพูดว่า 'จงดื่มเถิด และฉันจะเอาน้ำให้พวกอูฐของท่านด้วย' ดังนั้นข้าพเจ้าจึงดื่มน้ำ และนางเอาน้ำให้พวกอูฐด้วย
47 ข้าพเจ้าถามนาง และพูดว่า 'เธอเป็นบุตรสาวของใคร?' เธอตอบว่า 'บุตรสาวของเบธูเอล บุตรชายของนาโฮร์ ผู้ซึ่งมิลคาห์เป็นผู้ให้กำเนิดเขา' ข้าพเจ้าจึงใส่แหวนที่จมูกของนาง และกำไรที่แขนของนาง 48 จากนั้นข้าพเจ้าโน้มตัวลง และนมัสการพระยาห์เวห์ และสรรเสริญพระยาห์เวห์ พระเจ้าของอับราฮัม เจ้านายของข้าพเจ้า ผู้ทรงนำข้าพเจ้ามาถูกทางให้มาพบบุตรสาวญาติของเจ้านายของข้าพเจ้าสำหรับบุตรชายของเขา 49 บัดนี้ ถ้าท่านได้จัดเตรียมที่จะปฏิบัติต่อเจ้านายของข้าพเจ้าด้วยความสัตย์ซื่อของครอบครัว และความไว้วางใจที่ทรงคุณค่า กรุณาบอกข้าพเจ้าเถิด แต่ถ้าไม่ ก็จงบอกข้าพเจ้า เพื่อที่ข้าพเจ้าควรหันไปทางขวา หรือไปทางซ้าย"
50 จากนั้น ลาบันและเบธูเอลตอบ และพูดว่า "สิ่งนี้มาจากพระยาห์เวห์ เราไม่สามารถกล่าวแก่ท่านไม่ว่าดี หรือไม่ดี 51 ดูเถิดเรเบคาห์อยู่ต่อหน้าท่านแล้ว จงรับนางและไปเถิด และนางควรจะเป็นภรรยาของบุตรชายของเจ้านายของท่าน ดังที่พระยาห์เวห์ได้ตรัส" 52 เมื่อคนรับใช้ของอับราฮัมได้ยินถ้อยคำของพวกเขา เขาได้โน้มตัวลงถึงพื้นต่อพระยาห์เวห์ 53 คนรับใช้นั้นนำเอาเครื่องเงิน และเครื่องทอง และเสื้อผ้า และมอบให้กับเรเบคาห์ เขาให้ของขวัญที่มีค่าแก่พี่ชายของนางและแก่มารดาของนางด้วย
54 จากนั้นเขาและพวกผู้ชายที่อยู่กับเขากินและดื่ม พวกเขาพักค้างคืนที่นั่น และเมื่อพวกเขาตื่นขึ้นในตอนเช้า เขาพูดว่า "จงส่งข้าพเจ้ากลับไปหาเจ้านายของข้าพเจ้าเถิด" 55 พี่ชายของนางและมารดาของนางพูดว่า "จงให้หญิงสาวอยู่กับเราอีกสักสองสามวัน อย่างน้อยสิบวัน หลังจากนั้นก็ค่อยให้นางไป" 56 แต่เขาพูดกับพวกเขาว่า "อย่าหน่วงเหนี่ยวข้าพเจ้าไว้เลย เพราะว่าพระยาห์เวห์ทรงทำให้ทางของข้าพเจ้าสำเร็จ ขอส่งข้าพเจ้าไปตามทางของข้าพเจ้าเพื่อที่ข้าพเจ้าจะกลับไปหาเจ้านายของขัาพเจ้า"
57 พวกเขาพูดว่า "เราจะเรียกหญิงสาวนั้นมา และถามนาง" 58 ดังนั้นพวกเขาเรียกเรเบคาห์มา และถามนางว่า "เจ้าจะไปกับผู้ชายคนนี้หรือ?" นางตอบว่า "ฉันจะไป" 59 ดังนั้นพวกเขาจึงส่งน้องสาวของพวกเขาคือ เรเบคาห์ ไปกับหญิงคนรับใช้ของนาง ในการเดินทางของนางกับคนรับใช้ของอับราฮัม และผู้ชายของเขา 60 พวกเขาอวยพรเรเบคาห์ และพูดแก่นางว่า "น้องสาวของเรา ขอให้เจ้าเป็นมารดาของคนนับแสน และให้เชื้อสายของเจ้ายึดครองประตูเมืองของคนเหล่านั้นที่เกลียดชังพวกเขา"
61 แล้วเรเบคาห์ลุกขึ้น นางและพวกหญิงคนรับใช้ของนางขึ้นอูฐ และติดตามชายนั้นไป คนรับใช้นั้นจึงได้พาเรเบคาห์ และไปตามทางของเขา 62 ขณะนั้นอิสอัคกำลังอาศัยอยู่ในเนเกบ และเขาเพิ่งกลับมาจากเบเออลาไฮรอย 63 อิสอัคออกไปที่ทุ่งนาในตอนเย็น เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมอง และเห็น ดูเถิดมีอูฐหลายตัวกำลังมา 64 เรเบคาห์มองดู และเมื่อนางเห็นอิสอัค นางก็กระโดดลงจากอูฐ
65 นางพูดกับคนรับใช้นั้น "ผู้ชายคนนั้นที่กำลังเดินในทุ่งนามาหาเรานั้นคือใคร?" คนรับใช้ตอบว่า "นั่นคือนายของข้าพเจ้าเอง" ดังนั้นนางจึงหยิบผ้าคลุมหน้า และปิดหน้านางเอง 66 คนรับใช้นั้นเล่าทุกสิ่งที่เขาทำให้อิสอัคฟัง 67 จากนั้นอิสอัคพานางไปที่เต็นท์ของซาราห์ มารดาของเขา เขารับเรเบคาห์ไว้ และนางก็เป็นภรรยาของเขา และเขารักนาง ดังนั้นอิสอัคได้รับการปลอบใจหลังจากที่มารดาของเขาเสียชีวิต
1 อับราฮัมมีภรรยาอีกคนหนึ่ง นางชื่อเคทูราห์ 2 นางให้กำเนิดศิมราน โยกชาน เมดาน มีเดียน อิชบาก และชูอาห์ 3 โยกชานได้เป็นบิดาของเชบาและเดดาน เชื้อสายทั้งหลายของเดดานคือคนอัสซีเรีย คนเลทูช และคนเลอูม 4 บุตรชายทั้งหลายของมีเดียนคือ เอฟาห์ เอเฟอร์ ฮาโนค อาบีดา และเอลดาอาห์ ทั้งหมดเหล่านี้คือเชื้อสายทั้งหลายของเคทูราห์
5 อับราฮัมยกสิ่งที่เขาเป็นเจ้าของทั้งหมดให้กับอิสอัค 6 อย่างไรก็ตามในขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่ เขาให้สิ่งของหลายอย่างแก่บุตรชายทั้งหลายที่เกิดจากภรรยาน้อยของเขา และได้ส่งพวกเขาไปยังแผ่นดินทางทิศตะวันออก ไปจากอิสอัค บุตรชายของเขา
7 เหล่านี้เป็นช่วงเวลาแห่งชีวิตของอับราฮัม เขามีชีวิตอยู่ 175 ปี 8 อับราฮัมสิ้นลมหายใจ และตายในขณะที่เขาแก่มากแล้ว เป็นคนแก่ที่มีอายุมาก และเขาได้ถูกรวบรวมไว้กับพวกคนทั้งหลายของเขา 9 อิสอัค และอิชมาเอล พวกบุตรชายของเขาฝังเขาไว้ในถ้ำแห่งมัคเปลาห์ ในที่นาของเอโฟรน บุตรชายของโศหาร์ คนฮิตไทต์ซึ่งอยู่ใกล้มัมเร 10 ที่นานี้อับราฮัมซื้อจากบุตรชายทั้งหลายของคนฮิตไทต์ อับราฮัมถูกฝังไว้ที่นั่นกับซาราห์ ภรรยาของเขา 11 ภายหลังการเสียชีวิตของอับราฮัม พระเจ้าทรงอวยพระพรอิสอัค บุตรชายของเขา และอิสอัคอาศัยอยู่ใกล้กับเบเออลาไฮรอย
12 ต่อไปนี้เป็นเชื้อสายทั้งหลายของอิชมาเอล บุตรชายของอับราฮัมที่ฮาการ์ คนอียิปต์ หญิงรับใช้ของซาราห์ เป็นผู้ให้กำเนิดแก่อับราฮัม 13 เหล่านี้คือรายชื่อบุตรชายทั้งหลายของอิชมาเอล ตามลำดับการเกิดของพวกเขา คือ เนบาโยธ บุตรหัวปีของอิชมาเอล เคดาร์ อัดบีเอล มิบสัม 14 มิชมา ดูมาห์ มัสสา 15 ฮาดัด เทมา เยทูร์ นาฟิช และเคเดมาห์ 16 คนเหล่านี้เป็นบุตรชายทั้งหลายของอิชมาเอล และเหล่านี้เป็นรายชื่อของพวกเขาโดยได้ถือตามหมู่บ้านทั้งหลายของพวกเขา และโดยถือตามการตั้งค่ายทั้งหลายของพวกเขา เจ้าชายสิบสองพระองค์ตามเผ่าทั้งหลายของพวกเขา
17 เหล่านี้คือปีของชีวิตอิชมาเอล คือ 137 ปี เขาสิ้นลมหายใจและเสียชีวิต และถูกรวบรวมไว้กับพวกคนทั้งหลายของเขา 18 พวกเขาอาศัยตั้งแต่ฮาวิลาห์จนถึงชูร์ ซึ่งอยู่ใกล้อียิปต์ ไปทางอัสซีเรีย พวกเขาอาศัยอยู่อย่างไม่เป็นมิตรต่อกันและกัน
19 นี่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอิสอัค บุตรชายของอับราฮัม อับราฮัมผู้ได้เป็นบิดาของอิสอัค 20 อิสอัคอายุสี่สิบปีเมื่อเขาได้เรเบคาห์เป็นภรรยาของเขา บุตรสาวของเบธูเอล คนอารัม ชาวเมืองปัดดานอารัม น้องสาวของลาบัน คนอารัม 21 อิสอัคอธิษฐานทูลขอต่อพระยาห์เวห์เพื่อภรรยาของเขาเพราะเรเบคาห์ไม่มีบุตร และพระยาห์เวห์ทรงตอบคำอธิษฐานของเขา และเรเบคาห์ภรรยาของเขาก็ตั้งครรภ์
22 ทารกทั้งสองเบียดกันอยู่ในครรภ์ของนาง และนางพูดว่า "ทำไมสิ่งนี้จึงเกิดขึ้นกับข้าพระองค์?" นางไปและทูลถามพระยาห์เวห์เกี่ยวกับเรื่องนี้ 23 พระยาห์เวห์ตรัสกับนางว่า "มีคนสองชาติอยู่ในครรภ์ของเจ้า และทั้งสองชนชาติจะแยกจากกันในเจ้า ชนชาติหนึ่งจะแข็งแรงกว่าอีกชนชาติหนึ่ง และคนที่มีอายุมากกว่าจะรับใช้คนที่มีอายุน้อยกว่า"
24 เมื่อถึงกำหนดเวลาสำหรับนางที่จะคลอดบุตร ดูเถิด มีเด็กฝาแฝดอยู่ในครรภ์ของนาง 25 เด็กคนแรกที่ออกมาตัวแดง มีขนปกคลุมทั่วตัว พวกเขาจึงตั้งชื่อเขาว่าเอซาว 26 หลังจากนั้นน้องชายออกมา มือของเขาได้จับส้นเท้าเอซาวไว้ เขาจึงถูกตั้งชื่อว่ายาโคบ อิสอัคมีอายุหกสิบปีเมื่อภรรยาของเขาให้กำเนิดพวกเขา
27 พวกเด็กนั้นเติบโตขึ้น และเอซาวเป็นนายพรานที่ชำนาญ ผู้ชายแห่งท้องทุ่ง แต่ยาโคบเป็นผู้ชายที่เงียบใช้เวลาของเขาอยู่ในเต็นท์ทั้งหลายนั้น 28 อิสอัครักเอซาวเพราะเขาได้กินเนื้อสัตว์ทั้งหลายที่เขาล่ามาได้ แต่เรเบคาห์รักยาโคบ
29 วันหนึ่งยาโคบต้มอาหาร เอซาวกลับมาจากทุ่งนา และเขาเหนื่อยอ่อนจากความหิว 30 เอซาวพูดกับยาโคบว่า "ให้อาหารฉันหน่อยคือ ถั่วแดงต้มนั้น กรุณาเถอะเพราะฉันหมดแรงแล้ว" นี่คือเหตุผลที่เรียกชื่อเขาว่า เอโดม 31 ยาโคบพูดว่า "จงขายสิทธิบุตรหัวปีของท่านให้ข้าก่อน" 32 เอซาวพูดว่า "ดูเถอะข้ากำลังจะตายอยู่แล้ว สิทธิบุตรหัวปีจะเป็นประโยชน์อะไรกับข้า?" 33 ยาโคบพูดว่า "ก่อนอื่นจงสาบานให้ข้า" ดังนั้นเอซาวจึงกล่าวคำสัตย์สาบาน และด้วยวิธีนี้เขาขายสิทธิบุตรหัวปีของเขาให้ยาโคบ 34 ยาโคบให้ขนมปัง และถั่วแดงต้มแก่เอซาว เขากินและดื่ม จากนั้นก็ลุกขึ้นและจากไปตามทางของเขา ด้วยเหตุนี้ เอซาวได้เหยียดหยามสิทธิบุตรหัวปีของเขา
1 บัดนี้เกิดการกันดารอาหารในแผ่นดิน นอกเหนือไปจากที่เคยเกิดขึ้นครั้งแรกในสมัยของอับราฮัม อิสอัคได้ไปหาเอบีเมเลค กษัตริย์ของคนฟีลิสเตียที่เมืองเกราร์ 2 พระยาห์เวห์ทรงปรากฏแก่เขาและตรัสว่า "อย่าลงไปยังอียิปต์ จงอยู่ในแผ่นดินที่เราบอกให้เจ้าอาศัยอยู่ 3 จงอยู่ในแผ่นดินแห่งนี้แหละ และเราจะอยู่กับเจ้าและอวยพรเจ้า สำหรับเจ้าและเชื้อสายทั้งหลายของเจ้า เราจะให้แผ่นดินทั้งหมดเหล่านี้ และเราจะทำให้คำสัญญาที่เราให้ไว้กับอับราฮัมบิดาของเจ้านั้นสำเร็จ 4 เราจะทำให้เชื้อสายทั้งหลายของเจ้าทวีมากขึ้นเหมือนดวงดาวทั้งหลายในท้องฟ้า และเราจะให้แผ่นดินเหล่านี้แก่เชื้อสายทั้งหลายของเจ้า ประชาชาติทั้งหมดของแผ่นดินนี้จะได้รับพระพรผ่านทางเชื้อสายทั้งหลายของเจ้า 5 เราจะทำสิ่งนี้เพราะอับราฮัมได้เชื่อฟังเสียงของเรา และรักษาคำสั่งสอนทั้งหลายของเรา พระบัญญัติทั้งหลายของเรา บทบัญญัติทั้งหลายของเรา และธรรมบัญญัติทั้งหลายของเรา"
6 ดังนั้นอิสอัคจึงได้ตั้งถิ่นฐานในเกราร์ 7 เมื่อผู้ชายทั้งหลายของสถานที่นั้นถามเขาเกี่ยวกับภรรยาของเขา เขาตอบว่า "นางคือน้องสาวของเรา" เขากลัวที่จะพูดว่า "นางคือภรรยาของเรา" เพราะเขาคิดว่า "ผู้ชายทั้งหลายของสถานที่นี้จะฆ่าเรา เพื่อเอาเรเบคาห์ไปเพราะนางสวยมาก" 8 หลังจากที่อิสอัคอยู่ที่นั่นเป็นเวลานาน เอบีเมเลค กษัตริย์ของคนฟีลิสเตียทอดพระเนตรจากหน้าต่าง นี่แน่ะ พระองค์ทรงเห็นอิสอัคกำลังกอดจูบเรเบคาห์ ภรรยาของเขา 9 เอบีเมเลคทรงเรียกให้อิสอัคมาเข้าเฝ้าพระองค์และตรัสว่า "ดูเถิด นางต้องเป็นภรรยาของเจ้าแน่ๆ ทำไมเจ้าจึงพูดว่า 'นางคือน้องสาวของเรา'?" อิสอัคทูลพระองค์ว่า "เพราะข้าพระองค์คิดว่าบางคนอาจจะฆ่าข้าพระองค์เพื่อเอานางไป" 10 เอบีเมเลคตรัสว่า "เจ้าได้ทำอะไรกับเรา? ผู้ชายคนใดคนหนึ่งอาจหลับนอนกับภรรยาของเจ้าง่ายๆ แล้ว และเจ้าจะนำความผิดมาสู่เรา" 11 ดังนั้นเอบีเมเลคจึงทรงเตือนประชาชนทั้งหมดและตรัสว่า "ผู้ใดแตะต้องผู้ชายคนนี้ หรือภรรยาของเขา ผู้นั้นจะต้องตายแน่นอน"
12 อิสอัคปลูกพืชบนแผ่นดินและเก็บเกี่ยวผลในปีเดียวกันนั้นหนึ่งร้อยเท่า เพราะพระยาห์เวห์ทรงอวยพระพรเขา 13 ชายคนนั้นกลายเป็นคนร่ำรวย และเพิ่มมากขึ้น และมากขึ้นจนกระทั่งเขากลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ 14 เขามีแกะ และปศุสัตว์มากมาย และเป็นครัวเรือนใหญ่ คนฟีลิสเตียก็อิจฉาเขา 15 บัดนี้บ่อน้ำทั้งหมดที่คนรับใช้ทั้งหลายของบิดาของเขาขุดไว้ในสมัยของอับราฮัม บิดาของเขา พวกคนฟีลิสเตียได้ถมบ่อน้ำเหล่านี้ด้วยดิน 16 เอบีเมเลคตรัสกับอิสอัคว่า "จงไปจากเราเถิดเพราะเจ้ามีกำลังมากกว่าพวกเรา "
17 ดังนั้นอิสอัคจึงไปจากที่นั่น และตั้งถิ่นฐานในหุบเขาแห่งเกราร์ และอาศัยอยู่ที่นั่น 18 อีกครั้งหนึ่งที่อิสอัคขุดบ่อน้ำที่ซึ่งพวกเขาขุดแล้วในสมัยของอับราฮัม บิดาของเขา แต่คนฟีลิสเตียถมบ่อน้ำเหล่านี้หลังการเสียชีวิตของอับราฮัม อิสอัคเรียกชื่อบ่อน้ำทั้งหลายนี้ด้วยชื่อเดียวกันตามที่บิดาของเขาตั้งชื่อไว้ 19 เมื่อคนรับใช้ทั้งหลายของอิสอัคขุดบ่อน้ำในหุบเขา พวกเขาพบบ่อน้ำมีน้ำไหล 20 คนเลี้ยงสัตว์ทั้งหลายของเกราร์ทะเลาะกับพวกคนเลี้ยงสัตว์ของอิสอัค และพูดว่า "บ่อน้ำนี้เป็นของพวกเรา" ดังนั้นอิสอัคจึงเรียกชื่อบ่อน้ำนั้นว่า "เอเสก" เพราะว่าคนเหล่านั้นได้ทะเลาะกับเขา 21 จากนั้นพวกเขาขุดบ่อน้ำอีกบ่อหนึ่ง และพวกเขาก็ทะเลาะกันด้วยเรื่องบ่อน้ำนี้อีก ดังนั้นเขาจึงให้ชื่อบ่อน้ำนี้ว่า "สิตนาห์" 22 เขาจากที่นั่นไป และขุดบ่อน้ำอีกบ่อหนึ่ง แต่พวกเขาไม่ได้ทะเลาะกันเรื่องบ่อน้ำนี้ ดังนั้นเขาจึงเรียกชื่อบ่อน้ำนี้ว่า เรโหโบท และเขาพูดว่า "บัดนี้พระยาห์เวห์ได้ให้ที่แก่พวกเรา และพวกเราจะเจริญรุ่งเรืองในแผ่นดิน"
23 จากนั้นอิสอัคขึ้นไปจากที่นั่นไปยังเมืองเบเออร์เชบา 24 พระยาห์เวห์ทรงปรากฏแก่เขาในคืนเดียวกันนั้น และตรัสว่า "เราคือพระเจ้าของอับราฮัมบิดาเจ้า อย่ากลัวเลย เพราะเราอยู่กับเจ้าและจะอวยพรเจ้าและทำให้เชื้อสายทั้งหลายของเจ้าทวีมากขึ้น เพราะเห็นแก่อับราฮัมผู้รับใช้ของเรา" 25 อิสอัคสร้างแท่นบูชาที่นั่น และออกพระนามพระยาห์เวห์ ที่นั่นเขาตั้งเต็นท์ของเขา และคนรับใช้ทั้งหลายของเขาได้ขุดบ่อน้ำ
26 จากเกราร์ ดังนั้นเอบีเมเลคพร้อมกับอาฮุสซัส พระสหายของพระองค์ และฟีโคล์แม่ทัพของพระองค์ไปหาเขา 27 อิสอัคพูดกับพวกเขาว่า "พวกท่านมาหาข้าพเจ้าทำไม ในเมื่อพวกท่านเกลียดชังข้าพเจ้า และขับไล่ข้าพเจ้าออกมาจากพวกท่าน?" 28 พวกเขาตอบว่า "เราเห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าพระยาห์เวห์ทรงสถิตอยู่กับท่าน ดังนั้นเราจึงตัดสินใจว่า ควรจะมีการให้สัตย์สาบานระหว่างพวกเรา คือระหว่างเรากับท่าน ให้เราทำพันธสัญญากับท่าน 29 ที่ท่านจะไม่ทำร้ายเรา เช่นเดียวกันเราจะไม่ทำร้ายท่าน และเหมือนที่เราได้ดูแลท่านเป็นอย่างดี และส่งท่านจากมาอย่างสันติ ท่านเป็นผู้ที่พระยาห์เวห์อวยพระพรจริงๆ"
30 ดังนั้นอิสอัคจึงเลี้ยงอาหารพวกเขา และพวกเขากินและดื่ม 31 พวกเขาตื่นแต่เช้าตรู่ และทำสัตย์สาบานต่อกันและกัน จากนั้นอิสอัคส่งพวกเขาไป และพวกเขาจากไปอย่างสันติ 32 ในวันเดียวกันนั้น คนรับใช้ของอิสอัคมาและบอกเขาเกี่ยวกับบ่อน้ำที่พวกเขาได้ขุด พวกเขากล่าวว่า "พวกเราพบน้ำแล้ว" 33 เขาเรียกบ่อน้ำนั้นว่าชิบาห์ เมืองนั้นจึงถูกเรียกชื่อว่าเบเออร์เชบา จนถึงทุกวันนี้
34 เมื่อเอซาวอายุสี่สิบปี เขามีภรรยาคือ ยูดิธ บุตรหญิงของเบเออรี คนฮิตไทต์ และบาเสมัท บุตรหญิงของเอโลน คนฮิตไทต์ 35 พวกเขานำความโศกเศร้ามาสู่อิสอัคและเรเบคาห์
1 เมื่ออิสอัคแก่ตัวลง และตาของเขาก็พร่ามัว ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถมองเห็นอะไร เขาเรียกเอซาว บุตรชายคนโตเข้ามาและพูดกับเขาว่า "ลูกชายของเราเอ๋ย" เขาตอบกับบิดาว่า "ลูกอยู่ที่นี่" 2 เขาพูดว่า "ดูเถิด พ่อก็แก่ลงมากแล้ว พ่อไม่รู้ว่าจะตายเมื่อไร 3 ดังนั้นจงเอาอาวุธของเจ้า กระบอกใส่ลูกธนู และธนูของเจ้า และออกไปในท้องทุ่ง และล่าสัตว์มาเพื่อพ่อ 4 ทำอาหารอร่อยสำหรับพ่อ อาหารที่พ่อชอบและนำมาให้พ่อ ดังนั้นพ่อจะกินอาหารนั้น และอวยพรให้เจ้าก่อนที่พ่อจะตาย"
5 ขณะนั้นเรเบคาห์ได้ยินเรื่องราวที่อิสอัคพูดกับเอซาว บุตรชายของเขา เอซาวไปยังท้องทุ่งเพื่อล่าสัตว์และนำกลับมา 6 เรเบคาห์พูดกับยาโคบ บุตรชายของนาง และพูดว่า "นี่แน่ะ แม่ได้ยินพ่อของเจ้าพูดกับเอซาวพี่ชายของเจ้า เขาพูดว่า 7 'จงนำเนื้อสัตว์ และทำอาหารที่อร่อยให้พ่อเพื่อที่พ่อจะกินและอวยพรเจ้าต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ ก่อนที่พ่อจะตาย' 8 ดังนั้นลูกชายของแม่เอ๋ย จงเชื่อฟังคำของแม่ที่แม่สั่งเจ้า 9 จงไปที่ฝูงสัตว์ และนำแพะหนุ่มที่ดีสองตัวมาให้แม่ และแม่จะทำอาหารอร่อยจากพวกแพะนั้นสำหรับพ่อของเจ้า อย่างที่เขาชอบ 10 เจ้าจะนำอาหารนั้นไปให้พ่อของเจ้า เพื่อให้เขากิน ดังนั้นเขาจะได้อวยพรเจ้าก่อนความตายของเขาจะมาถึง"
11 ยาโคบพูดกับเรเบคาห์ มารดาของเขาว่า "ดูเถอะ เอซาวพี่ชายของลูกเป็นคนมีขนดก แต่ลูกเป็นคนที่ผิวเกลี้ยงเกลา 12 บางทีพ่อของลูกจะสัมผัสลูก และลูกจะกลายเป็นคนหลอกลวงเขา ลูกจะนำคำแช่งสาปมาสู่ตัวลูก ไม่ใช่คำอวยพร" 13 มารดาของเขาพูดกับเขาว่า "ลูกชายของเราเอ๋ย คำแช่งสาปใดๆ นั้นให้ตกแก่แม่เถอะ เพียงแต่เชื่อฟังคำของแม่และไป จงนำพวกมันมาให้แม่" 14 ดังนั้นยาโคบจึงได้ไป และเอาพวกแพะหนุ่ม และนำพวกมันมาให้มารดาของเขา และมารดาของเขาทำอาหารอร่อยอย่างที่บิดาของเขาชอบ
15 เรเบคาห์นำเอาเสื้อผ้าที่ดีที่สุดของเอซาว บุตรชายคนโตของนาง ซึ่งอยู่กับนางในบ้าน และสวมให้กับยาโคบ บุตรชายคนเล็กของนาง 16 นางเอาหนังของแพะหนุ่มสวมบนมือของเขา และบนส่วนที่เกลี้ยงเกลาที่ช่วงคอของเขา 17 นางนำอาหารอร่อย และขนมปังที่นางเตรียมใส่มือบุตรชายของนางคือยาโคบ
18 ยาโคบเข้าไปหาบิดาของเขาและพูดว่า "พ่อของฉัน" เขาตอบว่า"ลูกชายของเราเอ๋ยพ่ออยู่นี่ เจ้าคือใคร?" 19 ยาโคบตอบบิดาของเขาว่า "ลูกเอง เอซาว ลูกชายคนโตของท่าน ลูกได้ทำตามที่ท่านบอกลูก บัดนี้ขอให้ท่านนั่งลงและกินเนื้อที่ลูกหามา แล้วท่านจะได้อวยพรลูก" 20 อิสอัคพูดกับบุตรชายของเขาว่า "ลูกชายของเราเอ๋ย เป็นไปได้อย่างไรที่เจ้าสามารถล่ามันได้รวดเร็วอย่างนี้?" เขาตอบว่า "เพราะว่าพระยาห์เวห์ พระเจ้าของท่านนำมันมาให้ลูก" 21 อิสอัคพูดกับยาโคบว่า "ลูกชายของเราเอ๋ย จงมาใกล้ๆ พ่อเถิด เพื่อพ่อจะได้สัมผัสเจ้า เพื่อที่พ่อจะรู้ว่าเจ้าเป็นลูกชายของพ่อ คือเอซาวตัวจริงหรือไม่" 22 ยาโคบเข้าไปยังอิสอัคบิดาของเขา และอิสอัคสัมผ้สเขาและพูดว่า "เสียงนั้นคือเสียงของยาโคบ แต่มือเป็นมือของเอซาว"
23 อิสอัคจำเขาไม่ได้เพราะมือของเขามีขนเหมือนมือเอซาว พี่ชายของเขา ดังนั้นอิสอัคจึงได้อวยพรเขา 24 เขาพูดว่า "เจ้าคือเอซาวลูกชายของเราจริงๆ หรือ?" เขาได้ตอบว่า "ใช่" 25 อิสอัคพูดว่า "จงนำอาหารมาให้พ่อ และพ่อจะกินเนื้อที่เจ้าหามา แล้วพ่อจะอวยพรเจ้า" ยาโคบนำอาหารมาให้เขา อิสอัคกินและยาโคบนำเหล้าองุ่นมาให้เขา และเขาก็ดื่ม
26 จากนั้นอิสอัค บิดาของเขาพูดกับเขาว่า "ลูกชายของเราเอ๋ย บัดนี้ จงเข้ามาใกล้พ่อและจูบพ่อ" 27 ยาโคบเข้ามาใกล้ และจูบเขา และเขาได้กลิ่นเสื้อผ้าของเขาและอวยพรเขา เขาพูดว่า "ดูสิ กลิ่นบุตรชายของเราเหมือนกลิ่นของท้องทุ่งที่พระยาห์เวห์ทรงอวยพระพร"
28 ขอพระเจ้าประทานส่วนที่มีน้ำค้างแห่งท้องฟ้า และส่วนที่อุดมสมบูรณ์ของแผ่นดิน และมีธัญญพืช และเหล้าองุ่นใหม่มากมาย 29 ให้ประชาชนทั้งหลายรับใช้เจ้า และประชาชาติทั้งหลายโค้งคำนับให้แก่เจ้า เป็นเจ้านายเหนือพี่น้องทั้งหลายของเจ้า และขอให้บุตรชายทั้งหลายของมารดาเจ้าโค้งคำนับให้แก่เจ้า ขอให้ทุกคนที่แช่งสาปเจ้าถูกแช่งสาป ขอให้ทุกคนที่อวยพรเจ้าได้รับการอวยพร
30 ทันทีที่อิสอัคเสร็จสิ้นการอวยพรยาโคบ และยาโคบเกือบจะกลับออกไปจากอิสอัคบิดาของเขาแทบไม่ทัน เอซาวพี่ชายของเขากลับมาจากการล่าสัตว์ 31 เขาก็ปรุงอาหารที่อร่อย และนำมาให้บิดาของเขา เขาพูดกับบิดาของเขาว่า "พ่อ ขอให้ท่านลุกขึ้นและกินสิ่งที่ลูกชายของท่านได้ล่ามา เพื่อที่ท่านจะได้อวยพรลูก" 32 อิสอัคบิดาของเขาพูดกับเขาว่า "เจ้าเป็นใคร?" เขาตอบว่า "ลูกคือลูกชายของท่าน ลูกชายคนโตของท่าน คือเอซาว" 33 อิสอัคตัวสั่นมาก และพูดว่า "มันเป็นใครที่ได้ไปล่าสัตว์และนำมาให้พ่อ? พ่อกินมันหมดก่อนที่เจ้าเข้ามา และพ่อได้อวยพรเขาไปแล้วจริงๆ เขาจะได้รับการอวยพร"
34 เมื่อเอซาวได้ยินถ้อยคำทั้งหลายของบิดาเขา เขาจึงร้องไห้ด้วยเสียงอันดัง และขมขื่น และพูดกับบิดาของเขาว่า "ขออวยพรลูก ให้ลูกด้วย พ่อของลูก" 35 อิสอัคพูดว่า "น้องชายของเจ้ามาที่นี่อย่างมีเล่ห์เหลี่ยมและเอาคำอวยพรของเจ้าไปแล้ว" 36 เอซาวพูดว่า "ผู้ที่ทำไม่ถูกต้องนี้คือยาโคบมิใช่หรือ? เพราะเขาหลอกลวงลูกอย่างนี้สองครั้งแล้ว เขาเอาสิทธิบุตรหัวปีของลูกไป และดูสิ เดี๋ยวนี้เขาเอาคำอวยพรของลูกไปอีกแล้ว" จากนั้นเขาพูดว่า "ท่านไม่มีคำอวยพรสำรองสำหรับลูกเลยหรือ?" 37 อิสอัคตอบและพูดกับเอซาวว่า "ดูเถิด พ่อทำให้เขาเป็นเจ้านายของเจ้า และพ่อให้พี่น้องทั้งหมดของเขาเป็นคนรับใช้เขา และพ่อให้ธัญญพืช และเหล้าองุ่นใหม่แก่เขา บุตรชายของพ่อเอ๋ย พ่อจะสามารถทำอะไรมากกว่านี้สำหรับเจ้าได้หรือ? 38 เอซาวพูดกับบิดาของเขาว่า "พ่อของลูก ท่านไม่มีคำอวยพรเหลือสำหรับลูกอีกสักคำอวยพรหนึ่งหรือ? พ่อของลูกขออวยพรลูก อวยพรลูกด้วย" เอซาวร้องไห้เสียงดัง
39 อิสอัคบิดาของเขาตอบ และพูดกับเขาว่า "ดูเถิด สถานที่ที่เจ้าอยู่จะอยู่ห่างไกลจากความอุดมสมบูรณ์ของแผ่นดิน ห่างไกลจากน้ำค้างของท้องฟ้าเบื้องบน 40 เจ้าจะมีชีวิตอยู่ได้ด้วยดาบของเจ้า และเจ้าจะรับใช้น้องชายของเจ้า แต่เมื่อเจ้ากบฏ เจ้าจะสลัดแอกของเขาออกจากคอของเจ้า"
41 เอซาวเกลียดชังยาโคบเพราะคำอวยพรที่บิดาของเขาให้แก่เขา เอซาวพูดในใจของเขาว่า "วันเวลาแห่งความโศกเศร้าสำหรับบิดาของฉันกำลังเข้ามาใกล้ หลังจากนั้นฉันจะฆ่าน้องชายของฉัน คือยาโคบ" 42 ถ้อยคำของเอซาว บุตรชายคนโตของนางได้ถูกนำมาบอกให้เรเบคาห์รู้ ดังนั้นนางจึงได้ส่งคนไป และเรียกยาโคบ บุตรชายคนเล็กของนาง และพูดกับเขาว่า "ดูเถิดพี่ชายของเจ้า คือเอซาว กำลังปลอบใจตัวเองเกี่ยวกับเจ้าโดยการวางแผนที่จะฆ่าเจ้า 43 บัดนี้ ลูกชายของแม่เอ๋ยจงเชื่อฟังแม่ และหนีไปหาลาบัน พี่ชายของแม่ ที่เมืองฮาราน 44 จงอยู่กับเขาชั่วขณะหนึ่งจนกว่าความโกรธของพี่ชายเจ้าจะลดลง 45 จนกว่าความโกรธของพี่ชายเจ้าหันไปจากเจ้า และเขาลืมในสิ่งที่เจ้าได้กระทำแก่เขา จากนั้นแม่จะส่งคนไป และรับเจ้ากลับมาจากที่นั่น ทำไมแม่ต้องเสียพวกเจ้าทั้งสองคนในวันเดียวกัน?
46 เรเบคาห์พูดกับอิสอัคว่า "ฉันเบื่อชีวิตเพราะบุตรหญิงทั้งหลายของคนฮิตไทต์ ถ้ายาโคบรับเอาบุตรหญิงของคนฮิตไทต์คนใดคนหนึ่งเป็นภรรยา เหมือนผู้หญิงเหล่านี้ บุตรหญิงของแผ่นดินนี้บางคน ชีวิตของฉันจะมีประโยชน์อะไร?"
1 อิสอัคเรียกยาโคบเข้ามา อวยพรเขา และสั่งเขาว่า "เจ้าต้องไม่รับหญิงคานาอันมาเป็นภรรยา 2 จงลุกขึ้น ไปปัดดานอารัม ไปยังบ้านของเบธูเอล บิดาของมารดาเจ้า และรับเอาภรรยาคนหนึ่งจากที่นั่น จากบุตรหญิงคนใดคนหนึ่งของลาบันพี่ชายของมารดาของเจ้า 3 ขอพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงอวยพรเจ้า ทำให้เจ้าเกิดผล และทวีมากขึ้น ดังนั้นเจ้าจะกลายเป็นมวลชนมากมาย 4 ขอให้พระองค์ประทานคำอวยพรของอับราฮัมแก่เจ้า และแก่บรรดาเชื้อสายทั้งหลายของเจ้าหลังจากเจ้า เจ้าจะได้รับแผ่นดินที่เจ้าอาศัยอยู่ซึ่งพระเจ้าได้ประทานให้แก่อับราฮัมเป็นมรดก" 5 ดังนั้นอิสอัคได้ส่งยาโคบไป ยาโคบไปยังปัดดานอารัม ไปหาลาบัน บุตรชายของเบธูเอล ชาวอารัม พี่ชายของเรเบคาห์ มารดาของยาโคบและเอซาว
6 บัดนี้เอซาวได้เห็นอิสอัคอวยพรยาโคบ และส่งเขาไปยังปัดดานอารัม เพื่อหาภรรยาจากที่นั่น เขาเห็นอิสอัคอวยพรเขาและสั่งเขา พูดว่า "เจ้าต้องไม่รับผู้หญิงคานาอันมาเป็นภรรยา" ด้วย 7 เอซาวเห็นว่ายาโคบเชื่อฟังบิดา และมารดาของเขาด้วย และเดินทางไปยังปัดดานอารัม 8 เอซาวเห็นว่าอิสอัค บิดาของเขา ไม่ชอบผู้หญิงคานาอัน 9 ดังนั้นเขาจึงไปหาอิชมาเอล และรับเอามาหะลัทน้องสาวของเนบาโยท บุตรหญิงของอิชมาเอลผู้เป็นบุตรชายของอับราฮัมมาเป็นภรรยาของเขาอีกคนหนึ่ง นอกเหนือไปจากภรรยาทั้งหลายที่เขามีอยู่แล้ว
10 ยาโคบออกจากเมืองเบเออร์เชบา และมุ่งหน้าไปเมืองฮาราน 11 เขามาถึงที่แห่งหนึ่งและพักที่นั่นทั้งคืน เพราะว่าดวงอาทิตย์ตกดินแล้ว เขาเอาก้อนหินก้อนหนึ่งจากที่นั้นมาทำเป็นหมอนรองศีรษะ และนอนลงในที่นั้นเพื่อที่จะหลับ
12 เขาได้ฝัน และเห็นบันไดตั้งขึ้นบนแผ่นดิน ปลายของบันไดนั้นขึ้นไปถึงท้องฟ้า และหมู่ทูตสวรรค์ของพระเจ้ากำลังขึ้นและลงบนบันไดนั้น 13 ดูเถิดพระยาห์เวห์ทรงยืนอยู่ข้างบนนั้น และตรัสว่า "เราคือพระยาห์เวห์ พระเจ้าของอับราฮัมบรรพบุรุษของเจ้า และพระเจ้าของอิสอัค แผ่นดินที่เจ้ากำลังนอนอยู่นี้ เราจะยกให้เจ้าและบรรดาเชื้อสายของเจ้า 14 เชื้อสายทั้งหลายของเจ้าจะเป็นเหมือนผงคลีของแผ่นดิน และเจ้าจะแผ่กว้างไกลออกไปยังทิศตะวันตก ทิศตะวันออก ทิศเหนือ และทิศใต้ ผ่านทางเจ้า และบรรดาเชื้อสายของเจ้า ทุกครอบครัวของแผ่นดินจะได้รับพระพร 15 ดูเถิดเราจะอยู่กับเจ้า และเราจะพิทักษ์รักษาเจ้าไม่ว่าเจ้าจะไปที่ไหน เราจะนำเจ้ากลับมายังแผ่นดินนี้อีกครั้ง เพราะว่าเราจะไม่ทอดทิ้งเจ้า เราจะทำทุกสิ่งที่เราสัญญาไว้กับเจ้า"
16 ยาโคบตื่นขึ้นจากการหลับของเขา และพูดว่า "แน่ทีเดียว พระยาห์เวห์ทรงสถิตอยู่ ณ ที่นี้ และฉันไม่รู้เรื่องมาก่อน" 17 เขาหวาดกลัว และพูดว่า "ที่นี้น่ากลัว ที่นี่ไม่ใช่อย่างอื่นแน่นอน นอกจากพระนิเวศของพระเจ้า นี่เป็นประตูแห่งฟ้าสวรรค์"
18 ยาโคบลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ และนำเอาก้อนหินที่เขาหนุนศีรษะนั้นมา เขาตั้งมันขึ้นเป็นเหมือนเสา และเทน้ำมันลงบนยอดก้อนหินนั้น 19 เขาจึงเรียกชื่อสถานที่นั้นว่า เบธเอล ซึ่งเมืองนี้เดิมเรียกว่า ลูซ
20 ยาโคบปฏิญาณ กล่าวว่า "ถ้าพระเจ้าจะทรงสถิตกับข้าพระองค์ และจะพิทักษ์รักษาข้าพระองค์ในทางนี้ที่ข้าพระองค์กำลังจะเดิน และจะให้อาหารแก่ข้าพระองค์กิน และเสื้อผ้าสำหรับสวมใส่ 21 และทรงนำข้าพระองค์กลับสู่บ้านของบิดาอย่างปลอดภัย จากนั้นพระยาห์เวห์จะเป็นพระเจ้าของข้าพระองค์ 22 และก้อนหินที่ข้าพระองค์ได้ตั้งเป็นเหมือนเสานี้จะเป็นก้อนหินที่ศักดิ์สิทธิ์ จากทุกสิ่งที่พระองค์ประทานให้ข้าพระองค์ แน่นอนทีเดียว ข้าพระองค์จะถวายหนึ่งในสิบคืนให้พระองค์"
1 จากนั้นยาโคบเดินทางต่อไป และมาถึงแผ่นดินของประชาชนแห่งตะวันออก 2 เมื่อเขามองดู เขาเห็นบ่อน้ำบ่อหนึ่งในท้องทุ่ง และดูเถิด มีแกะสามฝูงกำลังนอนอยู่ข้างๆ บ่อน้ำนั้น พวกเขาใช้น้ำจากบ่อน้ำนั้นเลี้ยงฝูงแกะ และมีก้อนหินใหญ่ปิดปากบ่อน้ำนั้น 3 เมื่อฝูงแกะทั้งหมดมารวมกันที่นั่น คนเลี้ยงแกะทั้งหลายจึงจะกลิ้งก้อนหินออกจากปากบ่อน้ำ และตักน้ำให้แกะ และจากนั้นก็จะกลิ้งก้อนหินปิดปากบ่ออีกครั้ง ให้กลับไปในที่เดิม
4 ยาโคบพูดกับพวกเขาว่า "พี่น้องทั้งหลายของข้าพเจ้าเอ๋ย พวกท่านมาจากไหน?" พวกเขาตอบว่า "พวกเรามาจากเมืองฮาราน" 5 เขาพูดกับพวกเขาว่า "พวกท่านรู้จักลาบันบุตรชายของนาโฮร์หรือไม่?" พวกเขาตอบว่า "พวกเรารู้จักเขา" 6 เขาพูดกับพวกเขาว่า "เขาสบายดีหรือ?" พวกเขาตอบว่า "เขาสบายดี และดูนั่น ราเชล บุตรหญิงของเขากำลังมากับฝูงแกะนั้น" 7 ยาโคบพูดว่า "ดูสิ มันเป็นเวลาเที่ยงวัน มันไม่ใช่เวลาสำหรับฝูงสัตว์ที่จะมารวมกัน พวกท่านควรตักน้ำให้แกะและจากนั้นก็ไป ให้พวกมันกินหญ้า" 8 พวกเขาพูดว่า "พวกเราไม่สามารถตักน้ำให้พวกมันได้จนกว่าฝูงสัตว์ทั้งหมดจะมารวมตัวกัน จากนั้นพวกผู้ชายทั้งหลายจะกลิ้งก้อนหินออกจากปากบ่อน้ำ และเราจะตักน้ำให้แกะนั้น"
9 ขณะที่ยาโคบยังกำลังพูดอยู่กับพวกเขา ราเชลมาพร้อมกับฝูงแกะของบิดานาง เพราะนางกำลังเลี้ยงพวกมัน 10 เมื่อยาโคบเห็นราเชล บุตรหญิงของลาบัน พี่ชายของมารดาเขา และแกะของลาบัน ของพี่ชายของมารดาเขา ยาโคบเข้ามา กลิ้งก้อนหินออกจากปากบ่อน้ำ และตักน้ำให้ฝูงสัตว์ของลาบัน พี่ชายของมารดาเขา 11 ยาโคบจูบราเชล และร้องไห้เสียงดัง 12 ยาโคบบอกราเชลว่าเขาเป็นญาติของของบิดานาง และเขาคือบุตรชายของเรเบคาห์ จากนั้นนางวิ่งไป และบอกกับบิดาของนาง
13 เมื่อลาบันทราบเรื่องเกี่ยวกับยาโคบ บุตรชายของน้องสาวเขา เขาวิ่งไปพบเขา สวมกอดเขา จูบเขา และนำเขาไปยังบ้านของเขา ยาโคบบอกลาบันถึงสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด 14 ลาบันพูดกับเขาว่า "ที่จริงแล้วเจ้าคือกระดูกของเรา และเนื้อของเรา" จากนั้นยาโคบอยู่กับเขาประมาณหนึ่งเดือน
15 จากนั้นลาบันพูดกับยาโคบว่า "เจ้าไม่ควรรับใช้เราเปล่าๆ เพราะว่าเจ้าเป็นญาติของเรามิใช่หรือ? จงบอกเรา เจ้าต้องการอะไรเป็นค่าจ้างของเจ้า?" 16 ขณะนั้นลาบันมีบุตรหญิงสองคน คนโตชื่อเลอาห์ และคนน้องชื่อราเชล 17 เลอาห์เป็นคนมีแววตาที่อ่อนโยน แต่ราเชลเป็นคนที่มีรูปร่างและหน้าตาสวยงาม 18 ยาโคบก็รักราเชล ดังนั้นเขาจึงพูดว่า "ข้าพเจ้าจะรับใช้ท่านเจ็ดปีเพื่อราเชล บุตรหญิงคนเล็กของท่าน" 19 ลาบันพูดว่า "มันดีกว่าที่เราจะยกนางให้กับเจ้า แทนที่เราจะยกนางให้กับอีกคนหนึ่ง จงอยู่กับเราเถิด"
20 ดังนั้นยาโคบจึงทำงานรับใช้เจ็ดปีเพื่อราเชล และมันดูเหมือนเป็นเพียงไม่กี่วันสำหรับเขา เพราะความรักที่เขามีต่อนาง 21 จากนั้นยาโคบได้พูดกับลาบันว่า "จงให้ภรรยาแก่ข้าพเจ้าเถิด เพราะข้าพเจ้าได้ทำงานครบตามเวลาแล้ว ดังนั้นข้าพเจ้าควรแต่งงานกับนาง" 22 ดังนั้นลาบันรวบรวมผู้ชายทั้งหมดของสถานที่นั้น และจัดงานเลี้ยง
23 ในเวลาค่ำ ลาบันได้นำเอาเลอาห์บุตรหญิงของเขามา และนำนางไปให้ยาโคบผู้ซึ่งหลับนอนกับนาง 24 ลาบันให้หญิงรับใช้ของเขา คือศิลปาห์ แก่เลอาห์บุตรหญิงของเขา ให้เป็นคนรับใช้ของนาง 25 ในตอนเช้า ดูเถิด กลายเป็นเลอาห์ ยาโคบได้พูดกับลาบัน "ท่านทำอะไรกับข้าพเจ้า? ข้าพเจ้ารับใช้ท่านเพื่อราเชลมิใช่หรือ? ทำไมท่านจึงได้หลอกลวงข้าพเจ้า?" 26 ลาบันพูดว่า "มันไม่ใช่ธรรมเนียมของเราที่จะให้บุตรหญิงคนเล็กก่อนบุตรหญิงคนโต 27 ให้ครบเจ็ดวันของการแต่งงานของบุตรหญิงคนนี้ก่อน และเราจะยกอีกคนหนึ่งให้เจ้าด้วย และตอบแทนด้วยการรับใช้เราอีกเจ็ดปี"
28 ยาโคบทำอย่างนั้น และจนครบเจ็ดวันของเลอาห์ จากนั้นลาบันได้มอบราเชลให้เขา บุตรหญิงของเขา ให้เป็นภรรยาของเขาด้วย 29 ลาบันให้บิลฮาห์แก่ราเชล บุตรหญิงของเขา ให้เป็นคนรับใช้ของนาง 30 ดังนั้นยาโคบได้หลับนอนกับราเชลด้วย แต่เขารักราเชลมากกว่าเลอาห์ และยาโคบรับใช้ลาบันเป็นเวลาอีกเจ็ดปี 31 พระยาห์เวห์เห็นว่าเลอาห์ไม่ได้เป็นที่รัก ดังนั้นพระองค์ทรงเปิดครรภ์ของนาง แต่ราเชลนั้นไม่มีบุตร 32 เลอาห์ตั้งครรภ์ และให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง และนางเรียกชื่อเขาว่า รูเบน เพราะนางพูดว่า "เพราะว่าพระยาห์เวห์ทรงมองเห็นความลำบากของฉัน บัดนี้สามีของฉันจะรักฉัน"
33 จากนั้นนางตั้งครรภ์อีกครั้ง และให้กำเนิดบุตรชายอีกคนหนึ่ง นางพูดว่า "เพราะว่าพระยาห์เวห์สดับว่าฉันไม่ได้เป็นที่รัก ดังนั้นพระองค์ได้ประทานบุตรชายคนนี้แก่ฉันด้วย" และนางเรียกชื่อเขาว่า สิเมโอน 34 จากนั้นนางก็ตั้งครรภ์อีกครั้ง และให้กำเนิดบุตรชายอีกคนหนึ่ง นางพูดว่า "ดั้งนั้นเวลานี้ สามีของฉันจะติดสนิทกับฉัน เพราะว่าฉันได้ให้กำเนิดบุตรชายสามคนแก่เขา" ดังนั้นเขาจึงถูกเรียกชื่อว่า เลวี 35 นางตั้งครรภ์อีกครั้ง และให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง นางพูดว่า "ครั้งนี้ ฉันจะสรรเสริญพระยาห์เวห์" ดังนั้นนางจึงเรียกชื่อเขาว่ายูดาห์ จากนั้นนางก็หยุดการมีบุตร
1 เมื่อราเชลเห็นว่านางไม่ได้ให้กำเนิดบุตรแก่ยาโคบ ราเชลก็อิจฉาพี่สาวของนาง นางพูดกับยาโคบว่า "จงให้บุตรแก่ฉัน หรือมิฉะนั้นก็ให้ฉันตายเสีย" 2 ยาโคบโกรธราเชลมาก เขาพูดว่า "เราเป็นเหมือนพระเจ้าผู้ซึ่งทำให้เจ้าไม่มีบุตรหรือ?" 3 นางพูดว่า "ดูสิ นี่คือบิลฮาห์คนรับใช้ของฉัน จงหลับนอนกับนาง เพื่อที่นางจะให้กำเนิดบุตรบนตักของฉัน และฉันจะมีบุตรโดยนาง" 4 ดังนั้นนางจึงให้บิลฮาห์คนรับใช้ของนางเป็นภรรยาอีกคนหนึ่งของยาโคบ และเขาหลับนอนกับนาง
5 บิลฮาห์ได้ตั้งครรภ์ และให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่งแก่ยาโคบ 6 ราเชลจึงพูดว่า "พระเจ้าทรงตัดสินด้วยความเมตตาฉัน พระองค์ทรงฟังคำอธิษฐานของฉัน และประทานบุตรชายคนหนึ่งแก่ฉัน" ด้วยเหตุนี้นางจึงเรียกชื่อเขาว่าดาน 7 บิลฮาห์คนรับใช้ของราเชลตั้งครรภ์อีกครั้งและคลอดบุตรชายคนที่สองแก่ยาโคบ 8 ราเชลพูดว่า "ด้วยการปล้ำสู้อย่างแข็งขัน ฉันปล้ำสู้กับพี่สาวของฉันและมีชัย" นางเรียกชื่อเขาว่านัฟทาลี
9 เมื่อเลอาห์เห็นว่านางหยุดการมีบุตรแล้ว นางนำศิลปาห์ คนรับใช้ของนางมา และให้นางเป็นภรรยาอีกคนหนึ่งของยาโคบ 10 ศิลปาห์ คนรับใช้ของเลอาห์ให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่งแก่ยาโคบ 11 เลอาห์พูดว่า "นี่คือโชคดี" ดังนั้นนางจึงเรียกชื่อเขาว่ากาด 12 จากนั้นศิลปาห์ คนรับใช้ของเลอาห์ก็ให้กำเนิดบุตรชายคนที่สองแก่ยาโคบ 13 เลอาห์พูดว่า "ฉันมีความสุข เพราะบุตรหญิงทั้งหลายจะเรียกฉันว่าความสุข" ดังนั้นนางจึงเรียกชื่อของเขาว่าอาเชอร์
14 ในฤดูเก็บเกี่ยวข้าวสาลี รูเบนเข้าไปในท้องทุ่งและพบต้นดูดาอิม เขานำผลทั้งหลายมาให้เลอาห์ มารดาของเขา และราเชลพูดกับเลอาห์ว่า "ขอผลดูดาอิมของบุตรชายท่านแก่ฉันบ้าง" 15 เลอาห์พูดกับนางว่า "มันเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับเจ้าหรือ ที่เจ้าแย่งเอาสามีของเราไป? และเดี๋ยวนี้เจ้ายังจะมาแย่งเอาผลดูดาอิมของบุตรชายเราไปอีกด้วยหรือ?" ราเชลพูดว่า "เพื่อแลกเปลี่ยนกับผลดูดาอิมของบุตรชายท่าน คืนนี้เขาจะหลับนอนกับท่าน"
16 ในตอนเย็น ยาโคบมาจากท้องทุ่ง เลอาห์ออกไปพบเขาและพูดว่า "ท่านต้องหลับนอนกับฉันคืนนี้ เพราะฉันได้ว่าจ้างท่านด้วยผลดูดาอิมของบุตรชายฉัน" ดังนั้นยาโคบจึงหลับนอนกับเลอาห์คืนนั้น 17 พระเจ้าทรงฟังเลอาห์ และนางได้ตั้งครรภ์ และให้กำเนิดบุตรชายคนที่ห้าแก่ยาโคบ 18 เลอาห์พูดว่า "พระเจ้าได้ประทานค่าจ้างของฉันเพราะฉันให้หญิงรับใช้ของฉันแก่สามีฉัน" นางเรียกชื่อเขาว่าอิสสาคาร์ 19 เลอาห์ตั้งครรภ์อีกครั้งและให้กำเนิดบุตรชายคนที่หกแก่ยาโคบ 20 เลอาห์พูดว่า "พระเจ้าได้ประทานของขวัญที่ดีแก่ฉัน บัดนี้สามีของฉันจะให้เกียรติแก่ฉัน เพราะว่าฉันได้ให้กำเนิดบุตรชายหกคนแก่เขา" นางเรียกชื่อเขาว่าเศบูลุน 21 หลังจากนั้นนางได้ให้กำเนิดบุตรหญิงคนหนึ่ง และเรียกชื่อนางว่าดีนาห์
22 พระเจ้าได้ระลึกถึงราเชลและฟังนาง พระองค์ทรงทำให้นางตั้งครรภ์ 23 นางได้ตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง นางพูดว่า "พระเจ้าทรงนำเอาความอับอายของฉันออกไป" 24 นางเรียกชื่อเขาว่าโยเซฟ กล่าวว่า "พระยาห์เวห์ทรงเพิ่มบุตรชายอีกคนหนึ่งให้แก่ฉัน"
25 หลังจากราเชลให้กำเนิดโยเซฟ ยาโคบพูดกับลาบันว่า "ขอส่งข้าพเจ้าไป เพื่อที่ข้าพเจ้าจะไปยังบ้านของข้าพเจ้าและดินแดนของข้าพเจ้า 26 ขอมอบภรรยาทั้งหลายของข้าพเจ้า และบุตรทั้งหลายของข้าพเจ้า ผู้ที่ข้าพเจ้าได้มาเพราะข้าพเจ้าได้รับใช้ท่าน และอนุญาตให้ข้าพเจ้าไป เพราะท่านรู้ถึงการรับใช้ที่ข้าพเจ้าได้รับใช้ท่าน"
27 ลาบันพูดกับเขาว่า "เดี๋ยวนี้ ถ้าเราเป็นที่ชื่นชอบในสายตาเจ้า ขอรอไว้ก่อน เพราะว่าเราเรียนรู้โดยการใช้การพยากรณ์ว่า พระยาห์เวห์อวยพรเราเพราะเจ้า" 28 และเขาพูดอีกว่า "จงบอกค่าจ้างของเจ้ามา เราเต็มใจที่จะจ่ายค่าจ้างนั้น" 29 ยาโคบพูดกับเขาว่า "ท่านรู้อยู่แล้วว่า ข้าพเจ้ารับใช้ท่านอย่างไร และฝูงสัตว์เลี้ยงของท่านดีอย่างไรเมื่ออยู่กับข้าพเจ้า 30 ก่อนที่ข้าพเจ้าจะมา ท่านมีฝูงสัตว์เพียงเล็กน้อย ขณะนี้มันได้เพิ่มขึ้นมากมาย พระยาห์เวห์อวยพรท่านในทุกอย่างที่ข้าพเจ้าได้ทำ แล้วเมื่อไรข้าพเจ้าจึงจะได้จัดเตรียมสำหรับครอบครัวของข้าพเจ้าเองบ้าง?" 31 ดังนั้นลาบันจึงพูดว่า "จะให้เราจ่ายอะไรแก่เจ้า?" ยาโคบพูดว่า "ท่านไม่ต้องให้อะไรแก่ข้าพเจ้า ถ้าท่านจะทำสิ่งนี้เพื่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะเลี้ยงและดูแลรักษาฝูงสัตว์ของท่านอีกครั้ง
32 ในวันนี้ ให้ข้าพเจ้าเดินผ่านฝูงสัตว์ทั้งหมดของท่าน ขอแยกแกะทุกตัวที่มีจุด และด่าง และสีดำทุกตัวออกจากฝูง และแพะทุกตัวที่มีจุด และด่างทุกตัวออกจากฝูง เหล่านี้จะเป็นค่าจ้างของข้าพเจ้า 33 ความสัตย์ซื่อของข้าพเจ้าจะยืนยันกับข้าพเจ้าในภายหลัง เมื่อท่านจะมาตรวจสอบค่าจ้างของข้าพเจ้า ทุกตัวที่ไม่ด่าง และไม่มีจุดท่ามกลางแพะทั้งหลาย และสีดำท่ามกลางแกะทั้งหลาย ถ้าพบสักตัวในฝูงสัตว์ของข้าพเจ้า จะถือว่านั่นเป็นการขโมย" 34 ลาบันพูดว่า "ตกลง ให้เป็นไปตามที่เจ้าพูดนั้น" 35 วันนั้นลาบันได้แยกแพะตัวผู้ทั้งหลายซึ่งมีลายยาว และจุด และแพะตัวเมียทั้งหมดที่ด่าง และมีจุด ทุกตัวที่มีสีขาว และแกะทุกตัวที่มีสีดำ และให้พวกมันอยู่ในมือของพวกบุตรชายทั้งหลายของเขา 36 ลาบันได้แยกฝูงสัตว์ของเขากับของยาโคบให้อยู่ห่างกันระยะทางสามวันเดินทาง ดังนั้นยาโคบยังคงเลี้ยงสัตว์ที่เหลือของลาบัน
37 ยาโคบนำกิ่งไม้สดๆ จากต้นปอปลาร์และต้นอัลมอนด์ และต้นเปลน และปอกเปลือกให้เป็นริ้วขาว ทำให้เห็นเนื้อไม้สีขาวด้านใน 38 จากนั้นเขาวางกิ่งไม้ที่เขาปอกเปลือกต่อหน้าฝูงสัตว์ ข้างหน้ารางน้ำที่พวกมันเข้าดื่ม พวกมันตั้งท้องเมื่อพวกมันเข้ามาดื่มน้ำ 39 ฝูงสัตว์แพร่พันธุ์ข้างหน้ากิ่งไม้เหล่านั้น และฝูงสัตว์เกิดลูกอ่อนมีลาย เป็นด่าง และมีจุด 40 ยาโคบแยกลูกแกะเหล่านี้ออก แต่ทำให้ส่วนที่เหลือหันหน้าไปที่สัตว์ที่มีลาย และแกะดำทั้งหมดในฝูงของลาบัน จากนั้นเขาแยกฝูงสัตว์ของเขาสำหรับเขาเองต่างหาก และไม่นำไปรวมกับฝูงสัตว์ของลาบัน
41 เมื่อแกะที่แข็งแรงในฝูงกำลังจะผสมพันธุ์ ยาโคบก็จะวางกิ่งไม้เหล่านั้นในรางน้ำต่อหน้าฝูงแกะ ดังนั้นพวกมันจะตั้งท้องท่ามกลางกิ่งไม้เหล่านั้น 42 แต่หากสัตว์ที่อ่อนแอในฝูงเข้ามา เขาจะไม่วางกิ่งไม้เหล่านั้นต่อหน้าพวกมัน ดังนั้นสัตว์ตัวที่อ่อนแอเป็นของลาบัน และตัวที่แข็งแรงก็ตกเป็นของยาโคบ 43 ผู้ชายคนนั้นกลายเป็นคนมั่งคั่ง เขามีสัตว์ฝูงใหญ่ หญิงรับใช้ทั้งหลาย และชายรับใช้ทั้งหลาย และอูฐทั้งหลาย และลาทั้งหลาย
1 ขณะนั้นยาโคบได้ยินถ้อยคำของพวกบุตรชายของลาบัน พวกเขาพูดกันว่า "ยาโคบได้เอาทุกสิ่งที่เป็นของบิดาเราไป และจากทรัพย์สินของบิดาเรานั่นเอง เขาจึงได้มีความมั่งคั่งทั้งหมดนี้" 2 ยาโคบเห็นสีหน้าของลาบัน เขาเห็นว่าท่าทีของลาบันที่มีต่อเขานั้นได้เปลี่ยนแปลงไป
3 จากนั้นพระยาห์เวห์ตรัสกับยาโคบว่า "จงกลับไปยังแผ่นดินของบรรพบุรุษของเจ้าและญาติของเจ้า และเราจะอยู่กับเจ้า" 4 ยาโคบให้คนไปและเรียกหาราเชล และเลอาห์ให้ไปยังท้องทุ่ง ไปที่ฝูงสัตว์ 5 และพูดกับพวกเขาว่า "ฉันเห็นว่าท่าทีของบิดาพวกเจ้าที่มีต่อฉันได้เปลี่ยนแปลงไป แต่พระเจ้าของบิดาฉันสถิตอยู่กับฉัน 6 พวกเจ้าก็รู้ว่ามันเป็นพละกำลังทั้งหมดของฉันที่ฉันได้รับใช้บิดาของพวกเจ้า 7 บิดาของพวกเจ้าหลอกลวงฉัน และปรับเปลี่ยนค่าจ้างของฉันถึงสิบครั้ง แต่พระเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้เขาทำร้ายฉัน 8 ถ้าเขาพูดว่า 'สัตว์ตัวที่ด่างจะเป็นค่าจ้างของเจ้า' จากนั้นฝูงสัตว์ทั้งหมดก็จะให้ลูกเป็นด่าง ถ้าเขาพูดว่า 'ให้ตัวที่ลายเป็นค่าจ้างของเจ้า' จากนั้นฝูงสัตว์ทั้งหมดก็จะให้ลูกเป็นลาย
9 ด้วยวิธีการนี้ พระเจ้าได้นำเอาฝูงสัตว์เลี้ยงของบิดาเจ้า และมอบพวกมันให้แก่ฉัน 10 ในฤดูผสมพันธ์ุสัตว์ ในความฝัน ฉันเห็นพวกแพะตัวผู้กำลังผสมพันธุ์กับฝูงสัตว์นั้น พวกแพะตัวผู้เป็นแพะลาย แพะด่าง และแพะมีจุด 11 ทูตสวรรค์ของพระเจ้าพูดกับฉันในความฝันว่า 'ยาโคบเอ๋ย' ฉันตอบว่า 'ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่' 12 เขาพูดว่า 'จงเงยหน้าและดูพวกแพะตัวผู้ซึ่งกำลังผสมพันธุ์ในฝูงสัตว์นั้น พวกมันเป็นแพะลาย แพะด่าง และแพะมีจุด เพราะว่าเราเห็นทุกสิ่งที่ลาบันกำลังทำกับเจ้า 13 เราคือพระเจ้าแห่งเบธเอล ที่ซึ่งเจ้าได้เจิมเสาหินต้นหนึ่ง ที่เจ้าได้ให้สัตย์สาบานแก่เรา บัดนี้จงลุกขึ้น และไปจากแผ่นดินนี้ และกลับไปยังแผ่นดินเกิดของเจ้า'"
14 ราเชล และเลอาห์ตอบและพูดกับเขาว่า "ยังจะมีส่วนใด หรือมรดกเหลือสำหรับพวกเราในบ้านของบิดาอีกหรือ? 15 เขาไม่ได้กระทำกับเราเช่นคนต่างชาติหรือ? เพราะเขาได้ขายเรา และใช้เงินของเราไปหมดแล้วด้วย 16 เพราะความมั่งคั่งทั้งหมด พระเจ้าได้เอาไปจากบิดาพวกเรา และเดี๋ยวนี้มันเป็นของพวกเรา และบุตรทั้งหลายของพวกเรา บัดนี้ท่านจงทำในสิ่งที่พระเจ้าได้ตรัสแก่ท่านเถิด"
17 ยาโคบจึงลุกขึ้น และเอาบุตรชายทั้งหลายของเขา และภรรยาทั้งหลายของเขาขึ้นหลังพวกอูฐ 18 เขาไล่ต้อนฝูงสัตว์ทั้งหมดของเขาไปข้างหน้าเขา พร้อมกับทรัพย์สินทั้งหมดของเขา รวมทั้งฝูงสัตว์ที่เขาหามาได้ในปัดดานอารัม จากนั้นเขาได้ออกเดินทางเพื่อไปหาอิสอัคบิดาของเขา ในแผ่นดินคานาอัน 19 เมื่อลาบันออกไปตัดขนแกะของเขา ราเชลได้ขโมยเทวรูปประจำบ้านของบิดานางไปด้วย 20 ยาโคบหลอกลาบัน คนอารัม โดยไม่ได้บอกเขาว่าเขากำลังจะจากไป 21 ดังนั้นเขาจึงหนีไปพร้อมกับสิ่งทั้งหมดที่เขามี และข้ามแม่น้ำไปอย่างรีบเร่ง และมุ่งหน้าไปยังดินแดนเทือกเขากิเลอาด
22 ในวันที่สาม ลาบันได้รับการบอกเล่าว่ายาโคบหนีไปแล้ว 23 ดังนั้นเขาจึงนำเอาญาติทั้งหลายของเขาไปกับเขา และ เดินทางไล่ตามเขาเป็นเวลาเจ็ดวัน เขาตามมาทันยาโคบในดินแดนเทือกเขากิเลอาด 24 ขณะนั้นพระเจ้าเสด็จมาหาลาบัน คนอารัมในความฝันตอนกลางคืนและตรัสกับเขาว่า "จงระวังที่เจ้าจะพูดกับยาโคบ ไม่ว่าดีหรือร้าย"
25 ลาบันไล่มาทันยาโคบ ขณะที่ยาโคบตั้งเต็นท์ของเขาในดินแดนเทือกเขา เช่นกันลาบันก็ตั้งเต็นท์กับพวกญาติของเขาในดินแดนเทือกเขากิเลอาด 26 ลาบันพูดกับยาโคบว่า "เจ้าได้ทำอะไร เจ้าหลอกลวงเรา และพาพวกบุตรหญิงของเราหนีมาเหมือนเชลยสงครามหรือ? 27 ทำไมเจ้าถึงหนีมาแบบลับๆ และหลอกลวงเรา และไม่บอกเรา? เราอยากจะส่งเจ้ากลับด้วยการเลี้ยงฉลอง และร้องเพลง ด้วยรำมะนา และพิณเขาคู่ 28 เจ้าไม่ได้ให้เราจูบลาหลานทั้งหลายของเรา และบุตรหญิงทั้งหลายของเรา บัดนี้เจ้าได้ทำในสิ่งที่โง่เขลา 29 มันเป็นอำนาจของเราที่จะทำร้ายเจ้า แต่พระเจ้าของบิดาเจ้าได้ตรัสกับเราเมื่อคืนนี้ และตรัสว่า 'จงระวังที่เจ้าจะพูดกับยาโคบไม่ว่าจะดีหรือร้าย'
30 เดี๋ยวนี้เจ้าหนีออกมาเพราะว่าเจ้าปรารถนาที่จะกลับไปยังบ้านของบิดาเจ้านานแล้ว แต่ทำไมเจ้าจึงขโมยพวกพระของเรามาด้วย?" 31 ยาโคบตอบและพูดกับลาบันว่า "เพราะว่าฉันกลัว และคิดว่าท่านจะใช้กำลังบีบบังคับเอาตัวบุตรหญิงทั้งหลายของท่านไปจากฉัน ดังนั้นฉันจึงออกมาอย่างลับ ๆ 32 ใครก็ตามที่ขโมยพวกพระของท่านมาจะไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไป ต่อหน้าญาติทั้งหลายของเรา จงพินิจพิจารณาว่าอะไรที่อยู่กับฉันและเป็นของท่าน และนำมันไปเถิด" เพราะว่ายาโคบไม่รู้ว่าราเชลได้ขโมยพวกมันมา
33 ลาบันเข้าไปในเต็นท์ของยาโคบ เข้าไปในเต็นท์ของเลอาห์ และเข้าไปในเต็นท์ของหญิงรับใช้ทั้งสอง แต่เขาไม่ได้พบพวกมัน เขาออกมาจากเต็นท์ของเลอาห์ และเข้าไปในเต็นท์ของราเชล 34 ขณะนั้นราเชลได้นำพวกเทวรูปประจำบ้าน เก็บไว้ในกูบอูฐ และนั่งทับพวกมันไว้ ลาบันหาทั่วเต็นท์ทั้งหมด แต่ไม่พบพวกมัน 35 นางพูดกับบิดาของนางว่า "อย่าโกรธเลยเจ้านายของฉัน ที่ฉันไม่สามารถลุกยืนต่อหน้าท่านได้เพราะฉันกำลังอยู่ในช่วงมีประจำเดือน" ดังนั้นเขาจึงหาแต่ไม่ได้พบพวกเทวรูปประจำบ้านของเขา
36 ยาโคบโกรธและโต้เถียงกับลาบัน เขาพูดกับลาบันว่า "ฉันทำผิดอะไร? ความบาปของฉันคืออะไร ที่ท่านต้องเร่งรีบติดตามฉันมา? 37 เพราะว่าท่านได้ค้นหาทรัพย์สินทั้งหมดของฉันแล้ว ท่านพบอะไรของพวกเครื่องใช้ในครัวเรือนทั้งหมด? นำพวกมันมาตั้งไว้ที่นี่ ต่อหน้าญาติของเรา เพื่อที่พวกเขาจะได้ตัดสินความระหว่างเราทั้งสองฝ่าย
38 เป็นเวลายี่สิบปีฉันอยู่กับท่าน แกะตัวเมียทั้งหลายของท่าน และแพะตัวเมียทั้งหลายไม่เคยหาย หรือฉันไม่เคยกินลูกแกะตัวผู้ใดๆ จากฝูงสัตว์ทั้งหลายของท่าน 39 ตัวที่ถูกฉีกกัดโดยสัตว์ป่า ฉันไม่ได้นำกลับมาให้ท่าน แต่ฉันได้ใช้แทนให้ ท่านให้ฉันชดใช้แทนสัตว์ทุกตัวที่หาย ไม่ว่าจะถูกขโมยในตอนกลางวัน หรือตอนกลางคืน 40 ฉันอยู่ที่นั่นในเวลากลางวันที่ร้อนแผดเผาฉัน และหิมะในตอนกลางคืน และฉันออกไปโดยไม่ได้นอนหลับ
41 ยี่สิบปีมานี้ ฉันอยู่ในครัวเรือนของท่าน ฉันทำงานให้ท่านสิบสี่ปี เพื่อบุตรหญิงทั้งสองคนของท่าน และหกปีเพื่อฝูงสัตว์เลี้ยงของท่าน ท่านได้ปรับเปลี่ยนค่าจ้างของฉันสิบครั้ง 42 ถ้าพระเจ้าของบิดาฉัน พระเจ้าของอับราฮัม และพระองค์เดียวที่อิสอัคเกรงกลัว ไม่ทรงสถิตอยู่กับฉัน แน่นอนทีเดียวท่านคงจะส่งเราไปมือเปล่า พระเจ้าทรงทอดพระเนตรการกดขี่ข่มเหงของฉัน และฉันทำงานหนักอย่างไร และพระองค์ทรงว่ากล่าวท่านเมื่อคืนนี้"
43 ลาบันตอบ และพูดกับยาโคบว่า "พวกบุตรหญิงก็เป็นบุตรหญิงทั้งหลายของเรา พวกหลานๆ ทั้งหลายของเรา และฝูงสัตว์ทั้งหลายก็คือพวกฝูงสัตว์ของเรา ทั้งหมดที่เจ้าเห็นล้วนเป็นของเรา แต่เราจะทำอะไรในวันนี้เพื่อพวกบุตรหญิงของเรา หรือเพื่อบุตรทั้งหลายของพวกเขาที่พวกเขาให้กำเนิดมา? 44 ดังนั้น มาเถิดให้เรามาทำพันธสัญญากัน ระหว่างเจ้ากับเรา และให้พันธสัญญานั้นเป็นพยานระหว่างเจ้ากับเรา" 45 ดังนั้นยาโคบจึงนำก้อนหินมาและตั้งเป็นกอง 46 ยาโคบพูดกับพวกญาติของเขาว่า "จงเก็บก้อนหินมารวมกัน" ดังนั้นพวกเขาจึงเก็บก้อนหินมาทำเป็นกอง จากนั้นพวกเขาได้กินที่นั่นข้างกองหินนั้น
47 ลาบันเรียกมันว่าเยการ์สหดูธา แต่ยาโคบเรียกมันว่ากาเลเอด 48 ลาบันพูดว่า "วันนี้ กองหินนี้จะเป็นพยานระหว่างเรากับเจ้า" ดังนั้นมันจึงถูกเรียกชื่อว่ากาเลเอด 49 มันยังถูกเรียกว่า มิสปาห์ ด้วยเพราะว่าลาบันพูดว่า "ขอให้พระยาห์เวห์ทรงเฝ้าดูระหว่างเจ้ากับเรา เมื่อเราพ้นจากสายตาซึ่งกันและกัน 50 ถ้าเจ้าปฏิบัติไม่ดีต่อบุตรหญิงทั้งหลายของเรา หรือถ้าเจ้าไปมีภรรยาใหม่ที่นอกเหนือไปจากบุตรหญิงทั้งหลายของเรา ถึงแม้ว่าเราฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะไม่เห็น พระเจ้าทรงเป็นพยานระหว่างเจ้ากับเรา"
51 ลาบันพูดกับยาโคบ "จงดูกองหินนี้ และมองไปที่เสาหินซึ่งเราตั้งไว้ระหว่างเจ้ากับเรา 52 กองหินนี้เป็นพยาน และเสาหินนี้ก็เป็นพยาน ที่เราจะไม่ผ่านเข้าไปเกินกว่าเสานี้ไปหาเจ้า และที่เจ้าก็จะไม่ผ่านเข้าไปเกินกว่ากองหินนี้ และเสาหินนี้ไปหาเราเพื่อที่จะทำร้ายกัน 53 ขอให้พระเจ้าของอับราฮัม และพระของนาโฮร์ และพวกพระทั้งหลายของบิดาพวกเขา วินิจฉัยตัดสินความระหว่างเรา" ยาโคบได้สาบานโดยพระองค์ผู้ที่อิสอัคบิดาของท่านเกรงกลัว 54 ยาโคบได้ถวายเครื่องบูชาบนภูเขา และเรียกพวกญาติของเขามากินอาหาร พวกเขาทั้งหลายได้กินและใช้เวลาทั้งคืนบนภูเขานั้น
55 ลาบันตื่นขึ้นแต่เช้าตรู่ จูบพวกหลานชายของเขา และพวกบุตรหญิงของเขา และอวยพรพวกเขา จากนั้นลาบันก็ได้จากไป และกลับไปยังบ้าน
1 ยาโคบจึงไปตามทางของเขา และเหล่าทูตสวรรค์ของพระเจ้าพบเขา 2 เมื่อยาโคบเห็นพวกเขา เขาพูดว่า “นี่คือที่พักของพระเจ้า” ดังนั้นเขาจึงเรียกชื่อที่นั้นว่ามาหะนาอิม
3 ยาโคบได้ส่งพวกคนสื่อสารไปล่วงหน้าเขา ไปหาเอซาวพี่ชายของเขาในแผ่นดินเสอีร์ ในดินแดนของเอโดม 4 เขาสั่งคนเหล่านั้นว่า “นี่คือสิ่งที่พวกเจ้าจะต้องพูดกับเอซาวเจ้านายของเรา นี่คือสิ่งที่ยาโคบผู้รับใช้ของท่านพูดคือ ‘ฉันได้อยู่กับลาบันและเลื่อนเวลากลับมาของฉันจนถึงบัดนี้ 5 ฉันมีพวกวัว พวกลา และฝูงสัตว์เลี้ยง พวกคนรับใช้ผู้ชาย และพวกคนรับใช้ผู้หญิง ฉันได้ส่งสารนี้มาถึงเจ้านายของฉัน เพื่อที่ฉันจะได้มีความชอบในสายตาของท่าน’”
6 พวกคนสื่อสารกลับมาหายาโคบ และพูดว่า “พวกเราได้ไปหาเอซาวพี่ชายของท่าน เขากำลังมาเพื่อจะพบท่าน และมีผู้ชายสี่ร้อยคนมากับเขาด้วย” 7 ยาโคบก็มีความหวาดกลัว และทุกข์ใจ ดังนั้นเขาจึงแยกพวกคนที่มากับเขาเป็นสองพวก และแยกฝูงสัตว์เลี้ยง ฝูงแพะ แกะ และอูฐทั้งหลายออกเป็นสองพวกด้วย 8 เขาพูดว่า “ถ้าเอซาวมาพบพวกกลุ่มที่หนึ่งและโจมตี จากนั้นพวกกลุ่มที่สองที่เหลือจะได้หนีทัน”
9 ยาโคบพูดว่า "พระเจ้าของอับราฮัมบรรพบรุษของข้าพระองค์ และพระเจ้าของอิสอัคบิดาของข้าพระองค์ พระยาห์เวห์ผู้ได้ตรัสกับข้าพระองค์ว่า 'จงกลับไปยังภูมิลำเนาของเจ้า และญาติพี่น้องของเจ้า และเราจะให้เจ้าเจริญรุ่งเรือง' 10 ข้าพระองค์ไม่มีค่าพอกับการกระทำทั้งสิ้นของพระองค์ตามพันธสัญญาแห่งความสัตย์ซื่อ และความไว้วางใจที่ทรงคุณค่าทั้งหมดที่พระองค์ได้ทรงกระทำเพื่อผู้รับใช้ของพระองค์ เพราะด้วยเพียงไม้เท้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดนนี้ และเดี๋ยวนี้ข้าพระองค์เป็นคนสองเผ่า 11 ขอทรงโปรดช่วยกู้ข้าพระองค์จากมือของพี่ชายของข้าพระองค์ จากมือของเอซาว เพราะข้าพระองค์กลัวเขา เขาจะมาและโจมตีข้าพระองค์และมารดาทั้งหลายกับพวกเด็ก 12 แต่พระองค์ตรัสว่า 'เราจะทำให้เจ้าเจริญรุ่งเรืองแน่นอน เราจะทำให้เชื้อสายทั้งหลายของเจ้าเป็นเหมือนทรายแห่งท้องทะเล ซึ่งไม่สามารถจะนับจำนวนพวกเขาได้'"
13 ยาโคบพักที่นั่นคืนนั้น เขาเอาบางสิ่งที่เขามีอยู่กับเขาจัดเป็นของกำนัลสำหรับเอซาวพี่ชายของเขา 14 แพะตัวเมียสองร้อยตัวและแพะตัวผู้ยี่สิบตัว แกะตัวเมียสองร้อยตัวและแกะตัวผู้ยี่สิบตัว 15 อูฐที่กำลังให้นมสามสิบตัวและลูกอูฐตัวผู้ทั้งหลายของพวกมัน วัวตัวเมียสี่สิบตัว และวัวตัวผู้สิบตัว ลาตัวเมียยี่สิบตัวและลาตัวผู้สิบตัว 16 เขามอบสัตว์เหล่านี้ไว้ในมือพวกคนรับใช้ของเขา แต่ละฝูงแยกกลุ่มกัน เขาพูดกับพวกคนรับใช้ของเขาว่า "จงไปข้างหน้าของเราและทิ้งระยะห่างระหว่างแต่ละฝูง"
17 เขาสั่งให้คนรับใช้กลุ่มแรก พูดว่า "เมื่อเอซาวพี่ชายของเราพบพวกเจ้าและถามพวกเจ้า ถามว่า 'พวกเจ้าเป็นคนของใคร? พวกเจ้ากำลังจะไปไหน? ใครเป็นเจ้าของฝูงสัตว์ที่อยู่ต่อหน้าของพวกเจ้า?' 18 จากนั้นพวกเจ้าจะต้องพูดว่า 'พวกมันเป็นของยาโคบผู้รับใช้ของท่าน' พวกมันเป็นของกำนัลที่ส่งไปยังเอซาวเจ้านายของข้าพเจ้า ดูเถิด เขากำลังตามพวกเรามา'" 19 ยาโคบสั่งคนใช้กลุ่มที่สอง และกลุ่มที่สาม และผู้ชายทั้งหมดที่ติดตามฝูงสัตว์ทั้งหลาย เขาพูดว่า "เมื่อพวกเจ้าพบเอซาว พวกเจ้าจะต้องพูดกับเขาอย่างเดียวกัน 20 พวกเจ้าต้องพูดด้วยว่า 'ยาโคบผู้รับใช้ของท่านกำลังตามพวกเรามา' " เพราะเขาได้คิดว่า "ฉันจะปลอบใจเขาด้วยพวกของกำนัลที่ฉันกำลังส่งไปล่วงหน้าฉัน จากนั้นภายหลัง เมื่อฉันจะพบเขา บางทีเขาจะยอมรับฉัน" 21 ดังนั้นของกำนัลทั้งหลายจึงได้ถูกส่งไปก่อนหน้าเขา ตัวเขาเองอยู่ค้างคืนอยู่ที่ที่พัก
22 ยาโคบตื่นขึ้นในตอนกลางคืน และนำเอาภรรยาทั้งสองของเขา หญิงรับใช้ทั้งสองของเขา และบุตรชายทั้งสิบเอ็ดคนของเขา เขาจึงส่งพวกเขาข้ามที่ตื้นของแม่น้ำยับบอก 23 ด้วยวิธีนี้เขาจึงส่งพวกเขาข้ามแม่น้ำไปกับทรัพย์สินของเขาทั้งหมด 24 ยาโคบถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว และมีผู้ชายคนหนึ่งมาปล้ำสู้กับเขาจนกระทั่งรุ่งเช้า
25 เมื่อผู้ชายคนนั้นได้เห็นว่าเขาไม่สามารถเอาชนะยาโคบได้ เขาจึงทุบสะโพกของยาโคบ สะโพกของยาโคบจึงเคล็ดเมื่อเขาได้ปล้ำสู้กับชายคนนั้น 26 ผู้ชายคนนั้นพูดว่า "ปล่อยเราไปเถอะ เพราะกำลังจะเช้าแล้ว" ยาโคบพูดว่า "ฉันจะไม่ปล่อยท่านไป นอกจากท่านจะอวยพรฉันก่อน"
27 ผู้ชายคนนั้นพูดกับเขาว่า "เจ้าชื่ออะไร?" ยาโคบตอบว่า "ยาโคบ" 28 ผู้ชายคนนั้นพูดว่า "ชื่อของเจ้าจะไม่ถูกเรียกว่ายาโคบอีกต่อไป แต่จะถูกเรียกว่า อิสราเอล เพราะว่าเจ้าได้ต่อสู้กับพระเจ้ากับพวกผู้ชาย และได้รับชัยชนะ" 29 ยาโคบพูดกับเขาว่า "กรุณาบอกชื่อของท่านให้ฉันรู้ด้วย" เขาพูดว่า "ทำไมเจ้าจึงถามชื่อของเรา?" ชายคนนั้นจึงได้อวยพรเขาที่นั่น
30 ยาโคบเรียกชื่อสถานที่นั้นว่าเปนีเอล เพราะเขาพูดว่า "ฉันได้เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า และชีวิตของฉันยังคงอยู่ต่อไป" 31 เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น ยาโคบเดินผ่านเปนีเอล เขาเดินกระเผลกเพราะสะโพกของเขา
32 นี่คือสาเหตุที่คนอิสราเอลทุกวันนี้ไม่กินเอ็นของสะโพกซึ่งอยู่ที่ข้อต่อสะโพก เพราะว่าชายคนนั้นทำให้เอ็นเหล่านั้นบาดเจ็บขณะที่สะโพกของยาโคบเคล็ด
1 ยาโคบมองขึ้นไป และดูเถิดเอซาวกำลังเข้ามาพร้อมกับผู้ชายสี่ร้อยคน ยาโคบได้แบ่งเด็กทั้งหลายท่ามกลางเลอาห์ ราเชล และหญิงรับใช้ทั้งสองคน 2 จากนั้นเขาได้ให้พวกหญิงรับใช้และบุตรทั้งหลายของพวกเขาอยู่ข้างหน้า ตามด้วยเลอาห์ และบุตรทั้งหลายของนาง และตามด้วยราเชลและโยเซฟอยู่ท้ายสุด 3 ตัวเขาเองอยู่ข้างหน้าพวกเขา เขาโค้งคำนับลงถึงพื้นเจ็ดครั้ง จนกระทั่งเขาเข้ามาใกล้พี่ชายของเขา
4 เอซาววิ่งเข้ามาพบเขา สวมกอดเขา กอดคอเขา และจูบเขา จากนั้นพวกเขาได้ร้องไห้ 5 เมื่อเอซาวมองขึ้นดู เขาเห็นพวกผู้หญิงและเด็กทั้งหลาย เขาพูดว่า "คนเหล่านี้ที่อยู่กับเจ้าเป็นใคร?" ยาโคบตอบว่า "บรรดาบุตรทั้งหลายที่พระเจ้าทรงมีพระเมตตาประทานให้ผู้รับใช้ของท่าน" 6 จากนั้นพวกหญิงรับใช้เข้ามาข้างหน้าพร้อมกับบุตรทั้งหลายของพวกนาง และพวกเขาโค้งคำนับ 7 ถัดไปเลอาห์และบุตรทั้งหลายของนางเข้ามาข้างหน้าและโค้งคำนับด้วย สุดท้ายโยเซฟและราเชลเข้ามาข้างหน้าและโค้งคำนับ
8 เอซาวพูดว่า "เจ้าหมายความว่าอย่างไรกับบรรดาสิ่งเหล่านี้ที่เราได้เห็น?" ยาโคบตอบว่า "เพื่อให้เป็นที่ชอบในสายตาของเจ้านายของฉัน" 9 เอซาวพูดว่า "เรามีเพียงพออยู่แล้ว น้องเราเอ๋ย จงเก็บไว้สิ่งที่เจ้ามีไว้เพื่อตัวเจ้าเองเถอะ" 10 ยาโคบพูดว่า "อย่าเลย กรุณาเถอะ หากฉันเป็นที่ชอบในสายตาของท่าน ก็ขอให้รับของกำนัลของฉันจากมือของฉัน เพราะจริงๆ แล้วเมื่อฉันได้เห็นหน้าท่าน ก็เหมือนกำลังเห็นพระพักตร์พระเจ้า และท่านได้ยอมรับฉัน 11 กรุณารับของกำนัลของฉันที่นำมาให้ท่าน เพราะพระเจ้าทรงกระทำกับฉันด้วยความเมตตา และเพราะว่าฉันมีเพียงพอแล้ว" ยาโคบคะยั้นคะยอเขา และเอซาวก็ได้รับของกำนัลไว้
12 จากนั้นเอซาวพูดว่า "ให้เราเดินทางกันเถอะ เราจะไปข้างหน้าเจ้า" 13 ยาโคบพูดกับเขาว่า "เจ้านายของฉันรู้แล้วว่าพวกเด็กๆ ยังเล็กอยู่ และพวกแกะ และฝูงสัตว์เลี้ยงกำลังเลี้ยงลูกอ่อนของพวกมัน ถ้าพวกมันถูกไล่ต้อนอย่างรีบเร่งแม้แต่เพียงหนึ่งวัน สัตว์ทั้งหมดก็จะตาย 14 ขอให้เจ้านายของฉันล่วงหน้าไปก่อนผู้รับใช้ของท่าน ฉันจะค่อยๆ เดินทางไปช้าๆ ตามกำลังของฝูงสัตว์เลี้ยงที่อยู่ข้างหน้าฉัน และตามกำลังของพวกเด็กๆ จนกว่าฉันจะไปพบเจ้านายของฉันที่เสอีร์" 15 เอซาวพูดว่า "เราจะให้คนของเราที่อยู่กับเราบางส่วนอยู่กับเจ้า" แต่ยาโคบพูดว่า "ทำไมต้องทำอย่างนั้น? เจ้านายของฉันมีเมตตาต่อฉันอย่างเพียงพอแล้ว" 16 ดังนั้นเอซาวจึงออกเดินทางกลับเสอีร์ในวันนั้น
17 ยาโคบเดินทางถึงสุคคท ได้สร้างบ้านสำหรับตัวเขาเอง และสร้างเพิงทั้งหลายสำหรับฝูงสัตว์เลี้ยงของเขา สถานที่นั้นจึงถูกเรียกชื่อว่าสุคคท 18 เมื่อยาโคบมาจากปัดดานอารัม เขาไดมาถึงเมืองเชเคม ซึ่งอยู่ในแผ่นดินคานาอันอย่างปลอดภัย เขาได้ตั้งที่พักใกล้เมืองนั้น 19 จากนั้นเขาซื้อที่ดินผืนหนึ่ง ที่เขาตั้งเต็นท์ของเขาจากบุตรชายทั้งหลายของฮาโมร์ บิดาของเชเคมด้วยเงินหนึ่งร้อยแผ่น 20 ที่นั่นเขาได้ตั้งแท่นบูชา และเรียกมันว่าเอลเอโลเฮ อิสราเอล
1 ขณะที่ดีนาห์ บุตรหญิงของเลอาห์ผู้ที่นางได้ให้กำเนิดแก่ยาโคบออกไปพบหญิงสาวของแผ่นดินนั้น 2 เชเคมบุตรชายของฮาโมร์ คนฮิตไทต์ เจ้าชายของแผ่นดินนั้นได้เห็นนาง และเขาได้ฉุดนางและบังคับขืนใจนาง และหลับนอนกับนาง 3 เขาหลงใหลดีนาห์ บุตรหญิงของยาโคบ เขารักหญิงสาวและพูดอย่างอ่อนโยนกับนาง 4 เชเคมพูดกับฮาโมร์บิดาของเขา กล่าวว่า "ไปขอหญิงสาวนี้ให้เป็นภรรยาของลูกเถิด"
5 ขณะนั้นยาโคบได้ยินเรื่องที่เขาได้กระทำเสื่อมเสียกับดีนาห์ บุตรหญิงของเขา บุตรชายทั้งหลายของเขากำลังอยู่กับฝูงสัตว์เลี้ยงของเขาในท้องทุ่ง ดังนั้นยาโคบจึงสงบสติอารมณ์จนกระทั่งพวกเขาทั้งหลายกลับเข้ามา 6 ฮาโมร์บิดาของเชเคมออกไปหายาโคบเพื่อที่จะพูดกับเขา 7 บุตรชายทั้งหลายของยาโคบกลับเข้ามาจากท้องทุ่งและเมื่อพวกเขาได้ยินเรื่องนี้ พวกผู้ชายทั้งหลายต่างไม่พอใจ พวกเขาโกรธเป็นอย่างยิ่งเพราะว่าเขาทำให้อิสราเอลเสื่อมเสียโดยการใช้กำลังของเขาเองในเรื่องบุตรหญิงของยาโคบ ในสิ่งที่ไม่ควรกระทำ
8 ฮาโมร์พูดกับพวกเขา กล่าวว่า "เชเคมบุตรชายของเรารักบุตรหญิงของท่าน กรุณายกนางให้เป็นภรรยาของเขาเถิด 9 การแต่งงานระหว่างกันกับพวกเรา ยกบุตรหญิงทั้งหลายของท่านให้แก่เรา และรับเอาบุตรหญิงทั้งหลายของพวกเราไปเพื่อพวกท่านเอง 10 ท่านจะอาศัยอยู่กับเรา และแผ่นดินจะเปิดแก่ท่านที่จะอาศัยและค้าขาย และเพื่อที่จะเข้าถือสิทธิ์ในทรัพย์สิน" 11 เชเคมได้พูดกับบิดาของนาง และพวกพี่ชายของนางว่า "ขอให้ข้าพเจ้าเป็นที่ชอบในสายตาของพวกท่าน และท่านจะเรียกร้องอะไร ข้าพเจ้าก็จะให้ 12 จะเรียกร้องค่าสินสอดทองหมั้นจำนวนมหาศาล และของขวัญก็ตามใจของท่าน และข้าพเจ้าจะให้อะไรก็ได้ตามที่ท่านพูดกับข้าพเจ้า แต่ขอให้ยกหญิงสาวนั้นเป็นภรรยาข้าพเจ้า"
13 บุตรชายทั้งหลายของยาโคบได้ตอบเชเคม และฮาโมร์บิดาของเขาอย่างมีเล่ห์เหลี่ยม เพราะเชเคมทำให้ดีนาห์น้องสาวของพวกเขาเสื่อมเสีย 14 พวกเขาพูดกับเขาทั้งหลายว่า "พวกเราไม่สามารถทำสิ่งนี้ได้ คือการยกน้องสาวของพวกเราให้กับใครคนใดคนหนึ่งที่ไม่ได้เข้าสุหนัต เพราะว่ามันเป็นการทำให้เราอัปยศอดสู 15 มีทางเดียวเท่านั้นที่เราจะตกลงกับพวกท่านได้ก็คือ ถ้าพวกท่านจะเข้าสุหนัตเหมือนพวกเรา ถ้าผู้ชายทุกคนในท่ามกลางพวกท่านเข้าสุหนัต 16 จากนั้นพวกเราจะยกบุตรสาวของพวกเราให้พวกท่าน และพวกเราจะรับบุตรหญิงทั้งหลายของพวกท่านมาเพื่อพวกเรา และพวกเราจะอาศัยอยู่กับพวกท่าน และกลายเป็นประชาชนหนึ่งเดียว 17 แต่ถ้าพวกท่านไม่ฟังพวกเราในการที่จะเข้าสุหนัต พวกเราจะเอาน้องสาวของพวกเราคืน และพวกเราก็จะจากไป"
18 คำพูดของพวกเขาทำให้ฮาโมร์และเชเคมบุตรชายของเขาพอใจ 19 ชายหนุ่มนั้นไม่ได้รีรอที่จะปฏิบัติตามในสิ่งที่พวกเขาพูดเพราะว่าเขาพึงพอใจในตัวของบุตรหญิงของยาโคบ และเพราะว่าเขาเป็นคนที่ได้รับเกียรติมากที่สุดในบรรดาคนทั้งหลายในครัวเรือนของบิดาเขา
20 ฮาโมร์และเชเคมบุตรชายของเขาไปที่ประตูเมืองของพวกเขาและพูดกับบรรดาผู้ชายของเมืองของเขาทั้งหลาย กล่าวว่า 21 "คนเหล่านี้อยู่กับพวกเราอย่างสันติ ดังนั้นขอให้พวกเขาได้อาศัยอยู่ในแผ่นดิน และค้าขายเถิด ที่จริงแล้วแผ่นดินนั้นก็กว้างใหญ่เพียงพอสำหรับพวกเขา ให้พวกเรารับบุตรหญิงทั้งหลายของพวกเขามาเป็นภรรยา และให้พวกเรายกบุตรหญิงของพวกเราให้พวกเขาด้วย 22 ด้วยเพียงเงื่อนไขนี้พวกผู้ชายตกลงที่จะอาศัยอยู่กับพวกเรา และกลายเป็นประชาชนหนึ่งเดียว คือถ้าผู้ชายทุกคนในท่ามกลางพวกเราจะเข้าสุหนัตเหมือนที่พวกเขาได้เข้าสุหนัต
23 พวกสัตว์เลี้ยง ทรัพย์สิน และสัตว์ทั้งหลายของพวกเขาจะไม่ตกเป็นของพวกเราหรือ? ดังนั้นให้พวกเราตกลงกับพวกเขาและพวกเขาจะอาศัยอยู่ท่ามกลางพวกเรา" 24 ผู้ชายทั้งหมดของเมืองนั้นได้ฟังฮาโมร์และเชเคมบุตรชายของเขา ผู้ชายทุกคนก็ได้เข้าสุหนัต
25 ในวันที่สาม ขณะที่พวกเขาทั้งหลายยังเจ็บอยู่ บุตรชายสองคนของยาโคบ (สิเมโอนและเลวี พวกพี่ชายของดีนาห์) แต่ละคนได้เอาดาบของเขา และพวกเขาเข้าโจมตีเมืองนั้นที่มั่นใจว่าตนเองปลอดภัย และพวกเขาได้ฆ่าพวกผู้ชายทั้งหมด 26 พวกเขาฆ่าฮาโมร์ และเชเคมบุตรชายของเขาด้วยคมดาบ พวกเขาเอาดีนาห์ออกจากบ้านของเชเคม และหนีออกไป
27 พวกบุตรชายคนอื่น ๆ ของยาโคบเข้ามาที่ซากศพ และปล้มสะดมเมืองนั้น เพราะว่าประชาชนของเมืองนั้นทำให้น้องสาวของพวกเขาเสื่อมเสีย 28 พวกเขาปล้นเอาสัตว์ทั้งหลายของพวกเขา ฝูงสัตว์ของพวกเขา ลาทั้งหลาย และทุกสิ่งทุกอย่างของเขาทั้งหลายในเมืองนั้น และในท้องทุ่งรอบๆ 29 ความมั่งคั่งทั้งหมดของเขาทั้งหลาย พวกเขาได้จับตัวพวกเด็กๆ และพวกภรรยาของเขาทั้งหลาย พวกเขาได้เอาของทุกสิ่งที่อยู่ในบ้านทั้งหลาย
30 ยาโคบพูดกับสิเมโอนและเลวีว่า "พวกเจ้าได้นำความลำบากมาสู่เรา ทำให้เราเสื่อมทรามลงในผู้ที่อาศัยในแผ่นดินนั้น คือคนคานาอัน และคนเปริสซี เรามีคนจำนวนน้อย ถ้าพวกเขารวมตัวเป็นพวกเดียวกันมาต่อต้านเรา และโจมตีเรา แล้วเราคงจะต้องถูกทำลาย เราและครัวเรือนของเรา" 31 แต่สิเมโอนและเลวีพูดว่า "ควรหรือที่เชเคมได้กระทำต่อน้องสาวของพวกเราเหมือนโสเภณี?"
1 พระเจ้าตรัสกับยาโคบว่า "จงลุกขึ้น จงไปยังเบธเอล และอยู่ที่นั่น จงสร้างแท่นบูชาแด่พระเจ้าที่นั่น พระเจ้าผู้ได้ทรงปรากฏแก่เจ้าเมื่อเจ้าหนีจากเอซาวพี่ชายของเจ้า" 2 จากนั้นยาโคบพูดกับครัวเรือนของเขาและกับคนทั้งหมดที่อยู่กับเขา "จงละทิ้งพระต่างชาติทั้งหลายที่อยู่ท่ามกลางพวกเจ้า จงชำระตัวพวกเจ้าเอง และเปลี่ยนเสื้อผ้าของพวกเจ้า 3 แล้วให้พวกเราออกเดินทางและขึ้นไปถึงเบธเอล เราจะสร้างแท่นบูชาแด่พระเจ้าที่นั่น พระองค์ผู้ได้ทรงตอบเราในวันแห่งความทุกข์ยากของเรา และทรงสถิตอยู่กับเราไม่ว่าเราจะไปที่ไหน" 4 ดังนั้นพวกเขาจึงได้ให้พระต่างชาติทั้งหมดที่มีอยู่ที่มือของพวกเขาแก่ยาโคบ และต่างหูทั้งหลายที่อยู่ที่หูของพวกเขา ยาโคบฝังสิ่งเหล่านั้นที่ใต้ต้นโอ๊คที่อยู่ใกล้เชเคม
5 เมื่อพวกเขาออกเดินทาง พระเจ้าทรงทำให้ชาวเมืองทั้งหลายที่อยู่รอบๆ เกิดความหวาดกลัวพวกเขา ดังนั้นพวกประชาชนเหล่านั้นจึงไม่กล้าไล่ตามพวกบุตรชายของยาโคบ 6 ยาโคบมาถึงลูซ (นั่นคือเบธเอล) ซึ่งอยู่ในแผ่นดินคานาอัน เขาและคนทั้งหมดที่อยู่กับเขา 7 เขาได้สร้างแท่นบูชาที่นั่นและเรียกสถานที่นั้นว่า เอล เบธเอล เพราะว่าที่นั่นพระเจ้าได้ทรงปรากฏพระองค์เองต่อเขา เมื่อเขากำลังหนีจากพี่ชายของเขา 8 เดโบราห์ พี่เลี้ยงของเรเบคาห์ ได้เสียชีวิต นางได้ถูกฝังไว้ใต้ต้นโอ๊คทางใต้ของเบธเอล ดังนั้นมันจึงถูกเรียกว่าอัลโลนบาคูธ
9 เมื่อยาโคบมาจากปัดดานอารัม พระเจ้าได้ทรงปรากฏแก่เขาอีกครั้งและอวยพรเขา 10 พระเจ้าตรัสกับเขาว่า "ชื่อของเจ้าคือยาโคบ แต่ชื่อของเจ้าจะไม่ถูกเรียกว่ายาโคบอีกต่อไป ชื่อของเจ้าจะเป็นอิสราเอล" ดังนั้นพระเจ้าจึงได้ทรงเรียกชื่อของเขาว่าอิสราเอล
11 พระเจ้าตรัสกับเขาว่า "เราคือพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ จงเกิดผลและเพิ่มทวีคูณ ชนชาติหนึ่งและบรรดาประชาชาติจะออกมาจากเจ้า และกษัตริย์หลายพระองค์จะอยู่ท่ามกลางเชื้อสายทั้งหลายของเจ้า 12 แผ่นดินที่เราได้ให้แก่อับราฮัมและอิสอัค เราจะประทานให้แก่เจ้า แก่เชื้อสายทั้งหลายของเจ้าที่จะเกิดมาภายหลังเจ้า เราก็จะประทานแผ่นดินนั้นให้ด้วย"
13 พระเจ้าได้เสด็จขึ้นไปจากเขาจากสถานที่ที่ซึ่งพระองค์ตรัสกับเขา 14 ยาโคบได้ตั้งเสาในสถานที่นั้นที่พระเจ้าได้ตรัสกับเขา คือเสาหินต้นหนึ่ง เขาเทเครื่องดื่มบูชาเหนือเสานั้นและเทน้ำมันบนเสานั้น 15 ยาโคบเรียกชื่อสถานที่นั้นที่พระเจ้าตรัสกับเขาว่าเบธเอล
16 พวกเขาเดินทางจากเบธเอล ในขณะที่พวกเขายังอยู่ห่างจากเอฟราธาห์ ราเชลก็เจ็บครรภ์จะคลอดบุตร นางเจ็บครรภ์มาก 17 ในขณะที่นางใกล้จะคลอดแล้วนั้น นางผดุงครรภ์พูดกับนางว่า "อย่ากลัว เพราะว่าบัดนี้เจ้าจะได้บุตรชายอีกคน" 18 ขณะที่นางกำลังจะตาย ด้วยลมหายใจเฮือกสุดท้ายนางตั้งชื่อเขาว่าเบนโอนี แต่บิดาของเขาได้เรียกเขาว่าเบนยามิน 19 ราเชลได้เสียชีวิต และถูกฝังไว้ระหว่างทางไปยังเอฟราธาห์ (นั่นคือ เบธเลเฮม)
20 ยาโคบได้ตั้งเสาบนหลุมศพของนาง เป็นเครื่องหมายหลุมศพของราเชลมาถึงทุกวันนี้ 21 อิสราเอลเดินทางต่อไป และตั้งเต็นท์ของเขาทางใต้ของหอคอยของฝูงสัตว์
22 ขณะที่อิสราเอลกำลังอาศัยอยู่ในแผ่นดินนั้น รูเบนได้หลับนอนกับบิลฮาห์ ภรรยาน้อยของบิดาของเขา และอิสราเอลก็ทราบเรื่องนี้ บัดนี้ยาโคบมีบุตรชายสิบสองคน 23 บุตรชายทั้งหลายของเขาที่เกิดจากเลอาห์ คือรูเบน บุตรชายหัวปีของยาโคบ และสิเมโอน เลวี ยูดาห์ อิสสาคาร์ และเศบูลุน 24 บุตรชายทั้งหลายของเขาที่เกิดจากราเชล คือโยเซฟ และเบนยามิน 25 บุตรชายทั้งหลายของเขาที่เกิดจากบิลฮาห์ หญิงรับใช้ของราเชล คือดานและนัฟทาลี 26 พวกบุตรชายของศิลปาห์ หญิงรับใช้ของเลอาห์ คือกาดและอาเซอร์ ทั้งหมดเหล่านี้คือพวกบุตรชายของยาโคบ ผู้ที่เกิดแก่เขาในปัดดานอารัม
27 ยาโคบมาหาอิสอัค บิดาของเขาที่มัมเร ที่เมืองคีริยาทอารบา (เมืองเดียวกับเฮโบรน) ที่อับราฮัมและอิสอัคอาศัยอยู่ 28 อิสอัคมีชีวิตอยู่หนึ่งร้อยแปดสิบปี 29 อิสอัคได้สิ้นลมหายใจและสิ้นชีวิต และถูกรวบรวมไว้กับบรรพบุรุษทั้งหลายของเขา เป็นผู้ชายที่แก่หง่อมมาก เอซาวและยาโคบบุตรชายทั้งหลายของเขาได้ฝังเขาไว้
1 คนเหล่านี้คือบรรดาเชื้อสายของเอซาว (ซึ่งถูกเรียกว่าเอโดมด้วย) 2 เอซาวได้รับเอาคนคานาอันมาเป็นภรรยาของเขาหลายคน คนเหล่านี้ที่เป็นภรรยาทั้งหลายของเขาคือ อาดาห์บุตรหญิงของเอโลนคนฮิตไทต์ โอโฮลีบามาห์บุตรหญิงของอานาห์ หลานสาวของศิเบโอนคนฮีไวต์ 3 และบาเสมัทบุตรหญิงของอิชมาเอล น้องสาวของเนบาโยท 4 อาดาห์ให้กำเนิดเอลีฟัสแก่เอซาว และบาเสมัทให้กำเนิดเรอูเอล 5 โอโฮลีบามาห์ให้กำเนิดเยอูช ยาลาม และโคราห์ คนเหล่านี้คือบุตรชายทั้งหลายของเอซาวผู้ซึ่งได้เกิดแก่เขาในแผ่นดินคานาอัน
6 เอซาวได้นำเอาภรรยาทั้งหลายของเขา บุตรชายทั้งหลายของเขา บุตรหญิงทั้งหลายของเขา และสมาชิกครัวเรือนทั้งหมดของเขา ฝูงสัตว์เลี้ยงของเขา สัตว์ทั้งหมดของเขา และทั้งหมดที่เขาครอบครองเป็นเจ้าของซึ่งเขาเสาะหารวบรวมมาได้ในแผ่นดินคานาอัน และเข้าไปในแผ่นดินห่างไกลจากยาโคบน้องชายของเขา 7 เขาทำอย่างนี้เพราะว่าทรัพย์สินของพวกเขามีมากมายเกินกว่าที่พวกเขาจะอยู่ด้วยกันได้ ที่ดินที่พวกเขาอาศัยอยู่ไม่สามารถรองรับพวกเขาได้เพราะฝูงสัตว์เลี้ยงของพวกเขา 8 ดังนั้นเอซาวซึ่งเป็นที่รู้จักว่าเอโดมจึงได้ตั้งถิ่นฐานในดินแดนเทือกเขาเสอีร์
9 คนเหล่านี้คือบรรดาเชื้อสายทั้งหลายของเอซาว บรรพบุรุษของคนเอโดมในดินแดนเทือกเขาเสอีร์ 10 เหล่านี้คือบรรดาชื่อของบุตรชายทั้งหลายของเอซาว เอลีฟัสบุตรชายของอาดาห์ ภรรยาของเอซาว เรอูเอลบุตรชายของบาเสมัท ภรรยาของเอซาว 11 บุตรชายทั้งหลายของเอลีฟัสคือ เทมาน โอมาร์ เศโฟ กาทาม และเคนัส 12 ทิมนา ภรรยาน้อยคนหนึ่งของเอลีฟัส บุตรชายของเอซาวได้ให้กำเนิดอามาเลข คนเหล่านี้คือหลานชายทั้งหลายของอาดาห์ ภรรยาของเอซาว 13 คนเหล่านี้คือบุตรชายทั้งหลายของเรอูเอล คือนาหาท เศราห์ ชัมมาห์ และมิสซาร์ คนเหล่านี้เป็นหลานชายทั้งหลายของบาเสมัท ภรรยาของเอซาว
14 คนเหล่านี้เป็นบุตรชายทั้งหลายของโอโฮลีบามาห์ ภรรยาของเอซาวผู้ซึ่งเป็นบุตรหญิงของอานาห์ และเป็นหลานสาวของศิเบโอน นางได้ให้กำเนิดเยอูช ยาลาม และโคราห์แก่เอซาว 15 คนเหล่านี้เป็นวงศ์ตระกูลทั้งหลายท่ามกลางบรรดาเชื้อสายของเอซาว บรรดาเชื้อสายของเอลีฟัส บุตรชายหัวปีของเอซาว เทมาน โอมาร์ เศโฟ เคนัส 16 โคราห์ กาทาม และอามาเลข คนเหล่านี้เป็นวงศ์ตระกูลสืบเชื้อสายจากเอลีฟัสในแผ่นดินของเอโดม พวกเขาเป็นหลานชายทั้งหลายของอาดาห์
17 คนเหล่านี้เป็นวงศ์ตระกูลทั้งหลายจากเรอูเอล บุตรชายของเอซาว คือนาหาท เศราห์ ซัมมาห์ มิสซาห์ คนเหล่านี้เป็นวงศ์ตระกูลสืบเชื้อสายมาจากเรอูเอลในแผ่นดินแห่งเอโดม พวกเขาเป็นหลายชายของบาเสมัท ภรรยาของเอซาว 18 คนเหล่านี้เป็นวงศ์ตระกูลของโอโฮลีบามาห์ ภรรยาของเอซาว คือเยอูช เยลาม โคราห์ คนเหล่านี้เป็นวงศ์ตระกูลสืบเชื้อสายจากภรรยาของเอซาว คือโอโฮลีบามาห์ บุตรหญิงของอานาห์ 19 คนเหล่านี้คือบุตรชายทั้งหลายของเอซาว และเป็นวงศ์ตระกูลทั้งหลายของพวกเขา
20 คนเหล่านี้เป็นบุตรชายทั้งหลายของเสอีร์คนโฮรี ผู้ที่อยู่อาศัยของแผ่นดินนั้น คือโลทาน โชบาล ศิเบโอน อานาห์ 21 ดีโชน เอเซอร์ และดีชาน คนเหล่านี้เป็นวงศ์ตระกูลของคนโฮรี ผู้อยู่อาศัยของเสอีร์ในแผ่นดินเอโดม 22 บุตรชายทั้งหลายของโลทานคือ โฮรี และเฮมาน และทิมนาน้องสาวของโลทาน 23 คนเหล่านี้เป็นบุตรชายทั้งหลายของโชบาล คืออัลวาน มานาหาท เอบาล เชโฟ และโอนัม
24 คนเหล่านี้เป็นบุตรชายทั้งหลายของศิเบโอน คืออัยยาห์ และอานาห์ นี่คืออานาห์ผู้ที่พบน้ำพุร้อนในถิ่นทุรกันดารในขณะที่เขากำลังเลี้ยงพวกลาของศิเบโอนบิดาของเขา 25 คนเหล่านี้เป็นบุตรของอานาห์ คือดีโชน และโอโฮลีบามาห์ บุตรหญิงของของอานาห์ 26 คนเหล่านี้เป็นบุตรชายทั้งหลายของดีโชน คือเฮมดาน เอชบาน อิธราน และเคราน
27 คนเหล่านี้เป็นบุตรชายทั้งหลายของเอเซอร์ คือบิลฮาน ศาวาน และอาขาน 28 คนเหล่านี้เป็นบุตรชายทั้งหลายของดีชาน คืออูศ และอารัน 29 คนเหล่านี้เป็นวงศ์ตระกูลทั้งหลายของคนโฮรี คือโลทาน โชบาล ศิเบโอน และอานาห์ 30 ดีโชน เอเซอร์ ดีชาน คนเหล่านี้เป็นวงศ์ตระกูลของคนโฮรี ตามบัญชีวงศ์ตระกูลของพวกเขาในแผ่นดินเสอีร์
31 คนเหล่านี้เป็นกษัตริย์ทั้งหลายผู้ที่ปกครองแผ่นดินเอโดมก่อนกษัตริย์ใดๆ จะมาปกครองเหนือคนอิสราเอล 32 คือ เบลาบุตรชายของเบโอร์ได้ปกครองเอโดม และชื่อเมืองของเขาคือ ดินฮาบาห์ 33 เมื่อเบลาสิ้นชีวิต จากนั้นโยบับบุตรชายของเศราห์แห่งโบสราห์ได้ปกครองแทนเขา 34 เมื่อโยบับสิ้นชีวิต หุชามคนของแผ่นดินเทมานได้ขึ้นมาปกครองแทนเขา
35 เมื่อหุชามได้สิ้นชีวิต ฮาดัดบุตรชายของเบดัดผู้รบชนะคนมีเดียในแผ่นดินโมอับได้ปกครองแทนเขา ชื่อเมืองของเขา คือเมืองอาวีธ 36 เมื่อฮาดัดสิ้นชีวิต จากนั้นสัมลาห์แห่งมัสเรคาห์ได้ปกครองแทนเขา 37 เมื่อสัมลาห์สิ้นชีวิต จากนั้นชาอูลแห่งเรโหโบทที่อยู่ข้างแม่น้ำได้ปกครองแทนเขา 38 เมื่อชาอูลสิ้นชีวิต จากนั้นบาอัลฮานันบุตรชายของอัคโบร์ได้ปกครองแทนเขา 39 เมื่อบาอัลฮานันบุตรชายของอัคโบร์สิ้นชีวิต จากนั้นฮาดาร์ได้ปกครองแทนเขา ชื่อเมืองของเขาคือ ปาอู ภรรยาของเขาชื่อว่า เมเหทาเบล บุตรหญิงของมัทเรด หลานสาวของเมซาหับ
40 เหล่านี้คือชื่อทั้งหลายของพวกหัวหน้าตระกูลจากบรรดาเชื้อสายทั้งหลายของเอซาวตามวงศ์ตระกูลของพวกเขา และถิ่นฐานของพวกเขา โดยชื่อทั้งหลายของพวกเขา คือทิมนา อัลวาห์ เยเธท 41 โอโฮลีบามาห์ เอลาห์ ปิโนน 42 เคนัส เทมาน มิบซาร์ 43 มัคดีเอล และอิราม คนเหล่านี้เป็นหัวหน้าวงศ์ตระกูลของเอโดม ตามการตั้งถิ่นฐานของพวกเขาในดินแดนที่พวกเขาได้ครอบครอง นี่คือเอซาวบรรพบุรุษของคนเอโดม
1 ยาโคบอาศัยอยู่ในแผ่นดินที่ซึ่งบิดาของเขากำลังอาศัยอยู่ คือในแผ่นดินคานาอัน 2 เหล่านี้เป็นเหตุการณ์เกี่ยวข้องกับยาโคบ โยเซฟเป็นชายหนุ่มอายุสิบเจ็ดปี เป็นผู้ดูแลฝูงสัตว์กับพวกพี่ชายของเขา เขาอยู่กับบุตรชายทั้งหลายของบิลฮาห์ และบุตรชายทั้งหลายของศิลปาห์ ภรรยาทั้งหลายของบิดา โยเซฟนำสิ่งที่ไม่ดีเกี่ยวกับพวกเขาทั้งหลายมาบอกให้บิดาของพวกเขาฟัง
3 อิสราเอลจึงรักโยเซฟมากกว่าบุตรชายทั้งหมดของเขาเพราะว่าเขาเป็นบุตรชายที่เกิดมาในวัยชราของเขา เขาได้ตัดเสื้อผ้าที่สวยงามให้เขา 4 พวกพี่ชายของเขาเห็นว่าบิดาของพวกเขารักเขามากกว่าพี่ชายทั้งหมดของเขา พวกเขาเกลียดเขาและไม่พูดอย่างจริงใจต่อเขา
5 โยเซฟฝัน และเขาบอกความฝันนั้นแก่พวกพี่ชายของเขา พวกเขาจึงเกลียดโยเซฟมากยิ่งขึ้น 6 โยเซฟพูดกับพวกเขาว่า "ขอโปรดฟังความฝันที่ฉันฝัน 7 ดูเถิดพวกเรากำลังมัดฟ่อนข้าวในทุ่งนา และดูเถิดฟ่อนข้าวของฉันตั้งขึ้นยืนอยู่ นี่แน่ะฟ่อนข้าวของพวกท่านได้เข้ามาล้อมรอบและโค้งคำนับให้กับฟ่อนข้าวของฉัน" 8 พวกพี่ชายพูดกับเขาว่า "เจ้าจะปกครองเหนือพวกเราจริงๆ หรือ? เจ้าจะปกครองพวกเราจริงหรือ?" พวกเขาเกลียดโยเซฟมากยิ่งขึ้นเพราะความฝันของเขา และคำพูดของเขา
9 โยเซฟได้ฝันอีกครั้ง และบอกความฝันนั้นแก่พวกพี่ชาย เขาพูดว่า "นี่แน่ะ ฉันได้ฝันอีกเรื่องหนึ่ง คือดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์และดวงดาวสิบเอ็ดดวงโค้งคำนับให้ฉัน" 10 เขาบอกเรื่องนี้แก่บิดาของเขาเหมือนที่ได้บอกกับพวกพี่ชายของเขา และบิดาของเขาจึงตำหนิเขา และพูดกับเขาว่า "ความฝันนี้ที่เจ้าฝันคืออะไร? มารดาของเจ้าและเรา และพี่ชายทั้งหลายของเจ้าจะเข้ามาเพื่อโค้งคำนับถึงพื้นต่อเจ้าหรือ?" 11 พวกพี่ชายของเขาก็อิจฉาเขา แต่บิดาของเขาเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจ
12 พวกพี่ชายของเขาไปเลี้ยงฝูงสัตว์ของบิดาที่เชเคม 13 อิสราเอลพูดกับโยเซฟว่า "พวกพี่ชายของเจ้ากำลังไปเลี้ยงฝูงสัตว์ที่เชเคมมิใช่หรือ? มานี่เถอะ และเราจะส่งเจ้าไปหาพวกเขา" โยเซฟตอบเขาว่า "ฉันพร้อมแล้ว" 14 อิสราเอลพูดกับเขาว่า "จงไปเดี๋ยวนี้ ไปดูสิว่าพวกพี่ชายของเจ้ากับพวกฝูงสัตว์อยู่สบายดีกันไหม และกลับมาแจ้งเรา" ดังนั้นยาโคบจึงส่งเขาออกไปจากหุบเขาเฮโบรน และโยเซฟก็ไปยังเชเคม
15 ผู้ชายคนหนึ่งพบโยเซฟ ดูเถิด โยเซฟกำลังเดินไปมาในท้องทุ่ง ผู้ชายคนนั้นถามเขาว่า "เจ้ามองหาอะไรอยู่หรือ?" 16 โยเซฟตอบว่า "ฉันกำลังหาพวกพี่ชายของฉัน ขอได้โปรดบอกฉันหน่อยว่าพวกเขากำลังเลี้ยงฝูงสัตว์อยู่ที่ไหน" 17 ผู้ชายคนนั้นตอบว่า "พวกเขาเพิ่งไปจากที่นี่ ฉันได้ยินพวกเขาพูดกันว่า 'ให้พวกเราไปยังเมืองโดธานกันเถอะ'" โยเซฟไปตามหาพวกพี่ชายของเขา และพบพวกเขาที่เมืองโดธาน
18 พวกเขาเห็นเขามาแต่ไกล และก่อนที่เขาจะเข้ามาใกล้พวกเขา พวกเขาวางแผนเพื่อที่จะฆ่าเขา 19 พวกพี่ชายของเขาพูดกันว่า "ดูสิ เจ้าคนช่างฝันกำลังมา 20 มาเดี๋ยวนี้ ให้พวกเราฆ่าเขา และทิ้งเขาไว้ที่บ่อเหล่านี้สักบ่อหนึ่ง เราจะพูดว่า 'สัตว์ป่าได้กัดกินเขา' เราจะดูว่าแล้วความฝันของเขาจะเป็นอย่างไร"
21 รูเบนได้ยินและช่วยเหลือเขาจากมือของพวกเขา เขาพูดว่า "อย่าให้เราเอาชีวิตของเขา" 22 รูเบนพูดกับพวกเขาว่า "อย่าให้เลือดไหลเลย โยนเขาลงในบ่อในถิ่นทุรกันดารนี้เถอะ แต่อย่าลงมือกับเขาเลย" นั่นคือเขาจะช่วยโยเซฟจากมือของพวกเขาเพื่อที่จะนำเขากลับไปหาบิดาของเขา 23 เมื่อโยเซฟมาถึงพวกพี่ชายของเขา พวกเขาจับเขาถอดเสื้อผ้าที่สวยงามออก 24 พวกเขาจับเขาโยนลงในบ่อ บ่อนั้นว่างเปล่าไม่มีน้ำ
25 พวกเขานั่งลงเพื่อจะกินอาหาร พวกเขาเหลือบตาขึ้นมองดู และนี่แน่ะมีคาราวานของคนอิชมาเอลกำลังมาจากกิเลอาด พร้อมกับฝูงอูฐของพวกเขา บรรทุกเครื่องเทศ และน้ำมันพืชที่มีกลิ่นหอม และยางไม้หอม พวกเขากำลังเดินทางบรรทุกสินค้าลงไปอียิปต์ 26 ยูดาห์พูดกับพี่น้องทั้งหลายของเขาว่า "จะมีประโยชน์อะไรถ้าเราจะฆ่าน้องชายของเราและปกปิดเลือดของเขา? 27 มาเถอะ ให้เราขายเขาให้กับคนอิชมาเอล และอย่ายื่นมือออกทำอะไรเขา เพราะเขาคือน้องของเรา เป็นเลือดเนื้อของเรา" พวกพี่น้องทั้งหลายของเขาก็รับฟังเขา 28 พ่อค้าคนมีเดียนผ่านมา พวกพี่ชายของเขาฉุดโยเซฟขึ้นมา และยกเขาออกมาจากบ่อนั้น พวกเขาขายโยเซฟให้กับคนอิชมาเอลเป็นเงินยี่สิบแผ่น คนอิชมาเอลพาโยเซฟไปยังอียิปต์
29 รูเบนกลับไปที่บ่อนั้น และดูเถิด โยเซฟไม่ได้อยู่ในบ่อนั้น เขาได้ฉีกเสื้อผ้าของเขา 30 เขากลับไปหาพวกน้องของเขา และพูดว่า "เด็กนั้นไม่ได้อยู่ที่นั่น และ ฉันจะไปที่ไหนได้?" 31 พวกเขาฆ่าแพะตัวหนึ่ง และจากนั้นเอาเสื้อผ้าของโยเซฟมา และจุ่มลงในเลือดนั้น 32 แล้วพวกเขานำมันไปให้บิดาของพวกเขาและพูดว่า "เราได้พบสิ่งนี้ ขอโปรดดูเถิดว่ามันเป็นเสื้อผ้าของบุตรชายของท่านหรือไม่" 33 ยาโคบจำได้ และพูดว่า "มันเป็นเสื้อผ้าบุตรชายของเรา สัตว์ป่าได้กัดกินเขา โยเซฟถูกฉีกเป็นชิ้นๆแน่แล้ว"
34 ยาโคบฉีกเสื้อผ้าของเขาและสวมเสื้อผ้ากระสอบเหนือบริเวณสะโพก เขาคร่ำครวญถึงบุตรชายของเขาหลายวัน 35 บุตรชายและบุตรหญิงทั้งหมดของเขาได้ลุกขึ้นมาปลอบใจเขา แต่เขาปฏิเสธที่จะรับการปลอบโยน เขาพูดว่า "ที่จริงแล้ว ฉันจะลงไปยังที่อยู่ของคนตายร้องไห้คร่ำครวญถึงบุตรชายของฉัน" บิดาของเขาร้องไห้ถึงเขา 36 คนมีเดียนขายเขาในอียิปต์ ให้กับโปทิฟาร์ ข้าราชการของฟาร์โรห์ ซึ่งเป็นหัวหน้าราชองครักษ์
1 ในเวลานั้นยูดาห์ได้ไปจากพวกพี่น้องของเขา และไปอยู่กับคนอดุลลามชื่อฮีราห์ 2 เขาพบหญิงสาวชาวคานาอันบิดาของหญิงนั้นชื่อชูวา เขาแต่งงานกับนาง และได้หลับนอนกับนาง
3 นางตั้งครรภ์และมีบุตรชาย เขาถูกตั้งชื่อว่า เอร์ 4 นางตั้งครรภ์อีกครั้งและมีบุตรชายอีกคนหนึ่ง นางเรียกชื่อเขาว่า โอนัน 5 นางมีบุตรชายอีกคนหนึ่งและเรียกชื่อเขาว่า เชราห์ นางให้กำเนิดเขาที่เคซิบ
6 ยูดาห์หาภรรยาคนหนึ่งให้เอร์ บุตรชายหัวปีของเขา นางชื่อทามาร์ 7 เอร์บุตรชายหัวปีของยูดาห์เป็นคนชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ พระยาห์เวห์ทรงประหารชีวิตเขา
8 ยูดาห์พูดกับโอนันว่า "จงไปหลับนอนกับพี่สะไภ้ของเจ้า จงทำหน้าที่น้องชายของสามีแก่นาง และให้กำเนิดบุตรเพื่อพี่ชายของเจ้า" 9 โอนันรู้ว่าเด็กนั้นจะไม่ใช่ของเขา เมื่อไรก็ตามที่เขาหลับนอนกับพี่สะใภ้ของเขา เขาทำให้น้ำกามตกดินดังนั้นเขาจึงไม่มีบุตรสำหรับพี่ชายของเขา 10 สิ่งที่เขาทำเป็นสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ พระยาห์เวห์จึงทรงประหารชีวิตเขาด้วย 11 จากนั้นยูดาห์พูดกับทามาร์ บุตรสะใภ้ของเขาว่า "จงอยู่อย่างแม่ม่ายในบ้านของบิดาเจ้าจนกว่าเชราห์ บุตรชายของเราจะเติบใหญ่" เพราะเขากลัวว่า "เขาจะตายเหมือนพวกพี่ชายของเขาด้วย" ทามาร์จึงจากไปและอาศัยอยู่ในบ้านของบิดาของนาง
12 หลังจากนั้นเป็นเวลานาน บุตรหญิงของชูวา ภรรยาของยูดาห์เสียชีวิต ยูดาห์ได้รับการปลอบประโลมและไปหาคนตัดขนแกะของเขาที่ทิมนาห์ เขาและเพื่อนของเขา คือฮีราห์คนอดุลลาม 13 ทามาร์ได้รับการบอกว่า "ดูเถิด บิดาของสามีกำลังไปทิมนาห์ เพื่อตัดขนแกะของเขา" 14 นางเปลี่ยนชุดหญิงม่ายของนาง และห่มตัวนางเองด้วยผ้าคลุมหน้า และปกคลุมตัวนางเอง นางนั่งที่ประตูของบ้านเอนาอิม ซึ่งอยู่ข้างถนนไปยังบ้านทิมนาห์ เพราะนางเห็นว่าเศราห์นั้นได้เติบโตแล้ว แต่นางยังไม่ได้ถูกมอบให้เป็นภรรยาของเขา
15 เมื่อยูดาห์เห็นนาง เขาคิดว่านางคือโสเภณีเพราะว่านางปิดบังใบหน้าของนาง 16 เขาเข้าไปหานางที่ข้างทาง และพูดว่า "มาเถิด ขอให้เราหลับนอนกับเจ้า" เพราะเขาไม่รู้ว่านางคือบุตรสะใภ้ของเขา และนางพูดว่า "ท่านจะหลับนอนกับฉัน ท่านจะให้อะไรแก่ฉัน?" 17 เขาพูดว่า "เราจะส่งแพะหนุ่มจากฝูงมาให้เจ้าหนึ่งตัว" นางถามว่าท่านจะให้ของมัดจำไว้ก่อนจนกว่าจะส่งลูกแพะมาได้ไหม 18 เขากล่าวว่า "เราจะให้อะไรเป็นหลักประกันแก่เจ้าได้?" นางตอบว่า "ขอตราของท่านและเชือก และไม้เท้าที่อยู่ในมือท่านเป็นหลักประกัน" เขาให้สิ่งเหล่านั้นแก่นางและหลับนอนกับนาง และนางก็ตั้งครรภ์กับเขา
19 นางลุกขึ้นและจากไป นางเอาผ้าคลุมหน้าออก และสวมใส่เสื้อผ้าหญิงม่ายของนาง 20 ยูดาห์ส่งแพะหนุ่มจากฝูงไปกับเพื่อนของเขาคนอดุลลามเพื่อที่จะรับของประกันคืนจากมือของผู้หญิงนั้น แต่เขาหานางไม่พบ 21 แล้วคนอดุลลามถามบรรดาผู้ชายของสถานที่นั้นว่า "หญิงโสเภณีที่เคยอยู่ที่เอนาริม ที่ริมทางนี้อยู่ที่ไหน?" พวกเขาตอบว่า "ไม่เคยมีโสเภณีที่นี่" 22 เขาก็กลับไปหายูดาห์และพูดว่า "ฉันหานางไม่พบ พวกผู้ชายของที่นั้นพูดด้วยว่า 'ไม่เคยมีโสเภณีที่นี่' " 23 ยูดาห์พูดว่า "ให้นางเก็บสิ่งของต่างๆ ไว้ เพื่อที่เราจะไม่ต้องอับอาย ที่จริงเราส่งแพะหนุ่มนี้ไป แต่ท่านหานางไม่พบ"
24 หลังจากนั้นประมาณสามเดือนมีคนมาบอกยูดาห์ว่า "ทามาร์บุตรสะใภ้ของท่านได้เป็นโสเภณี และจริงๆ นางได้ตั้งครรภ์เพราะเหตุนั้น" ยูดาห์พูดว่า "จงนำนางมาที่นี่ และเผานางเสีย" 25 เมื่อนางถูกนำออกมา นางส่งข้อความถึงบิดาของสามีนางว่า "ฉันตั้งครรภ์กับผู้ชายซึ่งเป็นเจ้าของสิ่งเหล่านี้" นางพูดว่า "ขอได้โปรดพิจารณาเถิดว่าใครเป็นเจ้าของสิ่งเหล่านี้ ตราและเชือก และไม้เท้านี้" 26 ยูดาห์จำสิ่งเหล่านี้ได้ และพูดว่า "นางมีความชอบธรรมมากกว่าเรา ตั้งแต่เราไม่ได้ยกนางให้เป็นภรรยาของเศราห์ บุตรชายของเรา" และเขาไม่ได้หลับนอนกับนางอีก
27 อยู่มาเมื่อถึงกำหนดที่นางจะให้กำเนิดบุตร ดูเถิด มีบุตรฝาแฝดอยู่ในครรภ์ของนาง 28 เมื่อถึงเวลาคลอด คนหนึ่งได้ยื่นมือออกมา และนางผดุงครรภ์เอาด้ายสีแดง และผูกที่มือของเขา และพูดว่า "คนนี้ออกมาก่อน" 29 แต่เขาดึงมือของเขากลับเข้าไป และดูเถิดน้องชายของเขาออกมาก่อน นางผดุงครรภ์พูดว่า "เจ้าแหวกออกมาอย่างไร?" ดังนั้นเขาจึงถูกเรียกชื่อว่า เปเรศ 30 จากนั้นพี่ชายของเขาจึงออกมา คือคนที่มีด้ายสีแดงผูกติดมือ และเขาถูกเรียกชื่อว่า เศราห์
1 โยเซฟถูกนำลงไปยังอียิปต์ โปทิฟาร์คนอียิปต์ ผู้บัญชาการราชองครักษ์ ข้าราชการของฟาโรห์ซื้อเขาจากคนอิชมาเอล ผู้ซึ่งนำเขาลงมาที่นี่ 2 พระยาห์เวห์สถิตอยู่กับโยเซฟและเขากลายเป็นผู้ชายที่ประสบความสำเร็จ เขาอาศัยอยู่ในบ้านของเจ้านายคนอียิปต์ของเขา
3 เจ้านายของเขาเห็นว่าพระยาห์เวห์สถิตกับเขาและพระยาห์เวห์ทรงกระทำให้ทุกสิ่งที่เขาทำนั้นประสบความสำเร็จ 4 โยเซฟเป็นที่ชอบในสายตาของเขา เขารับใช้โปทิฟาร์ โปทิฟาร์ให้โยเซฟจัดการดูแลบ้านของเขา และทุกสิ่งที่เขาเป็นเจ้าของ เขาให้โยเซฟดูแลทุกสิ่ง
5 อยู่มาหลังจากที่เขาให้โยเซฟจัดการดูแลบ้านของเขา และทุกสิ่งที่เขาเป็นเจ้าของ ที่พระยาห์เวห์อวยพรบ้านคนอียิปต์นั้นเพราะโยเซฟ พระพรของพระยาห์เวห์มีอยู่ในทุกสิ่งที่โปทิฟาร์มีในบ้านและในท้องทุ่ง 6 โปทิฟาร์ให้ทุกสิ่งที่เขามีให้อยู่ภายใต้การดูแลของโยเซฟ เขาไม่ต้องคิดอะไรนอกจากอาหารที่เขาจะกิน ดูเถอะโยเซฟเป็นหนุ่มหล่อและมีเสน่ห์
7 หลังจากนั้นภรรยาของเจ้านายของเขามีความปรารถนาในโยเซฟ นางพูดว่า “มาหลับนอนกับฉันสิ” 8 แต่เขาได้ปฏิเสธ และพูดกับภรรยาของเจ้านายของเขาว่า “ดูเถิด เจ้านายของข้าพเจ้าไม่ได้สนใจว่าข้าพเจ้าทำอะไรในบ้านนี้ และเขาได้มอบทุกสิ่งที่เขาเป็นเจ้าของให้อยู่ภายใต้การดูแลของข้าพเจ้า 9 ไม่มีใครในบ้านนี้ที่ใหญ่ไปกว่าข้าพเจ้า เขาไม่ได้หวงอะไรไว้จากข้าพเจ้า ยกเว้นท่าน เพราะท่านคือภรรยาของเขา ข้าพเจ้าจะทำสิ่งที่ชั่วร้ายที่ใหญ่หลวงนี้ และทำบาปต่อพระเจ้าได้อย่างไร?”
10 นางพูดกับโยเซฟวันแล้ววันเล่า แต่เขาปฏิเสธที่จะหลับนอนกับนางหรืออยู่กับนาง 11 อยู่มาวันหนึ่งเมื่อเขาเข้าไปในบ้านเพื่อที่จะทำงานของเขา ไม่มีผู้ชายของบ้านอยู่ที่นั่นในบ้านนั้น 12 นางจับตัวเขาด้วยเสื้อผ้าของเขาและพูดว่า “จงหลับนอนกับฉันสิ” เขาทิ้งเสื้อผ้าของเขาไว้ในมือนาง หนีไป และออกไปข้างนอก
13 เมื่อนางได้เห็นว่าเขาทิ้งเสื้อผ้าของเขาไว้ในมือของนางและหนีออกไปข้างนอก 14 นางได้เรียกพวกผู้ชายของบ้านนางและบอกพวกเขาว่า “ดูสิ โปทิฟาร์นำคนฮีบรูนี้มาเพื่อจะทำหยาบคายต่อเรา เขาเข้ามาหาฉันเพื่อที่จะหลับนอนกับฉัน แต่ฉันกรีดร้องขึ้น 15 เมื่อเขาได้ยินฉันกรีดร้อง เขาได้ทิ้งเสื้อผ้าของเขาไว้กับฉัน หนีไป และออกไปข้างนอก”
16 นางวางเสื้อผ้าของเขาไว้ข้างๆ นางจนกระทั่งเจ้านายของเขาเข้าบ้านมา 17 นางบอกเขาอย่างนี้ว่า “คนรับใช้ฮีบรูผู้ที่ท่านนำมาให้เรา เข้ามาเพื่อจะทำหยาบคายต่อฉัน 18 เมื่อฉันกรีดร้อง เขาได้ทิ้งเสื้อผ้าของเขาไว้กับฉัน และหนีออกไปข้างนอก”
19 เมื่อเจ้านายของเขาได้ยินเรื่องเล่าที่ภรรยาของเขาบอกเขา “นี่คือสิ่งที่คนรับใช้ของท่านได้กระทำต่อฉัน” เขาโกรธมาก 20 เจ้านายของโยเซฟนำเขาไปและขังเขาไว้ในคุก สถานที่ซึ่งนักโทษของกษัตริย์ถูกจำจองอยู่ เขาอยู่ในคุกนั้น
21 แต่พระยาห์เวห์สถิตกับโยเซฟ และสำแดงพันธสัญญาที่สัตย์ซื่อแก่เขา พระองค์ทรงกระทำให้เขาเป็นที่ชอบในสายตาของผู้คุมนักโทษ 22 ผู้คุมนักโทษมอบนักโทษทั้งหมดให้อยู่ในมือของโยเซฟ ไม่ว่าพวกเขาจะทำอะไรที่นั่น โยเซฟเป็นผู้จัดการทั้งหมด 23 ผู้คุมนักโทษไม่ต้องกังวลเรื่องใดๆ ที่อยู่ในมือของเขา เพราะว่าพระยาห์เวห์สถิตอยู่กับเขา ไม่ว่าเขาทำอะไร พระยาห์เวห์ก็ทรงทำให้ประสบความสำเร็จ
1 หลังจากสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เจ้าพนักงานถวายจอกเสวย และเจ้าพนักงานทำขนมปังได้ทำให้เจ้านายขุ่นเคือง คือกษัตริย์อียิปต์ 2 ฟาโรห์ทรงพระพิโรธเจ้าหน้าทั้งสองของพระองค์ คือหัวหน้าคนถวายจอกเสวยและหัวหน้าคนทำขนมปัง 3 พระองค์จำจองพวกเขาไว้ในบ้านของผู้บัญชาการราชองครักษ์ ในคุกเดียวกันกับที่โยเซฟถูกขังอยู่ 4 ผู้บัญชาการราชองครักษ์ให้โยเซฟเป็นคนรับใช้พวกเขา พวกเขาถูกจำจองมาระยะเวลาหนึ่ง
5 เจ้าพนักงานถวายจอกเสวย และเจ้าพนักงานทำขนมปังของกษัตริย์อียิปต์ ซึ่งถูกจำจองในคุก พวกเขาทั้งสองได้ฝัน แต่ละคนต่างคนต่างฝันในคืนเดียวกัน และความฝันแต่ละความฝันต่างก็มีความหมายของมันเอง 6 โยเซฟมาหาพวกเขาในตอนเช้าและเห็นพวกเขา ดูเถิดพวกเขาเป็นทุกข์ 7 เขาถามเจ้าพนักงานของฟาโรห์ผู้ซึ่งถูกจำจองอยู่กับเขาในบ้านของเจ้านายของเขา กล่าวว่า “ทำไมวันนี้ดูพวกท่านเป็นทุกข์?” 8 พวกเขาตอบแก่เขาว่า “เราทั้งสองได้ฝันและไม่มีใครที่จะสามารถแก้ความฝันนั้นได้” โยเซฟพูดกับพวกเขาว่า “การแก้ความฝันนั้นไม่ใช่เป็นของพระเจ้าหรือ? ขอโปรดบอกข้าพเจ้าเถิด”
9 หัวหน้าเจ้าพนักงานถวายจอกเสวยเล่าความฝันของเขาแก่โยเซฟ เขาพูดกับโยเซฟว่า “ในความฝันของเรา นี่แน่ะ มีเถาองุ่นอยู่ต่อหน้าเรา 10 บนเถาองุ่นนั้นมีสามกิ่ง มันแตกตา มันเบ่งบาน และเป็นพวงองุ่นสุกงอม 11 จอกเสวยของฟาโรห์อยู่ในมือของเรา เราเอาพวงองุ่นและคั้นเอาน้ำใส่ลงในจอกเสวยของฟาโรห์ และเราก็ถวายจอกเสวยนั้นบนพระหัตถ์ของฟาโรห์”
12 โยเซฟพูดกับเขาว่า “นี่คือการแก้ความฝันนั้น สามกิ่งหมายถึงสามวัน 13 ภายในสามวันฟาโรห์จะยกท่านขึ้นและให้ท่านคืนสู่ที่ทำงานของท่าน ท่านจะได้ถวายจอกเสวยของฟาโรห์ในพระหัตถ์ของพระองค์เหมือนเมื่อท่านได้เคยเป็นเจ้าพนักงานถวายจอกเสวย 14 แต่ขอท่านได้โปรดระลึกถึงข้าพเจ้าเมื่อท่านได้ดีแล้ว และกรุณาแสดงความเมตตาต่อข้าพเจ้า ด้วยการกล่าวถึงข้าพเจ้าให้ฟาโรห์ฟัง และนำข้าพเจ้าออกไปจากคุกนี้ 15 เพราะที่จริงแล้วข้าพเจ้าถูกลักพาตัวมาจากแผ่นดินของคนฮีบรู ที่นี่ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ทำอะไรที่สมควรให้พวกเขาจำจองข้าพเจ้าในคุกที่แข็งแรงมิดชิดนี้”
16 เมื่อหัวหน้าเจ้าพนักงานทำขนมปังเห็นว่าการแก้ความฝันนั้นเป็นที่น่าพอใจ เขาพูดกับโยเซฟว่า “เราก็ฝัน ด้วยเหมือนกัน และนี่แน่ะ มีขนมปังสามตะกร้าอยู่บนศีรษะของเรา 17 ในตะกร้าบนสุดมีขนมปังอย่างดีทุกชนิดสำหรับฟาโรห์ แต่มีฝูงนกมากินขนมปังในตะกร้าบนศีรษะของเรา” 18 โยเซฟตอบและพูดว่า “นี่คือคำแก้ความฝัน สามตะกร้าก็คือสามวัน 19 ภายในสามวันนี้ฟาโรห์จะยกศีรษะของท่านออกจากท่าน และจะแขวนท่านไว้บนต้นไม้ ฝูงนกจะมากินเนื้อท่าน"
20 ในวันที่สามซึ่งเป็นวันพระราชสมภพของฟาโรห์ พระองค์ทรงจัดงานเลี้ยงสำหรับข้าราชการของพระองค์ทุกคน พระองค์ทรงยกหัวหน้าเจ้าพนักงานถวายจอกเสวย และหัวหน้าเจ้าพนักงานทำขนมปังขึ้น ในท่ามกลางข้าราชบริพารทั้งหลายของพระองค์ 21 พระองค์ทรงคืนตำแหน่งให้กับหัวหน้าเจ้าพนักงานถวายจอกเสวย ทรงมอบให้เขารับผิดชอบถวายจอกเสวยบนพระหัตถ์ของฟาโรห์อีกครั้ง 22 แต่พระองค์ทรงแขวนคอหัวหน้าเจ้าพนักงานทำขนมปัง เหมือนดังที่โยเซฟได้แก้ความฝันให้พวกเขา 23 หัวหน้าเจ้าพนักงานถวายจอกเสวยไม่ได้จดจำโยเซฟ และลืมเขา
1 เมื่อสิ้นสุดสองปีเต็มนั้น ฟาโรห์ทรงฝันว่า นี่แน่ะ พระองค์ทรงยืนอยู่ริมฝั่งแม่น้ำไนล์ 2 นี่แน่ะ มีแม่วัวเจ็ดตัวขึ้นมาจากแม่น้ำไนล์ น่าดูและอ้วนพีและพวกมันกินหญ้าท่ามกลางต้นกก 3 ดูเถิด และมีแม่วัวอีกเจ็ดตัวที่ตามขึ้นมาจากแม่น้ำไนล์ น่าเกลียด และผอม พวกมันยืนอยู่ข้างๆ กับแม่วัวตัวอื่นๆ บนฝั่งแม่น้ำไนล์ 4 จากนั้นพวกแม่วัวที่น่าเกลียด และตัวผอมก็ได้กินแม่วัวเจ็ดตัวที่น่าดูและอ้วนพีเสีย จากนั้นฟาโรห์ทรงตื่นขึ้น
5 จากนั้นพระองค์ก็บรรทมอีก และทรงฝันเป็นครั้งที่สอง ดูเถิด มีต้นข้าวต้นหนึ่ง มีเจ็ดรวงที่สมบูรณ์และดี 6 ดูเถอะ มีข้าวอีกเจ็ดรวงที่ลีบและไหม้เกรียมเพราะลมตะวันออก งอกขึ้นมา 7 ข้าวลีบเจ็ดรวงได้กลืนข้าวสมบูรณ์ และดีทั้งเจ็ดรวง ฟาโรห์ทรงตื่นขึ้น และดูเถิด มันเป็นความฝัน
8 ในตอนเช้าพระทัยของพระองค์ก็เป็นทุกข์ พระองค์ทรงส่งคนไปเรียกบรรดานักเล่นกลและนักปราชญ์ของอียิปต์เข้ามาเฝ้า ฟาโรห์ทรงบอกพวกเขาถึงความฝันของพระองค์ แต่ไม่มีใครสามารถแก้ความฝันนั้นให้ฟาโรห์ได้ 9 จากนั้นหัวหน้าพนักงานถวายจอกเสวยทูลฟาโรห์ว่า "วันนี้ข้าพระองค์คิดถึงความผิดของข้าพระองค์ 10 ครั้งที่ฟาโรห์ทรงพิโรธต่อพวกคนรับใช้ของพระองค์ และจองจำข้าพระองค์ในบ้านของผู้บัญชาการราชองครักษ์ ทั้งหัวหน้าพนักงานทำขนมปังและข้าพระองค์ 11 พวกข้าพระองค์ คือเขาและข้าพระองค์ได้ฝันในคืนเดียวกัน ต่างคนต่างฝันตามการแก้ความฝันของเขา
12 มีชายหนุ่มคนฮีบรู คนรับใช้ของผู้บัญชาการราชองครักษ์อยู่กับพวกเรา พวกเราได้บอกเขา และเขาได้แก้ความฝันของพวกเราให้พวกเรา เขาก็ได้แก้ความฝันให้พวกเราแต่ละคนตามความฝันของเขา 13 เขาแก้ความฝันนั้นให้พวกเรา ฟาโรห์คืนตำแหน่งให้ข้าพระองค์ แต่อีกคนหนึ่งเขาถูกแขวนคอ"
14 แล้วฟาโรห์ทรงส่งคนไปเรียกโยเซฟ พวกเขารีบไปนำเขาออกมาจากเรือนจำ เขาโกนหนวดเคราของเขาเอง เปลี่ยนเสื้อผ้าของเขา และมาเข้าเฝ้าฟาโรห์ 15 ฟาโรห์ตรัสแก่โยเซฟว่า "เราได้ฝัน ไม่มีใครแก้ความฝันนี้ได้ แต่เราได้ยินเรื่องเกี่ยวกับเจ้า ว่าเมื่อเจ้าได้ยินเรื่องราวความฝัน เจ้าสามารถแก้ความฝันนั้นได้" 16 โยเซฟทูลตอบฟาโรห์ว่า "ไม่ใช่ข้าพระองค์หรอก แต่เป็นพระเจ้าต่างหากที่จะทรงตอบฟาโรห์ด้วยความชื่นชม"
17 ฟาโรห์ตรัสกับโยเซฟว่า "ในความฝันของเรา ดูเถิด เรายืนอยู่ริมฝั่งแม่น้ำไนล์ 18 นี่แน่ะ มีแม่วัวเจ็ดตัวขึ้นมาจากแม่น้ำไนล์ อ้วนพี และสวยงาม และพวกมันกินหญ้าท่ามกลางต้นกก 19 ดูเถิด มีแม่วัวอีกเจ็ดตัวตามขึ้นมา อ่อนแอ ไม่น่าดูเลย และผอมโซ ทั่วแผ่นดินอียิปต์ เราไม่เคยเห็นแม่วัวที่ไม่น่าดูเช่นนี้มาก่อน 20 แม่วัวผอมโซ และไม่น่าดูเหล่านี้กินแม่วัวอ้วนพีที่ขึ้นมาตอนแรก 21 เมื่อพวกมันกินแม่วัวอ้วนพีเหล่านั้นแล้ว พวกมันก็ยังคงไม่น่าดูเหมือนเดิม จากนั้นเราก็ตื่นขึ้น
22 เราได้ฝันอีก และดูเถิด มีรวงข้าวเจ็ดรวงแตกออกมาจากต้นข้าวต้นหนึ่ง เมล็ดสมบูรณ์และดี 23 นี่แน่ะ มีรวงข้าวอีกเจ็ดรวงแตกออกมาภายหลัง ลีบ เหี่ยวแห้ง และเกรียมด้วยลมตะวันออก 24 รวงข้าวลีบได้กลืนรวงข้าวดีเจ็ดรวงนั้น เราบอกความฝันเหล่านี้แก่พวกนักมายากล แต่ไม่มีใครสามารถแก้ความฝันเหล่านี้ให้เราได้"
25 โยเซฟทูลต่อฟาโรห์ว่า "ความฝันทั้งสองของฟาโรห์เป็นเรื่องเดียวกัน พระเจ้าทรงแจ้งให้ฟาโรห์ทราบถึงสิ่งที่พระเจ้าจะทรงกระทำ 26 แม่วัวอ้วนพีเจ็ดตัว คือเจ็ดปี และรวงข้าวสมบูรณ์เจ็ดรวงก็คือเจ็ดปี ความฝันทั้งสองเป็นเรื่องเดียวกัน 27 แม่วัวผอม และไม่น่าดูเจ็ดตัวที่ได้ขึ้นมาภายหลัง คือเจ็ดปี และเช่นเดียวกันรวงข้าวลีบ ไหม้เกรียมด้วยลมตะวันออกก็จะเป็นเจ็ดปีแห่งการกันดารอาหาร
28 นั่นคือสิ่งที่ข้าพระองค์ได้ทูลต่อฟาโรห์ ถึงสิ่งที่พระเจ้าจะทรงกระทำ และพระองค์ได้ทรงเปิดเผยต่อฟาโรห์ 29 จงระวังเจ็ดปีแห่งความอุดมสมบูรณ์ที่ยิ่งใหญ่จะเกิดขึ้นทั่วแผ่นดินอียิปต์ 30 เจ็ดปีแห่งการกันดารอาหารจะตามมา และความสมบูรณ์ที่ผ่านมาในแผ่นดินอียิปต์จะถูกลืมสิ้น และการกันดารอาหารจะทำลายแผ่นดินนั้น 31 ความอุดมสมบูรณ์ในแผ่นดินจะไม่ถูกจดจำเพราะการกันดารอาหารที่ติดตามมานั้นรุนแรงอย่างแสนสาหัส
32 ฟาโรห์ได้ฝันซ้ำเพราะว่าพระเจ้าเป็นผู้จะทรงทำให้เกิด และพระเจ้าจะทรงทำให้เกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ 33 ขอให้ฟาโรห์มองหาผู้ชายที่มีความเข้าใจดี และฉลาดสักคนหนึ่ง ตั้งเขาให้ดูแลเหนือแผ่นดินอียิปต์
34 ขอให้ฟาโรห์ทำสิ่งนี้ คือให้พระองค์แต่งตั้งผู้ดูแลเหนือแผ่นดิน ให้พวกเขาเก็บพืชผลของอียิปต์หนึ่งในห้าส่วนไว้ตลอดเจ็ดปีที่อุดมสมบูรณ์นั้น 35 ให้พวกเขาเก็บรวบรวมอาหารทั้งหมดของปีที่อุดมสมบูรณ์ที่กำลังมาและเก็บข้าวด้วยอำนาจของฟาโรห์ เพื่อเป็นอาหารที่จะใช้ในเมืองทั้งหลาย พวกเขาต้องดูแลรักษาไว้ 36 อาหารเหล่านี้จะถูกใช้สำหรับแผ่นดินในช่วงเจ็ดปีแห่งการกันดารอาหารที่จะเกิดขึ้นในแผ่นดินอียิปต์ ด้วยวิธีการนี้แผ่นดินจะไม่ถูกทำลายล้างด้วยการกันดารอาหาร"
37 คำแนะนำนี้เป็นสิ่งที่ดีในสายตาของฟาโรห์และในสายตาของบรรดาข้าราชการทั้งหมดของพระองค์ 38 ฟาโรห์ตรัสกับพวกข้าราชการของพระองค์ว่า "เราจะสามารถหาผู้ชายเช่นนี้ ที่มีพระวิญญาณของพระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วยได้หรือ?" 39 ดังนั้นฟาโรห์จึงตรัสกับโยเซฟว่า "เพราะพระเจ้าทรงสำแดงสิ่งทั้งหมดเหล่านี้แก่เจ้า ไม่มีใครที่มีความเข้าใจและฉลาดเหมือนเจ้า 40 เจ้าจะดูแลราชสำนักของเรา และประชาชนของเราทั้งหมดจะถูกปกครองด้วยคำพูดของเจ้า เฉพาะบังลังก์นี้เท่านั้นที่เราจะใหญ่กว่าเจ้า"
41 ฟาโรห์ตรัสกับโยเซฟว่า "ดูเถิดเราได้ตั้งเจ้าไว้เหนือแผ่นดินอียิปต์" 42 ฟาโรห์ทรงถอดแหวนตราจากพระหัตถ์ของพระองค์และได้สวมใส่ให้กับโยเซฟ พระองค์ได้สวมเสื้อผ้าลินินอย่างดีให้กับเขา และสวมสร้อยทองคำลงบนคอของเขา 43 พระองค์ทรงให้เขาใช้รถม้าคันที่สองที่พระองค์ทรงเป็นเจ้าของ จะมีผู้ชายประกาศไปข้างหน้าเขาว่า "จงคุกเข่าลง" ฟาโรห์ได้ตั้งเขาไว้เหนือแผ่นดินอียิปต์ทั้งหมด
44 ฟาโรห์ตรัสกับโยเซฟว่า "เราคือฟาโรห์ และทั่วทั้งแผ่นดินอียิปต์นี้ไม่มีใครที่จะยกมือ หรือยกเท้าของเขาได้ นอกจากเจ้าจะอนุญาต" 45 ฟาโรห์ตั้งชื่อให้โยเซฟว่า "ศาเฟนาทปาเนอาห์" พระองค์ประทานอาเสนัท บุตรหญิงของโปทิเฟรา ปุโรหิตของเมืองโอนเป็นภรรยาของเขา โยเซฟออกไปทั่วแผ่นดินอียิปต์
46 โยเซฟมีอายุสามสิบปี เมื่อเขายืนอยู่ต่อพระพักตร์ฟาโรห์ กษัตริย์อียิปต์ โยเซฟออกไปจากการเข้าเฝ้าฟาโรห์ และออกไปทั่วแผ่นดินอียิปต์ 47 ในเจ็ดปีแห่งความอุดมสมบูรณ์แผ่นดินให้ผลผลิตอย่างมากมาย 48 ในตลอดเจ็ดปี เขารวบรวมอาหารที่มีทั้งหมดในแผ่นดินอียิปต์และเก็บอาหารนั้นไว้ในเมืองต่างๆ เขาเก็บอาหารของแต่ละเมืองจากท้องทุ่งและพื้นที่รอบๆ เมืองไว้ที่แต่ละเมืองนั้น 49 โยเซฟเก็บรักษาข้าวมากมายเหมือนทรายแห่งท้องทะเล มากจนกระทั่งเขาต้องสั่งให้หยุดการทำบัญชีเนื่องจากมันมีมากเกินกว่าที่จะนับได้
50 ก่อนที่ปีแห่งการกันดารอาหารจะมาถึง โยเซฟมีบุตรชายสองคนซึ่งอาเสนัท บุตรหญิงของโปทิเฟรา ปุโรหิตเมืองโอน เป็นผู้ให้กำเนิดแก่เขา 51 โยเซฟเรียกชื่อบุตรชายหัวปีของเขาว่า มนัสเสห์ เพราะเขากล่าวว่า "พระเจ้าทรงกระทำให้ข้าพเจ้าลืมความทุกข์ยากลำบากทั้งหมดของข้าพเจ้า และครัวเรือนทั้งหมดของบิดาข้าพเจ้า" 52 เขาเรียกชื่อบุตรชายคนที่สองว่า เอฟราอิม เพราะเขากล่าวว่า "พระเจ้าทรงกระทำให้ข้าพเจ้าเกิดผลในดินแดนแห่งความยากลำบากของข้าพเจ้า"
53 เจ็ดปีแห่งความสมบูรณ์ในแผ่นดินอียิปต์ก็จบสิ้นลง 54 เจ็ดปีแห่งการกันดารอาหารได้เริ่มต้น เหมือนที่โยเซฟได้พูดไว้ เกิดการกันดารอาหารขึ้นทั่วแผ่นดิน แต่ในแผ่นดินอียิปต์ยังมีอาหาร
55 เมื่อเกิดการกันดารขึ้นทั่วทั้งแผ่นดินอียิปต์ ประชาชนร้องขออาหารจากฟาโรห์ ฟาโรห์ตรัสกับประชาชนอียิปต์ทั้งหมดว่า "จงไปหาโยเซฟ และจงปฏิบัติตามที่เขาพูด" 56 การกันดารอาหารเกิดขึ้นทั่วทั้งแผ่นดิน โยเซฟเปิดยุ้งฉางทั้งหมด และขายอาหารให้กับคนอียิปต์ เกิดการกันดารอาหารอย่างรุนแรงในแผ่นดินอียิปต์ 57 คนจากทั่วทั้งแผ่นดินมายังอียิปต์เพื่อซื้อข้าวจากโยเซฟ เพราะว่าเกิดการกันดารอาหารอย่างแสนสาหัสขึ้นทั่วทั้งแผ่นดิน
1 บัดนี้ยาโคบรู้ว่ามีข้าวอยู่ที่ในอียิปต์ เขาพูดกับพวกบุตรชายของเขาว่า “พวกเจ้ามองดูกันและกันทำไม?” 2 เขาพูดว่า “ดูนี่ เราได้ยินว่า ที่ในอียิปต์มีข้าว จงลงไปที่นั่น และซื้อข้าวจากที่นั่นมาให้เรา เพื่อที่เราจะได้มีชีวิตอยู่และไม่ตาย” 3 พี่ชายทั้งสิบคนของโยเซฟลงไปซื้อข้าวจากอียิปต์ 4 แต่เบนยามิน น้องชายของโยเซฟนั้นยาโคบไม่ได้ส่งไปกับพวกพี่ชายของเขา เพราะเขากลัวว่าเบนยามินจะได้รับอันตราย 5 พวกบุตรชายของอิสราเอลเดินทางมาเพื่อที่จะซื้อข้าวเพราะการกันดารอาหารที่เกิดในดินแดนคานาอัน
6 บัดนี้โยเซฟได้เป็นผู้ปกครองเหนือแผ่นดินนั้น เขาเป็นผู้ขายข้าวให้กับคนทั้งแผ่นดินแต่เพียงผู้เดียว พวกพี่ชายของโยเซฟมาและโค้งคำนับเขา จนหน้าของพวกเขาถึงพื้น 7 โยเซฟเห็นพวกพี่ชายและจำพวกเขาได้ แต่เขาปกปิดตัวเขาเองจากพวกเขาและพูดอย่างห้าวๆ กับพวกเขา เขาพูดกับพวกเขาว่า “พวกเจ้ามาจากไหน?” พวกเขาตอบว่า “จากแผ่นดินคานาอันเพื่อซื้ออาหาร”
8 โยเซฟจำพวกพี่ชายของเขาได้ แต่พวกเขาจำโยเซฟไม่ได้ 9 แล้วโยเซฟก็ระลึกถึงความฝันที่เขาได้ฝันเกี่ยวกับพวกเขา และเขาพูดกับพวกเขาว่า “พวกเจ้าเป็นคนสอดแนม พวกเจ้ามาเพื่อที่จะดูส่วนที่ไม่ได้มีการป้องกันของแผ่นดิน”
10 พวกเขาพูดกับเขาว่า “ไม่ใช่หรอก เจ้านายของข้าพเจ้า พวกคนรับใช้ของท่านมาเพื่อที่จะซื้ออาหาร 11 พวกเราทั้งหมดเป็นบุตรชายร่วมบิดาคนเดียวกัน พวกเราเป็นคนสัตย์ซื่อ พวกคนรับใช้ของท่านไม่ใช่คนสอดแนม”
12 เขาพูดกับพวกเขาว่า “ไม่ใช่หรอก พวกเจ้ามาเพื่อดูส่วนที่ที่ไม่ได้มีการป้องกันของแผ่นดิน” 13 พวกเขาพูดว่า “พวกเรา พวกคนรับใช้ของท่านมีพี่น้องด้วยกันสิบสองคน เป็นพวกบุตรชายร่วมบิดาคนเดียวกันในแผ่นดินคานาอัน ดูเถอะน้องคนสุดท้อง ขณะนี้อยู่กับบิดาของพวกเรา และน้องอีกคนหนึ่งก็ได้เสียชีวิตไปแล้ว”
14 โยเซฟพูดกับพวกเขา “มันเป็นอย่างที่เราได้พูดกับพวกเจ้าแล้ว พวกเจ้าเป็นคนสอดแนม 15 ด้วยเหตุนี้พวกเจ้าต้องถูกตรวจสอบ ฟาโรห์ทรงพระชนม์อยู่ฉันใด พวกเจ้าจะไปจากที่นี่ไม่ได้ นอกจากน้องชายคนสุดท้องของพวกเจ้าจะมาที่นี่ 16 จงส่งพวกเจ้าคนใดคนหนึ่งให้ไปพาน้องชายของพวกเจ้ามา เพื่อพิสูจน์คำพูดของพวกเจ้าว่าจริงหรือเท็จ และให้ขังพวกเจ้าที่เหลือไว้ในคุก” 17 เขาจองจำพวกเขาทั้งหมดไว้เป็นเวลาสามวัน
18 ในวันที่สาม โยเซฟพูดกับพวกเขาว่า “เพราะเราเกรงกลัวพระเจ้า จงทำอย่างนี้เพื่อจะมีชีวิตรอด 19 คือถ้าพวกเจ้าเป็นคนสัตย์ซื่อ ก็ให้พี่น้องคนหนึ่งของพวกเจ้าอยู่ในคุก แต่พวกเจ้าที่เหลือให้นำข้าวกลับไปเพื่อบรรเทาการกันดารอาหารในบ้านพวกเจ้า 20 จงนำน้องชายคนสุดท้องมาหาเรา เพื่อยืนยันคำพูดของพวกเจ้าและพวกเจ้าจะไม่ตาย” ดังนั้นพวกเขาก็ได้ทำตามนั้น
21 พวกเขาพูดกันว่า “พวกเรามีความผิดจริงๆ เกี่ยวกับน้องชายของพวกเรา ที่พวกเราได้เห็นความเจ็บปวดของจิตวิญญาณของเขา เมื่อเขาขอร้องพวกเรา แต่พวกเราไม่ได้ฟังเขา ดังนั้นความเจ็บปวดนี้จึงได้ย้อนกลับมาถึงพวกเรา” 22 รูเบนตอบพวกเขาว่า “ฉันไม่ได้บอกพวกเจ้าหรือว่า ‘อย่าทำบาปต่อเด็กคนนั้น’ แต่พวกเจ้าไม่ฟังใช่ไหม? บัดนี้ดูสิ เลือดของเขาได้เรียกร้องต่อพวกเรา”
23 พวกเขาไม่รู้ว่าโยเซฟเข้าใจที่พวกเขาพูด เพราะว่ามีล่ามระหว่างพวกเขา 24 เขาออกไปจากพวกเขาและร้องไห้ เขากลับมาหาพวกเขาและพูดกับพวกเขา เขาเลือกเอาสิเมโอนจากพวกเขา และมัดเขาต่อหน้าพวกเขา 25 จากนั้นโยเซฟสั่งให้คนรับใช้ของเขาใส่ข้าวให้เต็มกระสอบของพวกพี่ชาย และให้ใส่เงินของทุกคนกลับลงไปในกระสอบของเขาด้วย และจัดเตรียมการเดินทางให้พวกเขา มันถูกดำเนินการเพื่อพวกเขา
26 พวกพี่ชายเอาข้าวบรรทุกหลังลาของพวกเขาและเดินทางออกไปจากที่นั่น 27 เมื่อถึงที่พักพวกเขาคนหนึ่งเปิดกระสอบข้าวของเขาเพื่อเอาข้าวให้ลาของเขา เขาเห็นเงินของเขา ดูเถิดมันอยู่ในกระสอบของเขาที่เปิดอยู่ 28 เขาพูดกับพวกพี่น้องของเขาว่า “เงินของฉันถูกนำกลับมา ดูสิ มันอยู่ในกระสอบของฉัน” พวกเขาขวัญเสีย และพวกเขาพากันตัวสั่น พูดว่า “นี่คืออะไร ที่พระเจ้าทรงกระทำกับพวกเรา?”
29 พวกเขาไปหายาโคบ บิดาของพวกเขาในแผ่นดินคานาอัน และบอกเขาถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับพวกเขาทุกอย่าง พวกเขาพูดว่า 30 “ผู้ชายคนนั้นที่เป็นเจ้านายของแผ่นดิน ได้พูดอย่างหยาบคายกับพวกเรา และคิดว่าเราเป็นคนสอดแนมในแผ่นดินนั้น 31 เราพูดกับเขาว่า ‘พวกเราเป็นคนสัตย์ซื่อ พวกเราไม่ใช่คนสอดแนม 32 พวกเรามีพี่น้องสิบสองคน เป็นบุตรชายทั้งหลายของบิดาของเรา คนหนึ่งเสียชีวิตไปแล้ว และในวันนี้น้องคนสุดท้องอยู่บิดาของพวกเราในแผ่นดินคานาอัน’
33 ผู้ชายคนนั้น เจ้านายของแผ่นดินได้พูดกับพวกเราว่า 'ด้วยวิธีนี้เราจะรู้ว่าพวกเจ้าเป็นคนสัตย์ซื่อจริงหรือไม่ ทิ้งพี่น้องคนหนึ่งไว้กับเรา นำข้าวกลับไปบรรเทาการกันดารอาหารในบ้านของพวกเจ้า และไปตามทางของพวกเจ้า 34 จงนำน้องชายคนสุดท้องมาหาเรา แล้วเราจะรู้ว่าพวกเจ้าไม่ใช่คนสอดแนม แต่เป็นเป็นคนที่สัตย์ซื่อ จากนั้นเราจะปล่อยพี่น้องของพวกเจ้าให้กับพวกเจ้า และพวกเจ้าจะค้าขายในแผ่นดินนั้น'”
35 เมื่อพวกเขานำข้าวออกจากระสอบ ดูเถิดกระสอบของพวกเขาก็มีเงินอยู่ทุกกระสอบ เมื่อพวกเขาและบิดาของพวกเขาเห็นว่ากระสอบของพวกเขามีเงินอยู่ พวกเขาก็หวาดกลัว 36 ยาโคบบิดาของพวกเขาพูดกับพวกเขาว่า “พวกเจ้าทำให้เราสูญเสียพวกบุตรชายของเรา โยเซฟก็ได้เสียชีวิตไป สิเมโอนก็ได้จากไป และพวกเจ้าจะมาเอาเบนยามินไปอีก ทั้งหมดเหล่านี้ทำร้ายเรา”
37 รูเบนพูดกับบิดาของเขา กล่าวว่า "ขอให้ท่านประหารบุตรชายทั้งสองของฉัน ถ้าฉันไม่นำเบนยามินกลับมาให้ท่าน มอบเขาไว้ในมือฉัน และฉันจะนำเขากลับมาหาท่านอีก" 38 ยาโคบพูดว่า "บุตรชายของเราจะไม่ลงไปกับเจ้า เพราะว่าพี่ชายของเขาได้ตายแล้ว เหลือเขาเพียงคนเดียว หากเกิดอันตรายกับเขาในระหว่างทางที่พวกเจ้าไปนั้น เท่ากับว่าพวกเจ้าจะนำผมหงอกของเราพร้อมกับความโศกเศร้าลงสู่แดนผู้ตาย"
1 การกันดารอาหารในแผ่นดินนั้นรุนแรงยิ่งนัก 2 อยู่มาเมื่อพวกเขากินข้าวที่พวกเขาได้ซื้อมาจากอียิปต์หมดแล้ว บิดาของพวกเขาพูดกับพวกเขาว่า "จงไป และซื้ออาหารมาให้เราอีก"
3 ยูดาห์บอกเขาว่า "ผู้ชายคนนั้นได้กำชับพวกเราอย่างเด็ดขาดว่า 'พวกเจ้าจะไม่ได้เห็นหน้าของเราอีกนอกจากน้องชายของพวกเจ้าจะมากับพวกเจ้า' 4 ถ้าพ่อให้น้องชายของพวกเราไปกับพวกเรา พวกเราจะลงไปและซื้ออาหารมาให้พ่อ 5 แต่ถ้าพ่อไม่ให้เขาไป พวกเราก็จะไม่ลงไป เพราะผู้ชายคนนั้นพูดกับพวกเราว่า 'พวกเจ้าจะไม่ได้เห็นหน้าของเราถ้าน้องชายของพวกเจ้าไม่มากับพวกเจ้า'"
6 อิสราเอลพูดว่า "ทำไมพวกเจ้าได้ทำในสิ่งที่เลวร้ายกับเราด้วยการบอกผู้ชายคนนั้นว่าพวกเจ้ายังมีน้องชายอีกคนหนึ่งเล่า?" 7 พวกเขาพูดว่า "ผู้ชายคนนั้นถามรายละเอียดเกี่ยวกับพวกเรา และครอบครัวของพวกเรา เขาถามว่า 'บิดาของพวกเจ้ายังมีชีวิตอยู่ไหม? พวกเจ้ามีพี่น้องอีกคนหนึ่งไหม?' พวกเราตอบเขาตามคำถามเหล่านี้ พวกเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาจะพูดว่า 'จงนำน้องชายของพวกเจ้าลงมา?'" 8 ยูดาห์พูดกับอิสราเอล บิดาของเขาว่า "จงให้เด็กนั้นไปกับลูก พวกเราจะลุกขึ้นและไปเพื่อพวกเราจะมีชีวิตและไม่ตาย ทั้งพวกเรา พ่อ และบุตรทั้งหลายของพวกเรา 9 ลูกขอเป็นตัวประกันเพื่อเขา พ่อให้ลูกรับผิดชอบได้ ถ้าลูกไม่นำเขากลับมาให้พ่อ และมอบเขาต่อหน้าพ่อ ก็ขอให้ลูกได้รับการประณามตลอดไป 10 เพราะถ้าพวกลูกไม่ล่าช้า แน่นอน เดี๋ยวนี้พวกเราก็ควรที่จะกลับมาที่นี่เป็นครั้งที่สองครั้งแล้ว"
11 อิสราเอล บิดาของพวกเขาพูดกับพวกเขาว่า "ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็จงทำเรื่องนี้เดี๋ยวนี้ จงนำสิ่งที่ดีที่สุดของแผ่นดินนี้บางส่วนใส่ในกระสอบทั้งหลายของพวกเจ้า แบกลงไปให้ผู้ชายคนนั้นเป็นของกำนัล คือน้ำมันพืชที่มีกลิ่นหอม และน้ำผึ้ง เครื่องเทศ และยางไม้หอม ถั่วพิสทาชิโอ และอัลมอนด์ 12 นำเงินไปในมือสองเท่า เงินที่ได้ถูกนำกลับมาในกระสอบทั้งหลายของพวกเจ้า จงนำใส่มือของพวกเจ้ากลับไป บางทีอาจจะเป็นความผิดพลาด 13 นำน้องชายของพวกเจ้าไปด้วย จงลุกขึ้น และไปหาผู้ชายคนนั้นอีกครั้ง 14 ขอพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ประทานความเมตตาแก่พวกเจ้าต่อหน้าผู้ชายคนนั้น เพื่อที่เขาจะได้ปลดปล่อยพี่น้องอีกคนของพวกเจ้าและเบนยามินให้แก่พวกเจ้า ถ้าเราต้องสูญเสียบุตรทั้งหลายของเรา เราก็ต้องสูญเสีย" 15 ชายเหล่านั้นได้นำของกำนัลนี้ และในมือของพวกเขามีเงินจำนวนสองเท่า ไปพร้อมกับเบนยามิน พวกเขาลุกขึ้นและลงไปยังอียิปต์ และยืนอยู่ต่อหน้าโยเซฟ
16 เมื่อโยเซฟเห็นเบนยามินกับพวกเขา เขาพูดกับพ่อบ้านของเขาว่า "จงนำชายเหล่านั้นเข้ามาในบ้าน ฆ่าสัตว์ตัวหนึ่งและจัดเตรียมอาหาร เพราะชายเหล่านั้นจะกินอาหารกับเราเที่ยงนี้" 17 พ่อบ้านนั้นทำตามที่โยเซฟสั่ง เขานำชายเหล่านั้นเข้าไปในบ้านของโยเซฟ 18 ชายเหล่านั้นก็หวาดกลัวเพราะว่าพวกเขาถูกนำเข้าไปในบ้านของโยเซฟ พวกเขาได้พูดว่า "มันเป็นเพราะเงินนั้นที่กลับเข้ามาอยู่ในกระสอบของพวกเราครั้งแรกที่เราถูกนำเข้ามา บางทีเขาอาจจะหาโอกาสหาเรื่องพวกเรา เขาอาจจะจับพวกเราและนำพวกเราไปเป็นทาส และยึดลาทั้งหลายของพวกเรา"
19 พวกเขาเข้าไปหาพ่อบ้านของโยเซฟ และพวกเขาพูดกับเขาที่ประตูบ้าน 20 พูดว่า "เจ้านายของข้าพเจ้า พวกเราได้ลงมาครั้งแรกเพื่อซื้ออาหาร 21 เมื่อพวกเราไปถึงที่พัก พวกเราได้เปิดกระสอบข้าวของพวกเรา และดูเถิดเงินของทุกคนอยู่ครบในกระสอบของแต่ละคน พวกเราได้นำมันกลับมาในมือพวกเรา 22 เงินอื่นๆ พวกเราก็ได้ถือนำลงมาเพื่อซื้ออาหาร พวกเราไม่รู้ว่าใครได้เอาเงินของพวกเราใส่ในกระสอบข้าวของพวกเรา" 23 พ่อบ้านนั้นพูดว่า "สันติสุขจงมีแก่พวกท่าน อย่ากลัวเลย พระเจ้าของพวกท่าน และพระเจ้าของบิดาพวกท่านต้องเป็นผู้นำเงินของพวกท่านใส่ในกระสอบข้าวของพวกท่าน เราได้รับเงินของพวกท่านแล้ว" จากนั้นพ่อบ้านได้นำสิเมโอนออกมาให้พวกเขา
24 พ่อบ้านของโยเซฟนำพวกเขาทั้งหลายเข้าไปในบ้านของโยเซฟ เขาได้ให้น้ำแก่พวกเขา และพวกเขาล้างเท้าของพวกเขา เขาให้อาหารแก่พวกลาของพวกเขา 25 พวกเขาเตรียมของกำนัลทั้งหลายสำหรับการมาของโยเซฟในเวลาเที่ยงวัน เพราะพวกเขาได้ยินว่าพวกเขาทั้งหลายจะกินอาหารเที่ยงที่นั่น
26 เมื่อโยเซฟกลับมาบ้าน พวกเขานำเอาของกำนัลซึ่งอยู่ในมือของพวกเขาเข้ามาในบ้าน และโค้งคำนับลงถึงพื้นต่อหน้าเขา 27 เขาได้ถามพวกเขาถึงความเป็นอยู่ของพวกเขาและพูดว่า "บิดาของพวกเจ้า คนแก่ที่พวกเจ้าได้พูดถึงนั้นสบายดีไหม? เขายังมีชีวิตอยู่หรือ?" 28 พวกเขาตอบว่า "บิดาของพวกเรา คนรับใช้ของท่านสบายดี เขายังมีชีวิตอยู่" พวกเขาก้มลงและหมอบราบ 29 เมื่อเขามองขึ้น เขาเห็นเบนยามิน น้องชายของเขา บุตรชายของมารดาของเขา และเขาพูดว่า "นี่คือน้องชายคนสุดท้องของพวกเจ้าที่พวกเจ้าได้บอกเราหรือ?" จากนั้นเขาพูดว่า "บุตรชายของเราเอ๋ย ขอพระเจ้าทรงพระเมตตาแก่เจ้า"
30 โยเซฟรีบออกไปนอกห้อง เพราะว่าเขามีความรู้สึกสะเทือนใจเกี่ยวกับน้องชายของเขา เขาหาที่ที่จะร้องไห้ เขาเข้าไปในห้องของเขาและร้องไห้ที่นั่น 31 เขาได้ล้างหน้าของเขาและออกมา เขาควบคุมตัวเขาเอง พูดว่า "จงยกอาหารมา" 32 พวกคนรับใช้จึงได้ยกอาหารมาให้โยเซฟโดยส่วนของเขาเอง และของพวกพี่ชายโดยส่วนของพวกเขาเอง พวกคนอียิปต์ที่นั่นได้กินกับเขาในส่วนของพวกเขาเพราะว่าคนอียิปต์ไม่สามารถกินขนมปังกับคนฮีบรู เพราะว่านั่นเป็นสิ่งที่น่าเกลียดแก่คนอียิปต์
33 พวกพี่ชายนั่งต่อหน้าเขา บุตรชายหัวปีตามสิทธิบุตรหัวปี และน้องคนสุดท้องตามอายุของเขา ชายทั้งหลายถูกทำให้ประหลาดใจด้วยกัน 34 โยเซฟได้ให้ส่วนต่างๆ แก่พวกเขาจากอาหารที่อยู่ตรงหน้าของเขา แต่ส่วนของเบนยามินนั้นมากเป็นห้าเท่าของพวกพี่ชายของเขา พวกเขาได้ดื่มและสนุกสนานกับเขา
1 โยเซฟสั่งคนต้นเรือนของเขา พูดว่า "ใส่อาหารให้เต็มกระสอบของชายเหล่านั้น ให้มากเท่าที่พวกเขาสามารถบรรทุกไปได้ และใส่เงินของพวกเขาแต่ละคนในปากกระสอบของเขา 2 ใส่จอกของเรา จอกเงินในปากกระสอบของคนสุดท้อง พร้อมกับเงินของเขาที่นำมาซื้อข้าว" คนต้นเรือนก็ได้ทำตามที่โยเซฟสั่ง
3 ในตอนรุ่งเช้า และชายเหล่านั้นก็ได้ออกเดินทาง พวกเขาและลาทั้งหลายของพวกเขา 4 เมื่อพวกเขาได้ออกไปจากเมือง แต่ยังไม่ไกล โยเซฟได้สั่งคนต้นเรือนของเขา "จงลุกขึ้นติดตามชายเหล่านั้นไป และเมื่อเจ้าไปทันพวกเขา จงพูดกับพวกเขาว่า 'ทำไมพวกเจ้าตอบแทนการดีด้วยความชั่ว? 5 นี่ไม่ใช่จอกที่เจ้านายของเราใช้ดื่ม และจอกที่ท่านใช้ในการทำนายหรือ? พวกท่านได้ทำสิ่งชั่วร้าย คือสิ่งนี้ที่พวกท่านได้ทำ'"
6 คนต้นเรือนของโยเซฟได้ตามมาทันพวกเขาและพูดถ้อยคำเหล่านี้กับพวกเขา 7 พวกเขาพูดกับเขาว่า "ทำไมเจ้านายของข้าพเจ้าพูดถ้อยคำเหล่านี้? ขอให้มันอยู่ห่างไกลจากพวกคนรับใช้ของท่านที่พวกเขาจะกระทำเช่นนั้น 8 ดูเถิด เงินที่พวกเราพบในกระสอบทั้งหลายของพวกเรา ในการเปิดกระสอบ พวกเราก็ได้นำมันออกมาจากดินแดนคานาอัน กลับมาให้ท่านอีกครั้ง จะเป็นไปได้อย่างไรที่พวกเราจะขโมยเงิน หรือทองจากบ้านเจ้านายของท่าน? 9 ไม่ว่าท่านจะพบที่พวกคนรับใช้ของท่านคนใด จงให้เขาคนนั้นตายเถอะ และพวกเราก็จะเป็นทาสของเจ้านายของข้าพเจ้าด้วย"
10 คนต้นเรือนนั้นพูดว่า "บัดนี้ให้เป็นไปตามที่คำพูดของพวกเจ้าเถิด พบจอกที่ใครก็ตามก็ให้คนนั้นเป็นทาสของเรา และพวกท่านที่เหลือก็พ้นผิด" 11 จากนั้นแต่ละคนรีบและนำเอากระสอบของเขาลงมาวางบนพื้น และแต่ละคนได้เปิดกระสอบของเขา 12 คนต้นเรือนได้เริ่มค้นหา เขาเริ่มต้นจากผู้ที่มีอายุมากที่สุด และไปจบที่ผู้ที่มีอายุน้อยที่สุด และจอกนั้นก็ถูกพบในกระสอบของเบนยามิน 13 ดังนั้นพวกเขาจึงได้ฉีกเสื้อผ้าของพวกเขา แต่ละคนเอากระสอบบรรทุกหลังลาของเขาและกลับเข้าเมือง
14 ยูดาห์และพวกพี่ชายทั้งหลายมายังบ้านของโยเซฟ เขายังอยู่ที่นั่น และพวกเขาโค้งคำนับต่อเขาหน้าถึงพื้น 15 โยเซฟพูดกับพวกเขาว่า "พวกเจ้าทำอะไรลงไป? พวกเจ้าไม่รู้หรือว่าคนเช่นเราทำนายได้?" 16 ยูดาห์พูดว่า "เจ้านายของข้าพเจ้า พวกเราจะสามารถพูดอะไรได้อีกเล่า? พวกเราจะสามารถพูดอะไรได้อีก? หรือพวกเราจะพิสูจน์ตัวเราเองได้อย่างไร? พระเจ้าได้พบความชั่วร้ายของพวกคนรับใช้ของท่าน ดูเถิด พวกเราเป็นทาสของเจ้านายของข้าพเจ้า ทั้งพวกเราและเขาผู้ที่ได้พบจอกอยู่ในมือของเขา" 17 โยเซฟพูดว่า "ขอให้มันอยู่ห่างไกลจากเราที่จะทำอย่างนั้น ผู้ชายคนนั้นผู้ที่ได้พบจอกอยู่ในมือของเขา คนนั้นจะเป็นทาสของเรา แต่สำหรับพวกเจ้าทั้งหลายที่เหลือ จงลุกขึ้นกลับไปหาบิดาของพวกเจ้าอย่างสันติเถิด"
18 จากนั้นยูดาห์เข้ามาใกล้เขาและพูดว่า "ขอความกรุณาเถิด เจ้านายของข้าพเจ้า ขอให้คนรับใช้ของท่านพูดสักคำให้ท่านฟัง และให้ความโกรธของท่านตกอยู่กับคนรับใช้ของท่าน เพราะท่านเป็นเหมือนฟาโรห์ 19 เจ้านายของข้าพเจ้าได้ถามคนรับใช้ของเขา กล่าวว่า 'เจ้ามีบิดา หรือน้องชายหรือไม่?' 20 พวกเราได้ตอบเจ้านายของข้าพเจ้า 'เรามีบิดาคนหนึ่ง ชายชรา และบุตรที่เขามีในวัยชรา บุตรเล็กๆ แต่พี่ชายของเขาได้เสียชีวิต และเขาอยู่กับมารดาของเขาคนเดียว และบิดาของเขาก็รักเขา'
21 จากนั้นท่านได้พูดกับพวกคนรับใช้ของท่าน 'จงนำเขาลงมาหาเราเพื่อที่เราจะพบเขา' 22 หลังจากนั้น เราได้พูดกับเจ้านายของเรา 'เด็กคนนั้นไม่สามารถทิ้งบิดาของเขาได้ เพราะว่าถ้าเขาละทิ้งบิดาของเขา บิดาของเขาจะตาย' 23 จากนั้นท่านได้พูดกับพวกคนรับใช้ของท่าน 'ถ้าน้องคนสุดท้องไม่ลงมากับพวกเจ้า พวกเจ้าจะไม่ได้พบหน้าเราอีก' 24 และเมื่อพวกเราขึ้นไปพบบิดาของข้าพเจ้า คนรับใช้ของท่าน พวกเราบอกเขาถึงถ้อยคำของเจ้านายของข้าพเจ้า
25 บิดาของพวกเราพูดว่า 'จงไปอีกครั้ง ซื้ออาหารให้เรา' 26 จากนั้นพวกเราพูดว่า 'พวกเราไม่สามารถลงไปได้ ถ้าน้องคนสุดท้องของพวกเราอยู่กับเรา แล้วพวกเราจะลงไป เพราะพวกเราจะไม่สามารถพบหน้าผู้ชายคนนั้นได้ นอกจากน้องชายคนสุดท้องจะอยู่กับเรา' 27 บิดาของข้าพเจ้า คนรับใช้ของท่านพูดกับพวกเราว่า 'พวกเจ้ารู้ว่าภรรยาของเราได้ให้กำเนิดบุตรชายสองคนแก่เรา 28 คนหนึ่งในพวกเขาได้ไปจากเราและเราพูดว่า "แน่ทีเดียวเขาได้ถูกฉีกเป็นชิ้นๆ และเราไม่ได้พบเขาตั้งแต่นั้นมา" 29 บัดนี้ถ้าพวกเจ้านำคนนี้ไปจากเราอีก และเกิดอันตรายกับเขา พวกเจ้าจะนำผมหงอกของเรากับความโศกเศร้าลงสู่แดนผู้ตาย'
30 ดังนั้น บัดนี้เมื่อข้าพเจ้ามาถึงบิดาของข้าพเจ้า คนรับใช้ของท่าน และเด็กนั้นไม่อยู่กับพวกเรา ตั้งแต่ชีวิตของเขาถูกผูกมัดกับชีวิตของเด็กนั้น 31 เมื่อเขาเห็นเด็กนั้นไม่อยู่กับพวกเรา เขาจะตาย พวกคนรับใช้ของท่านจะนำผมหงอกของบิดาของพวกเรา คนรับใช้ของท่านกับความโศกเศร้าลงสู่แดนผู้ตาย
32 เพราะคนรับใช้ของท่านเป็นคนรับประกันสำหรับเด็กนั้นกับบิดาของข้าพเจ้า และได้พูดว่า 'ถ้าข้าพเจ้าไม่ได้นำเขากลับมาให้ท่าน แล้วข้าพเจ้าจะยอมรับผิดต่อบิดาของข้าพเจ้าตลอดไป' 33 ดังนั้นบัดนี้ ขอกรุณาให้คนรับใช้ของท่านอยู่เป็นทาสกับเจ้านายของข้าพเจ้าแทนเด็กคนนั้น และอนุญาตให้เด็กนั้นกลับขึ้นไปกับพวกพี่ชายของเขา 34 เพราะข้าพเจ้าจะกลับไปพบบิดาของข้าพเจ้าได้อย่างไร ถ้าเด็กนั้นไม่อยู่กับข้าพเจ้า? ข้าพเจ้าเกรงว่าจะเห็นความชั่วร้ายมาสู่บิดาของข้าพเจ้า"
1 จากนั้นโยเซฟก็ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ต่อหน้าคนรับใช้ทั้งหลายที่ยืนอยู่ข้างๆ เขา เขาพูดเสียงดัง "ทุกคนจงออกไป" ดังนั้นจึงไม่มีคนรับใช้ยืนอยู่ข้างๆ เขา เมื่อโยเซฟเปิดเผยตัวเองให้พวกพี่น้องของเขาทราบ 2 เขาร้องไห้เสียงดัง คนอียิปต์ทั้งหลายได้ยิน และราชสำนักของฟาโรห์ก็ได้ยิน 3 โยเซฟพูดกับพวกพี่น้องของเขาว่า "ฉันคือโยเซฟ พ่อของฉันยังมีชีวิตอยู่หรือ?" พวกพี่น้องของเขาไม่สามารถตอบเขาได้ เพราะพวกเขาตกใจในการปรากฏตัวของเขา
4 จากนั้นโยเซฟพูดกับพวกพี่น้องของเขาว่า "กรุณาเข้ามาใกล้ฉันเถิด" พวกเขาเข้ามาใกล้ เขาพูดว่า "ฉันคือโยเซฟน้องชายของท่าน ผู้ที่พวกท่านได้ขายมายังอียิปต์ 5 อย่าเสียใจหรือโกรธตัวเองที่ขายฉันมายังที่นี่ เพราะพระเจ้าได้ส่งฉันมาก่อนหน้าพวกท่านเพื่อรักษาชีวิต 6 เพราะนี่คือสองปีแห่งการกันดารอาหารที่เกิดขึ้นในแผ่นดิน และยังเหลืออีกห้าปีซึ่งจะไถหว่าน หรือเก็บเกี่ยวไม่ได้เลย 7 พระเจ้าส่งฉันมาล่วงหน้าพวกท่านเพื่อรักษาพวกท่านที่เป็นเหมือนคนที่เหลืออยู่ในแผ่นดิน และรักษาพวกท่านให้มีชีวิตอยู่ด้วยการช่วยกู้อันยิ่งใหญ่
8 ดังนั้น บัดนี้จึงไม่ใช่พวกท่านที่ส่งฉันมาที่นี่แต่เป็นพระเจ้า และพระองค์ทรงทำให้ฉันเป็นเหมือนบิดาของฟาโรห์ เจ้านายของราชสำนักของพระองค์ และปกครองเหนือแผ่นดินอียิปต์ทั้งหมด 9 จงรีบ และขึ้นไปหาบิดาของฉันและพูดกับท่านว่า 'นี่คือสิ่งที่โยเซฟ บุตรชายของท่านพูด "พระเจ้าทรงทำให้ฉันเป็นเจ้านายของคนอียิปต์ทั้งหมด ลงมาหาฉัน อย่าได้ชักช้า
10 ท่านจะอาศัยอยู่ในเมืองโกเชน และท่านจะได้อยู่ใกล้ฉัน ท่านและบุตรทั้งหลายของท่าน และพวกหลานของท่าน และฝูงแพะ แกะ และโค และทุกสิ่งที่ท่านมี 11 เราจะจัดให้ท่านที่นั่น เพราะยังเหลือเวลาอีกห้าปีของการกันดารอาหาร ดังนั้นท่านจะไม่ต้องยากจน ท่านและครัวเรือนของท่าน และทุกสิ่งที่ท่านมี'"
12 ดูเถอะ ตาของพวกพี่ และตาของเบนยามิน น้องชายของฉันก็เห็นแล้ว นี่คือคำพูดของฉันที่พูดกับพวกท่าน 13 พวกท่านจะบอกบิดาของฉันเกี่ยวกับเกียรติยศชื่อเสียงของฉันในอียิปต์ และทุกสิ่งที่พวกท่านเห็น ขอให้พวกท่านรีบไปนำบิดาของฉันลงมาที่นี่เถิด" 14 เขากอดคอเบนยามินน้องชายของเขาและร้องไห้ และเบนยามินก็ร้องไห้ที่คอของเขา 15 เขาจูบพวกพี่ชายของเขาทุกคน และร้องไห้กับพวกเขา หลังจากนั้นพวกพี่ชายของเขาก็ได้พูดกับเขา
16 ข่าวเรื่องนี้รู้ไปถึงราชสำนักของฟาโรห์ว่า "พี่น้องของโยเซฟมาถึง" เป็นสิ่งที่ทำให้ฟาโรห์ทรงดีใจรวมทั้งพวกข้าราชบริพารของพระองค์ด้วย 17 ฟาโรห์ตรัสกับโยเซฟว่า "จงพูดกับพวกพี่น้องของเจ้า 'จงทำอย่างนี้ บรรทุกหลังพวกสัตว์ของเจ้า และไปยังแผ่นดินคานาอัน 18 นำบิดาของเจ้า และครัวเรือนของเจ้าและมาพบเรา เราจะให้สิ่งที่ดีของแผ่นดินอียิปต์แก่เจ้า และเจ้าจะได้กินผลอันอุดมสมบูรณ์แห่งแผ่นดิน' 19 บัดนี้เราสั่งเจ้า 'จงทำอย่างนี้ นำขบวนเกวียนบรรทุกของออกจากแผ่นดินอียิปต์เพื่อพวกบุตรของเจ้า และพวกภรรยาของเจ้า นำบิดาของเจ้าและกลับมา 20 อย่ากังวลเกี่ยวกับทรัพย์สินทั้งหลายของเจ้า เพราะว่าสิ่งที่ดีของแผ่นดินอียิปต์ทั้งหมดเป็นของเจ้า'"
21 พวกบุตรชายของอิสราเอลก็ได้ทำอย่างนั้น โยเซฟให้ขบวนเกวียนกับพวกเขาตามพระบัญชาของฟาโรห์ และจัดเตรียมการเดินทางสำหรับพวกเขา 22 สำหรับพวกเขาทุกคน เขาให้เสื้อผ้าสำหรับการเปลี่ยนแก่แต่ละคน แต่สำหรับเบนยามินเขาให้เงินสามร้อยแผ่น และเสื้อผ้าสำหรับการเปลี่ยนห้าชุด 23 สำหรับบิดาของเขา เขาส่งสิ่งต่อไปนี้คือ ลาสิบตัวบรรทุกสิ่งดีๆ ทั้งหลายของอียิปต์ และลาตัวเมียสิบตัวที่บรรทุกข้าว ขนมปัง และสิ่งต่างๆ สำหรับการเดินทางของบิดาของเขา 24 ดังนั้นเขาได้ส่งพี่น้องของเขาออกเดินทาง และพวกเขาก็จากไป เขาพูดกับพวกเขาว่า "นี่แน่ะ พวกท่านอย่าได้ทะเลาะกันระหว่างการเดินทาง"
25 พวกเขาได้ออกไปจากอียิปต์ และมาถึงแผ่นดินคานาอัน มาพบยาโคบ บิดาของพวกเขา 26 พวกเขาบอกกับเขาว่า "โยเซฟยังมีชีวิตอยู่ และเขาเป็นผู้ปกครองเหนือแผ่นดินอียิปต์ทั้งหมด" จิตใจของเขารู้สึกประหลาดใจ เพราะเขาไม่เชื่อในสิ่งที่พวกเขาได้บอกเขา 27 พวกเขาได้บอกเขาทุกคำพูดของโยเซฟที่เขาพูดกับพวกเขา เมื่อยาโคบเห็นรถบรรทุกที่โยเซฟส่งมาบรรทุกเขา จิตวิญญาณของยาโคบ บิดาของพวกเขาก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นอีก 28 อิสราเอลพูดว่า "นี่เพียงพอแล้ว โยเซฟบุตรชายของเรายังมีชีวิตอยู่ เราจะไปและพบเขาก่อนที่เราจะตาย"
1 อิสราเอลเริ่มการเดินทางของเขาพร้อมกับทุกสิ่งที่เขามี และไปยังเบเออร์เชบา ที่นั่นเขาได้ถวายเครื่องบูชาแก่พระเจ้าของอิสอัคบิดาของเขา 2 พระเจ้าตรัสกับอิสราเอลในนิมิตในเวลากลางคืน ตรัสว่า "ยาโคบ ยาโคบ" เขาทูลตอบว่า "ข้าพระองค์อยู่ที่นี่" 3 พระองค์ตรัสว่า "เราคือพระเจ้า พระเจ้าของบิดาเจ้า อย่ากลัวที่จะลงไปอียิปต์ เพราะว่าที่นั่นเราจะทำให้เจ้าเป็นชนชาติที่ยิ่งใหญ่ 4 เราจะลงไปยังอียิปต์กับเจ้า และแน่นอนเราจะนำเจ้ากลับขึ้นมาอีกครั้ง และโยเซฟจะปิดตาของเจ้าด้วยมือของเขาเอง"
5 ยาโคบลุกขึ้นจากเบเออร์เชบา บุตรชายทั้งหลายของอิสราเอลได้พายาโคบบิดาของพวกเขา บุตรทั้งหลายของพวกเขา และภรรยาทั้งหลายของพวกเขา ไปในขบวนเกวียนที่ฟาโรห์ส่งมารับเขา 6 พวกเขาเอาสัตว์เลี้ยง และทรัพย์สินทั้งหลายของพวกเขาที่ได้สะสมในแผ่นดินคานาอัน พวกเขาเข้ามายังอียิปต์ ทั้งยาโคบและเชื้อสายทั้งหมดของเขาก็มากับเขา 7 เขาได้พาบุตรชายทั้งหลายของเขาและหลานชายทั้งหลายของเขา บุตรสาวทั้งหลายของเขา และหลานสาวทั้งหลายของเขา และเชื้อสายทั้งหมดของเขามายังอียิปต์กับเขาด้วย
8 ต่อไปนี้คือบรรดาชื่อบุตรของอิสราเอล ผู้ซึ่งเข้ามายังอียิปต์ ยาโคบและบุตรชายทั้งหลายของเขา รูเบน บุตรชายหัวปีของยาโคบ 9 บุตรชายทั้งหลายของรูเบนคือ ฮาโนค และปัลลู และเฮลโรน และคารมี 10 บุตรชายทั้งหลายของสิเมโอนคือ เยมูเอล ยามีน โอหาด ยาคีน และโศหาร์ และชาอูล บุตรชายของผู้หญิงคนคานาอัน
11 บุตรชายทั้งหลายของเลวีคือ เกอร์โชน โคฮาท และเมราวี 12 บุตรชายทั้งหลายของยูดาห์คือ เอร์ โอนัน เชลาห์ เปเรศ และเศราห์ (แต่เอร์ และโอนันได้เสียชีวิตในแผ่นดินคานาอัน) บุตรชายทั้งหลายของเปเรศคือ เฮสโรน และฮามูล
13 บุตรชายทั้งหลายของอิสสาคาร์คือ โทลา ปูวาห์ โยบ และชิมโรน 14 บุตรชายทั้งหลายของเศบูลุนคือ เสเรด เอโลน และยาเลเอล 15 เหล่านี้คือบุตรชายทั้งหลายของเลอาห์ผู้ซึ่งนางได้ให้กำเนิดแก่ยาโคบในปัดดานอารัม รวมทั้งดีนาห์บุตรหญิงของเขา บุตรชายทั้งหลายของเขาและบุตรหญิงทั้งหลายของเขา นับได้สามสิบสามคน
16 บุตรชายทั้งหลายของกาดคือ ศิฟีโยน ฮักกี ชูนี เอสโบน เอรี อาโรดี และอาเรลี 17 บุตรชายทั้งหลายของอาเชอร์คือ ยิมนาห์ ยิชวาห์ ยิชวี และเบรีอาห์ และน้องสาวของพวกเขาคือ เสราห์ บุตรชายทั้งหลายของเบรีอาห์คือเฮเบอร์ และมัลคีเอล
18 คนเหล่านี้คือบุตรชายทั้งหลายของศิลปาห์ผู้ที่ลาบันได้ยกให้แก่เลอาห์บุตรหญิงของเขา บุตรชายทั้งหลายเหล่านี้นางได้ให้กำเนิดแก่ยาโคบ จำนวนทั้งหมดสิบหกคน 19 บุตรชายทั้งหลายของราเชลภรรยายาโคบคือโยเซฟและเบนยามิน
20 อาเสนัทบุตรหญิงของโปทิเฟรา ปุโรหิตของเมืองโอนได้ให้กำเนิด มนัสเสห์ และเอฟราอิมแก่โยเซฟในอียิปต์ 21 บุตรชายทั้งหลายของเบนยามินคือ เบลา เบคอร์ อัชเบล เกรา นาอามาน เอฮี โรช มัปปิม หุปปิม และอาร์ด 22 คนเหล่านี้คือบุตรชายทั้งหลายของราเชลที่เกิดให้แก่ยาโคบ จำนวนทั้งหมดสิบสี่คน 23 บุตรชายของดานคือ หุชิม
24 บุตรชายทั้งหลายของนัฟทาลีคือ ยาเซเอล กูนี เยเซอร์ และชิลเลม 25 คนเหล่านี้คือบุตรชายทั้งหลายของยาโคบที่ได้เกิดจากบิลฮาห์ผู้ซึ่งลาบันได้ยกให้แก่ราเชลบุตรหญิงของเขา จำนวนทั้งหมดเจ็ดคน
26 บรรดาคนทั้งหมดเหล่านั้นที่ได้ลงไปอียิปต์กับยาโคบ คือบรรดาเชื้อสายทั้งหลายของเขา ไม่นับลูกสะใภ้ของยาโคบ จำนวนทั้งหมดหกสิบหกคน 27 รวมกับบุตรชายสองคนของโยเซฟผู้ซึ่งได้เกิดกับเขาในอียิปต์ จำนวนสมาชิกของครอบครัวเขาที่ได้ลงไปอียิปต์มีทั้งหมดเจ็ดสิบคน
28 ยาโคบส่งยูดาห์ล่วงหน้าเขาไปหาโยเซฟเพื่อนำทางเขาไปยังเมืองโกเชน และเขาทั้งหลายได้เข้ามาถึงแผ่นดินโกเชน 29 โยเซฟจัดเตรียมรถม้าของเขาและขึ้นไปพบอิสราเอลบิดาของเขาในโกเชน โยเซฟเห็นเขา กอดคอเขา และร้องไห้ที่คอของเขาเป็นเวลานาน
30 อิสราเอลพูดกับโยเซฟว่า "บัดนี้เราตายได้แล้ว ตั้งแต่เราได้เห็นหน้าเจ้า ที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่" 31 โยเซฟพูดกับพวกพี่น้องของเขาและครัวเรือนของบิดาเขา "ฉันจะขึ้นไปและทูลกับฟาโรห์ กล่าวว่า 'พวกพี่น้องของข้าพระองค์ และครัวเรือนของบิดาของข้าพระองค์ผู้ซึ่งอยู่ในแผ่นดินคานาอันได้มาหาฉัน
32 พวกผู้ชายทั้งหลายก็เป็นคนเลี้ยงแกะ เพราะว่าพวกเขาเคยเป็นคนเลี้ยงสัตว์ พวกเขานำเอาฝูงสัตว์เลี้ยงของพวกเขา ฝูงแพะ แกะ และทั้งหมดที่พวกเขามีมาด้วย' 33 เมื่อฟาโรห์เรียกหาพวกท่าน และถาม 'พวกเจ้าทำอาชีพอะไร?' 34 พวกท่านควรทูลตอบว่า 'คนรับใช้ทั้งหลายของพระองค์ ทั้งเรา และบรรพบุรุษของเราเคยเลี้ยงสัตว์มาตั้งแต่เราเป็นเด็กจนกระทั่งบัดนี้' จงทำอย่างนี้ แล้วพวกท่านจะได้อาศัยในแผ่นดินโกเชน เพราะคนเลี้ยงสัตว์ทุกคนเป็นที่เกลียดชังของคนอียิปต์
1 จากนั้นโยเซฟเข้าไปเฝ้าฟาโรห์และกราบทูลว่า "บิดาของข้าพระองค์ และพี่น้องของข้าพระองค์ ฝูงวัว และฝูงแกะของพวกเขา และทุกสิ่งที่พวกเขาเป็นเจ้าของ ที่มาจากแผ่นดินคานาอันก็มาถึงแล้ว ดูเถิดพวกเขาอยู่ที่แผ่นดินเมืองโกเชน" 2 เขานำพี่ชายของเขามาห้าคนและแนะนำพวกเขาต่อฟาโรห์
3 ฟาโรห์ตรัสกับพวกพี่ชายทั้งหลายของเขาว่า "พวกเจ้าทำอาชีพอะไร?" พวกเขาทูลตอบฟาโรห์ว่า "พวกคนรับใช้ของพระองค์เป็นคนเลี้ยงสัตว์เหมือนบรรพบุรุษของพวกเรา" 4 จากนั้นพวกเขาทูลตอบฟาโรห์ว่า "พวกเรามาอาศัยที่นี่ ในแผ่นดินนี้เพียงชั่วคราว ไม่มีทุ่งหญ้าสำหรับฝูงสัตว์เลี้ยงของคนรับใช้ทั้งหลายของพระองค์เพราะการกันดารอาหารที่รุนแรงในแผ่นดินคานาอัน มาบัดนี้ขอท่านได้โปรดกรุณาให้คนรับใช้ทั้งหลายของพระองค์อาศัยอยู่ในแผ่นดินเมืองโกเชน"
5 จากนั้นฟาโรห์ทรงกล่าวกับโยเซฟ ตรัสว่า "บิดาของเจ้า และพี่น้องทั้งหลายของเจ้ามาหาเจ้า 6 แผ่นดินอียิปต์ก็อยู่ต่อหน้าเจ้าแล้ว จงจัดการให้บิดาของเจ้าและพี่น้องทั้งหลายของพวกเจ้าในเขตที่ดีที่สุด ในแผ่นดินเมืองโกเชน ถ้าในท่ามกลางพวกเขามีใครที่มีความสามารถ ก็จงตั้งพวกเขาให้ดูแลฝูงสัตว์ของเรา"
7 จากนั้นโยเซฟก็พายาโคบบิดาของเขาเข้าเฝ้าต่อฟาโรห์ ยาโคบก็ถวายพระพรแก่ฟาโรห์ 8 ฟาโรห์ตรัสกับยาโคบว่า "เจ้ามีชีวิตอยู่นานแค่ไหนแล้ว?" 9 ยาโคบทูลต่อฟาโรห์ว่า "ข้าพระองค์ใช้ชีวิตมานานหนึ่งร้อยสามสิบปีแล้ว ปีทั้งหลายของชีวิตของข้าพระองค์นั้นแสนสั้นและเต็มไปด้วยความเจ็บปวด มันไม่ยืนยาวเหมือนบรรพบุรุษทั้งหลายของข้าพระองค์" 10 จากนั้นยาโคบได้ถวายพระพรฟาโรห์และออกไปจากพระพักตร์ของพระองค์
11 แล้วโยเซฟให้บิดาของเขาและพี่น้องทั้งหลายของเขาตั้งถิ่นฐาน เขาให้พื้นที่ในแผ่นดินอียิปต์แก่พวกเขา เป็นพื้นที่ดีที่สุดในแผ่นดินของราเมเสสตามที่ฟาโรห์ทรงรับสั่ง 12 โยเซฟจัดอาหารสำหรับบิดาของเขา พี่น้องของเขา และครัวเรือนทั้งหมดของบิดาของเขาตามจำนวนเชื้อสายของพวกเขา
13 บัดนี้ไม่มีอาหารในแผ่นดินทั้งสิ้น เพราะการกันดารรุนแรงมาก แผ่นดินอียิปต์ และแผ่นดินคานาอันเสียหายเพราะการกันดารอาหาร 14 โยเซฟรวบรวมเงินทั้งหมดที่อยู่ในแผ่นดินอียิปต์ และในแผ่นดินคานาอันด้วยการขายข้าวแก่คนทั้งหลาย จากนั้นโยเซฟนำเงินส่งให้สำนักพระราชวังของฟาโรห์
15 เมื่อเงินทั้งหมดในแผ่นดินอียิปต์และแผ่นดินคานาอันใช้จนหมดแล้ว คนอียิปต์ทั้งหมดได้มาหาโยเซฟกล่าวว่า "ขออาหารให้พวกเราด้วย ทำไมพวกเราจะต้องมาสิ้นชีวิตต่อหน้าท่านเพราะเงินหมด?" 16 โยเซฟกล่าวว่า "ถ้าเงินของพวกเจ้าหมด ก็จงนำฝูงสัตว์เลี้ยงของพวกเจ้ามา และเราจะให้อาหารแก่พวกเจ้าเป็นการแลกเปลี่ยนกับฝูงสัตว์ของพวกเจ้า" 17 ดังนั้นพวกเขาก็นำเอาฝูงสัตว์ของพวกเขามาให้โยเซฟ โยเซฟให้อาหารเป็นการแลกเปลี่ยนกับฝูงม้า ฝูงโค และฝูงแกะ และฝูงลา เขาเลี้ยงพวกเขาด้วยขนมปังเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับฝูงสัตว์ทั้งหมดของพวกเขาในปีนั้น
18 เมื่อหนึ่งปีผ่านไป พวกเขากลับมาหาเขาในปีถัดมาและพูดกับเขาว่า "พวกเราจะไม่ปกปิดเจ้านายของเราอีกต่อไปว่าเงินของพวกเราหมดแล้ว และฝูงสัตว์เลี้ยงของพวกเราก็เป็นของเจ้านายของเราหมด ไม่มีอะไรเหลืออยูในสายตาเจ้านายของพวกเรา นอกจากร่างกายของพวกเราและที่ดินของพวกเรา 19 ทำไมพวกเราจะต้องมาสิ้นชีวิตต่อหน้าต่อตาท่าน ทั้งตัวพวกเราและที่ดินของพวกเราเล่า? จงซื้อตัวพวกเรา และที่ดินของพวกเราเพื่อแลกกับอาหาร และพวกเราและที่ดินของพวกเราจะเป็นพวกคนรับใช้ของฟาโรห์ ขอเมล็ดพืชให้พวกเราเพื่อที่พวกเราจะมีชีวิตอยู่ และไม่ตาย และแผ่นดินนั้นจะไม่ว่างเปล่า"
20 ดังนั้นโยเซฟจึงซื้อที่ดินทั้งหมดของอียิปต์เพื่อฟาโรห์ เพราะคนอียิปต์ทุกคนได้ขายทุ่งนาของเขาเพราะการกันดารอาหารรุนแรงมาก ด้วยวิธีนี้ที่ดินนั้นก็ตกเป็นของฟาโรห์ 21 ประชาชนทั้งหลายทั่วทั้งแผ่นดินอียิปต์ขายตัวเป็นทาสของฟาโรห์ 22 มีเพียงที่ดินของปุโรหิตทั้งหลายเท่านั้นที่โยเซฟไม่ได้ซื้อเพราะว่าพวกปุโรหิตได้รับการเลี้ยงดู พวกเขาได้กินจากการจัดสรรที่ฟาโรห์ประทานให้พวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้ขายที่ดินของพวกเขา
23 จากนั้นโยเซฟพูดกับประชาชนทั้งหลายว่า "ดูเถิด วันนี้เราซื้อตัวพวกเจ้า และที่ดินของพวกเจ้าให้ฟาโรห์ และนี่คือเมล็ดพืชสำหรับพวกเจ้า และพวกเจ้าจะได้เพาะปลูกบนที่ดิน 24 ในการเก็บเกี่ยว พวกเจ้าต้องถวายหนึ่งในห้าแก่ฟาโรห์ และอีกสี่ส่วนจะเป็นของพวกเจ้าเอง เพื่อเป็นเมล็ดพันธ์ุพืชของทุ่งนา และเพื่อเป็นอาหารสำหรับครัวเรือนของพวกเจ้า และบุตรทั้งหลายของพวกเจ้า" 25 เขาทั้งหลายพูดว่า "ท่านได้ช่วยชีวิตพวกเรา ขอให้เราเป็นที่ชอบในสายตาของท่าน เราจะเป็นคนรับใช้ทั้งหลายของฟาโรห์" 26 ดังนั้นโยเซฟได้ทำกฏระเบียบบังคับใช้ทั่วแผ่นดินอียิปต์จนถึงทุกวันนี้ ที่หนึ่งในห้าเป็นของฟาโรห์ มีเพียงที่ดินของปุโรหิตเท่านั้นที่ไม่ได้เป็นของฟาโรห์
27 ดังนั้นอิสราเอลจึงได้อาศัยในแผ่นดินอียิปต์ ในแผ่นดินเมืองโกเชน คนของพวกเขาได้รับสิทธิการเป็นเจ้าของที่นั่น พวกเขาได้เกิดผลและทวีขึ้นอย่างมากมาย 28 ยาโคบอาศัยในแผ่นดินอียิปต์สิบเจ็ดปี ดังนั้นชีวิตของยาโคบคือหนึ่งร้อยสี่สิบเจ็ดปี
29 เมื่อเวลาใกล้จะมาถึงที่อิสราเอลจะเสียชีวิต เขาเรียกบุตรชายของเขา คือโยเซฟเข้ามา และกล่าวกับเขาว่า "ถ้าบัดนี้พ่อเป็นที่ชอบในสายตาของเจ้า จงเอามือของเจ้าวางไว้ใต้ขาอ่อนของพ่อ และแสดงความสัตย์ซื่อ และความน่าไว้วางใจต่อพ่อ ขออย่าฝังพ่อในแผ่นดินอียิปต์ 30 เมื่อพ่อได้ล่วงหลับไปกับเหล่าบรรพบุรุษของพ่อ พวกเจ้าจะต้องนำร่างพ่อออกไปจากแผ่นดินอียิปต์ และฝังพ่อในสุสานของบรรพบุรุษของพ่อ" โยเซฟพูดว่า "ลูกจะทำตามที่พ่อได้พูดแล้ว" 31 อิสราเอลพูดว่า "จงสาบานต่อพ่อ" และโยเซฟก็ไดสบานต่อเขา จากนั้นอิสราเอลก็ได้โน้มตัวลงที่หัวเตียงของเขา
1 หลังจากสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ มีคนหนึ่งได้มาบอกโยเซฟว่า “ดูเถิด บิดาของท่านป่วย” ดังนั้นเขาจึงนำเอาบุตรชายทั้งสองคนของเขาไปกับเขา คือมนัสเสห์ และเอฟราอิม 2 เมื่อยาโคบได้รับการบอกว่า “ดูเถิด โยเซฟ บุตรชายของท่านได้มาถึงเพื่อจะเยี่ยมท่าน” อิสราเอลรวบรวมกำลังและลุกขึ้นนั่งบนเตียง
3 ยาโคบพูดกับโยเซฟว่า “พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ปรากฏแก่พ่อที่ตำบลลูซในแผ่นดินคานาอัน พระองค์ทรงอวยพรพ่อ 4 และตรัสกับพ่อว่า ‘ดูเถิด เราจะทำให้เจ้าเกิดผล และเพิ่มพูนขึ้นอย่างมากมาย เราจะทำให้เจ้าเป็นชุมนุมชนของบรรดาประชาชาติ เราจะประทานแผ่นดินนี้แก่เชื้อสายทั้งหลายของเจ้า เป็นกรรมสิทธิ์ตลอดไป’
5 บัดนี้บุตรชายทั้งสองคนของลูก ผู้ซึ่งได้บังเกิดแก่ลูกในแผ่นดินอียิปต์ก่อนที่พ่อมาหาลูกในอียิปต์ พวกเขาเป็นของพ่อ เอฟราอิม และมนัสเสห์จะเป็นของพ่อ เหมือนที่รูเบนและสิเมโอนเป็นของพ่อ 6 บรรดาบุตรที่ลูกมีหลังจากพวกเขาทั้งหลายจะเป็นของลูก พวกเขาจะถูกจดชื่อไว้ภายใต้ชื่อของพวกพี่น้องของพวกเขาในมรดกของพวกเขา 7 แต่สำหรับพ่อ เมื่อพ่อมาจากปัดดาน ความโศกเศร้าของพ่อต่อราเชลที่เสียชีวิตระหว่างทางที่จะไปแผ่นดินคานาอัน ในขณะที่ยังอยู่ห่างไกลจากเอฟราธาห์ พ่อได้ฝังนางไว้ระหว่างทางที่จะไปยังเอฟราธาห์” (นั่นคือ เบธเลเฮม)
8 เมื่ออิสราเอลเห็นพวกบุตรชายของโยเซฟ เขาพูดว่า “คนเหล่านี้ใครกันเหรอ?” 9 โยเซฟพูดกับบิดาของเขาว่า “พวกเขาคือบุตรชายทั้งหลายของลูก ผู้ซึ่งพระเจ้าประทานให้แก่ลูกที่นี่” อิสราเอลพูดว่า “จงนำพวกเขาเข้ามาหาพ่อเพื่อที่พ่อจะได้อวยพรพวกเขา” 10 บัดนี้ดวงตาของอิสราเอลมืดมัวเพราะความมีอายุมากของเขา ดังนั้นเขาจึงมองไม่เห็น และโยเซฟพาพวกเขาเข้ามาใกล้เขา และเขาจูบพวกเขา และกอดพวกเขา 11 อิสราเอลกล่าวว่ากับโยเซฟว่า “พ่อไม่เคยคาดหวังที่ได้เห็นหน้าของลูกอีก แต่พระเจ้าทรงอนุญาตให้พ่อได้เห็นบุตรทั้งหลายของลูก”
12 โยเซฟนำพวกเขาออกจากระหว่างหัวเข่าของอิสราเอล และจากนั้นเขาก้มหน้าลงถึงพื้น 13 โยเซฟนำพวกเขาทั้งสองคือ เอฟราอิมอยู่ทางขวามือของเขา คืออยู่ทางซ้ายมือของอิสราเอล และมนัสเสห์อยู่ทางซ้ายมือของเขา คืออยู่ทางขวามือของอิสราเอล และนำพวกเขาเข้ามาใกล้เขา 14 อิสราเอลยื่นมือขวาออกและวางบนศีรษะของเอฟราอิม ผู้ซึ่งเป็นน้อง และมือซ้ายของเขาบนศีรษะของมนัสเสห์ เขาไขว้มือของเขาเพราะว่ามนัสเสห์เป็นบุตรหัวปี
15 อิสราเอลอวยพรโยเซฟ กล่าวว่า “ต่อพระพักตร์พระเจ้าผู้ที่บรรพบุรุษของข้าพระองค์ อับราฮัมและอิสอัคได้ติดตาม พระเจ้าผู้ที่ได้ดูแลข้าพระองค์จนถึงทุกวันนี้ 16 ทูตสวรรค์ผู้ที่ปกปักรักษาข้าพระองค์จากอันตรายทั้งปวง ขอให้พระองค์ทรงอวยพระพรเด็กเหล่านี้ ขอให้ชื่อของข้าพระองค์เป็นชื่อของพวกเขา และชื่อของบรรพบุรุษของข้าพระองค์ คืออับราฮัมและอิสอัค ขอให้พวกเขาเติบโตขึ้น ทวีมากขึ้นบนแผ่นดิน"
17 เมื่อโยเซฟเห็นบิดาของเขาวางมือขวาบนศีรษะของเอฟราอิม เขารู้สึกไม่สบายใจ เขาจับมือของบิดาของเขาย้ายจากศีรษะเอฟราอิมไปยังศีรษะของมนัสเสห์ 18 โยเซฟพูดกับบิดาของเขา "ไม่ใช่อย่างนี้ พ่อของลูก เพราะว่านี่คือบุตรหัวปี วางมือขวาของพ่อบนศีรษะของเขาเถิด" 19 บิดาของเขาปฏิเสธ และพูดว่า "พ่อรู้ลูกเอ๋ย พ่อรู้ เขาจะกลายเป็นชนชาติ และเขาจะยิ่งใหญ่ด้วย น้องชายของเขาจะยิ่งใหญ่กว่าเขา และเชื้อสายทั้งหลายของเขาจะทวีคูณกลายเป็นประชาชาติ"
20 อิสราเอลอวยพรพวกเขาในวันนั้นด้วยคำเหล่านี้ "ประชาชนของอิสราเอลจะประกาศการอวยพรโดยชื่อของเจ้า กล่าวว่า 'ขอพระเจ้าทำให้เจ้าเหมือนเอฟราอิม และเหมือนมนัสเสห์'" ด้วยวิธีนี้ อิสราเอลจึงจัดเอฟราอิมไว้ก่อนมนัสเสห์ 21 อิสราเอลพูดกับโยเซฟว่า "ดูเถอะ พ่อกำลังจะตาย แต่พระเจ้าจะทรงอยู่กับลูก และจะทรงนำลูกกลับไปยังดินแดนของบรรพบุรุษทั้งหลายของลูก 22 สำหรับลูก ซึ่งเป็นคนเดียวที่อยู่เหนือบรรดาพี่น้อง พ่อขอมอบที่ลาดภูเขาที่พ่อได้มาจากคนอาโมไรต์ด้วยดาบและธนูของพ่อให้ลูก"
1 จากนั้นยาโคบเรียกหาบุตรชายทั้งหลายของเขาและกล่าวว่า "พวกเจ้าทั้งหลายจงมารวมกัน และเราจะบอกพวกเจ้าถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับพวกเจ้าในอนาคต 2 พวกเจ้าจงมาชุมนุมกันและฟัง บุตรชายทั้งหลายของยาโคบ จงฟังอิสราเอล บิดาของพวกเจ้า
3 รูเบน เจ้าเป็นบุตรหัวปีของเรา เป็นอำนาจของเรา และเป็นจุดเริ่มต้นของกำลังของเรา เป็นเกียรติยศชื่อเสียงที่สำคัญของเรา และเป็นพลังที่สำคัญของเรา 4 เจ้าไม่สามารถควบคุมได้เหมือนน้ำที่ไหลเชี่ยว เจ้าจะไม่ดีกว่าคนอื่นเพราะว่าเจ้าได้ขึ้นไปบนเตียงของบิดาเจ้า จากนั้นเจ้าได้ทำให้มันเป็นมลทิน เจ้าได้ขึ้นไปบนที่นอนของเรา
5 สิเมโอน และเลวี เป็นพี่น้องกัน อาวุธแห่งความรุนแรงคือดาบทั้งหลายของพวกเขา 6 โอ้ จิตวิญญาณของเรา อย่าเข้าไปในที่ชุมนุมของพวกเขา อย่าเข้าร่วมในการประชุมของพวกเขา เพราะจิตใจของเรามีศักดิ์ศรีมากกว่านั้น เพราะว่าความโกรธของพวกเขา พวกเขาได้ฆ่าผู้ชายทั้งหลาย มันเป็นความพอใจที่พวกเขาทำให้พวกวัวตัวผู้ทั้งหลายพิการ 7 ความโกรธของพวกเขาทำให้ถูกแช่ง เพราะว่ามันคือความดุร้าย และความโมโหร้ายของพวกเขา เพราะว่ามันคือความโหดร้าย เราจะแบ่งแยกพวกเขาในยาโคบ และกระจายพวกเขาในอิสราเอล
8 ยูดาห์เอ๋ย พวกพี่น้องจะสรรเสริญเจ้า มือของเจ้าจะอยู่บนคอของเหล่าศัตรูของเจ้า บุตรชายทั้งหลายของบิดาเจ้าจะก้มคำนับลงต่อหน้าเจ้า 9 ยูดาห์เป็นเหมือนลูกของสิงโต บุตรชายของเราเอ๋ย เจ้าได้ขึ้นไปจากเหยื่อของเจ้า เขาได้ก้มลง เขาได้หมอบลงเหมือนสิงโต เหมือนสิงโตตัวเมีย ใครจะกล้าปลุกเขา? 10 ไม้เท้าจะไม่ขาดไปจากยูดาห์ หรือผู้ปกครองจะไม่ขาดไปจากระหว่างเท้าของเขา จนกว่าชีโลห์จะมา ประชาชาติทั้งหลายจะเชื่อฟังผู้นั้น 11 จงผูกลาของเขากับเถาองุ่น และลูกลาตัวผู้ของเขากับเถาองุ่นที่เลือกไว้ เขาได้ซักเสื้อผ้าของเขาในเหล้าองุ่น และเสื้อคลุมของเขาในเลือดแห่งผลองุ่นทั้งหลาย 12 ดวงตาของเขาจะมีสีเข้มเหมือนเหล้าองุ่น และฟันของเขาจะขาวเหมือนน้ำนม
13 เศบูลุนจะอาศัยอยู่ริมชายทะเล เขาจะเป็นท่าเรือสำหรับเรือทั้งหลาย และอาณาเขตของเขาจะขยายออกไปถึงไซดอน 14 อิสสาคาร์เป็นลาที่มีกำลังแข็งแรง กำลังนอนอยู่ระหว่างคอกแกะทั้งหลาย 15 เขาเห็นที่พักผ่อนที่ดี และแผ่นดินที่น่าพึงพอใจ เขาจะลดไหล่ของเขาลงเพื่อรับแอก และกลายเป็นคนรับใช้สำหรับงานนั้น
16 ดานจะพิพากษาประชาชนของเขา เหมือนเผ่าหนึ่งของอิสราเอล 17 ดานจะเป็นงูตัวหนึ่งที่อยู่ข้างทาง งูพิษตัวหนึ่งในทางนั้นที่จะกัดส้นเท้าม้า ทำให้ผู้ที่ขี่ม้าหงายหลังตก 18 ข้าแต่พระยาห์เวห์ ข้าพระองค์รอคอยการช่วยกู้ของพระองค์
19 กาดเอ๋ย ผู้กดขี่จะจู่โจมเขา แต่เขาจะโจมตีพวกเขาที่ส่วนหลังของพวกเขา 20 อาหารของอาเซอร์จะสมบูรณ์ และเขาจะจัดอาหารสำหรับกษัตริย์ 21 นัฟทาลีจะเป็นกวางตัวเมียที่ถูกปล่อย เขาจะมีลูกกวางที่สวยงาม
22 โยเซฟเป็นกิ่งที่เกิดผล กิ่งที่เกิดผลที่อยู่ใกล้บ่อน้ำ ที่มีกิ่งทั้งหลายเลื้อยอยู่บนกำแพง 23 พวกพลธนูจะโจมตีเขาและยิงไปที่เขา และข่มขู่เขา 24 แต่ธนูของเขาจะยังคงตั้งตรง และมือของเขาเต็มไปด้วยความชำนาญเพราะพระหัตถ์ขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ของยาโคบเพราะชื่อของพระผู้เลี้ยง พระศิลาของของอิสราเอล 25 พระเจ้าของบิดาเจ้าจะทรงช่วยเจ้า และพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์จะทรงอวยพรเจ้าด้วยพระพรของท้องฟ้าเบื้องบน พระพรแห่งที่ลึกที่อยู่ข้างใต้ และพระพรแห่งเต้านมและครรภ์ 26 พระพรแห่งบิดาของเจ้ายิ่งใหญ่กว่าพระพรแห่งภูเขาโบราณ หรือสิ่งทั้งหลายที่น่าปรารถนาของเนินเขาโบราณทั้งหลาย ให้พระพรทั้งหลายอยู่บนศีรษะของโยเซฟ แม้กระทั่งบนกระหม่อมของเจ้าชายแห่งพี่น้องทั้งหลายของเขา
27 เบนยามินเป็นสุนัขป่าที่หิวโหย ในตอนเช้าเขาจะกลืนกินเหยื่อ และในตอนเย็นเขาจะแบ่งสิ่งที่ปล้นมา" 28 คนเหล่านี้คือคนอิสราเอลทั้งสิบสองเผ่า นี่คือสิ่งที่บิดาของพวกเขาได้พูดกับพวกเขา เมื่อเขาได้อวยพรพวกเขา เขาได้อวยพรแต่ละคนด้วยคำอวยพรที่เหมาะสม
29 จากนั้นยาโคบได้สั่งพวกเขาและพูดกับพวกเขา "เรากำลังจะไปอยู่กับบรรพบุรุษของเรา จงฝังเรากับบรรพบุรุษทั้งหลายของเราในถ้ำที่อยู่ในทุ่งนาของเอโฟรนคนฮิตไทต์ 30 ในถ้ำที่อยู่ในทุ่งนาของมัคเปลาห์ ซึ่งอยู่ใกล้มัมเรในแผ่นดินคานาอัน ทุ่งนาที่อับราฮัมได้ซื้อเพื่อเป็นสุสานจากเอโฟรนคนฮิตไทต์ 31 ที่นั่นพวกเขาได้ฝังอับราฮัมและซาราห์ผู้เป็นภรรยาของเขา ที่นั่นพวกเขาได้ฝังอิสอัคและเรเบคาห์ผู้เป็นภรรยาของเขา และที่นั่นเราได้ฝังเลอาห์ 32 ทุ่งนาและถ้ำที่อยู่ในที่นั้นถูกซื้อจากคนฮิตไทต์" 33 เมื่อยาโคบสั่งเสียบุตรชายทั้งหลายของเขาเสร็จ เขาดึงเท้าของเขาขึ้นบนเตียง หายใจเฮือกสุดท้าย และไปอยู่กับบรรพบุรุษของเขา
1 แล้วโยเซฟก็โศกเศร้าเสียใจเป็นอย่างมาก เขาทรุดตัวซบลงบนใบหน้าของบิดาของเขา และเขาร้องไห้บนร่างของเขาและจูบเขา 2 โยเซฟสั่งคนรับใช้ของเขาซึ่งเป็นหมอให้อาบยาศพบิดาของเขา ดังนั้นพวกหมอจึงได้อาบยาศพอิสราเอล 3 พวกเขาใช้เวลาสี่สิบวัน เพราะนั่นคือเวลาการอาบยาศพ คนอียิปต์ทั้งหลายไว้ทุกข์เพื่อเขาเป็นเวลาเจ็ดสิบวัน
4 เมื่อเวลาการไว้ทุกข์ผ่านไป โยเซฟพูดกับข้าราชสำนักของฟาโรห์ กล่าวว่า "ถ้าบัดนี้ข้าพเจ้าเป็นที่ชอบในสายตาของพวกท่าน ขอได้โปรดทูลฟาโรห์ว่า 5 'บิดาของเราได้ให้เราสาบานว่า "ดูเถิดเรากำลังจะตาย จงฝังเราในอุโมงค์ที่เราขุดไว้สำหรับตัวเราเองในแผ่นดินคานาอัน พวกเจ้าจงฝังเราไว้ที่นั่น" บัดนี้ขอให้เราขึ้นไปและฝังบิดาของเรา และจากนั้นเราจะกลับมา'" 6 ฟาโรห์ตรัสตอบว่า "ไปเถิด และจงฝังบิดาของเจ้า ดังที่เขาให้เจ้าสาบานไว้"
7 โยเซฟขึ้นไปฝังบิดาของเขา ข้าราชการทั้งหมดของฟาโรห์ก็ไปกับเขาคือ ข้าราชสำนักทั้งหลายของฟาโรห์ ข้าราชการผู้ใหญ่ทั้งหมดของแผ่นดินอียิปต์ 8 พร้อมด้วยครัวเรือนทั้งหมดของโยเซฟและพวกพี่น้องของเขา และครัวเรือนของบิดาของเขา ยกเว้นบุตรทั้งหลายของพวกเขา ฝูงวัวและฝูงแกะทั้งหลายของพวกเขาถูกละไว้ที่แผ่นดินเมืองโกเชน 9 ขบวนรถรบทั้งหลายและนักรบทั้งหลายก็ไปกับเขาด้วย นับเป็นคนกลุ่มใหญ่ 10 เมื่อพวกเขามาถึงลานนวดข้าวแห่งอาทาด บนอีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดน พวกเขาร้องคร่ำครวญมากมาย และโศกเศร้าเสียใจอย่างยิ่ง ที่นั่นโยเซฟให้มีการร้องคร่ำครวญเพื่อบิดาของเขาเป็นเวลาเจ็ดวัน
11 เมื่อคนคานาอันที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินนั้นเห็นการคร่ำครวญที่ลานนวดข้าวแห่งอาทาด พวกเขาพูดว่า "นี่คือวาระแห่งความเสียใจอย่างยิ่งสำหรับคนอียิปต์ทั้งหลาย" นั่นคือสาเหตุที่เรียกชื่อสถานที่นั้น ซึ่งอยู่อีกฝากหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดนว่า อาเบล มิสราอิม 12 ดังนั้นบุตรชายทั้งหลายของเขาได้กระทำเพื่อยาโคบตามที่เขาได้สั่งพวกเขาไว้ 13 บุตรชายทั้งหลายของเขานำเขามายังแผ่นดินคานาอันและฝังเขาในถ้ำในทุ่งนาของมัคเปลาห์ ใกล้มัมเร อับราฮัมได้ซื้อถ้ำนั้นกับทุ่งนาเพื่อเป็นสุสาน เขาซื้อจากเอโฟรนคนฮิตไทต์ 14 หลังจากที่เขาฝังบิดาของเขาแล้ว โยเซฟก็กลับไปยังอียิปต์ เขาและพวกพี่น้องของเขา และทั้งหมดผู้ที่เดินทางร่วมไปกับเขาเพื่อฝังบิดาของเขา
15 เมื่อพวกพี่ชายของโยเซฟเห็นว่าบิดาของพวกเขาเสียชีวิตแล้ว พวกเขาพูดว่า "อะไรจะเกิดขึ้นถ้าโยเซฟยังโกรธพวกเราและต้องการแก้แค้นพวกเราอย่างเต็มที่สำหรับสิ่งที่ชั่วร้ายที่พวกเราได้กระทำไว้กับเขา?" 16 ดังนั้นพวกเขาจึงให้คนไปหาโยเซฟเพื่อกล่าวว่า "บิดาของท่านสั่งไว้ก่อนที่ท่านจะตายว่า 17 'จงบอกโยเซฟดังนี้ "ขอให้ยกโทษการละเมิดของพวกพี่ชายของเจ้าและความบาปของพวกเขาที่พวกเขาได้กระทำสิ่งที่ชั่วร้ายต่อเจ้า"' บัดนี้ขอให้ยกโทษพวกคนรับใช้ของพระเจ้าของบิดาของท่าน" โยเซฟร้องไห้เมื่อคนเหล่านั้นพูดกับเขา
18 พวกพี่ชายไปและก้มหน้าต่อโยเซฟด้วย พวกเขาพูดว่า "ดูเถิด พวกเราเป็นคนรับใช้ทั้งหลายของท่าน" 19 แต่โยเซฟตอบพวกเขาว่า "อย่ากลัวเลย น้องเป็นพระเจ้าหรือ? 20 สำหรับพวกพี่ พวกพี่ได้มุ่งร้ายต่อน้อง แต่พระเจ้าทรงกระทำให้เกิดผลดี เพื่อรักษาชีวิตคนจำนวนมาก ดังที่พวกพี่ๆ เห็นทุกวันนี้ 21 บัดนี้อย่ากลัวเลย น้องจะจัดการดูแลพวกพี่ๆ และบุตรทั้งหลายของพวกพี่" เขาได้ปลอบใจพวกเขาด้วยวิธีนี้และพูดอย่างเมตตาต่อจิตใจของพวกเขา
22 โยเซฟใช้ชีวิตอยู่ในอียิปต์กับครอบครัวของบิดาของเขา เขามีชีวิตอยู่หนึ่งร้อยสิบปี 23 โยเซฟเห็นบุตรทั้งหลายของเอฟราอิมถึงรุ่นที่สาม เขาเห็นบุตรทั้งหลายของมาคีร์บุตรชายของมนัสเสห์ ผู้ซึ่งถูกวางบนเข่าของโยเซฟ 24 โยเซฟพูดกับพวกพี่น้องของเขาว่า "เรากำลังจะตาย แต่แน่นอนพระเจ้าจะมาเยี่ยมพวกท่านและนำพวกท่านออกไปจากแผ่นดินนี้ไปยังแผ่นดินที่พระองค์ทรงสัญญาที่จะประทานให้แก่อับราฮัม แก่อิสอัคและแก่ยาโคบ" 25 แล้วโยเซฟก็ให้คนอิสราเอลให้คำสัตย์สาบาน เขาพูดว่า "แน่นอนพระเจ้าจะมาเยี่ยมพวกท่าน ในเวลานั้นพวกท่านต้องนำกระดูกของเราไปจากที่นี่" 26 ดังนั้นโยเซฟได้เสียชีวิตเมื่ออายุ 110 ปี พวกเขาอาบยาศพเขา และเขาถูกใส่ไว้ในโลงในอียิปต์
1 เหล่านี้เป็นบัญชีรายชื่อบุตรชายของอิสราเอลที่เข้ามาอยู่ในอียิปต์กับยาโคบและครอบครัวของตน 2 คือ รูเบน สิเมโอน เลวี และยูดาห์ 3 อิสสาคาร์ เศบูลุน และเบนยามิน 4 ดาน นัฟทาลี กาดและอาเชอร์ 5 คนทั้งหมดต่างเป็นเชื้อสายของยาโคบรวมเจ็ดสิบคนด้วยกัน เว้นโยเซฟนั้นอยู่ในอียิปต์แล้ว
6 หลังจากนั้นโยเซฟกับพี่ชายและน้องชาย ทั้งคนยุคทั้งหมดนั้นได้ถึงแก่ความตาย 7 ฝ่ายชาวอิสราเอลก็ได้มีลูกดก เพิ่มจำนวนขึ้น และมีกำลังมากขึ้นจนทั่วดินแดนนั้น
8 บัดนี้มีกษัตริย์องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์เหนือประเทศอียิปต์ พระองค์ทรงไม่รู้จักโยเซฟ 9 พระองค์ตรัสกับประชาชนของพระองค์ว่า “ดูสิ คนอิสราเอลมีจำนวนมากและมีแข็งแรงกว่าพวกเราอีก 10 มาเถิด ให้พวกเราหาอุบายอย่างชาญฉลาดจัดการพวกเขา ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะทวีมากขึ้น แล้วถ้าเมื่อใดเกิดสงครามขึ้น พวกเขาจะสมทบกับพวกข้าศึกสู้รบกับพวกเรา และจะออกไปจากดินแดนนี้”
11 ดังนั้นคนอียิปต์จึงตั้งนายงานบังคับชาวอิสราเอลให้ทำงานหนัก ชาวอิสราเอลสร้างบรรดาเมืองท้องพระคลังสำหรับฟาโรห์คือ เมืองปิธมและเมืองราเมเสส 12 แต่ยิ่งชาวอียิปต์บังคับพวกเขามากเท่าไร ชาวอิสราเอลก็ยิ่งเพิ่มจำนวน และยิ่งขยายออกไปอีกเท่านั้น เพราะฉะนั้นชาวอียิปต์จึงเริ่มหวั่นกลัวต่อชาวอิสราเอล
13 ชาวอียิปต์จึงบังคับพวกอิสราเอลให้ทำงานอย่างหนัก 14 พวกเขาทำให้ชีวิตของคนอิสราเอลขมขื่นด้วยงานยากลำบากด้วยการทำปูนสอและอิฐ และทำงานทั้งหมดในนา งานที่พวกเขาถูกบังคับให้ทำล้วนหนักทั้งสิ้น
15 แล้วกษัตริย์อียิปต์ก็ทรงมีรับสั่งแก่พวกหมอตำแยชาวฮีบรูคนหนึ่งชื่อชิฟราห์ และอีกคนชื่อปูอาห์ 16 พระองค์ตรัสว่า “เมื่อเจ้าไปทำคลอดให้หญิงฮีบรูและคอยสังเกตดูเมื่อเห็นพวกเขาคลอด ถ้าเป็นบุตรชายก็ให้ฆ่า แต่ถ้าเป็นบุตรสาวก็ให้เว้นชีวิตไว้” 17 แต่พวกหมอตำแยเกรงกลัวพระเจ้า จึงไม่ได้ทำตามพระบัญชากษัตริย์อียิปต์ที่สั่งพวกนาง แต่พวกนางได้ปล่อยให้พวกเด็กทารกชายมีชีวิตรอด
18 กษัตริย์อียิปต์จึงมีรับสั่งให้พวกหมอตำแยเข้าเฝ้าและตรัสว่า “ทำไมพวกเจ้าจึงปล่อยให้พวกเด็กทารกชายรอดชีวิตเช่นนั้น?” 19 พวกหมอตำแยจึงทูลฟาโรห์ว่า “เพราะพวกหญิงฮีบรูไม่เหมือนพวกหญิงอียิปต์ พวกนางแข็งแรง จึงคลอดเสร็จก่อนที่หมอตำแยจะไปถึงพวกเขา”
20 พระเจ้าจึงได้ทรงปกป้องพวกหมอตำแยนั้น ประชาชนจึงยิ่งเพิ่มจำนวนขึ้นและมีกำลังเข้มแข็งมาก 21 เพราะพวกหมอตำแยนั้นยำเกรงพระเจ้า พระองค์จึงประทานครอบครัวให้พวกนาง 22 ฟาโรห์มีรับสั่งแก่ประชาชนของพระองค์ว่า “บุตรชายฮีบรูทุกคนที่เกิดมา พวกเจ้าจงเอาไปทิ้งเสียในแม่น้ำ แต่บุตรสาวทุกคนให้มีชีวิตได้”
1 บัดนี้ชายเผ่าเลวีคนหนึ่งแต่งงานกับหญิงสาวเผ่าเลวีคนหนึ่ง 2 หญิงนั้นตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรชาย เมื่อนางเห็นว่าเขาเป็นเด็กสมบูรณ์ดี นางจึงซ่อนเขาไว้เป็นเวลาสามเดือน
3 แต่เมื่อนางไม่สามารถซ่อนเขาต่อไปอีกได้ นางจึงนำเอาตะกร้าที่สานด้วยต้นกกมาและฉาบด้วยน้ำมันดินและชัน แล้วนางได้นำเด็กนั้นใส่ลงในตะกร้า และนำไปวางไว้ที่กอต้นกกในน้ำที่ริมฝั่งแม่น้ำ 4 พี่สาวของเด็กนั้นยืนอยู่ห่างๆ เพื่อคอยดูว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นกับเขา
5 เมื่อพระธิดาของฟาโรห์ได้เสด็จลงสรงที่แม่น้ำ ในขณะที่พวกสาวใช้เดินเลาะตามริมฝั่งแม่น้ำ พระนางทรงเห็นตะกร้านั้นอยู่กลางกอต้นกก จึงส่งสาวใช้ให้ไปนำมา 6 เมื่อพระนางทรงเปิดตะกร้าก็ทรงเห็นเด็กนั้น ดูสิ ทารกกำลังร้องไห้อยู่ พระนางทรงเวทนาเด็ก และตรัสว่า “นี่เป็นลูกคนฮีบรูคนหนึ่งแน่ทีเดียว”
7 แล้วพี่สาวของทารกนั้นจึงทูลพระธิดาของฟาโรห์ว่า “จะให้หม่อมฉันไปหาหญิงชาวฮีบรูมาเลี้ยงเด็กนี้แก่พระนางไหม?” 8 พระธิดาของฟาโรห์จึงมีรับสั่งว่า “ไปสิ” เด็กผู้หญิงจึงไปและนำมารดาของเด็กมา
9 พระธิดาของฟาโรห์ตรัสสั่งกับมารดาของทารกว่า “จงรับเด็กคนนี้ไปและเลี้ยงเขาไว้ให้เรา และเราจะให้ค่าจ้างแก่เจ้า” ดังนั้นหญิงนั้นจึงรับเด็กและเลี้ยงเขาไว้ 10 เมื่อเด็กนั้นได้เจริญวัย เธอก็นำเขามาถวายให้พระธิดาของฟาโรห์ และเขาจึงกลายเป็นบุตรของพระนาง พระนางประทานนามให้เขาว่า โมเสส แล้วตรัสว่า “เพราะเราได้ดึงเขาขึ้นมาจากน้ำ”
11 เมื่อโมเสสเติบโตขึ้น เขาได้ออกไปหาพวกพี่น้อง และเห็นพวกเขาทำงานอย่างตรากตรำ เขาเห็นชาวอียิปต์คนหนึ่งกำลังตีชาวฮีบรูคนหนึ่ง ซึ่งเป็นชนชาติเดียวกับเขา 12 เขามองไปรอบๆ และเมื่อเขาเห็นว่าไม่มีใครอยู่ที่นั่น เขาจึงได้ฆ่าชาวอียิปต์นั้นเสียแล้วจึงได้ซ่อนศพไว้ในทราย
13 เขาได้ออกไปข้างนอกในวันต่อมา และ ดูสิ ชายชาวฮีบรูสองคนกำลังต่อสู้กันอยู่ เขาจึงพูดกับคนที่ทำผิดนั้นว่า “เจ้าตีพี่น้องของเจ้าเองทำไม?” 14 แต่ชายคนนั้นตอบว่า “ใครตั้งท่านให้เป็นผู้นำและเป็นผู้ตัดสินเหนือพวกเรา? ท่านกำลังวางแผนจะฆ่าข้าเหมือนที่ท่านได้ฆ่าชาวอียิปต์คนนั้นหรือ?” แล้วโมเสสก็กลัวและพูดว่า “สิ่งที่เราได้ทำลงไปคงรู้กันทั่วแล้วแน่ๆ”
15 บัดนี้เมื่อฟาโรห์ได้ทรงทราบเรื่องนี้ พระองค์จึงพยายามสังหารโมเสส แต่โมเสสหนีจากฟาโรห์ไปอยู่ในดินแดนมีเดียน ที่นั่นเขานั่งลงที่ข้างบ่อน้ำแห่งหนึ่ง 16 บัดนี้ปุโรหิตชาวมีเดียนผู้หนึ่งมีบุตรสาวเจ็ดคน พวกเธอพากันมาตักน้ำไปเติมรางน้ำให้ฝูงแกะของบิดากิน 17 เมื่อพวกคนเลี้ยงแกะมาถึงก็ไล่พวกเธอให้พ้นทาง แต่โมเสสได้เข้าไปช่วยพวกเธอ แล้วเขายังให้น้ำดื่มแก่แกะของพวกเธอด้วย
18 เมื่อหญิงสาวเหล่านั้นกลับไปหาเรอูเอลผู้เป็นบิดาของพวกเธอ เขาถามว่า “ทำไมวันนี้พวกเจ้าจึงกลับบ้านเร็วนัก?” 19 พวกเธอตอบว่า “มีชาวอียิปต์คนหนึ่งช่วยพวกเราจากพวกคนเลี้ยงแกะ ทั้งเขายังตักน้ำให้พวกเรา และให้ฝูงแกะกินด้วย” 20 เขาจึงได้กล่าวกับพวกบุตรสาวของเขาว่า “ชายคนนั้นอยู่ที่ใด? เหตุใดพวกเจ้าจึงทิ้งชายคนนั้นไว้? จงไปเรียกเขามารับประทานอาหารกับพวกเรา”
21 โมเสสจึงตกลงใจอาศัยอยู่กับชายผู้นี้จึงได้ยกศิปโปราห์บุตรสาวให้แต่งงานกับเขา 22 นางได้คลอดบุตรชายคนหนึ่ง และโมเสสตั้งชื่อเขาว่า เกอร์โชม และท่านพูดว่า “ข้าพเจ้าเป็นผู้อาศัยอยู่ในดินแดนของคนต่างชาติ”
23 ครั้นเวลาก็ล่วงมาช้านาน กษัตริย์อียิปต์ก็สวรรคต ชนชาติอิสราเอลต่างคร่ำครวญเพราะการเป็นแรงงานทาส เขาทั้งหลายร้องขอความช่วยเหลือและคำวิงวอนของพวกเขาก็ขึ้นไปถึงพระเจ้าเพราะเหตุการเป็นทาสของพวกเขา 24 เมื่อพระเจ้าทรงได้ยินเสียงร้องโอดครวญของพวกเขา พระเจ้าทรงระลึกถึงพันธสัญญาที่ได้ทรงทำไว้กับอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ 25 พระเจ้าทอดพระเนตรชนชาติอิสราเอล แล้วพระองค์ทรงทราบถึงสภาพความเป็นไปของพวกเขา
1 ขณะที่โมเสสยังคงกำลังเลี้ยงฝูงแกะของเยโธรพ่อตาของเขาผู้เป็นปุโรหิตของชาวมีเดียน โมเสสได้นำฝูงแกะไปไกลอีกฟากหนึ่งของถิ่นทุรกันดารและมาถึงโฮเรบภูเขาของพระเจ้า 2 ณ ที่นั่นทูตสวรรค์ของพระยาห์เวห์ก็ปรากฏแก่เขาในเปลวไฟในพุ่มไม้ โมเสสมองดู และดูเถิด พุ่มไม้กำลังมีไฟไหม้อยู่แต่พุ่มไม้นั้นไม่ถูกเผาไหม้ 3 โมเสสพูดว่า “ข้าจะแวะไปและดูสิ่งแปลกประหลาดนี้ ว่าทำไมพุ่มไม้จึงไม่ถูกเผาไหม้”
4 เมื่อพระยาห์เวห์ทอดพระเนตรว่าเขาได้เข้ามาดู พระเจ้าจึงทรงเรียกเขาจากพุ่มไม้นั้นและตรัสว่า “โมเสส โมเสส” โมเสสทูลตอบว่า “ข้าพระองค์อยู่ที่นี่” 5 พระเจ้าตรัสว่า “อย่าเข้ามาใกล้กว่านี้ จงถอดรองเท้าของเจ้าออกจากเท้าของเจ้า เพราะว่าตรงที่เจ้ากำลังยืนอยู่นี้เป็นที่ตั้งไว้เพื่อเรา” 6 พระองค์ตรัสเพิ่มว่า “เราคือพระเจ้าของบิดาเจ้า พระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบ” แล้วโมเสสก็ปิดหน้าของเขาเพราะเขากลัวที่จะมองดูพระเจ้า
7 พระยาห์เวห์ตรัสว่า “แน่นอนเราได้เห็นความทุกข์ยากของประชาชนของเราที่อยู่ในอียิปต์แล้ว เราได้ยินเสียงร้องของพวกเขา เนื่องจากพวกนายงานของเขา เพราะเรารับรู้ถึงความทุกข์ยากของพวกเขา 8 เราจึงลงมาเพื่อจะปลดปล่อยพวกเขาให้เป็นอิสระจากอำนาจของชาวอียิปต์ และนำพวกเขาออกจากดินแดนนั้น ไปยังดินแดนที่ดีและกว้างขวาง ไปยังดินแดนที่มีน้ำนมและน้ำผึ้งไหล ไปยังที่อยู่ของชาวคานาอัน ชาวฮิตไทต์ ชาวอาโมไรต์ ชาวเปริสซี ชาวฮีไวต์ และชาวเยบุส
9 บัดนี้เสียงร้องของประชาชนอิสราเอลได้มาถึงเราแล้ว ยิ่งกว่านั้นเราได้เห็นการกดขี่จากชาวอียิปต์ 10 แล้วบัดนี้ เราจะส่งเจ้าไปเข้าเฝ้าฟาโรห์ เพื่อเจ้าจะได้นำชนชาติอิสราเอลประชาชนของเราออกจากอียิปต์”
11 แต่โมเสสทูลพระเจ้าว่า “ข้าพระองค์เป็นใครเล่า ที่จะบังควรไปเข้าเฝ้าฟาโรห์และนำชนชาติอิสราเอลออกจากอียิปต์?” 12 พระเจ้าตรัสตอบว่า “เราจะอยู่กับเจ้าแน่ นี่จะเป็นหมายสำคัญต่อเจ้าที่เราส่งเจ้าไป เมื่อเจ้าได้นำประชาชนออกจากอียิปต์แล้ว พวกเจ้าจะมานมัสการเราบนภูเขานี้”
13 โมเสสทูลพระเจ้าว่า “เมื่อข้าพระองค์ไปหาชนชาติอิสราเอล และบอกพวกเขาว่า ‘พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของพวกเจ้าทรงใช้ให้ข้าพเจ้ามาหาพวกเจ้า’ และพวกเขาจะถามข้าพระองค์ว่า ‘พระองค์ทรงพระนามอะไร?’ ข้าพระองค์ควรจะตอบพวกเขาว่าอย่างไร?” 14 พระเจ้าจึงตรัสกับโมเสสว่า “เราเป็นผู้ซึ่งเราเป็น” พระเจ้าตรัสว่า “เจ้าต้องพูดกับชนชาติอิสราเอลว่า ‘เราเป็น ได้ส่งข้าพเจ้ามาหาท่านทั้งหลาย’ ” 15 พระเจ้าจึงตรัสกับโมเสสอีกว่า “เจ้าต้องกล่าวแก่ชนชาติอิสราเอลว่า ‘พระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของพวกเจ้า พระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบ ทรงใช้ให้ข้าพเจ้ามาหาพวกเจ้า’ นี่เป็นนามของเราตลอดไป และคนทุกรุ่นจะจดจำเราในนามนี้
16 จงไปและรวบรวมพวกผู้อาวุโสของอิสราเอลให้มารวมกัน พูดกับพวกเขาว่า ‘พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของพวกเจ้า พระเจ้าของอับราฮัม ของอิสอัค และของยาโคบ ทรงมาสำแดงพระองค์แก่ข้าพเจ้าและตรัสว่า “ โดยแท้จริงแล้วเราได้เฝ้าดูพวกเจ้าและได้เห็นสิ่งที่ได้เกิดขึ้นกับพวกเจ้าในอียิปต์ 17 เราได้สัญญาไว้ที่จะนำเจ้าออกจากการกดขี่ในอียิปต์ ไปยังดินแดนของชาวคานาอัน ชาวฮิตไทต์ ชาวอาโมไรต์ ชาวเปริสซี ชาวฮีไวต์ และชาวเยบุส ไปยังดินแดนซึ่งมีน้ำนมและน้ำผึ้ง”' 18 พวกเขาจะเชื่อฟังเจ้า เจ้ากับพวกผู้อาวุโสของอิสราเอลต้องไปเข้าเฝ้ากษัตริย์อียิปต์และพวกเจ้าต้องทูลว่า ‘พระยาห์เวห์พระเจ้าของคนฮีบรู ทรงปรากฏแก่พวกข้าพระองค์ บัดนี้ ขอได้โปรดให้พวกข้าพระองค์เดินทางไปในแดนทุรกันดารสักสามวัน เพื่อที่ว่าพวกข้าพระองค์จะได้ถวายสักการะบูชาแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกข้าพระองค์’
19 แต่เรารู้ว่ากษัตริย์อียิปต์จะไม่ยอมปล่อยให้พวกเจ้าไป เว้นแต่มือของเขาจะถูกบังคับ 20 เราจะเหยียดมือของเราออกและต่อสู้ชาวอียิปต์ด้วยการอัศจรรย์ทุกอย่าง ที่เราจะทำท่ามกลางพวกเขา หลังจากนั้น เขาก็จะยอมปล่อยพวกเจ้าไป 21 เราจะให้ประชาชนเป็นที่พึงพอใจของคนอียิปต์ ดังนั้นเมื่อพวกเจ้าออกไป เจ้าก็จะไม่ต้องไปมือเปล่า 22 ผู้หญิงทุกคนจะเรียกร้องอัญมณีเงินและทองและเสื้อผ้าจากพวกเพื่อนบ้านชาวอียิปต์ และจากพวกผู้หญิงคนอื่นๆที่อาศัยอยู่ในบ้านของเพื่อนบ้านนั้น พวกเจ้าจะเอาของพวกนี้ไปสวมให้พวกบุตรชายและพวกบุตรหญิงของพวกเจ้า ด้วยวิธีนี้พวกเจ้าจะได้ริบเอาจากพวกชาวอียิปต์
1 โมเสสจึงทูลตอบว่า “แต่จะเป็นอย่างไรหากพวกเขาไม่เชื่อข้าพระองค์หรือฟังเสียงของข้าพระองค์เลย แต่กลับพูดว่า ‘พระยาห์เวห์ไม่ได้ทรงปรากฏแก่ท่านหรอก’?” 2 พระยาห์เวห์จึงตรัสกับเขาว่า “อะไรอยู่ในมือของเจ้าล่ะ?” โมเสสทูลว่า “ไม้เท้า พระเจ้า” 3 พระยาห์เวห์ตรัสว่า “จงโยนลงที่พื้น” โมเสสจึงโยนไม้เท้าลงบนพื้น และไม้เท้านั้นก็กลายเป็นงูตัวหนึ่ง โมเสสก็หนีจากงูนั้น
4 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “จงเอื้อมมือไปจับหางมันไว้” เขาจึงเอื้อมมือและจับงูไว้ มันก็กลายเป็นไม้เท้าอยู่ในมือของเขาอีกครั้ง 5 “ทั้งนี้ เพื่อพวกเขาจะได้เชื่อว่าพระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษพวกเขา คือพระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบ ทรงสำแดงพระองค์แก่เจ้าแล้ว”
6 พระยาห์เวห์ตรัสกับเขาอีกว่า “บัดนี้ จงเอามือสอดไว้ในเสื้อคลุมของเจ้า” โมเสสก็สอดมือไว้ที่ในเสื้อคลุม เมื่อเขาดึงมือออก ดูสิ มือของเขาก็เป็นโรคเรื้อนขาวดั่งหิมะ 7 พระยาห์เวห์จึงตรัสว่า “เอามือของเจ้าสอดไว้ในเสื้อคลุมอีกครั้งหนึ่ง” ฉะนั้นโมเสสก็สอดมือเข้าไปในเสื้อคลุมของเขา แล้วเมื่อเขาดึงออกมา เขาเห็นว่ามือกลับเป็นปกติอีกครั้ง เหมือนกับส่วนอื่นๆ ของร่างกายของเขา
8 พระยาห์เวห์ตรัสว่า “ถ้าพวกเขาไม่เชื่อเจ้า และไม่ใส่ใจหมายสำคัญแห่งฤทธิ์อำนาจของเราในครั้งแรกนี้ หรือเชื่อในหมายสำคัญนั้น พวกเขาจะเชื่อหมายสำคัญในครั้งที่สอง 9 ถ้าแม้พวกเขาไม่ใส่ใจหมายสำคัญแห่งฤทธิ์อำนาจของเราในทั้งสองครั้งนี้ หรือไม่ฟังเสียงของเจ้า จงตักน้ำจากแม่น้ำและเทลงบนดินแห้งๆ น้ำที่เจ้าตักมาจะเปลี่ยนเป็นเลือดบนผืนดินแห้ง”
10 จากนั้นโมเสสทูลพระยาห์เวห์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ไม่ใช่คนพูดเก่ง ทั้งในอดีต และตั้งแต่เมื่อพระองค์ตรัสกับผู้รับใช้ของพระองค์ ข้าพระองค์เป็นคนพูดตะกุกตะกักและช้า” 11 พระยาห์เวห์จึงตรัสกับเขาว่า “ใครกันที่สร้างปากมนุษย์? ใครกันที่ทำให้มนุษย์หูหนวก เป็นใบ้ ตาบอดหรือตาดี? ไม่ใช่เรา พระยาห์เวห์ หรือ? 12 จงไปเถิด และเราจะอยู่ที่ปากของเจ้าและสอนเจ้าในสิ่งที่ควรจะพูด” 13 แต่โมเสสทูลว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดใช้คนอื่นไปเถิด ใครก็ได้ที่พระองค์ประสงค์จะทรงส่งไป”
14 แล้วพระยาห์เวห์จึงกริ้วโมเสส พระองค์ตรัสว่า "แล้วอาโรนคนเลวีที่เป็นพี่ชายของเจ้าล่ะ? เรารู้ว่าเขาเป็นคนพูดเก่ง ยิ่งกว่านั้น เขากำลังเดินทางมาพบเจ้า และเมื่อเขาเห็นเจ้า เขาจะชื่นชมยินดีในใจ 15 จงพูดกับเขาเถิด และบอกถ้อยคำที่จะให้เขาพูด แล้วเราจะอยู่ที่ปากของเจ้าและปากของเขา และจะแสดงให้เจ้าทั้งสองรู้ว่าควรทำอย่างไร 16 เขาจะพูดกับประชาชนแทนเจ้า เขาจะเป็นเหมือนปากของเจ้า และเจ้าจะเป็นเหมือนพระเจ้าสำหรับเขา 17 เจ้าจงถือไม้เท้านี้ไว้ในมือ ด้วยสิ่งนี้เจ้าจะกระทำหมายสำคัญต่างๆ”
18 ดังนั้น โมเสสจึงไปยังเยโธรพ่อตาของเขา และบอกเขาว่า “ขอให้ข้าไปหาญาติพี่น้องของข้าซึ่งอยู่ในอียิปต์ และเพื่อจะได้เห็นว่าเขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่” เยโธรตอบโมเสสว่า “ไปดีมาดีเถิด” 19 พระยาห์เวห์ทรงกล่าวกับโมเสสในดินแดนมีเดียนว่า “กลับไปอียิปต์เถิด เพราะคนทั้งหลายที่พยายามเอาชีวิตของเจ้านั้นตายแล้ว” 20 โมเสสจึงพาภรรยาและบรรดาบุตรชายของตนขี่ลา เขากลับไปยังดินแดนอียิปต์ และเขาก็ถือไม้เท้าของพระเจ้าไว้ในมือของตน
21 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “เมื่อเจ้ากลับไปอียิปต์ จงกระทำการอัศจรรย์ทั้งสิ้นซึ่งเรามอบไว้ในอำนาจของเจ้าแล้วต่อพระพักตร์ฟาโรห์ แต่เราจะทำให้พระทัยของพระองค์แข็งกร้าว และพระองค์จะไม่ทรงยอมให้ประชาชนไป 22 เจ้าจงทูลฟาโรห์ว่า ‘พระยาห์เวห์ทรงตรัสดังนี้ว่า อิสราเอลเป็นบุตรชายของเรา บุตรหัวปีของเรา 23 เราบอกแก่เจ้าว่า “จงให้บุตรชายของเราไปนมัสการเรา” แต่ถ้าพระองค์ทรงปฎิเสธ เราจะสังหารบุตรชายหัวปีของพระองค์’”
24 ระหว่างทาง เมื่อพวกเขาหยุดค้างคืน พระยาห์เวห์เสด็จมาหาโมเสส และทรงประสงค์จะสังหารเขาเสีย 25 แล้วนางศิปโปราห์จึงเอามีดหินมาตัดหนังปลายองคชาตบุตรชายของตนออก แล้วเอาไปแตะเท้าของโมเสสกล่าวว่า “แน่ทีเดียวท่านเป็นเจ้าบ่าวแห่งโลหิตสำหรับฉัน” 26 แล้วพระยาห์เวห์จึงทรงไว้ชีวิตเขา นางกล่าวว่า “ท่านเป็นเจ้าบ่าวแห่งโลหิต” เนื่องจากการเข้าสุหนัต
27 พระยาห์เวห์ทรงกล่าวกับอาโรนว่า “จงไปในแดนทุรกันดารเพื่อจะพบกับโมเสส” อาโรนก็ไปพบกับเขาที่ภูเขาของพระเจ้าและจูบเขา 28 โมเสสจึงเล่าให้อาโรนรู้ถึงพระดำรัสทั้งสิ้นของพระยาห์เวห์ที่พระองค์ทรงส่งตนให้ไปพูด และหมายสำคัญแห่งฤทธิ์อำนาจทั้งสิ้นซึ่งพระองค์ทรงบัญชาให้เขาทำ
29 แล้วโมเสสกับอาโรนจึงออกไปและเรียกประชุมบรรดาผู้อาวุโสแห่งพงศ์พันธุ์อิสราเอลพร้อมกัน 30 อาโรนจึงกล่าวข้อความทั้งหมดซึ่งพระยาห์เวห์ได้ทรงตรัสกับโมเสส และเขาได้แสดงหมายสำคัญแห่งฤทธิ์อำนาจของพระยาเวห์ต่อหน้าประชาชน 31 ประชาชนก็ได้เชื่อฟัง เมื่อได้ยินว่าพระยาห์เวห์เฝ้าดูชนชาติอิสราเอล และได้ทรงเห็นความลำบากของพวกเขา พวกเขาต่างก้มศีรษะกราบลงและนมัสการพระองค์
1 หลังจากเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้น โมเสสกับอาโรนได้เข้าเฝ้าฟาโรห์และทูลว่า “พระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอลตรัสว่า ‘จงปล่อยประชาชนของเราไป เพื่อพวกเขาจะจัดงานเลี้ยงฉลองให้เราในแดนทุรกันดาร’ ” 2 ฟาโรห์ตรัสว่า “พระยาห์เวห์เป็นใคร? ทำไมเราควรเชื่อคำของท่านและปล่อยอิสราเอลไป? เราไม่รู้จักพระยาห์เวห์ ยิ่งกว่านั้น เราจะไม่ปล่อยอิสราเอลไป”
3 พวกเขาจึงทูลว่า “พระเจ้าของชาวฮีบรูได้พบกับพวกข้าพระองค์ ขออนุญาตพวกข้าพระองค์สักสามวันเดินทางเข้าไปในแดนทุรกันดารเพื่อถวายเครื่องบูชาแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกข้าพระองค์ เพื่อว่าพระองค์จะไม่ทรงลงโทษพวกข้าพระองค์ด้วยภัยพิบัติหรือด้วยดาบ” 4 แต่กษัตริย์อียิปต์ตรัสกับพวกเขาว่า “โมเสสกับอาโรน เหตุใดพวกเจ้าจะทำให้ประชาชนละทิ้งการงานของเขา? จงกลับไปทำงานของพวกเจ้า” 5 ฟาโรห์ตรัสต่อไปว่า “บัดนี้คนฮีบรูมีมากในดินแดนของเรา และพวกเจ้ากำลังทำให้พวกเขาต้องหยุดงาน”
6 ในวันเดียวกันนั้น ฟาโรห์ทรงมีพระบัญชาสั่งนายงานและหัวหน้าคนงาน พระองค์ตรัสว่า 7 “พวกเจ้าอย่าให้ฟางแก่พวกทาสสำหรับใช้ทำอิฐเหมือนแต่ก่อน จงให้พวกมันไปหาฟางเอาเอง 8 อย่างไรก็ตาม เจ้าต้องกำหนดให้พวกมันทำอิฐให้ได้จำนวนเท่าเดิม ห้ามลดจำนวนลง เพราะทาสพวกนี้ขี้เกียจ นั่นเป็นเหตุที่พวกมันพากันมาร้องขอว่า ‘ขอปล่อยพวกเราไปถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้าของพวกเราเถิด’ 9 จงให้พวกมันทำงานหนักเพิ่มขึ้น เพื่อว่าพวกมันจะได้มัวทำงานและไม่ได้สนใจกับคำพูดเหลวไหล”
10 ดังนั้นนายงานกับหัวหน้าคนงานจึงออกไปบอกพวกทาสว่า “นี่คือสิ่งที่ฟาโรห์ได้ทรงรับสั่ง ‘เราจะงดแจกจ่ายฟางให้พวกเจ้า 11 พวกเจ้าต้องไปและหาฟางเอาเองจากที่ไหนก็ตามแต่จะหาได้ แต่งานที่ต้องทำนั้นจะไม่ลดลง’ ”
12 ดังนั้นพวกเขาจึงแยกย้ายกันไปทั่วแผ่นดินอียิปต์เพื่อหาตอฟาง 13 เหล่านายงานคอยเร่งรัดและพูดว่า “ทำงานของเจ้าให้เสร็จ เหมือนเมื่อก่อนตอนที่ได้รับฟาง” 14 นายงานของฟาโรห์ทุบตีหัวหน้าคนงานชาวอิสราเอลผู้ซึ่งถูกตั้งให้ดูแลคนงาน นายงานถามตลอดว่า “ทำไมเมื่อวานนี้และวันนี้พวกเจ้าจึงทำอิฐไม่ครบตามจำนวนเดิมเหมือนเมื่อก่อนนี้?”
15 ดังนั้นหัวหน้าคนงานชาวอิสราเอลจึงเข้าเฝ้าฟาโรห์และทูลว่า “เหตุใดพระองค์จึงทรงกระทำต่อผู้รับใช้ของพระองค์อย่างนี้? 16 ผู้รับใช้ของพระองค์ไม่ได้รับแจกจ่ายฟางอีกเลย แต่พวกนายงานกลับสั่งพวกเราว่า ‘ให้ทำอิฐ’ บัดนี้พวกข้าพระองค์ผู้รับใช้ของพระองค์ยังต้องถูกเฆี่ยนตี ทั้งๆ ที่พวกคนของพระองค์ต่างหากที่เป็นฝ่ายผิด” 17 แต่ฟาโรห์ตรัสว่า “เจ้าคนขี้เกียจ เจ้าคนขี้เกียจ ก็พวกเจ้าบอกว่า ‘ปล่อยพวกเราออกไปถวายเครื่องบูชาแด่พระยาห์เวห์’ 18 ตอนนี้กลับไปทำงานได้แล้ว เราจะไม่จ่ายฟางให้ แต่พวกเจ้าต้องทำอิฐให้ได้ตามจำนวนที่เท่าเดิม”
19 หัวหน้างานชาวอิสราเอลเห็นว่าพวกตนกำลังตกที่นั่งลำบาก เมื่อพวกเขาถูกสั่งว่า “พวกเจ้าจะต้องไม่ลดจำนวนอิฐในแต่ละวันลง” 20 เมื่อพวกเขากลับจากเข้าเฝ้าฟาโรห์ พวกเขาได้พบโมเสสและอาโรนที่ยืนอยู่ข้างนอกวัง 21 พวกเขาจึงกล่าวกับโมเสสและอาโรนว่า “ขอพระยาห์เวห์ทรงทอดพระเนตรดูและลงโทษพวกเจ้า เพราะพวกเจ้าทำให้พวกเราถูกเกลียดชังในสายตาของฟาโรห์กับเหล่าข้าราชบริพารของพระองค์ ท่านได้เอาดาบใส่มือพวกเขา เพื่อฆ่าพวกเรา”
22 โมเสสจึงกลับไปหาพระยาห์เวห์และทูลว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า เหตุใดพระองค์ทรงนำความยากลำบากมาถึงคนเหล่านี้? ทำไมพระองค์ทรงส่งข้าพระองค์มาเป็นคนแรก? 23 ตั้งแต่ข้าพระองค์ไปทูลฟาโรห์ในพระนามของพระองค์ ฟาโรห์ทำให้เหล่าประชาชนเดือดร้อน และพระองค์ไม่ได้ทรงช่วยประชาชนของพระองค์เป็นอิสระเลย”
1 แล้วพระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “บัดนี้เจ้าจะได้เห็นเหตุการณ์ซึ่งเราจะกระทำแก่ฟาโรห์ เจ้าจะเห็นสิ่งนี้ เพื่อพระองค์จะทรงปล่อยประชาชนไปเพราะมืออันเข้มแข็งของเรา ฟาโรห์จะทรงผลักดันประชาชนออกไปจากดินแดนของเขาเพราะมืออันเข้มแข็งของเรา”
2 พระเจ้าตรัสกับโมเสสและทรงตรัสกับเขาว่า “เราเป็นพระยาห์เวห์ 3 เราได้ปรากฏแก่อับราฮัม อิสอัค และยาโคบในฐานะพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ ด้วยชื่อของเรา พระยาห์เวห์ เราไม่ได้เป็นที่รู้จักสำหรับพวกเขา 4 เรายังได้ตั้งพันธสัญญาของเรากับพวกเขา เพื่อจะยกดินแดนคานาอันให้แก่พวกเขา ดินแดนซึ่งพวกเขาเคยได้อาศัยอยู่ในฐานะคนต่างชาติ ดินแดนซึ่งพวกเขาได้เหยียบย่ำไปมา 5 ยิ่งกว่านั้นเราได้ยินเสียงคร่ำครวญของชาวอิสราเอลผู้ซึ่งชาวอียิปต์ได้กดขี่ และเรายังจดจำพันธสัญญาของเราได้
6 ฉะนั้นจงกล่าวแก่ชนชาติอิสราเอลว่า ‘เราเป็นพระยาห์เวห์ เราจะนำพวกเจ้าให้เป็นอิสระจากการเป็นทาสของชาวอียิปต์ และเราจะปลดปล่อยพวกเจ้าให้พ้นจากอำนาจของพวกเขา เราจะช่วยกู้พวกเจ้าด้วยการสำแดงฤทธิ์อำนาจของเราและด้วยการพิพากษาลงโทษอย่างหนัก 7 เราจะรับพวกเจ้าเป็นประชากรของเรา เราพระเจ้าของพวกเจ้า แล้วพวกเจ้าจะรู้ว่า เราเป็นพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้า ผู้นำพวกเจ้าให้พ้นจากการเป็นทาสของชาวอียิปต์
8 เราจะนำพวกเจ้าเข้าไปยังดินแดนซึ่งเราได้สัญญาไว้ว่าจะยกให้แก่อับราฮัม อิสอัค และยาโคบ เราจะยกดินแดนนั้นแก่พวกเจ้าให้เป็นกรรมสิทธิ์ เราเป็นพระยาห์เวห์’ ” 9 แล้วเมื่อโมเสสได้กล่าวเรื่องนี้แก่ชาวอิสราเอล แต่พวกเขากลับไม่ฟังท่าน เพราะพวกเขาหมดอาลัยตายอยากเนื่องจากการเป็นทาสอย่างทารุณ
10 แล้วพระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสส ทรงตรัสว่า 11 “จงไปทูลฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์ให้ปล่อยชนชาติอิสราเอลออกจากดินแดนของพระองค์” 12 โมเสสทูลต่อพระยาห์เวห์ว่า “แม้แต่ชนชาติอิสราเอลยังไม่ฟังข้าพระองค์ แล้วเหตุใดฟาโรห์จะทรงฟังข้าพระองค์ ในเมื่อข้าพระองค์พูดตะกุกตะกัก? 13 พระยาห์เวห์จึงตรัสแก่โมเสสและอาโรน พระองค์ทรงให้คำบัญชาแก่ท่านทั้งสองเพื่อแจ้งชนชาติอิสราเอลและฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์ให้ชนชาติอิสราเอลออกจากดินแดนอียิปต์
14 เหล่านี้เป็นต้นตระกูลของพวกเขา บุตรชายทั้งหลายของรูเบน ผู้เป็นบุตรชายหัวปีของอิสราเอล คือ ฮาโนค ปัลลู เฮสโรน และคารมี คนเหล่านี้อยู่ในตระกูลเผ่ารูเบน 15 บรรดาบุตรชายของสิเมโอนคือ เยมูเอล ยามีน โอหาด ยาคีน โศหาร์ และชาอูล ซึ่งมารดาเป็นหญิงชาวคานาอัน คนเหล่านี้อยู่ในตระกูลเผ่าสิเมโอน
16 เหล่านี้คือบัญชีรายชื่อบรรดาบุตรชายของเลวีตามลำดับวงศ์ของเขา คือ เกอร์โชน โคฮาท และเมรารี เลวีมีชีวิตอยู่จนกระทั่งเขามีอายุได้ 137 ปี 17 บรรดาบุตรชายของเกอร์โชน คือ ลิบนีและชิเมอี 18 บรรดาบุตรชายของโคฮาท คือ อัมราม อิสฮาร์ เฮโบรน และอุสซีเอล โคฮาทมีชีวิตอยู่จนกระทั่งอายุได้ 133 ปี 19 บรรดาบุตรชายของเมรารี คือ มาห์ลีและมูชี ที่กล่าวมานี้มาจากตระกูลเผ่าเลวีตามพงศ์พันธ์ุของเขา
20 อัมรามแต่งงานกับโยเคเบดน้องสาวของบิดา เธอให้กำเนิดบุตรกับเขา ชื่อ อาโรนกับโมเสส อัมรามมีอายุได้ 137 ปี แล้วก็สิ้นชีวิต 21 บรรดาบุตรชายของอิสฮาร์ คือ โคราห์ เนเฟก และศิครี 22 บรรดาบุตรชายของอุสซีเอล คือ มิชาเอล เอลซาฟาน และสิธรี
23 อาโรนแต่งงานกับเอลีเชบาบุตรสาวของอัมมีนาดับ ผู้เป็นน้องสาวของนาห์โชน เธอให้กำเนิดบุตรกับเขา ชื่อ นาดับ อาบีฮู เอเลอาซาร์ และอิธามาร์ 24 บรรดาบุตรชายของโคราห์ คือ อัสสีร์ เอลคานาห์ และอาบียาสาฟ คนเหล่านี้อยู่ในตระกูลบรรพบุรุษของโคราห์ 25 เอเลอาซาร์บุตรอาโรนแต่งงานกับบุตรสาวคนหนึ่งของปูทิเอล เธอให้กำเนิดบุตรกับเขา ชื่อ ฟีเนหัส คนเหล่านี้คือต้นตระกูลเลวีตามลำดับวงศ์ของพวกเขา
26 อาโรนและโมเสสสองคนนี้เองที่พระยาห์เวห์ตรัสกับพวกเขาว่า “จงนำประชาชนอิสราเอลออกจากดินแดนอียิปต์ตามหมู่ตามกองเขา” 27 อาโรนและโมเสสทูลฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์เพื่อขออนุญาตให้พวกเขานำชนชาติอิสราเอลออกจากอียิปต์ ทั้งสองคนนี้คือโมเสสและอาโรนคนนี้เอง
28 เมื่อพระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสในดินแดนอียิปต์ 29 พระองค์ตรัสกับเขาว่า “เราเป็นพระยาห์เวห์ จงไปบอกฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์ทุกสิ่งตามที่เราจะบอกเจ้า” 30 แต่โมเสสทูลพระยาห์เวห์ว่า “ข้าพระองค์พูดไม่เก่ง เหตุใดฟาโรห์จะทรงฟังข้าพระองค์?”
1 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “ดูซิ เราได้ทำให้เจ้าเป็นดังพระเจ้าต่อฟาโรห์ พี่ชายของเจ้าอาโรนจะเป็นดังผู้เผยพระวจนะของเจ้า 2 เจ้าจะต้องบอกทุกสิ่งที่เราบัญชาเจ้าให้พูด แล้วอาโรนพี่ชายของเจ้าจะบอกแก่ฟาโรห์เพื่อให้ปล่อยประชาชนอิสราเอลออกไปจากดินแดนของเขา
3 แต่เราจะทำให้ใจของฟาโรห์แข็งกร้าว และเราจะสำแดงบรรดาหมายสำคัญแห่งฤทธิ์อำนาจของเรา และการอัศจรรย์มากมายในดินแดนอียิปต์ 4 แต่ฟาโรห์ก็จะไม่เชื่อฟังเจ้า เพื่อเราจะยกมือของเราขึ้นเหนืออียิปต์ และพานักรบของเรา ประชาชนของเรา และบรรดาวงศ์วานอิสราเอล ออกจากดินแดนอียิปต์ด้วยมหกิจแห่งการลงโทษ 5 ชาวอียิปต์จะได้รู้ว่าเราเป็นพระยาห์เวห์ เมื่อเราเหยียดมือขึ้นเหนืออียิปต์และพาชาวอิสราเอลออกจากพวกเขา”
6 โมเสสและอาโรนจึงกระทำตามนั้น คือพวกเขาได้ทำอย่างที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาพวกเขา 7 โมเสสมีอายุแปดสิบปี และอาโรนมีอายุแปดสิบสามปี เมื่อเขาทั้งสองเข้าไปทูลฟาโรห์นั้น
8 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสและอาโรนว่า 9 “เมื่อฟาโรห์สั่งเจ้าว่า ‘จงแสดงการอัศจรรย์ดูสิ’ แล้วเจ้าจงบอกอาโรนว่า ‘เอาไม้เท้าของเจ้าโยนลงต่อหน้าฟาโรห์’ แล้วไม้เท้าจะได้กลายเป็นงู’” 10 แล้วโมเสสกับอาโรนจึงไปเข้าเฝ้าฟาโรห์และพวกเขาทำตามที่พระยาห์เวห์ได้ทรงบัญชา อาโรนโยนไม้เท้าของเขาลงต่อหน้าฟาโรห์และบรรดาข้าราชบริพารของเขา และไม้เท้านั้นก็กลายเป็นงู
11 ฝ่ายฟาโรห์จึงรับสั่งเรียกนักปราชญ์ และหมอผีมา พวกเขาก็สามารถทำสิ่งอัศจรรย์อย่างเดียวกันด้วยเวทย์มนต์ของพวกเขา 12 พวกเขาต่างคนต่างโยนไม้เท้าของตนลง และไม้เท้าทั้งหลายก็กลายเป็นงู แต่ไม้เท้าของอาโรนได้กลืนงูของพวกเขาหมดสิ้น 13 แต่ฟาโรห์ยังคงมีพระทัยแข็งกร้าวและพระองค์ไม่ทรงยอมฟัง ดังที่พระยาห์เวห์ได้ทรงกล่าวไว้ล่วงหน้าแล้ว
14 พระยาห์เวห์ทรงกล่าวกับโมเสสว่า “ใจของฟาโรห์ยังคงแข็งกร้าวและเขายังคงปฏิเสธที่จะปล่อยประชาชนไป 15 เจ้าจงไปหาฟาโรห์ในตอนเช้าขณะที่เขาไปยังแม่น้ำ จงคอยเขาอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำเพื่อพบกับเขาและเอาไม้เท้าที่กลายเป็นงูไปด้วย
16 แล้วกล่าวแก่เขาว่า ‘พระยาห์เวห์พระเจ้าของชาวฮีบรูได้ส่งข้าพระองค์มาทูลพระองค์ดังนี้ว่า “จงปล่อยประชาชนของเราไปเพื่อพวกเขาจะได้นมัสการเราในแดนทุรกันดาร จนบัดนี้เจ้าก็ยังหาได้เชื่อฟังไม่” 17 พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า “ด้วยเหตุการณ์เหล่านี้ เจ้าจะรู้ว่าเราเป็นพระยาห์เวห์ เราจะฟาดน้ำในแม่น้ำไนล์ด้วยไม้เท้าที่อยู่ในมือของเรา และแม่น้ำนั้นจะกลายเป็นเลือด 18 ปลาที่อาศัยในแม่น้ำนั้นจะตายและแม่น้ำจะเน่าเหม็น ชาวอียิปต์จะไม่สามารถดื่มน้ำจากแม่น้ำได้’”
19 แล้วพระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “เจ้าจงบอกอาโรนว่า ‘ให้เอาไม้เท้าของเจ้าและยื่นมือออกไปเหนือน้ำทั้งปวงแห่งอียิปต์ ทั้งแม่น้ำ ลำธาร สระน้ำ บ่อน้ำทุกแห่งของพวกเขา เพื่อว่าน้ำของพวกเขาจะกลายเป็นเลือด จงกระทำเช่นนี้เพื่อว่าเลือดจะเต็มไปทั่วดินแดนอียิปต์ แม้กระทั่งน้ำที่อยู่ในภาชนะไม้และภาชนะหิน”
20 โมเสสกับอาโรนจึงทำตามพระบัญชาของพระยาห์เวห์ อาโรนจึงยกไม้เท้าขึ้นและฟาดลงในน้ำในแม่น้ำต่อสายพระเนตรของฟาโรห์และบรรดาข้าราชบริพารของพระองค์ น้ำทั้งหมดในแม่น้ำจึงกลายเป็นเลือด 21 ปลาในแม่น้ำก็ตายและแม่น้ำก็เริ่มเน่าเหม็น พวกชาวอียิปต์ไม่อาจดื่มน้ำจากแม่น้ำได้ และมีแต่เลือดอยู่ทั่วทุกแห่งในดินแดนอียิปต์ 22 แต่พวกนักมายากลของอียิปต์ก็ทำได้เหมือนกัน ด้วยศิลปะอันลึกลับของพวกเขา กระนั้นพระทัยของฟาโรห์ยังคงแข็งกร้าวและทรงปฎิเสธที่จะฟังโมเสสกับอาโรนซึ่งเป็นไปตามที่พระยาห์เวห์ตรัสไว้ว่าจะเกิดขึ้น
23 แล้วฟาโรห์ก็เสด็จกลับวังของพระองค์ พระองค์มิได้เอาพระทัยใส่แม้ในเหตุการณ์ครั้งนี้ 24 ชาวอียิปต์ทั้งปวงก็พากันขุดหลุมตามริมฝั่งแม่น้ำเพื่อจะได้น้ำไว้ดื่ม แต่พวกเขาดื่มน้ำจากแม่น้ำไม่ได้ 25 เจ็ดวันผ่านไปหลังจากที่พระยาห์เวห์ทรงบันดาลให้น้ำกลายเป็นเลือดแล้ว
1 แล้วพระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “จงไปหาฟาโรห์และบอกเขาว่า ‘พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า “จงปล่อยประชาชนของเราไปเพื่อพวกเขาจะได้นมัสการเรา 2 ถ้าเจ้าปฏิเสธที่จะปล่อยพวกเขาไป เราจะส่งฝูงกบขึ้นมารังควานทั่วดินแดนของเจ้า 3 แม่น้ำจะเต็มไปด้วยฝูงกบ พวกมันจะขึ้นมาและเข้าไปในบ้านของเจ้า ในห้องนอนของเจ้า และเตียงของเจ้า พวกมันจะเข้าไปในบ้านของเหล่าข้าราชบริพารของเจ้า พวกมันจะอยู่บนตัวประชาชนของเจ้า ในเตาปิ้งขนมและเข้าไปในชามผสมแป้งของเจ้า 4 ฝูงกบจะรุกรานเจ้า ประชาชนของเจ้า และข้าราชบริพารของเจ้าทุกคน”’”
5 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “เจ้าจงบอกอาโรนว่า ‘จงชูไม้เท้าขึ้นเหนือแม่น้ำ ลำธาร และสระน้ำ แล้วจะมีกบขึ้นทั่วดินแดนอียิปต์’” 6 อาโรนจึงยื่นมือออกเหนือห้วงน้ำของอียิปต์ และกบก็ขึ้นมาทั่วดินแดนอียิปต์ 7 แต่พวกนักมายากลก็ใช้ศาสตร์อันลี้ลับของตนอย่างเดียวกัน พวกเขาทำให้กบขึ้นมาทั่วดินแดนอียิปต์ด้วย
8 แล้วฟาโรห์จึงรับสั่งเรียกโมเสสและอาโรนมาเข้าเฝ้าและตรัสว่า “จงอธิษฐานต่อพระยาห์เวห์ เพื่อพระองค์จะได้เอากบออกไปจากเราและประชาชนของเรา แล้วเราจะปล่อยประชาชนของเจ้าออกไปถวายเครื่องบูชา” 9 โมเสสทูลฟาโรห์ว่า “พระองค์มีสิทธิ์พิเศษที่จะบอกข้าพระองค์ว่าเมื่อใดที่พระองค์ประสงค์จะให้ข้าพระองค์อธิษฐานให้พระองค์ ข้าราชบริพารของพระองค์ และประชาชนของพระองค์ เพื่อที่จะขับไล่ฝูงกบไปจากพระองค์ บ้านทั้งหลายของพระองค์ และเหลือกบที่อยู่แต่ในแม่น้ำเท่านั้น”
10 ฟาโรห์ตรัสว่า “วันพรุ่งนี้” โมเสสทูลตอบว่า “จะเป็นไปตามที่พระองค์ตรัส เพื่อพระองค์จะได้ทรงทราบว่าไม่มีผู้ใดเสมอเหมือนพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกข้าพระองค์ 11 ฝูงกบจะไปจากพระองค์ บ้านทั้งหลายของพระองค์ ข้าราชบริพารของพระองค์ และประชาชนของพระองค์ กบจะอยู่แต่ในแม่น้ำเท่านั้น” 12 โมเสสกับอาโรนจึงกลับออกมาจากการเข้าเฝ้าฟาโรห์ แล้วโมเสสจึงร้องทูลพระยาห์เวห์เกี่ยวกับฝูงกบที่พระองค์ทรงนำมารบกวนฟาโรห์
13 พระยาห์เวห์ได้ทรงกระทำตามที่โมเสสทูลขอ กบจึงตายเกลื่อนทั่วบ้าน ลานบ้าน และทุ่งนา 14 ประชาชนจึงเอาซากกบมาสุมเป็นกองๆ และดินแดนก็เหม็นคลุ้ง 15 แต่เมื่อฟาโรห์ทรงเห็นว่าความทุกข์ร้อนบรรเทาลงแล้ว พระองค์ก็กลับมีพระทัยแข็งกร้าวไม่ยอมรับฟังโมเสสกับอาโรนอีก เป็นไปตามที่พระยาห์เวห์ได้ตรัสไว้ว่าเขาจะทำเช่นนั้น
16 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “จงบอกอาโรนว่า ‘จงยื่นไม้เท้าของเจ้าออกและตีฝุ่นบนดิน แล้วฝุ่นเหล่านั้นจะกลายเป็นริ้นทั่วดินแดนอียิปต์’” 17 พวกเขาก็ทำเช่นนั้น อาโรนยื่นมือที่ถือไม้เท้าออก แล้วเขาก็ได้ตีฝุ่นบนดิน ฝูงริ้นขึ้นมาตอมคนและสัตว์ ฝุ่นทั้งหมดบนดินก็กลายเป็นฝูงริ้นทั่วดินแดนอียิปต์
18 พวกนักมายากลพยายามจะใช้ศาสตร์อันลี้ลับของตนทำให้เกิดริ้น แต่พวกเขาก็ทำไม่ได้ ฝูงริ้นต่างมาตอมทั้งคนและสัตว์ 19 นักมายากลจึงทูลฟาโรห์ว่า “นี่เป็นผลจากนิ้วพระหัตถ์ของพระเจ้า” แต่พระทัยฟาโรห์กลับแข็งกร้าว พระองค์ทรงปฏิเสธที่จะฟังพวกเขาอีก เป็นไปตามที่พระยาห์เวห์ได้ตรัสไว้ว่าฟาโรห์จะทำเช่นนั้น
20 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “เจ้าจงลุกขึ้นแต่เช้ามืดและไปยืนต่อหน้าฟาโรห์ตอนที่เขาไปที่แม่น้ำ บอกเขาว่า ‘พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า "จงปล่อยประชาชนของเราไปเพื่อพวกเขาจะได้นมัสการเรา 21 แต่ถ้าเจ้าไม่ยอมปล่อยประชาชนของเราไป เราจะส่งฝูงเหลือบวันมาตอมตัวเจ้า ตอมข้าราชบริพาร และประชาชนของเจ้า และเข้าไปในบ้านของพวกเจ้า บ้านของชาวอียิปต์จะเต็มไปด้วยฝูงเหลือบ และแม้แต่พื้นดินก็จะเต็มไปด้วยฝูงเหลือบ
22 แต่ในวันนั้นเราจะกระทำต่อดินแดนโกเชนต่างออกไป ดินแดนที่ประชาชนของเราอาศัยอยู่ ฝูงเหลือบจะไม่มีที่นั่นเลย สิ่งนี้จะเกิดขึ้นเพื่อเจ้าจะได้รู้ว่าเราเป็นพระยาห์เวห์สถิตอยู่ท่ามกลางดินแดนนี้ 23 เราจะทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างประชาชนของเราและประชาชนของเจ้า หมายสำคัญแห่งฤทธิ์อำนาจของเรานี้จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้’”” 24 พระยาห์เวห์ทรงกระทำเช่นนั้น และฝูงเหลือบจำนวนมหาศาลกรูเข้าไปในพระราชวังของฟาโรห์และบ้านของข้าราชการทั้งหลาย ทั่วทั้งดินแดนอียิปต์ ทั้งดินแดนได้ถูกทำลายเพราะฝูงเหลือบ
25 ฟาโรห์จึงรับสั่งให้โมเสสกับอาโรนมาเข้าเฝ้าและตรัสว่า “จงไปถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้าของเจ้าในดินแดนของเรา” 26 โมเสสทูลว่า “ไม่ถูกต้องสำหรับพวกข้าพระองค์ที่จะกระทำเช่นนั้น เพราะเครื่องบูชาที่พวกข้าพระองค์ถวายแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกข้าพระองค์เป็นที่รังเกียจของชาวอียิปต์ หากพวกข้าพระองค์ถวายเครื่องบูชาซึ่งเป็นที่น่ารังเกียจในสายตาของพวกชาวอียิปต์ จะไม่ถูกพวกเขาเอาหินขว้างพวกเราหรือ? 27 อย่ากระนั้นเลย พวกข้าพระองค์จำเป็นต้องเดินทางสามวันเข้าไปในแดนทุรกันดารเพื่อถวายเครื่องบูชาแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกข้าพระองค์ตามที่พระองค์ทรงบัญชาพวกข้าพระองค์”
28 ฟาโรห์ตรัสว่า “เราจะให้พวกเจ้าไปและถวายเครื่องบูชาแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าในแดนทุรกันดาร แต่ว่าพวกเจ้าจะต้องไม่ไปไกลนัก จงอธิษฐานให้เราด้วย” 29 แล้วโมเสสทูลว่า “ทันทีที่ข้าพระองค์จากไป ข้าพระองค์จะทูลต่อพระยาห์เวห์ว่า ขอให้ฝูงเหลือบออกไปจากพระองค์ ฟาโรห์ ข้าราชบริพารและประชาชนของพระองค์ในวันพรุ่งนี้ แต่ขอพระองค์อย่าได้ทรงกลับคำมั่นที่จะปล่อยประชาชนของข้าพระองค์ทั้งหลาย ไปถวายเครื่องบูชาแด่พระยาห์เวห์อีก”
30 แล้วโมเสสจึงลาฟาโรห์และอธิษฐานต่อพระยาห์เวห์ 31 พระยาห์เวห์ทรงกระทำตามที่โมเสสทูลขอ พระองค์ได้เอาฝูงเหลือบออกไปจากฟาโรห์ ข้าราชบริพาร และประชาชนของพระองค์ ไม่เหลือแม้สักตัว 32 แต่ครั้งนี้ก็เช่นกันฟาโรห์กลับมีพระทัยแข็งกร้าว และไม่ยอมปล่อยประชาชนไป
1 แล้วพระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “จงไปหาฟาโรห์และบอกกับเขาว่า ‘พระยาห์เวห์พระเจ้าของชาวฮีบรูตรัสดังนี้ว่า “จงปล่อยประชาชนของเราไปเพื่อพวกเขาจะได้นมัสการเรา” 2 แต่หากเจ้าปฏิเสธที่จะปล่อยพวกเขาไปและยังคงหน่วงเหนี่ยวไว้ 3 แล้วพระหัตถ์ของพระยาห์เวห์จะอยู่เหนือฝูงสัตว์ของเจ้าในทุ่งนา และฝูงม้า ลา อูฐ วัว แกะและแพะ และทำให้เกิดโรคระบาดที่น่าสะพรึงกลัว 4 พระยาห์เวห์จะทรงทำต่อฝูงสัตว์ของชาวอิสราเอลกับของชาวอียิปต์ต่างกัน สัตว์ของชาวอิสราเอลจะไม่ตายเลย
5 พระยาห์เวห์ทรงกำหนดเวลาและพระองค์ตรัสว่า “ในวันพรุ่งนี้เราจะทำสิ่งนี้ในดินแดน”’” 6 พระยาห์เวห์จึงทรงกระทำสิ่งนี้ในวันต่อมา ฝูงสัตว์ของชาวอียิปต์พากันล้มตายหมด ส่วนฝูงสัตว์ของชาวอิสราเอลไม่ตายแม้แต่ตัวเดียว 7 ฟาโรห์ทรงตรวจสอบและพบว่าสัตว์ของอิสราเอลไม่ตายแม้แต่ตัวเดียว แต่พระทัยของพระองค์ยังคงแข็งกร้าว ฉะนั้นพระองค์จึงไม่ยอมปล่อยประชาชนอิสราเอลไป
8 แล้วพระยาห์เวห์จึงตรัสกับโมเสสและอาโรนว่า “จงกำขี้เถ้าจากเตาขึ้นมาให้เต็มกำมือ โมเสส เจ้าต้องโยนขี้เถ้านั้นขึ้นไปในอากาศในขณะที่ฟาโรห์กำลังเฝ้าดูอยู่ 9 ขี้เถ้านั้นจะกลายเป็นฝุ่นละเอียดฟุ้งตลบไปทั่วดินแดนอียิปต์ ทำให้เกิดฝีพุพองและเจ็บปวดลามตามตัวผู้คนและบรรดาสัตว์ทั่วดินแดนอียิปต์” 10 ดังนั้นโมเสสและอาโรนจึงนำขี้เถ้าจากเตาไปและได้ยืนต่อพระพักตร์ฟาโรห์ แล้วโมเสสก็โยนขี้เถ้าขึ้นไปในอากาศ ทำให้เกิดเป็นฝีพุพองและเจ็บปวดแตกลามทั่วตัวบรรดาคนและสัตว์
11 บรรดานักมายากลต่างไม่อาจต่อต้านโมเสสได้เพราะฝี เพราะฝีก็ได้ขึ้นที่ตัวพวกเขาเหมือนชาวอียิปต์ทั้งปวงด้วย 12 พระยาห์เวห์ได้ทรงกระทำให้พระทัยฟาโรห์แข็งกร้าว ดังนั้นฟาโรห์จึงทรงไม่ยอมฟังโมเสสและอาโรน ดังที่พระยาห์เวห์ตรัสไว้กับโมเสส
13 แล้วพระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “ในตอนเช้า จงตื่นแต่เช้าไปยืนต่อหน้าฟาโรห์และบอกเขาว่า ‘พระยาห์เวห์พระเจ้าของชาวฮีบรูตรัสดังนี้ว่า “จงปล่อยประชาชนของเราไปเพื่อพวกเขาจะได้นมัสการเรา 14 ด้วยครั้งนี้เราจะส่งบรรดาภัยพิบัติมาเหนือเจ้า ตัวเจ้าเอง ข้าราชบริพารและประชาชนของเจ้า เพื่อเจ้าจะได้รู้ว่าทั่วแผ่นดินโลกนี้ไม่มีผู้ใดเป็นเช่นเรา
15 แม้ในขณะนี้เราจะกางมือออกและโจมตีเจ้าและประชาชนของเจ้าด้วยเชื้อโรค และเราจะกวาดล้างเจ้าจากแผ่นดิน 16 แต่ด้วยเหตุผลนี้เราจึงยังให้เจ้ายังมีชีวิตอยู่ ก็เพื่อเราจะได้สำแดงฤทธิ์อำนาจของเราแก่เจ้า และเพื่อนามของเราจะเลื่องลือไปทั่วโลก 17 เจ้ายังดื้อดึงต่อสู้กับประชาชนของเรา โดยไม่ยอมให้พวกเขาไป
18 จงฟัง ในวันพรุ่งนี้เวลานี้ เราจะส่งพายุลูกเห็บมากระหน่ำอียิปต์อย่างรุนแรง ซึ่งไม่เคยเห็นมาก่อนในอียิปต์ ตั้งแต่วันที่มันเริ่มต้นจนถึงบัดนี้ 19 บัดนี้จงส่งคนและต้อนฝูงสัตว์และนำทุกสิ่งที่เจ้ามีในทุ่งนาเข้าที่ปลอดภัย เพราะคนทุกคนหรือสัตว์ทุกตัวที่ยังไม่เข้ามาในบ้านจะถูกลูกเห็บตกใส่พวกเขา และพวกเขาจะตาย”’”
20 จากนั้นบรรดาข้าราชบริพารของฟาโรห์ที่เชื่อพระดำรัสของพระยาห์เวห์ก็รีบนำข้าทาสและฝูงสัตว์เข้ามาอยู่ในบ้าน 21 แต่ผู้ที่ไม่สนใจพระดำรัสของพระยาห์เวห์ก็ปล่อยข้าทาสบริวารและฝูงสัตว์ไว้ในทุ่งนา
22 แล้วพระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “จงยกมือขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อจะมีลูกเห็บตกทั่วดินแดนอียิปต์ บนคน บนสัตว์ และบนพืชพันธุ์ทั้งหมดที่อยู่ในทุ่งนาทั่วดินแดนอียิปต์” 23 โมเสสจึงชูไม้เท้าขึ้นสู่ท้องฟ้า พระยาห์เวห์ทรงส่งฟ้าร้อง ลูกเห็บ และฟ้าแลบไปยังที่ดินแดน พระยาห์เวห์จึงได้ทรงกระทำให้ฝนลูกเห็บตกลงในดินแดนอียิปต์ 24 ดังนั้นจึงมีลูกเห็บและมีฟ้าแลบปนกับลูกเห็บอย่างรุนแรง อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในดินแดนยิปต์นับตั้งแต่เริ่มเป็นประเทศชาติมา
25 ทั่วทั้งแผ่นดินอียิปต์นั้น ลูกเห็บได้ซัดกระหน่ำทุกสิ่งที่อยู่ในทุ่งนา ทั้งคนและสัตว์ มันซัดพืชพันธุ์ทั้งสิ้นในทุ่งนาและหักต้นไม้ทุกต้น 26 ยกเว้นแต่ดินโกเชนซึ่งชาวอิสราเอลอาศัยอยู่ ไม่มีลูกเห็บเลย
27 แล้วฟาโรห์จึงทรงส่งคนไปเรียกโมเสสกับอาโรนให้มาเข้าเฝ้า พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “คราวนี้เราได้ทำบาป พระยาห์เวห์ทรงเป็นฝ่ายถูก เราและประชาชนของเราเป็นฝ่ายผิด 28 จงวิงวอนพระยาห์เวห์เพราะฟ้าผ่าที่รุนแรง และลูกเห็บที่มากเกินไป แล้วเราจะปล่อยพวกเจ้าไปและพวกเจ้าไม่ต้องอยู่อีกต่อไป”
29 โมเสสทูลต่อฟาโรห์ว่า “เมื่อข้าพระองค์ออกจากเมืองไปแล้ว ข้าพระองค์จะยกมือต่อพระยาห์เวห์แล้วฟ้าร้องจะเงียบและจะไม่มีลูกเห็บตกอีก เพื่อพระองค์จะได้ทรงทราบว่าโลกนี้เป็นของพระยาห์เวห์ 30 แต่ฝ่ายพระองค์กับข้าราชบริพารนั้น ข้าพระองค์ก็ทราบอยู่แล้วว่ายังคงไม่ยำเกรงพระเจ้าพระยาห์เวห์”
31 บัดนี้ต้นป่านและข้าวบาร์เลย์ถูกทำลายย่อยยับ เพราะข้าวบาร์เลย์ชูรวงแล้วและต้นป่านก็กำลังออกดอก 32 แต่ข้าวสาลีและข้าวสเปลต์ไม่ถูกทำลายไป เพราะพวกมันเป็นธัญญพืชรุ่นหลัง 33 เมื่อโมเสสจากฟาโรห์และออกไปนอกเมือง เขายกมือขึ้นฟ้าทูลขอพระยาห์เวห์ ฟ้าร้องและลูกเห็บก็หยุด และไม่มีฝนตกลงมาอีก
34 เมื่อฟาโรห์ทรงทราบว่า ทั้งฝน ลูกเห็บ และ ฟ้าร้องได้สงบลงแล้ว ทั้งพระองค์และข้าราชบริพารก็กลับทำบาปอีกและทำให้พระทัยของพระองค์แข็งกร้าว 35 พระทัยฟาโรห์ทรงแข็งกร้าว ดังนั้นพระองค์จึงทรงไม่ยอมให้ประชาชนอิสราเอลออกไป นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์ได้ตรัสไว้กับโมเสสถึงสิ่งที่ฟาโรห์จะทรงกระทำ
1 พระยาห์เวห์จึงตรัสกับโมเสสว่า “จงเข้าไปหาฟาโรห์ เพราะเราได้ทำให้ใจของเขาและใจของบรรดาข้าราชบริพารของเขาแข็งกร้าว เราได้ทำสิ่งนี้เพื่อแสดงหมายสำคัญเหล่านี้แห่งฤทธิ์อำนาจของเราท่ามกลางพวกเขา 2 เราทำสิ่งนี้เพื่อว่าเจ้าจะได้เล่าแก่ลูกและหลานถึงสิ่งที่เราได้ทำ ถึงวิธีที่เรากระทำต่ออียิปต์อย่างรุนแรงและวิธีที่เราได้ให้หมายสำคัญต่างๆ ของอำนาจของเราท่ามกลางพวกเขา ด้วยวิธีนี้พวกเจ้าจะรู้ว่าเราเป็นพระยาห์เวห์”
3 ดังนั้นโมเสสและอาโรนจึงไปเข้าเฝ้าฟาโรห์และทูลพระองค์ว่า “พระยาห์เวห์ พระเจ้าของชาวฮีบรูตรัสดังนี้ว่า ‘เจ้าจะปฏิเสธที่จะถ่อมตนต่อเรานานสักเท่าไร? จงปล่อยประชาชนของเราไปเพื่อนมัสการเรา 4 แต่ถ้าเจ้าปฏิเสธที่จะปล่อยประชาชนของเราไป จงฟัง ในวันพรุ่งนี้เราจะนำฝูงตั๊กแตนเข้ามาในดินแดนของเจ้า
5 พวกมันจะปกคลุมพื้นดินเต็มไปหมดจนไม่มีใครสามารถเห็นพื้นดิน พวกมันจะกินสิ่งใดก็ตามที่เหลือรอดจากลูกเห็บทำลาย พวกมันจะกินต้นไม้ทุกต้นซึ่งงอกขึ้นเพื่อเจ้าในทุ่งนาด้วย 6 พวกมันจะเข้าไปในบ้านของเจ้า ของข้าราชบริพารทุกคนของเจ้า และของคนอียิปต์ ในสิ่งที่บิดาหรือปู่ของเจ้าไม่เคยเห็นเลยตั้งแต่วันที่พวกเขาอาศัยบนดินแดนมาจนทุกวันนี้’” แล้วโมเสสก็ออกไปจากฟาโรห์
7 บรรดาข้าราชบริพารของฟาโรห์ทูลพระองค์ว่า “ชายคนนี้จะเป็นผู้คุกคามเรานานสักเท่าใด? ขอทรงปล่อยชาวอิสราเอลไปนมัสการพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขาเถิด พระองค์ยังไม่ทราบหรือว่าอียิปต์ได้พินาศแล้ว?” 8 โมเสสและอาโรนถูกนำตัวเข้าเฝ้าฟาโรห์อีก ผู้ซึ่งตรัสกับพวกเขาว่า “จงไปนมัสการพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้า แต่ใครจะไปบ้าง?”
9 โมเสสทูลว่า “พวกข้าพระองค์จะไปกับคนหนุ่ม ผู้อาวุโส ทั้งบรรดาบุตรชายและบุตรหญิง เราจะไปกับฝูงแพะแกะและฝูงโค เพราะพวกข้าพระองค์จะต้องจัดงานเลี้ยงถวายแด่พระยาห์เวห์” 10 ฟาโรห์ตรัสกับพวกเขาว่า “ขอพระยาห์เวห์จงสถิตกับพวกเจ้า ถ้าเราให้พวกเจ้าไปและลูกหลานของเจ้าไปด้วย ดูเถอะ เจ้าต้องมีความชั่วร้ายบางอย่างในใจ 11 ไม่ได้ จงไปได้เฉพาะผู้ชายท่ามกลางพวกเจ้า และนมัสการพระยาห์เวห์ เพราะนั่นคือสิ่งที่เจ้าต้องการ” แล้วโมเสสกับอาโรนก็ถูกไล่ไปจากพระพักตร์ฟาโรห์
12 แล้วพระยาห์เวห์จึงตรัสกับโมเสสว่า “จงยกมือขึ้นสู่ท้องฟ้าเหนือดินแดนอียิปต์ไปยังฝูงตั๊กแตน เพื่อพวกมันจะได้โจมตีดินแดนอียิปต์และกินพืชพันธุ์ทุกอย่างซึ่งเหลือจากลูกเห็บทำลาย” 13 โมเสสจึงชูไม้เท้าของเขาออกเหนือดินแดนอียิปต์ และพระยาห์เวห์ก็ทรงนำลมตะวันออกพัดมาเหนือดินแดนตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน เมื่อถึงเวลาเช้า ลมตะวันออกก็หอบฝูงตั๊กแตนมา
14 ฝูงตั๊กแตนลงมาทั่วดินแดนอียิปต์ และเกาะอยู่ทั่วทุกส่วนของอียิปต์ ก่อนนั้นไม่เคยมีตั๊กแตนฝูงใหญ่ในดินแดนอย่างนี้เลย และหลังจากนี้ไปก็จะไม่มีอย่างนั้นอีก 15 พวกฝูงตั๊กแตนต่างปกคลุมทั่วพื้นดินแดนทั้งหมด จนกระทั่งทุกอย่างมืดไป พวกมันกินพืชพันธุ์ทุกอย่างในดินแดน และผลไม้จากต้นทั้งหมดซึ่งเหลือจากลูกเห็บทำลาย ทั่วทั้งดินแดนอียิปต์นั้นไม่มีพืชใบเขียวสดเหลือเลย ไม่ว่าต้นไม้หรือพืชพันธุ์ใดในทุ่งนา
16 แล้วฟาโรห์จึงทรงรีบให้โมเสสและอาโรนเข้าเฝ้าแล้วทรงตรัสว่า “เราได้ทำบาปต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้าและต่อเจ้าด้วย 17 บัดนี้ขอเจ้ายกโทษบาปของเราครั้งนี้ และทูลอธิษฐานต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้า เพื่อพระองค์จะทรงให้ความตายนี้พ้นไปจากเรา” 18 ดังนั้นโมเสสจึงไปจากฟาโรห์ และทูลอธิษฐานต่อพระยาห์เวห์
19 พระยาห์เวห์จึงทรงนำลมทิศตะวันตกที่รุนแรงมากหอบฝูงตั๊กแตนและไปตกในทะเลต้นกก จนไม่เหลือตั๊กแตนแม้แต่ตัวเดียวตลอดเขตแดนอียิปต์ 20 แต่พระยาห์เวห์ทรงให้พระทัยของฟาโรห์แข็งกร้าว และฟาโรห์จึงไม่ทรงยอมปล่อยชาวอิสราเอลไป
21 แล้วพระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “จงยกมือของเจ้าขึ้นสู่ท้องฟ้า เพื่อจะให้มีความมืดทั่วดินแดนอียิปต์ เป็นความมืดจนต้องใช้มือคลำ” 22 โมเสสจึงยกมือขึ้นสู่ท้องฟ้า และก็มีความมืดทึบทั่วดินแดนอียิปต์สามวัน 23 พวกเขามองไม่เห็นซึ่งกันและกันเลย ไม่มีใครออกไปจากบ้านของตนตลอดสามวัน อย่างไรก็ดีบรรดาชาวอิสราเอลทุกคนได้มีแสงสว่างอยู่ในที่ซึ่งพวกเขาอาศัย
24 ฟาโรห์จึงทรงให้โมเสสเข้าเฝ้าและทรงกล่าวว่า “จงไปนมัสการพระยาห์เวห์เถิด ให้ครอบครัวไปกับพวกเจ้า แต่ฝูงแพะและแกะจะต้องอยู่ที่นี่” 25 แต่โมเสสทูลว่า “พระองค์ต้องโปรดประทานให้เรามีเครื่องสัตวบูชาทั้งเครื่องเผาบูชาเพื่อว่าพวกข้าพระองค์จะได้ถวายบูชาแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกข้าพระองค์ 26 ฝูงสัตว์ของพวกข้าพระองค์จะต้องนำไปกับพวกข้าพระองค์ด้วย แม้เพียงเท้าสัตว์กีบเดียวของพวกมันจะไม่เหลือไว้ ด้วยว่าพวกข้าพระองค์จะต้องเอาสัตว์จากฝูงไปถวายพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกข้าพระองค์ ด้วยว่าพวกข้าพระองค์ยังไม่ทราบว่าจะต้องเอาสัตว์ตัวใดมาถวายพระยาห์เวห์จนกว่าจะถึงที่นั่น”
27 แต่พระยาห์เวห์ทรงทำให้พระทัยฟาโรห์แข็งกร้าว และพระองค์จึงไม่ทรงยอมปล่อยพวกเขาไป 28 ฟาโรห์มีรับสั่งกับโมเสสว่า “ไปให้พ้นจากข้า ระวังให้ดี อย่าให้ข้าเห็นหน้าอีก ถ้าข้าเห็นหน้าเจ้าวันไหน เจ้าจะตายวันนั้น” 29 โมเสสจึงทูลว่า “พระองค์เองที่เป็นผู้ทรงตรัสว่าข้าพระองค์จะไม่มาเห็นพระพักตร์พระองค์อีก”
1 แล้วพระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “ยังมีภัยพิบัติอีกอย่างที่เราจะนำมาสู่ฟาโรห์และอียิปต์ จากนั้นฟาโรห์จะให้พวกเจ้าไปจากที่นี่ สุดท้ายเมื่อเขาให้พวกเจ้าไป เขาจะขับไล่พวกเจ้าออกจนหมด 2 จงบอกประชาชนทุกคนทั้งชายและหญิงให้ขอเครื่องเงินและเครื่องทองจากเพื่อนบ้านของตน” 3 บัดนี้พระยาห์เวห์ทรงให้ชาวอียิปต์เมตตาชาวอิสราเอล ยิ่งกว่านั้นโมเสสก็เป็นที่นับถือมากทั้งในสายตาของบรรดาข้าราชบริพารของฟาโรห์และของประชาชนอียิปต์
4 โมเสสกล่าวว่า “พระยาห์เวห์ได้ทรงตรัสดังนี้ว่า ‘สักประมาณเที่ยงคืน เราจะออกไปทั่วดินแดนอียิปต์ 5 บุตรหัวปีทั้งหมดในดินแดนอียิปต์จะตาย ตั้งแต่บุตรหัวปีของฟาโรห์ผู้ประทับบนบัลลังก์ จนถึงบุตรหัวปีของทาสหญิงผู้อยู่หลังเครื่องโม่แป้งที่กำลังโม่แป้ง และลูกหัวปีของฝูงสัตว์ด้วย
6 แล้วจะมีการร้องไห้เสียงดังทั่วดินแดนอียิปต์อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน 7 และต่อไปภายหน้าจะไม่มีอีกเลย จะไม่มีแม้แต่เสียงสุนัขขู่อิสราเอลคนใดๆ ไม่ว่าเป็นคนหรือสัตว์ ในวิธีนี้เจ้าจะรู้ว่าเราจะปฏิบัติต่ออียิปต์และอิสราเอลแตกต่างกัน’ 8 เหล่าข้าราชบริพารทั้งสิ้นของฟาโรห์จะลงมาหาข้าพระองค์และกราบลงที่ข้าพระองค์ พวกเขาจะกล่าวว่า ‘ไปเถิด ขอให้ท่านกับประชาชนที่ติดตามท่านจงไปเสียจากที่นี่เถิด’ หลังจากนั้นข้าพระองค์ก็จะออกไป” แล้วเขาจึงทูลลาฟาโรห์ไปด้วยความโกรธอย่างยิ่ง
9 พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับโมเสสว่า “ฟาโรห์จะไม่ยอมฟังพวกเจ้า นี่ก็เพื่อการที่เราจะทำการอัศจรรย์มากมายในดินแดนอียิปต์” 10 โมเสสกับอาโรนได้ทำการอัศจรรย์เหล่านี้ทั้งสิ้นต่อพระพักตร์ฟาโรห์ แต่พระยาห์เวห์ทรงทำให้พระทัยของฟาโรห์แข็งกร้าว และฟาโรห์จึงไม่ทรงยอมปล่อยประชาชนอิสราเอลให้ออกไปจากดินแดนของพระองค์
1 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสและอาโรนในดินแดนอียิปต์ พระองค์ตรัสว่า 2 “สำหรับพวกเจ้า เดือนนี้จะเป็นเดือนเริ่มต้น เป็นเดือนแรกของปี
3 จงสั่งชุมชนอิสราเอลว่า ‘ในวันที่สิบเดือนนี้ ให้พวกเขาแต่ละคนเอาลูกแกะหรือแพะหนุ่มมาหนึ่งตัวสำหรับพวกเขาเอง แต่ละครอบครัวก็ทำเช่นนี้คือ ลูกแกะครอบครัวละหนึ่งตัว 4 สำหรับลูกแกะหนึ่งตัวถ้าหากครอบครัวใดมีคนน้อยเกินไป ก็ให้ชายคนนั้นและเพื่อนบ้านของเขาเอาเนื้อลูกแกะหรือแพะหนุ่มที่จะเพียงพอสำหรับจำนวนคน คือจะต้องเพียงพอสำหรับทุกคนที่จะกิน ดังนั้นพวกเขาจะต้องเอาเนื้ออย่างเพียงพอที่จะเลี้ยงพวกเขาทั้งหมด
5 ลูกแกะหรือแพะหนุ่มของเจ้าต้องไร้ตำหนิ เป็นตัวผู้อายุหนึ่งปี พวกเจ้าอาจเอาแกะหรือแพะมาหนึ่งตัว 6 พวกเจ้าต้องดูแลมันจนถึงวันที่สิบสี่ของเดือนนั้น แล้วให้ชุมชนอิสราเอลทั้งหมดฆ่าสัตว์เหล่านั้นในตอนพลบค่ำ 7 พวกเจ้าต้องเอาเลือดบางส่วนมาและทาลงบนเสาประตูทั้งสองข้างและด้านบนของกรอบประตูของบ้านที่พวกเจ้าจะกินเนื้อนั้น 8 พวกเจ้าต้องกินเนื้อคืนนั้นหลังจากย่างไฟครั้งแรก กินเนื้อกับขนมปังไร้เชื้อพร้อมกับบรรดาผักรสขม
9 อย่ากินเนื้อดิบหรือต้มในน้ำ แต่จงย่างส่วนหัว ส่วนขา และส่วนเครื่องในของมันบนไฟแทน 10 พวกเจ้าต้องกินไม่ให้เหลือเศษจนถึงเวลาเช้า พวกเจ้าต้องเผาเสียถ้ายังมีเศษเหลือในตอนเช้า 11 นี้เป็นวิธีที่พวกเจ้าจะกินมัน ให้คาดเอวด้วยเข็มขัดให้แน่น สวมรองเท้า และถือไม้เท้าไว้ในมือ พวกเจ้าต้องกินมันอย่างรีบเร่ง การกินนี้คือปัสกาของพระยาห์เวห์
12 พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ เราจะผ่านไปในดินแดนอียิปต์ในคืนนั้น สังหารบุตรหัวปีของคนและสัตว์ทั้งหมดในดินแดนอียิปต์ เราจะนำการลงโทษมายังบรรดาพระของอียิปต์ทั้งหมด เราเป็นพระยาห์เวห์ 13 เลือดจะเป็นเครื่องหมายอยู่บนบ้านของพวกเจ้าเมื่อเรามาหาพวกเจ้า เมื่อเราเห็นเลือดนั้น เราจะผ่านพวกเจ้าไปในขณะที่เราโจมตีดินแดนอียิปต์ ภัยพิบัตินี้จะไม่เกิดกับพวกเจ้าและทำลายพวกเจ้า 14 วันนี้จะกลายเป็นวันที่ระลึกแด่พวกเจ้า พวกเจ้าจะต้องถือปฏิบัติให้เป็นเทศกาลสำหรับพระยาห์เวห์ และมันจะเป็นบัญญัติสำหรับพวกเจ้าเสมอตลอดชั่วยุคสมัยของพวกเจ้าที่พวกเจ้าต้องถือปฏิบัติในวันนี้
15 พวกเจ้าจะต้องกินขนมปังไร้เชื้อในระหว่างเจ็ดวันนี้ ในวันแรกพวกเจ้าจะต้องเอาเชื้อออกจากบ้านของพวกเจ้า ผู้ใดก็ตามที่กินขนมปังที่มีเชื้อตั้งแต่วันแรกจนถึงวันที่เจ็ด คนนั้นจะต้องถูกตัดออกจากการเป็นคนอิสราเอล 16 จะต้องมีการชุมนุมที่เตรียมไว้สำหรับเราในวันแรก และในวันที่เจ็ดจะต้องมีการชุมนุมเช่นเดียวกันนี้ จะต้องไม่ทำงานในวันเหล่านี้ ยกเว้นการปรุงอาหารให้ทุกคนกิน นี่เป็นงานเดียวเท่านั้นที่พวกเจ้ากระทำได้
17 พวกเจ้าต้องถือปฏิบัติเทศกาลขนมปังไร้เชื้อนี้ เพราะในวันนี้เองที่เราจะได้นำประชาชน พลโยธาแต่ละกลุ่ม ออกจากดินแดนอียิปต์ ดังนั้นพวกเจ้าต้องถือปฏิบัติวันนี้ตลอดชั่วยุคสมัยของพวกเจ้า นี้เป็นบัญญัติตลอดไปสำหรับพวกเจ้า 18 พวกเจ้าต้องกินขนมปังไร้เชื้อตั้งแต่ในตอนพลบค่ำของวันที่สิบสี่เดือนแรกของปี จนถึงพลบค่ำวันที่ยี่สิบเอ็ดของเดือน
19 ระหว่างเจ็ดวันเหล่านี้ จะต้องไม่มีเชื้อให้เห็นในบ้านของพวกเจ้า ผู้ใดก็ตามที่กินขนมปังใส่เชื้อจะต้องถูกตัดออกจากชุมชนอิสราเอล แม้ว่าคนนั้นจะเป็นคนต่างด้าวหรือคนที่เกิดในดินแดนของเจ้าก็ตาม 20 พวกเจ้าต้องไม่กินสิ่งใดๆ ที่ทำด้วยเชื้อ ไม่ว่าพวกเจ้าจะอยู่ที่ใดก็ตามพวกเจ้าต้องกินขนมปังไร้เชื้อ’”
21 แล้วโมเสสจึงเรียกพวกผู้อาวุโสทุกคนของอิสราเอลมาพบและพูดกับพวกเขาว่า “จงไปและเลือกลูกแพะหรือลูกแกะที่จะเพียงพอสำหรับเลี้ยงครอบครัวของพวกเจ้าและฆ่าเป็นลูกแกะปัสกา 22 แล้วไปเอากิ่งหุสบมาหนึ่งกำและจุ่มมันลงในเลือดที่อยู่ในอ่าง ใช้เลือดในอ่างป้ายด้านบนของขอบประตูและเสาประตูทั้งสองข้าง ไม่ให้ผู้ใดในพวกเจ้าออกไปนอกประตูบ้านจนกว่ารุ่งเช้า
23 เพราะพระยาห์เวห์จะดำเนินผ่านไปเพื่อจะสังหารชาวอียิปต์ เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นเลือดที่ด้านบนของกรอบประตูและทั้งสองข้างของเสาประตู พระองค์จะทรงผ่านเว้นประตูพวกเจ้า และจะไม่ทรงให้ผู้สังหารเข้าไปในบ้านพวกเจ้าเพื่อจะสังหารเจ้า
24 พวกเจ้าจงถือเหตุการณ์นี้ ให้เป็นบัญญัติถาวรของพวกเจ้าและของลูกหลานพวกเจ้า 25 เมื่อพวกเจ้าเข้าไปในดินแดนซึ่งพระยาห์เวห์จะทรงประทานแก่พวกเจ้า ตามที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้ พวกเจ้าต้องถือพิธีปฏิบัติการนมัสการนี้
26 เมื่อลูกของพวกเจ้าถามว่า ‘พิธีปฏิบัติการนมัสการนี้หมายความว่าอะไร?’ 27 แล้วให้พวกเจ้าจงตอบว่า ‘เป็นการถวายเครื่องบูชาปัสกาแด่พระยาห์เวห์ เพราะพระยาห์เวห์ได้ทรงผ่านเว้นบ้านของคนอิสราเอลในอียิปต์ เมื่อพระองค์ทรงสังหารคนอียิปต์ พระองค์ทรงไว้ชีวิตครอบครัวของพวกเรา’” แล้วประชาชนก็กราบลงนมัสการพระยาห์เวห์ 28 คนอิสราเอลจึงไปและทำตามคำสั่งอย่างเคร่งครัดดังที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชากับโมเสสและอาโรน
29 พระยาห์เวห์ได้ทรงสังหารบุตรหัวปีทุกคนในดินแดนอียิปต์ในเวลาเที่ยงคืน ตั้งแต่บุตรหัวปีของฟาโรห์ผู้ได้ประทับบนบัลลังก์ จนถึงบุตรหัวปีของนักโทษที่อยู่ในคุกและลูกหัวปีของฝูงสัตว์เลี้ยงทุกตัว 30 ฟาโรห์กับพวกข้าราชบริพาร และคนอียิปต์ทุกคนได้ตื่นขึ้นในตอนกลางคืน มีการร่ำไห้ครวญครางเสียงดังทั่วในอียิปต์ เพราะไม่มีบ้านไหนเลยที่ไม่มีคนตาย
31 ในคืนนั้น ฟาโรห์ทรงเรียกโมเสสกับอาโรนให้มาพบ และทรงกล่าวว่า “เจ้าทั้งสองกับคนอิสราเอล ลุกขึ้นซะและออกไปให้พ้นจากคนของเรา ไปนมัสการพระยาห์เวห์ตามที่เจ้าต้องการที่จะทำ 32 เอาฝูงแกะ แพะ และฝูงโคของพวกเจ้าไปด้วยตามที่เจ้าได้พูดไว้ จงไป และอวยพรเราด้วย 33 ฝ่ายคนอียิปต์ก็ได้เร่งเร้าให้พวกเขาออกไปจากดินแดนโดยไว เพราะพวกเขาพูดว่า “พวกเราตายกันหมดแล้ว”
34 ดังนั้นประชาชนจึงนำเอาก้อนแป้งที่ไร้เชื้อไป อ่างขยำแป้งของพวกเขาได้ห่อผ้าและใส่บนบ่าของพวกเขาแบกไป 35 ประชาชนอิสราเอลได้ทำตามที่โมเสสได้สั่งไว้ พวกเขาได้ขอเครื่องเงิน เครื่องทอง และเครื่องนุ่งห่มจากคนอียิปต์ 36 พระยาห์เวห์ทรงกระทำให้คนอิสราเอลเป็นที่พอใจแก่คนอียิปต์ ดังนั้นคนอียิปต์จึงได้ให้สิ่งของตามที่พวกเขาได้ขอ ด้วยวิธีนี้คนอิสราเอลจึงได้ริบเอาสิ่งของต่างๆ จากคนอียิปต์ไป
37 คนอิสราเอลจึงออกเดินทางจากเมืองราเมเสสไปถึงเมืองสุคคท มีผู้ชายเดินเท้าประมาณ 600,000 คน ไม่รวมผู้หญิงและเด็ก 38 มีคนชาติอื่นที่ไม่ใช่คนอิสราเอลติดตามไปด้วย ทั้งฝูงแพะแกะและฝูงโคจำนวนมากมาย 39 พวกเขาปิ้งขนมปังไร้เชื้อจากก้อนแป้งดิบไร้เชื้อที่พวกเขาเอามาจากอียิปต์ ที่ไม่ใส่เชื้อเพราะพวกเขาได้เร่งเร้าให้ออกจากอียิปต์ และไม่อาจล่าช้าเพื่อเตรียมอาหาร 40 คนอิสราเอลได้อาศัยอยู่ในอียิปต์เป็นเวลาทั้งสิ้น 430 ปี
41 ในวันนั้นเองเมื่อครบ 430 ปี พลโยธาทั้งหมดของพระยาห์เวห์ได้เดินทางออกจากดินแดนอียิปต์ 42 คืนวันนี้เป็นคืนที่ต้องเฝ้าระวังเพราะพระยาห์เวห์จะนำพวกเขาออกจากดินแดนอียิปต์ นี่เป็นคืนแห่งพระยาห์เวห์ที่คนอิสราเอลตลอดจนถึงยุคลูกหลานทุกคนต้องถือปฏิบัติ
43 พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับโมเสสและอาโรนว่า “ระเบียบพิธีปัสกาเป็นดังนี้ คืออย่าให้คนต่างชาติร่วมกิน 44 อย่างไรก็ดี ทาสคนอิสราเอลทุกคนซึ่งเอาเงินซื้อมา อาจกินได้ หลังจากเจ้าให้เขาเข้าสุหนัตแล้ว
45 คนต่างด้าวหรือลูกจ้างต้องไม่ให้กินอาหารใดๆ 46 อาหารนั้นให้กินแต่ในบ้านของตน เจ้าต้องไม่นำเนื้อไปนอกบ้าน และไม่หักกระดูกของมัน
47 ชุมชนอิสราเอลทั้งหมดต้องทำพิธีนี้ 48 หากถ้ามีคนต่างด้าวมาอาศัยอยู่กับเจ้า และต้องการจะทำพิธีปัสกาถวายพระยาห์เวห์ จงให้คนเหล่านั้นทุกคนเข้าสุหนัตก่อน แล้วจึงให้เขามาและทำตามพิธีได้ เขาจะเป็นเหมือนคนที่เกิดในดินแดนนั้น แต่ผู้ที่ไม่ได้เข้าสุหนัต จะกินอาหารใดๆ ไม่ได้
49 บทบัญญัตินี้จะต้องปฏิบัติแบบเดียวกันทั้งคนพื้นเมืองและคนต่างด้าวซึ่งอาศัยอยู่ท่ามกลางพวกเจ้า” 50 คนอิสราเอลทุกคนได้ปฏิบัติตามที่พระยาห์เวห์ได้ทรงมีรับสั่งแก่โมเสสและอาโรน 51 ในวันนั้นเองพระยาห์เวห์ได้ทรงนำชาวอิสราเอลออกจากดินแดนอียิปต์โดยแยกเป็นขบวนพลโยธา
1 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า 2 “จงแยกลูกหัวปีทั้งหมดไว้ให้เรา สิ่งที่ออกจากครรภ์ครั้งแรกเพศผู้ทุกชนิดของอิสราเอลไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์ ลูกหัวปีนั้นเป็นของเรา”
3 โมเสสกล่าวแก่ประชาชนว่า “จงจดจำถึงวันนี้ที่พวกเจ้าได้ออกจากเรือนทาสในอียิปต์” เพราะพระหัตถ์อันเข้มแข็งของพระยาห์เวห์ พระองค์ทรงนำพวกเจ้าออกจากที่แห่งนี้ อย่ากินขนมปังที่มีเชื้อเลย 4 พวกเจ้าได้ออกไปจากอียิปต์วันนี้ ในเดือนอาบีบ 5 เมื่อพระยาห์เวห์ทรงนำพวกเจ้ามาถึงดินแดนของคนคานาอัน คนฮิตไทต์ คนอาโมไรต์ คนฮีไวต์ และคนเยบุส ดินแดนที่พระองค์ทรงสัญญาไว้กับบรรพบุรุษของพวกเจ้าว่าจะมอบให้พวกเจ้าเป็นดินแดนที่มีน้ำนมและน้ำผึ้งอุดมสมบูรณ์ พวกเจ้าจงถือพิธีปฏิบัติการนมัสการนี้ในเดือนนี้
6 เป็นเวลาเจ็ดวันพวกเจ้าต้องกินขนมปังไร้เชื้อ ในวันที่เจ็ดจงมีเทศกาลเลี้ยงเพื่อถวายพระเกียรติแด่พระยาห์เวห์ 7 จงกินขนมปังไร้เชื้อตลอดทั้งเจ็ดวัน อย่าให้เห็นขนมปังที่มีเชื้อในหมู่พวกเจ้า อย่าให้เห็นเชื้อใดๆ ตามอาณาเขตของพวกเจ้า
8 ในวันนั้นจงบอกบรรดาบุตรของพวกเจ้าว่า ‘การทำสิ่งนี้ก็เพราะพระยาห์เวห์ทรงกระทำเพื่อพวกเราขณะที่พวกเราออกจากอียิปต์’ 9 สิ่งนี้จะเป็นดังสิ่งเตือนใจที่มือของพวกเจ้าและที่หน้าผากของพวกเจ้า ก็เพื่อพระบัญญัติของพระยาห์เวห์จะได้อยู่ในปากของพวกเจ้า เพราะด้วยพระหัตถ์อันเข้มแข็งของพระยาห์เวห์ที่ได้ทรงนำพวกเจ้าออกมาจากอียิปต์ 10 ฉะนั้นเจ้าจงรักษากฎเกณฑ์นี้ตามกำหนดทุกๆ ปีไป
11 เมื่อพระยาห์เวห์ทรงนำพวกเจ้าไปยังดินแดนของคนคานาอันดังที่ได้ทรงสัญญาไว้กับพวกเจ้าและบรรพบุรุษของพวกเจ้าที่จะทรงกระทำ พระองค์จะประทานดินแดนนั้นแก่พวกเจ้า 12 พวกเจ้าจงถวายลูกหัวปีจากทุกครรภ์แด่พระยาห์เวห์ ลูกสัตว์หัวปีตัวผู้ทุกตัวในฝูงสัตว์ของพวกเจ้าเป็นของพระยาห์เวห์ 13 ลูกลาหัวปีทุกตัว พวกเจ้าต้องซื้อคืนด้วยลูกแกะ ถ้าพวกเจ้าไม่ซื้อคืนท่านจงหักคอมัน แต่บุตรชายหัวปีของพวกเจ้าในท่ามกลางบุตรชายทั้งหมดของพวกเจ้า เจ้าทั้งหลายต้องซื้อพวกเขาคืนมา
14 เมื่อต่อไปภายหน้า เมื่อบุตรชายของพวกเจ้าถามว่า ‘การทำอย่างนี้หมายความว่าอะไร?’ ก็ให้พวกเจ้าตอบเขาว่า ‘เป็นเพราะพระหัตถ์อันเข้มแข็งที่พระยาห์เวห์ได้ทรงนำพวกเราออกจากอียิปต์จากเรือนทาส 15 แต่เมื่อฟาโรห์ดื้อดึงไม่ยอมปล่อยพวกเราออกมา พระยาห์เวห์จึงทรงสังหารลูกหัวปีทั้งหมดในดินแดนอียิปต์ ทั้งลูกหัวปีของคนและลูกหัวปีของสัตว์ นั่นเป็นเหตุที่พ่อถวายบูชาตัวผู้ทุกตัวที่ออกจากครรภ์ครั้งแรกแด่พระยาห์เวห์ แต่เป็นเหตุว่าทำไมพ่อจึงซื้อบุตรชายหัวปีทั้งหมดของพ่อกลับคืน’ 16 สิ่งนี้จะเป็นเหมือนเครื่องเตือนใจบนมือและบนหน้าผากของพวกเจ้า เพราะด้วยพระหัตถ์อันเข้มแข็งของพระยาห์เวห์ทรงนำพวกเราออกจากอียิปต์”
17 เมื่อฟาโรห์ทรงปล่อยพวกประชาชนไปแล้ว พระเจ้าไม่ได้ทรงนำพวกเขาไปทางดินแดนของคนฟีลิสเตีย แม้ว่าจะเป็นทางใกล้ เพราะพระเจ้าทรงกล่าวว่า “บางทีเมื่อประชาชนไปเผชิญสงครามเข้า บางทีพวกเขาอาจจะเปลี่ยนใจและกลับไปยังอียิปต์อีก” 18 ดังนั้นพระเจ้าจึงทรงนำประชาชนอ้อมไปทางแดนทุรกันดารจนถึงทะเลต้นกก คนอิสราเอลก็ออกจากดินแดนอียิปต์พร้อมอาวุธทำสงคราม
19 โมเสสได้เอากระดูกของโยเซฟไปกับท่านด้วย เพราะโยเซฟได้ให้คนอิสราเอลปฏิญาณอย่างจริงจังและกล่าวว่า “พระเจ้าจะทรงช่วยกู้พวกเจ้าอย่างแน่นอน และพวกเจ้าจงเอากระดูกของเราไปกับพวกเจ้าด้วย” 20 พวกอิสราเอลเดินทางออกจากเมืองสุคคท และตั้งค่ายที่เอธามซึ่งอยู่ริมขอบของแดนทุรกันดาร 21 พระยาห์เวห์เสด็จนำทางพวกเขาในเวลากลางวันด้วยเสาเมฆ และในเวลากลางคืนด้วยเสาเพลิง เพื่อให้พวกเขามีแสงสว่าง ด้วยวิธีนี้พวกเขาสามารถเดินทางได้ทั้งกลางวันและกลางคืน 22 พระยาห์เวห์ไม่ได้ทรงเอาเสาเมฆในเวลากลางวันและเสาเพลิงในเวลากลางคืนออกจากเบื้องหน้าประชาชนเลย
1 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า 2 “จงสั่งบรรดาคนอิสราเอลว่า พวกเขาควรย้อนกลับและตั้งค่ายหน้าปิหะหิโรท ระหว่างมิกดลกับทะเล หน้าบาอัลเซโฟน พวกเจ้าจงตั้งค่ายบริเวณริมทะเลตรงข้ามปิหะหิโรท 3 ฟาโรห์จะกล่าวถึงคนอิสราเอลว่า ‘พวกเขากำลังพเนจรในดินแดน แดนทุรกันดารได้ขวางกั้นพวกเขา’
4 เราจะทำให้ใจของฟาโรห์แข็งกร้าว และเขาจะไล่ตามพวกเจ้า เราจะได้รับเกียรติเพราะฟาโรห์และกองทัพทั้งสิ้นของเขา คนอียิปต์จะรู้ว่า เราเป็นพระยาห์เวห์” ดังนั้นคนอิสราเอลได้ตั้งค่ายดังที่พวกเขาได้รับคำสั่ง 5 เมื่อกษัตริย์อียิปต์ทรงทราบว่าคนอิสราเอลหนีไปแล้ว ท่าทีของฟาโรห์และบรรดาข้าราชบริพารของพระองค์ก็เปลี่ยนไปเป็นศัตรูต่อประชาชน พวกเขาพูดว่า “ พวกเราปล่อยอิสราเอลไปเฉยๆ แทนที่จะทำงานรับใช้เรา พวกเราทำอะไรลงไป?”
6 แล้วฟาโรห์ก็ทรงเตรียมพร้อมเหล่ารถม้าและนำกองทัพไปกับพระองค์ 7 พระองค์ทรงนำรถม้าหกร้อยคันกับรถม้าอื่นๆ อีกทั้งหมดของอียิปต์ พร้อมบรรดานายทหารประจำอยู่ทุกคัน 8 พระยาห์เวห์ทรงให้พระทัยของฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์แข็งกร้าว และกษัตริย์ทรงติดตามคนอิสราเอลไป บัดนี้คนอิสราเอลหนีออกไปด้วยชัยชนะ 9 แต่คนอียิปต์ได้ติดตามพวกเขาไป พร้อมม้า รถม้า พลม้า และกองทัพทั้งสิ้นของพระองค์ พวกเขาติดตามไปทันคนอิสราเอลที่ตั้งค่ายอยู่บริเวณริมทะเลตรงข้ามปิหะหิโรท หน้าบาอัลเซโฟน
10 เมื่อฟาโรห์ทรงเข้ามาใกล้ คนอิสราเอลก็ได้เงยหน้าขึ้นดูและประหลาดใจ คนอียิปต์กำลังยกกองทัพติดตามมาด้านหลังพวกเขา และพวกเขาก็หวาดกลัวยิ่งนัก คนอิสราเอลจึงได้ร้องทูลต่อพระยาห์เวห์ 11 พวกเขาได้บอกโมเสสว่า “ในอียิปต์หลุมฝังศพไม่มีหรือ ท่านจึงได้เอาพวกเราออกมาเพื่อตายในแดนทุรกันดารนี้? ทำไมท่านจึงทำกับพวกเราเช่นนี้คือพาพวกเราออกมาจากอียิปต์? 12 พวกเราไม่ใช่หรือบอกท่านแล้วในอียิปต์? พวกเราได้บอกต่อท่านว่า ‘จงปล่อยพวกเราไว้ ให้พวกเรารับใช้คนอียิปต์เถิด’ การทำงานให้พวกเขาก็ยังดีกว่าพวกเรามาตายในแดนทุรกันดาร”
13 โมเสสจึงกล่าวกับประชาชนว่า “อย่ากลัวเลย จงสงบไว้และคอยดูการช่วยกู้ที่พระยาห์เวห์จะทรงทำเพื่อพวกเจ้าในวันนี้ เพราะพวกเจ้าจะไม่ได้เห็นคนอียิปต์ที่เห็นในวันนี้อีก 14 พระยาห์เวห์จะทรงต่อสู้เพื่อพวกเจ้าและพวกเจ้าเพียงยืนนิ่งเถิด”
15 แล้วพระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “โมเสส ทำไมเจ้าจึงมาร้องทุกข์ต่อเราอีกเล่า? จงสั่งคนอิสราเอลให้เดินหน้าต่อไป 16 จงยกไม้เท้าของเจ้าขึ้น แล้วยื่นมือออกไปเหนือทะเลและทำให้ทะเลนั้นแยกออกเป็นสองส่วน เพื่อว่าคนอิสราเอลจะเดินผ่านทะเลบนดินแห้งได้ 17 จงรู้ว่าเราก็จะทำให้ใจคนอียิปต์แข็งกร้าวแล้วตามพวกเจ้ามา เราจะได้รับการยกย่องเพราะฟาโรห์และกองกำลัง รถม้า และพลม้าทั้งหมดของเขา 18 เมื่อเราได้รับเกียรติเพราะรถม้าและพลม้าของฟาโรห์แล้ว คนอียิปต์จะรู้ว่าเราเป็นพระยาห์เวห์”
19 ทูตสวรรค์ของพระเจ้าซึ่งนำหน้าอิสราเอลก็กลับไปอยู่ข้างหลัง เสาเมฆเคลื่อนจากข้างหน้าและก็กลับมาตั้งอยู่ข้างหลังพวกเขา 20 เสาเมฆมาอยู่ระหว่างค่ายของอียิปต์และค่ายของอิสราเอล เป็นเมฆมืดแก่คนอียิปต์ แต่เป็นแสงสว่างในเวลากลางคืนแก่คนอิสราเอล โดยแต่ละฝ่ายไม่ได้เข้าใกล้กันทั้งคืน
21 โมเสสได้ยื่นมือออกเหนือทะเล พระยาห์เวห์ได้ทรงบันดาลให้ลมตะวันออกพัดโหมให้น้ำทะเลไหลกลับตลอดคืน และทำให้ทะเลกลายเป็นดินแห้ง โดยวิธีนี้น้ำทะเลได้แยกออกจากกัน 22 คนอิสราเอลจึงพากันเดินผ่านกลางทะเลบนดินแห้ง น้ำนั้นตั้งเป็นเหมือนกำแพงขึ้นมาสำหรับพวกเขาทั้งทางขวาและทางซ้าย
23 คนอียิปต์จึงไล่ตามไป คนอียิปต์ได้ตามหลังพวกเขาไปถึงกลางทะเล ทั้งม้า รถม้าและพลม้าทั้งสิ้นของฟาโรห์ 24 แต่เมื่อเวลาย่ำรุ่งพระยาห์เวห์ทอดพระเนตรจากเสาเพลิงและเสาเมฆทรงเห็นกองทัพของอียิปต์ พระองค์ทรงทำให้คนอียิปต์เกิดโกลาหล 25 ล้อรถม้าติดและพลม้าขับด้วยความลำบาก ดังนั้นคนอียิปต์จึงพูดกันว่า “ให้พวกเราหนีจากคนอิสราเอลเถิด เพราะพระยาห์เวห์ทรงต่อสู้กับคนอียิปต์เพื่อพวกเขา”
26 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “จงยื่นมือออกเหนือทะเล เพื่อให้น้ำทะเลไหลกลับคืนมาท่วมคนอียิปต์ ทั้งรถม้าและพลม้าของพวกเขา” 27 ดังนั้นโมเสสจึงยื่นมือออกเหนือทะเล เมื่อรุ่งเช้าทะเลก็ไหลกลับดังเดิม คนอียิปต์พากันหนีกระแสน้ำ แต่พระยาห์เวห์ทรงกวาดคนอียิปต์ลงกลางทะเล 28 น้ำทะเลไหลกลับท่วมรถม้าและพลม้า และกองทัพทั้งหมดของฟาโรห์ซึ่งตามพวกเขาเข้าไปในทะเล ไม่มีใครรอดชีวิต
29 อย่างไรก็ตาม ฝ่ายคนอิสราเอลเดินไปตามดินแห้งกลางทะเล น้ำทะเลตั้งขึ้นเหมือนกำแพงสำหรับพวกเขาทั้งทางขวาและทางซ้าย 30 ด้วยเหตุนี้ในวันนั้นพระยาห์เวห์ทรงโปรดช่วยให้คนอิสราเอลรอดพ้นจากเงื้อมมือคนอียิปต์ และคนอิสราเอลก็ได้เห็นศพคนอียิปต์อยู่ที่ชายทะเล 31 เมื่อคนอิสราเอลเห็นฤทธิ์อำนาจยิ่งใหญ่ซึ่งพระยาห์เวห์ที่ทรงทำต่อชาวอียิปต์ ประชาชนจึงถวายพระเกียรติแด่พระยาห์เวห์ และพวกเขาไว้วางใจพระยาห์เวห์และในโมเสสผู้รับใช้ของพระองค์
1 แล้วโมเสสกับประชาชนอิสราเอลได้ร้องเพลงถวายพระยาห์เวห์ พวกเขาร้องว่า “ข้าพระองค์จะร้องเพลงถวายแด่พระยาห์เวห์ เพราะพระองค์ทรงได้ชัยชนะอย่างใหญ่หลวง พระองค์ทรงกวาดม้าและพลม้าลงในทะเล
2 พระยาห์เวห์นั้นทรงเป็นพลังและเพลงของข้าพระองค์ และพระองค์ทรงเป็นความรอดของข้าพระองค์ พระองค์นี่แหละเป็นพระเจ้าของข้าพระองค์ และข้าพระองค์จะสรรเสริญพระองค์ พระเจ้าแห่งบิดาของข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะยกย่องพระองค์ 3 พระยาห์เวห์ทรงเป็นนักรบ พระยาห์เวห์คือพระนามของพระองค์
4 พระองค์ทรงเหวี่ยงรถม้าและกองทัพของฟาโรห์ลงทะเล นายทหารชั้นยอดของฟาโรห์ก็จมในทะเลต้นกก 5 น้ำได้ท่วมพวกเขามิด พวกเขาได้จมลงลึกเหมือนก้อนหิน
6 พระยาห์เวห์ พระหัตถ์ขวาของพระองค์ทรงอานุภาพยิ่ง พระยาห์เวห์ พระหัตถ์ขวาของพระองค์ทรงบดขยี้ศัตรู 7 ด้วยเดชานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ พระองค์ทรงคว่ำศัตรูของพระองค์ พระองค์ทรงส่งพระพิโรธของพระองค์เผาไหม้พวกเขาอย่างเผาตอข้าว 8 โดยลมที่ระบายจากพระนาสิกของพระองค์ น้ำทะเลก็รวมตัวเป็นกองสูง น้ำลึกที่ใจกลางของทะเลก็แข็งตัว
9 ข้าศึกพูดว่า ‘ข้าจะติดตาม ข้าจะไล่ให้ทัน ข้าจะแบ่งของริบกัน ข้าจะพอใจที่ได้ทำกับพวกเขาสมดังใจ ข้าจะดึงดาบออก มือข้าจะทำลายพวกเขา’ 10 แต่พระองค์ทรงเป่าด้วยลมของพระองค์ และน้ำทะเลได้ท่วมพวกเขา พวกเขาจึงจมลงเหมือนตะกั่วในกระแสน้ำทะเลอันยิ่งใหญ่ 11 ในบรรดาพระต่างๆ พระไหนจะเป็นเหมือนพระองค์เล่า? พระยาห์เวห์ พระไหนจะเหมือนพระองค์ผู้ทรงสง่าผ่าเผยในความศักดิ์สิทธิ์ น่าถวายพระเกียรติด้วยคำสรรเสริญ และทรงทำการมหัศจรรย์?
12 พระองค์ทรงเหยียดพระหัตถ์ขวาของพระองค์ออก และดินแดนก็กลืนพวกเขา 13 ในความสัตย์ซื่อในพันธสัญญาของพระองค์ พระองค์ทรงนำประชาชนซึ่งพระองค์ทรงช่วยกู้ไว้ ด้วยพระอานุภาพ พระองค์ทรงพาพวกเขามาถึงที่อันศักดิ์สิทธิ์ที่พระองค์สถิต
14 ประชาชนทั้งหลายจะได้ยิน และพวกเขาจะสะทกสะท้าน ความหวาดกลัวก็จะเกาะกุมชาวฟีลิสเตีย 15 ครั้งนั้นพวกเจ้านายแห่งเอโดมจะพากันหวาดผวา พวกทหารแห่งโมอับจะตัวสั่น คนคานาอันทั้งปวงจะละลายไป
16 ความสยดสยองและความกลัวจะอุบัติขึ้นในพวกเขา เนื่องด้วยฤทธานุภาพแห่งพระกรของพระองค์ พวกเขาจะหยุดนิ่งอยู่เหมือนก้อนหิน จนกว่าประชาชนของพระองค์ผ่านไป ข้าแต่พระยาห์เวห์ จนกว่าประชาชนซึ่งพระองค์ทรงช่วยกู้ไว้แล้วผ่านไป
17 พระองค์จะทรงนำพวกเขา และให้เขาตั้งบนภูเขาที่เป็นทรัพย์สินของพระองค์ ข้าแต่พระยาห์เวห์ สถานที่ซึ่งพระองค์ทรงสร้างไว้เป็นที่เพื่อสถิต ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า สถานนมัสการ ที่ซึ่งพระหัตถ์ของพระองค์ทรงตั้งไว้ 18 พระยาห์เวห์จะทรงครอบครองอยู่ตลอดไป”
19 เมื่อบรรดาม้ากับรถม้าและพลม้าของฟาโรห์ลงไปในทะเล พระยาห์เวห์ก็ทรงให้น้ำทะเลไหลมาท่วมพวกเขา แต่คนอิสราเอลเดินไปบนดินแห้งที่ตรงกลางทะเล 20 มิเรียมผู้เผยพระวจนะหญิง พี่สาวของอาโรนก็ถือรำมะนา และบรรดาหญิงทั้งหมดก็ถือรำมะนาเต้นรำไปพร้อมกับเธอ 21 มิเรียมร้องเพลงตอบพวกเขาว่า “จงถวายเพลงสรรเสริญพระยาห์เวห์เพราะพระองค์ทรงได้ชนะอย่างยิ่งใหญ่ บรรดาม้าและพลม้าพระองค์ทรงกวาดลงในทะเล”
22 ต่อมาเมื่อโมเสสนำคนอิสราเอลออกจากทะเลต้นกก พวกเขาไปยังแดนทุรกันดารชูร์ พวกเขาเดินทางไปในแดนทุรกันดารสามวันและไม่พบน้ำเลย 23 จากนั้นพวกเขามาถึงตำบลมาราห์ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถดื่มน้ำที่นั้นได้ เพราะน้ำขม เพราะฉะนั้นจึงเรียกสถานที่นั้นว่า มาราห์
24 ดังนั้นประชาชนก็พากันบ่นต่อว่าโมเสสและกล่าวว่า “เราจะเอาอะไรดื่ม?” 25 โมเสสร้องทูลพระยาห์เวห์ และพระยาห์เวห์จึงทรงชี้ให้โมเสสเห็นต้นไม้ต้นหนึ่ง เมื่อโมเสสโยนมันลงน้ำ น้ำก็หวานดื่มได้ ที่แห่งนั้นพระยาห์เวห์ประทานกฎหมายที่เข้มงวดไว้และที่นั่นพระองค์ทรงทดสอบพวกเขา 26 พระองค์ตรัสว่า “ถ้าพวกเจ้าฟังเสียงของพระยาห์เวห์อย่างตั้งใจ พระเจ้าของพวกเจ้า และทำสิ่งที่เที่ยงธรรมในสายพระเนตรของพระองค์ และถ้าพวกเจ้าใช้หูฟังคำสั่งของพระองค์ และรักษากฎหมายของพระองค์ทุกข้อ เราจะไม่ให้โรคต่างๆ ซึ่งเราให้เกิดแก่คนอียิปต์นั้นเกิดขึ้นกับพวกเจ้าเลย เพราะเราเป็นพระยาห์เวห์ผู้ทรงเยียวยาพวกเจ้า”
27 แล้วประชาชนมาถึงเอลิม ที่นั่นมีบ่อน้ำพุสิบสองบ่อ และมีต้นอินทผลัมเจ็ดสิบต้น พวกเขาจึงตั้งค่ายที่ใกล้บ่อน้ำนั้น
1 ประชาชนเดินทางออกจากเอลิม และชุมชนของอิสราเอลก็มาถึงแดนทุรกันดารสิน ระหว่างตำบลเอลิมกับภูเขาซีนาย ในวันที่สิบห้าเดือนที่สอง หลังจากออกดินแดนอียิปต์ 2 ชุมชนทั้งหมดของอิสราเอลพากันต่อว่าโมเสสและอาโรนในแดนทุรกันดาร 3 คนอิสราเอลกล่าวกับพวกเขาว่า “ถ้าหากขณะเมื่อนั่งอยู่ใกล้หม้อเนื้อและรับประทานอาหารจนอื่มแล้วพวกเราก็ตายในดินแดนอียิปต์ด้วยพระหัตถ์ของพระยาห์เวห์ก็ยังดีกว่า เนื่องจากพวกเจ้ากลับนำพวกเราออกมายังแดนทุรกันดารนี้ เพื่อจะฆ่าชุมชนทั้งหมดด้วยความหิวเท่านั้น”
4 แล้วพระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “เราจะให้อาหารตกลงมาเหมือนฝนจากท้องฟ้า แล้วประชาชนจะออกไปและเก็บแต่พอกินเฉพาะหนึ่งวัน เพื่อว่าเราจะทดสอบพวกเขาว่า พวกเขาจะดำเนินตามบัญญัติของเราหรือไม่ 5 ต่อมาในวันที่หก พวกเขาจะเก็บมานาเพิ่มเป็นสองเท่าของวันอื่นๆ ก่อนหน้านี้ และพวกเขาจะปรุงอาหารด้วยสิ่งที่เขานำมา”
6 แล้วโมเสสกับอาโรนจึงบอกประชาชนอิสราเอลทั้งหมดว่า “พวกเจ้าจะได้รู้ในเวลาเย็นว่า พระยาห์เวห์ทรงเป็นผู้นำพวกเจ้าออกจากดินแดนอียิปต์ 7 ในเวลาเช้าพวกเจ้าจะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระยาห์เวห์ พระยาห์เวห์ทรงได้ยินคำที่ท่านเรียกร้องพระองค์แล้ว เราทั้งสองเป็นใครเล่าพวกเจ้าจึงมาเรียกร้องต่อพวกเรา?” 8 โมเสสจึงกล่าวอีกว่า “พวกเจ้าจะได้รู้ว่าในเวลาเย็นพระยาห์เวห์ประทานเนื้อให้พวกเจ้าและในเวลาเช้าจะประทานอาหารให้พวกเจ้ากินจนอิ่ม เพราะพระองค์ทรงได้ยินคำบ่นของพวกเจ้าต่อว่าพระองค์ ข้าพเจ้าและอาโรนเป็นใครเล่า? พวกเจ้าไม่ได้เรียกร้องพวกเรา แต่พวกเจ้าได้เรียกร้องพระยาห์เวห์”
9 โมเสสกล่าวกับอาโรนว่า “จงบอกชุมชนอิสราเอลทั้งสิ้นว่า ‘จงมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ เพราะพระองค์ทรงได้ยินคำบ่นของพวกเจ้าแล้ว’” 10 ต่อมาขณะที่อาโรนกล่าวกับชุมชนอิสราเอลทั้งหมดอยู่นั้น พวกเขาได้มองไปทางแดนทุรกันดาร และดูเถิด ความรุ่งโรจน์ของพระยาห์เวห์มีในเมฆ 11 แล้วพระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า 12 “เราได้ยินคำบ่นของประชาชนอิสราเอลแล้ว จงกล่าวแก่พวกเขาว่า ‘ในเวลาเย็นพวกเจ้าจะได้กินเนื้อ และในเวลาเช้าเจ้าจะได้อาหารกินจนอิ่ม แล้วเจ้าจะรู้ว่า เราเป็นพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้า’”
13 ครั้นถึงเวลาเย็น ฝูงนกคุ่มได้บินมาเต็มค่าย ในเวลาเช้าก็มีน้ำค้างรอบค่าย 14 เมื่อน้ำค้างระเหยไปแล้ว มีเกล็ดเหมือนน้ำค้างแข็งอยู่บนพื้นดินในถิ่นทุรกันดารนั้น 15 เมื่อประชาชนอิสราเอลได้เห็นจึงพูดกันว่า “นี่อะไรหนอ?” เพราะพวกเขาไม่ทราบว่าเป็นสิ่งใด โมเสสจึงกล่าวแก่พวกเขาว่า “นี่เป็นอาหารที่พระยาห์เวห์ทรงให้พวกเจ้ากิน
16 สิ่งนี่เป็นคำสั่งที่พระยาห์เวห์ทรงให้ไว้คือ ‘ให้ทุกคนเก็บเท่าที่พอรับประทานอิ่ม ให้เก็บคนละโอเมอร์ตามจำนวนของแต่ละคน นี่คือวิธีที่ท่านจะเก็บ จงเก็บพอกินสำหรับทุกคนที่อาศัยอยู่ในเต็นท์ของพวกเจ้า’” 17 ประชาชนอิสราเอลก็ทำตามสิ่งนั้น บางคนเก็บมาก บางคนเก็บน้อย 18 เมื่อพวกเขาใช้โอเมอร์ตวง คนที่เก็บได้มากก็ไม่มีเหลือ และคนที่เก็บได้น้อยก็ไม่ขาดแคลน แต่ละคนเก็บได้เพียงพอต่อความต้องการของพวกเขา
19 แล้วโมเสสสั่งพวกเขาว่า “อย่าให้ใครเก็บเหลือไว้จนเช้า” 20 อย่างไรก็ตาม แต่พวกเขาไม่เชื่อฟังโมเสส บางคนเหลือไว้จนเช้า อาหารนั้นก็เน่าเป็นหนอนและบูดเหม็น แล้วโมเสสจึงโกรธพวกเขา 21 พวกเขารวบรวมทุกๆ เช้า เท่าที่คนหนึ่งพอกินได้ในวันนั้น พอแดดเริ่มร้อน มันก็ละลาย
22 ต่อมาเมื่อถึงวันที่หก พวกเขาเก็บอาหารสองเท่าคือคนละสองโอเมอร์ ผู้นำทั้งหมดของชุมชนจึงเข้ามาและบอกโมเสส 23 โมเสสจึงกล่าวกับพวกเขาว่า “พระยาห์เวห์ทรงสั่งว่า ‘พรุ่งนี้เป็นการหยุดอย่างจริงจัง เป็นสะบาโตบริสุทธิ์ถวายแด่พระยาห์เวห์ จะปิ้งอะไรก็ให้ปิ้ง และจะต้มอะไรก็ให้ต้มเสียตามที่พวกเจ้าต้องการ ส่วนที่เหลือทั้งหมดของพวกเจ้า จงเก็บไว้จนถึงวันรุ่งขึ้น’”
24 เมื่อพวกเขาเก็บไว้จนถึงวันรุ่งขึ้นตามที่โมเสสแนะนำ อาหารนั้นไม่บูดและไม่มีหนอนในนั้น 25 โมเสสบอกว่า “จงกินอาหารนั้นในวันนี้ เพราะว่าวันนี้เป็นวันสะบาโตถวายเกียรติพระยาห์เวห์ วันนี้พวกเจ้าจะไม่พบอาหารเช่นนั้นในทุ่งนา
26 พวกเจ้าจะเก็บอาหารระหว่างหกวันเว้นในวันที่เจ็ดซึ่งเป็นสะบาโต ในวันสะบาโตจะไม่มีมานา” 27 ในวันที่เจ็ด คนบางคนได้ออกไปเก็บมานา แต่พวกเขาก็ไม่พบ
28 แล้วพระยาห์เวห์ทรงตรัสกับโมเสสว่า “พวกเจ้าจะปฎิเสธคำสั่งและพระบัญญัติของเราไปนานสักเท่าใด? 29 ดูเถิด พระยาห์เวห์ทรงประทานวันสะบาโตกับพวกเจ้า นั่นเป็นเหตุว่าในวันที่หกพระองค์จะทรงให้อาหารให้พอสำหรับสองวัน ให้แต่ละคนพักในที่ของตน อย่าให้ใครออกจากที่พักในวันที่เจ็ดนั้นเลย” 30 ดังนั้นประชาชนจึงได้พักในวันที่เจ็ด
31 ประชาชนอิสราเอลเรียกอาหารนั้น ว่า “มานา” เป็นเม็ดสีขาวเหมือนเมล็ดผักชี และมีรสเหมือนขนมปังกรอบที่ผสมน้ำผึ้ง 32 โมเสสกล่าวว่า “นี่คือคำบัญชาของพระยาห์เวห์ว่า ‘จงเอามานาหนึ่งโอเมอร์ เก็บไว้ตลอดชั่วลูกชั่วหลานของเจ้า เพื่อลูกหลานจะได้เห็นอาหารซึ่งเราเลี้ยงพวกเจ้าในแดนทุรกันดาร หลังจากเรานำพวกเจ้าออกจากดินแดนอียิปต์’”
33 โมเสสพูดกับอาโรนว่า “จงเอาหม้อลูกหนึ่งและเอามานาหนึ่งโอเมอร์ใส่เก็บไว้ ให้เก็บรักษามานาไว้เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ชั่วลูกชั่วหลานของพวกเจ้า” 34 ตามที่พระยาห์เวห์ได้ทรงบัญชาโมเสส อาโรนจึงวางหม้อมานาข้างหีบพันธสัญญา 35 ประชาชนอิสราเอลกินมานาสี่สิบปีจนกระทั่งพวกเขามาถึงดินแดนที่จะอาศัยอยู่ พวกเขากินมานาจนมาถึงชายแดนดินแดนคานาอัน 36 หนึ่งโอเมอร์นั้นเท่ากับหนึ่งในสิบเอฟาห์
1 ชุมชนอิสราเอลทั้งหมดออกเดินทางจากแดนทุรกันดารสินตามพระบัญชาของพระยาห์เวห์ พวกเขาตั้งค่ายที่เรฟีดิม แต่ที่นั่นไม่มีน้ำให้ผู้คนดื่ม 2 ดังนั้นประชาชนจึงต่อว่าโมเสสถึงสถานการณ์ของพวกเขาและพูดว่า “หาน้ำพวกเราดื่มซิ” โมเสสจึงบอกว่า “พวกเจ้าหาเรื่องเราทำไม? ทำไมพวกเจ้าทดสอบพระยาห์เวห์?” 3 ผู้คนกระหายน้ำมาก และพวกเขาเรียกร้องกับโมเสสว่า “ทำไมท่านจึงได้พาพวกเราออกจากอียิปต์? มาเพื่อให้พวกเรา ทั้งบุตรและฝูงสัตว์ของพวกเราอดน้ำตายหรือ?”
4 แล้วโมเสสจึงร้องทูลพระยาห์เวห์ว่า “ข้าพระองค์จะทำอย่างไรดีกับคนพวกนี้ดี? พวกเขาเกือบเอาหินขว้างข้าพระองค์” 5 พระยาห์เวห์จึงทรงตรัสกับโมเสสว่า “จงเดินล่วงหน้าประชาชนไป และนำพวกผู้อาวุโสบางคนของอิสราเอลไปกับเจ้า จงเอาไม้เท้าที่เจ้าใช้ตีแม่น้ำนั้นไปด้วย 6 เราจะยืนอยู่ต่อหน้าเจ้าที่นั่น บนหินที่ภูเขาโฮเรบ และเจ้าจะตีหินนั้น แล้วน้ำจะไหลออกมาจากหินให้ประชาชนดื่ม” แล้วโมเสสก็ทำดังนั้นต่อหน้าต่อตาพวกผู้อาวุโสของอิสราเอล 7 ท่านเรียกชื่อสถานที่นั้นว่า มัสสาห์ และเมรีบาห์ เพราะคำต่อว่าของคนอิสราเอลและเพราะพวกเขาได้ทดสอบองค์พระผู้เป็นเจ้าโดยพูดว่า “พระยาห์เวห์สถิตอยู่ท่ามกลางพวกเราจริงหรือ?”
8 แล้วกองทัพคนอามาเลขได้ยกมาและจู่โจมคนอิสราเอลที่เรฟีดิม 9 ดังนั้นโมเสสจึงสั่งโยชูวาว่า “จงเลือกผู้ชายบางคนและออกไป เพื่อสู้รบกับคนอามาเลข จงสู้รบกับคนอามาเลข พรุ่งนี้ข้าพเจ้าจะยืนบนยอดเขาพร้อมกับถือไม้เท้าของพระเจ้าในมือ” 10 ดังนั้นโยชูวาได้ต่อสู้กับคนอามาเลขตามคำสั่งของโมเสส ขณะที่โมเสส อาโรน และเฮอร์ขึ้นไปบนยอดเขานั้น
11 ขณะที่โมเสสยกมือขึ้นเมื่อไร อิสราเอลก็ได้เปรียบ เมื่อท่านลดมือลงเมื่อไรพวกอามาเลขก็เป็นต่อเมื่อนั้น 12 เมื่อมือของโมเสสเมื่อยล้า อาโรนกับเฮอร์จึงนำก้อนหินมาและวางให้โมเสสนั่ง ในเวลาเดียวกันอาโรนกับเฮอร์ก็ช่วยยกมือท่านขึ้นคนละข้าง ดังนั้นมือทั้งคู่ของโมเสสจึงชูอย่างมั่นคงอยู่จนตะวันตกดิน 13 ดังนั้นโยชูวาจึงเอาชนะประชาชนอามาเลขได้ด้วยดาบ
14 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “จงเขียนข้อความเหล่านี้ลงในหนังสือและอ่านให้โยชูวาฟัง เพราะเราจะล้างชื่ออามาเลขให้สิ้นไม่ให้ปรากฏในความทรงจำภายใต้ฟ้าอีกเลย” 15 แล้วโมเสสจึงสร้างแท่นบูชาและท่านเรียกชื่อแท่นว่า “พระยาห์เวห์ทรงเป็นธงของข้า” 16 ท่านกล่าวว่า “เพราะมีมือหนึ่งยกขึ้นไปยังบัลลังก์ของพระยาห์เวห์ พระยาห์เวห์จะทรงทำสงครามกับคนอามาเลขทุกชั่วลูกหลาน”
1 พ่อตาของโมเสส เยโธรปุโรหิตแห่งมีเดียน ได้ยินถึงงานทุกอย่างที่พระเจ้าทรงกระทำเพื่อโมเสส และเพื่ออิสราเอลประชาชนของพระองค์ เขาได้ยินว่าพระยาห์เวห์ทรงนำอิสราเอลออกจากอียิปต์ 2 เยโธรพ่อตาของโมเสสรับศิปโปราห์ภรรยาของโมเสสไว้ หลังจากที่โมเสสส่งเธอกลับไปยังบ้าน 3 พร้อมกับบุตรชายทั้งสองคนของเธอบุตรชายคนหนึ่งชื่อเกอร์โชม เพราะโมเสสได้กล่าวว่า “ข้าพเจ้าเป็นคนต่างด้าวในต่างแดน” 4 คนอีกคนหนึ่งชื่อเอลีเอเซอร์ เพราะโมเสสได้กล่าวว่า “พระเจ้าของบรรพบุรุษข้าพเจ้าเป็นผู้ช่วยของข้าพเจ้า พระองค์ทรงให้ข้าพเจ้าพ้นดาบของฟาโรห์”
5 เยโธรพ่อตาของโมเสสพาภรรยาและบุตรทั้งสองคนนั้นมาหาโมเสสในแดนทุรกันดาร ที่เขาตั้งค่ายอยู่ที่ภูเขาของพระเจ้า 6 เขาบอกโมเสสว่า “ข้าพเจ้า เยโธรพ่อตาของเจ้า พาภรรยาของท่านกับบุตรชายทั้งสองของนางมาหาเจ้า”
7 โมเสสออกไปพบพ่อตา กราบลงและจูบเขา พวกเขาได้สอบถามทุกข์สุขกันและกัน แล้วพากันเข้าไปในเต็นท์ 8 โมเสสเล่าให้พ่อตาฟังถึงเหตุการณ์ทุกอย่างซึ่งพระยาห์เวห์ได้ทรงกระทำกับฟาโรห์และกับชาวอียิปต์เพราะทรงเห็นแก่อิสราเอล ทั้งความเหน็ดเหนื่อยลำบากทุกอย่างซึ่งเกิดขึ้นในช่วงระหว่างกลางทาง และวิธีที่พระยาห์เวห์ทรงโปรดช่วยพวกเขาให้พ้นอันตราย
9 เยโธรก็ชื่นชมยินดีที่ได้ทราบถึงคุณความดีทุกอย่างซึ่งพระยาห์เวห์ทรงทำกับคนอิสราเอล ผู้ซึ่งพระองค์ทรงโปรดช่วยกู้พวกเขาให้รอดพ้นจากเงื้อมมือคนอียิปต์ 10 เยโธรกล่าวว่า “สาธุการแด่พระยาห์เวห์ ผู้ทรงช่วยกู้เจ้าให้รอดจากเงื้อมมือคนอียิปต์และจากพระหัตถ์ของฟาโรห์ และทรงช่วยประชาชนให้พ้นจากเงื้อมมือของคนอียิปต์ 11 บัดนี้ข้าพเจ้าทราบแล้วว่าพระยาห์เวห์ทรงเป็นใหญ่กว่าพระทั้งสิ้น เพราะเมื่อคนอียิปต์ข่มเหงอิสราเอลอย่างน่าหนักหน่วง พระองค์ก็ได้ทรงช่วยกู้ประชาชนของพระองค์”
12 เยโธรพ่อตาของโมเสสได้นำเครื่องเผาบูชาและเครื่องถวายบูชาถวายแด่พระเจ้า ส่วนอาโรนกับบรรดาผู้อาวุโสของอิสราเอลทั้งสิ้นได้มากินอาหารเฉพาะพระพักตร์พระเจ้ากับพ่อตาของโมเสส
13 ในวันต่อมา โมเสสนั่งตัดสินความให้ประชาชน ประชาชนยืนห้อมล้อมเขาตั้งแต่เช้าจนเย็น 14 เมื่อพ่อตาของโมเสสได้มองเห็นทุกอย่างที่โมเสสทำเพื่อประชาชน จึงกล่าวว่า “นี่เจ้าใช้วิธีอะไรปฏิบัติกับประชาชนเล่า? ทำไมเจ้าจึงนั่งทำงานอยู่คนเดียว และประชาชนทั้งหมดก็ยืนล้อมเจ้าตั้งแต่เช้าจนเย็นงั้นหรือ?”
15 โมเสสตอบพ่อตาว่า “ประชาชนมาหาข้าพเจ้า เพื่อขอให้ทูลถามถึงคำชี้นำของพระเจ้า 16 เมื่อพวกเขามีการเถียงกัน พวกเขาก็มาหาข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ตัดสินความระหว่างคนหนึ่งกับอีกคนหนึ่ง และข้าพเจ้าก็สอนเขาให้รู้จักกฎเกณฑ์ของพระเจ้าและพระบัญญัติของพระองค์”
17 พ่อตาของโมเสสจึงกล่าวกับเขาว่า “สิ่งที่เจ้าทำไม่ใช่สิ่งที่ดีมาก 18 เจ้าและประชาชนที่อยู่กับเจ้านั้นจะอ่อนล้า เพราะภาระนี้หนักเหลือกำลังของเจ้า เจ้าไม่สามารถทำคนเดียวได้ 19 จงฟังข้าพเจ้าบ้าง ข้าพเจ้าจะให้คำแนะนำแก่เจ้า และขอให้พระเจ้าสถิตกับเจ้า เพราะเจ้าเป็นตัวแทนของประชาชนต่อพระเจ้า และเจ้านำความขัดแย้งกราบทูลพระเจ้า 20 เจ้าจงสั่งสอนพวกเขาให้รู้กฎเกณฑ์และพระบัญญัติ เจ้าต้องชี้ทางแก่พวกเขาถึงการดำเนินชีวิตและสิ่งที่ต้องปฏิบัติ
21 นอกจากนั้น เจ้าจงเลือกคนที่มีความสามารถจากประชาชนทั้งหมด ที่ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า ที่รักความจริง และเกลียดการได้รับความอยุติธรรม จงตั้งเขาไว้เหนือประชาชน เพื่อเป็นผู้นำในการดูแลคนพันคนบ้าง ร้อยคนบ้าง ห้าสิบคนบ้าง สิบคนบ้าง 22 พวกเขาจะตัดสินคดีของประชาชนทุกกรณีที่เป็นกิจวัตรประจำวัน แต่คดีที่ยุ่งยากให้พวกเขานำมาแจ้งต่อเจ้า แต่คดีเล็กๆ น้อยๆ ให้พวกเขาตัดสินเอง ด้วยวิธีนี้ก็จะทำให้การงานของเจ้าจะง่ายขึ้น และพวกเขาจะแบกภาระกับเจ้า 23 ถ้าเจ้าทำดังนี้ และถ้าพระเจ้าทรงบัญชาเจ้าให้ทำเช่นนั้น เจ้าก็จะสามารถทนได้ และประชาชนทั้งหมดนี้ก็จะไปยังที่อาศัยของตนด้วยความพึงพอใจ”
24 ดังนั้นโมเสสจึงเชื่อฟังถ้อยคำของพ่อตา และทำตามที่เขาได้กล่าวทุกสิ่ง 25 โมเสสได้เลือกผู้ที่มีความสามารถจากคนอิสราเอลทั้งหมด และตั้งพวกเขาให้เป็นหัวหน้าของประชาชน ผู้นำเหล่านี้จะดูแลประชาชนพันคนบ้าง ร้อยคนบ้าง ห้าสิบคนบ้าง สิบคนบ้าง 26 พวกเขาตัดสินคดีของประชาชนในสถานการณ์ปกติ แต่คดีที่ยุ่งยาก พวกเขาจึงนำไปแจ้งโมเสส ส่วนคดีเล็กๆ น้อยๆ พวกเขาตัดสินเอง 27 แล้วโมเสสได้ส่งพ่อตาของท่านกลับไป และเยโธรจึงกลับไปยังดินแดนของเขา
1 ในเดือนที่สามหลังจากประชาชนอิสราเอลได้ออกจากดินแดนอียิปต์ ในวันนั้นพวกเขาก็มาถึงแดนทุรกันดารซีนาย 2 เมื่อพวกเขาเคลื่อนออกจากเรฟีดิมและมาถึงแดนทุรกันดารซีนาย พวกเขาก็ได้ตั้งค่ายอยู่ในแดนทุรกันดาร ทางด้านหน้าภูเขา
3 โมเสสได้ไปหาพระเจ้า พระยาห์เวห์ตรัสกับเขาจากภูเขานั้นว่า “จงบอกวงศ์วานยาโคบและประชาชนอิสราเอลดังนี้ว่า 4 พวกเจ้าได้เห็นสิ่งที่เราทำกับคนอียิปต์แล้ว ถึงวิธีที่เราอุ้มชูพวกเจ้าขึ้นดุจดังปีกนกอินทรีและนำพวกเจ้ามาถึงเรา 5 บัดนี้ถ้าพวกเจ้าฟังเสียงเราจริงๆ และรักษาพันธสัญญาของเราไว้ แล้วพวกเจ้าจะเป็นสมบัติพิเศษของเราในท่ามกลางชนชาติทั้งหลาย เพราะดินแดนทั้งสิ้นเป็นของเรา 6 พวกเจ้าจะเป็นอาณาจักรปุโรหิต และเป็นชนชาติบริสุทธิ์สำหรับเรา เหล่านี้เป็นถ้อยคำที่เจ้าต้องบอกกับประชาชนอิสราเอล”
7 ดังนั้นโมเสสได้เรียกชุมนุมพวกผู้อาวุโสของประชาชน แล้วเขาประกาศข้อความเหล่านี้ทั้งหมดต่อหน้าพวกเขาตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาเขา 8 ประชาชนทั้งหมดตอบพร้อมกันว่า “พวกเราจะทำทุกอย่างที่พระยาห์เวห์ได้ตรัสนั้น” แล้วโมเสสจึงมาเพื่อรายงานถ้อยคำของประชาชนแด่พระยาห์เวห์ 9 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “เราจะมาหาเจ้าในเมฆทึบ เพื่อว่าประชาชนจะได้ยินเมื่อเราพูดกับเจ้า แล้วจะได้เชื่อถือเจ้าตลอดไป” แล้วโมเสสจึงทูลเกี่ยวกับถ้อยคำทั้งหลายของประชาชนต่อพระยาห์เวห์
10 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “วันนี้และพรุ่งนี้จงไปหาประชากร เจ้าต้องให้พวกเขาชำระตัวให้บริสุทธิ์สำหรับเรา และให้พวกเขาชำระเสื้อผ้าของตนให้สะอาด 11 ในวันที่สามจงเตรียมตัวไว้ให้พร้อม เพราะในวันที่สามนั้นพระยาห์เวห์จะเสด็จลงมาบนภูเขาซีนาย
12 เจ้าต้องกำหนดเขตแดนให้ประชากรนั้นอยู่รอบภูเขา แล้วกำชับว่า ‘จงระวังตัวให้ดี อย่าขึ้นไปบนภูเขาหรือถูกต้องเชิงเขานั้น ใครถูกต้องภูเขาจะต้องมีโทษถึงตายอย่างแน่นอน’ 13 ห้ามผู้ใดเอามือถูกต้องผู้นั้น แต่เขาต้องถูกขว้างหรือยิงด้วยก้อนหิน ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์ ก็ต้องถูกลงโทษถึงตาย เมื่อมีเสียงแตรเป่ายาว ให้พวกเขาขึ้นมาที่ตีนเขานั้น”
14 แล้วโมเสสจึงลงจากภูเขามาหาประชากร เขาได้แยกประชากรไว้สำหรับพระยาห์เวห์ และให้พวกเขาชำระซักเสื้อผ้า 15 เขากล่าวกับประชากรว่า “เจ้าทั้งหลายจงเตรียมตัวไว้ให้พร้อมในวันที่สาม อย่าเข้าใกล้ภรรยาของเจ้า”
16 เมื่อถึงตอนเช้าก็เกิดฟ้าร้องฟ้าแลบ และมีเมฆทึบคลุมภูเขานั้นกับมีเสียงแตรดังมาก จนประชาชนทุกคนในค่ายพากันพากันกลัวจนสั่นสะท้าน 17 โมเสสได้พาประชาชนออกจากค่ายไปเข้าเฝ้าพระเจ้า และพวกเขาได้มายืนอยู่ที่เชิงเขา 18 ภูเขาซีนายมีควันคลุมอยู่ทั้งหมด เพราะพระยาห์เวห์เสด็จลงมายังภูเขานั้นในเพลิง และควันก็พลุ่งขึ้น เสมือนควันจากเตาเผา และภูเขาทั้งลูกก็สั่นสะเทือนอย่างแรง
19 เมื่อเสียงแตรยิ่งดังขึ้นๆ โมเสสจึงกราบทูล และพระเจ้าตรัสกับเขาด้วยเสียงพูด 20 พระยาห์เวห์เสด็จลงมาบนภูเขาซีนายมาที่ยอดเขา และพระองค์ทรงเรียกโมเสสให้ขึ้นไปบนยอดเขา ดังนั้นโมเสสก็ได้ขึ้นไป 21 พระยาห์เวห์ตรัสสั่งโมเสสว่า “เจ้าจงลงไปและกำชับประชาชน ไม่ให้ล่วงล้ำเข้ามาเพื่อที่จะมองดูเรา มิฉะนั้นหลายคนในพวกเขาจะต้องตาย 22 พวกปุโรหิตที่เข้ามาใกล้เรานั้น ให้พวกเขาชำระตัวให้บริสุทธิ์ เตรียมตัวเองให้พร้อมต่อการมาของเรา เพื่อที่ว่าเราจะไม่สังหารพวกเขา”
23 โมเสสกราบทูลพระยาห์เวห์ว่า “ประชาชนขึ้นมาบนภูเขาซีนายไม่ได้ เพราะพระองค์ทรงบัญชาพวกข้าพระองค์ว่า ‘จงกั้นเขตรอบภูเขานั้น และกันไว้สำหรับพระยาห์เวห์’” 24 พระยาห์เวห์จึงทรงกล่าวกับโมเสสว่า “เจ้าจงลงไปจากภูเขา และพาอาโรนขึ้นมากับเจ้าด้วย แต่อย่าให้พวกปุโรหิตและประชาชนล่วงล้ำเขตที่จะขึ้นมาถึงเรา มิฉะนั้นเราจะสังหารพวกเขา” 25 ดังนั้นโมเสสจึงลงไปหาประชาชนและได้บอกพวกเขา
1 พระเจ้าตรัสพระวจนะทั้งสิ้นเหล่านี้ว่า 2 “เราเป็นพระยาห์เวห์ พระเจ้าของพวกเจ้า ผู้ได้นำพวกเจ้าออกจากดินแดนอียิปต์ คือออกจากเรือนทาส 3 พวกเจ้าต้องไม่มีพระเจ้าอื่นใดต่อหน้าเรา
4 พวกเจ้าต้องไม่ทำรูปแกะสลักสำหรับตน หรือรูปเหมือนของสิ่งใดๆ ซึ่งมีอยู่ในท้องฟ้าเบื้องบน หรือในแผ่นดินโลกเบื้องล่าง หรือสิ่งที่อยู่ในน้ำเบื้องล่าง 5 พวกเจ้าต้องไม่กราบไหว้หรือสักการะสิ่งเหล่านั้น เพราะเราเป็นพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้า เป็นพระเจ้าที่หวงแหน เราจะลงโทษความชั่วของบรรพบุรุษโดยนำการลงโทษตกทอดไปถึงลูกหลาน จนถึงสามชั่วและสี่ชั่วอายุคนของผู้ที่ชังเรา 6 แต่เราแสดงความมีสัจจะต่อพันธสัญญาต่อคนนับพันเหล่านั้นที่รักเราและถือรักษาพระบัญญัติของเรา
7 พวกเจ้าจะต้องไม่ออกพระนามพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้าไปในทางที่ผิด เพราะเราจะไม่เอาโทษคนที่ใช้พระนามของเราไปในทางที่ผิดนั้นก็หามิได้
8 จงจดจำวันสะบาโต ให้ถือเป็นวันบริสุทธิ์ต่อเรา 9 พวกเจ้าจงทำงานทั้งหมดของพวกเจ้าเป็นเวลาหกวัน 10 แต่วันที่เจ็ดนั้นนับเป็นสะบาโตสำหรับพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้า วันนั้นพวกเจ้าต้องไม่ทำงานอื่นใด ไม่ว่าพวกเจ้าเอง หรือบุตรชาย บุตรหญิงของพวกเจ้า หรือทาสชาย ทาสหญิงของพวกเจ้า หรือสัตว์เลี้ยงของพวกเจ้า หรือคนต่างด้าวที่อาศัยภายในประตูทั้งหลายของพวกเจ้า 11 เพราะในหกวัน พระยาห์เวห์ได้ทรงสร้างท้องฟ้า และแผ่นดินโลก ทะเล และสรรพสิ่งซึ่งมีอยู่ในที่เหล่านั้น และทรงพักในวันที่เจ็ด ฉะนั้นพระยาห์เวห์ทรงอวยพรวันสะบาโต และทรงตั้งวันนั้นเป็นวันบริสุทธิ์
12 จงให้เกียรติแก่บิดาและมารดาของพวกเจ้า เพื่อพวกเจ้าจะมีอายุยืนในแผ่นดิน ซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้าประทานแก่พวกเจ้า 13 พวกเจ้าต้องไม่ฆ่าผู้ใด 14 พวกเจ้าต้องไม่ทำละเมิดประเวณี
15 พวกเจ้าต้องไม่ขโมยผู้อื่น 16 พวกเจ้าต้องไม่เป็นพยานเท็จใส่ร้ายเพื่อนบ้านของพวกเจ้า พวกเจ้าต้องไม่ละโมบเอาบ้านของเพื่อนบ้าน 17 พวกเจ้าต้องไม่โลภภรรยาของเพื่อนบ้าน ทาสชาย ทาสหญิงของเขา หรือโค ลาของเขา หรือสิ่งใดๆ ซึ่งเป็นของเพื่อนบ้าน”
18 ประชาชนทุกคนได้เห็นฟ้าแลบและได้ยินเสียงฟ้าร้อง อีกทั้งได้ยินเสียงแตร และเห็นควันที่ขึ้นจากภูเขา เมื่อประชาชนเห็นสิ่งเหล่านั้น พวกเขาก็กลัวจนตัวสั่นและยืนอยู่แต่ไกล 19 พวกเขาจึงกล่าวกับโมเสสว่า “จงบอกพวกเราเถิด และพวกเราจะฟัง แต่อย่าให้พระเจ้าตรัสกับพวกเราเลย มิฉะนั้นพวกเราจะตาย” 20 โมเสสกล่าวกับประชาชนว่า “อย่ากลัวเลย เพราะว่าพระเจ้าเสด็จมาเพื่อทรงทดสอบพวกเจ้าเพื่อว่าพวกเจ้าจะได้ถวายพระเกียรติแด่พระองค์ และเพื่อพวกเจ้าจะไม่ได้ทำบาป” 21 ดังนั้นประชาชนจึงยืนอยู่แต่ไกล และโมเสสได้เข้าไปใกล้ความมืดหนาทึบที่พระเจ้าสถิตอยู่นั้น
22 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “ สิ่งนี้แหละ ที่เจ้าจะต้องบอกคนอิสราเอลคือ ‘พวกเจ้าเองได้เห็นแล้วว่า เราพูดกับเจ้าจากท้องฟ้า 23 พวกเจ้าต้องไม่สร้างรูปพระอื่นใดสำหรับตัวพวกเจ้าเองมาเปรียบกับเรา ไม่ว่าพระเจ้านั้นจะทำด้วยเงินหรือทองคำ
24 พวกเจ้าต้องสร้างแท่นบูชาที่ทำด้วยดินสำหรับเรา และพวกเจ้าต้องถวายบูชาเครื่องบูชาเผา และเครื่องสันติบูชาบนแท่นบูชานั้นด้วยแกะและโค ในทุกแห่งที่เราต้องการได้รับเกียรติจากนามของเรา เราจะมาหาพวกเจ้าและอวยพรพวกเจ้า 25 ถ้าพวกเจ้าสร้างแท่นบูชาด้วยศิลา พวกเจ้าต้องไม่สร้างด้วยศิลาที่ตกแต่งแล้ว เพราะถ้าเจ้าใช้เครื่องมือตกแต่งศิลานั้น เจ้าจะทำให้ศิลานั้นเป็นมลทิน 26 พวกเจ้าต้องไม่เดินตามขั้นบันไดขึ้นไปยังแท่นบูชาของเรา เพื่อป้องกันเจ้าไม่ให้เป็นที่อุจาดตา’”
1 “บัดนี้เหล่านี้เป็นกฎต่างๆ ซึ่งพวกเจ้าต้องตั้งไว้ต่อหน้าเขาทั้งหลายคือ
2 ‘หากพวกเจ้าซื้อทาสชาวฮีบรู เขาจะรับใช้พวกเจ้าหกปี และปีที่เจ็ดเขาจะไปเป็นอิสระได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าไถ่ตัว 3 หากเขามาคนเดียว เขาจะต้องเป็นอิสระเพียงคนเดียว หากเขาแต่งงาน ภรรยาของเขาก็จะเป็นอิสระกับเขาด้วย 4 หากนายหาภรรยาให้เขา และภรรยาได้ให้กำเนิดบุตรชายหรือบุตรหญิงให้เขา ภรรยากับบุตรเหล่านั้นของเธอจะเป็นของพวกเจ้านาย และเขาจะต้องเป็นอิสระเพียงคนเดียว
5 แต่หากทาสนั้นมาพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ข้าพเจ้ารักนาย ภรรยา และบุตรของข้าพเจ้าข้าพเจ้าไม่อยากออกไปเป็นอิสระ” 6 แล้วจงให้นายพาทาสนั้นไปเข้าเฝ้าพระเจ้า นายจงพาเขาไปที่ประตูหรือเสาประตู และให้นายเจาะหูเขาด้วยเหล็กหมาด แล้วเขาก็จะอยู่รับใช้นายตลอดชีวิต
7 หากผู้ชายใดขายบุตรหญิงเป็นทาสหญิง เธอจะไม่ได้เป็นอิสระเหมือนทาสชาย 8 หากหญิงนั้นไม่เป็นที่พึงพอใจของนายผู้ซึ่งได้รับเธอไว้ แล้วเขาก็ต้องยอมให้เธอถูกซื้อคืนไป แต่ชายนั้นไม่มีสิทธิ์จะขายเธอไปให้คนต่างชาติ เขาไม่มีสิทธิ์กระทำเช่นนั้นเพราะเขาปฏิบัติไม่ซื่อตรงต่อเธอ
9 หากนายยกหญิงนั้นให้เป็นภรรยาของบุตรชายของตน นายต้องปฏิบัติต่อหญิงนั้นดุจเป็นบุตรหญิงของตน 10 หากเขาไปหาผู้หญิงอื่นอีกคนมาเป็นภรรยา เขาต้องไม่ลดอาหาร เสื้อผ้า และสิทธิการสมรสของเธอ 11 แต่หากเขาไม่ได้มอบสามสิ่งนี้แก่เธอ แล้วหญิงนั้นสามารถเป็นอิสระได้โดยไม่ต้องเสียค่าไถ่ตัวอื่นใด
12 ใครก็ตามตีคนหนึ่งแล้วเขาตาย ผู้นั้นจะต้องมีโทษตายอย่างแน่นอน 13 หากคนนั้นทำไปโดยไม่ได้ไตร่ตรองไว้ล่วงหน้า แต่ด้วยเหตุบังเอิญ แล้วเราจะสร้างที่แห่งหนึ่งให้เขาหนีไปลี้ภัย 14 หากใครเจตนาฆ่าเพื่อนบ้านและวางแผนฆ่าคนโดยเจตนา จงนำตัวผู้นั้นออกไปแม้ว่าเขาจะอยู่ที่แท่นบูชาของพระเจ้า เพื่อทำโทษเขาให้ตาย
15 ใครก็ตามที่ทุบตีบิดาหรือมารดาของเขาต้องมีโทษตายอย่างแน่นอน 16 ใครก็ตามขโมยพาตัวคนไปและผู้ขโมยขายเขา หรือเจอว่าผู้นั้นอยู่ในความครอบครองของเขา ผู้ขโมยนั้นจะต้องมีโทษถึงตายอย่างแน่นอน 17 ใครก็ตามที่แช่งด่าบิดาหรือมารดาของตน ผู้นั้นต้องมีโทษถึงตายอย่างแน่นอน
18 หากผู้ชายต่อสู้กัน และฝ่ายหนึ่งนำหินขว้างหรือทุบด้วยกำปั้น และแต่อีกฝ่ายหนึ่งไม่ถึงแก่ความตาย แต่เจ็บป่วยต้องนอนพักที่เตียงของเขา 19 แล้วหากเขาหายและสามารถเดินได้แต่ต้องใช้ไม้เท้าของเขา ผู้ตีนั้นจะต้องเสียค่าเสียเวลา และค่าดูแลรักษาทั้งหมดจนเขาหายเป็นปกติ แต่คนที่ทำร้ายนั้นจะไม่มีความผิดเชิงฆาตกรรม
20 หากใครทุบตีทาสชายหรือทาสหญิงของตนด้วยไม้ และหากทาสนั้นจนถึงแก่ความตายจากการตี ผู้นั้นต้องมีโทษอย่างแน่นอน 21 อย่างไรก็ดี หากทาสนั้นมีชีวิตต่อไปภายในหนึ่งหรือสองวัน นายก็ไม่ต้องถูกลงโทษ เพราะเขาต้องทรมานใจจากการสูญเสียทาสนั้น
22 หากผู้ชายตีกัน แล้วไปทำให้หญิงมีครรภ์บาดเจ็บจนเธอทำให้เด็กคลอดก่อนกำหนดหรือแท้ง แต่เธอไม่ได้รับอันตราย คนที่ทำร้ายเธอจะต้องจ่ายค่าปรับที่สามีของหญิงนั้นเรียกเอาจากเขา และเขาจะต้องจ่ายตามที่ผู้พิพากษาได้ตัดสินโทษ 23 แต่หากเธอได้รับบาดเจ็บสาหัส แล้วพวกเจ้าต้องจ่ายด้วยชีวิต 24 ตาต่อตา ฟันต่อฟัน มือต่อมือ เท้าต่อเท้า 25 รอยไหม้ต่อรอยไหม้ แผลต่อแผล รอยช้ำต่อรอยช้ำ
26 หากใครทุบตีที่ตาของทาสชายหรือทาสหญิงแล้วทำให้ตาเขาบอด แล้วเขาจะต้องปลดปล่อยทาสผู้นั้น เพื่อจ่ายแทนดวงตาของทาสนั้น 27 หากใครทำให้ฟันของทาสชายหรือทาสหญิงหลุดไป เขาต้องให้ทาสผู้นั้นเป็นอิสระเพื่อจ่ายแทนฟัน
28 หากโคขวิดชายหรือหญิงตาย จงนำหินขว้างโคจนตาย และห้ามกินเนื้อของมัน แต่เจ้าของโคตัวนั้นไม่มีโทษ 29 แต่หากโคมีนิสัยชอบขวิดคนมาก่อนหน้านั้น และมีผู้มาเตือนให้เจ้าของทราบแล้ว แต่เจ้าของไม่ได้ดูแลขังมันไว้ และมันได้ขวิดคนตายไปไม่ว่าชายหรือหญิง ให้นำหินขว้างโคนั้นจนตาย และให้ลงโทษเจ้าของจนตายด้วย 30 หากเรียกร้องการจ่ายด้วยชีวิตของเขา เขาต้องเสียค่าไถ่ตัวตามจำนวนที่เขาได้เรียกให้จ่าย
31 หากโคนั้นขวิดบุตรชายหรือบุตรหญิง เจ้าของโคจะต้องปฏิบัติตามกฎที่เรียกร้องให้เขาปฏิบัติ 32 ถ้าโคนั้นขวิดทาสชายหรือทาสหญิงของผู้ใด เจ้าของโคต้องให้เงินสามสิบเชเขล แล้วต้องเอาหินขว้างโคนั้นให้ตาย
33 หากใครเปิดหรือขุดบ่อแล้วไม่ได้ปิด และมีโคหรือลาตกลงไปในบ่อนั้น 34 เจ้าของบ่อต้องจ่ายเงินจ่ายค่าเสียหาย เขาต้องจ่ายให้แก่เจ้าของสัตว์ และสัตว์ที่ตายนั้นจะตกเป็นของเจ้าของบ่อ
35 หากโคของใครทำร้ายโคของอีกคนจนตาย แล้วเขาต้องขายโคที่เป็น และมาแบ่งเงินกัน และโคที่ตายนั้นก็แบ่งให้เท่าๆ กันด้วย 36 แต่หากรู้แล้วว่าโคมีนิสัยชอบขวิดคนมาก่อนหน้านั้น และเจ้าของไม่ได้ขังไว้ เจ้าของต้องจ่ายทดแทนด้วยโค และโคที่ตายก็ตกเป็นของเขา
1 หากใครขโมยโคหรือแกะไปฆ่าหรือขาย ผู้นั้นต้องจ่ายโคห้าตัวแทนโคหนึ่งตัว และแกะสี่ตัวแทนแกะหนึ่งตัว 2 หากใครเห็นขโมยกำลังเข้ามา และหากเขาได้ตีขโมยนั้นจนตาย ในกรณีนั้นจะไม่มีความผิดในการฆาตกรรมตกแก่คนนั้นในคดีของเขา 3 แต่หากพระอาทิตย์ขึ้นแล้วก่อนที่เขาบุกรุกเข้ามา ความผิดฐานฆาตกรรมจะตกแก่ผู้ฆ่าเขานั้น ขโมยนั้นต้องจ่าย หากเขาไม่มีอะไรจะชดใช้ให้ เขาต้องขายตัวเองเพื่อจ่ายสิ่งที่เขาขโมยไป 4 หากเจอสัตว์ที่ขโมยไปนั้นยังเป็นอยู่ในการครอบครองของเขา จะเป็นโคหรือลาหรือแกะ ขโมยต้องจ่ายค่าปรับเป็นสองเท่า
5 หากใครปล่อยฝูงสัตว์ของตนไปกินหญ้าในท้องทุ่งหรือในสวนองุ่น และปล่อยให้มันหลง เข้าไปกินหญ้าในที่นาของอีกคน เขาจะต้องจ่ายด้วยพืชส่วนที่ดีที่สุดจากท้องทุ่งและจากสวนองุ่นของตัวเอง
6 หากไฟลุกและลามไปติดพุ่มหนามจนถึงกองข้าว หรือต้นข้าวซึ่งไม่ได้เก็บเกี่ยว หรือติดทุ่งนาจนเสียหมด ผู้ที่เป็นต้นเพลิงต้องจ่ายค่าเสียหายทั้งหมด
7 หากใครฝากเงินหรือสิ่งของไว้กับเพื่อนบ้านเพื่อให้เขาดูแล แล้วของถูกขโมยไปจากผู้นั้น หากจับขโมยได้ ขโมยต้องจ่ายค่าปรับป็นสองเท่า 8 แต่หากจับขโมยไม่ได้ ก็ให้เจ้าของบ้านมาเจอผู้พิพากษา เพื่อรับการพิจารณาว่าใช่ตัวเขาเองหรือไม่ที่ขโมยสมบัติของเพื่อนบ้าน 9 ในคดีฟ้องร้องทุกสิ่ง จะเป็นเรื่องโค ลา แกะ เสื้อผ้า หรือเรื่องสิ่งของอื่นใด ที่หายไป ซึ่งบางคนกล่าวว่า “สิ่งนี้เป็นของฉัน” ให้ทั้งสองฝ่ายนำกรณีพิพาทไปเจอผู้พิพากษา ผู้พิพากษาตัดสินว่าใครผิด ผู้นั้นจะต้องใช้ค่าจ่ายเป็นสองเท่าแก่เพื่อนบ้านของเขา
10 หากใครฝากลา โค แกะ หรือสัตว์อื่นใด ไว้กับเพื่อนบ้านของเขา แล้วสัตว์ตาย หรือบาดเจ็บ หรือถูกต้อนไปโดยไม่มีใครเจอ 11 จงให้ทั้งสองคนนั้นสาบานต่อพระยาห์เวห์ว่า คนหนึ่งคนใดได้นำทรัพย์สินของเพื่อนบ้านไว้ในมือของเขาหรือไม่ แล้วเจ้าของนั้นจะต้องยอมรับ ส่วนผู้รับฝากนั้นไม่ต้องชดใช้ 12 แต่หากสิ่งของถูกขโมยไปจากเขา อีกฝ่ายหนึ่งต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่เจ้าของ 13 หากสัตว์นั้นถูกฉีกเป็นชิ้น ให้อีกคนนำซากมาให้ตรวจดูเป็นหลักฐาน เขาไม่ต้องชดใช้สำหรับสัตว์ที่ถูกฉีก
14 หากใครยืมสัตว์จากเพื่อนบ้าน แล้วมันเกิดอาการบาดเจ็บ หรือตายช่วงเวลาที่เจ้าของไม่อยู่ อีกคนต้องจ่ายเต็มตามจำนวน 15 แต่หากเจ้าของอยู่ด้วย อีกคนไม่ต้องจ่ายค่าจ่าย หากเป็นสัตว์เช่า ให้จ่ายแต่ค่าเช่าเท่านั้น
16 หากชายใดหลอกลวงหญิงสาวพรหมจารีที่ยังไม่ได้หมั้นหมาย และเขาหลับนอนกับหญิงนั้น เขาต้องรับเธอมาเป็นภรรยาของเขาโดยจ่ายเงินค่าสินใส่ตามที่เรียก 17 หากบิดาของนางไม่ยอมยกเธอให้แก่เขา เขาก็ต้องจ่ายเงินค่าสินสอดเท่าธรรมเนียมสู่การขอหญิงสาวพรหมจารีนั้น
18 พวกเจ้าต้องไม่ให้แม่มดมีชีวิตอยู่ 19 ใครร่วมสมสู่กับสัตว์จะต้องมีโทษถึงตาย
20 ใครถวายบูชาแด่พระอื่นใด นอกจากพระยาห์เวห์ ผู้นั้นต้องถูกทำลาย 21 พวกเจ้าต้องไม่ทำผิดต่อคนต่างชาติหรือข่มเหงเขา เพราะพวกเจ้าก็เคยเป็นคนต่างชาติในดินแดนอียิปต์
22 พวกเจ้าต้องไม่รังแกหญิงม่ายหรือลูกกำพร้าบิดา 23 หากพวกเจ้ารังแกเขา และหากเขาได้มากล่าวทุกข์ต่อเรา เราจะรับฟังคำกล่าวทุกข์ของเขาอย่างแน่นอน 24 แล้วความโกรธของเราจะมีขึ้น และเราจะสังหารพวกเจ้าด้วยดาบ ภรรยาของพวกเจ้าจะเป็นม่าย และบุตรของพวกเจ้าจะกำพร้า
25 หากพวกเจ้าให้ประชาชนของเราคนใดที่เป็นคนจนท่ามกลางพวกเจ้ายืมเงินไป พวกเจ้าต้องไม่ถือว่าตนเป็นพวกเจ้าหนี้ และอย่าคิดดอกเบี้ยจากเขา 26 หากพวกเจ้ายึดเสื้อคลุมของเพื่อนบ้านไว้เป็นของค้ำประกัน พวกเจ้าต้องคืนของนั้นให้เขาก่อนพระอาทิตย์ตกดิน 27 เพราะสิ่งนั้นเป็นสิ่งเดียวสำหรับคลุม และเสื้อผ้านั้นก็สำหรับปกคลุมร่างกายของเขา เขาจะใช้อะไรห่มนอน? เมื่อเขากล่าวทุกข์ต่อเรา เราจะฟังเขา เพราะเรามีใจกรุณาปรานี
28 พวกเจ้าต้องไม่ดูหมิ่นเรา พระเจ้า หรือสาปแช่งผู้ปกครองประชาชนของพวกเจ้า
29 พวกเจ้าต้องไม่ช้าที่จะถวายเครื่องบูชาที่จากการเก็บเกี่ยวของพวกเจ้าหรือจากบ่อย่ำองุ่นของพวกเจ้า พวกเจ้าต้องถวายบุตรชายหัวปีของพวกเจ้าแก่เรา 30 พวกเจ้าต้องถวายลูกหัวปีของโค และของแกะของพวกเจ้าเหมือนกัน จงให้ลูกอยู่กับแม่ของมันได้เจ็ดวัน แต่พอถึงวันที่แปดต้องนำมาถวายเรา 31 พวกเจ้าเป็นประชาชนที่บริสุทธิ์สำหรับเรา ดังนั้นพวกเจ้าต้องไม่กินเนื้อสัตว์ที่ถูกฉีกตายในทุ่งนา แต่พวกเจ้าจงโยนซากนั้นให้สุนัขกิน
1 พวกเจ้าจะต้องไม่ให้การเท็จถึงกับคนใดคนหนึ่ง จงอย่าร่วมมือกับคนชั่วโดยการเป็นพยานเท็จ 2 พวกเจ้าต้องไม่ทำชั่วตามอย่างคนพวกมาก หรือไม่เป็นพยานโดยเข้าข้างคนพวกมาก จะทำให้เสียความชอบธรรมไป 3 พวกเจ้าจะต้องไม่เข้าข้างคนจนในคดีของเขา
4 หากพวกเจ้าเจอโคหรือลาของศัตรูหลงมา พวกเจ้าต้องพาไปส่งคืนเขาให้จงได้ 5 หากพวกเจ้าเห็นลาของผู้ที่เกลียดชังพวกเจ้าล้มลงเพราะบรรทุกของหนัก พวกเจ้าต้องไม่เมินเฉยคนนั้น พวกเจ้าจงช่วยเขากับลาของเขาให้จงได้
6 พวกเจ้าจะต้องไม่บิดเบือนความชอบธรรมที่คนจนสมควรได้รับในคดีของเขา 7 จงไม่ร่วมกับคนอื่นในการใส่ความเท็จ และไม่สังหารคนบริสุทธิ์ และคนชอบธรรม เพราะเราจะไม่ปล่อยคนทำชั่ว 8 อย่ารับสินบน เพราะว่าสินบนทำให้คนตาดีกลายเป็นคนตาบอด และทำให้ถ้อยคำของคนซื่อสัตย์บิดเบือนไปได้ 9 พวกเจ้าต้องไม่ข่มเหงคนต่างชาติ เพราะพวกเจ้ารู้จักชีวิตคนต่างชาติแล้ว เมื่อพวกเจ้าก็เคยเป็นคนต่างชาติในดินแดนอียิปต์
10 ตลอดหกปีพวกเจ้าจะหว่านพืชในนาของพวกเจ้าและเก็บเกี่ยวผลของมัน 11 แต่ในปีที่เจ็ดนั้น พวกเจ้าจะงดไถและปล่อยนาให้ว่างไว้ เพื่อให้ประชาชนที่ยากจนท่ามกลางพวกเจ้าได้เก็บกิน ของเหลือไว้ก็ให้สัตว์ป่ากิน พวกเจ้าจะต้องทำเหมือนกันกับสวนองุ่นและสวนมะกอก
12 ในช่วงหกวันพวกเจ้าจะทำงานของพวกเจ้า แต่ในวันที่เจ็ด พวกเจ้าจงพัก จงทำเช่นนี้เพื่อโคและลาของพวกเจ้าจะได้พัก และบุตรชายของทาสหญิงของพวกเจ้า กับคนต่างชาติจะได้พักและให้สดชื่นขึ้น 13 จงตั้งใจปฏิบัติทุกสิ่งที่เราสั่งพวกเจ้านั้น อย่าออกชื่อพระอื่นๆ หรืออย่ากล่าวชื่อของพระเหล่านั้นให้ได้ยินจากปากของพวกเจ้า
14 พวกเจ้าต้องเดินทางไปฉลองเทศกาลถวายให้เราปีละสามครั้ง 15 พวกเจ้าจงจัดเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อ ตามที่เราสั่งพวกเจ้าไว้ พวกเจ้าจะกินขนมปังไร้เชื้อเป็นเวลาเจ็ดวัน เพราะในเวลานั้น พวกเจ้าจะเข้าพบเราในเดือนอาบีบซึ่งได้กำหนดไว้ ในเดือนนี้พวกเจ้าได้ออกจากอียิปต์ แต่พวกเจ้าต้องไม่เข้าพบเราด้วยมือเปล่า
16 พวกเจ้าต้องจัดเทศกาลเลี้ยงฉลองการเก็บเกี่ยว พืชแรกที่มาจากแรงงานของพวกเจ้าเมื่อพวกเจ้าได้หว่านพืชลงในทุ่งนา และพวกเจ้าต้องถือเทศกาลเลี้ยงฉลองการเก็บเกี่ยวพืชสิ้นปี เมื่อพวกเจ้าเก็บพืชจากทุ่งนา 17 ผู้ชายทุกคนของพวกเจ้าต้องเข้าพบพระยาห์เวห์องค์พระผู้เป็นเจ้าปีละสามครั้ง
18 พวกเจ้าต้องไม่ถวายเลือดจากเครื่องบูชาที่ทำถวายเรารวมทั้งขนมปังใส่เชื้อ และไขมันจากเครื่องถวายบูชาในเทศกาลเลี้ยงของเราจะต้องไม่เหลือค้างจนถึงในตอนเช้า 19 พวกเจ้าต้องนำส่วนที่ดีที่สุดของพืชแรกจากที่ดินของพวกเจ้ามายังพระวิหารพระยาห์เวห์ พระเจ้าของพวกเจ้า พวกเจ้าต้องไม่ต้มลูกแพะด้วยน้ำนมแม่ของมัน
20 เรากำลังใช้ทูตสวรรค์ของเรานำหน้าพวกเจ้าเพื่อคุ้มครองพวกเจ้าตามทาง และนำพวกเจ้าไปถึงสถานที่ ที่เราได้จัดเตรียมให้ 21 อย่าดื้อดึงกับเขา เพราะเขาจะไม่ยกโทษในความผิดของพวกเจ้าเลย ด้วยว่าเขากระทำในนามของเรา 22 หากพวกเจ้าเชื่อฟังอย่างแท้จริง และทำทุกสิ่งตามที่เราสั่งพวกเจ้าไว้ แล้วเราจะเป็นศัตรูต่อพวกศัตรูของพวกเจ้าและจะเป็นศัตรูแทนพวกศัตรูของพวกเจ้า
23 ทูตสวรรค์ของเราจะนำหน้าพวกเจ้า และนำพวกเจ้าไปถึงคนอาโมไรต์ คนฮิตไทต์ คนเปริสซี คนคานาอัน คนฮีไวต์ และคนเยบุส แล้วเราจะทำลายคนเหล่านั้น 24 พวกเจ้าจงอย่ากราบไหว้หรือทำความเคารพบรรดาพระของพวกเขา หรือกระทำตามแบบเขา แต่พวกเจ้าต้องทำลายรูปเคารพของเขาและจงทุบเสาศักดิ์สิทธิ์ของเขาให้ละเอียด 25 พวกเจ้าต้องนมัสการพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้า และพระองค์จะทรงอวยพรอาหารและน้ำของพวกเจ้า เราจะนำความเจ็บป่วยห่างจากพวกเจ้า
26 ไม่มีผู้หญิงเป็นหมันหรือแท้งลูกในดินแดนของพวกเจ้า เราจะให้พวกเจ้ามีชีวิตยืนยาว 27 เราจะส่งความเกรงกลัวในตัวเราต่อคนเหล่านั้นเข้าไปในดินแดนของใครก็ตามที่อยู่ต่อหน้าพวกเจ้า เราจะสังหารชาวเมืองทั้งหมดที่พวกเจ้าไปเผชิญหน้านั้น เราจะให้ศัตรูทั้งหมดของพวกเจ้าหันหลังหนีพวกเจ้าด้วยความกลัว 28 เราจะส่งฝูงแตนยักษ์นำหน้าพวกเจ้า เพื่อที่พวกมันจะขับไล่คนฮีไวต์ คนคานาอัน คนฮิตไทต์ ไปให้พ้นหน้าพวกเจ้า 29 เราจะไม่ไล่พวกเขาไปให้พ้นหน้าพวกเจ้าในปีเดียว มิฉะนั้นดินแดนจะรกร้างไป และสัตว์ป่าจะมากเกินไปสำหรับพวกเจ้า
30 แต่เราจะไล่พวกเขาไปให้พ้นหน้าพวกเจ้าทีละเล็กทีละน้อย จนพวกเจ้าเพิ่มจำนวนมากขึ้นและได้ยึดดินแดนนั้น 31 เราจะกำหนดขอบเขตของพวกเจ้าไว้ตั้งแต่ทะเลต้นกกจนถึงทะเลของคนฟีลิสเตีย และตั้งแต่แดนทุรกันดารจนถึงแม่น้ำยูเฟรติส เราจะให้ชัยชนะแก่พวกเจ้าเหนือผู้อาศัยในดินแดนนั้น พวกเจ้าจะขับไล่พวกเขาออกไปให้พ้นหน้าพวกเจ้า 32 พวกเจ้าต้องไม่ทำพันธสัญญากับพวกเขา หรือกับบรรดาพระของพวกเขา 33 พวกเขาต้องไม่อาศัยในดินแดนของพวกเจ้า กลัวว่าพวกเขาจะดึงจูงให้พวกเจ้าทำบาปต่อเรา หากพวกเจ้านมัสการพระของพวกเขา การกระทำเช่นนี้จะเป็นกับดักที่ดักพวกเจ้าอย่างแน่นอน’”
1 แล้วพระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “พวกเจ้ากับอาโรน นาดับกับอาบีฮู และพวกผู้อาวุโสของอิสราเอลเจ็ดสิบคน จงขึ้นมาเข้าพบเรา และนมัสการเราอยู่แต่ไกล 2 เฉพาะโมเสสผู้เดียวให้เข้ามาใกล้เรา ส่วนคนอื่นๆ ต้องไม่เข้ามาใกล้และต้องไม่ให้ประชาชนขึ้นมากับเขา”
3 โมเสสจึงไปบอกให้ประชาชนทราบถึงพระดำรัสและพระบัญชาทั้งหมดของพระยาห์เวห์ ประชาชนทั้งหมดก็ตอบรวมเสียงเดียวว่า “เราจะทำตามพระดำรัสทั้งหมดซึ่งพระยาห์เวห์ได้ตรัสไว้” 4 แล้วโมเสสจึงเขียนพระดำรัสของพระยาห์เวห์ไว้ทุกคำ ในตอนเช้าตรู่ โมเสสได้สร้างแท่นบูชาขึ้นที่เชิงเขา และตั้งเสาหินขึ้นสิบสองต้น เพื่อว่าหินนั้นจะแทนจำนวนสิบสองเผ่าของอิสราเอล
5 เขาให้พวกชายหนุ่มของอิสราเอลถวายเครื่องบูชาเผาและถวายเครื่องสันติบูชาด้วยโคหลายตัวแด่พระยาห์เวห์ 6 โมเสสนำเลือดโคมาครึ่งหนึ่งและใส่ไว้ในหลายกะละมัง เขาพรมเลือดครึ่งนั้นที่แท่นบูชา
7 เขานำหนังสือพันธสัญญามาและอ่านให้ประชาชนฟังด้วยเสียงดัง พวกเขากล่าวว่า “พวกเราจะทำตามทุกคำที่พระยาห์เวห์ได้ตรัสนั้น และพวกเราจะเชื่อฟัง” 8 แล้วโมเสสก็นำเลือดไปและพรมประชาชน เขากล่าวว่า “นี่เป็นโลหิตแห่งพันธสัญญา ซึ่งพระยาห์เวห์ทรงกระทำกับพวกเจ้าโดยการให้สัญญานี้แก่พวกเจ้าด้วยพระดำรัสเหล่านี้ทั้งหมด”
9 จากนั้นโมเสสและอาโรน นาดับและอาบีฮู และพวกผู้อาวุโสของอิสราเอลเจ็ดสิบคนก็ขึ้นไปบนภูเขา 10 พวกเขาเห็นพระเจ้าของอิสราเอล พื้นที่รองพระบาทเป็นดั่งทางเดินที่ทำจากหินไพลินที่สดใสสวยงามเหมือนท้องฟ้า 11 พระเจ้าไม่ได้ทรงลงโทษเพราะพิโรธพวกผู้นำชนชาติอิสราเอล พวกเขาได้มองเห็นพระเจ้าและได้กินและดื่ม
12 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “เจ้าจงขึ้นมาหาเราบนภูเขาและคอยอยู่ที่นั่น เราจะให้บรรดาแผ่นหิน และกฏหมาย และพระบัญญัติซึ่งได้จารึกไว้ เพื่อที่เจ้าจะได้สั่งสอนพวกเขา” 13 ดังนั้นโมเสสจึงออกไปกับโยชูวาผู้ช่วยของเขาและขึ้นไปยังภูเขาของพระเจ้า
14 โมเสสกล่าวกับพวกผู้อาวุโสเหล่านั้นว่า “จงอยู่ที่นี่และรอคอยจนกว่าพวกเราจะกลับมาหาพวกท่าน อาโรนและเฮอร์อยู่กับพวกท่าน หากใครมีข้อพิพาทก็จงไปหาพวกเขาเถิด” 15 ดังนั้นโมเสสจึงขึ้นไปยังภูเขา และเมฆก็คลุมภูเขา
16 พระสิริของพระยาห์เวห์มาอยู่บนภูเขาซีนาย และเมฆนั้นก็คลุมภูเขาเป็นเวลาหกวัน พอวันที่เจ็ด พระองค์ได้ทรงเรียกโมเสสจากเมฆ 17 พระลักษณะแห่งพระสิริของพระยาห์เวห์เหมือนกับเปลวไฟที่ไหม้อยู่บนยอดเขาท่ามกลางสายตาของชาวอิสราเอล 18 โมเสสเข้าไปในเมฆนั้นและขึ้นไปบนภูเขา เขาอยู่บนภูเขานั้นสี่สิบวันและคืน
1 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า 2 “จงบอกชาวอิสราเอลให้นำเครื่องบูชามาถวายมาให้เราจากทุกคนผู้ที่มีแรงจูงใจกระทำด้วยสมัครใจ พวกเจ้าต้องรับของที่ทุกคนนำมาถวายให้เรา
3 สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องถวายที่พวกเจ้าต้องรับจากพวกเขา คือ ทองคำ เงิน และทองคำสัมฤทธิ์ 4 ด้ายสีน้ำเงิน สีม่วง และสีแดง ผ้าลินินเนื้อดี ขนแพะ 5 หนังแกะตัวผู้ย้อมสีแดง และหนังพะยูน ไม้กระถินเทศ 6 น้ำมันเติมประทีปในสถานนมัสการ เครื่องเทศสำหรับน้ำมันเพื่อใช้เจิมและสำหรับเครื่องหอม 7 หินโกเมนและอัญมณีอื่นๆ สำหรับฝังในเอโฟดและทับทรวง
8 แล้วให้ประชาชนอิสราเอลสร้างสถานนมัสการให้เรา เพื่อว่าเราจะอยู่กับพวกเขา 9 พวกเจ้าต้องสร้างอย่างเคร่งครัดตามรูปแบบที่เราจะสำแดงแก่พวกเจ้าสำหรับพลับพลาและอุปกรณ์ทุกสิ่ง
10 พวกเขาจะต้องทำหีบด้วยไม้กระถินเทศ ขนาดยาวสองศอกครึ่ง กว้างหนึ่งศอกครึ่ง และสูงหนึ่งศอกครึ่ง 11 พวกเจ้าต้องหุ้มทั้งด้านในและด้านนอกด้วยทองคำบริสุทธิ์ และพวกเจ้าต้องทำเป็นคิ้วทับจากทองคำโดยรอบด้านบน
12 พวกเจ้าต้องทำห่วงสี่ห่วงจากทองคำ และติดไว้ที่ขาหีบทั้งสี่ โดยมีสองห่วงอยู่ทางด้านหนึ่ง และอีกสองห่วงอยู่อีกด้านหนึ่ง 13 พวกเจ้าต้องทำคานหามสองอันจากไม้กระถินเทศและหุ้มด้วยทองคำ 14 พวกเจ้าต้องใส่คานลอดห่วงทั้งสองด้านเพื่อใช้สำหรับหามหีบ
15 คานนั้นจะต้องใส่อยู่ในห่วงของหีบ พวกเขาต้องไม่นำคานนั้นออกจากห่วง 16 เจ้าต้องใส่สิ่งที่เราจะให้แก่พวกเจ้าไว้ในหีบพันธสัญญาพระบัญชา 17 พวกเจ้าต้องทำฝาหีบลบล้างบาปจากทองคำบริสุทธิ์ขนาดยาวสองศอกครึ่ง และกว้างหนึ่งศอกครึ่ง 18 พวกเจ้าต้องทำเครูบสองตนด้วยทองคำตีขึ้นรูปด้วยค้อน ที่ปลายทั้งสองด้านของฝาหีบลบล้างบาป
19 เครูบตนที่หนึ่งไว้อีกด้านหนึ่งของฝาหีบลบล้างบาป และเครูบอีกตนหนึ่งไว้ที่อีกด้านหนึ่ง ทั้งสองตนนี้ต้องตีขึ้นรูปเป็นเนื้อเดียวกันกับฝาหีบลบล้างบาป 20 เครูบต้องกางปีกออกและทำให้เกิดเงาปกคลุมขึ้นบนฝาฝาหีบลบล้างบาป เครูบต้องหันหน้าเข้าหากันและมองมายังตรงกลางฝาหีบลบล้างบาป 21 พวกเจ้าต้องวางฝาหีบลบล้างบาปนี้ไว้บนหีบพันธสัญญา และพวกเจ้าต้องใส่สิ่งซึ่งเราจะให้พวกเจ้าไว้ในหีบพันธสัญญาพระบัญชา
22 ที่หีบพันธสัญญาเราจะมาเจอพวกเจ้า เราจะมาพูดกับพวกเจ้าจากเหนือฝาหีบลบล้างบาป จากระหว่างเครูบทั้งสองตนซึ่งตั้งอยู่ระหว่างหีบพระโอวาท ซึ่งเราจะพูดคำสั่งทั้งหมดกับพวกเจ้าสำหรับชาวอิสราเอล
23 พวกเจ้าต้องทำโต๊ะตัวหนึ่งจากไม้กระถินเทศ ความยาวของมันจะต้องเป็นสองศอก ความกว้างของมันจะต้องเป็นหนึ่งศอก และความสูงของมันจะเป็นหนึ่งศอกครึ่ง 24 พวกเจ้าต้องหุ้มด้วยทองคำบริสุทธิ์และใช้ทองคำทำเป็นคิ้วโดยรอบ
25 พวกเจ้าต้องทำแผ่นขอบรอบโต๊ะกว้างหนึ่งฝ่ามือ และหุ้มขอบโต๊ะด้วยทอง 26 พวกเจ้าต้องทำห่วงสี่ห่วงด้วยทองคำและติดห่วงไว้ที่สี่มุมของขาโต๊ะทั้งสี่ขา 27 บรรดาห่วงต้องติดกับขอบเพื่อจะมีที่เพื่อใส่คานหามโต๊ะ
28 พวกเจ้าต้องทำคานจากไม้กระถินเทศและหุ้มด้วยทองคำเพื่อให้พวกเขาใช้หามโต๊ะ 29 พวกเจ้าต้องทำจาน ช้อน เหยือก และถ้วยต่างๆ เพื่อใช้รินเครื่องดื่มบูชา พวกเจ้าต้องทำภาชนะเหล่านี้ด้วยทองคำบริสุทธิ์ 30 พวกเจ้าต้องวางขนมปังเบื้องพระพักตร์บนโต๊ะนี้ต่อหน้าเราเป็นประจำ
31 พวกเจ้าต้องทำคันประทีปอันหนึ่งจากทองคำบริสุทธิ์ขึ้นรูปด้วยค้อน ทั้งฐานและลำตัวของคันประทีป พวกตัวดอก ฐานดอก และพวกกลีบดอกทั้งหมดต้องขึ้นเป็นชิ้นเดียว 32 หกกิ่งแยกออกจากคันประทีปข้างละสามกิ่ง และสามกิ่งของคันประทีปจะต้องยื่นออกมาจากอีกฟากหนึ่ง
33 กิ่งแรกจะต้องมีสามดอกทำคล้ายดอกอัลมอนด์ตูมมีฐานดอกและกลีบดอก และอีกกิ่งหนึ่งมีสามดอกทำคล้ายดอกอัลมอนด์ตูมมีฐานดอกและกลีบดอก จะต้องเหมือนกันทั้งหกกิ่งที่ยื่นออกมาจากลำคันประทีป 34 บนลำคันประทีปตรงกลางจะต้องมีสี่ถ้วยที่ทำเป็นเหมือนรูปดอกอัลมอนด์ตูม รองด้วยฐานดอกและกลีบดอกอย่างละสี่ดอก
35 ให้ทำดอกตูมดอกหนึ่งรองรับกิ่งขนานคู่แรก อีกดอกหนึ่งรองรับกิ่งขนานคู่ที่สองให้ทำเป็นชิ้นเดียวกันด้วย และในทำนองเดียวกันอีกดอกหนึ่งรองรับกิ่งขนานคู่ที่สามทำขึ้นเป็นชิ้นเดียวกัน จะต้องเหมือนกันสำหรับทั้งหกกิ่งที่ยื่นออกมาจากคันประทีป 36 ฐานดอกและกิ่งต่างๆ จะต้องเป็นชิ้นเดียวกัน ให้ตีขึ้นรูปด้วยค้อนจากทองคำบริสุทธิ์แผ่นเดียวกัน
37 พวกเจ้าต้องทำคันประทีปและประทีปทั้งเจ็ด และจัดวางคันประทีปเพื่อให้เกิดความสว่างจากคันประทีป 38 กรรไกรตัดไส้ประทีปและถาดรองต้องทำด้วยทองคำบริสุทธิ์ 39 ใช้ทองคำบริสุทธิ์หนึ่งตะลันต์ทำคันประทีปและเครื่องประกอบทั้งหมด 40 ต้องมั่นใจว่าทำตามแบบที่เราได้สำแดงแก่พวกเจ้าบนภูเขา
1 พวกเจ้าต้องสร้างพลับพลาด้วยผ้าม่านสิบผืน ที่ทำจากผ้าลินินเนื้อดี และขนแกะย้อมสีฟ้า สีม่วง และสีแดงเข้ม ปักเป็นภาพเครูบ สิ่งนี้จะเป็นงานของช่างฝีมือที่เชี่ยวชาญมาก 2 ความยาวของผ้าม่านแต่ละผืนต้องยาวยี่สิบแปดศอก กว้างสี่ศอก ผ้าม่านทุกผืนให้มีขนาดเท่ากัน 3 ผ้าม่านห้าผืนจะต้องให้ติดกัน และอีกห้าผืนนั้นจะต้องติดกันด้วย
4 พวกเจ้าต้องทำหูผ้าม่านด้วยด้ายสีฟ้าติดไว้ตามปลายขอบผ้าม่านด้านนอกสุดของผ้าม่านชุดแรก ในลักษณะเดียวกันพวกเจ้าต้องทำตามปลายขอบด้านนอกสุดของผ้าม่านชุดสอง 5 พวกเจ้าต้องทำหูห้าสิบหูที่ผ้าม่านชุดที่หนึ่ง และพวกเจ้าต้องทำหูห้าสิบหูที่ขอบผ้าม่านในชุดที่สอง จงทำดังนี้ เพื่อให้หูผ้าม่านเหล่านี้อยู่ตรงข้ามกันและกัน 6 พวกเจ้าต้องทำตะขอทองคำห้าสิบตะขอ และร้อยผ้าม่านทั้งสองชุด เพื่อให้เป็นพลับพลาเดียวกัน
7 พวกเจ้าต้องทำผ้าม่านด้วยขนแพะสำหรับเป็นเต็นท์คลุมพลับพลา พวกเจ้าต้องทำม่านเหล่านั้นสิบเอ็ดผืน 8 ความยาวของผ้าม่านแต่ละผืนต้องเป็นสามสิบศอก และความกว้างของผ้าม่านแต่ละผืนจะต้องเป็นสี่ศอก ผ้าม่านสิบเอ็ดผืนแต่ละผืนจะต้องเป็นขนาดที่เท่ากัน 9 พวกเจ้าต้องร้อยผ้าม่านห้าผืนแต่ละผืนให้ติดกันและม่านอีกหกผืนให้ติดกัน เจ้าต้องพับผ้าม่านผืนที่หกสองชั้นให้อยู่ข้างหน้าเต็นท์
10 พวกเจ้าต้องทำหูผ้าม่านห้าสิบหูติดกับขอบผ้าม่านด้านนอกสุดชุดแรก และอีกห้าสิบหูติดกับขอบม่านด้านนอกสุดชุดที่สอง 11 พวกเจ้าต้องทำตะขอทองสัมฤทธิ์ห้าสิบตะขอ และจงร้อยตะขอเข้าที่หูผ้าม่าน แล้วพวกเจ้าจงโยงเต็นท์เข้าด้วยกันเพื่อให้ติดกันเป็นชิ้นเดียว
12 ส่วนที่เกินอยู่ครึ่งหนึ่งของผ้าม่านเต็นท์ คือ ส่วนที่เหลือห้อยลงมาของผ้าม่านเต็นท์ ต้องห้อยที่ด้านหลังพลับพลา 13 ด้านหนึ่งของผ้าม่านต้องเป็นหนึ่งศอก และอีกด้านก็ยาวหนึ่งศอก ส่วนที่ยาวเกินไปของผ้าม่านเต็นท์จะต้องห้อยลงมาทางข้างๆ พลับพลามาข้างหนึ่งและอีกข้างหนึ่ง สำหรับใช้กำบัง 14 พวกเจ้าต้องทำผ้าคลุมพลับพลาด้วยหนังแกะตัวผู้ย้อมสีแดง และคลุมด้วยหนังอย่างดีอีกชั้นหนึ่ง
15 พวกเจ้าต้องทำกรอบไม้ที่ตั้งตรงสำหรับพลับพลาจากไม้กระถินเทศ 16 ความยาวของแต่ละกรอบไม้นั้นให้ยาวสิบศอก และความกว้างจะต้องเป็นหนึ่งศอกครึ่ง 17 ให้กรอบไม้แต่ละอันมีสองเดือยเพื่อให้ยึดติดกันและกัน พวกเจ้าจงทำกรอบไม้ทุกอันของพลับพลาด้วยวิธีนี้ 18 เมื่อพวกเจ้าทำกรอบไม้สำหรับพลับพลา พวกเจ้าต้องทำกรอบยี่สิบอันสำหรับด้านใต้
19 พวกเจ้าต้องทำฐานรองรับด้วยเงินสี่สิบอันสำหรับวางใต้กรอบไม้ยี่สิบอัน ต้องมีฐานสองอันอยู่ใต้กรอบแรกสำหรับสวมเดือยสองอัน และใต้กรอบอื่นๆ ก็ให้มีฐานสองอันสำหรับสวมเดือยสองอัน 20 ด้านที่สองของพลับพลาด้านทิศเหนือนั้น พวกเจ้าต้องใช้กรอบไม้ยี่สิบอัน 21 และฐานเงินสี่สิบอัน จะต้องมีฐานสองอันสำหรับกรอบแรก และฐานสองอันใต้กรอบถัดไปและต่อไปเรื่อยๆ
22 ส่วนด้านหลังของพลับพลาข้างทิศตะวันตก พวกเจ้าต้องทำกรอบไม้หกอัน 23 พวกเจ้าต้องทำกรอบสองอันสำหรับมุมพลับพลาด้านหลัง 24 กรอบไม้เหล่านี้ข้างล่างให้แยกกัน แต่ส่วนบนจะเชื่อมต่อกันด้วยห่วงเดียวกัน จะต้องทำวิธีนี้ที่ด้านหลังของทั้งสองมุม 25 จะมีกรอบไม้แปดอันพร้อมกับฐานเงินสิบหกอัน ในทุกกรอบจะต้องมีฐานสิบหกอัน ฐานสองอันใต้กรอบแรก ฐานสองอันใต้กรอบถัดไป และกรอบต่อๆไป
26 พวกเจ้าต้องทำกลอนจากไม้กระถินเทศห้าอันสำหรับกรอบไม้ฝาพลับพลาด้านหนึ่ง 27 อีกห้าอันสำหรับกรอบไม้ฝาพลับพลาอีกด้านหนึ่ง และอีกห้าอันสำหรับกรอบไม้ฝาพลับพลาด้านหลังที่ด้านทิศตะวันตก 28 กลอนตัวกลางซึ่งอยู่ตอนกลางของกรอบไม้จะต้องร้อยไม้ให้ติดกันจากปลายถึงปลาย
29 พวกเจ้าต้องหุ้มกรอบไม้เหล่านั้นด้วยทองคำ พวกเจ้าต้องทำห่วงทองคำสำหรับร้อยกลอน และพวกเจ้าต้องหุ้มกลอนเหล่านั้นด้วยทองคำ 30 พวกเจ้าต้องตั้งพลับพลานั้นตามรูปแบบที่เราได้สำแดงแก่พวกเจ้าแล้วบนภูเขา
31 พวกเจ้าต้องทำผ้าม่านผืนหนึ่งทอด้วยขนแกะสีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้ม และด้วยผ้าลินินเนื้อดีปักเป็นภาพเครูบ ซึ่งเป็นงานของช่างฝีมือที่เชี่ยวชาญ 32 พวกเจ้าต้องแขวนผ้าม่านนั้นไว้ที่เสาไม้กระถินเทศสี่เสาที่หุ้มด้วยทองคำ เสานี้จะต้องมีตะขอทองคำที่ตั้งอยู่บนฐานเงินสี่อัน 33 พวกเจ้าต้องแขวนผ้าม่านนั้นใต้ขอสำหรับร้อยม่าน และพวกเจ้าต้องเอาหีบพระโอวาทเข้ามาไว้ข้างในหลังผ้าม่าน ผ้าม่านนั้นจะแบ่งพลับพลาออกเป็นสองส่วนจากสถานศักดิ์สิทธิ์ที่สุด
34 พวกเจ้าจงตั้งฝาหีบลบล้างบาปนั้นไว้บนหีบพระโอวาทในสถานศักดิ์สิทธิ์ที่สุด 35 พวกเจ้าต้องตั้งโต๊ะไว้ข้างนอกม่าน เจ้าต้องวางคันประทีปตรงข้ามกับโต๊ะทางด้านทิศใต้ของพลับพลา โต๊ะต้องตั้งไว้ทางด้านทิศเหนือ
36 พวกเจ้าต้องทำผ้าม่านบังตาที่ประตูทางเข้าเต็นท์ เจ้าต้องทำด้วยด้ายสีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้ม และด้วยผ้าลินินสองเส้นเนื้อดี ซึ่งเป็นงานของช่างปัก 37 สำหรับการแขวน พวกเจ้าต้องทำเสาห้าต้นจากไม้กระถินเทศและหุ้มด้วยทองคำ ตะขอของเสาเหล่านั้นต้องทำด้วยทองคำ และพวกเจ้าต้องหล่อฐานทองสัมฤทธิ์ห้าอันสำหรับรองรับเสานั้น
1 พวกเจ้าต้องทำแท่นบูชาจากไม้กระถินเทศยาวห้าศอกและกว้างห้าศอก แท่นบูชาจะต้องเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสและสูงสามศอก 2 พวกเจ้าต้องทำเชิงงอนสี่มุมบนแท่นให้แหลมเหมือนเขาวัวตัวผู้ เชิงงอนเหล่านั้นทำเป็นเนื้อเดียวกันกับแท่น และพวกเจ้าต้องหุ้มด้วยทองสัมฤทธิ์
3 พวกเจ้าต้องทำอุปกรณ์สำหรับแท่นบูชาคือ พวกหม้อสำหรับใส่ขี้เถ้า พลั่ว อ่าง ส้อมเกี่ยวเนื้อ และถาดรองไฟต่างๆ พวกเจ้าต้องทำเครื่องใช้ทุกอย่างด้วยทองสัมฤทธิ์ 4 พวกเจ้าต้องทำตะแกรงสำหรับแท่นด้วยทองสัมฤทธิ์ จงทำห่วงทองสัมฤทธิ์ติดทั้งสี่มุมของตะแกรงนั้น
5 พวกเจ้าต้องให้ตะแกรงนั้นอยู่ใต้ขอบของแท่นบูชา และระดับกลางแท่น 6 พวกเจ้าต้องทำไม้คานสำหรับหามแท่นบูชาจากไม้กระถินเทศ และพวกเจ้าต้องหุ้มด้วยทองสัมฤทธิ์
7 ไม้คานนั้นต้องใส่เข้าในห่วง และไม้คานจะต้องอยู่ข้างแท่นบูชาทั้งสองด้านเพื่อใช้หาม 8 พวกเจ้าต้องทำแท่นนั้นด้วยไม้กระดานแต่ข้างในแท่นให้กลวง พวกเจ้าต้องทำตามแบบที่เราได้สำแดงแก่พวกเจ้าแล้วที่ภูเขา
9 พวกเจ้าต้องสร้างลานพลับพลา จะต้องมีผ้าม่านทางด้านใต้ของลาน ผ้าม่านทำด้วยผ้าลินินด้ายคู่ยาวหนึ่งร้อยศอก 10 ผ้าม่านจะต้องมีเสายี่สิบต้นกับฐานทองคำสัมฤทธิ์ยี่สิบฐาน มีพวกตะขอเงินและราวเงินเพื่อยึดเสาต่างๆ
11 ในทำนองเดียวกัน ด้านทิศเหนือจะต้องมีผ้าม่านยาวหนึ่งร้อยศอกติดกับเสายี่สิบต้น ฐานทองสัมฤทธิ์ยี่สิบฐาน ขอเงินและราวเงินสำหรับยึดเสาต่างๆ 12 ด้านตะวันตกของลานจะต้องมีผ้าม่านยาวห้าสิบศอก จะต้องมีเสาสิบต้นและฐานรองรับเสาสิบฐาน 13 ลานด้านตะวันออกจะต้องมีผ้าม่านยาวห้าสิบศอกเช่นกัน
14 ผ้าม่านด้านริมทางเข้าข้างหนึ่งจะต้องยาวสิบห้าศอก จะต้องมีเสาสามต้น และฐานรองรับเสาสามฐาน 15 อีกข้างหนึ่งให้มีผ้าม่านยาวสิบห้าศอก จะต้องมีเสาสามต้นและฐานรองรับเสาสามฐาน 16 ประตูของลานจะต้องเป็นผ้าม่านยาวยี่สิบศอก ผ้าม่านจะต้องทำด้วยด้ายสีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้ม และผ้าลินินด้ายคู่เนื้อดีซึ่งเป็นงานของช่างปัก จะต้องมีเสาสี่ต้นและฐานรองรับเสาสี่ฐาน
17 เสาทั้งหมดที่รอบลานจะต้องมีราวเงิน ตะขอเงิน และฐานทองสัมฤทธิ์ 18 ความยาวของผ้ารอบลานจะต้องเป็นหนึ่งร้อยศอก กว้างห้าสิบศอก และสูงห้าศอกทำด้วยผ้าลินินด้ายคู่เนื้อดี และมีฐานทองสัมฤทธิ์ 19 อุปกรณ์ทั้งสิ้นที่จะใช้ในพลับพลา พร้อมทั้งหลักหมุดเต็นท์ทุกตัวของพลับพลา และของลานพลับพลาต้องทำด้วยทองสัมฤทธิ์
20 เจ้าต้องสั่งประชาชนอิสราเอลให้นำน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์และที่สกัดไว้สำหรับคันประทีป ฉะนั้นพวกเขาจะได้ให้ไฟลุกไหม้อยู่เสมอ 21 ในเต็นท์นัดพบข้างนอกม่านซึ่งอยู่หน้าพลับพลาที่มีหีบพระโอวาท ให้อาโรนและบรรดาบุตรชายของเขาดูแลคันประทีปนั้นให้ไฟลุกอยู่เสมอต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ ตั้งแต่เวลาพลบค่ำจนถึงรุ่งเช้า กฎนี้จะเป็นข้อปฏิบัติถาวรสำหรับประชาชนอิสราเอลทุกชั่วอายุ
1 จงไปเรียกอาโรนพี่ชายของเจ้า และพวกบุตรชายของเขาคือ นาดับ อาบีฮู เอเลอาซาร์ และอิธามาร์ จากพวกชาวอิสราเอล เพื่อที่พวกเขาจะรับใช้เราในฐานะปุโรหิต 2 เจ้าต้องทำเครื่องแต่งกายสำหรับอาโรนพี่ชายของเจ้าให้แยกต่างหากสำหรับเรา เครื่องแต่งกายนี้จะเป็นเกียรติและความงามสง่าของเขา 3 เจ้าจะต้องพูดกับประชาชนทั้งหมดซึ่งจิตใจฉลาด ผู้เหล่านั้นที่เราให้พวกเขาเต็มไปด้วยปัญญา เพื่อที่พวกเขาจะได้ทำเครื่องแต่งกายบริสุทธิ์สำหรับอาโรนเพื่อรับใช้เราในฐานะปุโรหิตของเรา
4 เครื่องแต่งกายที่ให้พวกเขาต้องทำได้แก่ ทับทรวง เสื้อเอโฟด เสื้อคลุม เสื้อคลุมถัก ผ้าโพกศีรษะ และสายรัดเอว พวกเขาจะต้องทำเครื่องแต่งกายแยกต่างหากสำหรับเรา พวกเขาจะทำเพื่ออาโรนพี่ชายของเจ้าและพวกบุตรชายของเขาเพื่อพวกเขาจะได้รับใช้เราในฐานะปุโรหิต 5 พวกช่างฝีมือต้องใช้ผ้าลินินเนื้อดี ใช้ทองคำ ด้ายสีฟ้า สีม่วง และสีแดงเข้ม
6 พวกเขาต้องทำเสื้อเอโฟด นั่นคือทองคำ สีฟ้า สีม่วง และสีแดงเข้ม และผ้าลินินสองเส้นเนื้อดี ต้องเป็นงานของช่างฝีมือผู้เชี่ยวชาญ 7 ต้องมีแถบผูกบ่าสองชิ้นที่มุมด้านบนสองข้าง 8 สายรัดเอวที่ทออย่างประณีตที่เป็นเหมือนเสื้อเอโฟด ต้องก็ให้ทำเป็นชิ้นเดียวกับเสื้อเอโฟด ทำจากผ้าลินินเนื้อดีเส้นคู่ ด้วยทองคำ ด้ายสีฟ้า สีม่วง และสีแดงเข้ม 9 พวกเจ้าต้องใช้หินโอนิกซ์สองแผ่นและสลักชื่อบุตรชายบนแผ่นหินนั้นเป็นชื่อของบุตรชายทั้งสิบสองคนของอิสราเอล
10 หินแผ่นที่หนึ่งจะต้องมีหกชื่อ และอีกหกชื่อต้องอยู่บนหินอีกแผ่น เรียงตามลำดับการเกิดของพวกบุตรชาย 11 งานของช่างแกะสลักหินเป็นเหมือนอย่างสลักตรา พวกเจ้าต้องต้องแกะสลักหินสองแผ่นด้วยชื่อของบุตรชายสิบสองคนของอิสราเอล พวกเจ้าต้องติดบรรดาหินบนเรือนทองคำ 12 เจ้าต้องร้อยหินทั้งชิ้นนี้เข้ากับแถบบ่าทั้งสองข้างของเสื้อเอโฟด หินเหล่านั้นจะทำให้พระยาห์เวห์จดจำพวกบุตรชายของอิสราเอล อาโรนจะแบกชื่อพวกเขาไว้บนไหล่ทั้งสองข้างต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์เพื่อให้เป็นที่ทรงจดจำเขา
13 พวกเจ้าต้องทำเรือนทองคำ 14 และสร้อยสองเส้นด้วยทองคำบริสุทธิ์เหมือนถักเกลียว และพวกเจ้าต้องติดสร้อยที่เรือนทองคำ
15 พวกเจ้าต้องทำทับทรวงแห่งการตัดสินซึ่งเป็นงานของช่างฝีมือผู้เชี่ยวชาญเหมือนกับที่ใช้ทำเสื้อเอโฟด ทำด้วยทองคำ สีฟ้า สีม่วง ผ้าขนสัตว์สีแดงเข้มและผ้าลินินเนื้อดี 16 จงทำเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส พวกเจ้าต้องพับผ้าสองชั้น ยาวหนึ่งช่วงและกว้างหนึ่งช่วง
17 พวกเจ้าต้องติดอัญมณีเป็นสี่แถว แถวแรกจะต้องติดทับทิม บุษราคัมและโกเมน 18 แถวที่สองต้องติดมรกต ไพลิน และเพชร 19 แถวที่สามต้องติดเพทาย โมรา และแอเมทิสต์ 20 แถวที่สี่ต้องติดเบริล โอนิกซ์ และแจสเพอร์ หินเหล่านี้ต้องติดในเรือนทองคำ
21 อัญมณีทั้งหลายต้องจัดเรียงตามชื่อของบุตรชายของอิสราเอลทั้งสิบสองคนไว้ตามลำดับชื่อ หินเหล่านั้นต้องสลักเหมือนสลักตรา แต่ละชื่อจะแทนแต่ละเผ่าจากสิบสองเผ่า 22 พวกเจ้าต้องทำทับทรวง ลักษณะคล้ายเชือกถักเกลียว เป็นงานถักด้วยทองคำบริสุทธิ์ 23 พวกเจ้าต้องทำห่วงทองคำสองห่วงสำหรับทับทรวงและต้องติดที่มุมบนทั้งสองของทับทรวง 24 พวกเจ้าต้องติดห่วงสองห่วงที่มุมสองมุมของผ้าทับทรวง
25 พวกเจ้าต้องติดที่ปลายของสร้อยทั้งสองข้างให้ติดกับเรือนทั้งสองข้าง แล้วพวกเจ้าต้องติดสิ่งเหล่านี้ที่แถบยึดเสื้อเอโฟดบนบ่าไว้ที่ข้างหน้า 26 พวกเจ้าต้องทำห่วงทองคำสองห่วง และพวกเจ้าต้องติดที่มุมล่างทั้งสองมุมของทับทรวง บนมุมถัดไปข้างใน
27 พวกเจ้าต้องทำห่วงทองคำสองห่วง และพวกเจ้าต้องใส่ใต้แถบที่ผูกไหล่ทั้งสองของเสื้อเอโฟดตรงด้านหน้า ใกล้กับตะเข็บเหนือสายรัดเอวซึ่งทออย่างประณีตของเสื้อเอโฟด 28 พวกเขาต้องมัดทับทรวงด้วยห่วงของมันและร้อยกับห่วงของเสื้อเอโฟดด้วยด้ายถักสีฟ้า เพื่อที่จะติดทับสายรัดเอวถักของเสื้อเอโฟด สิ่งนี้ก็เพื่อที่จะไม่ให้ทับทรวงหลุดจากเสื้อเอโฟด
29 เมื่ออาโรนเข้าไปในสถานบริสุทธิ์ เขาต้องแขวนชื่อบรรดาบุตรชายของอิสราเอลจารึกไว้ที่อกของเขาในทับทรวงแห่งการตัดสิน ให้เป็นที่จดจำเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ 30 พวกเจ้าจงใส่อูริมและทูมมิมไว้ในทับทรวงแห่งการตัดสิน เพื่อที่ทั้งสองสิ่งนี้จะแนบที่ใจของอาโรนเมื่อเขาเข้าเฝ้าพระยาห์เวห์ ดังนั้นอาโรนจะเอาเครื่องมือการตัดสินใจเพื่อชนชาติอิสราเอลไว้ที่หัวใจของเขาเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์อย่างสม่ำเสมอ
31 พวกเจ้าต้องทำเสื้อคลุมให้เข้ากับเสื้อเอโฟดด้วยผ้าสีม่วงล้วน 32 ให้ทำช่องตรงกลางผืนเสื้อสำหรับสวมทางศีรษะ ช่องนี้จะต้องมีแถบทอรอบคอเพื่อเสื้อจะไม่ขาด สิ่งนี้จะต้องเป็นงานของช่างทอ
33 ที่ชายล่างของเสื้อคลุม เจ้าต้องทำผลทับทิมต่างๆ ด้วยด้ายสีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้มรอบชายเสื้อ กระดิ่งทองคำต้องติดสลับโดยรอบ 34 จะต้องมีกระดิ่งทองคำลูกหนึ่ง และผลทับทิมผลหนึ่ง กระดิ่งทองคำอีกลูกหนึ่ง ผลทับทิมอีกผลหนึ่ง และต่อๆ ไป รอบชายล่างของเสื้อคลุม 35 อาโรนจะสวมเสื้อคลุมนี้เมื่อเขารับใช้ เพื่อว่าเสียงกระดิ่งจะได้ยินเมื่อเขาเข้าพบพระยาห์เวห์ในสถานบริสุทธิ์และเมื่อเขาได้ออกมา เหตุนี่แหละเขาจะไม่ตาย
36 พวกเจ้าต้องทำแผ่นทองคำบริสุทธิ์และสลักไว้ เหมือนอย่างสลักตราว่า “บริสุทธิ์แด่องค์พระยาห์เวห์” 37 พวกเจ้าต้องเอาด้ายถักสีฟ้าผูกแผ่นทองคำนั้นไว้ให้อยู่ที่ข้างหน้าผ้าโพกศีรษะ 38 แผ่นทองคำนั้นจะอยู่ที่บนหน้าผากของอาโรน เขาต้องแบกความผิดใดต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับของบูชาอันบริสุทธิ์ที่คนอิสราเอลนำมาถวายแด่พระยาห์เวห์ อาโรนจะต้องคาดผ้าโพกศีรษะที่หน้าผากไว้อย่างสม่ำเสมอ เพื่อพระยาห์เวห์จะทรงรับของถวายของพวกเขา
39 พวกเจ้าต้องทำเสื้อคลุมด้วยผ้าลินินเนื้อดี และพวกเจ้าต้องทำผ้าโพกศีรษะนั้นด้วยผ้าลินินเนื้อดี พวกเจ้าต้องทำสายรัดเอวด้วยซึ่งเป็นงานของช่างปัก
40 สำหรับพวกบุตรชายของอาโรน พวกเจ้าต้องทำบรรดาเสื้อคลุม สายรัดเอว และผ้าโพกศีรษะเพื่อเป็นเกียรติและความงามสง่าของพวกเขา 41 พวกเจ้าต้องสวมใส่ชุดให้อาโรนพี่ชายของเจ้าและพวกบุตรชายของเขา พวกเจ้าต้องเจิม สถาปนาพวกเขาและแยกพวกเขาออกต่างหากเพื่อเรา เพื่อว่าพวกเขาจะรับใช้เราในฐานะปุโรหิต
42 พวกเจ้าต้องทำบรรดาเสื้อตัวในให้พวกเขาด้วยผ้าลินินที่จะสวมปกปิดร่างกาย ซึ่งจะคลุมพวกเขาตั้งแต่เอวไปจนถึงต้นขา 43 อาโรนและพวกบุตรชายของเขาต้องสวมเครื่องแต่งกายเหล่านี้ เมื่อพวกเขาเข้าไปในเต็นท์นัดพบ หรือเมื่อพวกเขาเข้าใกล้แท่นบูชาเพื่อจะรับใช้ในสถานบริสุทธิ์ พวกเขาต้องทำสิ่งนี้เพื่อพวกเขาจะไม่มีความผิดและพวกเขาจะถึงชีวิต เรื่องนี้ให้เป็นกฎถาวรสำหรับอาโรน และลูกหลานของเขาสืบไป
1 เหล่านี้คือสิ่งที่พวกเจ้าต้องทำที่จะแยกพวกเขาไว้สำหรับเรา เพื่อพวกเขาจะรับใช้เราในฐานะปุโรหิต จงเอาโคหนุ่มหนึ่งตัวและแกะตัวผู้สองตัวซึ่งไร้ตำหนิ 2 ขนมปังไร้เชื้อ และขนมไร้เชื้อคลุกน้ำมัน และขนมแผ่นบางไร้เชื้อทาน้ำมัน จงทำขนมเหล่านี้ด้วยแป้งสาลีอย่างดี
3 พวกเจ้าต้องใส่ขนมเหล่านี้ไว้ในตระกร้าเดียว จงนำมาพร้อมกับตระกร้า และถวายพร้อมกับโคตัวผู้ และแกะตัวผู้สองตัว 4 พวกเจ้าต้องพาอาโรนและพวกบุตรชายของเขามาแสดงตัวที่ประตูเต็นท์นัดพบ แล้วจงชำระตัวอาโรนและพวกบุตรชายของเขาในน้ำ
5 พวกเจ้าต้องนำเครื่องแต่งกายและสวมใส่ให้อาโรนด้วยเสื้อคลุม เสื้อคลุมยาวเอโฟด เสื้อเอโฟดและทับทรวง ผูกสายคาดเอวของเอโฟดที่ทออย่างประณีตให้แน่นรอบเขา 6 เจ้าต้องพันผ้าโพกศีรษะบนศีรษะของเขาและสวมมงกุฎบริสุทธิ์ทับผ้าโพกศีรษะ 7 แล้วนำน้ำมันเจิมมาและรินลงบนศีรษะของเขา และนี่แหละเป็นวิธีที่เจิมเขา
8 พวกเจ้าต้องนำพวกบุตรชายของเขามาและสวมเสื้อคลุมให้พวกเขา 9 พวกเจ้าต้องให้อาโรนและบรรดาบุตรชายของเขาใส่สายรัดเอว และจงคาดสายรัดศีรษะให้พวกเขา แล้วงานในฐานะปุโรหิตก็จะเป็นของพวกเขาตามกฎบัญญัติตลอดไป นี้แหละเป็นวิธีที่เจ้าต้องแต่งตั้งอาโรนและพวกบุตรชายของเขาไว้เพื่อรับใช้เรา
10 พวกเจ้าทุกคนต้องนำโคตัวผู้ทุกตัวมาที่หน้าเต็นท์นัดพบ และให้อาโรนกับพวกบุตรชายของเขาวางมือลงบนหัวโค 11 พวกเจ้าต้องฆ่าโคตัวผู้นั้นเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ที่ทางเข้าประตูเต็นท์นัดพบ
12 พวกเจ้าต้องนำเลือดโคบางส่วนและใช้นิ้วมือจุ่มทาที่เชิงงอนของแท่นบูชาและพวกเจ้าต้องรินเลือดที่เหลือที่ฐานแท่นบูชา 13 พวกเจ้าต้องเอาไขมันทั้งหมดที่หุ้มเครื่องในและตับ และไตทั้งสองลูกรวมทั้งไขมันที่ติดไตนั้นมาเผาทั้งหมดบนแท่นบูชา 14 แต่เนื้อกับหนัง และมูลของโคนั้น พวกเจ้าต้องเผาไฟที่นอกค่าย นี่เป็นเครื่องบูชาถวายลบล้างบาป
15 พวกเจ้าต้องนำแกะตัวผู้หนึ่งตัวมา และให้อาโรนกับพวกบุตรชายของเขาวางมือบนหัวของมัน 16 พวกเจ้าต้องฆ่าแกะตัวนั้น และเอาเลือดพรมไปรอบๆ แท่น 17 พวกเจ้าต้องสับแกะตัวนั้นออกเป็นท่อนและล้างเครื่องในกับขาของมัน และพวกเจ้าต้องวางเครื่องในไว้กับส่วนอื่นพร้อมกับหัวของมัน 18 บนแท่นบูชานั้นจงเผาแกะตัวผู้ทั้งตัว เป็นเครื่องถวายเผาบูชาแด่พระยาห์เวห์ เป็นกลิ่นที่หอม เป็นเครื่องถวายบูชาที่เผาด้วยไฟแด่พระยาห์เวห์
19 พวกเจ้าต้องนำแกะตัวผู้อีกตัวหนึ่งมา และให้อาโรนกับพวกบุตรชายของเขาวางมือบนหัวของมัน 20 แล้วพวกเจ้าต้องฆ่าแกะตัวผู้และนำเลือดส่วนหนึ่งมา ทาที่ปลายหูขวาของอาโรน และปลายหูขวาของพวกบุตรชายของเขา ที่หัวแม่มือขวา และที่หัวแม่เท้าขวาของพวกเขา แล้วเจ้าต้องพรมเลือดรอบแท่นบูชาทุกด้าน
21 พวกเจ้าต้องนำเลือดส่วนหนึ่งที่อยู่บนแท่นบูชากับน้ำมันเจิมบางส่วน และพรมอาโรนและบรรดาเครื่องแต่งกายของเขา และจงพรมพวกบุตรของเขา และบรรดาเครื่องแต่งกายของพวกเขาด้วย อาโรนและบรรดาเครื่องแต่งกายของเขาจะต้องแยกไว้สำหรับเรา พร้อมทั้งบรรดาเครื่องแต่งกายของเขา บุตรชายของเขา และบรรดาเครื่องแต่งกายของพวกบุตรชายของเขาที่อยู่กับเขา
22 พวกเจ้าต้องเอาไขมันของแกะตัวผู้ ซึ่งเป็นไขมันส่วนหาง ไขมันหุ้มเครื่องใน ไขมันหุ้มตับ ไตทั้งสองลูกกับไขมันหุ้มไต และโคนขาขวาด้วย เพราะเป็นแกะตัวผู้ที่ใช้เพื่อการแต่งตั้งปุโรหิตสำหรับเรา 23 จงนำขนมปังหนึ่งก้อน ขนมคลุกน้ำมันหนึ่งแผ่น และขนมปังบางหนึ่งแผ่นจากตระกร้าขนมปังไร้เชื้อ ซึ่งอยู่เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์
24 พวกเจ้าต้องนำสิ่งเหล่านี้ใส่ในมือทั้งสองข้างของอาโรนและมือทั้งสองข้างของพวกบุตรชายของเขา และถวายโบกของเหล่านั้นสำหรับเราเป็นเครื่องถวายโบกบูชาเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ 25 พวกเจ้าต้องรับอาหารจากมือของพวกเขาและนำไปเผารวมกับเครื่องเผาบูชา เป็นกลิ่นหอมสำหรับเรา เป็นเครื่องถวายบูชาแด่เราด้วยไฟ
26 พวกเจ้าต้องเอาเนื้อส่วนอกจากแกะตัวผู้สำหรับถวายของอาโรนและถวายโบกเป็นเครื่องถวายโบกบูชาเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ และมันจะเป็นส่วนแบ่งของพวกเจ้า 27 พวกเจ้าต้องเอาเนื้ออกของเครื่องถวายโบกบูชาที่ถวายโบกแล้วแยกออกไว้สำหรับเรา และเนื้อโคนขาที่เป็นส่วนของปุโรหิต ทั้งส่วนอกที่ถวายโบกแล้วและเนื้อโคนขาซึ่งจะเป็นส่วนแบ่งของอาโรนและพวกบุตรชายของเขา 28 สิ่งเหล่านี้จะเป็นกฎตลอดกาลสำหรับอาโรนและพวกบุตรชายของเขา ที่จะได้รับจากชาวอิสราเอลเพื่อถวายแด่พระยาห์เวห์จากเครื่องถวายสันติบูชา
29 เครื่องแต่งกายบริสุทธิ์ของอาโรนต้องสงวนไว้สำหรับพวกบุตรชายของเขาสืบไป พวกเขาต้องได้รับการเจิมและแต่งตั้งในพวกเขาเพื่อเรา 30 ปุโรหิตผู้สืบทอดแทนอาโรนจากพวกบุตรชายของเขา ผู้ซึ่งจะมายังเต็นท์นัดพบสำหรับรับใช้เราในสถานบริสุทธิ์ จะต้องสวมบรรดาเครื่องแต่งกายเหล่านี้เป็นเวลาเจ็ดวัน
31 พวกเจ้าต้องนำแกะตัวผู้สำหรับแต่งตั้งบรรดาปุโรหิตสำหรับเราและเอาเนื้อมาต้มในสถานบริสุทธิ์ 32 อาโรนกับพวกบุตรชายของเขาต้องกินเนื้อแกะตัวผู้นั้นกับขนมปังซึ่งอยู่ในตระกร้าที่ทางเข้าเต็นท์นัดพบ 33 พวกเขาต้องกินเนื้อและขนมปังที่นำมาถวายบูชาลบล้างบาปและแต่งตั้งพวกเขา เพื่อจะแยกพวกเขาออกมาสำหรับเรา แต่คนอื่นๆ จะกินไม่ได้ เพราะสิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นของที่ได้ถวายแก่เราแล้ว ได้สงวนไว้สำหรับเรา 34 ถ้าเนื้อที่ใช้ในเครื่องถวายสถาปนาบูชา หรือขนมปังใดๆ นั้นยังเหลืออยู่จนถึงตอนเช้า แล้วเจ้าต้องเผามันเสีย ห้ามกินเพราะเป็นสิ่งที่แยกไว้สำหรับเราแล้ว
35 ด้วยวิธีนี้แหละให้ทำตามทุกสิ่งที่เราได้บัญชาพวกเจ้าให้ทำ พวกเจ้าต้องปฏิบัติต่ออาโรนและพวกบุตรชายของเขา เป็นเวลาเจ็ดวันที่พวกเจ้าจะต้องเตรียมพวกเขา 36 ทุกวันพวกเจ้าต้องนำโคผู้หนึ่งตัวมาถวายเป็นเครื่องถวายบูชาลบล้างบาป พวกเจ้าต้องชำระแท่นบูชาให้บริสุทธิ์โดยการลบล้างบาปให้กับแท่นนั้นและพวกเจ้าต้องเจิมแท่นนั้นเพื่อแยกไว้สำหรับเรา 37 เป็นเวลาเจ็ดวัน พวกเจ้าต้องทำการลบล้างบาปให้กับแท่นนั้นและแยกไว้สำหรับพระยาห์เวห์ แล้วแท่นบูชาแยกไว้สำหรับเราจะสมบูรณ์ สิ่งใดก็ตามที่สัมผัสกับแท่นนี้ก็จะต้องแยกไว้สำหรับพระยาห์เวห์
38 พวกเจ้าต้องถวายบูชาบนแท่นบูชาทุกวัน ด้วยลูกแกะอายุหนึ่งปีสองตัว 39 พวกเจ้าต้องนำลูกแกะหนึ่งตัวมาถวายบูชาตอนเช้า และอีกตัวหนึ่งมาถวายบูชาตอนเย็น
40 พร้อมกับลูกแกะตัวที่หนึ่งนั้น จงถวายแป้งอย่างดีหนึ่งส่วนสิบเอฟาร์ เคล้าน้ำมันที่สกัดไว้จากบรรดาผลมะกอกหนึ่งในสี่ฮิน และเหล้าองุ่นหนึ่งในสี่ฮินเป็นเครื่องถวายดื่มบูชา
41 พวกเจ้าต้องถวายลูกแกะตัวที่สองประมาณเวลาพระอาทิตย์ตก เจ้าต้องถวายเครื่องถวายธัญบูชาเช่นเดียวกับตอนเช้า และเครื่องถวายดื่มบูชาคู่กันด้วย ให้เป็นกลิ่นหอมสำหรับเรา เป็นเครื่องบูชาที่เผาด้วยไฟสำหรับเรา 42 นี่จะต้องเป็นเครื่องถวายเผาบูชาเสมอไปตลอดทุกยุคของพวกเจ้า ทางเข้าเต็นท์นัดพบเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ที่ซึ่งเราจะพบพวกเจ้าและจะพูดกับพวกเจ้าที่นั่น
43 นั่นคือที่ที่เราจะพบกับชาวอิสราเอล คือเต็นท์จะแยกไว้สำหรับเราด้วยพระสิริของเรา 44 เราจะแยกเต็นท์นัดพบและแท่นบูชาไว้สำหรับเรา เพราะสิ่งเหล่านี้จะเป็นของเราแต่ผู้เดียว เราจะแยกอาโรนและพวกบุตรชายของเขาไว้ให้เป็นปุโรหิตรับใช้เรา
45 เราจะอยู่ท่ามกลางชาวอิสราเอล และจะเป็นพระเจ้าของพวกเขา 46 พวกเขาจะได้รู้ว่า เราคือพระยาห์เวห์ พระเจ้าของพวกเขา ผู้ได้นำพวกเขาออกจากดินแดนอียิปต์ เพื่อเราจะอยู่ท่ามกลางพวกเขา เราคือพระยาห์เวห์ พระเจ้าของพวกเขา
1 พวกเจ้าต้องสร้างแท่นบูชาสำหรับเผาเครื่องหอม พวกเจ้าต้องทำแท่นนั้นด้วยไม้กระถินเทศ 2 ความยาวจะต้องเป็นหนึ่งศอก และความกว้างของมันหนึ่งศอก มันต้องเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส และสูงสองศอก เชิงงอนต้องทำเป็นชิ้นเดียวกับแท่น
3 พวกเจ้าต้องหุ้มแท่นบูชาเครื่องหอมด้วยทองคำบริสุทธิ์ ทั้งด้านบน ด้านข้าง และเชิงงอน พวกเจ้าต้องทำขอบด้วยทองคำล้อมรอบแท่น 4 พวกเจ้าต้องทำห่วงทองคำสองห่วง ติดใต้ขอบทั้งสองด้านที่อยู่ตรงข้ามกัน ห่วงนั้นจะต้องเป็นตัวสำหรับใส่ไม้คานเพื่อหามแท่น
5 พวกเจ้าต้องทำไม้คานหามจากไม้กระถินเทศและพวกเจ้าต้องหุ้มมันด้วยทองคำ 6 พวกเจ้าต้องตั้งแท่นเผาเครื่องหอมนั้นไว้ข้างหน้าม่าน ซึ่งอยู่ใกล้หีบแห่งสักขีพยาน มันต้องอยู่ข้างหน้าฝาหีบลบล้างบาป ซึ่งอยู่เหนือหีบแห่งสักขีพยาน ที่ซึ่งเราจะพบกับพวกเจ้า
7 อาโรนต้องเผาเครื่องหอมบนแท่นนั้นทุกเช้า เขาต้องเผาเครื่องหอมนั้นเมื่อเขาดูแลประทีป 8 และอาโรนจุดประทีปอีกในเวลาเย็น ดังนั้นเครื่องหอมจะเผาบนแท่นนั้นเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ เสมอไปตลอดชั่วลูกหลานของพวกเจ้า 9 แต่พวกเจ้าห้ามนำเครื่องหอมอื่น หรือห้ามนำเครื่องเผาบูชา หรือ เครื่องธัญบูชามาเผาบนแท่นบูชาเครื่องหอม พวกเจ้าต้องห้ามรินเครื่องดื่มบูชาบนแท่นนั้น
10 อาโรนต้องทำพิธีลบล้างบาปที่เชิงงอนปีละครั้ง ด้วยเลือดของเครื่องบูชาลบล้างบาป เขาต้องการล้างบาปให้กับแท่นนั้นปีละครั้งตลอดชั่วลูกหลานของพวกเจ้า แท่นนั้นจะแยกไว้สำหรับพระยาห์เวห์อย่างสมบูรณ์”
11 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า 12 “เมื่อพวกเจ้าจดสำมะโนครัวชนชาติอิสราเอล แล้วจงให้แต่ละคนนำค่าไถ่ชีวิตของตนมาถวายแด่พระยาห์เวห์ พวกเจ้าต้องทำสิ่งนี้หลังจากที่เจ้านับพวกเขา เพื่อว่าจะไม่มีหายนะเกิดขึ้นท่ามกลางพวกเขาเมื่อนับพวกเขา 13 ทุกคนที่ถูกนับในทะเบียนสำมะโนครัวจะต้องถวายดังนี้ คือ เงินหนักครึ่งเชเขล ตามเชเขลของสถานนมัสการ (เชเขลหนึ่งมียี่สิบเก-ราห์) ครึ่งเชเขลจะเป็นเครื่องถวายแด่พระยาห์เวห์ 14 ทุกคนที่ถูกนับ ตั้งแต่อายุยี่สิบปีขึ้นไป เมื่อประชาชนนำของมาถวายบูชาแด่เรา
15 เมื่อประชาชนถวายเครื่องบูชานี้แด่เราเพื่อลบล้างบาปสำหรับชีวิตของตนนั้น คนมั่งมีต้องไม่ถวายเกินครึ่งเชเขล และคนจนก็ต้องไม่ถวายน้อยกว่านั้น 16 พวกเจ้าต้องรับเงินค่าลบล้างบาปจากชนชาติอิสราเอล และพวกเจ้าต้องจัดสรรเงินเพื่องานของเต็นท์นัดพบ จะต้องเป็นเครื่องเตือนใจของชาวอิสราเอลต่อหน้าเรา เพื่อจะลบล้างบาปสำหรับชีวิตพวกเจ้า”
17 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า 18 “พวกเจ้าต้องทำอ่างขนาดใหญ่ด้วยทองสัมฤทธิ์พร้อมกับขาตั้งทองสัมฤทธิ์ เป็นอ่างสำหรับล้างชำระ พวกเจ้าต้องตั้งอ่างนั้นไว้ระหว่างเต็นท์นัดพบและแท่นบูชา และพวกเจ้าต้องเอาน้ำใส่อ่างนั้น
19 อาโรนและบรรดาบุตรชายของเขาต้องล้างมือและเท้าของพวกเขาด้วยน้ำจากในอ่างนั้น 20 เมื่อพวกเขาเข้าไปในเต็นท์นัดพบ หรือเมื่อพวกเขาเข้ามาใกล้แท่นบูชาเพื่อปรนนิบัติเราด้วยเครื่องเผาบูชา พวกเขาต้องล้างด้วยน้ำเพื่อว่าพวกเขาจะไม่ตาย 21 พวกเขาต้องล้างมือและเท้าเพื่อว่าพวกเขาจะไม่ตาย และนี่จะเป็นกฎบัญญัติตลอดไปสำหรับสำหรับอาโรนและเชื้อสายของเขาตลอดชั่วลูกหลานของพวกเขา”
22 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า 23 “จงเอาเครื่องเทศอย่างดีเหล่านี้ คือ มดยอบน้ำห้าร้อยเชเขล อบเชยหอม 250 เชเขล ตะไคร้หอม 250 เชเขล 24 การบูรห้าร้อยเชเขล ชั่งตามน้ำหนักของเชเขลของสถานนมัสการ และน้ำมันมะกอกหนึ่งฮิน 25 พวกเจ้าต้องทำน้ำมันเจิมบริสุทธิ์ด้วยส่วนผสมเหล่านี้ ตามวิธีการของช่างปรุงน้ำหอม จะเป็นน้ำมันเจิมบริสุทธิ์ที่สงวนไว้สำหรับเรา
26 พวกเจ้าต้องเจิมเต็นท์นัดพบด้วยน้ำมันนั้น รวมทั้งหีบแห่งสักขีพยาน 27 โต๊ะและเครื่องใช้ทุกอย่าง คันประทีปกับเครื่องใช้ประจำคันประทีป และแท่นเผาเครื่องหอม 28 แท่นบูชาสำหรับเครื่องเผาบูชา พร้อมเครื่องใช้ทุกอย่าง และอ่างกับฐานรอง
29 พวกเจ้าต้องแยกสิ่งเหล่านี้ไว้สำหรับเราเพื่อว่ามันจะบริสุทธิ์สำหรับเรา สิ่งใดๆ ที่มาสัมผัสของเหล่านี้ก็จะบริสุทธิ์ไปด้วย 30 พวกเจ้าต้องเจิมอาโรนกับพวกบุตรชายของเขาและแยกพวกเขาไว้สำหรับเรา เพื่อพวกเขาจะได้เป็นปุโรหิตรับใช้เรา 31 พวกเจ้าต้องแจ้งแก่ชาวอิสราเอลว่า ‘นี่เป็นน้ำมันเจิมที่แยกไว้สำหรับพระยาห์เวห์ตลอดชั่วลูกหลานของเจ้า
32 ห้ามใช้น้ำมันนี้กับผิวหนังคน และห้ามทำน้ำมันอื่นให้มีส่วนผสมเหมือนน้ำมันนี้ เพราะน้ำมันนี้แยกไว้สำหรับพระยาห์เวห์ พวกเจ้าต้องถือรักษาลักษณะนี้ 33 ใครก็ตามผสมน้ำมันหอมอย่างนี้ หรือใครใช้ชโลมคนอื่น คนนั้นจะถูกตัดออกจากหมู่ประชาชนของเขา’”
34 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “จงเอาเครื่องเทศ คือ กำยาน ชะมด และมหาหิงค์ ผสมกับกำยานบริสุทธิ์ในอัตราส่วนเท่าๆ กัน 35 จงผสมตามแบบของเครื่องหอม ผสมอย่างช่าง ปรุงด้วยเกลือ ให้เป็นของบริสุทธิ์ และแยกไว้ต่างหาก 36 พวกเจ้าจะบดมันอย่างละเอียดอย่างมาก วางไว้หน้าหีบแห่งสักขีพยาน ซึ่งอยู่ในเต็นท์นัดพบ ที่เราจะมาพบกับเจ้า พวกเจ้าต้องถือว่าเครื่องหอมนั้นบริสุทธิ์มากสำหรับเรา
37 ส่วนเครื่องหอมที่พวกเจ้าจะทำนั้น พวกเจ้าต้องไม่ทำเหมือนส่วนผสมนี้เพื่อใช้เอง ต้องถือว่านี่เป็นของบริสุทธิ์ที่สุดต่อพวกเจ้า 38 ผู้ใดทำเครื่องหอมเช่นนี้ไว้ใช้เป็นน้ำหอมต้องถูกตัดออกจากหมู่ประชาชนของเขา”
1 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า 2 “ดูเถิด เราได้เลือกเบซาเลลบุตรชายของอุรีผู้เป็นบุตรชายของเฮอร์จากเผ่ายูดาห์
3 เราได้ให้เขาเต็มไปด้วยพระวิญญาณของเรา ให้เขามีปัญญา ความเข้าใจ และความรู้ในงานช่างทั้งสิ้น 4 เพื่อจะคิดแบบในการทำเครื่องทอง เครื่องเงิน และเครื่องทองสัมฤทธิ์ 5 ในการเจียระไนและประกอบอัญมณี และงานแกะสลักไม้เพื่อที่จะทำงานช่างทั้งหมด
6 นอกจากเขาแล้ว เราได้ตั้งโอโฮลีอับบุตรชายของอาหิสะมัคจากเผ่าดาน เรายังได้ใส่ทักษะในใจของทุกคนที่ฉลาดเพื่อว่าพวกเขาจะทำทุกอย่างที่เราได้สั่งเจ้า นี่รวมทั้ง 7 เต็นท์นัดพบ หีบแห่งสักขีพยาน และฝาหีบลบล้างบาปบนหีบ และเครื่องใช้ทุกสื่งของเต็นท์ 8 โต๊ะกับเครื่องใช้สำหรับโต๊ะ คันประทีปบริสุทธิ์กับเครื่องใช้ทุกสิ่งสำหรับคันประทีป แท่นบูชาเผาเครื่องหอม 9 แท่นบูชาสำหรับเครื่องเผาบูชารวมทั้งเครื่องใช้ทุกสิ่งสำหรับแท่น และอ่างขนาดใหญ่กับฐานรอง
10 นี่รวมทั้งเครื่องแต่งกายที่ถักอย่างประณีตด้วย เครื่องแต่งกายบริสุทธิ์สำหรับอาโรนปุโรหิต และเครื่องแต่งกายบริสุทธิ์สำหรับพวกบุตรชายของเขา สงวนไว้สำหรับเราเพื่อที่พวกเขาจะได้รับใช้เราในฐานะปุโรหิต 11 นี่รวมไปถึงน้ำมันเจิมและเครื่องหอมสำหรับสถานบริสุทธิ์ พวกช่างเหล่านี้ต้องทำสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดที่เราได้บัญชาเจ้า”
12 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า 13 “จงสั่งชนชาติอิสราเอลว่า ‘เจ้าต้องรักษาวันสะบาโตของพระยาห์เวห์ไว้อย่างเคร่งครัด เพราะนี่จะเป็นหมายสำคัญระหว่างพระองค์กับพวกเจ้าตลอดชั่วลูกหลานของพวกเจ้า เพื่อเจ้าจะรู้ว่า พระองค์คือยาห์เวห์ ผู้แยกพวกเจ้าไว้สำหรับพระองค์ 14 ดังนั้นพวกเจ้าต้องรักษาวันสะบาโต เพื่อจะเป็นวันบริสุทธิ์สำหรับพวกเจ้า สงวนไว้สำหรับพระองค์ ผู้ใดทำให้วันนั้นเป็นมลทินจะต้องตายอย่างแน่นอน ผู้ใดทำงานใดในวันสะบาโต ผู้นั้นต้องถูกตัดออกจากหมู่ประชาชนของเขา 15 จงทำงานทั้งหกวัน แต่ในวันที่เจ็ดเป็นวันสะบาโตสำหรับหยุดพักอย่างสิ้นเชิง เป็นวันบริสุทธิ์ที่สงวนไว้เพื่อพระเกียรติของพระยาห์เวห์ ผู้ใดที่ทำงานในวันสะบาโตต้องถึงตายอย่างแน่นอน
16 ดังนั้นชนชาติอิสราเอลต้องรักษาวันสะบาโต พวกเขาต้องปฏิบัติตลอดชั่วลูกหลานของพวกเขาเป็นกฎถาวรตลอดไป 17 สะบาโตจะเป็นหมายสำคัญระหว่างพระยาห์เวห์กับชาวอิสราเอลเสมอไป เพราะในหกวันพระยาห์เวห์ได้ทรงสร้างท้องฟ้าและแผ่นดินโลก แต่ในวันที่เจ็ดทรงหยุดพักผ่อนและฟื้นฟูพระทัย’”
18 เมื่อพระเจ้าได้ตรัสกับโมเสสบนภูเขาซีนายเสร็จแล้ว พระองค์จึงประทานแผ่นพระบัญญัติสองแผ่น ทำจากหินจารึกด้วยพระหัตถ์ของพระเจ้าเอง
1 เมื่อประชาชนเห็นว่าโมเสสชักช้าไม่ลงมาจากภูเขา พวกเขาจึงได้รวมตัวล้อมรอบอาโรน และกล่าวว่า “ มาเถิด จงสร้างรูปเคารพให้เรา ซึ่งจะนำหน้าเรา เพราะว่าโมเสสคนนี้แหละ ผู้ชายคนที่นำเราออกมาจากดินแดนอียิปต์ เราไม่ทราบว่าอะไรเกิดขึ้นกับเขา” 2 ดังนั้นอาโรนจึงกล่าวกับพวกเขาว่า “จงถอดบรรดาตุ้มหูทองจากหูของภรรยาและหูของบุตรชายและบุตรหญิงของเจ้าทั้งหลาย และนำมาให้เราเถิด”
3 ประชาชนทั้งหมดจึงถอดตุ้มหูทองจากหูของพวกเขาและนำมามอบให้อาโรน 4 เมื่ออาโรนได้รับทองคำจากพวกเขาแล้ว จึงใช้เครื่องมือหล่อ และหล่อเป็นรูปลูกโคตัวหนึ่ง แล้วประชาชนพูดว่า “อิสราเอล สิ่งนี้แหละเป็นพระของพวกเจ้า ซึ่งได้นำพวกเจ้าออกจากดินแดนอียิปต์”
5 เมื่ออาโรนเห็นดังนั้นแล้ว เขาจึงสร้างแท่นบูชาไว้ต่อหน้ารูปลูกโคนั้น และประกาศว่า “พรุ่งนี้จะเป็นงานเลี้ยงถวายพระเกียรติพระยาห์เวห์” 6 ประชาชนก็ลุกขึ้นแต่เช้าในวันต่อมาและถวายบรรดาเครื่องบูชาเผา และนำบรรดาเครื่องสันติบูชามา แล้วประชาชนจึงนั่งลง กินและดื่ม และแล้วก็ได้ลุกขึ้นรื่นเริงในงานเลี้ยงอย่างเมามาย
7 แล้วพระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “จงรีบไปให้เร็ว เพราะว่าประชาชนของพวกเจ้าซึ่งเจ้าได้นำออกจากดินแดนอียิปต์นั้น ได้ทำเรื่องเสื่อมเสีย 8 พวกเขาได้หันจากทางซึ่งเราบัญชาพวกเขาไว้นั้นอย่างรวดเร็ว พวกเขาหล่อรูปลูกโคขึ้นสำหรับตนเอง และนมัสการ และถวายบูชาแก่รูปนั้น พวกเขากล่าวว่า ‘ อิสราเอล สิ่งนี้แหละเป็นพระเจ้าของพวกเจ้า ซึ่งได้นำเจ้าออกจากดินแดนอียิปต์’”
9 แล้วพระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “เราเห็นชนชาตินี้แล้ว ดูเถิด พวกเขาเป็นชนชาติที่ดื้อรั้น 10 ถึงตอนนี้แล้ว จงอย่าพยายามยับยั้งเรา เพื่อความโกรธของเราจะเผาไหม้พวกเขา ดังนั้นเราจะทำลายพวกเขาเสีย แล้วเราจะสร้างชนชาติใหญ่จากพวกเจ้า” 11 แต่โมเสสพยายามทูลขอการคลายพระพิโรธจากพระยาห์เวห์ เขาพูดว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์ เหตุใดพระองค์จึงกริ้วยิ่งนักต่อประชาชนของพระองค์ ซึ่งพระองค์ทรงนำออกจากดินแดนอียิปต์ด้วยฤทธิ์อำนาจอันยิ่งใหญ่ และด้วยพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์?
12 เหตุใดจึงควรให้คนอียิปต์กล่าวว่า ‘พระองค์ทรงนำพวกเขาออกมาเพื่อจะทรงทำร้ายพวกเขา เพื่อจะทรงสังหารพวกเขาที่ภูเขาและทำลายพวกเขาเสียจากแผ่นดินโลก?’ ขอพระองค์ทรงหันกลับจากพระพิโรธอันแรงกล้า และขอเปลี่ยนพระทัยอย่าทำการลงโทษประชาชนของพระองค์เช่นนี้เลย 13 ขอทรงจดจำอับราฮัม อิสอัค และอิสราเอลผู้รับใช้ของพระองค์ พระองค์เองได้ทรงให้ปฏิญญาเขาเหล่านั้นว่า ‘เราจะให้ลูกหลานของเจ้าทั้งหลายมากมายเหมือนดังดวงดาวในท้องฟ้า และเราจะยกดินแดนนี้ทั้งหมดที่เราสัญญาให้แก่เชื้อสายของพวกเจ้า พวกเขาจะรับไว้เป็นมรดกตลอดไป’” 14 แล้วพระยาห์เวห์จึงเปลี่ยนพระทัย ไม่ทรงทำการลงโทษอย่างที่พระองค์ทรงมีพระดำริไว้แก่ประชาชนของพระองค์
15 แล้วโมเสสจึงกลับลงมาจากภูเขา ถือแผ่นพระบัญญัติสองแผ่นในมือของเขา บรรดาแผ่นศิลานั้น จารึกทั้งสองด้าน ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง 16 แผ่นทั้งสองแผ่นเป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้าเอง และเป็นลายพระหัตถ์ของพระเจ้าเอง ได้สลักไว้บนแผ่นศิลานั้น
17 เมื่อโยชูวาได้ยินเสียงประชาชนตะโกนอยู่ เขาจึงพูดกับโมเสสว่า “มีเสียงดังเหมือนกำลังสู้รบกันอยู่ในค่าย” 18 แต่โมเสสตอบว่า “นั่นไม่ใช่เสียงร้องของผู้ชนะ และไม่ใช่เสียงร้องของผู้แพ้ แต่เป็นเสียงร้องรำทำเพลงที่เราได้ยิน”
19 เมื่อโมเสสเข้ามาใกล้ค่าย เขาเห็นลูกโคและประชาชนกำลังเต้นรำ เขาก็บันดาลโทสะยิ่งนัก เขาทุ่มแผ่นศิลาจากมือของเขาและทำให้มันแตกเสียที่เชิงภูเขานั้น 20 เขาเอาลูกโคที่ประชาชนทำไว้ เผาเสีย บดเป็นผง และโรยลงในน้ำ แล้วเขาให้ประชาชนอิสราเอลดื่ม
21 แล้วโมเสสกล่าวกับอาโรนว่า “ประชาชนนี้ทำอะไรแก่ท่านเล่า ท่านจึงนำบาปใหญ่นี้มาสู่พวกเขา?” 22 อาโรนตอบว่า “อย่าให้ความโกรธของท่านเดือดเลย เจ้านาย ท่านก็รู้จักประชาชนพวกนี้แล้วว่า พวกเขารู้วิธีที่จะทำชั่ว 23 พวกเขามาบอกข้าพเจ้าว่า ‘ขอสร้างพระให้เรา ซึ่งจะนำหน้าเรา ด้วยว่าโมเสสคนนี้ที่ได้นำเราออกจากดินแดนอียิปต์นั้น เราไม่ทราบว่าอะไรเกิดขึ้นกับเขา’ 24 ดังนั้นข้าพเจ้าจึงตอบพวกเขาว่า ‘ใครมีทองคำให้ปลดออกมา’ พวกเขามอบทองคำให้ข้าพเจ้า และข้าพเจ้าได้โยนลงไปในไฟ และผลคือลูกโคนี้”
25 โมเสสเห็นว่าประชาชนไม่สามารถควบคุมได้ (เพราะอาโรนปล่อยเขาทั้งหลายจนไม่สามารถควบคุมได้ เป็นเหตุให้พวกเขาถูกพวกศัตรูของพวกเขาเย้ยหยัน) 26 แล้วโมเสสยืนอยู่ที่ประตูค่ายและพูดว่า “ใครอยู่ฝ่ายพระยาห์เวห์ จงมาหาเราเถิด” คนเลวีทั้งหมดมาหาเขาพร้อมกัน 27 โมเสสจึงกล่าวกับพวกเขาว่า “พระยาห์เวห์ พระเจ้าของอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า ‘แต่ละคน จงเหน็บดาบแนบกาย และไปมาตามประตูค่ายที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งรอบค่าย และฆ่าทุกคนแม้เป็นพี่น้อง มิตรสหาย และเพื่อนบ้านของเขาเองก็ตาม’”
28 คนเลวีทำตามที่โมเสสบัญชา ในวันนั้นประชาชนประมาณสามพันคนได้ตายลง 29 โมเสสกล่าวกับคนเลวีว่า “ในวันนี้พวกท่านได้ถูกแต่งตั้งรับใช้พระยาห์เวห์ แต่ละคนจงสู้รบกับบุตรและพี่น้องของตน เพื่อพระยาห์เวห์จะทรงอวยพรท่านทั้งหลายวันนี้”
30 วันต่อมา โมเสสจึงกล่าวกับประชาชนว่า “ท่านทั้งหลายได้ทำบาปใหญ่ยิ่ง แต่ตอนนี้เราจะขึ้นไปเข้าเฝ้าพระยาห์เวห์ บางทีเราจะกราบทูลขอลบล้างบาปของพวกท่านได้” 31 โมเสสจึงกลับไปเข้าเฝ้าพระยาห์เวห์และกราบทูลว่า “ประชาชนเหล่านี้ได้ทำบาปใหญ่ยิ่งและพวกเขาสร้างรูปเคารพทองคำสำหรับตัวเอง 32 แต่ตอนนี้ ขอพระองค์โปรดยกโทษบาปของพวกเขาด้วยเถิด หาไม่แล้วขอพระองค์ทรงลบข้าพระองค์เสียจากหนังสือที่พระองค์ทรงได้จดไว้”
33 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “ใครก็ตามทำบาปต่อเรา เราก็จะลบชื่อผู้นั้นจากหนังสือของเรา 34 ดังนั้น ตอนนี้ จงไปเถิด นำประชาชนไปยังที่ซึ่งเราได้บอกแก่เจ้าแล้ว ดูเถิด ทูตสวรรค์ของเราจะนำหน้าเจ้า แต่ว่าในวันที่เราจะลงโทษนั้น เราจะลงโทษพวกเขาเพราะบาปของพวกเขา” 35 แล้วพระยาห์เวห์ทรงบันดาลให้เกิดหายนะกับประชาชน เพราะพวกเขาได้ทำลูกโคซึ่งอาโรนทำนั้น
1 แล้วพระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “จงลุกไปจากที่นี่ เจ้ากับประชาชนซึ่งเจ้าได้นำออกมาจากดินแดนอียิปต์ ไปยังดินแดนซึ่งเราได้ให้สัญญากับอับราฮัม อิสอัค และกับยาโคบ เมื่อเราได้พูดว่า ‘เราจะให้ดินแดนนั้นแก่เชื้อสายของพวกเจ้า’ 2 เราจะใช้ทูตองค์หนึ่งนำหน้าพวกเจ้าไปและเราจะขับไล่ชาวคานาอัน ชาวอาโมไรต์ ชาวฮิตไทต์ ชาวเปริสซี ชาวฮีไวต์ และชาวเยบุส ออกไป 3 จงขึ้นไปยังดินแดนซึ่งมีน้ำนมและน้ำผึ้งไหล แต่เราจะไม่ขึ้นไปกับพวกเจ้า เพราะว่าพวกเจ้าได้เป็นชนชาติที่หัวแข็งกร้าว เกรงว่าเราจะทำลายล้างพวกเจ้าระหว่างทาง”
4 เมื่อประชาชนได้ยินข่าวร้ายนี้ พวกเขาจึงเป็นทุกข์มาก และไม่มีใครสวมใส่เครื่องประดับเลย 5 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “จงกล่าวแก่ชนชาติอิสราเอลว่า ‘พวกเจ้าเป็นชนชาติที่หัวแข็ง ถ้าเราขึ้นไปกับพวกเจ้าเพียงสักครู่ เราก็จะทำลายพวกเจ้า และตอนนี้ จงถอดเครื่องประดับออก เพื่อเราจะได้ตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรกับพวกเจ้า’” 6 ดังนั้นชนชาติอิสราเอลจึงไม่ได้สวมใส่เครื่องประดับ ตั้งแต่ตอนที่อยู่แถบภูเขาโฮเรบเป็นต้นมา
7 โมเสสได้ตั้งเต็นท์หลังหนึ่งไว้และวางไว้นอกจากค่าย ไกลพอสมควรจากค่าย เขาได้เรียกว่า เต็นท์นัดพบ ทุกคนที่ได้ทูลถามพระยาห์เวห์เรื่องใดๆ ก็จะออกไปยังเต็นท์นัดพบซึ่งตั้งอยู่นอกค่าย 8 เมื่อใดที่โมเสสจะออกไปยังเต็นท์นั้น ประชาชนทุกคนก็จะลุกขึ้นยืนอยู่ที่ทางเข้าเต็นท์ของตนและมองดูโมเสส จนกว่าเขาได้เข้าไปข้างใน 9 เมื่อใดก็ตามที่โมเสสได้เข้าไปในเต็นท์แล้ว เสาเมฆจะลอยลงมาและตั้งอยู่ที่ทางเข้าเต็นท์ แล้วพระยาห์เวห์จะตรัสกับโมเสส
10 เมื่อใดก็ตามที่ประชาชนทั้งหมดได้เห็นเสาเมฆนั้นตั้งอยู่ที่ทางเข้าเต็นท์ พวกเขาทุกคนจะลุกขึ้นและนมัสการ อยู่ที่ทางเข้าเต็นท์ของตน 11 พระยาห์เวห์จะตรัสกับโมเสสหน้าต่อหน้า เหมือนคนๆ หนึ่งคุยกับเพื่อนของเขา แล้วโมเสสก็กลับไปยังค่าย แต่ผู้รับใช้ของเขา โยชูวาบุตรชายของนูน ซึ่งเป็นชายหนุ่มยังคงอยู่ในเต็นท์
12 โมเสสกราบทูลพระยาห์เวห์ว่า “ดูเถิด พระองค์ตรัสสั่งข้าพระองค์ว่า ‘จงนำประชาชนนี้ขึ้นไป’ แต่พระองค์ไม่ได้ทรงแจ้งให้ข้าพระองค์ทราบว่า จะใช้ผู้ใดขึ้นไปกับข้าพระองค์ พระองค์ยังตรัสว่า ‘เรารู้จักชื่อของเจ้า และเจ้ายังเป็นที่ชอบใจในสายตาของเราด้วย’ 13 ตอนนี้ถ้าข้าพระองค์เป็นที่ชอบพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์แล้ว ขอโปรดสำแดงพระมรรคาของพระองค์แก่ข้าพระองค์ เพื่อว่าข้าพระองค์จะรู้จักพระองค์ และข้าพระองค์จะยังเป็นที่ชอบพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ และโปรดจดจำว่าชนชาตินี้เป็นประชาชนของพระองค์”
14 พระยาห์เวห์ตรัสว่า “ตัวเราเองจะไปกับเจ้า และเราจะให้เจ้าได้หยุดพัก” 15 แล้วโมเสสกราบทูลพระองค์ว่า “ถ้าพระองค์เองไม่เสด็จไปกับข้าพระองค์ ก็ขอทรงไม่นำพวกข้าพระองค์ไปจากที่นี่ 16 มิฉะนั้นแล้ว จะรู้ได้อย่างไรว่า ข้าพระองค์และประชาชนของพระองค์เป็นที่ชอบพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์แล้ว? นอกจากพระองค์จะเสด็จไปกับพวกข้าพระองค์ด้วยไม่ใช่หรือ เพื่อว่าข้าพระองค์และประชาชนของพระองค์ จึงแตกต่างจากชนชาติอื่นๆ ทั่วผืนแผ่นดินโลก?”
17 พระยาห์เวห์ตรัสตอบโมเสสว่า “สิ่งที่เจ้าขอนั้นเราจะทำให้ เพราะว่าเจ้าเป็นที่ชอบใจในสายตาของเราแล้ว และเรารู้จักชื่อของเจ้า” 18 โมเสสกราบทูลว่า “ขอทรงสำแดงพระสิริของพระองค์แก่ข้าพระองค์เถิด”
19 พระยาห์เวห์จึงตรัสตอบว่า “เราจะให้คุณความดีทั้งสิ้นของเราประจักษ์แจ้งต่อหน้าเจ้า และเราจะประกาศนามของ ‘พระยาห์เวห์’ ต่อหน้าเจ้า เราจะชอบใจผู้ใดก็จะชอบใจผู้นั้น และเราจะปราณีผู้ใด เราก็จะปราณีผู้นั้น” 20 แต่พระยาห์เวห์ตรัสว่า “เจ้าจะเห็นหน้าของเราไม่ได้ เพราะไม่มีผู้ใดเห็นหน้าเราแล้วจะมีชีวิตอยู่ได้”
21 พระยาห์เวห์จึงตรัสอีกว่า “ดูเถิด มีที่แห่งหนึ่งอยู่ใกล้เรา เจ้าจงไปยืนอยู่บนหินนี้ 22 ขณะเมื่อพระสิริของเราผ่านไป เราจะซ่อนเจ้าไว้ในซอกหิน และจะบังเจ้าไว้ด้วยมือเราจนกว่าเราได้ผ่านไป 23 แล้วเราจะนำมือของเราออก และเจ้าจะเห็นหลังของเรา แต่หน้าของเราเจ้าจะไม่ได้เห็น”
1 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “จงสกัดหินสองแผ่นให้เหมือนอย่างครั้งแรก เราจะเขียนบนหินเหล่านั้นด้วยถ้อยคำที่อยู่ในหินชุดแรก ซึ่งเจ้าได้ทำแตก 2 จงเตรียมให้พร้อมในเวลาเช้า และขึ้นมายังภูเขาซีนาย และเจ้าเองจงมาพบเราที่นั่นบนยอดเขา
3 จงไม่ให้ใครมาปรากฏตัวที่ใดบนภูเขา ไม่ให้ฝูงสัตว์หรือเหล่าสัตว์แม้แต่มากินหญ้าอยู่หน้าภูเขานี้ก็ไม่ได้” 4 ดังนั้นโมเสสจึงสกัดหินสองแผ่นเหมือนชุดแรก และเขาก็ตื่นแต่เช้า และขึ้นไปบนภูเขาซีนายตามพระดำรัสสั่งของพระยาห์เวห์ โมเสสได้ถือหินสองแผ่นไว้ในมือของเขา
5 พระยาห์เวห์เสด็จลงมาในเมฆและทรงยืนอยู่กับโมเสสที่นั่น และเขาได้เปล่งเสียงออกพระนาม “พระยาห์เวห์” 6 พระยาห์เวห์เสด็จผ่านไปข้างหน้าเขาและพระองค์ตรัสว่า “เราคือพระยาห์เวห์ พระยาห์เวห์ พระเจ้าผู้ซึ่งเปี่ยมด้วยเมตตาและกรุณา โกรธช้า และเต็มไปด้วยความสัตย์ซื่อต่อคำมั่นสัญญา และความน่าไว้วางใจ 7 ผู้ทรงรักษาความสัตย์ซื่อต่อคำมั่นสัญญาไว้ให้กับคนเป็นพันๆ ชั่วอายุคน ทรงให้อภัยการล่วงละเมิด การทรยศและบาปทั้งหลาย แต่พระองค์จะไม่ทรงละเว้นการลงโทษอย่างแน่นอน พระองค์จะทรงให้โทษความบาปของบิดาตกทอดไปถึงลูกและหลานถึงสามชั่วและสี่ชั่วอายุคน”
8 โมเสสจึงรีบหมอบลงกับพื้นและนมัสการ 9 แล้วเขากราบทูลว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ถ้าข้าพระองค์เป็นที่ชอบพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ ก็ขอพระองค์โปรดเสด็จไปกับพวกข้าพระองค์เพราะประชาชนเหล่านี้ดื้อรั้น ขอทรงโปรดอภัยการละเมิดและบาปของข้าพระองค์ทั้งหลาย และขอทรงรับพวกข้าพระองค์เป็นมรดกของพระองค์”
10 พระยาห์เวห์ตรัสว่า “นี่แน่ะ เราจะทำพันธสัญญา ต่อหน้าประชาชนทั้งหมดของเจ้าเราจะทำการอัศจรรย์ ซึ่งไม่เคยมีใครทำในทั่วแผ่นดินโลกหรือในชนชาติใดทั้งหมด ประชาชนทั้งหมดซึ่งเจ้าอยู่ท่ามกลางเจ้านั้น จะได้เห็นราชกิจของเรา เพราะสิ่งที่เราจะทำเพื่อพวกเจ้านั้นจะเป็นสิ่งที่น่ายำเกรง 11 จงเชื่อฟังสิ่งที่เราได้บัญชาพวกเจ้าในวันนี้ เราจะขับไล่คนอาโมไรต์ คนคานาอัน คนฮิตไทต์ คนเปริสซี คนฮีไวต์ และคนเยบุส ไปให้พ้นหน้าพวกเจ้า
12 จงระวังตัวให้ดี อย่าได้ทำข้อตกลงกับผู้ที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินนั้นซึ่งเจ้ากำลังมุ่งหน้าไป มิฉะนั้นแล้วพวกเขาจะเป็นกับดักท่ามกลางพวกเจ้า 13 แต่พวกเจ้าจงทำลายบรรดาแท่นบูชาของพวกเขา ทุบบรรดาเสาหินของพวกเขาให้แหลกละเอียด และโค่นบรรดาเสาของอาเชราห์ของพวกเขาเสีย 14 พวกเจ้าต้องไม่นมัสการพระอื่น เพราะพระยาห์เวห์ผู้มีพระนามว่า “หวงแหน” เป็นพระเจ้าผู้ทรงหวงแหน
15 ดังนั้นจงระวังอย่าทำสัญญากับผู้ที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินนั้น เพราะเมื่อพวกเขานอกใจพระเหล่านั้นของพวกเขา และถวายบูชาแก่พระเหล่านั้นของพวกเขา แล้วพวกเขาจะเชิญพวกเจ้าไปร่วมด้วย และพวกเจ้าจะกินของที่พวกเขาถวายบูชานั้น 16 และเมื่อพวกเจ้าจะรับบรรดาบุตรหญิงของพวกเขามาให้แก่บรรดาบุตรชายของพวกเจ้า และบรรดาบุตรหญิงของเขาจะทำให้บุตรชายของพวกเจ้านั้นจะนอกใจเราหันไปหาพระเหล่านั้นของพวกเขาด้วย 17 จงอย่าหล่อบรรดารูปพระที่ทำจากโลหะไว้สำหรับตัวเอง
18 พวกเจ้าต้องถือเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อ ตามที่เราได้บัญชาพวกเจ้า พวกเจ้าต้องกินขนมปังไร้เชื้อเจ็ดวันตามกำหนดในเดือนอาบีบ เพราะในเดือนอาบีบพวกเจ้าได้ออกจากอียิปต์
19 บุตรหัวปีทั้งหมดเป็นของเรา คือลูกตัวผู้ของสัตว์ทุกตัว ทั้งลูกหัวปีของโคและของแกะของพวกเจ้า 20 พวกเจ้าต้องซื้อคืนลูกลาหัวปีนั้นด้วยลูกแกะ แต่ถ้าพวกเจ้าไม่ซื้อคืน แล้วพวกเจ้าจงหักคอมันเสีย พวกเจ้าต้องซื้อบุตรชายหัวปีทั้งหมดของพวกเจ้าคืน ห้ามผู้ใดมาเข้าเฝ้าเรามือเปล่า
21 พวกเจ้าจงทำงานหกวัน แต่วันที่เจ็ดพวกเจ้าต้องหยุดพัก แม้แต่ในฤดูไถนาและฤดูเก็บเกี่ยวก็ตาม พวกเจ้าต้องหยุดพัก 22 พวกเจ้าต้องฉลองเทศกาลแห่งสัปดาห์ ด้วยพืชผลแรกของการเก็บเกี่ยวข้าวสาลี และพวกเจ้าต้องฉลองเทศกาลรวบรวมผลิตผลในสิ้นปี
23 จงให้ผู้ชายทุกคนของพวกเจ้าเข้าเฝ้าเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าแห่งอิสราเอล ปีละสามครั้ง 24 เพราะเราจะขับไล่ชนชาติทั้งหลายออกไปให้พ้นหน้าพวกเจ้า และขยายเขตแดนของพวกเจ้าให้กว้างออกไป ไม่มีใครอยากได้แผ่นดินของพวกเจ้าเลยเมื่อพวกเจ้าจะขึ้นไปเข้าเฝ้าพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้าปีละสามครั้ง
25 พวกเจ้าต้องไม่ถวายเลือดของเครื่องบูชาของเราพร้อมกับเชื้อยีสต์ และห้ามเหลือเนื้อจากการถวายบูชาในเทศกาลปัสกาไว้จนถึงรุ่งเช้า 26 พวกเจ้าต้องนำพืชผลแรกที่ดีที่สุดจากผืนดินของพวกเจ้ามาถวายยังพระนิเวศของเรา พวกเจ้าต้องไม่ต้มเนื้อลูกแพะด้วยน้ำนมแม่ของมัน”
27 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “เจ้าจงเขียนคำเหล่านี้ไว้ เพราะเราได้สัญญากับตัวเองด้วยถ้อยคำเหล่านี้ที่เราได้พูดไว้ และได้ทำพันธสัญญากับพวกเจ้าและอิสราเอล” 28 โมเสสเข้าเฝ้าพระยาห์เวห์อยู่ที่นั่นสี่สิบวันสี่สิบคืน เขาไม่ได้รับประทานอาหารหรือดื่มน้ำเลย เขาจารึกถ้อยคำแห่งพันธสัญญาไว้บนแผ่นหิน คือพระบัญญัติสิบประการ
29 เมื่อโมเสสลงมาจากภูเขาซีนาย มีแผ่นพระบัญญัติสองแผ่นในมือของเขาด้วย เขาไม่ทราบว่าผิวหน้าของเขาทอแสงขณะที่เขาสนทนากับพระเจ้า 30 เมื่ออาโรนและคนอิสราเอลทั้งหมดมองดูโมเสส ผิวหน้าของเขาก็ทอแสง และพวกเขาก็กลัวไม่กล้าเข้ามาใกล้เขา 31 แต่โมเสสจึงเรียกพวกเขามา อาโรนและพวกผู้นำทั้งหมดของชุมนุมชนจึงมาหาเขา แล้วโมเสสจึงได้บอกกับพวกเขา
32 หลังจากประชาชนอิสราเอลทั้งสิ้นเข้ามาหาโมเสส และโมเสสบอกพระบัญญัติทั้งสิ้นแก่เขาทั้งหลายตามที่พระยาห์เวห์ได้ประทานให้เขาบนภูเขาซีนาย 33 เมื่อโมเสสพูดกับพวกเขาจบแล้ว เขาใช้ผ้าคลุมหน้าของเขาไว้
34 แต่เมื่อไรที่โมเสสเข้าเฝ้าเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์เพื่อกราบทูลพระองค์ เขาจะปลดผ้าคลุมหน้านั้นออก จนกว่าเขาจะกลับออกมา เมื่อเขาออกมา เขาจะบอกให้คนอิสราเอลฟังเกี่ยวกับสิ่งที่พระยาห์เวห์ได้บัญชาให้เขาพูด 35 เมื่อคนอิสราเอลเห็นหน้าของโมเสสทอแสง โมเสสก็จะใช้ผ้าคลุมหน้าของเขาอีก จนกว่าจะกลับเข้าไปทูลต่อพระยาห์เวห์
1 โมเสสให้ชุมนุมคนอิสราเอลทั้งหมดมาประชุมกันและกล่าวกับพวกเขาว่า “เหล่านี้เป็นสิ่งที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาให้ท่านทั้งหลายทำ 2 จงทำงานหกวัน วันที่เจ็ดจะต้องเป็นวันบริสุทธิ์ วันสะบาโตของการหยุดพักอย่างสิ้นเชิง เป็นวันบริสุทธิ์แด่พระยาห์เวห์ ผู้ใดก็ตามที่ทำงานในวันนั้นต้องถูกลงโทษถึงตาย 3 พวกเจ้าต้องไม่ก่อไฟในบ้านของพวกท่านในวันสะบาโตนั้น”
4 โมเสสได้กล่าวกับชุมชนทั้งสิ้นของอิสราเอลว่า “นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชา 5 จงนำเครื่องบูชามาถวายแด่พระยาห์เวห์ ทุกคนในพวกของท่านที่เต็มใจ นำของมาถวายแด่พระยาห์เวห์ คือทองคำ เงิน ทองสัมฤทธิ์ 6 ด้ายขนแกะสีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้ม และผ้าลินินอย่างดี และขนแพะ 7 บรรดาหนังแกะตัวผู้ย้อมสีแดง และบรรดาหนังพะยูน และไม้กระถินเทศ 8 น้ำมันคันประทีปสำหรับสถานนมัสการ เครื่องเทศสำหรับปรุงน้ำมันไว้เจิม และสำหรับปรุงเครื่องหอม 9 หินโอนิกซ์ และหินอัญมณีต่างๆ สำหรับติดในเอโฟดและทับทรวง
10 พวกท่านทุกคนที่มีความเชี่ยวชาญจงมาช่วยกันและทำทุกสิ่งตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาเถิด 11 พลับพลาพร้อมกับเต็นท์ ผ้าคลุมเต็นท์ บรรดาขอเกี่ยว บรรดากรอบไม้ บรรดากลอน บรรดาเสา และบรรดาฐานรองรับเสา 12 รวมถึงหีบพร้อมกับคานสำหรับหาม ฝาหีบแห่งการลบล้างบาป และผ้าม่านบังตาด้วย
13 พวกเขาจึงได้นำโต๊ะพร้อมกับไม้คานสำหรับหาม เครื่องใช้ทุกอย่างสำหรับโต๊ะ และขนมปังเฉพาะพระพักตร์ 14 คันประทีปที่ให้แสงสว่าง พร้อมกับอุปกรณ์ต่างๆ สำหรับคันประทีป บรรดาประทีป และน้ำมันจุดบรรดาประทีป 15 แท่นเผาเครื่องหอมพร้อมกับบรรดาไม้คาน น้ำมันเจิม และเครื่องหอม และผ้าม่านบังตาสำหรับทางเข้าพลับพลา 16 แท่นสำหรับเครื่องเผาบูชาพร้อมด้วยตาข่ายทองสัมฤทธิ์ บรรดาไม้คานหาม และเครื่องใช้ต่างๆ ของแท่น และอ่างขนาดใหญ่กับฐานรอง
17 พวกเขาจึงได้นำผ้าม่านสำหรับกั้นลานพลับพลา พร้อมกับเสา และฐานรองรับเสา และม่านบังตาสำหรับทางเข้าลาน 18 และบรรดาหลักหมุดสำหรับพลับพลา และบรรดาหลักหมุดสำหรับลานพลับพลา พร้อมกับบรรดาเชือก 19 พวกเขาจึงได้นำเครื่องแต่งกายต่างๆ ที่เย็บด้วยฝีมือประณีตสำหรับการปรนนิบัติในสถานบริสุทธิ์ คือเครื่องแต่งกายบริสุทธิ์ต่างๆ สำหรับอาโรนปุโรหิต และเครื่องแต่งกายบริสุทธิ์ต่างๆ สำหรับบุตรชายของเขา เพื่อให้พวกเขาใช้ปฏิบัติงานของปุโรหิต”
20 แล้วทุกเผ่าของอิสราเอลก็ได้แยกย้ายกันไปจากโมเสส 21 ทุกคนที่เต็มใจและปรารถนาที่จะถวาย ต่างก็ได้นำของมาถวายแด่พระยาห์เวห์สำหรับการสร้างพลับพลา และอุปกรณ์ทุกอย่างสำหรับงานรับใช้ในพลับพลา และสำหรับเครื่องแต่งกายบริสุทธิ์ต่างๆ 22 พวกเขาทุกคนที่เต็มใจจึงได้พากันมาทั้งผู้ชายและผู้หญิง พวกเขาก็ได้นำบรรดาเข็มกลัด บรรดาตุ้มหู บรรดาแหวน และบรรดาเครื่องประดับ ทุกชิ้นล้วนเป็นทองคำ พวกเขาทุกคนได้นำของถวายที่เป็นทองคำมาเป็นเครื่องบูชาโบกถวายแด่พระยาห์เวห์
23 ทุกคนที่มีด้ายขนแกะสีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้ม หรือมีผ้าลินินเนื้อดี ขนแพะ บรรดาหนังแกะตัวผู้ย้อมสีแดง หรือบรรดาหนังพะยูนก็ได้เอาของเหล่านั้นมาถวาย 24 ทุกคนที่ทำเครื่องถวายจากเงินหรือทองสัมฤทธิ์ก็ได้นำมาถวายแด่พระยาห์เวห์ และทุกคนที่มีไม้กระถินเทศที่ใช้กับงานใดได้ก็ให้นำไม้นั้นมาถวาย
25 ผู้หญิงทุกคนที่ชำนาญในการปั่นขนแกะด้วยมือของเธอ และก็ได้นำด้ายขนแกะที่เธอได้ปั่นนั้นมาทั้งสีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้ม และผ้าลินินปั่นอย่างดีมา 26 ผู้หญิงทุกคนที่เต็มใจและเชี่ยวชาญก็ได้ปั่นขนแพะ
27 พวกผู้นำก็ได้นำหินโอนิกซ์ และพลอยอื่นๆ สำหรับติดในเอโฟดและทับทรวงมา 28 พวกเขาได้นำพวกเครื่องเทศและน้ำมันสำหรับประทีปต่างๆ น้ำมันสำหรับเจิม และเครื่องเทศสำหรับปรุงเครื่องหอม 29 คนอิสราเอลที่เต็มใจก็ได้นำของมาถวายแด่พระยาห์เวห์สำหรับการงานทุกอย่าง ชายและหญิงทุกคนที่เต็มใจก็ได้นำวัสดุต่างๆ ที่ใช้สำหรับงานซึ่งพระยาห์เวห์ได้ทรงบัญชาผ่านทางโมเสสให้พวกเขาทำ
30 โมเสสจึงได้กล่าวกับคนอิสราเอลว่า “ดูเถิด พระยาห์เวห์ได้ทรงคัดเลือกเบซาเลลบุตรชายของอุรี ผู้เป็นบุตรชายของเฮอร์แห่งเผ่ายูดาห์ 31 พระองค์ได้ทรงเติมให้เบซาเลลเต็มไปด้วยพระวิญญาณของพระเจ้าคือให้เขามีปัญญา ความเข้าใจ และความรู้ในงานช่างทุกสิ่ง 32 เพื่อออกแบบอย่างวิจิตรในการทำเครื่องทอง เครื่องเงิน และเครื่องทองสัมฤทธิ์ 33 ในการเจียระไนอัญมณี และในการติดในตัวเรือน และในการแกะสลักไม้ สำหรับงานออกแบบและงานช่างทุกสิ่งด้วย
34 พระองค์ทรงให้ทั้งเขากับโอโฮลีอับบุตรชายอาหิสะมัคเผ่าดาน มีน้ำใจที่จะสอนคนอื่นด้วย 35 พระองค์ได้ประทานทักษะให้คนทั้งสองนี้ในการทำงานช่างทุกสิ่ง เช่น งานฝีมือ งานออกแบบ งานแกะสลัก และงานปักด้วยด้ายขนแกะคือ สีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้ม และผ้าลินินอย่างดี และช่างทอ พวกเขาเป็นช่างฝีมือทำได้ทุกสิ่ง และเป็นช่างออกแบบอย่างวิจิตร
1 ดังนั้นเบซาเลลและโอโฮลีอับกับช่างฝีมือทุกคน ที่พระยาห์เวห์ได้ประทานทักษะและความสามารถให้รู้จักวิธีการทำงานทุกสิ่ง ในการสร้างวิสุทธิสถานที่จะต้องทำงานตามทุกอย่างที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาไว้”
2 โมเสสจึงเรียกเบซาเลลและโอโฮลีอับกับช่างฝีมือทุกคน ซึ่งพระยาห์เวห์ประทานปัญญาไว้ในใจของเขา คือทุกคนที่เต็มใจมาและทำงาน 3 พวกเขาได้รับเครื่องถวายทุกชิ้นจากโมเสส คือของถวายที่คนอิสราเอลได้นำมาถวายเพื่อสร้างวิสุทธิสถาน ประชาชนยังนำบรรดาเครื่องถวายมาให้โมเสสด้วยความเต็มใจอีกทุกเช้า 4 ดังนั้นช่างฝีมือทุกคนที่กำลังทำงานเพื่อวิสุทธิสถานนั้นต่างก็ได้ผละจากงานของตนที่ได้ทำ
5 พวกช่างฝีมือจึงบอกโมเสสว่า “ประชาชนนำของมาถวายมากเกินความต้องการที่จะใช้ในงานซึ่งพระยาห์เวห์ทรงบัญชาให้พวกเราทำไปแล้ว” 6 ดังนั้นโมเสสจึงสั่งให้ประกาศไปทั่วค่ายว่า ผู้ใดก็ตามไม่ต้องนำของถวายมาสร้างวิสุทธิสถานอีกแล้ว แล้วประชาชนจึงได้หยุดที่จะนำของเหล่านั้นมาให้อีก 7 พวกช่างมีวัสดุที่มากเกินพอแล้วสำหรับงานที่จะต้องทำทั้งหมด
8 ดังนั้นช่างฝีมือทุกคนในหมู่พวกเขาได้สร้างพลับพลาด้วยผ้าม่านสิบผืน ที่ทำจากผ้าลินินเนื้อดีและด้ายขนแกะสีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้ม และออกแบบเป็นภาพเครูบต่างๆ นี่เป็นงานของเบซาเลล ซึ่งเป็นช่างฝีมือที่เก่งมาก 9 ความยาวของม่านแต่ละผืน คือ ยี่สิบแปดศอก และยาวสี่ศอก ม่านทั้งหมดมีขนาดเท่ากัน 10 เบซาเลลเอาม่านห้าผืนเกี่ยวติดกัน และอีกห้าผืนนั้นก็ได้ร้อยติดกันด้วย
11 เขาทำหูผ้าม่านด้วยด้ายสีฟ้าติดไว้ตามขอบผ้าม่านด้านนอกสุดของชุดที่หนึ่ง และเขาทำอย่างเดียวกันที่ด้านนอกขอบผ้าม่านในม่านชุดที่สอง 12 เขาทำหูของผ้าม่านผืนแรกห้าสิบหูและตามขอบผ้าม่านชุดที่สองห้าสิบหู ดังนั้นหูของผ้าม่านจึงอยู่ตรงข้ามกัน 13 เขาทำตะขอทองคำห้าสิบอัน และใช้เกี่ยวหูของแถบผ้าม่านเข้าด้วยกัน เพื่อให้พลับพลาเป็นหนึ่งเดียวกัน
14 เบซาเลลทำผ้าม่านขนแพะสำหรับเต็นท์คลุมพลับพลาอีกสิบเอ็ดผืน 15 ความยาวของผ้าม่านแต่ละผืนมีขนาดสามสิบศอก และกว้างสี่ศอก ทั้งสิบเอ็ดผืนมีขนาดเท่ากัน 16 เขาเกี่ยวผ้าม่านห้าผืนให้ติดกัน ส่วนผ้าม่านอีกหกผืนก็เกี่ยวติดกันแยกไว้ต่างหาก 17 เขาทำหูผ้าม่านห้าสิบหูติดกับขอบผ้าม่านของชุดแรก และหูผ้าม่านอีกห้าสิบหูติดกับขอบผ้าม่านเพื่อเกี่ยวกับผ้าม่านชุดที่สอง
18 เบซาเลลทำตะขอทองสัมฤทธิ์ห้าสิบอันเกี่ยวหูเต็นท์ให้เป็นหลังเดียวกัน 19 เขาทำผ้าคลุมพลับพลาด้วยหนังแกะตัวผู้ย้อมสีแดงชั้นหนึ่ง และคลุมทับด้วยหนังอย่างดีอีกชั้นหนึ่ง
20 เบซาเลลทำกรอบไม้แนวตั้งสำหรับค้ำพลับพลาจากไม้กระถินเทศ 21 ความยาวของแต่ละกรอบไม้เป็นสิบศอก และกว้างหนึ่งศอกครึ่ง 22 กรอบไม้แต่ละอันมีสองเดือย เพื่อให้ยึดกรอบติดกัน เขาทำกรอบไม้ทุกอันของพลับพลาอย่างนี้ 23 เขาทำกรอบไม้สำหรับพลับพลาดังนี้ กรอบไม้ด้านใต้ยี่สิบอัน
24 เบซาเลลทำฐานเงินสำหรับรองรับเดือยจำนวนสี่สิบอันใต้กรอบไม้ยี่สิบอัน มีฐานสองอันใต้กรอบไม้หนึ่งอันเพื่อเชื่อมอีกกรอบหนึ่งเข้าด้วยกัน และฐานสองอันใต้แต่ละกรอบเพื่อเชื่อมแต่ละกรอบเข้าด้วยกัน 25 ด้านที่สองของพลับพลาข้างทิศเหนือนั้นเขาทำกรอบไม้ยี่สิบอัน 26 และฐานเงินรองรับเดือยสี่สิบฐาน มีฐานรองรับเดือยสองอันใต้กรอบไม้อันแรก อีกสองอันใต้กรอบถัดไปและต่อไปเรื่อยๆ
27 ส่วนด้านหลังของพลับพลาทางทิศตะวันตก เบซาเลลทำกรอบไม้หกอัน 28 เขาทำกรอบไม้อีกสองอันสำหรับมุมพลับพลาด้านหลัง
29 กรอบไม้เหล่านั้นมีมุมแยกกันข้างล่าง แต่เชื่อมด้านบนติดกันด้วยห่วงหนึ่งอัน เขาทำสองชุดอย่างนี้ทำให้เกิดมุมสองมุม 30 เป็นกรอบไม้แปดอันพร้อมกับฐานเงิน ทั้งหมดมีฐานสิบหกอัน มีฐานสองอันใต้ฐานอันแรก อีกสองอันใต้ฐานถัดไป และต่อๆ ไป
31 เบซาเลลทำกลอนด้วยไม้กระถินเทศห้าอันสำหรับกรอบไม้ฝาพลับพลาด้านหนึ่ง 32 กลอนอีกห้าอันสำหรับกรอบไม้ฝาพลับพลาอีกด้านหนึ่ง และอีกห้าอันสำหรับกรอบไม้ฝาพลับพลาด้านหลังทางด้านตะวันตก 33 เขาได้ทำกลอนตัวกลางให้ร้อยตอนกลางของกรอบไม้ สำหรับขัดฝาตั้งแต่ปลายหนึ่งไปจดอีกปลายหนึ่ง 34 เขาหุ้มกรอบไม้เหล่านั้นด้วยทองคำ เขาจึงทำห่วงทองคำสำหรับร้อยกลอน และเขาหุ้มกลอนนั้นด้วยทองคำ
35 เบซาเลลทำม่านผืนหนึ่งด้วยด้ายขนแกะสีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้ม และด้วยผ้าลินินเนื้อดี เป็นภาพเครูบซึ่งเป็นงานของช่างฝีมือ 36 เขาทำเสาม่านจากไม้กระถินเทศสี่เสาและหุ้มด้วยทองคำ เขายังทำตะขอติดเสานั้นด้วยทองคำและหล่อฐานเงินสี่อันสำหรับรองรับเสา
37 เขาทำม่านบังตาสำหรับทางเข้าเต็นท์นั้นด้วยด้ายขนแกะสีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้มและผ้าลินินเนื้อดี ซึ่งเป็นงานของช่างปัก 38 เขายังทำเสาห้าต้นสำหรับผ้าม่านพร้อมด้วยตะขอเกี่ยว เขาได้หุ้มยอดเสาและราวผ้าม่านนั้นด้วยทองคำ ฐานทั้งห้าสำหรับรองรับเสานั้นทำด้วยทองสัมฤทธิ์
1 เบซาเลลทำหีบด้วยไม้กระถินเทศ ยาวสองศอกครึ่ง กว้างหนึ่งศอกครึ่ง และสูงหนึ่งศอกครึ่ง 2 เขาหุ้มหีบนั้นทั้งด้านในและด้านนอกด้วยทองคำบริสุทธิ์ และได้ทำขอบด้านบนด้วยทองคำล้อมรอบหีบนั้น 3 เขาหล่อห่วงทองคำสี่ห่วงสำหรับหีบนั้นติดไว้ที่มุมทั้งสี่ ด้านหนึ่งสองห่วงและสองห่วงอีกด้านหนึ่ง
4 เขาทำคานหามด้วยไม้กระถินเทศและหุ้มด้วยทองคำ 5 เขาสอดคานหามเข้าที่ห่วงข้างหีบสำหรับใช้หามหีบนั้น 6 เขาทำฝาหีบลบล้างบาปด้วยทองคำบริสุทธิ์ ยาวสองศอกครึ่ง และกว้างหนึ่งศอกครึ่ง
7 เบซาเลลทำเครูบสองตนด้วยทองคำที่ขึ้นรูปด้วยค้อนที่ปลายฝาหีบลบล้างบาป 8 เครูบตนหนึ่งอยู่ที่ปลายฝาหีบลบล้างบาปด้านหนึ่ง และอีกตนหนึ่งอยู่อีกด้านหนึ่ง เขาทำเป็นชิ้นเดียวกันกับฝาหีบลบล้างบาป 9 เครูบกางปีกขึ้นสูงและปกคลุมฝาหีบลบล้างบาป เครูบแต่ละตนหันหน้าเข้ามาหากัน และมองมาตรงกลางฝาหีบลบล้างบาป
10 เบซาเลลทำโต๊ะตัวหนึ่งจากไม้กระถินเทศมา ยาวสองศอก กว้างหนึ่งศอก และสูงหนึ่งศอกครึ่ง 11 เขาหุ้มโต๊ะนั้นด้วยทองคำบริสุทธิ์ และทำขอบด้านบนด้วยทองคำล้อมรอบโต๊ะนั้นด้วย 12 เขาทำกรอบโต๊ะนั้นกว้างหนึ่งฝ่ามือโดยรอบ ล้อมรอบกรอบนั้นด้วยทองคำ 13 เขาทำห่วงสี่ห่วงจากทองคำติดไว้ที่มุมขาโต๊ะทั้งสี่
14 ห่วงนั้นชิดกับกรอบสำหรับใส่คานหามสำหรับหามโต๊ะนั้น 15 เขาทำคานหามด้วยไม้กระถินเทศ แล้วหุ้มด้วยทองคำสำหรับหามโต๊ะนั้น 16 เขาทำเครื่องใช้ที่อยู่บนโต๊ะนั้น คือจาน ช้อน กับอ่าง และคนโทที่ใช้รินเครื่องดื่มบูชา เขาได้ทำสิ่งเหล่านี้ด้วยทองคำบริสุทธิ์
17 เขาทำคันประทีปด้วยทองคำบริสุทธิ์โดยใช้ค้อนตีขึ้นรูป เขาได้ทำพร้อมทั้งฐานและลำตัวของคันประทีป ถ้วยรองประทีป ฐานใบ และดอกของมันก็ทำเป็นเนื้อเดียวกับคันประทีป 18 ให้กิ่งหกกิ่งขยายออกจากคันประทีปด้านละสามกิ่ง และสามกิ่งของคันประทีปจะต้องยื่นออกมาจากอีกฟากหนึ่ง 19 กิ่งแรกจะต้องมีสามดอกทำคล้ายดอกอัลมอนด์ มีฐานใบ และดอก และอีกกิ่งหนึ่งมีสามดอกทำคล้ายดอกอัลมอนด์ มีฐานใบ และดอก จะต้องเหมือนกันทั้งหกกิ่งที่ยื่นออกมาจากคันประทีป
20 บนคันประทีปตรงกลางจะต้องมีสี่ถ้วยที่ทำเป็นเหมือนรูปดอกอัลมอนด์ รองด้วยฐานใบและดอกอย่างละสี่ดอก 21 ให้ทำฐานใบหนึ่งอันรองรับกิ่งขนานคู่แรก ให้ทำเป็นชิ้นเดียวกันด้วย อีกฐานใบหนึ่งรองรับกิ่งขนานคู่ที่สอง ให้ทำเป็นชิ้นเดียวกันด้วย และในทำนองเดียวกันอีกดอกหนึ่งรองรับกิ่งขนานคู่ที่สาม ให้ทำเป็นชิ้นเดียวกัน จะต้องเหมือนกันสำหรับทั้งหกกิ่งที่ยื่นออกมาจากคันประทีป 22 ฐานใบและกิ่งเป็นเนื้อเดียวกับคันประทีป ตีขึ้นรูปเป็นเนื้อเดียวกันด้วยทองคำบริสุทธิ์
23 เบซาเลลทำคันประทีปและประทีปเจ็ดอัน กรรไกรตัดไส้ประทีปและถาดรองทำจากทองคำบริสุทธิ์ 24 เขาทำคันประทีปและเครื่องใช้ทุกอย่างสำหรับคันประทีปนั้นด้วยทองคำบริสุทธิ์หนักหนึ่งตะลันต์
25 เบซาเลลสร้างแท่นบูชาเพื่อเผาเครื่องหอม เขาทำแท่นด้วยไม้กระถินเทศ ยาวหนึ่งศอก กว้างหนึ่งศอก เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส และ สูงสองศอก เชิงงอนที่มุมแท่นนั้นก็เป็นไม้ชิ้นเดียวกับแท่น 26 เขาหุ้มแท่นเครื่องหอมนั้นด้วยทองคำบริสุทธิ์ ทั้งด้านบนและด้านข้างทุกด้าน และเชิงงอนด้วย เขายังทำขอบด้วยทองคำล้อมรอบแท่นนั้น
27 เขาทำห่วงทองคำสองห่วงติดไว้ใต้ขอบด้านละห่วงตรงข้ามกัน ห่วงนั้นเป็นที่สำหรับสอดไม้คานหามแท่น 28 เขาทำไม้คานหามนั้นด้วยไม้กระถินเทศและเขาหุ้มด้วยทองคำ 29 เขาปรุงน้ำมันเจิมอันบริสุทธิ์และปรุงเครื่องหอมบริสุทธิ์ ตามศิลปะของช่างปรุง
1 เบซาเลลทำแท่นเครื่องเผาบูชาด้วยไม้กระถินเทศ เป็นแท่นยาวห้าศอก กว้างห้าศอก ทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส และสูงสามศอก 2 เขาขยายทั้งสี่มุมบนแท่นนั้นรูปเหมือนเขาโค เขาโคนั้นเป็นเนื้อเดียวกับแท่น และเขาหุ้มแท่นด้วยทองสัมฤทธิ์ 3 เขาทำเครื่องใช้ทุกอย่างสำหรับแท่นนั้นคือ หม้อสำหรับใส่ขี้เถ้า พลั่ว อ่าง ส้อมเกี่ยวเนื้อ และถาดรองไฟต่างๆ เขาทำเครื่องใช้ทุกชิ้นสำหรับแท่นนั้นด้วยทองสัมฤทธิ์
4 เขาทำตะแกรงทองสัมฤทธิ์สำหรับแท่นนั้นให้อยู่ใต้ขอบในรอบแท่นบูชา และให้ยื่นลงมาจนถึงประมาณกึ่งกลางของแท่น 5 เขาหล่อห่วงสี่ห่วงติดที่มุมทั้งสี่ของตะแกรงทองสัมฤทธิ์สำหรับสอดไม้คาน
6 เบซาเลลทำไม้คานด้วยไม้กระถินเทศ และหุ้มด้วยทองสัมฤทธิ์ 7 เขาใส่ไม้คานนั้นไว้ในห่วงข้างแท่นทั้งสองด้านสำหรับหาม เขาทำแท่นนั้นด้วยไม้กระดานให้ข้างในกลวง
8 เบซาเลลทำอ่างขนาดใหญ่และฐานรองอ่างด้วยทองสัมฤทธิ์ เขาทำอ่างด้วยกระจกเงาของบรรดาผู้หญิงที่รับใช้อยู่ที่ทางเข้าเต็นท์นัดพบ
9 เขายังได้สร้างลานพลับพลา โดยด้านใต้ของลานมีผ้าบังลานที่ทำจากผ้าลินินเนื้อดี ยาวหนึ่งร้อยศอก 10 ผ้าบังลานมีเสายี่สิบต้นกับฐานทองสัมฤทธิ์รองรับเสายี่สิบฐาน มีตะขอต่างๆ ติดเสา และราวยึดเสานั้นทำด้วยเงิน
11 ในทำนองเดียวกันทางด้านเหนือให้มีผ้าบังลานยาว หนึ่งร้อยศอกกับเสายี่สิบต้น และฐานทองสัมฤทธิ์ยี่สิบฐาน ตะขอต่างๆ ติดเสาและราวยึดเสานั้นทำจากเงิน 12 ผ้าบังลานด้านตะวันตกยาวห้าสิบศอก กับเสาสิบต้น และฐานรองรับเสาสิบฐาน ตะขอและราวยึดเสาต่างๆ นั้นทำจากเงิน
13 ลานยังใช้ผ้ายาวห้าสิบศอกไปทางด้านตะวันออก 14 ผ้าบังลานด้านริมทางเข้าข้างหนึ่งยาวสิบห้าศอก มีเสาสามต้นและฐานรองรับเสาสามฐาน 15 อีกข้างหนึ่งของทางเข้าของลาน มีผ้าบังลานยาว สิบห้าศอก มีเสาสามต้นและฐานรองรับเสาสามฐาน 16 ผ้าบังลานโดยรอบลานนั้นทำด้วยผ้าลินินเนื้อดี
17 ฐานรองรับเสานั้นทำด้วยทองสัมฤทธิ์ ส่วนตะขอติดเสาและราวยึดเสาทำด้วยเงิน และหัวเสานั้นหุ้มด้วยเงิน เสาทุกต้นของลานมีราวยึดเสาทำด้วยเงิน 18 ผ้าม่านที่ประตูลานนั้นยาวยี่สิบศอก ม่านนั้นทำจากผ้าลินินเนื้อดี สีฟ้า สีม่วง และสีแดงเข้ม ผ้าลินินเนื้อดีด้ายคู่ และยาวยี่สิบศอก ความยาวคือยี่สิบศอก และสูงห้าศอก เสมอกับผ้าบังลาน 19 มีฐานรองรับเสาสี่ฐานเป็นทองสัมฤทธิ์ และตะขอทำด้วยเงิน ส่วนที่หุ้มหัวเสากับราวยึดเสาทำด้วยเงิน 20 หลักหมุดทุกตัวของพลับพลา และของลานรอบพลับพลานั้นทำด้วยทองสัมฤทธิ์
21 เหล่านี้คือสิ่งของที่ใช้ในพลับพลา คือพลับพลาแห่งกฎเกณฑ์แห่งพันธสัญญา ซึ่งได้บันทึกตามคำสั่งของโมเสส เป็นงานของคนเลวีในความดูแลของอิธามาร์บุตรชายอาโรนปุโรหิต 22 เบซาเลลบุตรชายของอุรีผู้เป็นบุตรชายของเฮอร์แห่งเผ่ายูดาห์ ทำทุกอย่างที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาโมเสส 23 โอโฮลีอับบุตรชายของอาหิสะมัคแห่งเผ่าดาน ผู้ร่วมงานกับเบซาเลลเป็นช่างสลัก เป็นช่างฝีมือผู้เชี่ยวชาญ และเป็นช่างปัก โดยใช้ด้ายขนแกะสีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้ม และผ้าลินินเนื้อดี
24 ทองคำทั้งหมดที่ใช้สำหรับการสร้างนี้ ในงานทั้งหมดที่เกี่ยวข้องวิสุทธิสถานนั้น คือทองคำที่มาจากการเครื่องบูชาถวายโบก มีน้ำหนักยี่สิบเก้าตะลันต์และ 730 เชเขล ตามมาตราชั่งน้ำหนักเชเขลของสถานนมัสการ 25 เงินที่มาจากชุมชนได้ถวายไว้หนักหนึ่งร้อยตะลันต์และ 1,775 เชเขล ตามมาตราการชั่งน้ำหนักของเชเขลของสถานนมัสการ 26 หรือโดยเก็บเงินคนละหนึ่งเบคา ซึ่งคือครึ่งเชเขล ชั่งตามเชเขลของสถานนมัสการ จำนวนตัวเลขนี้มีพื้นฐานจากทุกคนที่ได้นับไว้ในทะเบียนสำมะโนครัว คนเหล่านั้นที่มีอายุตั้งแต่ยี่สิบปีขึ้นไป รวมทั้งหมด 603,550 คน
27 เงินหนักหนึ่งร้อยตะลันต์ใช้ทำฐานรองรับเสาของวิสุทธิสถานและฐานของผ้าม่าน ฐานร้อยอันใช้เงินหนักหนึ่งตะลันต์สำหรับแต่ละฐาน 28 จากในส่วนที่เหลือของเงิน 1,775 เชเขล เบซาเลลทำตะขอสำหรับเสาและหุ้มหัวเสานั้น และทำราวยึดเสาด้วย 29 ทองสัมฤทธิ์จากเครื่องบูชาถวายโบกหนักเจ็ดสิบตะลันต์และ 2,400 เชเขล
30 ด้วยสิ่งเหล่านี้เขาได้ทำฐานทางเข้าเต็นท์นัดพบ ทำแท่นทองสัมฤทธิ์ และตะแกรงทองสัมฤทธิ์ และทำเครื่องใช้ทั้งหมดของแท่นนั้น 31 ทำฐานสำหรับลาน ฐานที่ทางเข้าลาน หลักหมุดทุกตัวของพลับพลา และหลักหมุดทุกตัวสำหรับลานนั้น
1 พวกเขาทอบรรดาเครื่องแต่งกายอย่างปราณีตด้วยด้ายขนแกะสีฟ้า สีม่วง และสีแดงเข้มนั้น สำหรับใส่เวลาปฏิบัติหน้าที่ในวิสุทธิสถาน พวกเขายังได้ทำเครื่องแต่งกายของอาโรนสำหรับสวมในวิสุทธิสถาน ตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาโมเสส
2 เบซาเลลทำเสื้อเอโฟดด้วยทองคำ ด้ายขนแกะสีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้ม และผ้าลินินด้ายคู่เนื้อดี 3 พวกเขาตีทองแผ่ออกเป็นแผ่นบางๆ และตัดเป็นเส้นๆ เพื่อทอเข้ากับด้ายขนแกะสีฟ้า สีม่วง สีแดงเข้ม และเข้ากับผ้าลินินเนื้อดี เป็นงานของช่างฝีมือผู้เชี่ยวชาญงาน
4 พวกเขาทำแถบติดไว้ที่บ่าเสื้อเอโฟดให้ติดกับมุมด้านบนทั้งสองมุม 5 สายรัดเอวก็ทออย่างประณีตเหมือนเสื้อเอโฟด ทอเข้าเป็นชิ้นเดียวกับเสื้อเอโฟด ทำด้วยผ้าลินินด้ายคู่เนื้อดี ที่ปักด้วยทองคำ ด้ายสีฟ้า สีม่วง และสีแดงเข้ม ตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาโมเสส
6 พวกเขาเอาหินโอนิกซ์ติดไว้ในตัวเรือนทองคำซึ่งแกะสลักอย่างแกะตรา และแกะสลักเป็นรายชื่อบุตรชายทั้งสิบสองคนของอิสราเอล 7 เบซาเลลติดหินเหล่านั้นไว้บนแถบบ่าของเสื้อเอโฟด เพื่อให้หินนั้นเป็นที่จดจำแด่พระยาห์เวห์ถึงบุตรชายทั้งสิบสองคนของอิสราเอล ตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาโมเสส
8 เขาทำทับทรวง เป็นงานของช่างฝีมือผู้เชี่ยวชาญงาน ตกแต่งเหมือนเสื้อเอโฟด เขาได้ทำด้วยทองคำ ปักด้วยด้ายขนแกะสีฟ้า สีม่วง และสีแดงเข้ม และผ้าลินินเนื้อดี 9 เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส พวกเขาพับทับทรวงเป็นสองทบ ยาวหนึ่งคืบ และกว้างหนึ่งคืบ
10 พวกเขาติดอัญมณีสี่แถวนั้น แถวที่หนึ่งติด ทับทิม บุษราคัมและโกเมน 11 แถวที่สองติดมรกต ไพลิน และเพชร 12 แถวที่สามติดเพทาย โมรา และแอเมทิสต์ 13 แถวที่สี่ติดเบริล โอนิกซ์ และแจสเพอร์ อัญมณีเหล่านี้ได้ติดในตัวเรือนทองคำ
14 อัญมณีเหล่านี้เรียงตามชื่อของบุตรชายทั้งสิบสองคนของอิสราเอล เรียงลำดับตามชื่อ อัญมณีแกะสลักเหมือนอย่างแกะตรา แต่ละชื่อหมายถึงแต่ละเผ่าของสิบสองเผ่า 15 พวกเขาทำสร้อยคล้ายถักเกลียวบนทับทรวง เป็นงานถักด้วยทองคำบริสุทธิ์ 16 พวกเขาทำตัวเรือนทองคำสองอันและห่วงสองห่วงด้วยทองคำ และพวกเขาติดห่วงทองคำสองห่วงไว้ที่สองมุมของทับทรวง
17 พวกเขาสอดสร้อยถักด้วยทองคำในห่วงทั้งสองที่ตรงมุมทับทรวง 18 พวกเขาติดปลายสร้อยถักสองข้างนั้นกับตัวเรือนทั้งสอง พวกเขาติดที่แถบบ่าของเสื้อเอโฟดที่ด้านหน้า
19 พวกเขาทำห่วงทองคำสองห่วงและใส่ที่มุมล่างด้านในทั้งสองข้างของทับทรวง 20 พวกเขาทำห่วงทองคำอีกสองห่วงและใส่ไว้ที่ใต้แถบบ่าด้านหน้าของเสื้อเอโฟด ใกล้ตะเข็บเหนือสายรัดเอวซึ่งทอด้วยฝีมืออย่างประณีตของเสื้อเอโฟด
21 พวกเขาผูกทับทรวงนั้นติดกับห่วงของห่วงเสื้อเอโฟด ด้วยด้ายถักสีฟ้า เพื่อให้ทับทรวงทับสายรัดเอวซึ่งทอด้วยฝีมืออย่างประณีตของเสื้อเอโฟด สิ่งนี้ก็เพื่อที่จะไม่ให้ทับทรวงหลุดไปจากเสื้อเอโฟด สิ่งนี้เป็นไปตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาโมเสส
22 บาซาเลลทำเสื้อคลุมเข้าชุดกับเสื้อเอโฟดด้วยผ้าทอสีม่วงล้วน เป็นงานของช่างทอ 23 ที่มีช่องสวมศีรษะตรงกลางของเสื้อนั้น ได้ขลิบรอบคอเพื่อไม่ให้ขาด 24 ที่ขอบล่างชายเสื้อ พวกเขาทำเป็นรูปผลทับทิม โดยใช้ด้ายสีฟ้า สีม่วง และสีแดงเข้ม และผ้าลินินเนื้อดี
25 พวกเขาทำกระดิ่งด้วยทองคำบริสุทธิ์ และพวกเขาติดกระดิ่งระหว่างผลทับทิมโดยรอบขอบล่างชายเสื้อคลุม ระหว่างผลทับทิมนั้นมี 26 กระดิ่งลูกหนึ่งและผลทับทิมผลหนึ่ง กระดิ่งอีกลูกหนึ่งและผลทับทิมอีกผลหนึ่ง ที่ชายเสื้อคลุมนั้นสำหรับอาโรนใส่เวลาปฏิบัติหน้าที่ สิ่งนี้เป็นไปตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาโมเสส
27 พวกเขาทำเสื้อคลุมด้วยผ้าลินินเนื้อดีสำหรับอาโรน และบรรดาบุตรชายของเขา 28 พวกเขาทำผ้าโพกศีรษะ และผ้าคาดศีรษะ และทำเสื้อด้านในด้วยผ้าลินินเนื้อดี 29 และทำสายรัดเอวด้วยผ้าลินินเนื้อดี ด้วยด้ายสีฟ้า สีม่วง และสีแดงเข้ม เป็นงานฝีมือของช่างปัก สิ่งนี้เป็นไปตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาโมเสส
30 พวกเขาทำแผ่นทองคำสำหรับมงกุฎบริสุทธิ์จารึกคำว่า “บริสุทธิ์แด่พระยาห์เวห์” ไว้เหมือนอย่างแกะตรา 31 พวกเขาเอาด้ายถักสีฟ้าผูกไว้บนผ้าโพกศีรษะ สิ่งนี้เป็นไปตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาโมเสส
32 ดังนั้นงานสำหรับพลับพลา คือเต็นท์นัดพบก็เสร็จสิ้นลง ประชาชนอิสราเอลก็ทำอย่างนั้นทุกประการ พวกเขาได้ทำตามพระบัญชาทุกอย่างที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาโมเสส 33 พวกเขาจึงนำพลับพลามาให้โมเสส ทั้งเต็นท์และเครื่องใช้ทุกชิ้น คือ ตะขอ กรอบไม้ กลอน เสา และฐานรองรับเสา 34 พวกเขาคลุมพลับพลาด้วยหนังแกะตัวผู้ย้อมสีแดง และคลุมด้วยหนังพะยูน และม่านสำหรับบังตา 35 หีบแห่งสักขีพยานกับไม้คานและฝาหีบลบล้างบาป
36 พวกเขานำโต๊ะ เครื่องใช้ทุกอย่างสำหรับโต๊ะนั้น และขนมปังเฉพาะพระพักตร์ 37 คันประทีปที่ทำด้วยทองคำบริสุทธิ์กับประทีปที่ตั้งเป็นแถว รวมทั้งเครื่องใช้ทั้งหมดของคันประทีปนั้น และน้ำมันสำหรับประทีป 38 แท่นบูชาทองคำ น้ำมันเจิมและเครื่องหอม และผ้าม่านบังตาสำหรับทางเข้าพลับพลา 39 แท่นบูชาทองสัมฤทธิ์กับตะแกรงทองสัมฤทธิ์ และไม้คานหาม และเครื่องใช้ทั้งหมดของแท่น และอ่างขนาดใหญ่กับฐานรองอ่าง
40 พวกเขานำผ้าม่านบังลาน กับเสาและฐานรองรับเสา และผ้าม่านสำหรับทางเข้าลาน เชือก และหลักหมุดสำหรับเต็นท์ และเครื่องใช้ทั้งหมดสำหรับปฏิบัติหน้าที่ที่พลับพลา สำหรับเต็นท์นัดพบ 41 พวกเขานำเครื่องแต่งกายที่ทออย่างประณีตมาสำหรับสวมเมื่อปฏิบัติหน้าที่ในวิสุทธิสถาน บรรดาเครื่องแต่งกายบริสุทธิ์สำหรับอาโรนปุโรหิต และพวกบุตรชายของเขา สำหรับพวกเขาใช้สวมในเวลาปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งปุโรหิต
42 ดังนั้นประชาชนอิสราเอลก็ได้ทำตามทุกสิ่งที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาโมเสสนั้น 43 โมเสสจึงตรวจดูงานทั้งสิ้นและเห็นว่าพวกเขาได้ทำเสร็จสิ้น พวกเขาทำทุกอย่างตามพระยาห์เวห์ได้ทรงบัญชา แล้วโมเสสจึงกล่าวอวยพรพวกเขา
1 แล้วพระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า 2 “ในวันที่หนึ่งเดือนที่หนึ่งของปีใหม่ พวกเจ้าต้องตั้งพลับพลา คือเต็นท์นัดพบขึ้น
3 พวกเจ้าต้องวางหีบแห่งสักขีพยานในพลับพลา และพวกเจ้าต้องกั้นผ้าม่านบังหีบนั้นไว้ 4 พวกเจ้าต้องนำโต๊ะเข้ามาตั้งไว้ และจัดเครื่องใช้บนโต๊ะไว้ตามที่ของมัน แล้วพวกเจ้าต้องนำคันประทีปนั้นเข้ามาและตั้งตะเกียงของคันประทีปให้เข้าที่
5 พวกเจ้าต้องตั้งแท่นบูชาทองคำสำหรับเผาเครื่องหอมตรงหน้าหีบแห่งสักขีพยาน และพวกเจ้าต้องติดตั้งม่านที่ทางเข้าพลับพลา 6 พวกเจ้าต้องตั้งแท่นเครื่องเผาบูชาไว้ตรงหน้าทางเข้าพลับพลาเต็นท์นัดพบ 7 พวกเจ้าต้องตั้งอ่างขนาดใหญ่ไว้ระหว่างเต็นท์นัดพบกับแท่นบูชา และพวกเจ้าต้องใส่น้ำในอ่างนั้น
8 พวกเจ้าต้องทำลานไว้รอบๆ และพวกเจ้าต้องติดม่านบังตาไว้ที่ทางเข้าลาน 9 พวกเจ้าต้องเอาน้ำมันเจิมมาและเจิมพลับพลา และทุกสิ่งที่อยู่ในพลับพลานั้น พวกเจ้าต้องชำระเครื่องใช้ทุกชิ้นและของตกแต่งให้บริสุทธิ์สำหรับเรา แล้วพลับพลานั้นจะบริสุทธิ์ 10 พวกเจ้าต้องเจิมแท่นเครื่องเผาบูชา และเครื่องใช้ทุกอย่างบนแท่นนั้น พวกเจ้าต้องชำระแท่นนั้นให้บริสุทธิ์สำหรับเรา และแท่นบูชานั้นจะบริสุทธิ์มากสำหรับเรา 11 พวกเจ้าต้องเจิมทั้งอ่างทองสัมฤทธิ์และฐานรองอ่าง อีกทั้งชำระให้บริสุทธิ์สำหรับเรา
12 พวกเจ้าจงนำอาโรนกับบุตรชายทั้งหลายของเขามาที่ทางเข้าเต็นท์นัดพบ และพวกเจ้าต้องใช้น้ำล้างชำระตัวพวกเขาเสีย 13 พวกเจ้าจงสวมเครื่องแต่งกายบริสุทธิ์ให้อาโรน และชำระเขาให้บริสุทธิ์สำหรับเรา เจิมเขาและชำระเขาให้บริสุทธิ์เพื่อเขาจะเป็นปุโรหิตรับใช้เรา
14 พวกเจ้าจงนำบุตรชายทั้งหลายของเขามาด้วย และสวมเสื้อคลุมให้พวกเขา 15 พวกเจ้าต้องเจิมพวกเขาเช่นเดียวกับที่พวกเจ้าเจิมบิดาของพวกเขา เพื่อพวกเขาจะเป็นปุโรหิตรับใช้เรา การเจิมนั้นจะเป็นการเจิมแต่งตั้งพวกเขาไว้เป็นปุโรหิตที่มีผลถาวรชั่วลูกหลานของพวกเขา” 16 นี่คือสิ่งที่โมเสสได้กระทำคือ เขาทำทุกอย่างตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาเขา เขาได้ทำสิ่งทั้งหมดนี้
17 ดังนั้นพลับพลาก็ได้ตั้งขึ้นในวันที่หนึ่งเดือนแรกปีที่สอง 18 โมเสสได้ตั้งพลับพลาขึ้น วางฐาน ตั้งกรอบไม้ ติดกลอน และตั้งเสาต่างๆ ขึ้น 19 เขากางสิ่งที่จะคลุมพลับพลา แล้วเอาผ้าเต็นท์คลุมเหนือพลับพลา ตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาเขา 20 เขาได้ใส่กฎเกณฑ์แห่งพันธสัญญาไว้ในหีบนั้น เขาใส่ไม้คานไว้ที่หีบ และวางฝาหีบลบล้างบาปไว้ด้านบน
21 เขานำหีบนั้นไปไว้ในพลับพลา เขาติดตั้งผ้าม่านเพื่อบังหีบแห่งสักขีพยานนั้นตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาเขา 22 เขาวางโต๊ะไว้ในเต็นท์นัดพบทางทิศเหนือของพลับพลานอกผ้าม่าน 23 เขาจัดเรียงขนมปังให้เป็นระเบียบไว้บนโต๊ะตรงด้านหน้าพระยาห์เวห์ ตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาเขา
24 เขาตั้งคันประทีปไว้ในเต็นท์นัดพบตรงข้ามกับโต๊ะนั้นทางทิศใต้ของพลับพลา 25 เขาจุดตะเกียงด้านหน้าพระยาห์เวห์ตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาเขา
26 เขาตั้งแท่นบูชาเครื่องหอมทองคำในเต็นท์นัดพบตรงหน้าผ้าม่าน 27 เขาเผาเครื่องหอมบนแท่นนั้น ตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาเขา
28 เขาได้แขวนผ้าม่านบังตาที่ประตูพลับพลา 29 เขาตั้งแท่นเครื่องเผาบูชาไว้ตรงทางเข้าพลับพลา คือตรงทางเข้าเต็นท์นัดพบ เขาได้ถวายเครื่องเผาบูชาและเครื่องธัญบูชาบนแท่นนั้น ตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาเขา 30 เขาตั้งอ่างไว้ระหว่างเต็นท์นัดพบกับแท่นบูชา และเขาใส่น้ำในอ่างสำหรับชำระล้าง
31 โมเสส อาโรน และบรรดาบุตรชายของเขา ได้ล้างมือและเท้าของพวกเขาด้วยน้ำในอ่างนั้น 32 เมื่อใดก็ตามที่เขาทั้งหลายจะเข้าไปในเต็นท์นัดพบ หรือเมื่อใดก็ตามที่เขาจะขึ้นไปยังแท่นบูชานั้น และพระสิริของพระยาห์เวห์ พวกเขาก็จะชำระล้างตัวเองเสียก่อน ตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาโมเสส 33 โมเสสได้กั้นบริเวณลานรอบพลับพลาและแท่นนั้น เขากั้นม่านบังตาที่ตรงทางเข้าลาน ด้วยวิธีนี้โมเสสก็ทำงานเสร็จ
34 แล้วในขณะนั้นมีเมฆมาปกคลุมเต็นท์นัดพบไว้ และพระสิริของพระยาห์เวห์ก็ปรากฏอยู่เต็มพลับพลานั้น 35 โมเสสเข้าไปในเต็นท์นัดพบไม่ได้ เพราะเมฆปกคลุมอยู่ และเพราะพระสิริของพระยาห์เวห์ก็อยู่เต็มพลับพลานั้น
36 เมื่อใดก็ตามที่เมฆนั้นลอยขึ้นจากพลับพลา ประชาชนอิสราเอลก็ออกเดินทางต่อไป 37 แต่หากว่าเมฆนั้นไม่ได้ลอยขึ้นไปจากพลับพลา แล้วประชาชนก็จะไม่ออกเดินทางเลย พวกเขาจะรออยู่จนกว่าจะถึงวันที่เมฆนั้นลอยขึ้นไป 38 เพราะเมฆของพระยาห์เวห์อยู่เหนือพลับพลาในตอนกลางวัน และไฟของพระองค์ก็อยู่เหนือพลับพลาในตอนกลางคืน ชาวอิสราเอลทั้งหมดได้เห็นสิ่งนี้ตลอดการเดินทาง
1 พระยาห์เวห์ได้ทรงเรียกโมเสสและตรัสกับท่านจากเต็นท์นัดพบว่า 2 "จงพูดกับคนอิสราเอลและบอกพวกเขาว่า 'เมื่อใครก็ตามในท่ามกลางพวกท่านนำเครื่องบูชามาถวายพระยาห์เวห์ ให้นำสัตว์ตัวหนึ่งของท่านมาเป็นเครื่องบูชา โดยมาจากฝูงโคหรือฝูงแพะแกะ
3 ถ้าเครื่องบูชาของเขาเป็นเครื่องเผาบูชาที่มาจากฝูงโค เขาต้องถวายเป็นตัวผู้ที่ปราศจากตำหนิ เขาต้องมาถวายตรงทางเข้าประตูเต็นท์นัดพบ เพื่อเป็นที่ยอมรับต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ 4 ให้เขาวางมือของเขาบนหัวเครื่องเผาบูชานั้น แล้วก็จะเป็นที่ยอมรับแทนตัวเขาเพื่อลบมลทินสำหรับตัวเขาเอง 5 แล้วเขาต้องฆ่าโคนั้นต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ แล้วบรรดาบุตรของอาโรนซึ่งเป็นปุโรหิต ก็จะนำเลือดนั้นมาพรมบนแท่นบูชาซึ่งอยู่ตรงทางเข้าเต็นท์นัดพบ
6 แล้วเขาต้องถลกหนังเครื่องเผาบูชาออกและสับเป็นชิ้นๆ 7 แล้วบรรดาบุตรของอาโรนซึ่งเป็นปุโรหิตจะจุดไฟบนแท่นบูชาและวางฟืนเพื่อให้ไฟลุก 8 บรรดาบุตรของอาโรนซึ่งเป็นปุโรหิตจะวางชิ้นส่วนเหล่านั้น ซึ่งมีส่วนหัวและไขมันตามลำดับไว้บนฟืนที่ติดไฟซึ่งอยู่บนแท่นบูชา 9 แต่เครื่องในและขาของมัน เขาจะต้องล้างด้วยน้ำ แล้วปุโรหิตจึงจะเผาทุกอย่างบนแท่นบูชาให้เป็นเครื่องเผาบูชา ซึ่งจะเป็นกลิ่นหอมสำหรับเรา และเป็นเครื่องบูชาด้วยไฟสำหรับเรา
10 ถ้าเครื่องบูชาของเขาสำหรับเผาบูชานั้นมาจากฝูงแพะหรือแกะ เป็นแกะตัวหนึ่งหรือแพะตัวหนึ่ง เขาจะต้องถวายเป็นตัวผู้ที่ปราศจากตำหนิ 11 เขาต้องฆ่าสัตว์นั้นทางด้านเหนือของแท่นบูชาต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ แล้วบรรดาบุตรของอาโรนซึ่งเป็นปุโรหิตจะพรมเลือดสัตว์นั้นที่แท่นบูชาทุกด้าน 12 แล้วเขาต้องสับสัตว์นั้นออกเป็นส่วนๆ ให้มีส่วนหัวและไขมันของมัน แล้วปุโรหิตจะวางชิ้นส่วนเหล่านั้นตามลำดับบนฟืนซึ่งอยู่บนไฟที่บนแท่นบูชา 13 ให้เขาล้างเครื่องในกับส่วนขาด้วยน้ำ แล้วปุโรหิตก็จะถวายทั้งตัว และเผาบนแท่นบูชาเป็นเครื่องเผาบูชา และจะเป็นกลิ่นหอมสำหรับพระยาห์เวห์ จะเป็นเครื่องบูชาด้วยไฟที่ถวายแด่พระองค์
14 ถ้าเครื่องบูชาถวายแด่พระยาห์เวห์ของเขานั้นเป็นเครื่องเผาบูชาที่มาจากนก เขาจะต้องนำนกเขาหรือนกพิราบหนุ่มมาเป็นเครื่องบูชาของเขา 15 ปุโรหิตจะต้องนำสัตว์นั้นมาที่แท่นบูชา แล้วบิดหัวนก และเผาบนแท่นบูชา แล้วเลือดนกจะต้องไหลออกมาด้านข้างของแท่นบูชา 16 เขาจะต้องเอากระเพาะและสิ่งที่อยู่ในข้างในกระเพาะไปทิ้งที่ด้านข้างแท่นบูชาฝั่งตะวันออกที่มีขี้เถ้า 17 เขาจะต้องฉีกปีกนกให้แยกจากกัน แต่เขาต้องไม่ให้ขาดออกจากกันเป็นสองส่วน แล้วปุโรหิตจะเผามันบนฟืนที่วางบนไฟที่แท่นบูชา และนั่นจะเป็นกลิ่นหอมสำหรับพระยาห์เวห์ เป็นเครื่องบูชาด้วยไฟถวายแด่พระองค์
1 เมื่อคนใดนำธัญบูชามาถวายแด่พระยาห์เวห์ เครื่องบูชาของเขาต้องเป็นแป้งอย่างดี และเขาจะเทน้ำมันลงบนแป้งและวางเครื่องหอมบนแป้ง 2 เขาต้องเอาเครื่องบูชานั้นไปให้บรรดาบุตรของอาโรนซึ่งเป็นปุโรหิต และปุโรหิตจะเอาแป้งอย่างดีที่มีน้ำมันและวางเครื่องหอมบนแป้งนั้นออกมากำมือหนึ่ง แล้วปุโรหิตจะเผาเครื่องบูชาบนแท่นเผาบูชาให้เป็นส่วนที่แทนเครื่องบูชา นี่จะเป็นกลิ่นหอมสำหรับพระยาห์เวห์ นี่จะเป็นเครื่องบูชาถวายแด่พระยาห์เวห์ด้วยไฟ
3 ธัญบูชาที่เหลือนั้นจะเป็นของอาโรนและบรรดาบุตรของท่าน นี่เป็นส่วนที่บริสุทธิ์อย่างยิ่งแด่พระยาห์เวห์จากบรรดาเครื่องบูชาแด่พระยาห์เวห์ที่ถวายด้วยไฟ 4 เมื่อท่านถวายธัญบูชาที่ปราศจากเชื้อด้วยการอบในเตาอบ ขนมปังนั้นจะต้องเป็นขนมปังนุ่มที่ทำมาจากแป้งเนื้อละเอียดคลุกกับน้ำมัน หรือขนมปังกรอบที่ปราศจากเชื้อ และทาด้วยน้ำมัน
5 ถ้าธัญบูชาของท่านเป็นการอบด้วยกระทะเหล็กแบน จะต้องเป็นแป้งอย่างดีที่ปราศจากเชื้อที่คลุกด้วยน้ำมัน 6 ท่านจะต้องแบ่งออกเป็นชิ้นๆ แล้วเทน้ำมันราดบนนั้น นี่คือธัญบูชา 7 ถ้าธัญบูชาของท่านเป็นธัญบูชาทอดในกระทะ จะต้องทำจากแป้งและน้ำมันอย่างดี 8 ท่านต้องนำธัญบูชาซึ่งทำจากสิ่งเหล่านี้มาถวายแด่พระยาห์เวห์ และจะถูกมอบให้แก่ปุโรหิต ผู้ที่จะนำไปยังแท่นบูชา
9 แล้วปุโรหิตจะหยิบบางส่วนออกมาจากธัญบูชาเพื่อให้เป็นส่วนที่แทนเครื่องบูชา และปุโรหิตจะเผาบนแท่นบูชา นั่นจะเป็นเครื่องบูชาด้วยไฟ และนั่นจะเป็นกลิ่นหอมสำหรับพระยาห์เวห์ 10 ธัญบูชาส่วนที่เหลือจะตกเป็นของอาโรนและบรรดาบุตรของท่าน นี่เป็นส่วนที่บริสุทธิ์อย่างยิ่งแด่พระยาห์เวห์จากบรรดาเครื่องบูชาแด่พระยาห์เวห์ที่ถวายด้วยไฟ
11 ธัญบูชาที่ท่านนำมาถวายแด่พระยาห์เวห์ต้องไม่ใส่เชื้อ เพราะท่านจะต้องเผาโดยปราศจากเชื้อหรือน้ำผึ้ง เพื่อเป็นเครื่องบูชาด้วยไฟถวายแด่พระยาห์เวห์ 12 ท่านจะถวายของเหล่านั้นแด่พระยาห์เวห์ให้เป็นเครื่องบูชาแห่งผลแรก แต่ของเหล่านั้นจะใช้เพื่อทำให้เกิดกลิ่นหอมบนแท่นบูชา 13 ท่านจะต้องปรุงธัญบูชาแต่ละอย่างด้วยเกลือ ท่านต้องไม่ให้เกลือแห่งพันธสัญญาของพระเจ้าของท่านขาดไปจากธัญบูชาของท่าน ท่านต้องถวายเครื่องบูชาของท่านพร้อมด้วยเกลือ
14 ถ้าท่านถวายธัญบูชาแห่งผลแรกแด่พระยาห์เวห์ ให้ถวายเมล็ดใหม่ๆ ที่ย่างไฟแล้วบดละเอียดเป็นอาหาร 15 แล้วท่านต้องคลุกน้ำมันและใส่เครื่องหอมลงไป นี่คือธัญบูชา 16 แล้วปุโรหิตจะเผาส่วนของเมล็ดที่บดแล้วทั้งน้ำมันและเครื่องหอมเพื่อเป็นส่วนที่แทนเครื่องบูชา นี่คือเครื่องบูชาด้วยไฟถวายแด่พระยาห์เวห์
1 ถ้าคนใดถวายเครื่องบูชาซึ่งเป็นสันติบูชาที่เป็นสัตว์จากฝูงโค ไม่ว่าจะเป็นตัวผู้หรือตัวเมีย เขาต้องถวายสัตว์ที่ปราศจากตำหนิต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ 2 ให้เขาวางมือของเขาบนหัวของเครื่องบูชาของเขาและฆ่ามันเสียตรงที่ประตูของเต็นท์นัดพบ แล้วบรรดาบุตรชายของอาโรนที่เป็นปุโรหิตจะพรมเลือดของสัตว์ตรงด้านข้างรอบแท่นบูชา
3 คนนั้นจะถวายเครื่องบูชาสันติบูชาด้วยไฟแด่พระยาห์เวห์ ไขมันที่หุ้มหรือติดกับเครื่องใน 4 และไตทั้งสองข้างและไขมันที่หุ้มซึ่งอยู่ตรงบั้นเอว และตับทั้งก้อน เขาจะต้องตัดทั้งหมดนี้ออกพร้อมกับไต 5 แล้วบรรดาบุตรชายของอาโรนจะเผาทั้งหมดนี้บนแท่นบูชาพร้อมกับเครื่องเผาบูชา ซึ่งวางไว้บนฟืนที่วางบนไฟ นี่จะเป็นกลิ่นหอมสำหรับพระยาห์เวห์ นี่จะเป็นเครื่องบูชาที่ถวายแด่พระองค์ด้วยไฟ
6 ถ้าเครื่องบูชาแห่งสันติบูชาแด่พระยาห์เวห์ของคนนั้นเอามาจากฝูงแพะแกะ เป็นตัวผู้หรือตัวเมียก็ตาม เขาจะต้องถวายเครื่องบูชาที่ปราศจากตำหนิ 7 ถ้าเขาถวายลูกแกะเป็นเครื่องบูชาของเขา เขาจะต้องถวายต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ 8 ให้เขาวางมือของเขาบนหัวของเครื่องบูชาแล้วฆ่าสัตว์นั้นตรงหน้าเต็นท์นัดพบ แล้วบรรดาบุตรของอาโรนจะพรมเลือดของสัตว์ที่ด้านข้างรอบแท่นบูชา
9 คนนั้นจะถวายเครื่องบูชาแห่งสันติบูชาให้เป็นเครื่องบูชาด้วยไฟแด่พระยาห์เวห์ ไขมัน และหางที่มีไขมันทั้งหมด ให้ตัดชิดจนถึงกระดูกสันหลัง และไขมันที่หุ้มเครื่องใน และไขมันทั้งหมดที่อยู่ใกล้กับเครื่องใน 10 และไตทั้งสองข้าง และไขมันที่ติดอยู่กับเนื้อตะโพก และตับทั้งก้อน เขาจะต้องเอาทั้งหมดนี้ออกพร้อมกับไต 11 แล้วปุโรหิตจะเผาทั้งหมดนี้บนแท่นบูชาให้เป็นเครื่องเผาบูชาแห่งอาหารแด่พระยาห์เวห์
12 ถ้าเครื่องบูชาของคนนั้นเป็นแพะ แล้วเขาจะถวายสัตว์นั้นต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ 13 เขาต้องวางมือของเขาบนหัวแพะนั้นและฆ่ามันตรงหน้าเต็นท์นัดพบ แล้วบรรดาบุตรของอาโรนจะพรมเลือดของมันรอบทุกด้านของแท่นบูชา 14 คนนั้นจะถวายเครื่องบูชาของเขาด้วยไฟแด่พระยาห์เวห์ เขาจะต้องเอาไขมันที่หุ้มเครื่องใน และไขมันทั้งหมดที่อยู่ใกล้กับเครื่องในออกไป
15 เขาจะต้องเอาไตทั้งสองข้างและไขมันที่ติดอยู่กับเนื้อตะโพก และตับทั้งก้อนออกมาพร้อมกับไต 16 ปุโรหิตจะเผาทั้งหมดนั้นบนแท่นบูชาให้เป็นเครื่องเผาบูชาแห่งอาหาร ซึ่งจะเป็นกลิ่นหอม ไขมันทั้งหมดนั้นเป็นของพระยาห์เวห์ 17 นี่เป็นกฎเกณฑ์ถาวรตลอดทุกชั่วอายุของประชาชนของเจ้าในทุกแห่งที่พวกเขาสร้างที่พักอาศัย ว่าพวกเจ้าต้องไม่กินไขมันหรือเลือด'"
1 พระยาห์เวห์ตรัสแก่โมเสสว่า 2 "จงบอกประชาชนอิสราเอลว่า 'เมื่อคนใดทำบาปโดยไม่เจตนา เป็นการทำสิ่งใดก็ตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาไม่ให้ทำ และถ้าเขาทำสิ่งใดที่ต้องห้าม ให้ทำตามดังต่อไปนี้
3 ถ้ามหาปุโรหิตได้ทำบาปและนำความผิดบาปมาสู่ประชาชน ให้เขาถวายโคหนุ่มที่ปราศจากตำหนิแด่พระยาห์เวห์ให้เป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปสำหรับความบาปที่เขาทำ 4 เขาจะต้องนำโคมาตรงทางเข้าเต็นท์นัดพบต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ และวางมือของเขาบนหัวโคนั้นและฆ่าโคนั้นต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์
5 ปุโรหิตที่ได้รับการทรงเจิมจะนำเลือดโคบางส่วนเข้าไปในเต็นท์นัดพบ 6 ปุโรหิตจะเอานิ้วจุ่มเลือดนั้นและพรมที่ม่านซึ่งอยู่หน้าอภิสุทธิสถานเจ็ดครั้งต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ 7 แล้วปุโรหิตจะเอาเลือดบางส่วนไปทาเชิงงอนของแท่นเผาเครื่องหอมซึ่งอยู่ในเต็นท์นัดพบต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ และเขาจะเทเลือดของโคที่เหลือตรงฐานของแท่นเผาเครื่องบูชา ซึ่งอยู่ตรงทางเข้าของเต็นท์นัดพบ
8 เขาจะตัดเอาไขมันทั้งหมดของโคผู้ซึ่งเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปออกมา คือไขมันที่หุ้มเครื่องใน ไขมันทั้งหมดที่ติดกับเครื่องใน 9 ไตสองข้างกับไขมันและไขมันที่ติดอยู่กับเนื้อตะโพก และตับทั้งก้อนพร้อมกับไต เขาจะตัดทั้งหมดนี้แยกออกจากกัน 10 เขาจะตัดออกจากกันเช่นเดียวกับที่เขาตัดออกจากโคตัวผู้ที่เป็นเครื่องถวายสันติบูชา แล้วปุโรหิตจะเผาชิ้นส่วนเหล่านี้บนแท่นเผาเครื่องบูชา
11 ส่วนหนังของโคตัวผู้และเนื้อที่เหลือ พร้อมกับหัว ขา เครื่องใน และมูลของมัน 12 ส่วนที่เหลือทั้งหมดของโคตัวผู้นี้ เขาต้องเอาชิ้นส่วนทั้งหมดนี้ไปนอกค่ายพักไปยังสถานที่พวกเขาได้ล้างชำระเพื่อเรา ที่ซึ่งพวกเขาเทขี้เถ้าทิ้ง พวกเขาจะเผาชิ้นส่วนเหล่านั้นบนกองฟืนที่นั่น พวกเขาต้องเผาชิ้นส่วนเหล่านั้นตรงที่พวกเขาเทขี้เถ้าทิ้ง
13 ถ้าชุมนุมชนอิสราเอลทั้งหมดทำบาปโดยไม่เจตนา และทั้งชุมนุมชนไม่รู้ตัวว่าพวกเขาได้ทำบาปและได้ทำสิ่งที่พระยาห์เวห์บัญชาห้ามไม่ให้ทำ และถ้าพวกเขามีความผิด 14 และเมื่อความบาปที่พวกเขาได้ทำกลายเป็นที่รู้กันทั่ว เมื่อนั้นทั้งชุมนุมชนจะต้องถวายโคหนุ่มให้เป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปและให้นำโคนั้นมาตรงหน้าเต็นท์นัดพบ
15 แล้วบรรดาผู้อาวุโสของชุมนุมชนจะวางมือของพวกเขาบนหัวโคผู้นั้นต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ และโคตัวผู้นั้นจะถูกฆ่าต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ 16 แล้วปุโรหิตผู้ได้รับการทรงเจิมจะนำเลือดบางส่วนของโคตัวผู้เข้าไปยังเต็นท์นัดพบ 17 และปุโรหิตจะเอานิ้วของเขาจุ่มเลือดและพรมที่หน้าม่านเจ็ดครั้งต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์
18 เขาจะแล้วเอาเลือดบางส่วนไปทาเชิงงอนของแท่นบูชาซึ่งอยู่ในเต็นท์นัดพบต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ แล้วเขาจะเทเลือดทั้งหมดที่ฐานของแท่นเผาเครื่องบูชา ซึ่งอยู่ตรงทางเข้าของเต็นท์นัดพบ 19 เขาจะตัดเอาไขมันทั้งหมดออกและเอาไปเผาบนแท่นบูชา
20 นั่นคือสิ่งที่เขาจะต้องทำกับโคตัวนี้ เช่นเดียวกับที่เขาได้ทำกับโคตัวผู้ของเครื่องบูชาลบล้างบาป ดังนั้นเขาจะต้องทำแบบเดียวกันกับโคตัวผู้นี้ และปุโรหิตจะลบล้างบาปให้ประชาชน และพวกเขาจะได้รับการอภัย 21 เขาจะเอาโคผู้ตัวนี้ไปนอกค่ายพัก และเผาโคผู้ตัวนี้เช่นเดียวกับโคผู้ตัวแรก นี่คือเครื่องบูชาลบล้างบาปสำหรับชุมนุมชนนั้น
22 หากผู้นำคนใดทำบาปโดยไม่เจตนา ทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดในข้อห้ามที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของเขาทรงบัญชาห้ามไม่ให้ทำ และเขามีความผิด 23 แล้วได้แจ้งให้เขาทราบถึงความบาปของเขาที่ได้ทำไป เขาต้องนำแพะตัวผู้ที่ปราศจากตำหนิมาเป็นเครื่องบูชาของเขา 24 เขาจะวางมือบนหัวแพะและฆ่าแพะในสถานที่ที่พวกเขาฆ่าเครื่องเผาบูชาต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ นี่คือเครื่องบูชาลบล้างบาป
25 ปุโรหิตจะเอานิ้วจุ่มเลือดของเครื่องบูชาลบล้างบาป และทาเชิงงอนของแท่นเผาเครื่องบูชา และเขาจะเทเลือดของแพะที่ฐานของแท่นเผาเครื่องบูชา 26 เขาจะเผาไขมันทั้งหมดบนแท่นบูชาเช่นเดียวกับไขมันของเครื่องบูชาแห่งสันติบูชา ปุโรหิตจะทำการลบล้างบาปของผู้นำในเรื่องความบาปของเขา และผู้นำคนนั้นจะได้รับการอภัย
27 ถ้าประชาชนทั่วไปคนใดทำบาปโดยไม่เจตนา และทำสิ่งที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาไม่ให้ทำ และเมื่อเขาตระหนักถึงความผิดของเขา 28 แล้วเมื่อมีการแจ้งให้เขาทราบถึงความบาปที่เขาได้ทำ เขาก็จะต้องนำแพะตัวเมียตัวหนึ่งที่ปราศจากตำหนิมาเป็นเครื่องบูชาของเขาสำหรับความบาปที่เขาได้ทำ
29 เขาจะวางมือของเขาบนหัวของเครื่องบูชาลบล้างบาปและฆ่าเครื่องบูชาลบล้างบาปตรงสถานที่สำหรับเผาเครื่องบูชา 30 ปุโรหิตจะเอานิ้วของเขาจุ่มเลือดและไปทาเชิงงอนของแท่นสำหรับเผาเครื่องบูชา และเขาจะเทเลือดที่เหลือทั้งหมดตรงฐานของแท่นบูชา 31 เขาจะต้องตัดเอาไขมันทั้งหมดออกเช่นเดียวกับไขมันที่ถูกตัดออกจากเครื่องบูชาแห่งสันติบูชา ปุโรหิตจะเผาไขมันนั้นบนแท่นบูชาให้เกิดเป็นกลิ่นหอมสำหรับพระยาห์เวห์ ปุโรหิตจะทำการลบล้างบาปสำหรับคนนั้น และเขาจะได้รับการอภัย
32 หากคนนั้นนำลูกแกะมาถวายเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปของเขา เขาต้องนำลูกแกะตัวเมียที่ปราศจากตำหนิมา 33 เขาจะวางมือของเขาบนหัวของเครื่องบูชาลบล้างบาป และฆ่าลูกแกะนั้นเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปตรงสถานที่ที่พวกเขาฆ่าเครื่องเผาบูชา 34 แล้วปุโรหิตจะเอานิ้วของเขาจุ่มเลือดของเครื่องบูชาลบล้างบาป และไปทาเชิงงอนของแท่นเผาเครื่องบูชา และเขาจะเทเลือดลูกแกะทั้งหมดลงตรงฐานของแท่นบูชา 35 เขาจะต้องตัดเอาไขมันทั้งหมดออก เช่นเดียวกับไขมันลูกแกะของเครื่องบูชาแห่งสันติบูชาที่ถูกตัดออก และปุโรหิตจะเผาไขมันนั้นบนเครื่องบูชาของพระยาห์เวห์ด้วยไฟ ปุโรหิตจะทำการลบล้างบาปของคนนั้นสำหรับความบาปที่เขาได้ทำ และคนนั้นจะได้รับการอภัย
1 ถ้าคนใดทำบาป เพราะเขาได้เห็นบางสิ่งบางอย่างที่เขาได้รับการขอร้องให้ไปเป็นพยานเกี่ยวกับสิ่งที่เขาได้เห็นหรือได้ยินนั้น แต่เขากลับไม่ยอมไปเป็นพยาน เขาจะต้องรับผิดชอบ 2 หรือถ้าคนใดแตะต้องสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงกำหนดไว้ให้เป็นมลทิน ไม่ว่าจะเป็นซากสัตว์ป่าที่เป็นมลทินหรือซากสัตว์เลี้ยงที่ตายแล้ว หรือสัตว์เลื้อยคลาน แม้ว่าคนนั้นไม่ได้เจตนาที่จะแตะต้อง เขาก็เป็นมลทินและมีความผิด 3 หรือถ้าเขาแตะต้องมลทินของบางคน ไม่ว่าจะเป็นมลทินใดก็ตาม แม้เขาไม่รู้ตัว เขาก็จะมีความผิดเมื่อเขารู้เรื่องเหล่านั้น
4 หรือถ้าคนใดพลั้งปากสาบานว่าจะทำชั่วหรือทำดี ไม่ว่าจะเป็นการพลั้งปากสาบานของคนนั้น แม้ว่าเขาไม่รู้ตัว แต่เมื่อเขารู้เรื่องนี้ เขาก็จะมีความผิด เกี่ยวกับสิ่งต่างๆ เหล่านี้ 5 เมื่อมีคนใดกำลังทำสิ่งที่ผิดต่างๆ เหล่านี้ เขาต้องสารภาพบาปทุกอย่างที่เขาได้ทำไป 6 แล้วเขาต้องนำเครื่องบูชาไถ่บาปมาถวายแด่พระยาห์เวห์สำหรับความบาปที่เขาได้ทำ จะเป็นสัตว์ตัวเมียจากฝูง หรือจะเป็นลูกแกะหรือแพะหนึ่งตัวก็ตาม เพื่อเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป แล้วปุโรหิตจะทำการลบล้างบาปเพื่อเขาเนื่องด้วยความบาปของเขา
7 ถ้าเขาไม่สามารถที่จะซื้อลูกแกะหนึ่งตัว เขาสามารถนำนกเขาสองตัวหรือนกพิราบหนุ่มสองตัวมาถวายแด่พระยาห์เวห์เพื่อเป็นเครื่องบูชาไถ่ความผิดของเขาได้ ตัวหนึ่งสำหรับเครื่องบูชาลบล้างบาปและอีกตัวหนึ่งสำหรับเครื่องเผาบูชา 8 เขาต้องนำมาให้ปุโรหิตผู้ที่จะถวายตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปก่อน ปุโรหิตจะบิดหัวนกแต่ไม่ให้ขาดออกจากตัว 9 แล้วปุโรหิตจะเอาเลือดบางส่วนของเครื่องบูชาลบล้างบาปพรมข้างแท่นบูชา แล้วเขาจะเทเลือดที่เหลือลงตรงฐานแท่นบูชา นี่คือเครื่องบูชาลบล้างบาป
10 แล้วเขาต้องถวายนกตัวที่สองเป็นเครื่องเผาบูชาดังที่บรรยายไว้ในคำสั่งทั้งหลาย และปุโรหิตจะทำการลบล้างบาปสำหรับความบาปที่เขาได้ทำไป และคนนั้นจะได้รับการอภัย 11 แต่ถ้าเขาไม่สามารถที่จะซื้อนกเขาสองตัวหรือนกพิราบหนุ่มสองตัวได้ เขาต้องถวายเครื่องบูชาเป็นแป้งอย่างดีมาหนึ่งในสิบเอฟาห์สำหรับเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปของเขา เขาต้องไม่ใส่น้ำมันหรือเครื่องหอมใดๆ ลงไป เพราะนี่เป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป
12 เขาต้องนำเครื่องบูชานั้นมาให้ปุโรหิต และปุโรหิตจะเอาออกมาหนึ่งกำมือให้เป็นส่วนที่แทนเครื่องบูชา และเอามาเผาที่แท่นบูชา โดยโรยบนเครื่องบูชาที่ถวายด้วยไฟแด่พระยาห์เวห์ นี่เป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป 13 ปุโรหิตจะทำการลบล้างบาปใดๆ ก็ตามที่คนนั้นได้ทำ และคนนั้นจะได้รับการอภัย แป้งที่เหลือจากการถวายเครื่องบูชาจะตกเป็นของปุโรหิต เช่นเดียวกับธัญบูชา'"
14 แล้วพระยาห์เวห์ตรัสแก่โมเสสว่า 15 "ถ้าคนใดทำบาปและกระทำอย่างไม่สัตย์ซื่อเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ที่เป็นของพระยาห์เวห์ แต่ไม่ได้เจตนาทำ เขาก็ต้องนำเครื่องบูชาไถ่ความผิดของเขามาถวายพระยาห์เวห์ เครื่องบูชานี้จะต้องเป็นแกะตัวผู้ที่ปราศจากตำหนิซึ่งเอามาจากฝูง ต้องตีราคาแกะนั้นเป็นเงินเชเขล เป็นเชเขลของสถานนมัสการ เพื่อให้เป็นเครื่องบูชาไถ่ความผิด 16 เขาต้องทำให้พระยาห์เวห์ทรงพอพระทัยสำหรับสิ่งที่เขาได้ทำผิดไปในเรื่องสิ่งที่บริสุทธิ์ เขาต้องเพิ่มอีกหนึ่งในห้าเข้าไปและมอบให้ปุโรหิต แล้วปุโรหิตจะทำการลบล้างบาปสำหรับเขาด้วยแกะตัวผู้ที่เป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป แล้วคนนั้นจะได้รับการอภัย
17 ถ้าคนใดทำบาปและทำสิ่งใดที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาไว้ไม่ให้ทำ แม้ว่าเขาไม่รู้ตัว เขาก็ยังมีความผิดและต้องแบกรับความผิดของตนเอง 18 เขาต้องนำแกะตัวผู้ที่ปราศจากตำหนิออกจากฝูงมาหนึ่งตัว ซึ่งมีมูลค่าเท่ากับเครื่องบูชาไถ่ความผิดมาให้แก่ปุโรหิต แล้วปุโรหิตจะทำการลบล้างบาปของเขาเกี่ยวกับความบาปที่เขาได้ทำไปโดยไม่รู้ตัว และเขาจะได้รับการอภัย 19 นี่เป็นเครื่องบูชาไถ่ความผิด เพราะเขามีความผิดต่อพระยาห์เวห์อย่างแน่นอน
1 พระยาห์เวห์ได้ตรัสแก่โมเสสว่า 2 "ถ้าคนใดทำบาปและฝ่าฝืนพระบัญชาต่อพระยาห์เวห์ เช่นทำการเท็จต่อเพื่อนบ้านเกี่ยวกับบางสิ่งที่ฝากให้เขาดูแล หรือถ้าเขาโกงหรือขโมยเพื่อนบ้าน หรือถ้าเขาบีบบังคับเพื่อนบ้านของเขา 3 หรือได้พบบางสิ่งที่เพื่อนบ้านทำหายแล้วโกหกว่าไม่เห็น และสาบานเป็นความเท็จ หรือเรื่องที่ประชาชนทำความบาปในทำนองนี้
4 แล้วต่อมา ถ้าเขาได้ทำบาปและมีความผิด เขาจะต้องคืนอะไรก็ตามที่เขาได้ขโมยมา หรือบีบบังคับเอามา หรือยึดเอาสิ่งที่ฝากไว้กับเขาหรือของหายที่เขาพบ 5 หรือถ้าเขามีการโกหกในเรื่องใด ในวันที่พบว่าเขามีความผิด เขาต้องคืนให้ทั้งหมดและเพิ่มอีกหนึ่งในห้าให้แก่คนที่เป็นเจ้าของ 6 แล้วเขาต้องนำเครื่องบูชาไถ่ความผิดมาถวายแด่พระยาห์เวห์ โดยนำแกะตัวผู้ที่ปราศจากตำหนิิเอามาจากฝูง ซึ่งมีค่าเป็นที่ยอมรับมามอบให้แก่ปุโรหิต ให้เป็นเครื่องบูชาไถ่ความผิด 7 ปุโรหิตจะทำการลบล้างบาปสำหรับเขาต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ และเขาจะได้รับการอภัยในสิ่งใดก็ตามที่เขาได้ทำผิดไป"
8 แล้วพระยาห์เวห์ได้ตรัสแก่โมเสสว่า 9 "จงสั่งอาโรนและบรรดาบุตรชายของเขาว่า 'นี่คือพระบัญญัติเรื่องเครื่องเผาบูชา เครื่องเผาบูชาจะต้องเผาบนแท่นบูชาตลอดคืนจนถึงเช้า และจะต้องให้ไฟของแท่นบูชาลุกอยู่เสมอ 10 ปุโรหิตจะสวมชุดผ้าป่านของเขา และเขาจะสวมชุดชั้นในของเขาเป็นผ้าป่านด้วย เขาจะต้องตักเอาขี้เถ้าที่เหลือจากการเผาเครื่องเผาบูชาบนแท่นบูชา แล้วเอาขี้เถ้านั้นไปไว้ด้านข้างแท่นบูชา
11 ปุโรหิตจะต้องถอดเสื้อชุดของเขาออกและเปลี่ยนใส่อีกชุดหนึ่ง เพื่อเอาขี้เถ้าไปข้างนอกค่ายไปยังสถานที่สะอาดแล้ว 12 จะต้องคอยให้ไฟของแท่นบูชาลุกอยู่เสมอ อย่าให้ไฟดับ และปุโรหิตจะเผาฟืนบนแท่นบูชาในทุกเช้า และเขาต้องจัดวางเครื่องเผาบูชาตามที่ได้กำหนดไว้ และเขาต้องเผาไขมันของสันติบูชาบนแท่นบูชา 13 ไฟจะต้องลุกไหม้ในแท่นบูชาอยู่อย่างต่อเนื่อง และไฟต้องไม่ดับ
14 นี่เป็นพระบัญญัติสำหรับธัญบูชา บรรดาบุตรชายของอาโรนจะถวายเครื่องบูชาแด่พระยาห์เวห์ตรงหน้าแท่นบูชา 15 ปุโรหิตจะเอาแป้งอย่างดีพร้อมกับน้ำมันและเครื่องหอมที่คลุกกับธัญบูชามาหนึ่งกำมือ ให้เป็นส่วนที่แทนเครื่องบูชา และปุโรหิตจะเผาบนแท่นบูชาเพื่อให้เกิดกลิ่นหอม 16 แล้วอาโรนและบรรดาบุตรของเขาจะรับประทานอะไรก็ตามที่เหลือจากเครื่องบูชา จะต้องรับประทานโดยปราศจากเชื้อภายในสถานที่บริสุทธิ์ พวกเขาจะรับประทานตรงลานในเต็นท์นัดพบ
17 และจะต้องปิ้งโดยไม่มีเชื้อ เราได้ให้ส่วนนี้เป็นส่วนของเครื่องบูชาของเราที่ถวายด้วยไฟ เป็นสิ่งที่บริสุทธิ์ที่สุด เป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปและเครื่องบูชาไถ่ความผิด 18 ให้เป็นกฎตลอดทุกชั่วอายุของประชาชนของเจ้า ชายใดที่เป็นเชื้อสายของอาโรนจะรับประทานได้ เพราะเป็นส่วนแบ่งของเขา ซึ่งแบ่งมาจากเครื่องบูชาของพระยาห์เวห์ที่ถวายด้วยไฟ ใครก็ตามที่แตะต้องของถวายเหล่านั้นก็จะกลายเป็นคนบริสุทธิ์'"
19 แล้วพระยาห์เวห์ได้ตรัสแก่โมเสสอีกว่า 20 "นี่คือเครื่องบูชาสำหรับอาโรนและบรรดาบุตรชายของเขา ที่จะต้องถวายแด่พระยาห์เวห์เมื่อบุตรชายแต่ละคนได้รับการเจิม ให้เอาแป้งอย่างดีหนึ่งในสิบเอฟาห์เช่นเดียวกับธัญบูชาที่ถวายเป็นประจำ ตอนเช้าให้ถวายครึ่งหนึ่ง และตอนเย็นให้ถวายอีกครึ่งหนึ่ง 21 ให้คลุกด้วยน้ำมันแล้วทอดในกระทะ เมื่อสุกแล้ว จึงนำเข้ามาทั้งชิ้น เจ้าจะถวายธัญบูชาเพื่อให้เกิดกลิ่นหอมสำหรับพระยาห์เวห์
22 บุตรของมหาปุโรหิตที่จะกลายเป็นมหาปุโรหิตคนใหม่จากท่ามกลางบรรดาบุตรชายของเขาจะต้องถวายเครื่องบูชานี้ ให้เป็นคำสั่งไว้ตลอดไป 23 เครื่องบูชาทั้งหมดนั้นจะต้องเผาถวายแด่พระยาห์เวห์ ธัญบูชาของปุโรหิตทั้งหมดจะต้องเผาจนหมด จะต้องไม่เอามากิน"
24 พระยาห์เวห์ได้ตรัสแก่โมเสสอีกว่า 25 "จงบอกอาโรนและบรรดาบุตรชายของเขาว่า 'นี่เป็นพระบัญญัติเรื่องเครื่องบูชาลบล้างบาป เครื่องบูชาลบล้างบาปจะต้องถูกฆ่าตรงบริเวณที่ใช้ฆ่าเครื่องเผาบูชาต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ นี่เป็นสิ่งที่บริสุทธิ์ที่สุด 26 ปุโรหิตผู้ถวายเครื่องบูชาลบล้างบาปจะรับประทานเครื่องบูชานั้นได้ และจะต้องรับประทานในสถานที่บริสุทธิ์ตรงลานของเต็นท์นัดพบ
27 อะไรก็ตามที่ถูกต้องเนื้อของเครื่องบูชานั้นก็จะกลายเป็นสิ่งบริสุทธิ์ ถ้าเลือดที่ประพรมนั้นเลอะเสื้อผ้าส่วนใด เจ้าจะต้องซักล้างตรงส่วนที่ถูกประพรมใส่ในสถานที่บริสุทธิ์ 28 แต่หม้อดินต้มที่ใช้ต้มเครื่องบูชานั้นจะต้องทุบ ถ้าต้มในหม้อทองเหลือง จะต้องขัดและล้างให้สะอาดด้วยน้ำ 29 ชายทุกคนในท่ามกลางพวกปุโรหิตสามารถรับประทานเครื่องบูชาบางส่วนได้เพราะเป็นสิ่งที่บริสุทธิ์ที่สุด 30 แต่เครื่องบูชาลบล้างบาปที่นำเลือดเข้ามาในเต็นท์นัดพบเพื่อทำการลบล้างบาปในวิสุทธิสถาน ห้ามรับประทาน จะต้องเผาเสีย
1 นี่เป็นกฎของเครื่องบูชาไถ่ความผิด นี่เป็นสิ่งที่บริสุทธิ์ที่สุด 2 พวกเขาต้องฆ่าเครื่องบูชาไถ่ความผิดในสถานที่เตรียมไว้สำหรับฆ่าเครื่องบูชา และพวกเขาต้องประพรมเลือดของเครื่องบูชารอบเครื่องเผาบูชาทุกด้าน 3 ไขมันในเครื่องบูชานั้นจะต้องถวายทั้งหมด ได้แก่ หางที่มีไขมัน ไขมันที่หุ้มเครื่องใน
4 ไตทั้งสองข้างและไขมันที่ติดอยู่กับเนื้อตะโพก และไขมันที่หุ้มตับ พร้อมกับไต ทั้งหมดนี้ต้องเอาออก 5 ปุโรหิตต้องเผาชิ้นส่วนเหล่านี้บนแท่นบูชาให้เป็นเครื่องบูชาที่ถวายด้วยไฟแด่พระยาห์เวห์ นี่เป็นเครื่องบูชาไถ่ความผิด
6 ผู้ชายทุกคนในท่ามกลางบรรดาปุโรหิตสามารถกินส่วนของเครื่องบูชานี้ได้ เครื่องบูชาต้องกินในสถานที่บริสุทธิ์ เพราะนี่เป็นสิ่งที่บริสุทธิ์ที่สุด 7 เครื่องบูชาลบล้างบาปก็เช่นเดียวกับเครื่องบูชาไถ่ความผิด ทั้งสองอย่างนี้ใช้กฎแบบเดียวกัน เครื่องบูชาเหล่านั้นตกเป็นของปุโรหิตผู้ที่ทำการลบล้างบาปด้วยเครื่องบูชานั้น
8 ปุโรหิตผู้ที่ถวายเครื่องเผาบูชาของใครก็ตามก็สามารถเก็บหนังของเครื่องบูชานั้นไว้สำหรับตนเองได้ 9 ธัญบูชาทุกอย่างที่อบในเตาอบ และเครื่องบูชาแบบเดียวกันที่ทำให้สุกในกระทะทอดหรือในกระทะปิ้งจะตกเป็นของปุโรหิตผู้ที่ได้ทำการถวายเครื่องบูชานั้น
10 ธัญบูชาทุกอย่างทั้งแบบแห้งหรือแบบผสมกับน้ำมัน จะตกเป็นของเชื้อสายของอาโรนทั้งหมดโดยเท่าเทียมกัน 11 นี่เป็นกฎของเครื่องบูชาแห่งสันติบูชาที่ประชาชนจะนำมาถวายแด่พระยาห์เวห์
12 ถ้าผู้ใดจะถวายเครื่องบูชาเพื่อเป็นการขอบพระคุณ เขาต้องถวายเครื่องบูชาที่เป็นขนมที่ทำขึ้นมาโดยไม่ใส่เชื้อแต่ผสมน้ำมัน หรือขนมที่ทำโดยไม่ใส่เชื้อ แต่แผ่เป็นแผ่นทาด้วยน้ำมัน และขนมที่ทำจากแป้งอย่างดีที่ผสมกับน้ำมัน 13 และเพื่อเป็นไปตามจุดประสงค์แห่งการถวายขอบพระคุณ เขาต้องถวายขนมปังที่ทำขึ้นโดยใส่เชื้อร่วมกับเครื่องบูชาแห่งสันติบูชา
14 เขาต้องถวายอย่างละก้อนของเครื่องบูชาเหล่านี้ให้เป็นให้เป็นเครื่องบูชาแด่พระยาห์เวห์ เครื่องบูชาจะตกเป็นของบรรดาปุโรหิตผู้ที่ประพรมเลือดของสันติบูชาบนแท่นบูชา 15 ผู้ที่ถวายสันติบูชาเพื่อเป็นการถวายขอบพระคุณต้องกินเนื้อของเครื่องบูชาที่เขาถวายในวันที่เขาถวายเครื่องบูชา เขาต้องไม่เหลือไว้จนถึงตอนเช้า
16 แต่ถ้าเครื่องบูชาที่เขาทำการถวายมีจุดประสงค์เพื่อการปฏิญาณตน หรือมีจุดประสงค์เพื่อเป็นการถวายโดยสมัครใจ เนื้อนั้นต้องกินในวันที่เขาถวายเครื่องบูชาของเขา แต่ของที่เหลือสามารถกินในวันถัดไปได้ 17 แต่ถ้าเนื้อของเครื่องบูชาเหลือถึงวันที่สามให้เผาเสีย
18 ถ้าเนื้อของเครื่องบูชาใดที่มาจากสันติบูชาถูกกินในวันที่สาม จะไม่เป็นที่ยอมรับ และเสื่อมเสียชื่อเสียงของผู้ที่ถวายเครื่องบูชา เป็นสิ่งน่ารังเกียจ และผู้ที่กินเนื้อนั้นจะแบกรับความผิดแห่งการทำบาปของเขา 19 ห้ามกินเนื้อใดๆ ที่ไปสัมผัสกับสิ่งที่ไม่สะอาด ต้องเผาเสีย ส่วนเนื้อส่วนอื่นนั้น ใครก็ตามที่สะอาดก็สามารถกินได้
20 แต่ถ้าคนที่ไม่สะอาดที่กินเนื้อจากเครื่องบูชาแห่งสันติบูชาที่เป็นของพระยาห์เวห์ คนนั้นต้องถูกตัดออกจากประชาชนของเขา 21 ถ้าผู้ใดแตะต้องสิ่งที่ไม่สะอาดใดๆ ไม่ว่าสิ่งที่ไม่สะอาดของมนุษย์ หรือของสัตว์ป่าที่ไม่สะอาด หรือจากบางอย่างที่ไม่สะอาดและน่ารังเกียจ และถ้าเขามากินเนื้อเครื่องบูชาแห่งสันติบูชาที่เป็นของพระยาห์เวห์ คนนั้นต้องถูกตัดออกจากประชาชนของเขา'"
22 แล้วพระยาห์เวห์ตรัสแก่โมเสสว่า 23 "จงบอกแก่ประชาชนอิสราเอลว่า 'เจ้าต้องไม่กินไขมันของวัว หรือแกะ หรือแพะ 24 ไขมันของสัตว์ที่ตายนอกเหนือจากการถวายเป็นเครื่องบูชา หรือไขมันของสัตว์ที่ถูกสัตว์ป่ากัดกิน อาจเอาไปใช้เพื่อจุดประสงค์อื่นได้ แต่ห้ามไม่ให้พวกเจ้ากิน
25 ใครก็ตามที่กินไขมันของสัตว์ที่ผู้คนสามารถเอามาถวายด้วยไฟแด่พระยาห์เวห์ บุคคลนั้นต้องถูกตัดออกจากประชาชนของเขา 26 พวกเจ้าต้องไม่กินเลือดใดๆ ทั้งสิ้นไม่ว่าตรงไหนในที่พักของพวกเจ้า ไม่ว่าเลือดนั้นจะมาจากนกหรือสัตว์
27 ใครก็ตามที่กินเลือดใดๆ ก็ตาม คนนั้นต้องถูกตัดออกจากประชาชนของเขา'" 28 ดังนั้นพระยาห์เวห์ตรัสแก่โมเสสว่า 29 "จงบอกแก่ประชาชนอิสราเอลว่า 'ผู้ที่ถวายเครื่องบูชาแห่งสันติบูชาแด่พระยาห์เวห์ ต้องนำส่วนของเครื่องบูชาของเขามาถวายแด่พระยาห์เวห์
30 เครื่องบูชาที่ถวายด้วยไฟแด่พระยาห์เวห์ เขาต้องนำมาด้วยมือของตนเอง เขาต้องนำไขมันมาพร้อมกับเนื้ออก แล้วโบกเนื้ออกนั้นให้เป็นเครื่องบูชาโบกถวายต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ 31 ปุโรหิตต้องเผาไขมันนั้นบนแท่นบูชา แต่เนื้ออกนั้นจะตกเป็นของอาโรนและเชื้อสายของเขา
32 เจ้าต้องมอบโคนขาขวาให้แก่ปุโรหิตให้เป็นส่วนที่แทนเครื่องบูชาแห่งสันติบูชาของเจ้า 33 ปุโรหิตผู้เป็นเชื้อสายของอาโรนซึ่งเป็นผู้ที่ทำการถวายเลือดของสันติบูชาและไขมัน เขาจะได้รับโคนขาขวาเป็นส่วนแบ่งของเขาจากเครื่องบูชา
34 เพราะเราได้เอาเนื้ออกของเครื่องบูชาโบกถวาย และโคนขาซึ่งเป็นของถวายจากประชาชนอิสราเอล และทั้งหมดนั้นมอบให้แก่อาโรนผู้เป็นปุโรหิตและบรรดาบุตรชายของเขาตามส่วนแบ่งตามปกติของพวกเขา 35 นี่คือส่วนแบ่งสำหรับอาโรนและเชื้อสายของเขาจากเครื่องบูชาต่างๆ ที่ถวายแด่พระยาห์เวห์ด้วยไฟ ในวันที่โมเสสถวายพวกเขาให้ปรนนิบัติพระยาห์เวห์ด้านงานแห่งการเป็นปุโรหิต
36 นี่เป็นส่วนแบ่งที่พระยาห์เวห์ได้บัญชาให้เอาจากประชาชนอิสราเอลและยกให้แก่พวกเขา ในวันที่เขาเจิมตั้งบรรดาปุโรหิต นี่จะเป็นส่วนแบ่งของพวกเขาตลอดไปทุกชั่วอายุ 37 นี่เป็นกฎของเครื่องเผาบูชา ธัญบูชา เครื่องบูชาลบล้างบาป เครื่องบูชาไถ่ความผิด เครื่องบูชาเพื่อชำระล้าง และเครื่องบูชาแห่งสันติบูชา 38 ซึ่งพระยาห์เวห์ได้ทรงบัญชาแก่โมเสสบนภูเขาซีนาย ในวันที่โมเสสได้สั่งให้ประชาชนอิสราเอลถวายเครื่องบูชาแด่พระยาห์เวห์ในถิ่นทุรกันดารซีนาย'"
1 พระยาห์เวห์ตรัสแก่โมเสสว่า 2 "จงนำอาโรนและบรรดาบุตรชายของเขามาพร้อมกับเขา นำเสื้อคลุมและน้ำมันเจิม โคสำหรับเครื่องบูชาลบล้างบาป แกะตัวผู้สองตัว และขนมปังไร้เชื้อหนึ่งตระกร้า 3 ให้ชุมนุมชนมาประชุมกันตรงทางเข้าเต็นท์นัดพบ" 4 ดังนั้นโมเสสก็ทำตามที่พระยาห์ได้บัญชาเขา และชุมนุมชนก็มาพร้อมกันตรงทางเข้าเต็นท์นัดพบ
5 แล้วโมเสสบอกชุมนุมชนว่า "นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์ได้บัญชาให้ทำ" 6 โมเสสได้นำอาโรนและบรรดาบุตรชายของอาโรนมาและได้ล้างชำระพวกเขาด้วยน้ำ 7 โมเสสได้เอาชุดสวมให้อาโรนและคาดผ้ารอบเอวของเขา สวมเสื้อคลุมให้และสวมเอโฟดให้เขา แล้วโมเสสได้รัดเอโฟดด้วยผ้าคาดเอวที่ทออย่างดีรอบตัวเขาและผูกเอโฟดให้ติดกับอาโรน
8 โมเสสได้สวมทับทรวงให้แก่อาโรน และได้ใส่อูริมและทูมมิมไว้ในทับทรวง 9 โมเสสได้โพกผ้ามาลาบนศีรษะอาโรน ด้านหน้าของผ้ามาลา โมเสสได้คาดแผ่นทองคำเป็นมงกุฎบริสุทธิ์ ตามที่พระยาห์เวห์ได้บัญชาเขา
10 โมเสสได้เอาน้ำมันเจิมไปเจิมพลับพลาและทุกสิ่งในนั้นและแยกสิ่งเหล่านั้นไว้ต่างหากแด่พระยาห์เวห์ 11 เขาได้ประพรมน้ำมันบนแท่นบูชาเจ็ดครั้ง และได้เจิมแท่นบูชาและเครื่องใช้ประจำแท่นบูชาทั้งหมด และอ่างล้างชำระและฐานรอง เพื่อแยกสิ่งเหล่านั้นไว้ต่างหากแด่พระยาห์เวห์ 12 โมเสสได้เทน้ำมันเจิมบนศีรษะของอาโรนบ้างและได้เจิมเขาเพื่อแยกไว้ต่างหาก
13 โมเสสนำบรรดาบุตรของอาโรนมาแล้วสวมชุดให้พวกเขา โมเสสเอาผ้าคาดเอวพวกเขาและคาดผ้าป่านรอบศีรษะพวกเขา ตามที่พระยาห์เวห์ได้บัญชาเขาไว้ 14 โมเสสได้นำโคมาเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป และอาโรนและบรรดาบุตรของเขาได้วางมือของพวกเขาบนหัวโคที่พวกเขานำมาเพื่อเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป
15 โมเสสได้ฆ่าโคนั้น และเขาเอานิ้วของเขาจุ่มเลือดแล้วไปเจิมเชิงงอนของแท่นบูชา ชำระแท่นบูชาให้บริสุทธิ์ และเทเลือดตรงฐานของแท่นบูชา และแยกไว้ต่างหากสำหรับพระเจ้าเพื่อทำการลบมลทินของแท่นบูชานั้น 16 โมเสสได้เอาไขมันทั้งหมดที่หุ้มเครื่องใน ที่หุ้มตับ และไตทั้งสองข้างและไขมันของไต และโมเสสได้เผาทั้งหมดนั้นบนแท่นบูชา 17 แต่โคตัวนั้น หนังของมัน เนื้อของมัน และมูลของมัน เขาได้เอาไปเผานอกค่ายตามที่พระยาห์เวห์ได้บัญชาเขาไว้
18 โมเสสได้ถวายแกะตัวผู้เป็นเครื่องเผาบูชา และอาโรนและบรรดาบุตรชายของเขาได้วางมือของพวกเขาบนหัวแกะตัวผู้นั้น 19 โมเสสได้ฆ่าแกะและเอาเลือดของแกะนั้นประพรมรอบทุกด้านของแท่นบูชา 20 เขาได้สับแกะออกเป็นท่อนๆ และได้เผาส่วนหัวและชิ้นส่วนต่างและไขมัน 21 เขาได้ล้างเครื่องในและส่วนขาด้วยน้ำ และเขาได้เผาแกะตัวผู้ทั้งหมดนั้นบนแท่นบูชา นี่เป็นเครื่องเผาบูชาและเกิดเป็นกลิ่นหอม เป็นเครื่องบูชาที่ถวายด้วยไฟแด่พระยาห์เวห์ ตามที่พระยาห์เวห์ได้บัญชาโมเสสไว้
22 แล้วโมเสสถวายแกะตัวผู้อีกตัวหนึ่ง เป็นแกะตัวผู้ที่เป็นเครื่องสถาปนา และอาโรนและบรรดาบุตรชายของเขาได้วางมือของพวกเขาบนหัวแกะตัวผู้นั้น 23 อาโรนได้ฆ่าแกะ และโมเสสได้เอาเลือดไปเจิมปลายหูด้านขวาของอาโรน ที่หัวแม่มือขวาของเขา และที่หัวแม่เท้าขวาของเขา 24 โมเสสได้นำบรรดาบุตรของอาโรนมา และเขาได้เอาเลือดแตะที่ปลายหูข้างขวาของพวกเขา ที่นิ้วหัวแม่มือขวาของพวกเขา และที่นิ้วหัวแม่เท้าขวาของพวกเขา แล้วโมเสสก็ประพรมเลือดนั้นรอบทุกด้านของแท่นบูชา
25 โมเสสได้เอาไขมัน และหางที่มีไขมัน และไขมันที่ติดกับเครื่องใน ที่หุ้มตับ ไตสองข้างและไขมันของมัน และโคนขาขวา 26 โมเสสได้เอาขนมปังไร้เชื้อก้อนหนึ่งจากตระกร้าที่วางต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ เขาเอาขนมปังไร้เชื้อมาหนึ่งก้อน และขนมปังคลุกน้ำมันหนึ่งก้อน และขนมแผ่นชิ้นหนึ่ง และวางทั้งหมดนั้นบนไขมันและบนโคนขาขวา
27 โมเสสได้เอาทั้งหมดนี้วางไว้ในมือของอาโรนและในมือของบรรดาบุตรชายของเขา และได้โบกต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์เป็นเครื่องบูชาโบกถวาย 28 แล้วโมเสสก็เอาทั้งหมดนั้นออกจากมือของพวกเขา และเผาทั้งหมดนั้นบนแท่นบูชาให้เป็นเครื่องเผาบูชา ทั้งหมดนี้เป็นเครื่องบูชาแห่งการสถาปนาและเกิดเป็นกลิ่นหอม นี่เป็นเครื่องบูชาที่ถวายด้วยไฟแด่พระยาห์เวห์
29 โมเสสได้เอาเนื้ออกและโบกเนื้อนั้นให้เป็นเครื่องบูชาโบกถวายแด่พระยาห์เวห์ นี่เป็นส่วนแบ่งของโมเสสจากแกะตัวผู้ที่ใช้ในการแต่งตั้งปุโรหิต ตามที่พระยาห์เวห์ได้บัญชาเขาไว้ 30 โมเสสได้เอาน้ำมันเจิมและเลือดที่อยู่บนแท่นบูชา มาประพรมบนตัวอาโรน บนเสื้อผ้าของเขา บนบรรดาบุตรชายของเขา และบนเสื้อผ้าของบรรดาบุตรของเขาพร้อมกับตัวเขา ด้วยวิธีนี้เองโมเสสได้แยกอาโรนและเสื้อผ้าของเขา และบรรดาบุตรชายของเขาและเสื้อผ้าของพวกเขาไว้ต่างหากเฉพาะพระยาห์เวห์
31 ดังนั้น โมเสสได้กล่าวแก่อาโรนและบรรดาบุตรชายของเขาว่า "จงต้มเนื้อตรงทางเข้าเต็นท์นัดพบ และให้รับประทานเนื้อและขนมปังจากตระกร้าของเครื่องบูชาเพื่อการสถาปนาเสียที่นั่น ตามที่เราได้สั่งไว้ว่า 'อาโรนและบรรดาบุตรชายของเขาจะรับประทาน' 32 เนื้อและขนมปังที่เหลือให้พวกท่านเผาเสีย 33 พวกท่านต้องไม่ออกไปจากทางเข้าเต็นท์นัดพบเป็นเวลาเจ็ดวัน จนกว่าวันแห่งการสถาปนาจะครบกำหนด เพราะพระยาห์เวห์จะทรงสถาปนาพวกท่านเป็นเวลาเจ็ดวัน
34 สิ่งที่ได้ทำกันในวันนี้ พระยาห์เวห์ได้ทรงบัญชาให้ทำเพื่อเป็นการลบล้างบาปให้แก่พวกท่าน 35 พวกท่านจะต้องอยู่ตรงทางเข้าประตูเต็นท์นัดพบทั้งกลางวันและกลางคืนเป็นเวลาเจ็ดวัน และรักษาพระบัญชาของพระยาห์เวห์ เพื่อพวกท่านจะไม่ตาย เพราะนี่เป็นคำที่เราได้สั่งไว้" 36 ดังนั้นอาโรนและบรรดาบุตรชายของเขาได้ทำตามทุกอย่างที่พระยาห์เวห์ได้บัญชาผ่านทางโมเสส
1 ในวันที่แปด โมเสสได้เรียกอาโรนและบรรดาบุตรของเขา และบรรดาพวกผู้ใหญ่ของอิสราเอลมา 2 โมเสสได้บอกแก่อาโรนว่า "จงเอาลูกโคตัวหนึ่งมาจากฝูงสำหรับเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป และแกะตัวผู้ตัวหนึ่งที่ปราศจากตำหนิมา และถวายทั้งสองอย่างต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ 3 เจ้าต้องบอกแก่ประชาชนอิสราเอลว่า 'จงเอาแพะตัวผู้มาตัวหนึ่งสำหรับเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป และลูกโคตัวหนึ่งและลูกแกะตัวหนึ่ง ทั้งคู่ต้องมีอายุหนึ่งปีและปราศจากตำหนิ สำหรับเป็นเครื่องเผาบูชา
4 ให้เอาโคผู้หนึ่งตัวและแกะตัวผู้หนึ่งตัวสำหรับเป็นเครื่องสันติบูชามาเพื่อถวายเครื่องบูชาต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ และเอาเครื่องธัญบูชาที่คลุกด้วยน้ำมันมาด้วย เพราะในวันนี้พระยาห์จะทรงปรากฏแก่พวกท่าน'" 5 ดังนั้นพวกเขาได้เอาทุกอย่างที่โมเสสได้สั่งไว้ไปที่เต็นท์นัดพบ และชุมนุมชนอิสราเอลทั้งหมดก็เข้ามาใกล้และยืนต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์
6 แล้วโมเสสได้กล่าวว่า "นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์ได้ทรงบัญชาให้พวกท่านกระทำ เพื่อพระสิริของพระองค์จะปรากฏแก่ท่านทั้งหลาย" 7 แล้วโมเสสได้บอกแก่อาโรนว่า "จงเข้าไปไกล้แท่นบูชาและถวายเครื่องบูชาลบล้างบาปและเครื่องเผาบูชาของท่าน และทำการลบมลทินสำหรับตัวท่านและสำหรับประชาชน และถวายเครื่องบูชาสำหรับประชาชนเพื่อลบล้างมลทินบาปสำหรับพวกเขา ตามที่พระยาห์เวห์ได้ทรงบัญชาไว้"
8 ดังนั้นอาโรนจึงเข้าไปใกล้แท่นบูชาและได้ฆ่าลูกโคเป็นเครื่องบูชาเพื่อลบล้างบาปสำหรับตนเอง 9 บรรดาบุตรของอาโรนก็นำเลือดมาให้เขา เขาก็เอานิ้วจุ่มเลือดและไปเจิมที่เชิงงอนของแท่นบูชา แล้วเขาก็เทเลือดนั้นที่ฐานของแท่นบูชา 10 อย่างไรก็ตาม เขาได้เผาไขมัน ไต และพังผืดที่หุ้มตับบนแท่นบูชาให้เป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป ตามที่พระยาห์เวห์ได้ทรงบัญชาโมเสสไว้
11 เขาได้เผาเนื้อและหนังภายนอกค่าย 12 อาโรนได้ฆ่าสัตว์ของเครื่องเผาบูชา และบรรดาบุตรของอาโรนได้เอาเลือดมาให้เขา ซึ่งเขาได้เอาเลือดไปประพรมที่แท่นบูชาทุกด้าน 13 แล้วบรรดาบุตรของอาโรนก็ส่งเครื่องเผาบูชาทีละชิ้นพร้อมกับส่วนหัวให้แก่อาโรน และอาโรนก็เผาทั้งหมดนั้นบนแท่นบูชา 14 อาโรนได้ล้างเครื่องในและขาสัตว์ และได้เผาทั้งหมดนั้นบนเครื่องเผาบูชาที่อยู่บนแท่นบูชา
15 อาโรนได้นำแพะตัวหนึ่งมาถวายเป็นเครื่องถวายบูชาของประชาชน แล้วเอาแพะที่เป็นเครื่องบูชาสำหรับความผิดบาปของพวกเขามาและฆ่าเสีย อาโรนได้ถวายแพะนั้นสำหรับความผิดบาป ดังเช่นที่เขาได้ทำกับแพะตัวแรก 16 อาโรนได้ถวายเครื่องเผาบูชา และได้ถวายเครื่องบูชาตามที่พระยาห์เวห์ได้ทรงบัญชาไว้ 17 อาโรนได้ถวายธัญบูชา เขาได้หยิบมากำมือหนึ่งและเผาเสียบนแท่นบูชาร่วมกับเครื่องเผาบูชาในตอนเช้า
18 อาโรนก็ได้ฆ่าโคตัวผู้และแพะตัวผู้นั้นให้เป็นเครื่องสันติบูชาสำหรับประชาชน บรรดาบุตรของอาโรนได้นำเลือดมาให้เขา ซึ่งเขาได้เอาเลือดประพรมที่แท่นบูชาทุกด้าน 19 แต่พวกเขาได้ตัดไขมันของโคตัวผู้และแกะตัวผู้ หางที่มีไขมัน ไขมันที่หุ้มเครื่องใน ไต และผังผืดที่หุ้มตับ 20 พวกเขาได้เอาชิ้นส่วนต่างๆ ที่ถูกหั่นออกไปวางไว้บนเนื้ออก แล้วอาโรนก็เผาไขมันนั้นบนแท่นบูชา
21 อาโรนได้ยกเนื้ออกและโคนขาขวาขึ้นโบกให้เป็นเครื่องบูชาโบกถวายต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ 22 แล้วอาโรนได้ยกมือของตนเองยื่นไปยังประชาชนและอวยพรพวกเขา แล้วอาโรนก็ลงมาจากการถวายเครื่องบูชาลบล้างบาป เครื่องเผาบูชา และสันติบูชา 23 โมเสสกับอาโรนได้เข้าไปในเต็นท์นัดพบ แล้วเมื่อเขาทั้งสองได้ออกมาอีกครั้งและได้อวยพรประชาชน และพระสิริของพระยาห์เวห์ได้ปรากฏแก่ประชาชนทั้งปวง 24 แล้วมีไฟพลุ่งออกมาจากพระยาห์เวห์และเผาเครื่องเผาบูชาและไขมันที่อยู่บนแท่นบูชา เมื่อประชาชนทั้งปวงได้เห็นเหตุการณ์นี้ พวกเขาก็เปล่งเสียงขึ้นและซบหน้าลงกับพื้น
1 นาดับและอาบีฮูบุตรชายของอาโรน ต่างได้เอากระถางไฟของตนเองมา และใส่ไฟลงไป แล้วใส่เครื่องหอม แล้วพวกเขาได้ถวายไฟที่ต้องห้ามต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ ซึ่งพระองค์ไม่ได้ทรงบัญชาให้พวกเขาถวาย 2 ดังนั้นจึงมีไฟออกมาเผาผลาญพวกเขาต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ และ และพวกเขาได้ตายลงต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์
3 แล้วโมเสสได้บอกแก่อาโรนว่า "นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์ได้ทรงกล่าวถึงเมื่อพระองค์ได้ตรัสว่า 'เราจะสำแดงความบริสุทธิ์ของเราแก่บรรดาผู้ที่เข้ามาใกล้เรา เราจะได้รับการยกย่องต่อหน้าประชาชนทั้งปวง'" อาโรนก็นิ่งเงียบ 4 โมเสสได้เรียกมิชาเอลและเอลซาฟาน ผู้เป็นบรรดาบุตรชายของอุสซีเอลซึ่งเป็นลุงของอาโรน และบอกพวกเขาว่า "จงเข้ามาแบกพี่น้องของพวกท่านออกไปจากค่าย จากหน้าพลับพลา" 5 ดังนั้นพวกเขาจึงเข้ามาใกล้และได้แบกสองคนนั้นออกไปจากค่ายพักทั้งที่ยังสวมชุดปุโรหิตอยู่ ตามที่โมเสสได้สั่งไว้
6 แล้วโมเสสได้กล่าวแก่อาโรน เอเลอาซาร์และอิธามาร์ผู้เป็นบุตรของอาโรนว่า "อย่าปล่อยผมของพวกท่าน และอย่าฉีกเสื้อผ้าของพวกท่าน เพื่อพวกท่านจะไม่ตาย และเพื่อพระยาห์เวห์จะไม่กริ้วพร้อมกับชุมนุมชนทั้งปวง แต่ให้บรรดาญาติของพวกท่านและพงศ์พันธุ์อิสราเอลทั้งหมดไว้ทุกข์ให้แก่พวกที่พระยาห์เวห์ได้ทรงเผาผลาญได้ 7 พวกท่านต้องไม่ออกไปจากทางเข้าของเต็นท์นัดพบ มิฉะนั้นพวกท่านจะต้องตาย เพราะน้ำมันแห่งการทรงเจิมของพระยาห์เวห์ทรงอยู่กับพวกท่าน" ดังนั้นพวกเขาจึงได้ทำตามคำสั่งของโมเสส
8 พระยาห์เวห์ได้ตรัสแก่อาโรนว่า 9 "อย่าดื่มเหล้าองุ่นหรือเครื่องดื่มมึนเมา ทั้งตัวเจ้าหรือบรรดาบุตรชายของเจ้าที่ยังเหลืออยู่กับเจ้า เมื่อพวกเจ้าเข้าไปในเต็นท์นัดพบ เพื่อเจ้าจะไม่ตาย นี่จะเป็นกฎเกณฑ์ถาวรตลอดทุกชั่วอายุคนของพวกเจ้า 10 เพื่อแยกแยะระหว่างความบริสุทธิ์และความสามัญ ระหว่างมลทินและไม่มีมลทิน 11 เพื่อที่พวกเจ้าจะได้สอนประชาชนอิสราเอลถึงกฎเกณฑ์ที่พระยาห์เวห์ได้ทรงบัญชาผ่านทางโมเสส"
12 โมเสสได้บอกแก่อาโรน เอเลอาซาร์และอิธามาร์ซึ่งเป็นบุตรที่เหลือของอาโรนว่า "จงเอาธัญบูชาที่เหลือจากการถวายด้วยไฟแด่พระยาห์เวห์มารับประทานโดยปราศจากเชื้อยีสต์ตรงด้านข้างแท่นบูชา เพราะนี่เป็นสิ่งที่บริสุทธิ์ที่สุด 13 ท่านจะต้องรับประทานในสถานที่บริสุทธิ์ เพราะนี่เป็นส่วนแบ่งสำหรับท่านและบรรดาบุตรชายของท่านจากเครื่องถวายบูชาด้วยไฟแด่พระยาห์เวห์ เพราะข้าพเจ้าได้รับพระบัญชามาบอกแก่ท่านเช่นนี้
14 เนื้ออกที่โบกถวายและเนื้อโคนขาที่ถวายแด่พระยาห์เวห์ ท่านต้องรับประทานในสถานที่สะอาดซึ่งพระเจ้าทรงยอมรับ ทั้งตัวท่านและบรรดาบุตรชายบุตรหญิงของท่านควรรับประทานส่วนเหล่านั้น เพราะได้มอบให้เป็นส่วนแบ่งของท่านและของบรรดาบุตรชายของท่านที่แบ่งมาจากเครื่องถวายแห่งสันติบูชาของประชาชนอิสราเอล 15 ให้พวกเขาเอาเนื้อโคนขาที่ได้นำมาถวายและเนื้ออกที่ได้โบกถวายมาพร้อมกับไขมันที่ต้องถวายด้วยไฟ เพื่อเอามาโบกถวายต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ ทั้งหมดนี้จะเป็นของท่านและบรรดาบุตรชายของท่านที่อยู่กับท่านให้เป็นส่วนแบ่งตลอดไป ตามที่พระยาห์เวห์ได้ทรงบัญชาไว้"
16 แล้วโมเสสได้ถามถึงแพะตัวที่ใช้ถวายเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป และพบว่าแพะตัวนั้นได้ถูกเผาไปแล้ว ดังนั้นโมเสสจึงโกรธเอเลอาซาร์และอิธามาร์ซึ่งเป็นบุตรที่เหลืออยู่ของอาโรน โมเสสจึงถามว่า 17 "ทำไมพวกท่านไม่รับประทานเครื่องบูชาลบล้างบาปนั้นในบริเวณพลับพลา เพราะนี่เป็นสิ่งที่บริสุทธิ์ที่สุด และเพราะพระยาห์เวห์ได้ประทานให้แก่พวกท่าน เพื่อยกความผิดบาปของชุมนุมชนไปเสีย และเพื่อลบล้างบาปของพวกเขาต่อพระพักตร์พระองค์
18 ดูสิ เลือดของแพะนั้นก็ไม่ได้นำเข้าไปในพลับพลา ดังนั้นพวกท่านควรรับประทานในบริเวณพลับพลา ตามที่ข้าพเจ้าได้สั่งไว้" 19 แล้วอาโรนได้ตอบโมเสสว่า "ดูเถิด ในวันนี้พวกเขาได้ถวายเครื่องบูชาเพื่อลบล้างบาปของพวกเขาและเครื่องเผาบูชาต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ และสิ่งที่ได้เกิดขึ้นกับข้าพเจ้าในวันนี้ ถ้าข้าพเจ้าได้รับประทานเครื่องบูชาลบล้างบาปในวันนี้ แล้วนั่นจะเป็นที่โปรดปรานในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ได้หรือ?" 20 เมื่อโมเสสได้ยินดังนั้น เขาก็พอใจ
1 พระยาห์เวห์ได้ตรัสแก่โมเสสและอาโรนว่า 2 "จงกล่าวกับคนอิสราเอลว่า 'สิ่งมีชีวิตต่างๆ เหล่านี้ที่พวกเจ้าสามารถรับประทานได้ในท่ามกลางบรรดาสัตว์ทั้งปวงที่อยู่บนแผ่นดิน 3 พวกเจ้าสามารถรับประทานสัตว์ใดๆ ที่แยกกีบและที่เคี้ยวเอื้องได้ด้วย
4 อย่างไรก็ตาม สัตว์บางชนิดที่เคี้ยวเอื้องได้หรือแยกกีบเพียงอย่างเดียว พวกเจ้าต้องไม่รับประทานพวกมัน เช่นอููฐ เพราะมันเคี้ยวเอื้องแต่ไม่แยกกีบ ดังนั้นอูฐจึงเป็นมลทินสำหรับพวกเจ้า 5 เช่นเดียวกับตัวกระจงผา เพราะมันเคี้ยวเอื้องแต่ไม่แยกกีบ มันจึงเป็นมลทินสำหรับพวกเจ้า 6 กระต่าย เพราะมันเคี้ยวเอื้องแต่ไม่แยกกีบ จึงเป็นมลทินสำหรับพวกเจ้า
7 สุกร แม้ว่ามันแยกกีบแต่ไม่เคี้ยวเอื้อง จึงเป็นมลทินสำหรับพวกเจ้า 8 พวกเจ้าต้องไม่รับประทานเนื้อใดๆ ของพวกมัน หรือแตะต้องซากของพวกมัน พวกมันเป็นมลทินสำหรับพวกเจ้า 9 บรรดาสัตว์ต่างๆ ที่อยู่ในน้ำ พวกเจ้ารับประทานได้ทั้งหมดที่มีครีบและมีเกล็ด ไม่ว่าจะอยู่ในมหาสมุทรหรือในแม่น้ำก็ตาม
10 แต่สิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่ไม่มีครีบและไม่มีเกล็ดในมหาสมุทรหรือในแม่น้ำ รวมถึงทุกสิ่งที่เคลื่อนไหวในน้ำและสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่อยู่ในน้ำ พวกมันต้องเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจสำหรับพวกเจ้า 11 ในเมื่อพวกมันต้องเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ พวกเจ้าต้องไม่รับประทานเนื้อของมัน และซากของมันต้องเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจด้วย 12 อะไรก็ตามที่ไม่มีครีบและไม่มีเกล็ดในน้ำเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจสำหรับพวกเจ้า
13 บรรดานกต่างๆ ที่พวกเจ้าต้องพึงรังเกียจและต้องไม่รับประทานมีดังนี้คือ นกอินทรี นกแร้ง 14 เหยี่ยวขนาดเล็ก นกเหยี่ยวดำทุกชนิด 15 นกกาทุกชนิด 16 นกเค้าใหญ่ นกเค้าเล็ก นกนางนวล และเหยี่ยวทุกชนิด 17 พวกเจ้าต้องพึงรังเกียจนกเค้าแมว นกกาน้ำ 18 นกเค้าแมวสีขาวและนกแสก เหยี่ยวขนาดใหญ่ 19 นกกระสา นกกระสาทุกชนิด นกหัวขวาน และค้างคาวด้วย 20 แมลงที่มีปีกซึ่งคลานสี่ขาทั้งหมดเป็นที่น่ารังเกียจสำหรับพวกเจ้า
21 พวกเจ้าจะรับประทานบรรดาแมลงใดๆ ที่บินได้ซึ่งคลานสี่ขาถ้าพวกมันมีขาพับใช้กระโดดไปบนดินได้ 22 พวกเจ้าสามารถรับประทานตั๊กแตน จิ้งหรีด จั๊กจั่น หรือตั๊กแตนทุกชนิด 23 แต่แมลงบินได้ซึ่งคลานสี่ขาอื่นๆ เป็นสิ่งที่พึงรังเกียจสำหรับพวกเจ้า 24 พวกเจ้าจะกลายเป็นมลทินไปจนถึงตอนเย็นเพราะสัตว์เหล่านี้ ถ้าพวกเจ้าไปแตะต้องซากใดซากหนึ่งของพวกมัน
25 ใครก็ตามที่หยิบซากพวกมันจะต้องซักเสื้อผ้าของเขาและยังเป็นมลทินไปจนถึงตอนเย็น 26 สัตว์ที่มีกีบผ่าทุกตัวแต่ไม่ได้แยกจากกันตลอดทั้งกีบ หรือที่ไม่เคี้ยวเอื้องทุกตัวเป็นมลทินสำหรับพวกเจ้า ทุกคนที่ถูกต้องพวกมันจะเป็นมลทิน
27 สัตว์อะไรก็ตามที่เดินด้วยอุ้งเท้าในเหล่าบรรดาสัตว์ที่เดินสี่ขา พวกมันเป็นมลทินสำหรับพวกเจ้า ใครก็ตามที่ถูกต้องซากนั้นจะเป็นมลทินไปจนถึงตอนเย็น 28 ใครหยิบซากสัตว์นั้นต้องซักเสื้อผ้าของเขาและเป็นมลทินไปจนถึงตอนเย็น สัตว์เหล่านี้จะเป็นมลทินสำหรับพวกเจ้า 29 ในบรรดาสัตว์ต่างๆ ที่เลื้อยคลาน สัตว์เหล่านี้จะเป็นมลทินสำหรับพวกเจ้า เช่น อีเห็น หนู ตัวตะกวดใหญ่ทุกชนิด 30 ตุ๊กแก ตัวเงินตัวทอง แย้ จิ้งเหลน และกิ้งก่า
31 ในบรรดาสัตว์ที่เลื้อยคลาน เหล่านี่เป็นสัตว์ที่จะเป็นมลทินสำหรับพวกเจ้า ใครก็ตามที่ีแตะต้องพวกมันเมื่อมันตายจะเป็นมลทินไปจนถึงตอนเย็น 32 ถ้าสัตว์เหล่านั้นตายและตกลงบนสิ่งใดก็ตาม สิ่งนั้นจะเป็นมลทิน ไม่ว่าจะทำมาจากไม้ ผ้า หนังสัตว์ หรือผ้ากระสอบ ไม่ว่าจะเป็นอะไรและไม่ว่าจะใช้เพื่อสิ่งใดก็ตาม สิ่งนั้นต้องนำไปจุ่มน้ำ แล้วจะเป็นมลทินไปจนถึงตอนเย็น แล้วจึงจะสะอาด 33 หม้อดินทุกใบที่สัตว์เป็นมลทินตกเข้าไปในหม้อหรือตกใส่บนหม้อ อะไรก็ตามที่อยู่ในหม้อก็จะกลายเป็นมลทิน และพวกเจ้าต้องทำลายหม้อใบนั้นทิ้ง
34 อาหารทุกอย่างที่สะอาดและอนุญาตให้รับประทานได้ แต่มีน้ำจากหม้อที่เป็นมลทินหยดใส่ อาหารนั้นก็เป็นมลทิน ทุกสิ่งที่ดื่มจากหม้อนั้นจะกลายเป็นมลทิน 35 ทุกสิ่งที่ถูกส่วนใดก็ตามของซากสัตว์ที่เป็นมลทินตกใส่จะเป็นมลทิน ไม่ว่าจะเป็นเตาอบหรือหม้อทำอาหาร จะต้องทุบให้เป็นชิ้นๆ หม้อนั้นเป็นมลทินและต้องยังคงเป็นมลทินสำหรับพวกเจ้าเสมอ
36 น้ำพุหรือแอ่งเก็บน้ำดื่มยังเป็นสิ่งสะอาดถ้าสัตว์แบบนั้นตกลงไป แต่ถ้าใครถูกต้องซากสัตว์ที่เป็นมลทินในน้ำ เขาจะกลายเป็นมลทิน 37 ถ้าส่วนใดๆ ของซากสัตว์ที่เป็นมลทินตกลงบนเมล็ดสำหรับเพาะปลูกชนิดใดก็ตาม เมล็ดเหล่านั้นจะยังสะอาดอยู่ 38 แต่ถ้าน้ำที่เทลงบนเมล็ด และถ้ามีส่วนใดๆ ของซากสัตว์ที่เป็นมลทินตกลงในน้ำนั้น น้ำนั้นก็จะเป็นมลทินสำหรับพวกเจ้า 39 ถ้าสัตว์ที่ใดที่เจ้าสามารถรับประทานได้ตายลงไป แล้วผู้ที่ไปถูกต้องซากสัตว์ก็จะเป็นมลทินไปจนถึงตอนเย็น
40 ใครก็ตามที่กินซากส่วนใดของสัตว์นั้นจะต้องซักเสื้อผ้าของเขา และจะเป็นมลทินไปจนถึงตอนเย็น ใครก็ตามที่หยิบซากสัตว์นั้นจะต้องซักเสื้อผ้าของเขาและจะเป็นมลทินไปจนถึงตอนเย็น 41 สัตว์ทุกชนิดที่คลานบนดินด้วยท้องเป็นสิ่งน่ารังเกียจ อย่ารับประทานสัตว์เหล่านั้น 42 อะไรก็ตามที่เลื้อยคลานด้วยท้อง และอะไรก็ตามที่เดินสี่ขา หรืออะไรที่มีขาจำนวนมาก สัตว์ที่เลื้อยคลานไปบนดินทั้งหมด พวกเจ้าต้องไม่รับประทานสัตว์เหล่านี้เพราะมันเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ
43 พวกเจ้าต้องไม่ทำให้ตัวเจ้าเป็นมลทินด้วยสิ่งมีชีวิตใดๆ ที่คลานด้วยท้อง พวกเจ้าต้องไม่ทำตัวเจ้าให้เป็นมลทินเพราะพวกมัน เพราะพวกเจ้าจะถูกทำให้ไม่บริสุทธิ์เพราะพวกมัน 44 เพราะเราคือยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้า พวกเจ้าต้องรักษาตัวเจ้าให้บริสุทธิ์ เพราะฉะนั้น จงบริสุทธิ์ เพราะเราบริสุทธิ์ พวกเจ้าต้องไม่ทำตัวพวกเจ้าให้เป็นมลทินด้วยสัตว์ชนิดใดก็ตามที่เคลื่อนไปมาบนแผ่นดิน
45 เพราะเราคือยาห์เวห์ ผู้ได้นำพวกเจ้าออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ เพื่อเป็นพระเจ้าของพวกเจ้า เหตุฉะนั้นพวกเจ้าต้องบริสุทธิ์ เพราะเราบริสุทธิ์ 46 นี่คือกฎเกี่ยวกับเรื่องสัตว์ต่างๆ นกต่างๆ สิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่เคลื่อนไปในน้ำ และสิ่งมีชีวิตทุกอย่างที่เลื้อยคลานไปบนดิน 47 เพื่อจะแยกแยะระหว่างสิ่งมีชีวิตที่เป็นมลทินและสิ่งที่สะอาด และระหว่างสิ่งมีชีวิตที่สามารถรับประทานได้ และรับประทานไม่ได้'"
1 พระยาห์เวห์ได้ตรัสแก่โมเสสว่า 2 "จงบอกแก่คนอิสราเอลว่า 'ถ้าผู้หญิงคนใดตั้งครรภ์และคลอดบุตรชาย นางก็จะเป็นมลทินเป็นเวลาเจ็ดวัน เช่นเดียวกับเมื่อนางเป็นมลทินในช่วงมีประจำเดือนของนาง
3 ในวันที่แปด จะต้องทำสุหนัตหนังปลายองคชาติของทารกชายนั้น 4 แล้วทำการชำระมารดาให้บริสุทธิ์จากการตกเลือดของนางต่อไปอีกสามสิบสามวัน ห้ามนางแตะต้องสิ่งบริสุทธิ์ใดๆ หรือเข้ามาในบริเวณพลับพลาจนกว่าจะครบกำหนดวันแห่งการชำระให้บริสุทธิ์ของนาง 5 แต่ถ้านางคลอดบุตรหญิง นางจะเป็นมลทินเป็นเวลาสองสัปดาห์ เช่นเดียวกับช่วงเป็นประจำเดือนของนาง แล้วก็จะทำการชำระมารดาให้บริสุทธิ์ต่อไปอีกหกสิบหกวัน
6 เมื่อครบกำหนดวันแห่งการชำระตนให้บริสุทธิ์ของนางแล้ว ไม่ว่าสำหรับบุตรชายหรือบุตรหญิง นางจะต้องนำลูกแกะอายุหนึ่งปีมาเป็นเครื่องเผาบูชา และนกพิราบรุ่นหรือนกเขามาเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป ให้นำมามอบให้แก่ปุโรหิตตรงทางเข้าเต็นท์นัดพบ 7 แล้วปุโรหิตจะถวายเครื่องบูชาต่อพระยาห์เวห์ และทำการลบล้างมลทินสำหรับนาง และนางจะได้รับการชำระจากการตกเลือดของนาง นี่เป็นกฎเกี่ยวกับผู้หญิงคนใดที่คลอดบุตรไม่ว่าชายหรือหญิง 8 ถ้านางไม่สามารถหาลูกแกะมาได้ นางต้องนำนกเขาสองตัวหรือนกพิราบรุ่นสองตัว ให้ตัวหนึ่งเป็นเครื่องเผาบูชาและอีกตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป และปุโรหิตจะทำการลบล้างมลทินให้แก่นาง แล้วนางก็จะสะอาด'"
1 พระยาห์เวห์ได้ตรัสแก่โมเสสและอาโรนว่า 2 "เมื่อคนใดมีอาการบวม หรือผื่น หรือรอยด่างบนผิวของเขา และติดเชื้อและมีโรคผิวหนังในร่างกายของเขา ก็ต้องพาเขามาหาอาโรนผู้เป็นมหาปุโรหิต หรือบุตรคนหนึ่งคนใดของบรรดาบุตรชายของเขาที่เป็นปุโรหิต
3 แล้วปุโรหิตจะตรวจโรคที่ผิวหนังของร่างกายของเขา ถ้าขนในบริเวณที่เป็นโรคกลายเป็นสีขาว และถ้าโรคนั้นเป็นลึกกว่าผิวหนัง แสดงว่านั่นเป็นโรคที่ติดเชื้อ หลังจากที่ปุโรหิตตรวจเขาแล้ว ต้องประกาศว่าเขาเป็นมลทิน 4 ถ้ารอยด่างที่ผิวของเขาเป็นสีขาว และปรากฏว่าเป็นไม่ลึกไปกว่าผิวหนัง และถ้าขนตรงบริเวณที่เป็นโรคไม่กลายเป็นสีขาว ปุโรหิตต้องกักคนที่เป็นโรคไว้เจ็ดวัน
5 ในวันที่เจ็ด ปุโรหิตต้องตรวจเขา ถ้าหากปุโรหิตเห็นว่าว่าโรคนั้นไม่แย่ลง และถ้าไม่ลามไปตามผิวหนัง ถ้าไม่มี ก็ให้ปุโรหิตกักเขาไว้อีกเจ็ดวัน 6 แล้วปุโรหิตจะตรวจอีกครั้งในวันที่เจ็ดเพื่อดูว่าโรคนั้นดีขึ้นและไม่ลามเพิ่มอีกตามผิวหนัง ถ้าไม่มี ก็ให้ปุโรหิตประกาศว่าเขาสะอาด เป็นแค่ผื่นคัน เขาต้องซักเสื้อผ้าของเขา แล้วเขาก็จะสะอาด
7 แต่ถ้าผื่นนั้นลามไปตามผิวหนังหลังจากที่เขาได้ไปแสดงตัวต่อปุโรหิตเพื่อชำระตน เขาต้องมาแสดงตัวต่อปุโรหิตอีกครั้ง 8 ปุโรหิตจะตรวจเขาเพื่อดูว่าผื่นนั้นได้ลามไปตามผิวหนังเพิ่มหรือไม่ ถ้าได้ลามไป ปุโรหิตต้องประกาศว่าเขาเป็นมลทิน นั่นเป็นโรคที่ติดเชื้อ
9 เมื่อมีโรคผิวหนังที่ติดเชื้อมีอยู่ในบางคน ต้องพาเขาไปหาปุโรหิต 10 ปุโรหิตจะตรวจเขาเพื่อดูว่ามีผิวหนังบวมสีขาวหรือไม่ ถ้าขนได้กลายเป็นสีขาว หรือถ้ามีแผลสดตรงที่บวม 11 ถ้ามี แสดงว่านั่นคือโรคผิวหนังเรื้อรัง และปุโรหิตต้องประกาศว่าเขาเป็นมลทิน ปุโรหิตจะกักตัวเขาไว้ เพราะว่าเขาเป็นมลทินแล้ว
12 ถ้าโรคนั้นกระจายไปทั่วผิวหนังและครอบคลุมผิวหนังทั้งตัวของคนนั้นจากหัวจรดเท้า ตามที่ได้ปรากฏแก่ปุโรหิต 13 แล้วปุโรหิตต้องตรวจเขาเพื่อดูว่าโรคนั้นได้ครอบคลุมไปทั่วร่างกายของเขาหรือไม่ ถ้าเป็น ปุโรหิตต้องประกาศว่าคนที่เป็นโรคนั้นสะอาด ถ้าตัวของเขาขาวทั้งหมด เขาก็สะอาด
14 แต่ถ้ามีแผลสดปรากฏบนบนตัวเขา เขาก็จะเป็นมลทิน 15 ปุโรหิตต้องดูแผลสดนั้นและประกาศว่าเขาเป็นมลทินเพราะแผลสดนั้นเป็นมลทิน นั่นเป็นโรคที่ติดเชื้อ 16 แต่ถ้าแผลสดนั้นกลายเป็นสีขาวอีกครั้ง คนนั้นต้องไปหาปุโรหิต 17 แล้วปุโรหิตจะตรวจเขาเพื่อดูว่าเนื้อหนังของเขาได้กลายเป็นสีขาวหรือไม่ ถ้าเป็น ปุโรหิตก็จะประกาศว่าคนนั้นสะอาด
18 เมื่อคนใดเป็นฝีบนผิวหนังและหายแล้ว 19 และตรงบริเวณฝีมีผิวบวมเป็นสีขาวหรือจุดด่าง สีขาวอมแดง เขาต้องไปแสดงตัวแก่ปุโรหิต 20 ปุโรหิตจะตรวจเพื่อดูว่าเป็นลึกกว่าผิวหนังหรือไม่ และถ้าขนตรงนั้นกลายเป็นสีขาว ถ้าเป็นดังนั้น ปุโรหิตก็ต้องประกาศว่าเขาเป็นมลทิน นั่นเป็นโรคที่ติดเชื้อ ถ้าโรคนั้นเกิดขึ้นตรงจุดที่เป็นฝี
21 แต่ถ้าปุโรหิตตรวจแล้วและเห็นว่าไม่มีขนสีขาวตรงนั้น และไม่ได้เป็นใต้ผิวหนังแต่ได้จางไปแล้ว ปุโรหิตจะต้องกักตัวเขาไว้เจ็ดวัน 22 ถ้าโรคนั้นลามไปตามผิวหนังเป็นวงกว้าง ปุโรหิตต้องประกาศว่าเขาเป็นมลทิน นั่นเป็นโรคที่ติดเชื้อ 23 แต่ถ้ารอยด่างนั้นคงอยู่เท่าเดิมและไม่ลามออกไป ก็เป็นแค่รอยแผลเป็นจากฝี และปุโรหิตต้องประกาศว่าเขาสะอาด
24 เมื่อผิวหนังมีรอยไหม้และมีเนื้อแผลสดกลายเป็นมีแดงเรื่อๆ หรือเป็นด่างสีขาว 25 ปุโรหิตก็จะตรวจเพื่อดูว่าขนตรงจุดนั้นเปลี่ยนเป็นสีขาวหรือไม่ ถ้าปรากฏว่ารอยนั้นอยู่ลึกกว่าชั้นผิวหนัง ถ้ามี นั่นก็เป็นโรคที่ติดเชื้อ แผลนั้นได้พุขึ้นมาตรงรอยไหม้ และปุโรหิตต้องประกาศว่าเขาเป็นมลทิน นั่นคือโรคที่ติดเชื้อ 26 แต่ถ้าปุโรหิตตรวจแล้วและพบว่าไม่มีขนสีขาวตรงจุดนั้น และไม่ได้เป็นภายใต้ผิวหนัง แต่ได้จางไปแล้ว แล้วปุโรหิตต้องกักตัวเขาไว้เจ็ดวัน
27 แล้วปุโรหิตต้องตรวจเขาในวันที่เจ็ด ถ้าลุกลามเป็นวงกว้างบนผิวหนัง ก็ให้ปุโรหิตประกาศว่าเขาเป็นมลทิน นั่นเป็นโรคที่ติดเชื้อ 28 ถ้าจุดด่างนั้นยังคงเท่าเดิมและไม่ลุกลามไปตามผิวแต่ได้จางลง และผิวหนังบวมเฉพาะตรงไฟไหม้ ปุโรหิตต้องประกาศว่าเขาสะอาด เพราะเป็นแค่เพียงรอยแผลเป็นจากไฟไหม้
29 ถ้าชายหรือหญิงมีโรคที่ติดเชื้อบนศีรษะหรือคาง 30 ปุโรหิตจะต้องตรวจโรคที่ติดเชื้อของคนนั้น เพื่อดูว่าโรคนั้นลงลึกไปกว่าผิวหนังหรือไม่ และถ้ามีสีเหลือง มีขนบางตรงจุดนั้น ถ้ามี ปุโรหิตต้องประกาศว่าเขาเป็นมลทิน เขาเป็นผื่นคัน เป็นโรคที่ติดเชื้อบนศีรษะหรือคาง
31 ถ้าปุโรหิตตรวจดูโรคผื่นคัน และเห็นว่าเป็นไม่ลึกกว่าผิวหนัง และไม่มีขนสีดำอยู่ในบริเวณนั้น ให้ปุโรหิตกักตัวคนที่เป็นโรคผื่นคันไว้เจ็ดวัน 32 พอถึงวันที่เจ็ดก็ให้ปุโรหิตตรวจโรคเพื่อดูว่าโรคนั้นลุกลามไปหรือไม่ ถ้าไม่มีขนสีเหลือง และถ้าโรคนั้นปรากฏเพียงแต่บนผิวหนัง 33 ก็ให้คนนั้นโกนขนเสีย แต่ห้ามโกนบริเวณที่เป็นโรค และปุโรหิตต้องกักคนที่เป็นโรคผื่นคันไว้อีกเจ็ดวัน
34 พอถึงวันที่เจ็ด ปุโรหิตก็จะตรวจโรคเพื่อดูว่าโรคนั้นหยุดลุกลามไปตามผิวหนังหรือไม่ ถ้าปรากฏว่าเป็นไม่ลึกไปกว่าผิวหนัง ปุโรหิตก็ต้องประกาศว่าเขาสะอาด ให้คนนั้นซักเสื้อผ้าของเขา แล้วเขาจะสะอาด 35 แต่ถ้าโรคผื่นคันนั้นได้ลามไปตามผิวหนังเป็นวงกว้างหลังจากที่ปุโรหิตได้กล่าวว่าเขาสะอาดแล้ว 36 ก็ต้องให้ปุโรหิตตรวจเขาอีก ถ้าโรคนั้นลามไปตามผิวหนังแล้ว ปุโรหิตไม่จำเป็นต้องมองหาขนสีเหลือง คนนั้นเป็นมลทินแล้ว
37 แต่ถ้าตามสายตาของปุโรหิต โรคผื่นคันนั้นไม่ลามและมีขนสีดำงอกอยู่ในบริเวณนั้น ผื่นคันนั้นได้หายแล้ว เขาก็สะอาด และปุโรหิตต้องประกาศว่าเขาสะอาด 38 ถ้าชายหรือหญิงที่มีรอยขาวที่ผิวหนัง 39 ต้องให้ปุโรหิตตรวจคนนั้นเพื่อดูว่ารอยนั้นเป็นสีขาวขุ่นหรือไม่ ซึ่งนั่นเป็นเกลื้อนที่พุขึ้นในผิวหนัง เขาสะอาด
40 ถ้าผมของชายใดร่วงจากศีรษะของเขา เขาเป็นคนศีรษะล้าน แต่เขาสะอาด 41 ถ้าผมของเขาร่วงออกจากด้านหน้าของศีรษะของเขา และถ้าหน้าผากของเขาล้าน เขาก็สะอาด 42 แต่ถ้ามีรอยแดงเรื่อๆ ตรงที่ศีรษะล้านหรือหน้าผากล้านของเขา นั่นเป็นโรคที่ติดเชื้อที่ได้พุขึ้น
43 ต้องให้ปุโรหิตตรวจดูเขาเพื่อดูว่ารอยบวมตรงบริเวณที่เป็นโรคบนศีรษะล้านหรือหน้าผากล้านที่มีสีแดงเรื่อๆ หรือไม่ เหมือนกับลักษณะของโรคที่ติดเชื้อบนผิวหนัง 44 ถ้าหากเป็น เขาก็มีโรคที่ติดเชื้อ และเขาเป็นมลทิน ปุโรหิตต้องประกาศว่าเขาเป็นมลทินอย่างแน่นอน เพราะโรคบนศีรษะของเขา
45 คนที่เป็นโรคที่ติดเชื้อต้องสวมเสื้อผ้าขาด ให้ปล่อยผม และให้เขาปิดหน้าของเขาจนถึงจมูกของเขา แล้วร้องว่า 'มลทิน มลทิน' 46 ตลอดเวลาที่เขาเป็นโรคที่ติดเชื้อเขาจะเป็นมลทิน เพราะเขาเป็นมลทินด้วยโรคที่สามารถติดต่อได้ เขาจะต้องอยู่แต่ลำพัง เขาต้องอยู่ภายนอกค่าย
47 เมื่อเครื่องแต่งกายเกิดมีเชื้อราขึ้นเป็นดวงๆ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องแต่งกายจากขนสัตว์หรือผ้าป่าน 48 หรือสิ่งใดๆ ที่ทอหรือถักจากขนสัตว์หรือผ้าป่าน หรือหนังหรือสิ่งใดๆ ที่ทำด้วยหนัง 49 ถ้ามีเชื้อที่ปนเปื้อนเป็นสีเขียวหรือสีแดงในเครื่องแต่งกาย ในหนัง หรือด้ายที่ทอหรือถัก หรือสิ่งใดๆ ที่ทำด้วยหนัง แล้วเป็นเชื้อราที่ลามไปได้ ต้องนำสิ่งนั้นไปแสดงต่อปุโรหิต
50 ปุโรหิตต้องตรวจเชื้อราในสิ่งนั้น ปุโรหิตต้องกักสิ่งใดๆ ที่มีเชื้อราไว้เจ็ดวัน 51 พอถึงวันที่เจ็ด ให้ปุโรหิตตรวจดูเชื้อรานั้นอีกครั้ง ถ้าเชื้อรานั้นลามไปในเครื่องแต่งกาย หรือสิ่งใดๆ ที่ทอหรือถักจากขนสัตว์หรือผ้าป่าน หรือหนัง หรือสิ่งใดๆ ที่ทำด้วยหนัง แสดงว่าเป็นเชื้อราที่เป็นอันตราย และสิ่งนั้นเป็นมลทิน 52 เขาต้องเผาเครื่องแต่งกายนั้น หรือสิ่งใดๆ ที่ทอหรือถักจากขนสัตว์หรือผ้าป่าน หรือหนัง หรือสิ่งใดๆ ที่ทำด้วยหนัง หรือสิ่งใดๆ ก็ตามที่ตรวจพบเชื้อราในนั้น เพราะอาจนำไปสู่การเป็นโรคได้ สิ่งนั้นต้องถูกเผาให้หมดไป
53 ถ้าปุโรหิตตรวจดูสิ่งของนั้นและเห็นว่าเชื้อรานั้นไม่ได้ลามไปในเครื่องแต่งกาย หรือสิ่งที่ทอหรือถักจากขนสัตว์หรือผ้าป่าน หรือในสิ่งใดที่ทำด้วยหนัง 54 ปุโรหิตก็จะสั่งให้พวกเขาซักสิ่งที่ตรวจพบว่ามีเชื้อรา และปุโรหิตต้องกักสิ่งนั้นไว้อีกเจ็ดวัน 55 แล้วปุโรหิตจะตรวจดูสิ่งของที่เคยเป็นเชื้อราที่ถูกซักแล้ว ถ้าเชื้อรานั้นไม่เปลี่ยนสี แม้ว่าเชื้อนั้นไม่ลามออกไป ก็เป็นมลทิน พวกเจ้าต้องเผาสิ่งนั้นทั้งหมดไม่ว่าเกิดเชื้อราขึ้นตรงจุดไหนก็ตาม
56 ถ้าปุโรหิตตรวจดูสิ่งนั้น และถ้าเชื้อรานั้นจางลงหลังจากซักแล้ว ก็ให้ฉีกบริเวณที่เกิดรอยนั้นออกเสียจากเครื่องแต่งกายหรือหนัง หรือจากด้ายทอหรือด้ายถัก 57 ถ้าเชื้อยังปรากฏขึ้นอีกในเครื่องแต่งกาย ไม่ว่าที่ด้ายทอหรือด้ายถัก หรือในสิ่งใดๆ ที่ทำด้วยหนัง แสดงว่าเชื้อนั้นลามออกไป เจ้าต้องเผาสิ่งใดๆ ที่มีเชื้อรานั้น
58 เครื่องแต่งกายหรือสิ่งใดๆ ที่ทอหรือถักด้วยขนสัตว์หรือผ้าป่าน หรือด้วยหนัง หรือสิ่งใดๆ ที่ทำด้วยหนัง ถ้าเจ้าซักสิ่งนั้นแล้วเชื้อรานั้นหมดไป สิ่งนั้นก็ต้องถูกซักอีกเป็นครั้งที่สอง แล้วสิ่งนั้นจะสะอาด 59 นี่เป็นกฎว่าด้วยเชื้อราในเครื่องแต่งกายที่ทำด้วยขนสัตว์หรือผ้าป่าน หรือสิ่งใดๆ ที่ทอหรือถักจากขนสัตว์หรือผ้าป่าน หรือหนัง หรือสิ่งใดๆ ที่ทำด้วยหนัง เพื่อพวกเจ้าจะได้ประกาศว่าสิ่งใดสะอาด หรือสิ่งใดเป็นมลทิน"
1 พระยาห์เวห์ได้ตรัสแก่โมเสสว่า 2 "นี่จะเป็นกฎในวันชำระตัวของคนทีี่เคยเป็นโรค ต้องนำเขามาหาปุโรหิต 3 แล้วปุโรหิตจะออกไปนอกค่ายเพื่อตรวจดูคนนั้น ถ้าโรคผิวหนังที่ติดเชื้อนั้นหายแล้ว
4 แล้วปุโรหิตจะสั่งคนที่จะชำระตัวให้นำนกที่สะอาดและมีชีวิตอยู่มาสองตัว ไม้สนสีดาร์ ด้ายสีแดง และต้นหุสบ 5 ปุโรหิตจะสั่งให้เขาฆ่านกตัวหนึ่งบนน้ำสะอาดที่อยู่ในหม้อดิน 6 แล้วปุโรหิตจะเอานกที่มีชีวิตอีกตัวและไม้สนสีดาร์ และด้ายแดง และต้นหุสบ แล้วเขาจะจุ่มทั้งหมดนี้ รวมถึงนกที่มีชีวิตอยู่ในเลือดของนกตัวที่ถูกฆ่าบนน้ำสะอาด
7 แล้วปุโรหิตจะพรมน้ำนี้บนตัวคนที่ชำระตัวจากโรคเจ็ดครั้ง แล้วปุโรหิตจะประกาศว่าเขาสะอาด แล้วปุโรหิตจะปล่อยนกตัวที่มีชีวิตไปในท้องทุ่ง 8 คนที่ได้รับการชำระจะซักเสื้อผ้าของเขา โกนผมและขนทั้งหมดของเขา และอาบน้ำ แล้วเขาจะสะอาด หลังจากนั้นเขาต้องเข้ามาในค่าย แต่เขาจะอยู่ภายนอกเต็นท์ที่พักของเขาเจ็ดวัน 9 พอถึงวันที่เจ็ดเขาต้องโกนผมทั้งหมดที่อยู่ศีรษะของเขา และเขาต้องโกนหนวดเคราและคิ้วด้วย เขาต้องโกนขนทั้งหมดของเขา และเขาต้องซักเสื้อผ้าของเขาและอาบน้ำ แล้วเขาจะสะอาด
10 ในวันที่แปด เขาต้องเอาลูกแกะตัวผู้ที่ปราศจากตำหนิมาสองตัว และลูกแกะตัวเมียอายุหนึ่งปีที่ปราศจากตำหนิ และแป้งอย่างดีสามในสิบเอฟาห์คลุกกับน้ำมันให้เป็นเครื่องธัญบูชา และน้ำมันหนึ่งในสามลิตร 11 ปุโรหิตผู้ที่ทำพิธีชำระ จะนำผู้ที่จะทำการชำระตัวมายืนต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์พร้อมกับสิ่งของเหล่านั้นตรงทางเข้าเต็นท์นัดพบ 12 ปุโรหิตจะเอาลูกแกะตัวผู้ตัวหนึ่งถวายเป็นเครื่องบูชาไถ่ความผิด พร้อมกับน้ำมันหนึ่งในสามลิตร เขาจะโบกสิ่งของเหล่านั้นเพื่อเป็นเครื่องบูชาโบกถวายแด่พระยาห์เวห์
13 เขาต้องฆ่าลูกแกะตัวผู้ในสถานที่ใช้ฆ่าเครื่องบูชาลบล้างบาปและเครื่องเผาบูชาภายในบริเวณพลับพลา เพราะเครื่องบูชาลบล้างบาปตกเป็นของปุโรหิต เช่นเดียวกับเครื่องบูชาไถ่ความผิด เพราะเป็นสิ่งที่บริสุทธิ์ที่สุด 14 ปุโรหิตจะนำเลือดบางส่วนของเครื่องบูชาไถ่ความผิด และไปเจิมปลายหูด้านขวาของคนที่รับการชำระตัว และเจิมหัวแม่มือขวา และนิ้วหัวแม่เท้าขวาของเขา 15 แล้วปุโรหิตจะเอาน้ำมันจากหนึ่งในสามลิตรนั้นเทลงบนผ่ามือซ้ายของตนบ้าง
16 และเอานิ้วมือขวาของเขาจุ่มในน้ำมันที่อยู่ในมือซ้ายของเขา และพรมน้ำมันด้วยนิ้วของตนเจ็ดครั้งต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ 17 ปุโรหิตจะเอาน้ำมันที่เหลือในมือของเขาไปแตะปลายหูด้านขวาของคนที่รับการชำระตัว และบนหัวแม่มือขวา และบนหัวแม่เท้าขวาของเขา เขาต้องเจิมน้ำมันนี้ทับบนเลือดของเครื่องบูชาไถ่ความผิด 18 แล้วน้ำมันที่เหลือในมือของปุโรหิต เขาก็จะเจิมบนศีรษะของคนที่รับการชำระตัว และปุโรหิตจะทำการลบมลทินเขาต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์
19 แล้วปุโรหิตจะถวายเครื่องบูชาลบล้างบาปและทำการลบมลทินสำหรับคนที่รับการชำระตัวอันเนื่องมาจากมลทินของเขา และหลังจากน้ั้น เขาก็จะฆ่าเครื่องเผาบูชา 20 แล้วปุโรหิตจะถวายเครื่องเผาบูชาและเครื่องธัญบูชาบนแท่นบูชา แล้วปุโรหิตจะทำการลบมลทินสำหรับคนนั้น แล้วเขาก็จะสะอาด
21 อย่างไรก็ตาม ถ้าคนนั้นขัดสนและไม่สามารถหาเครื่องบูชาเหล่านี้มาได้ ก็ให้เขาเอาลูกแกะตัวผู้มาหนึ่งตัวเพื่อเป็นเครื่องบูชาไถ่ความผิดที่จะใช้โบกถวาย เพื่อทำการลบล้างมลทินเพื่อตัวเขาเอง และเอาแป้งอย่างดีคลุกกับน้ำมันมาหนึ่งในสิบเอฟาห์เพื่อเป็นเครื่องธัญบูชา และน้ำมันหนึ่งในสามลิตร 22 พร้อมกับนกเขาสองตัวหรือนกพิราบรุ่นสองตัวที่เขาสามารถหามาได้ นกตัวหนึ่งจะเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป และอีกตัวจะเป็นเครื่องเผาบูชา 23 ในวันที่แปด ให้เขานำมามอบให้ปุโรหิตเพื่อเป็นทำการชำระตัวที่ทางเข้าเต็นท์นัดพบ ต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์
24 ปุโรหิตจะเอาลูกแกะสำหรับเครื่องบูชามา และเขาจะเอาน้ำมันมะกอกหนึ่งในสามลิตรมาด้วย และเขาจะชูสิ่งของเหล่านั้นขึ้นสูงดังว่าเขาถวายสิ่งของเหล่านั้นแด่พระยาห์เวห์ 25 แล้วเขาจะฆ่าลูกแกะเพื่อเป็นเครื่องบูชาไถ่ความผิด และเขาจะเอาเลือดบางส่วนของเครื่องบูชาไถ่ความผิดไปแตะปลายหูขวาของคนที่รับการชำระตัว และเจิมบนหัวแม่มือขวา และบนหัวแม่เท้าขวาของเขา
26 แล้วปุโรหิตจะเทน้ำมันบางส่วนใส่ฝ่ามือซ้ายของตน 27 และเขาจะใช้นิ้วมือขวาของเขาพรมน้ำมันที่อยู่ในมือซ้ายของเขาเจ็ดครั้งต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ 28 แล้วปุโรหิตจะเอาน้ำมันบางส่วนในมือของเขาไปแตะที่หูขวาของคนที่รับการชำระตัว และเจิมบนหัวแม่มือขวา และบนหัวแม่เท้าขวาของเขา ตรงจุดเดียวกับที่เขาเจิมด้วยเลือดของเครื่องบูชาไถ่ความผิด
29 ปุโรหิตจะเอาน้ำมันที่เหลือในมือของเขาไปเจิมบนศีรษะของคนที่รับการชำระตัว เพื่อทำการลบล้างมลทินของเขาต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ 30 เขาต้องถวายนกเขาหรือนกพิราบรุ่นหนึ่งตัวเท่าที่คนนั้นจะสามารถหามาได้ 31 ตัวหนึ่งให้เป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปและอีกตัวหนึ่งให้เป็นเครื่องเผาบูชาพร้อมกับเครื่องธัญบูชา แล้วปุโรหิตจะทำการลบมลทินสำหรับคนที่รับการชำระตัวต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ 32 นี่คือกฎสำหรับคนที่เป็นโรคผิวหนังที่ติดเชื้อ ผู้ที่ไม่สามารถหาเครื่องบูชาสำหรับการชำระตัวของเขาได้ตามปกติ"
33 พระยาห์เวห์ได้ตรัสแก่โมเสสและแก่อาโรนว่า 34 "เมื่อพวกเจ้าได้เข้าไปในแผ่นดินคานาอันซึ่งเราได้มอบให้เป็นกรรมสิทธิ์แก่พวกเจ้าแล้ว และถ้าเราได้ใส่เชื้อราที่ลุกลามในบ้านหลังหนึ่งในแผ่นดินที่พวกเจ้าถือกรรมสิทธิ์นั้น 35 ให้เจ้าของบ้านมาบอกปุโรหิต เขาต้องแจ้งว่า 'มีบางสิ่งที่ดูเหมือนเชื้อราอยู่ในบ้านของข้าพเจ้า'
36 แล้วปุโรหิตจะสั่งให้พวกเขาทำให้บ้านว่างเปล่าก่อนที่ปุโรหิตจะไปดูร่องรอยของเชื้อรา เพื่อจะไม่ให้มีสิ่งใดในบ้านถูกทำให้เป็นมลทิน หลังจากนั้นปุโรหิตต้องเข้าไปดูบ้าน 37 เขาต้องตรวจเชื้อรา ว่าเชื้อนั้นอยู่บนผนังบ้านหรือไม่ และเพื่อดูว่ามีรอยสีเขียวหรือสีแดงลึกไปในผนังบ้านหรือไม่ 38 ถ้าบ้านนั้นมีเชื้อรา ปุโรหิตก็จะออกจากบ้านและปิดประตูบ้านนั้นไว้เจ็ดวัน
39 พอถึงวันที่เจ็ด ปุโรหิตก็จะกลับมาอีกครั้ง และตรวจดูว่าเชื้อราได้ลุกลามไปตามผนังบ้านหรือไม่ 40 ถ้าลุกลาม ปุโรหิตก็จะสั่งให้พวกเขารื้อก้อนหินที่พบว่ามีเชื้อรานั้นออก และเอาไปทิ้งในที่ที่เป็นมลทินภายนอกเมือง 41 และสั่งให้ขูดผนังด้านในบ้านทั้งหมดออก และพวกเขาต้องเอาผงที่ขูดออกที่เจือปนด้วยเชื้อนั้นออกไปทิ้งนอกเมืองในที่ที่เป็นมลทิน 42 พวกเขาต้องเอาก้อนหินอื่นใส่เข้าไปแทนที่ก้อนหินที่ถูกนำเอาออกไป และพวกเขาต้องเอาโคลนใหม่มาฉาบบ้านนั้น
43 ถ้าเชื้อรานั้นยังกลับมาเกิดขึ้นอีกและลุกลามไปในบ้านที่เอาก้อนหินออกไปทิ้งแล้ว และผนังได้ถูกขูดและฉาบใหม่แล้ว 44 ปุโรหิตต้องเข้ามาและตรวจบ้านเพื่อดูว่าเชื้อราได้ลุกลามในบ้านหรือไม่ ถ้าลุกลาม นั่นเป็นเชื้อราที่เป็นอันตราย บ้านนั้นก็เป็นมลทิน
45 บ้านนั้นจะต้องถูกรื้อลง ก้อนหิน ไม้ และทั้งหมดที่ฉาบในบ้านทั้งหมดจะต้องถูกนำเอาออกไปนอกเมืองไปยังที่ที่เป็นมลทิน 46 ยิ่งกว่านั้น ใครก็ตามที่เข้าไปในบ้านนั้นในขณะที่บ้านยังปิดอยู่ ก็จะเป็นมลทินไปจนถึงตอนเย็น 47 ทุกคนที่นอนหลับในบ้านหลังนั้นต้องซักเสื้อผ้าของเขา และทุกคนที่กินในบ้านหลังนั้นต้องซักเสื้อผ้าของเขา
48 ถ้าปุโรหิตที่เข้าไปในบ้านเพื่อตรวจดูว่ามีเชื้อราลุกลามในบ้านหรือไม่หลังจากที่บ้านหลังนั้นได้ฉาบใหม่แล้ว แล้วถ้าเชื้อราได้หายไป ปุโรหิตก็จะประกาศว่าบ้านนั้นสะอาด 49 แล้วปุโรหิตจะต้องเอานกมาสองตัวเพื่อทำการชำระบ้าน และไม้สนสีดาร์ ด้ายสีแดง และต้นหุสบ 50 เขาจะฆ่านกตัวหนึ่งบนน้ำที่สะอาดในเหยือกดิน
51 เขาจะเอาไม้สนสีดาร์ ต้นหุสบ และด้ายแดง และนกที่มีชีวิต และจุ่มทั้งหมดนั้นลงในเลือดของนกที่ถูกฆ่าในน้ำสะอาด และพรมบ้านนั้นเจ็ดครั้ง 52 เขาจะชำระบ้านนั้นด้วยเลือดของนก และด้วยน้ำสะอาด ด้วยนกที่มีชีวิต ไม้สนสีดาร์ ต้นหุสบ และด้ายสีแดง 53 แต่เขาจะปล่อยนกที่มีชีวิตออกจากเมืองไปสู่ท้องทุ่ง ด้วยวิธีนี้ ปุโรหิตต้องทำการลบล้างมลทินสำหรับบ้านนั้น และบ้านนั้นก็จะสะอาด
54 นี่เป็นกฎของโรคผิวหนังที่ติดเชื้อทุกชนิด และทุกสิ่งที่ทำให้เกิดโรคแบบนั้น และสำหรับโรคผื่นคัน 55 และสำหรับเชื้อราในเสื้อผ้าและในบ้าน 56 สำหรับรอยบวม สำหรับผื่นคัน และสำหรับรอยด่าง 57 เพื่อกำหนดในกรณีเหล่านี้ว่า เมื่อใดเป็นมลทินหรือเมื่อใดสะอาด นี่คือกฎสำหรับโรคผิวหนังที่ติดเชื้อและเชื้อรา"
1 พระยาห์เวห์ได้ตรัสแก่โมเสสและอาโรนว่า 2 "จงพูดแก่คนอิสราเอล และบอกพวกเขาว่า 'เมื่อชายใดมีของเหลวที่ติดเชื้อไหลออกจากร่างกายของเขา เขาก็กลายเป็นมลทิน 3 มลทินของเขาเกิดขึ้นเพราะของเหลวที่ติดเชื้อนี้ ไม่ว่ามีของเหลวไหลออกจากร่างกายของเขาหรือหยุดแล้วก็ตาม สิ่งนี้เป็นมลทิน
4 เตียงนอนทุกเตียงที่เขานอนจะเป็นมลทิน และทุกสิ่งที่เขานั่งทับก็จะเป็นมลทิน 5 คนใดที่แตะต้องเตียงของเขาต้องซักเสื้อผ้าของตนและอาบน้ำ และจะเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น 6 คนใดที่ไปนั่งบนสิ่งใดที่ชายผู้มีของเหลวติดเชื้อไหลออกได้นั่งก่อน คนนั้นต้องซักเสื้อผ้าของตนและอาบน้ำ และเขาจะเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น
7 คนใดที่ไปแตะต้องร่างกายของผู้ที่มีของเหลวติดเชื้อไหลออก ต้องซักเสื้อผ้าของตนและอาบน้ำ และเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น 8 ถ้าคนที่มีของเหลวแบบนั้นไหลออกไปถ่มน้ำลายรดบางคนที่สะอาด คนที่ถูกถ่มน้ำลายรดต้องซักเสื้อผ้าของตนและอาบน้ำ และจะเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น 9 อานใดที่ผู้ที่มีของเหลวไหลออกเอาไปขี่ก็จะเป็นมลทิน
10 คนใดที่แตะต้องสิ่งใดๆ ที่รองรับคนที่เป็นมลทินนั้น คนนั้นจะเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น และทุกคนที่จับต้องสิ่งนั้นต้องซักเสื้อผ้าของตนและอาบน้ำ และเขาจะเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น 11 คนใดที่ถูกคนที่มีสิ่งไหลออกแตะต้องถูกตัวโดยที่เขาไม่ได้ล้างมือของเขาก่อน ผู้ถูกแตะต้องนั้นต้องซักเสื้อผ้าของตนและอาบน้ำ และเขาจะเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น 12 ภาชนะดินทุกใบที่ผู้มีของเหลวไหลออก แตะต้องนั้น ให้ทุบเสีย และภาชนะไม้ทุกชิ้นต้องล้างในน้ำ
13 เมื่อคนที่มีสิ่งไหลออกได้ชำระสิ่งไหลออกของเขาแล้ว เขาต้องนับการชำระของเขาให้ครบเจ็ดวัน และเขาต้องซักเสื้อผ้าของตนและอาบน้ำในที่มีน้ำไหล แล้วเขาจึงจะสะอาด 14 ในวันที่แปด ให้เขานำนกเขาสองตัวหรือนกพิราบรุ่นสองตัว และมาต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ตรงทางเข้าเต็นท์นัดพบ และมอบนกเหล่านั้นให้แก่ปุโรหิต 15 ให้ปุโรหิตถวายนกเหล่านั้น ตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป และอีกตัวหนึ่งเป็นเครื่องเผาบูชา และให้ปุโรหิตทำการลบมลทินในเรื่องสิ่งที่ไหลออกให้แก่เขา ต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์
16 ชายคนใดได้หลั่งน้ำกาม ให้เขาอาบน้ำทั้งตัว และเขาจะเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น 17 เครื่องแต่งกายทุกชนิดหรือหนังทุกชนิดที่น้ำกามไหลรดต้องซักล้างด้วยน้ำ และเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น 18 ถ้าหญิงและชายหลับนอนด้วยกัน และได้หลั่งน้ำกามใส่หญิง พวกเขาทั้งสองต้องอาบน้ำ และพวกเขาจะเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น
19 เมื่อหญิงใดมีประจำเดือน มลทินของเธอจะต่อเนื่องไปเจ็ดวัน และผู้ใดแตะต้องเธอจะเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น 20 ทุกสิ่งที่เธอไปนอนทับขณะเมื่อเธอมีประจำเดือนก็จะเป็นมลทิน ทุกสิ่งที่เธอไปนั่งทับก็จะเป็นมลทินด้วย 21 คนใดไปแตะต้องที่นอนของเธอต้องซักเสื้อผ้าของตนและอาบน้ำ และคนนั้นจะเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น
22 คนใดที่แตะต้องสิ่งใดๆ ที่เธอนั่งต้องซักเสื้อผ้าของตนและอาบน้ำ และคนนั้นจะเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น 23 ไม่ว่าจะเป็นที่นอนหรือสิ่งใดก็ตามที่เธอนั่งทับ ถ้าชายใดไปแตะต้องสิ่งนั้น คนนั้นก็จะเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น 24 ถ้าชายใดหลับนอนกับเธอ และมลทินของเธอไหลติดที่ชายนั้น ชายนั้นก็จะเป็นมลทินไปเจ็ดวัน ที่นอนทุกแห่งที่ชายคนนั้นไปนอนก็จะเป็นมลทิน
25 ถ้าหญิงใดมีเลือดไหลออกมาหลายวัน ทั้งที่ไม่ใช่ช่วงประจำเดือนของเธอ หรือถ้าเธอมีเลือดไหลออกนอกเหนือช่วงประจำเดือนของเธอ ในทุกวันที่มีมลทินของเธอไหลออก เธอก็จะเป็นเหมือนช่วงเดียวกับเวลาที่เป็นประจำเดือนของเธอ ซึ่งทำให้เธอเป็นมลทิน 26 ทุกที่นอนที่เธอนอนในช่วงที่เธอมีเลือดไหลออก ก็จะเป็นดังที่นอนที่เธอนอนในช่วงมีประจำเดือนของเธอ และทุกสิ่งที่เธอนั่งทับจะเป็นมลทินอย่างเดียวกับมลทินของประจำเดือนของเธอ 27 คนใดที่แตะต้องสิ่งเหล่านั้นก็จะเป็นมลทิน ชายนั้นต้องซักเสื้อผ้าของตนและอาบน้ำ และเขาจะเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น
28 แต่ถ้าเธอชำระจากเลือดที่ไหลออกของเธอแล้ว ให้เธอนับเองให้ครบเจ็ดวัน ต่อจากนั้นเธอจึงจะสะอาด 29 ในวันที่แปด ให้เธอนำนกเขาสองตัวหรือนกพิราบรุ่นสองตัว และเอาไปให้ปุโรหิตที่ทางเข้าเต็นท์นัดพบ 30 ปุโรหิตจะถวายนกตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป และอีกตัวเป็นเครื่องเผาบูชา และปุโรหิตจะทำการลบมลทินของเธอในเรื่องมลทินอันเนื่องจากการมีเลือดไหลออก ต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์
31 นี่คือวิธีที่พวกเจ้าต้องใช้แยกคนอิสราเอลออกจากการเป็นมลทินของเขาทั้งหลาย เพื่อพวกเขาจะไม่ต้องตายด้วยมลทินของพวกเขา โดยการทำให้พลับพลาของเราที่อยู่ท่ามกลางพวกเขาเป็นมลทิน 32 เหล่านี้เป็นกฎระเบียบเกี่ยวกับผู้ใดที่มีของเหลวไหลออก และเกี่ยวกับชายใดที่หลั่งน้ำกามออกซึ่งทำให้ตัวเขาเป็นมลทิน 33 และเกี่ยวกับหญิงที่มีประจำเดือน เกี่ยวกับผู้มีของเหลวไหลออกไม่ว่าชายหรือหญิง และเกี่ยวกับชายที่หลับนอนกับหญิงที่มีมลทิน'"
1 พระยาห์เวห์ได้ตรัสแก่โมเสส หลังจากการเสียชีวิตของบุตรทั้งสองคนของอาโรน เมื่อพวกเขาได้เข้ามาใกล้พระยาห์เวห์แล้วถึงแก่ความตาย 2 พระยาห์เวห์ตรัสแก่โมเสสว่า "จงพูดกับอาโรนพี่ชายของเจ้า และบอกเขาว่า จงอย่าเข้าไปในอภิสุทธิสถานตามใจชอบ คือเข้าไปในม่านหน้าฝาหีบแห่งการลบล้างมลทินบาปซึ่งปิดอยู่บนหีบพระบัญญัติ ถ้าเขาเข้าไป เขาจะตาย เพราะว่าเราปรากฏอยู่ในเมฆเหนือฝาหีบแห่งการลบล้างมลทินบาป
3 ดังนั้น นี่คือสิ่งที่อาโรนต้องทำเมื่อเข้ามาในอภิสุทธิสถาน เขาต้องเข้ามาพร้อมกับโคหนุ่มหนึ่งตัวที่ใช้เป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป และแกะตัวผู้หนึ่งตัวที่ใช้เป็นเครื่องเผาบูชา 4 เขาต้องสวมชุดผ้าป่านบริสุทธิ์ และเขาต้องสวมชุดผ้าป่านชั้นใน และเขาต้องคาดเอวด้วยผ้าป่านและสวมผ้าโพกหัวด้วยผ้าป่าน นี่เป็นชุดที่บริสุทธิ์ เขาต้องอาบน้ำแล้วสวมชุดเหล่านี้ 5 เขาต้องเอาแพะตัวผู้สองตัวจากชุมนุมชนอิสราเอลไปเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป และแกะตัวผู้หนึ่งตัวไปเป็นเครื่องเผาบูชา
6 แล้วอาโรนต้องถวายโคให้เป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปของตัวเอง เพื่อทำการลบล้างมลทินของตนเองและของครอบครัวของเขา 7 แล้วเขาต้องเอาแพะสองตัวนั้นไปถวายต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ตรงทางเข้าเต็นท์นัดพบ 8 แล้วอาโรนต้องจับฉลากแพะทั้งสองตัวนั้น ฉลากหนึ่งตกเป็นของพระยาห์เวห์ และอีกฉลากหนึ่งเพื่อไปเป็นแพะรับบาป
9 แล้วอาโรนต้องถวายแพะตัวที่ฉลากตกเป็นของพระยาห์เวห์ และถวายแพะนั้นให้เป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป 10 แต่แพะตัวที่ฉลากตกให้เป็นแพะรับบาป จะต้องนำมาต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์แบบที่ยังมีชีวิตอยู่ เพื่อทำการลบมลทินบาปโดยการปล่อยแพะที่เป็นแพะรับบาปนั้นเข้าสู่ถิ่นทุรกันดาร
11 แล้วอาโรนต้องถวายโคเพื่อเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปของตัวเอง เขาต้องทำการลบมลทินบาปของตัวเองและของครอบครัวของเขา ดังนั้นเขาต้องฆ่าโคให้เป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปของตัวเอง 12 อาโรนต้องนำกระถางไฟที่เต็มไปด้วยถ่านไฟที่เอาออกมาจากแท่นบูชาต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ พร้อมกับเครื่องหอมป่นละเอียดอย่างดีหนึ่งกำมือ และนำสิ่งเหล่านี้เข้าไปภายในม่าน 13 ภายในนั้นเขาต้องใส่เครื่องหอมบนไฟต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ เพื่อให้ควันจากเครื่องหอมปกคลุมเหนือฝาหีบแห่งการลบล้างมลทินบาปที่ปิดอยู่บนหีบแห่งพันธสัญญา เขาต้องทำเช่นนี้เพื่อเขาจะไม่ตาย 14 แล้วเขาต้องนำเลือดโคไปประพรมบนฝาหีบแห่งการลบล้างมลทินบาปด้วยนิ้วของเขาเจ็ดครั้งตรงหน้าฝาหีบแห่งการลบล้างมลทิน
15 แล้วเขาต้องฆ่าแพะตัวที่เป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปสำหรับประชาชน และเอาเลือดของแพะนั้นเข้าไปภายในม่าน ณ ที่นั่นเขาต้องทำกับเลือดแพะเช่นเดียวกับที่เขาได้ทำกับเลือดโค คือเขาต้องประพรมเลือดนั้นบนฝาหีบแห่งการลบล้างมลทินบาปและตรงหน้าฝาหีบแห่งการลบล้างมลทินบาป 16 เขาต้องทำการลบล้างมลทินของสถานที่บริสุทธิ์อันเนื่องจากการกระ ทำที่เป็นมลทินของประชาชนอิสราเอล และเพราะการกบฎของพวกเขา และความบาปทั้งหมดของพวกเขา เขาต้องทำเช่นนี้สำหรับเต็นท์นัดพบด้วย ซึ่งเป็นที่พระยาห์เวห์ได้สถิตอยู่ท่ามกลางพวกเขาในท่ามกลางกกระทำที่เป็นมลทินของพวกเขา
17 ห้ามคนใดอยู่ภายในเต็นท์นัดพบ เมื่ออาโรนเข้าไปทำการลบล้างมลทินในอภิสุทธิสถาน จนกว่าเขาจะออกมาและได้ทำการลบล้างมลทินของตัวเขาและของครอบครัวของเขา และของชุมนุมชนอิสราเอลทั้งหมดจนเสร็จสิ้นแล้ว 18 เขาต้องออกไปยังแท่นบูชาที่อยู่ต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ และทำการลบล้างมลทินของแท่นนั้น และเขาต้องเอาเลือดโคและเลือดแพะบางส่วน ไปเจิมที่เชิงงอนรอบแท่นบูชา 19 เขาต้องประพรมเลือดบนแท่นนั้นด้วยนิ้วของเขาเจ็ดครั้งเพื่อชำระแท่นนั้น และแยกไว้เฉพาะแด่พระยาห์เวห์ ให้พ้นจากการกระทำที่เป็นมลทินของประชาชนอิสราเอล
20 เมื่อเขาได้ทำการลบล้างมลทินของอภิสุทธิสถาน เต็นท์นัดพบ และแท่นบูชาเสร็จสิ้นแล้ว เขาต้องถวายแพะตัวที่ยังมีชีวิต 21 อาโรนต้องวางมือทั้งสองของเขาบนหัวแพะตัวที่ยังมีชีวิต และสารภาพความชั่วร้ายทั้งหมดของประชาชนอิสราเอล การกบฎทั้งสิ้นของพวกเขา และความบาปทั้งหมดของพวกเขาไว้บนแพะนั้น แล้วเขาต้องวางความบาปชั่วนั้นไว้บนหัวของแพะตัวนั้น และมอบแพะนั้นไว้กับคนที่พร้อมจะเอาแพะไปปล่อยในถิ่นทุรกันดาร 22 แพะนั้นจะแบกความชั่วร้ายของประชาชนทั้งหมดไปยังที่เปลี่ยว และเขาต้องปล่อยแพะให้มันเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร
23 แล้วอาโรนต้องกลับไปในเต็นท์นัดพบและถอดชุดผ้าป่านที่เขาได้สวมก่อนเข้าไปในอภิสุทธิสถานออก และเขาต้องเก็บชุดนั้นไว้ที่นั่น 24 เขาต้องอาบน้ำในสถานที่บริสุทธิ์ และสวมชุดปกติของเขา แล้วเขาต้องออกไปถวายเครื่องเผาบูชาของตนเองและเครื่องเผาบูชาของประชาชน และนี่เป็นการลบล้างมลทินบาปของตนเองและของประชาชน
25 เขาต้องเผาไขมันของเครื่องบูชาลบล้างบาปบนแท่นบูชา 26 ชายที่นำแพะรับบาปไปปล่อยต้องซักเสื้อผ้าของตนและอาบน้ำ หลังจากนั้นแล้วเขาจึงกลับเข้ามาในค่ายได้ 27 โคตัวที่ใช้เป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปและแพะที่ใช้เป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป ที่ได้นำเลือดของมันไปทำการลบล้างมลทินในสถานที่บริสุทธิ์ จะต้องถูกนำออกไปภายนอกค่าย และต้องเผาหนัง เนื้อ และมูลของมันที่นั่น 28 ชายที่เผาชิ้นส่วนเหล่านั้นต้องซักเสื้อผ้าของตนเองและอาบน้ำ หลังจากนั้นเขาจึงกลับเข้ามาในค่ายได้
29 นี่จะเป็นกฏเกณฑ์ถาวรสำหรับพวกเจ้าว่า ในเดือนที่เจ็ด ในวันที่สิบของเดือนนั้น พวกเจ้าต้องถ่อมตัวลงและไม่ทำงานใดๆ ไม่ว่าจะเป็นชาวเมืองเองหรือคนต่างชาติที่อาศัยอยู่ท่ามกลางพวกเจ้า 30 นี่เป็นเพราะว่าในวันแห่งการลบมลทินบาปจะเป็นวันที่ตั้งขึ้นเพื่อพวกเจ้า ที่จะชำระตัวจากความบาปทั้งหมดของพวกเจ้า เพื่อพวกเจ้าจะสะอาดต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ 31 นี่เป็นวันสะบาโตแห่งการหยุดพักที่จริงจังของพวกเจ้า และพวกเจ้าต้องถ่อมตัวลงและไม่ทำการงานใดๆ นี่จะเป็นกฎเกณฑ์ถาวรในท่ามกลางพวกเจ้า
32 มหาปุโรหิตผู้ที่จะรับการเจิมและรับการแต่งตั้งให้เป็นมหาปุโรหิตแทนบิดาของตน เขาต้องทำการลบล้างมลทินนี้และสวมชุดผ้าป่าน ซึ่งเป็นชุดที่บริสุทธิ์ 33 เขาต้องทำการลบมลทินของอภิสุทธิสถาน เขาต้องทำการลบมลทินของเต็นท์นัดพบ และของแท่นบูชา และเขาต้องทำการลบมลทินของบรรดาปุโรหิตและประชาชนทั้งหมดของที่ชุมนุมชน 34 นี่จะเป็นกฎเกณฑ์ถาวรสำหรับพวกเจ้า เพื่อทำการลบล้างมลทินบาปของประชาชนอิสราเอลอันเนื่องมาจากความบาปทั้งหมดของพวกเขาปีละครั้งของทุกปี" โมเสสก็ทำตามที่พระยาห์เวห์ได้ทรงบัญชาท่านไว้
1 พระยาห์เวห์ได้ตรัสแก่โมเสสว่า 2 "จงบอกแก่อาโรนและบุตรชายทั้งหลายของเขา และบอกประชาชนอิสราเอลทั้งหมด บอกพวกเขาถึงสิ่งที่พระยาห์เวห์ได้ทรงบัญชาไว้ว่า 3 'ชายคนใดจากอิสราเอลผู้ฆ่าโค ลูกแกะ หรือแพะภายในค่าย หรือผู้ที่ฆ่าภายนอกค่าย เพื่อที่จะถวายเป็นเครื่องบูชา 4 ถ้าเขาไม่ได้นำเครื่องบูชานั้นมาที่ทางเข้าเต็นท์นัดพบเพื่อถวายให้เป็นเครื่องบูชาแด่พระยาห์เวห์ตรงหน้าพลับพลานั้น ชายคนนั้นก็มีความผิดในการทำให้เลือดไหล เขาได้ทำให้เลือดไหล และชายคนนั้นต้องถูกตัดออกจากท่ามกลางผู้คนของเขา
5 จุดประสงค์ของพระบัญชานี้ก็เพื่อให้ประชาชนอิสราเอลจะได้นำเครื่องบูชาของพวกเขามาถวายแด่พระยาห์เวห์ตรงทางเข้าเต็นท์นัดพบ นำมามอบให้แก่ปุโรหิตเพื่อถวายเป็นเครื่องสันติบูชาแด่พระยาห์เวห์ แทนที่การถวายเครื่องบูชาตามท้องทุ่ง 6 ปุโรหิตจะพรมเลือดนั้นบนแท่นบูชาของพระยาห์เวห์ที่อยู่ตรงทางเข้าเต็นท์นัดพบ ปุโรหิตจะเผาไขมันเพื่อให้เกิดเป็นกลิ่นหอมแด่พระยาห์เวห์ 7 ประชาชนต้องไม่ถวายเครื่องบูชาของพวกเขาให้แก่เทวรูปแพะอีกต่อไป เพราะนี่เป็นการกระทำที่เหมือนกับโสเภณีทั้งหลาย สิ่งนี้จะเป็นกฎเกณฑ์ถาวรสำหรับพวกเขาไปตลอดชั่วอายุคนของพวกเขา'
8 เจ้าต้องบอกแก่พวกเขาว่า 'ชายอิสราเอลคนใด หรือคนต่างชาติคนใดผู้อาศัยอยู่ท่ามกลางพวกเขา ผู้ถวายเครื่องเผาบูชาหรือเครื่องบูชา 9 และไม่ได้นำเครื่องบูชามาที่ทางเข้าของเต็นท์นัดพบเพื่อถวายเครื่องบูชาแด่พระยาห์เวห์ ชายคนนั้นต้องถูกตัดออกจากชนชาติของเขา
10 ถ้าคนใดในพงศ์พันธุ์อิสราเอล หรือคนต่างชาติผู้อาศัยอยู่ท่ามกลางพวกเขารับประทานเลือดใดๆ เราจะตั้งหน้าของเราต่อสู้กับคนนั้นที่รับประทานเลือด และเราจะตัดเขาออกจากท่ามกลางชนชาติของเขา 11 เพราะว่าชีวิตของสัตว์ตัวหนึ่งก็อยู่ในเลือดของมัน เราได้ให้เลือดของมันแก่พวกเจ้าเพื่อใช้ทำการลบล้างมลทินบนแท่นบูชาสำหรับชีวิตของพวกเจ้า เพราะว่าเลือดนั่นเองที่ทำการลบมลทินได้ เพราะเลือดนั่นเองที่ลบมลทินให้แก่ชีวิต
12 เหตุฉะนั้น เราได้บอกแก่ประชาชนอิสราเอลว่า ห้ามคนใดในท่ามกลางพวกเจ้ารับประทานเลือด แม้คนต่างชาติที่อยู่ท่ามกลางพวกเจ้าก็ห้ามรับประทานเลือด 13 หากมีคนอิสราเอลคนใด หรือคนต่างชาติคนใดที่อาศัยอยู่ท่ามกลางพวกเจ้า ผู้ออกไปล่าสัตว์และฆ่าสัตว์หรือนกที่สามารถรับประทานได้ คนนั้นต้องเทเลือดของสัตว์ทิ้งและเอาดินกลบ
14 เพราะชีวิตของสัตว์แต่ละตัวคือเลือดของมัน ด้วยเหตุนี้เราได้บอกแก่ประชาชนอิสราเอลว่า "เจ้าจงอย่ารับประทานเลือดของสัตว์ใด ๆ เพราะชีวิตของสัตว์ที่มีชีวิตทุกตัวคือเลือดของมัน ใครก็ตามที่รับประทานเลือดต้องถูกตัดออก" 15 ทุกคนที่รับประทานสัตว์ที่ตายแล้วหรือที่ถูกสัตว์ป่ากัดตาย ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นชาวเมืองแต่กำเนิดหรือเป็นคนต่างชาติที่อาศัยอยู่ท่ามกลางพวกเจ้า เขาต้องซักเสื้อผ้าของเขาและอาบน้ำ และเขาจะเป็นมลทินไปจนถึงตอนเย็น แล้วเขาจะสะอาด 16 แต่ถ้าเขาไม่ซักเสื้อผ้าของเขาหรืออาบน้ำ เขาก็ต้องแบกรับความผิดของเขา'"
1 พระยาห์เวห์ได้ตรัสแก่โมเสสว่า 2 "จงกล่าวแก่คนอิสราเอล และบอกพวกเขาว่า 'เราคือยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าทั้งหลาย 3 เจ้าทั้งหลายต้องไม่ทำตามสิ่งต่าง ๆ ที่ประชาชนทำกันในอียิปต์ ที่ซึ่งพวกเจ้าเคยอยู่อาศัยกันมาก่อน เจ้าทั้งหลายต้องไม่ทำตามสิ่งต่าง ๆ ที่ประชาชนทำกันในคานาอัน ซึ่งเป็นแผ่นดินที่เรากำลังพาเจ้าทั้งหลายไป จงอย่าทำตามขนบธรรมเนียมประเพณีของพวกเขา
4 เจ้าทั้งหลายต้องทำตามกฎหมายของเรา และเจ้าทั้งหลายต้องรักษาคำบัญชาของเรา เพื่อเจ้าทั้งหลายจะได้ดำเนินตามนั้น เพราะเราคือยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าทั้งหลาย 5 เหตุฉะนั้นเจ้าทั้งหลายต้องรักษากฎเกณฑ์ของเราและกฎหมายของเรา ถ้าใครทำตามนั้น เขาก็จะมีชีวิตอยู่เพราะกฎเหล่านั้น เราคือยาห์เวห์
6 จงอย่าให้คนใดหลับนอนโดยเปลือยกายของเขากับญาติคนใดก็ตามที่เกี่ยวข้องใกล้ชิดกัน เราคือยาห์เวห์ 7 จงอย่าลบหลู่เกียรติบิดาของเจ้าโดยการหลับนอนกับมารดาของเจ้า นางเป็นแม่ของเจ้า เจ้าต้องไม่ลบหลู่เกียรตินาง 8 อย่าหลับนอนกับคนใดที่เป็นบรรดาภรรยาของบิดาเจ้า เจ้าต้องไม่ลบหลู่เกียรติบิดาของเจ้าแบบนั้น
9 จงอย่าหลับนอนกับพี่สาวหรือน้องสาวคนใดของเจ้า ไม่ว่าเธอจะเป็นบุตรสาวของบิดาเจ้าหรือเป็นบุตรสาวของมารดาเจ้า ไม่ว่าเธอได้ถูกเลี้ยงมาในบ้านของเจ้าหรือที่ห่างไกลจากเจ้า เจ้าต้องไม่หลับนอนกับพี่สาวหรือน้องสาวของเจ้า 10 จงอย่าหลับนอนกับบุตรสาวของบุตรชายของเจ้าหรือบุตรสาวของบุตรหญิงของเจ้า นั่นเป็นสิ่งที่น่าอายต่อตัวเจ้า 11 จงอย่าหลับนอนกับบุตรสาวของภรรยาของบิดาเจ้า ผู้ซึ่งเกิดมาจากบิดาเจ้า เธอเป็นน้องสาวของเจ้า และเจ้าต้องไม่หลับนอนกับเธอ
12 จงอย่าหลับนอนกับป้าหรืออาหญิงของเจ้า เธอเป็นญาติใกล้ชิดกับบิดาเจ้า 13 จงอย่าหลับนอนกับป้าหรือน้าหญิงของเจ้า นางเป็นญาติใกล้ชิดของมารดาเจ้า 14 อย่าลบหลู่เกียรติลุงหรืออาของเจ้าโดยการหลับนอนกับภรรยาของเขา จงอย่าเข้าใกล้นางเพราะมุ่งหวังเช่นนั้น นางเป็นป้าสะใภ้หรืออาสะใภ้ของเจ้า
15 จงอย่าหลับนอนกับลูกสะใภ้ของเจ้า นางเป็นภรรยาของบุตรชายเจ้า จงอย่าหลับนอนกับนาง 16 จงอย่าหลับนอนกับภรรยาของพี่ชายหรือน้องชายของเจ้า จงอย่าลบหลู่เกียรติเขาด้วยวิธีนี้ 17 จงอย่าหลับนอนกับผู้หญิงและบุตรสาวของนาง หรือบุตรสาวของบุตรชายของนาง หรือบุตรสาวของบุตรหญิงของนาง พวกเขาต่างเป็นญาติใกล้ชิดกับนาง และการหลับนอนกับพวกเขาเป็นสิ่งที่ชั่วร้าย 18 เจ้าต้องไม่แต่งงานกับพี่สาวหรือน้องสาวของภรรยาเจ้าเพื่อให้เป็นภรรยาคนที่สอง และหลับนอนกับเธอในขณะที่ภรรยาคนแรกของเจ้ายังมีชีวิตอยู่
19 จงอย่าหลับนอนกับผู้หญิงในช่วงที่เธอมีประจำเดือน เธอเป็นมลทินในช่วงเวลานั้น 20 จงอย่าหลับนอนกับภรรยาของเพื่อนบ้านเจ้า และทำตัวของเจ้าเองให้เป็นมลทินกับนางแบบนั้น 21 เจ้าต้องไม่ยกบุตรทั้งหลายของเจ้าเพื่อให้พวกเขาไปลุยไฟ เพื่อที่เจ้าจะได้ถวายพวกเขาให้แก่พระโมเลค เพราะเจ้าต้องไม่ทำให้พระนามของพระเจ้าของเจ้าต้องเสื่อมเกียรติ เราคือยาห์เวห์
22 จงอย่าหลับนอนกับผู้ชายอื่นๆ เหมือนกับหลับนอนกับผู้หญิง นี่เป็นสิ่งที่ชั่วร้าย 23 จงอย่าหลับนอนกับสัตว์ใดๆ และทำตัวเจ้าเองให้เป็นมลทินเพราะมัน ห้ามไม่ให้ผู้หญิงคิดที่จะหลับนอนกับสัตว์ใดๆ นี่เป็นเรื่องวิปลาส
24 จงอย่าทำให้ตัวของเจ้าเองเป็นมลทินด้วยวิธีการเหล่านี้เลย เพราะชนชาติทั้งหลายคือชนชาติต่างๆ ที่เราได้ขับไล่ออกไปต่อหน้าเจ้าทั้งหลาย ต่างก็เป็นมลทินด้วยวิธีการเหล่านี้ทั้งหมด 25 แผ่นดินได้กลายเป็นมลทิน ดังนั้นเราจึงได้ลงโทษความบาปของพวกเขา และแผ่นดินได้สำรอกพลเมืองของตนออกมาเสีย 26 เหตุฉะนั้น เจ้าทั้งหลายต้องรักษาคำบัญชาและกฎเกณฑ์ของเรา และต้องไม่ทำอะไรที่เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจเหล่านี้ ไม่ว่าเจ้าทั้งหลายซึ่งเป็นชาวเมืองอิสราเอลมาตั้งแต่เกิดหรือคนต่างชาติที่อาศัยอยู่ท่ามกลางพวกเจ้า
27 เพราะนี่คือสิ่งชั่วร้ายที่ผู้คนในแผ่นดินคือบรรดาคนที่เคยอยู่อาศัยในที่นี่ก่อนพวกเจ้าได้กระทำกัน และบัดนี้ แผ่นดินนั้นก็เป็นมลทิน 28 เหตุฉะนั้นจงระวัง เพื่อแผ่นดินนั้นจะไม่สำรอกเจ้าทั้งหลายออกมาหลังจากที่เจ้าได้ทำให้แผ่นดินนั้นเป็นมลทิน เหมือนดังที่มันเคยสำรอกผู้คนที่เคยอยู่ก่อนพวกเจ้าออกมาแล้ว
29 ใครก็ตามที่กระทำสิ่งที่น่ารังเกียจเหล่านี้ คนนั้นที่กระทำแบบนั้นจะถูกตัดออกจากท่ามกลางชนชาติของเขา 30 เหตุฉะนั้น พวกเจ้าต้องรักษาคำบัญชาของเราโดยไม่กระทำตามขนบธรรมเนียมประเพณีที่น่ารังเกียจเหล่านี้ซึ่งเคยถือปฏิบัติกันในแผ่นดินนี้ก่อนพวกเจ้า ดังนั้นเจ้าทั้งหลายจงอย่าทำให้ตัวของเจ้าเองเป็นมลทินเพราะสิ่งเหล่านี้ เราคือยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้า'"
1 พระยาห์เวห์ตรัสแก่โมเสสว่า 2 "จงกล่าวแก่ที่ชุมนุมของประชาชนอิสราเอลทั้งหมด และบอกพวกเขาว่า 'พวกเจ้าต้องบริสุทธิ์ เพราะเรายาห์เวห์ พระเจ้าของพวกเจ้าเป็นผู้บริสุทธิ์ 3 ทุกคนจงเคารพมารดาของตนและบิดาของตน และพวกเจ้าต้องรักษาวันสะบาโตของเรา เราคือยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้า 4 จงอย่าหันไปหารูปเคารพอันไร้ค่า หรือหล่อรูปเคารพเพื่อตนเอง เราคือยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้า
5 เมื่อพวกเจ้าถวายเครื่องสันติบูชาแด่พระยาห์เวห์ พวกเจ้าต้องถวายเครื่องบูชาที่ทำให้ตัวเจ้าเป็นที่ยอมรับ 6 เครื่องบูชานั้นต้องรับประทานในวันเดียวกับที่เจ้าถวาย หรือในวันถัดไป ถ้ามีอะไรเหลือจนถึงวันที่สามจะต้องเผาเสียด้วยไฟ 7 ถ้ายังเอามารับประทานในวันที่สามก็เป็นมลทิน ต้องไม่เป็นที่ยอมรับ 8 และทุกคนที่รับประทานก็ต้องแบกรับความผิดของตนเอง เพราะเขาลบหลู่สิ่งที่บริสุทธิ์แด่พระยาห์เวห์ คนนั้นต้องถูกตัดออกจากชนชาติของเขา
9 เมื่อพวกเจ้าเก็บเกี่ยวจากแผ่นดินของพวกเจ้า พวกเจ้าต้องไม่เก็บเกี่ยวตามมุมของทุ่งนาของพวกเจ้าจนเกลี้ยง และจะไม่เก็บเกี่ยวผลผลิตไปจนหมด 10 พวกเจ้าต้องไม่เก็บผลองุ่นทุกเมล็ดจากสวนองุ่นของพวกเจ้า หรือเก็บผลองุ่นที่ร่วงบนพื้นในสวนองุ่นของพวกเจ้า พวกเจ้าต้องเหลือไว้สำหรับคนยากจนและสำหรับคนต่างชาติ เราคือยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้า
11 อย่าลักขโมย อย่าโกหก อย่าหลอกลวงกันและกัน 12 อย่าสาบานเท็จโดยอ้างนามของเราและทำให้พระนามของพระเจ้าของพวกเจ้าถูกเหยียดหยาม เราคือยาห์เวห์ 13 อย่ากดขี่เพื่อนบ้านของพวกเจ้าหรือปล้นเขา ต้องไม่ค้างค่าแรงของลูกจ้างข้ามคืนจนถึงตอนเช้า 14 อย่าด่าคนหูหนวกหรือวางสิ่งสะดุดขวางคนตาบอด แต่จงเกรงกลัวพระเจ้าของพวกเจ้า เราคือยาห์เวห์
15 อย่าทำให้การตัดสินเป็นเท็จ พวกเจ้าต้องไม่แสดงความลำเอียงต่อบางคนเพราะเห็นว่าเขายากจน และพวกเจ้าต้องไม่แสดงความลำเอียงแก่บางคนเพราะเห็นว่าเขาเป็นคนสำคัญ แต่จงตัดสินเพื่อนบ้านของพวกเจ้าอย่างยุติธรรม 16 อย่าเที่ยวเดินไปทั่วเพื่อนินทาเรื่องเท็จให้กระจายไปในท่ามกลางประชาชนของพวกเจ้า แต่จงหาทางที่จะปกป้องชีวิตของเพื่อนบ้านของพวกเจ้า เราคือยาห์เวห์
17 อย่าเกลียดชังพี่น้องของพวกเจ้าอยู่ในใจ พวกเจ้าต้องตักเตือนเพื่อนบ้านด้วยความจริงใจ เพื่อจะไม่ได้มีส่วนในความบาปเพราะเขา 18 อย่าแก้แค้นหรือคิดปองร้ายคนในชนชาติเดียวกัน แต่จงรักเพื่อนบ้านของพวกเจ้าเหมือนรักตนเอง เราคือยาห์เวห์
19 พวกเจ้าต้องรักษาคำบัญชาของเรา อย่าผสมพันธุ์บรรดาสัตว์ของพวกเจ้ากับสัตว์อื่นที่ต่างชนิดกัน อย่าหว่านเมล็ดสองชนิดที่แตกต่างกันผสมกันเมื่อหว่านในทุ่งนาของพวกเจ้า อย่าสวมชุดที่ทำมาจากผ้าสองชนิดผสมกัน 20 ผู้ใดที่หลับนอนกับทาสหญิงซึ่งได้หมั้นหมายไว้แล้วสำหรับสามี แต่ยังไม่ได้รับการไถ่ถอนหรือยังไม่ได้รับอิสระของเธอ พวกเขาต้องถูกลงโทษ แต่พวกเขาต้องไม่ถูกทำให้ตายเพราะว่าเธอยังไม่ได้รับอิสระ
21 ชายนั้นต้องนำเครื่องบูชาไถ่ความผิดของตนมาถวายแด่พระยาห์เวห์ตรงทางเข้าเต็นท์นัดพบ โดยนำแกะตัวผู้มาเป็นเครื่องบูชาไถ่ความผิด 22 แล้วปุโรหิตจะทำการลบมลทินให้แก่เขาด้วยแกะตัวผู้ให้เป็นเครื่องบูชาไถ่ความผิดต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ สำหรับความบาปที่เขาได้กระทำลงไป แล้วความบาปที่เขาได้กระทำลงไปก็จะได้รับการอภัย
23 เมื่อพวกเจ้าเข้ามาในแผ่นดินและได้ปลูกต้นไม้หลายชนิดไว้เพื่อเป็นอาหาร แล้วพวกเจ้าต้องถือว่าผลที่ออกมานั้นเป็นสิ่งที่ห้ามรับประทาน ผลไม้นั้นเป็นที่ต้องห้ามสำหรับพวกเจ้าเป็นเวลาสามปี ห้ามรับประทานผลไม้นั้น 24 แต่ในปีที่สี่ ผลไม้ทั้งหมดจะบริสุทธิ์ เป็นเครื่องบูชาเพื่อถวายสรรเสริญแด่พระยาห์เวห์ 25 ในปีที่ห้า เจ้าทั้งหลายจึงจะรับประทานผลไม้นั้นได้ การที่รอคอยแบบนั้นก็เพื่อให้ต้นไม้ทั้งหลายได้ออกผลเพิ่มมากขึ้น เราคือยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้า
26 อย่ารับประทานเนื้อที่ยังมีเลือดอยู่ข้างในนั้น อย่าปรึกษาวิญญาณต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องอนาคต อย่าหาทางควบคุมคนอื่นโดยใช้อำนาจเหนือธรรมชาติ 27 อย่าทำตามนิสัยของคนต่างชาติ เช่น การโกนด้านข้างศีรษะหรือตัดปลายเคราของพวกเจ้า 28 อย่าเชือดร่างกายของพวกเจ้าเพื่อไว้ทุกข์แก่คนตาย หรือสักลายบนร่างกายของพวกเจ้า เราคือยาห์เวห์
29 อย่าทำให้บุตรสาวของพวกเจ้าขายหน้าโดยการทำให้เธอเป็นโสเภณี มิฉะนั้นชนชาติก็จะล้มลงต่อการขายตัวและแผ่นดินจะเต็มไปด้วยความชั่วร้าย 30 พวกเจ้าต้องรักษาบรรดาสะบาโตของเราและให้เกียรติแก่สถานนมัสการแห่งพลับพลาของเรา เราคือยาห์เวห์
31 อย่าหันไปหาบรรดาคนที่ติดต่อพูดคุยกับคนตายหรือกับวิญญาณต่างๆ อย่าเที่ยวเสาะหาพวกเขา มิฉะนั้นพวกเขาจะทำให้พวกเจ้าเป็นมลทิน เราคือยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้า 32 พวกเจ้าต้องคำนับต่อผู้ที่มีผมหงอกแล้วและให้เกียรติต่อหน้าผู้อาวุโส พวกเจ้าต้องยำเกรงพระเจ้าของพวกเจ้า เราคือยาห์เวห์
33 ถ้ามีบรรดาคนต่างชาติที่อาศัยอยู่ท่ามกลางพวกเจ้าในแผ่นดินของพวกเจ้า พวกเจ้าต้องไม่ทำผิดต่อพวกเขา 34 พวกเจ้าต้องถือว่าคนต่างชาติที่อาศัยอยู่กับพวกเจ้าก็เป็นเหมือนชาวอิสราเอลโดยกำเนิดที่อยู่ท่ามกลางพวกเจ้า และพวกเจ้าต้องรักเขาเหมือนตัวเอง เพราะพวกเจ้าก็เคยเป็นคนต่างชาติในแผ่นดินอียิปต์ เราคือยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้า
35 อย่าโกงเครื่องวัดที่ใช้วัดความยาว ชั่งน้ำหนัก หรือตวงปริมาณ 36 พวกเจ้าต้องใช้เครื่องชั่งที่เที่ยงตรง ลูกตุ้มที่เที่ยงตรง ถังเอฟาห์ที่เที่ยงตรง และถ้วยตวงที่เที่ยงตรง เราคือยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้า ผู้ได้นำพวกเจ้าออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ 37 พวกเจ้าต้องเชื่อฟังทำตามกฎเกณฑ์ทั้งหมดของเราและกฎหมายทั้งหมดของเรา และทำตามนั้น เราคือยาห์เวห์'"
1 พระยาห์เวห์ได้ตรัสแก่โมเสสว่า 2 "จงกล่าวแก่ประชาชนอิสราเอลว่า 'คนใดในท่ามกลางประชาชนอิสราเอลหรือคนต่างชาติคนใดที่อาศัยอยู่ในอิสราเอลที่ได้ยกบุตรทั้งหลายของตนให้แก่พระโมเลค ต้องมีโทษถึงตายอย่างแน่นอน ประชาชนในแผ่นดินนั้นต้องเอาหินขว้างเขา 3 เราจะตั้งหน้าของเราสู้กับคนนั้นด้วย และจะตัดเขาออกจากท่ามกลางชนชาติของเขา เพราะเขาได้ยกบุตรทั้งหลายของเขาให้แก่พระโมเลค ทำให้สถานบริสุทธิ์ของเราเป็นมลทินและทำให้นามบริสุทธิ์ของเราถูกเหยียดหยาม
4 ถ้าประชาชนแห่งแผ่นดินนั้นปิดหูปิดตาของพวกเขาต่อชายคนนั้นเมื่อเขาได้ยกบุตรทั้งหลายของเขาให้แก่พระโมเลค ถ้าพวกเขาไม่ลงโทษชายคนนั้นถึงตาย 5 เราก็จะตั้งหน้าสู้คนนั้นและตระกูลของเขา และเราจะตัดเขาและคนอื่นๆ ผู้ได้ร่วมการแพศยากับเขาในการเล่นชู้กับพระโมเลค
6 คนใดที่หันไปหาบรรดาคนที่ติดต่อพูดคุยกับคนตาย หรือไปหาบรรดาผู้ที่ติดต่อพูดคุยกับวิญญาณต่างๆ ก็เอาตัวเข้าร่วมทำการแพศยากับพวกเขา เราจะตั้งหน้าสู้คนนั้น เราจะตัดเขาออกจากท่ามกลางชนชาติของเขา 7 เหตุฉะนั้นจงชำระตัวของเจ้าและจงบริสุทธิ์ เพราะเราคือยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้า
8 พวกเจ้าต้องรักษาคำบัญชาของเราและทำตามนั้น เราคือยาห์เวห์ผู้ได้แยกพวกเจ้าไว้ให้บริสุทธิ์ 9 ทุกคนที่แช่งด่าบิดาของเขาหรือมารดาของเขาต้องมีโทษถึงตายอย่างแน่นอน เขาได้แช่งด่าบิดาของเขาหรือมารดาของเขา ดังนั้นเขามีความผิดและสมควรตาย
10 ชายคนใดที่ล่วงประเวณีกับภรรยาของชายอีกคนหนึ่ง คือคนใดที่ล่วงประเวณีกับภรรยาของเพื่อนบ้านของตน ผู้ล่วงประเวณีทั้งชายและหญิงต้องมีโทษถึงตายทั้งคู่อย่างแน่นอน 11 ชายคนใดที่นอนร่วมกับภรรยาของบิดาของตน เขาเปิดเผยความเปลือยเปล่าของบิดาของเขา ทั้งบุตรชายและภรรยาของบิดาของเขาต้องมีโทษถึงตายอย่างแน่นอน โลหิตของพวกเขาก็อยู่เหนือพวกเขา
12 ถ้าชายคนหนึ่งหลับนอนกับลูกสะใภ้ของเขา พวกเขาทั้งสองคนต้องมีโทษถึงตายอย่างแน่นอน พวกเขาได้ทำการวิปลาส พวกเขามีความผิดและสมควรตาย 13 ถ้าชายคนหนึ่งหลับกับชายอีกคนหนึ่ง เหมือนดังหลับนอนกับผู้หญิง พวกเขาทั้งคู่ได้ทำสิ่งที่น่ารังเกียจ พวกเขาต้องมีโทษถึงตายอย่างแน่นอน พวกเขามีความผิดและสมควรตาย
14 ถ้าชายคนหนึ่งแต่งงานกับผู้หญิงคนหนึ่งและก็แต่งงานกับมารดาของเธอด้วย นี่เป็นความชั่วร้าย พวกเขาต้องถูกเผา ทั้งชายและหญิงทั้งสองคน เพื่อจะไม่มีความชั่วร้ายในท่ามกลางพวกเจ้า 15 ถ้าชายคนหนึ่งสมสู่กับสัตว์ เขาต้องมีโทษถึงตายอย่างแน่นอน และพวกเจ้าต้องฆ่าสัตว์ตัวนั้น 16 ถ้าผู้หญิงคนหนึ่งเข้าหาสัตว์ใดเพื่อสมสู่กับมัน พวกเจ้าต้องฆ่าผู้หญิงและสัตว์นั้น พวกเขาต้องมีโทษถึงตายอย่างแน่นอน พวกเขามีความผิดและสมควรตาย
17 ถ้าชายคนหนึ่งหลับนอนกับพี่สาวหรือน้องสาวของเขา ไม่ว่าเป็นบุตรสาวของบิดาของเขาหรือบุตรสาวของมารดาของเขา และเขาเปิดเผยความเปลือยเปล่าของเธอ และเธอมองเห็นความเปลือยเปล่าของเขา นั่นเป็นสิ่งที่น่าอาย พวกเขาต้องถูกตัดออกจากท่ามกลางชนชาติของเขา เพราะเขาได้หลับนอนกับพี่สาวหรือน้องสาวของตนเอง เขาต้องแบกรับความผิดของเขา 18 ถ้าชายคนหนึ่งหลับนอนกับผู้หญิงในช่วงที่เธอมีประจำเดือนและได้ร่วมหลับนอนกับเธอ เขาได้เปิดแหล่งเลือดของเธอทำให้เลือดเธอไหล ทั้งชายและหญิงนั้นต้องถูกตัดออกจากท่ามกลางชนชาติของเขา
19 เจ้าต้องไม่หลับนอนกับพี่สาวหรือน้องสาวของมารดาเจ้า หรือพี่สาวหรือน้องสาวของบิดาเจ้า เพราะว่าเจ้าจะทำให้ญาติใกล้ชิดของเจ้าขายหน้า เจ้าต้องแบกรับความผิดของตน 20 ถ้าชายคนหนึ่งหลับนอนกับป้าของเขา เขาได้ลบหลู่เกียรติลุงของเขา พวกเขาจะต้องรับผิดชอบความบาปของพวกเขา และพวกเขาจะตายโดยไม่มีบุตร 21 ถ้าชายคนหนึ่งแต่งงานกับภรรยาของพี่ชายหรือน้องชายของตนในขณะที่พี่ชายหรือน้องชายยังมีชีวิตอยู่ นี่เป็นสิ่งที่ขายหน้า เขาได้ลบหลู่เกียรติพี่ชายหรือน้องชายของเขา เราจะเอาทรัพย์สมบัติใดๆ ที่บรรดาบุตรทั้งหลายอาจได้รับเป็นมรดกจากบิดามารดาไปจากพวกเขาเสีย
22 เหตุฉะนั้นพวกเจ้าต้องรักษากฎเกณฑ์ทั้งสิ้นของเราและกฎหมายทั้งสิ้นของเรา พวกเจ้าต้องเชื่อฟังทำตาม เพื่อแผ่นดินที่เราจะพาพวกเจ้าเข้าไปอยู่นั้นจะไม่สำรอกพวกเจ้าออกมา 23 พวกเจ้าต้องไม่ทำตามขนบธรรมเนียมประเพณีของชนชาติต่างๆ ที่เราจะขับไล่ออกไปต่อหน้าพวกเจ้า เพราะพวกเขาได้กระทำสิ่งทั้งหมดนี้ และเรารังเกียจพวกเขา
24 เราได้บอกพวกเจ้าแล้วว่า "พวกเจ้าจะได้รับแผ่นดินของพวกเขาเป็นมรดก เราจะให้พวกเจ้าถือกรรมสิทธิ์เหนือแผ่นดินนั้น เป็นแผ่นดินที่มีน้ำนมและน้ำผึ้งไหล เราคือยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้า ผู้ได้แยกพวกเจ้าออกจากชนชาติอื่น 25 เหตุฉะนั้นพวกเจ้าต้องแยกแยะให้ออกระหว่างบรรดาสัตว์ที่สะอาดและสัตว์ที่เป็นมลทิน ระหว่างบรรดานกที่เป็นมลทินกับนกที่สะอาด พวกเจ้าต้องไม่ทำตัวให้เป็นมลทินด้วยบรรดาสัตว์หรือนกที่เป็นมลทิน หรือด้วยสัตว์ใดๆ ที่เลี้อยคลานไปบนดิน ซึ่งเราได้แยกออกจากพวกเจ้าให้เป็นสิ่งที่เป็นมลทิน
26 พวกเจ้าต้องบริสุทธิ์ เพราะเราคือยาห์เวห์ผู้บริสุทธิ์ และเราได้แยกพวกเจ้าออกจากชนชาติอื่นๆ เพื่อให้พวกเจ้าเป็นของเรา 27 ชายหรือหญิงใดที่ติดต่อพูดคุยกับคนตายหรือคนที่ติดต่อพูดคุยกับวิญญาณต่างๆ ต้องมีโทษถึงตายอย่างแน่นอน ประชาชนจะต้องขว้างพวกเขาด้วยก้อนหิน พวกเขามีความผิดและสมควรตาย'"
1 พระยาห์เวห์ได้ตรัสแก่โมเสสว่า "จงกล่าวแก่บรรดาปุโรหิต บุตรชายทั้งหลายของอาโรน และบอกแก่พวกเขาว่า 'อย่าทำตัวเองให้เป็นมลทินด้วยเรื่องบรรดาผู้เสียชีวิตท่ามกลางชนชาติของเขา 2 นอกจากบรรดาญาติใกล้ชิดของเขา มารดาของเขา บิดาของเขา บุตรชายของเขา บุตรสาวของเขา พี่ชายน้องชายของเขา 3 หรือน้องสาวพี่สาวของเขาผู้เป็นพรหมจารีซึ่งยังพึ่งพาเขา เพราะเธอยังไม่มีสามี เขาอาจยอมเป็นมลทินเพราะเธอได้
4 แต่เขาต้องไม่ทำให้ตัวเองเป็นมลทินด้วยเรื่องญาติคนอื่นๆ และทำให้ตนเองเป็นมลทิน 5 ปุโรหิตต้องไม่โกนศีรษะหรือกันปลายเคราของเขา และไม่เชือดร่างกายของพวกเขาเอง 6 พวกเขาต้องบริสุทธิ์ต่อพระเจ้าของพวกเขาและไม่ทำให้พระนามของพระเจ้าของพวกเขาถูกเหยียดหยาม เพราะพวกปุโรหิตต้องถวายเครื่องบูชาแห่งพระกระยาหารของพระยาห์เวห์ เป็นพระกระยาหารของพระเจ้าของพวกเขา เหตุฉะนั้นพวกปุโรหิตต้องบริสุทธิ์
7 พวกเขาต้องไม่แต่งงานกับผู้หญิงใดที่เป็นโสเภณีและคนที่เป็นมลทิน และพวกเขาต้องไม่แต่งงานกับผู้หญิงคนใดที่หย่าร้างจากสามีของนาง เพราะพวกเขาถูกแยกไว้สำหรับพระเจ้าของพวกเขา 8 พวกเจ้าจะต้องแยกเขาไว้ต่างหาก เพราะเขาเป็นผู้ถวายพระกระยาหารแด่พระเจ้าของพวกเจ้า เขาต้องบริสุทธิ์สำหรับพวกเจ้า เพราะเราคือยาห์เวห์ผู้ทำให้พวกเจ้าบริสุทธิ์ เราบริสุทธิ์
9 บุตรหญิงของปุโรหิตคนใดที่ทำตัวเธอเองให้เป็นมลทินโดยการเป็นโสเภณีทำให้บิดาของเธอขายหน้า เธอต้องถูกเผา 10 ผู้ที่เป็นมหาปุโรหิตในท่ามกลางพี่น้องของเขา ผู้ที่ถูกเจิมศีรษะด้วยน้ำมันแห่งการทรงเจิม และผู้ที่ได้ชำระตัวให้บริสุทธิ์เพื่อสวมเครื่องแต่งกายพิเศษของมหาปุโรหิต ต้องไม่ปล่อยผมหรือฉีกเสื้อผ้าของตน
11 เขาต้องไม่ไปที่ไหนก็ตามที่มีศพอยู่และทำตัวเองให้เป็นมลทิน แม้ว่าเพื่อบิดาหรือมารดาของเขาก็ตาม 12 มหาปุโรหิตต้องไม่ออกจากบริเวณสถานนมัสการแห่งพลับพลา หรือทำให้สถานนมัสการของพระเจ้าของเขาถูกเหยียดหยาม เพราะเขาได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้วในฐานะมหาปุโรหิตโดยน้ำมันแห่งการทรงเจิมของพระเจ้าของเขา เราคือยาห์เวห์
13 มหาปุโรหิตต้องแต่งงานกับหญิงพรหมจารีเพื่อให้เป็นภรรรยาของเขา 14 เขาต้องไม่แต่งงานกับหญิงม่าย หญิงที่หย่าร้าง หรือหญิงที่เป็นโสเภณี เขาจะไม่แต่งงานกับผู้หญิงแบบนี้ เขาจะแต่งงานกับหญิงพรหมจารีจากชนชาติของตนเองเท่านั้น 15 เพื่อเขาจะไม่ทำให้ลูกหลานของพวกเขาป็นมลทินท่ามกลางชนชาติของเขา เพราะเราคือยาห์เวห์ผู้ทำให้เขาบริสุทธิ์'"
16 พระยาห์เวห์ตรัสแก่โมเสสว่า 17 "จงกล่าวกับอาโรนและบอกเขาว่า 'คนใดในเชื้อสายของพวกเจ้าในตลอดชั่วอายุที่มีร่างกายพิการ เขาต้องไม่เข้ามาถวายพระกระยาหารแด่พระเจ้าของเขา
18 ชายใดที่มีร่างกายพิการต้องไม่เข้าไปใกล้พระยาห์เวห์ เช่นคนตาบอดหรือคนที่ไม่สามารถเดินได้ คนที่รูปร่างไม่สมประกอบหรือพิกลพิการ 19 คนที่พิการที่มือหรือเท้า 20 คนหลังค่อม หรือคนผอมหรือเตี้ยผิดปกติ หรือคนที่ตาของเขาพิการ หรือมีโรค ขี้กลาก หิด หรือคนที่ลูกอัณฑะฝ่อ
21 ห้ามคนใดในท่ามกลางเชื้อสายของอาโรนผู้เป็นปุโรหิตที่มีร่างกายพิการเข้ามาใกล้เพื่อถวายเครื่องบูชาด้วยไฟแด่พระยาห์เวห์ เพราะคนแบบนั้นมีร่างกายพิการ เขาต้องไม่เข้ามาใกล้เพื่อถวายพระกระยาหารแห่งพระเจ้าของเขา 22 แต่เขาสามารถรับประทานพระกระยาหารของพระเจ้าของเขาได้ ไม่ว่าจะเป็นบางส่วนจากของที่บริสุทธิ์ที่สุดหรือบางส่วนจากของที่บริสุทธิ์
23 อย่างไรก็ตาม เขาต้องไม่เข้าไปภายในม่านหรือเข้ามาใกล้แท่นบูชา เพราะเขามีร่างกายพิการ เพื่อเขาจะไม่ทำให้สถานบริสุทธิ์ของเราเป็นมลทิน เพราะเราคือยาห์เวห์ ผู้ทำให้พวกเขาบริสุทธิ์'" 24 ดังนั้นโมเสสจึงได้กล่าวถ้อยคำเหล่านี้ให้แก่อาโรน แก่บุตรชายทั้งหลายของเขา และแก่ชนชาติอิสราเอลทั้งปวง
1 พระยาห์เวห์ตรัสแก่โมเสสว่า 2 "จงกล่าวแก่อาโรนและแก่บุตรชายทั้งหลายของเขา จงบอกพวกเขาให้อยู่ห่างจากสิ่งบริสุทธิ์ของประชาชนอิสราเอล ซึ่งพวกเขาได้แยกไว้เพื่อเรา พวกเขาต้องไม่ทำให้นามของเราถูกเหยียดหยาม เราคือยาห์เวห์ 3 จงบอกพวกเขาว่า 'ถ้าเชื้อสายของพวกเจ้าคนใดในตลอดชั่วอายุของพวกเจ้าเข้าใกล้สิ่งที่บริสุทธิ์ที่ประชาชนอิราเอลได้แยกไว้แด่พระยาห์เวห์ ในขณะที่เขาเป็นมลทิน คนนั้นจะต้องถูกตัดออกจากเบื้องหน้าเรา เราคือยาห์เวห์
4 ห้ามบรรดาเชื้อสายของอาโรนคนใดที่มีโรคผิวหนังติดเชื้อ หรือมีสิ่งที่ติดเชื้อไหลออกจากร่างกายของเขารับประทานเครื่องบูชาใดๆ ที่ถวายแด่พระยาห์เวห์จนกว่าเขาจะบริสุทธิ์ คนใดก็ตามที่แตะต้องสิ่งที่เป็นมลทินใดๆ โดยการแตะต้องศพ หรือโดยแตะต้องชายใดที่หลั่งน้ำกาม 5 หรือคนใดแตะต้องสัตว์เลื้อยคลานที่ทำให้เขาเป็นมลทิน หรือแตะต้องคนใดที่ทำให้เขาเป็นมลทิน ไม่ว่าเป็นมลทินแบบไหนก็ตาม 6 แล้วปุโรหิตผู้ที่แตะต้องมลทินใดๆ จะเป็นมลทินไปจนถึงเวลาเย็น เขาต้องไม่รับประทานสิ่งบริสุทธิ์ใดๆ นอกจากเขาได้อาบน้ำแล้ว
7 เมื่อดวงอาทิตย์ตกแล้ว เขาจึงจะสะอาด หลังจากดวงอาทิตย์ตกเขาจึงสามารถรับประทานของที่บริสุทธิ์นั้นได้ เพราะว่าเป็นอาหารของเขา 8 เขาต้องไม่รับประทานอะไรที่พบว่าตายไปแล้วหรือถูกสัตว์ป่าฆ่า ซึ่งจะทำให้เขาเองเป็นมลทิน เราคือยาห์เวห์ 9 ปุโรหิตทั้งหลายต้องทำตามคำสั่งสอนของเรา มิฉะนั้นพวกเขาจะมีความผิดบาปและอาจตายเพราะลบหลู่เรา เราคือยาห์เวห์ผู้ทำให้พวกเขาบริสุทธิ์
10 ห้ามคนภายนอกครอบครัวของปุโรหิต รวมถึงแขกทั้งหลายของปุโรหิต หรือลูกจ้างของเขารับประทานสิ่งใดที่เป็นของบริสุทธิ์ 11 แต่ถ้าปุโรหิตได้ซื้อทาสคนใดด้วยเงินของเขาเอง ทาสนั้นก็รับประทานของที่ได้แยกไว้แด่พระยาห์เวห์ได้ สมาชิกในครอบครัวของปุโรหิตและทาสทั้งหลายที่เกิดในบ้านของเขา พวกเขาสามารถรับประทานของเหล่านั้นร่วมกับเขาได้ 12 ถ้าบุตรหญิงของปุโรหิตได้แต่งงานกับคนที่ไม่เป็นปุโรหิต เธอไม่สามารถรับประทานของถวายใดๆ ที่บริสุทธิ์ได้
13 แต่ถ้าบุตรหญิงของปุโรหิตเป็นหญิงม่าย หรือหย่าร้าง และถ้าเธอไม่มีลูก และถ้าเธอได้กลับมาอาศัยอยู่บ้านบิดาของเธอเหมือนเมื่อตอนเป็นสาว เธอสามารถรับประทานอาหารของบิดาของเธอได้ แต่ห้ามคนที่ไม่อยู่ในครอบครัวของปุโรหิตรับประทานอาหารของปุโรหิต 14 ถ้าผู้ชายคนใดรับประทานอาหารบริสุทธิ์โดยไม่รู้ตัว เขาต้องชดใช้คืนให้แก่ปุโรหิต เขาต้องเพิ่มให้อีกหนึ่งในห้าและมอบคืนแก่ปุโรหิต 15 ประชาชนอิสราเอลต้องไม่ลบหลู่เกียรติสิ่งที่บริสุทธิ์ที่ได้ยกขึ้นและถวายแด่พระยาห์เวห์ 16 ทำให้พวกเขาต้องแบกรับความบาปที่ทำให้พวกเขามีความผิดแห่งการรับประทานอาหารที่บริสุทธิ์ เพราะเราคือยาห์เวห์ผู้ที่ทำให้พวกเขาบริสุทธิ์'"
17 พระยาห์เวห์ตรัสแก่โมเสสว่า 18 "จงกล่าวแก่อาโรนและบุตรชายทั้งหลายของเขา และแก่ประชาชนอิสราเอลทั้งปวง จงบอกพวกเขาว่า 'คนอิสราเอลหรือคนต่างชาติคนใดที่อาศัยอยู่ในอิสราเอล เมื่อพวกเขาถวายเครื่องบูชา ไม่ว่าเป็นเครื่องบูชาเพื่อแก้บน หรือไม่ว่าเป็นเครื่องบูชาด้วยใจสมัคร หรือพวกเขาถวายเครื่องเผาบูชาแด่พระยาห์เวห์ 19 ถ้าจะให้เป็นเครื่องบูชาที่โปรดปราน พวกเขาต้องถวายสัตว์ตัวผู้ที่ปราศจากตำหนิที่เอามาจากฝูงโค ฝูงแกะหรือฝูงแพะ
20 แต่พวกเจ้าต้องไม่ถวายสิ่งใดๆ ที่มีตำหนิ เราจะไม่โปรดปรานสิ่งที่พวกเจ้าถวาย 21 คนใดถวายเครื่องสันติบูชาที่เอามาจากฝูงโคหรือฝูงแพะแกะแด่พระยาห์เวห์เพื่อแก้บน หรือเป็นเครื่องบูชาด้วยใจสมัคร เครื่องบูชานั้นจะต้องไม่มีตำหนิจึงจะเป็นที่โปรดปราน สัตว์นั้นต้องไม่พิการ 22 พวกเจ้าต้องไม่ถวายสัตว์ใดๆ ที่ตาบอด พิการ หรือเป็นแผลที่มีสิ่งที่ไหลออก เป็นขี้กลาก หรือเป็นหิด พวกเจ้าต้องไม่ถวายสิ่งเหล่านี้แด่พระยาห์เวห์ให้เป็นเครื่องเผาบูชาด้วยไฟบนแท่นบูชา
23 เจ้าสามารถถวายเครื่องบูชาด้วยใจสมัครด้วยโคหรือลูกแกะที่พิการหรือตัวเล็กได้ แต่เครื่องบูชาแบบนั้นจะไม่เป็นที่โปรดปรานถ้าถวายเพื่อแก้บน 24 อย่าถวายสัตว์ใดๆ แด่พระยาห์เวห์ที่มีลูกอัณฑะช้ำ ถูกทุบ ฉีกขาด หรือมีรอยตัด อย่ากระทำแบบนี้ในแผ่นดินของพวกเจ้า 25 พวกเจ้าต้องไม่ถวายพระกระยาหารของพระเจ้าของเจ้าจากมือของคนต่างชาติ สัตว์ต่างๆ เหล่านั้นมีตำหนิและพิการ พวกเจ้าจะไม่ได้รับความโปรดปราน
26 พระยาห์เวห์ตรัสแก่โมเสสว่า 27 "เมื่อโค หรือแกะ หรือแพะคลอดออกมา มันต้องอยู่กับแม่ของมันเจ็ดวัน แล้วตั้งแต่วันที่แปดเป็นต้นไป มันสามารถเป็นเครื่องบูชาสำหรับถวายแด่พระยาห์เวห์ด้วยไฟซึ่งเป็นที่โปรดปรานได้
28 อย่าฆ่าแม่โคหรือแม่แกะพร้อมกับลูกของมันในวันเดียวกัน 29 เมื่อพวกเจ้าถวายเครื่องบูชาแห่งการขอบพระคุณแด่พระยาห์เวห์ พวกเจ้าต้องถวายเครื่องบูชาให้เป็นที่โปรดปราน 30 เครื่องบูชานั้นต้องถูกรับประทานในวันเดียวกันกับที่ถวายเครื่องบูชา พวกเจ้าต้องไม่เหลืออาหารไว้จนถึงเช้า เราคือยาห์เวห์
31 ดังนั้นพวกเจ้าต้องรักษาบัญญัติของเราและทำตามนั้น เราคือยาห์เวห์ 32 พวกเจ้าต้องไม่ลบหลู่เกียรติพระนามอันบริสุทธิ์ของเรา ประชาชนอิสราเอลต้องยอมรับว่าเราบริสุทธิ์ เราคือยาห์เวห์ผู้ทำให้พวกเจ้าบริสุทธิ์ 33 ผู้ที่ได้นำพวกเจ้าออกมาจากแผ่นดินอียิปต์เพื่อเป็นพระเจ้าของพวกเจ้า เราคือยาห์เวห์"
1 พระยาห์เวห์ได้ตรัสแก่โมเสสว่า 2 "จงกล่าวแก่คนอิสราเอล และบอกพวกเขาว่า 'ต่อไปนี้คือเทศกาลเลี้ยงต่างๆ ที่ถูกกำหนดไว้แด่พระยาห์เวห์ที่พวกเจ้าต้องประกาศให้เป็นการประชุมบริสุทธิ์ เป็นเทศกาลเลี้ยงเป็นประจำของเรา
3 พวกเจ้าทำงานได้ในหกวัน แต่วันที่เจ็ดเป็นสะบาโตแห่งการหยุดพักอย่างสมบูรณ์ เป็นการประชุมบริสุทธิ์ พวกเจ้าต้องไม่ทำงานเพราะเป็นสะบาโตแด่พระยาห์เวห์ในทุกแห่งที่เจ้าอาศัยอยู่ 4 ต่อไปนี้เป็นเทศกาลเลี้ยงที่กำหนดไว้ของพระยาห์เวห์ เป็นการประชุมบริสุทธิ์ที่พวกเจ้าต้องประกาศให้ทราบเมื่อถึงเวลาที่กำหนดไว้
5 ในเวลาเย็นของวันที่สิบสี่ เดือนที่หนึ่ง เป็นปัสกาของพระยาห์เวห์ 6 ในวันที่สิบห้าของเดือนเดียวกันเป็นเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อแด่พระยาห์เวห์ พวกเจ้าต้องรับประทานขนมปังไร้เชื้อเป็นเวลาเจ็ดวัน
7 ในวันแรก พวกเจ้าต้องจัดให้มีการชุมนุมพร้อมกัน พวกเจ้าจะไม่ทำงานประจำของพวกเจ้า 8 พวกเจ้าจะถวายเครื่องบูชาพระกระยาหารแด่พระยาห์เวห์เป็นเวลาเจ็ดวัน ในวันที่เจ็ดเป็นการประชุมที่จัดไว้แด่พระยาห์เวห์ และในวันนั้นพวกเจ้าต้องไม่ทำงานประจำ'"
9 พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับโมเสสว่า 10 "จงกล่าวแก่คนอิสราเอลและบอกพวกเขาว่า 'เมื่อพวกเจ้าเข้ามาในแผ่นดินซึ่งเราจะให้แก่พวกเจ้า และเมื่อพวกเจ้าเก็บเกี่ยวจากแผ่นดินนั้น พวกเจ้าต้องนำเอาผลรุ่นแรกหนึ่งฟ่อนไปให้ปุโรหิต 11 และปุโรหิตจะชูฟ่อนข้าวนั้นขึ้นต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ เพื่อพวกเจ้าจะเป็นที่โปรดปราน ในวันถัดจากสะบาโตเป็นวันที่ปุโรหิตจะยกเครื่องบูชาขึ้นและถวายให้แก่เรา
12 ในวันที่พวกเจ้าชูฟ่อนข้าวนั้นขึ้นและถวายให้แก่เรา พวกเจ้าต้องถวายลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งปีที่ปราศจากตำหนิหนึ่งตัวให้เป็นเครื่องเผาบูชาแด่พระยาห์เวห์ 13 เครื่องถวายธัญบูชาต้องเป็นแป้งอย่างดีเคล้าน้ำมันสองในสิบเอฟาห์ เป็นเครื่องบูชาด้วยไฟถวายแด่พระยาห์เวห์ เพื่อให้เกิดกลิ่นหอม พร้อมกับเหล้าองุ่นหนึ่งในสี่ฮินเป็นเครื่องบูชาดื่มถวาย 14 พวกเจ้าต้องไม่รับประทานขนมปัง ข้าวคั่วหรือข้าวดิบ จนกว่าจะถึงวันเดียวกับวันที่พวกเจ้าได้ถวายเครื่องบูชานี้แด่พระเจ้าของพวกเจ้า นี่จะเป็นกฎเกณฑ์ถาวรไปตลอดชั่วชาติพันธุ์ของพวกเจ้าในทุกแห่งที่พวกเจ้าอาศัยอยู่
15 เริ่มต้นจากวันถัดจากวันสะบาโตซึ่งเป็นวันที่พวกเจ้านำฟ่อนข้าวแห่งเครื่องบูชามาโบกถวาย จงนับให้ครบเจ็ดสัปดาห์ 16 พวกเจ้าต้องนับไปถึงห้าสิบวัน ซึ่งจะเป็นวันถัดจากวันสะบาโตที่เจ็ด แล้วพวกเจ้าต้องถวายเมล็ดใหม่แด่พระยาห์เวห์เป็นเครื่องถวายธัญบูชา 17 พวกเจ้าต้องนำขนมปังสองก้อนทำจากแป้งสองในสิบเอฟาห์จากที่อาศัยของพวกเจ้า ขนมปังนั้นต้องทำจากแป้งอย่างดีใส่เชื้อยีสต์และอบ นั่นจะเป็นเครื่องบูชาโบกถวายแห่งผลรุ่นแรกแด่พระยาห์เวห์
18 สิ่งที่พวกเจ้าต้องถวายพร้อมกับขนมปังนั้นคือ ลูกแกะเจ็ดตัวที่มีอายุหนึ่งปีและปราศจากตำหนิ โคหนุ่มหนึ่งตัว แกะตัวผู้สองตัว มาเป็นเครื่องเผาบูชาแด่พระยาห์เวห์ พร้อมกับเครื่องถวายธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชาของพวกเขา เป็นเครื่องบูชาถวายด้วยไฟและเกิดเป็นกลิ่นหอมแด่พระยาห์เวห์ 19 พวกเจ้าต้องถวายแพะตัวผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งปีสองตัวเพื่อถวายเป็นเครื่องสันติบูชา
20 ปุโรหิตต้องโบกเครื่องบูชาถวายพร้อมกับขนมปังซึ่งเป็นผลรุ่นแรกต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ และถวายเครื่องบูชาเหล่านั้นพร้อมกับลูกแกะสองตัวแด่พระองค์ เครื่องบูชาเหล่านั้นจะเป็นของถวายบริสุทธิ์แด่พระยาห์เวห์สำหรับปุโรหิต 21 และในวันเดียวกันพวกเจ้าต้องประกาศให้มีการประชุมบริสุทธิ์ และพวกเจ้าต้องไม่ทำงานประจำ นี่จะเป็นกฎเกณฑ์ถาวรตลอดชั่วชาติพันธ์ุของเจ้าในทุกแห่งที่พวกเจ้าอาศัยอยู่
22 เมื่อพวกเจ้าเก็บเกี่ยวพืชผลจากแผ่นดินของพวกเจ้า พวกเจ้าต้องไม่เก็บเกี่ยวตามมุมของทุ่งนาจนหมด และพวกเจ้าต้องไม่เก็บเมล็ดที่ตก พวกเจ้าต้องทิ้งไว้สำหรับคนยากจนและสำหรับคนต่างด้าว เราคือยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้า'"
23 พระยาห์เวห์ตรัสแก่โมเสสว่า 24 "จงกล่าวแก่คนอิสราเอลว่า 'ในวันที่หนึ่งของเดือนที่เจ็ดจะเป็นวันหยุดพักอย่างจริงจังสำหรับพวกเจ้า เป็นอนุสรณ์ด้วยการเป่าแตร และเป็นการประชุมบริสุทธิ์ 25 พวกเจ้าต้องไม่ทำงานประจำ และพวกเจ้าต้องถวายเครื่องบูชาด้วยไฟแด่พระยาห์เวห์'"
26 แล้วพระยาห์เวห์ได้ตรัสแก่โมเสสว่า 27 "ในวันที่สิบของเดือนที่เจ็ดนี้เป็นวันลบล้างมลทิน เป็นการประชุมบริสุทธิ์ และพวกเจ้าต้องถ่อมตัวลงและถวายเครื่องบูชาด้วยไฟแด่พระยาห์เวห์ 28 พวกเจ้าต้องไม่ทำงานในวันนั้นเพราะเป็นวันลบมลทิน ที่จะทำการลบมลทินของตัวพวกเจ้าเองเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้า
29 ในวันนั้น ถ้าผู้ใดไม่ถ่อมตัวเองลงจะต้องถูกตัดออกจากชนชาติของเขา 30 ถ้าผู้ใดทำงานใดๆ ในวันนั้น เรายาห์เวห์จะทำลายผู้นั้นไปเสียจากท่ามกลางชนชาติของเขา
31 พวกเจ้าต้องไม่ทำงานใดๆ ในวันนั้น นี่จะเป็นกฎเกณฑ์ถาวรตลอดชั่วชาติพันธ์ุของเจ้าในทุกแห่งที่พวกเจ้าอาศัยอยู่ 32 วันนี้ต้องเป็นวันสะบาโตแห่งการหยุดพักอย่างจริงจังสำหรับพวกเจ้า และพวกเจ้าต้องถ่อมตัวเองลงเริ่มตั้งแต่เวลาเย็นวันที่เก้าของเดือนนั้น พวกเจ้าต้องถือรักษาวันสะบาโตของพวกเจ้าจากเวลาเย็นจนถึงเวลาเย็น"
33 พระยาห์เวห์ได้ตรัสแก่โมเสสว่า 34 "จงกล่าวแก่คนอิสราเอลว่า 'ในวันที่สิบห้าของเดือนที่เจ็ดจะเป็นวันเทศกาลอยู่เพิงถวายแด่พระยาห์เวห์จะถืออยู่เจ็ดวัน
35 ในวันแรกต้องมีการประชุมบริสุทธิ์ พวกเจ้าต้องไม่ทำงานประจำ 36 พวกเจ้าต้องถวายเครื่องบูชาด้วยไฟแด่พระยาห์เวห์เป็นเวลาเจ็ดวัน ในวันที่แปดจะต้องมีการประชุมบริสุทธิ์ และพวกเจ้าต้องถวายเครื่องบูชาด้วยไฟแด่พระยาห์เวห์ นี่เป็นการประชุมตามพิธี และพวกเจ้าต้องไม่ทำงานใดๆ
37 ต่อไปนี้เป็นเทศกาลเลี้ยงตามกำหนดแด่พระยาห์เวห์ ซึ่งพวกเจ้าต้องประกาศเป็นประชุมบริสุทธิ์เพื่อถวายเครื่องบูชาด้วยไฟแด่พระยาห์เวห์ คือเครื่องเผาบูชาและเครื่องถวายธัญบูชา เครื่องสัตวบูชาและเครื่องดื่มบูชา ให้ถวายแต่ละอย่างตามที่กำหนดไว้ในแต่ละวัน 38 เทศกาลเลี้ยงเหล่านี้จะเพิ่มเติมเข้าไปนอกเหนือจากวันสะบาโตของพระยาห์เวห์และของถวายของพวกเจ้า การแก้บนทั้งหมดของพวกเจ้า และเครื่องบูชาด้วยใจสมัครของพวกเจ้าที่พวกเจ้าถวายแด่พระยาห์เวห์
39 ในเรื่องเกี่ยวกับเทศกาลอยู่เพิง ในวันที่สิบห้าของเดือนที่เจ็ด เมื่อพวกเจ้าได้รวบรวมพืชผลที่ได้มาจากแผ่นดินนั้นแล้ว พวกเจ้าต้องรักษาเทศกาลเลี้ยงนี้แด่พระยาห์เวห์เป็นเวลาเจ็ดวัน ในวันแรกจะเป็นวันหยุดพักอย่างจริงจัง และในวันที่แปดก็จะเป็นวันหยุดพักอย่างจริงจังด้วย 40 ในวันแรกพวกเจ้าจะต้องเอาผลที่ดีที่สุดจากต้นไม้ต่างๆ ใบอินผลัม กิ่งที่มีใบมาก และกิ่งต้นหลิวมา และพวกเจ้าจะชื่นชมยินดีต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้าเป็นเวลาเจ็ดวัน
41 พวกเจ้าต้องฉลองเทศกาลเลี้ยงนี้แด่พระยาห์เวห์เป็นเวลาเจ็ดวันในแต่ละปี นี่จะเป็นกฎเกณฑ์ถาวรตลอดชั่วชาติพันธุ์ของพวกเจ้าในทุกแห่งที่พวกเจ้าอาศัยอยู่ พวกเจ้าต้องฉลองเทศกาลเลี้ยงนี้ในเดือนที่เจ็ด 42 พวกเจ้าต้องอาศัยอยู่ในเพิงเล็กๆ เป็นเวลาเจ็ดวัน ชาวอิสราเอลโดยกำเนิดทุกคนต้องอยู่ในเพิงเล็กๆ เป็นเวลาเจ็ดวัน
43 เพื่อเชื้อสายของพวกเจ้าจากรุ่นต่อรุ่นจะได้เรียนรู้ว่า เราได้ทำให้คนอิสราเอลอาศัยอยู่ในเพิงพักแบบนั้นอย่างไรเมื่อเราได้นำพวกเขาออกจากแผ่นดินอียิปต์ เราคือยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้า'" 44 ดังนั้นแหละ โมเสสจึงได้ประกาศให้คนอิสราเอลทราบถึงเทศกาลเลี้ยงต่างๆ ที่ได้กำหนดไว้เพื่อพระยาห์เวห์
1 พระยาห์เวห์ได้ตรัสแก่โมเสสว่า 2 "จงสั่งให้คนอิสราเอลนำน้ำมันบริสุทธิ์ที่ได้คั้นจากผลมะกอกมาให้แก่เจ้าเพื่อใช้เติมตะเกียง เพื่อให้มีแสงสว่างลุกอยู่เสมอ
3 ภายนอกม่านหน้าหีบแห่งพันธสัญญาที่อยู่ในเต็นท์นัดพบ อาโรนต้องคอยดูแลให้ตะเกียงนี้มีไฟลุกอยู่เสมอต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ตั้งแต่เวลาเย็นจนถึงเวลาเช้า นี่จะเป็นกฎเกณฑ์ถาวรตลอดชั่วชาติพันธุ์ของเจ้า 4 มหาปุโรหิตต้องคอยรักษาตะเกียงที่อยู่บนคันประทีปทองคำบริสุทธิ์ให้มีไฟลุกอยู่เสมอต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์
5 เจ้าต้องเอาแป้งอย่างดีที่อบแล้วมาสิบสองก้อน แต่ละก้อนต้องทำจากแป้งสองในสิบเอฟาห์ 6 แล้วเจ้าต้องวางเรียงให้เป็นสองแถว แถวละหกก้อน บนโต๊ะทองคำบริสุทธิ์ต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ 7 เจ้าต้องโรยเครื่องหอมบริสุทธิ์ระหว่างแต่ละแถวของขนมปังเหล่านั้นเพื่อเป็นเครื่องบูชาที่เป็นส่วนที่แทน เครื่องหอมนี้จะถูกเผาแด่พระยาห์เวห์
8 ทุกวันสะบาโต มหาปุโรหิตต้องวางขนมปังหน้าพระพักตร์พระยาห์เวห์เสมอในนามของคนอิสราเอล เป็นเครื่องหมายแห่งพันธสัญญานิรันดร์ 9 เครื่องถวายนี้จะตกเป็นของอาโรนและบรรดาบุตรชายของเขา และพวกเขาจะรับประทานเครื่องบูชานั้นในสถานที่บริสุทธิ์ เพราะนี่เป็นส่วนหนึ่งจากเครื่องถวายแด่พระยาห์เวห์ที่ถวายด้วยไฟ"
10 บัดนี้ เกิดมีเรื่องว่าบุตรชายของผู้หญิงอิสราเอลคนหนึ่ง ซึ่งบิดาของเขาเป็นคนอียิปต์ ได้ไปในท่ามกลางคนอิสราเอล บุตรชายคนนี้ของผู้หญิงชาวอิสราเอลได้ทะเลาะกับชายอิสราเอลคนหนึ่งในค่าย 11 บุตรชายของผู้หญิงชาวอิสราเอลคนนั้นจึงได้หมิ่นประมาทพระนามของพระยาห์เวห์และได้แช่งด่าพระเจ้า ดังนั้นประชาชนจึงได้พาเขามาหาโมเสส มารดาของเขาชื่อเชโลมิทบุตรหญิงของดิบรีที่มาจากเผ่าดาน 12 พวกเขาได้ขังคนนั้นไว้จนกว่าพระยาห์เวห์จะทรงแจ้งพระประสงค์ของพระองค์เองต่อพวกเขา
13 แล้วพระยาห์เวห์ได้ตรัสแก่โมเสสว่า 14 "จงเอาชายคนนั้นที่ได้แช่งด่าพระเจ้าออกไปภายนอกค่าย ทุกคนที่ได้ยินคำด่าของเขาต้องเอามือวางบนหัวของเขา หลังจากนั้นที่ชุมนุมทั้งหมดจะต้องเอาหินขว้างเขา
15 เจ้าต้องอธิบายให้แก่คนอิสราเอลว่า "ผู้ใดแช่งด่าพระเจ้าของเขาต้องแบกรับความผิดของตน 16 ใครที่หมิ่นประมาทพระนามของพระยาห์เวห์ต้องได้รับโทษถึงตายอย่างแน่นอน ที่ชุมนุมทั้งหมดต้องเอาหินขว้างเขาให้ตาย ไม่ว่าผู้นั้นเป็นคนต่างชาติหรือคนอิสราเอลโดยกำเนิด ถ้าผู้ใดหมิ่นประมาทพระนามของพระยาห์เวห์ เขาต้องได้รับโทษถึงตาย
17 ถ้าใครทำร้ายอีกคนจนตาย เขาต้องรับโทษถึงตายอย่างแน่นอน 18 ถ้าใครทำร้ายสัตว์ของคนอื่นถึงตาย เขาต้องจ่ายชดเชย ชีวิตทดแทนชีวิต 19 ถ้าผู้ใดทำร้ายเพื่อนบ้านของเขา เขาต้องถูกกระทำเช่นเดียวกับที่เขาได้กระทำต่อเพื่อนบ้านของเขา 20 กระดูกหักทดแทนกระดูกหัก ตาแทนตา ฟันแทนฟัน เขาได้ทำให้อีกคนบาดเจ็บอย่างไร เขาก็ต้องถูกกระทำแบบเดียวกัน
21 ผู้ใดที่ฆ่าสัตว์สักตัวหนึ่งต้องจ่ายค่าชดใช้ ผู้ใดที่ฆ่าคนก็ต้องรับโทษถึงตาย 22 เจ้าต้องมีกฎหมายอย่างเดียวกันทั้งกับคนต่างชาติและคนอิสราเอลโดยกำเนิดด้วย เพราะเราคือยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า'" 23 ดังนั้นโมเสสจึงได้บอกแก่คนอิสราเอล และประชาชนได้พาชายคนนั้นที่ได้แช่งด่าพระยาห์เวห์ออกไปภายนอกค่าย พวกเขาได้เอาก้อนหินขว้างชายคนนั้น คนอิสราเอลได้ทำตามพระบัญชาของพระยาห์เวห์ที่มีมายังโมเสส
1 พระยาห์เวห์ได้ตรัสแก่โมเสสบนภูเขาซีนายว่า 2 "จงกล่าวแก่คนอิสราเอลและบอกพวกเขาว่า 'เมื่อพวกเจ้าเข้าสู่แผ่นดินที่เรายกให้แก่พวกเจ้า ต้องให้แผ่นดินนั้นถือสะบาโตแด่พระยาห์เวห์ 3 พวกเจ้าต้องหว่านในทุ่งนาของพวกเจ้าในหกปี และในหกปีนั้นพวกเจ้าต้องตัดแต่งสวนองุ่นของพวกเจ้าและรวบรวมผลผลิต
4 แต่ในปีที่เจ็ด ต้องถือเป็นปีสะบาโตแห่งการหยุดพักของแผ่นดินอย่างจริงจัง เป็นสะบาโตแด่พระยาห์เวห์ พวกเจ้าต้องไม่หว่านในทุ่งนาของพวกเจ้าหรือตัดแต่งสวนองุ่นของพวกเจ้า 5 พวกเจ้าต้องไม่ทำการเก็บเกี่ยวสิ่งใดที่เติบโตขึ้นเอง และพวกเจ้าต้องไม่ทำการเก็บเกี่ยวองุ่นใดๆ ที่เติบโตบนเถาองุ่นที่ไม่ได้ลิดแขนงของพวกเจ้า นี่จะเป็นปีแห่งการหยุดพักของแผ่นดินอย่างจริงจัง
6 สิ่งใดที่เติบโตบนแผ่นดินที่ไม่ได้เพาะปลูกในช่วงปีสะบาโตจะเป็นอาหารแก่พวกเจ้า ทั้งตัวพวกเจ้า และทาสชายหญิงของพวกเจ้า ลูกจ้างของพวกเจ้าและคนต่างด้าวที่อาศัยอยู่ท่ามกลางพวกเจ้าจะได้เก็บอาหาร 7 ทั้งฝูงสัตว์ของพวกเจ้าและสัตว์ป่าจะได้กินสิ่งที่เกิดขึ้นเองบนแผ่นดิน
8 พวกเจ้าต้องนับปีสะบาโตเจ็ดปีเจ็ดครั้ง นั่นคือนับเจ็ดคูณเจ็ดปี นั่นจะเป็นเจ็ดปีสะบาโต รวมทั้งหมดเป็นสี่สิบเก้าปี 9 แล้วพวกเจ้าต้องเป่าเขาสัตว์ให้ดังทั่วทุกหนแห่งในวันที่สิบของเดือนที่เจ็ด ในวันแห่งการลบมลทินนั้นพวกเจ้าต้องเป่าเขาสัตว์ให้ทั่วทั้งแผ่นดินของพวกเจ้า
10 พวกเจ้าต้องตั้งปีที่ห้าสิบไว้แด่พระยาห์เวห์และประกาศอิสรภาพทั่วทั้งแผ่นดินแก่ทุกคนที่อาศัยอยู่ในนั้น นั่นจะเป็นการเฉลิมฉลองสำหรับพวกเจ้า ที่ทั้งที่ดินและบรรดาทาสต้องกลับคืนสู่ครอบครัวของพวกเขา 11 ปีที่ห้าสิบจะเป็นปีแห่งการเฉลิมฉลองสำหรับพวกเจ้า พวกเจ้าต้องไม่หว่านหรือทำการเก็บเกี่ยว จงรับประทานทุกสิ่งที่เติบโตขึ้นเอง และเก็บผลองุ่นที่เติบโตตามแขนงที่ไม่ได้ลิด 12 เพราะว่านี่เป็นปีแห่งการเฉลิมฉลองที่บริสุทธิ์สำหรับพวกเจ้า พวกเจ้าต้องรับประทานพืชผลที่เติบโตขึ้นเองตามทุ่งนา
13 พวกเจ้าต้องส่งทุกคนให้กลับคืนไปยังที่ดินของพวกเขาเองในปีแห่งการเฉลิมฉลองนี้ 14 ถ้าพวกเจ้าขายที่ดินให้แก่เพื่อนบ้านของเจ้า หรือซื้อที่ดินจากเพื่อนบ้านของพวกเจ้า พวกเจ้าต้องไม่โกงหรือทำผิดต่อกัน 15 ถ้าพวกเจ้าซื้อที่ดินจากเพื่อนบ้านของเจ้า ให้พิจารณาจำนวนปีและพืชผลที่สามารถเก็บเกี่ยวได้ ไปจนถึงปีแห่งการเฉลิมฉลองในครั้งต่อไป เพื่อนบ้านของพวกเจ้าที่ขายที่ดินก็ต้องพิจารณาถึงเรื่องนั้นด้วยเช่นกัน
16 ถ้าจำนวนปีที่เหลือก่อนจะถึงปีแห่งการเฉลิมฉลองครบรอบในครั้งต่อไปเหลือมาก ที่ดินก็มีราคาเพิ่มขึ้น และถ้าจำนวนปีก่อนที่จะถึงปีแห่งการเฉลิมฉลองครั้งต่อไปเหลือน้อย ราคาที่ดินก็น้อยลง เพราะจำนวนครั้งที่เจ้าของใหม่จะทำการเก็บเกี่ยวผลผลิตจากแผ่นดินจะขึ้นอยู่กับจำนวนปีที่เหลือก่อนที่จะถึงปีแห่งการเฉลิมฉลองครั้งต่อไป 17 พวกเจ้าต้องไม่โกงกันหรือทำผิดต่อกัน แต่พวกเจ้าต้องถวายเกียรติแด่พระเจ้าของพวกเจ้า เพราะเราคือยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้า
18 เหตุฉะนั้นพวกเจ้าต้องเชื่อฟังทำตามกฎเกณฑ์ของเรา จงรักษากฎหมายของเราและกระทำตาม แล้วพวกเจ้าจะอาศัยอยู่ในแผ่นดินอย่างปลอดภัย 19 แผ่นดินจะเกิดผล และพวกเจ้าจะได้รับประทานจนอิ่มและอาศัยอยู่อย่างปลอดภัย 20 พวกเจ้าอาจพูดว่า "แล้วพวกเราจะรับประทานอะไรในปีที่เจ็ดเล่า? ดูสิ เราไม่สามารถหว่านหรือรวบรวมพืชผลของเราได้"
21 เราจะบัญชาพรของเราให้มาเหนือพวกเจ้าในปีที่หก และนั่นจะทำให้เก็บเกี่ยวได้เพียงพอสำหรับสามปี 22 พวกเจ้าจะหว่านในปีที่แปดและจะยังได้รับประทานผลผลิตจากหลายปีก่อนหน้านั้นและจากยุ้งฉาง จนกว่าจะถึงการเก็บเกี่ยวในปีที่เก้า พวกเจ้าจะยังสามารถรับประทานจากที่เก็บสะสมไว้ในหลายปีก่อนหน้านั้น
23 ที่ดินต้องไม่ถูกขายให้แก่เจ้าของใหม่อย่างถาวร เพราะแผ่นดินเป็นของเรา พวกเจ้าทั้งปวงต่างเป็นคนต่างด้าวและผู้อาศัยอยู่ชั่วคราวในแผ่นดินของเรา 24 พวกเจ้าต้องให้มีสิทธิ์แห่งการไถ่ถอนสำหรับที่ดินทั้งหมดที่พวกเจ้าถือครองอยู่ พวกเจ้าต้องยอมให้ครอบครัวที่เจ้าซื้อที่ดินจากเขาได้ซื้อที่ดินคืน
25 ถ้าพี่น้องคนอิสราเอลของเจ้ายากจนลง เพราะเหตุนั้นจึงได้ขายที่ดินบางส่วนของเขา หลังจากนั้นญาติสนิทของเขาก็สามารถมาซื้อที่ดินที่เขาขายแก่เจ้านั้นคืนกลับไปได้ 26 ถ้าชายคนนั้นไม่มีญาติมาไถ่ถอนที่ดินของเขา แต่ถ้าเขาร่ำรวยขึ้นและเขาก็มีความสามารถไถ่ถอนคืนได้
27 ก็ให้เขาคำนวณย้อนไปถึงปีที่ถูกขายไปและจ่ายคืนให้แก่คนที่ซื้อไปนั้น แล้วเขาจึงสามารถกลับไปยังที่ดินของตนเองได้ 28 แต่ถ้าเขาไม่สามารถไถ่ถอนที่ดินกลับมาได้ ที่ดินที่เขาขายไปนั้นก็จะยังเป็นของคนที่ซื้อไปจนกว่าจะถึงปีแห่งการเฉลิมฉลอง เมื่อถึงปีแห่งการเฉลิมฉลอง ที่ดินก็จะถูกคืนให้แก่ผู้ที่ขายไป และเจ้าของเดิมก็จะกลับไปอยู่ในที่ดินของตนเองได้
29 ถ้าชายใดขายบ้านในเมืองที่มีกำแพง เขาก็สามารถซื้อคืนได้ภายในหนึ่งปีหลังจากที่ได้ขายบ้านไปแล้ว เขามีสิทธิ์ไถ่ถอนได้ในตลอดหนึ่งปี 30 ถ้าบ้านนั้นไม่ได้ถูกไถ่ถอนภายในหนึ่งปี บ้านที่อยู่ในเมืองที่มีกำแพงนั้นก็จะกลายเป็นทรัพย์สินถาวรของชายผู้ได้ซื้อบ้านนั้นไปตลอดชั่วชาติพันธุ์ของเขา บ้านหลังนั้นจะไม่ต้องคืนในปีแห่งการเฉลิมฉลอง
31 แต่บรรดาบ้านตามหมู่บ้านที่ไม่มีกำแพงล้อมรอบจะถือว่าเป็นเหมือนที่ดินทุ่งนา เป็นที่ดินที่สามารถไถ่ถอนได้ และที่ดินนั้นจะต้องถูกส่งคืนในปีแห่งการเฉลิมฉลอง 32 แต่อย่างไรก็ตาม บรรดาบ้านที่เป็นของคนเลวีที่อยู่ในเมืองต่างๆ ของพวกเขาสามารถไถ่ถอนได้ทุกเวลา
33 ถ้าคนเลวีคนหนึ่งไม่ได้ไถ่ถอนบ้านที่เขาขายไป บ้านในเมืองที่ถูกขายไปนั้นจะต้องส่งคืนในปีแห่งการเฉลิมฉลอง เพราะบรรดาบ้านในเมืองของคนเลวีนั้นเป็นทรัพย์สินของพวกเขาในท่ามกลางคนอิสราเอล 34 แต่ทุ่งนาที่อยู่ล้อมรอบเมืองของพวกเขาจะขายไม่ได้เพราะทุ่งนาเหล่านั้นเป็นทรัพย์สินถาวรของคนเลวี
35 ถ้าพี่น้องร่วมชาติของพวกเจ้ายากจนลง จนเขาไม่สามารถเลี้ยงดูตนเองได้ต่อไป พวกเจ้าก็ต้องช่วยเขาเหมือนดังที่พวกเจ้าช่วยคนต่างด้าว หรือคนอื่นๆ ที่อาศัยอยู่เหมือนแขกเมืองในท่ามกลางพวกเจ้า 36 อย่าคิดดอกเบื้ยจากเขาหรือพยายามหากำไรใดๆ จากเขา แต่จงถวายเกียรติแด่พระเจ้าเพื่อพี่น้องของพวกเจ้าจะได้อยู่ร่วมกับพวกเจ้า
37 พวกเจ้าต้องไม่ให้เขากู้เงินและคิดดอกเบี้ย หรือขายอาหารให้เขาโดยคิดกำไร 38 เราคือยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้า ผู้ได้นำพวกเจ้าออกจากแผ่นดินอียิปต์ เพื่อเราจะได้ยกแผ่นดินคานาอันให้แก่พวกเจ้า และเพื่อจะได้เป็นพระเจ้าของพวกเจ้า
39 ถ้าพี่น้องร่วมชาติของพวกเจ้ายากจนลงและขายตัวเขาเองแก่พวกเจ้า พวกเจ้าต้องไม่บังคับให้เขาทำงานเหมือนทาส 40 จงปฏิบัติต่อเขาเหมือนลูกจ้าง เขาต้องเป็นเหมือนคนที่อาศัยอยู่กับพวกเจ้าเพียงชั่วคราว เขาจะรับใช้พวกเจ้าจนถึงปีแห่งการเฉลิมฉลอง
41 หลังจากนั้นเขาก็จะจากเจ้าไป ทั้งตัวเขาและลูกๆ ที่อยู่กับเขา และเขาจะกลับไปยังครอบครัวของเขาและไปยังที่ดินของบิดาของเขา 42 เพราะพวกเขาเป็นผู้รับใช้ของเราผู้ซึ่งเราได้นำออกจากแผ่นดินอียิปต์ พวกเขาจะไม่ถูกขายให้เป็นทาส 43 พวกเจ้าต้องไม่ปกครองพวกเขาอย่างทารุณ แต่พวกเจ้าต้องถวายเกียรติแด่พระเจ้าของพวกเจ้า 44 ส่วนเรื่องทาสชายหญิงของพวกเจ้า ที่พวกเจ้าได้มาจากชนชาติต่างๆ ที่อาศัยอยู่ล้อมรอบพวกเจ้า พวกเจ้าสามารถซื้อทาสจากพวกเขาได้
45 พวกเจ้าสามารถซื้อทาสจากคนต่างด้าวที่อาศัยอยู่ท่ามกลางพวกเจ้า ซึ่งมาจากครอบครัวของพวกเขาที่อยู่กับพวกเจ้า บรรดาเด็กๆ ที่เกิดในแผ่นดินของพวกเจ้า พวกเขากลายเป็นทรัพย์สินของพวกเจ้าได้ 46 พวกเจ้าสามารถยกทาสเหล่านั้นให้เป็นมรดกแก่ลูกหลานของพวกเจ้าต่อไปได้เหมือนดังเป็นทรัพย์สิน และทำให้พวกเขาเป็นทาสไปได้ตลอดชีวิต แต่พวกเจ้าต้องไม่ปกครองเหนือพี่น้องของพวกเจ้าจากท่ามกลางคนอิสราเอลด้วยความรุนแรง
47 ถ้าคนต่างด้าวหรือบางคนที่อาศัยอยู่ชั่วคราวกับพวกเจ้าร่ำรวยขึ้น และถ้าพี่น้องคนอิสราเอลสักคนหนึ่งของพวกเจ้ายากจนลง และขายตัวเองให้แก่คนต่างด้าวคนนั้นหรือบางคนในครอบครัวของคนต่างด้าวนั้น 48 หลังจากที่พี่น้องคนอิสราเอลของพวกเจ้าถูกซื้อไป เขาก็สามารถถูกซื้อคืนได้ บางคนในครอบครัวของเขาสามารถไถ่ถอนเขาได้
49 อาจเป็นลุงของคนนั้น หรือลูกพี่ลูกน้องของเขาที่จะไถ่ถอนเขา หรือคนใดที่เป็นญาติสนิทของเขาจากครอบครัวของเขา หรือถ้าเขาร่ำรวยขึ้น เขาอาจไถ่ถอนตัวเองได้ 50 เขาต้องต่อรองกับคนที่ซื้อเขาไป พวกเขาต้องนับจำนวนปีจากปีที่เขาขายตัวเองให้แก่ผู้ซื้อไปจนถึงปีแห่งการเฉลิมฉลอง ค่าไถ่ถอนของเขาต้องคิดตามอัตราที่จ่ายให้แก่ลูกจ้าง ตามจำนวนปีที่เหลือที่เขาสามารถทำงานให้แก่ผู้ที่ได้ซื้อเขาไป
51 ถ้ายังมีเหลืออยู่หลายปีกว่าจะถึงปีแห่งการเฉลิมฉลอง เขาต้องจ่ายค่าไถ่ถอนตัวเองคืนตามจำนวนปีที่เหลือนั้น 52 ถ้าเหลือไม่กี่ปีก่อนที่จะถึงปีแห่งการเฉลิมฉลอง เขาต้องต่อรองกับผู้ชื้อเขาเพื่อดูจำนวนปีที่เหลือก่อนจะถึงปีแห่งการเฉลิมฉลอง และเขาต้องจ่ายค่าไถ่ถอนตนเองตามจำนวนปีที่เหลือ
53 เขาต้องได้รับการปฏิบัติเหมือนลูกจ้างปีต่อปี พวกเจ้าต้องไม่ปฏิบัติต่อเขาด้วยความทารุณ 54 ถ้าเขาไม่ได้ไถ่ถอนตัวตามที่ได้กล่าวมาแล้ว เขาก็ต้องรับใช้จนกว่าจะถึงปีแห่งการเฉลิมฉลอง ทั้งตัวเขาและบุตรทั้งหลายที่อยู่กับเขา 55 สำหรับเราแล้ว คนอิสราเอลต่างเป็นผู้รับใช้ พวกเขาเป็นผู้รับใช้ของเราผู้ซึ่งเราได้นำออกจากแผ่นดินอียิปต์ เราคือยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้า'"
1 "พวกเจ้าต้องไม่ทำรูปเคารพ พวกเจ้าต้องไม่ตั้งรูปแกะสลักหรือเสาหินศักดิ์สิทธิ์ และพวกเจ้าต้องไม่ตั้งรูปหินแกะสลักใดๆ ในแผ่นดินของพวกเจ้าเพื่อที่พวกเจ้าจะกราบไหว้ เพราะเราคือยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้า 2 พวกเจ้าต้องถือสะบาโตทั้งหลายของเราและให้เกียรติแก่สถานนมัสการของเรา เราคือยาห์เวห์
3 ถ้าพวกเจ้าดำเนินอยู่ในกฎหมายของเราและรักษาบัญญัติต่างๆ ของเราและทำตามนั้น 4 เราก็จะประทานฝนตามฤดูกาลของมัน แผ่นดินจะเกิดพืชผลของมัน และต้นไม้ต่างๆ ในท้องทุ่งจะเกิดพืชผลของมัน 5 การนวดข้าวของพวกเจ้าจะยาวไปจนถึงเวลาเก็บเกี่ยวผลองุ่น และการเก็บเกี่ยวผลองุ่นจะยาวไปจนถึงฤดูหว่าน พวกเจ้าจะรับประทานอาหารของพวกเจ้าจนอิ่มและอยู่อย่างปลอดภัยในบริเวณที่พวกเจ้าสร้างที่อาศัยของพวกเจ้าในแผ่นดินนั้น
6 เราจะให้เกิดความสงบสุขในแผ่นดิน พวกเจ้าจะนอนลงโดยไม่มีอะไรมาทำให้พวกเจ้ากลัวได้ เราจะเอาบรรดาสัตว์ร้ายทั้งหลายไปเสียจากแผ่นดิน และดาบจะไม่ผ่านไปในแผ่นดินของพวกเจ้า 7 พวกเจ้าจะไล่ตามศัตรูของพวกเจ้า และพวกเขาจะล้มลงด้วยดาบต่อหน้าพวกเจ้า
8 พวกเจ้าห้าคนจะไล่ได้หนึ่งร้อยคน และพวกเจ้าร้อยคนจะไล่ได้เป็นหมื่นคน ศัตรูทั้งหลายของพวกเจ้าจะล้มลงด้วยดาบต่อหน้าพวกเจ้า 9 เราจะมองพวกเจ้าด้วยความชื่นชมและทำให้พวกเจ้าเกิดผลและทำให้พวกเจ้าทวีขึ้น เราจะทำพันธสัญญาของเรากับพวกเจ้า 10 พวกเจ้าจะรับประทานอาหารที่เก็บสะสมไว้เป็นเวลานาน พวกเจ้าจะเอาอาหารที่เก็บไว้ออกไปเพราะพวกเจ้าจะต้องการพื้นที่สำหรับการเก็บเกี่ยวใหม่
11 เราจะตั้งพลับพลาของเราไว้ท่ามกลางพวกเจ้า และเราจะไม่เกลียดชังพวกเจ้า 12 เราจะเดินไปท่ามกลางพวกเจ้าและเป็นพระเจ้าของพวกเจ้า และพวกเจ้าจะเป็นประชากรของเรา 13 เราคือยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้า ผู้ได้นำพวกเจ้าออกจากแผ่นดินอียิปต์ เพื่อพวกเจ้าจะไม่เป็นทาสของพวกเขา เราได้หักไม้แห่งแอกของพวกเจ้าและช่วยให้พวกเจ้าเดินตัวตรงได้
14 แต่ถ้าพวกเจ้าจะไม่ฟังเรา และจะไม่ทำตามบัญญัติทั้งปวงเหล่านี้ 15 และถ้าพวกเจ้าปฏิเสธกฎเกณฑ์ของเราและเกลียดชังกฎหมายของเรา พวกเจ้าจึงไม่ทำตามบัญญัติทั้งปวงของเรา แต่ทำลายพันธสัญญาของเรา
16 ถ้าพวกเจ้ากระทำดังนั้น เราก็จะกระทำดังต่อไปนี้แก่พวกเจ้า เราจะนำสิ่งที่น่ากลัวมาบนพวกเจ้า โรคต่างๆ และความเจ็บไข้ที่จะทำลายดวงตาทั้งหลายและจะทำให้ชีวิตของพวกเจ้าทรุดโทรมลง พวกเจ้าจะหว่านเมล็ดโดยเปล่าประโยชน์ เพราะศัตรูของพวกเจ้าจะกินพืชผลของพวกเจ้า 17 เราจะตั้งหน้าสู้พวกเจ้า และพวกเจ้าจะถูกปกครองโดยศัตรูของพวกเจ้า คนทั้งหลายที่พวกเจ้าเกลียดชังจะปกครองเหนือพวกเจ้า และพวกเจ้าจะวิ่งหนีแม้ว่าไม่มีใครไล่ตามพวกเจ้า
18 ถ้าพวกเจ้าไม่ฟังบัญญัติต่างๆ ของเรา เราก็จะลงโทษพวกเจ้าเจ็ดเท่าอย่างรุนแรงสำหรับความบาปทั้งหลายของพวกเจ้า 19 เราจะทำลายความเห่อเหิมในอำนาจของพวกเจ้า เราจะทำให้ท้องฟ้าเหนือพวกเจ้าเป็นเหมือนเหล็กและแผ่นดินของพวกเจ้าเป็นเหมือนทองสัมฤทธิ์ 20 กำลังของพวกเจ้าถูกใช้ไปอย่างไร้ประโยชน์ เพราะแผ่นดินของพวกเจ้าจะไม่เกิดผลให้เก็บเกี่ยว และต้นไม้ทั้งหลายในแผ่นดินของพวกเจ้าจะไม่ออกผลของมัน
21 ถ้าพวกเจ้ายังดำเนินการต่อต้านเราและไม่ฟังเรา เราจะนำวิบัติมายังพวกเจ้าเจ็ดเท่าของขนาดบาปทั้งหลายของพวกเจ้า 22 เราจะส่งสัตว์ร้ายทั้งหลายมาต่อสู้พวกเจ้า ซึ่งจะมาขโมยลูกหลานของพวกเจ้า ทำลายฝูงสัตว์ของพวกเจ้า และทำให้พวกเจ้าเหลืออยู่จำนวนน้อย ถนนของพวกเจ้าก็จะกลายเป็นที่ร้างเปล่า
23 แม้ประสบสิ่งเหล่านี้แล้ว พวกเจ้ายังไม่ยอมรับการสั่งสอนของเราและพวกเจ้ายังคงดำเนินการต่อต้านเรา 24 เราก็จะดำเนินการต่อต้านพวกเจ้าด้วย และเราเองจะลงโทษพวกเจ้าเจ็ดเท่าเพราะความบาปทั้งหลายของพวกเจ้า
25 เราจะนำดาบมายังพวกเจ้าที่จะทำการแก้แค้นเพราะการฝ่าฝืนพันธสัญญา พวกเจ้าจะรวมตัวกันอยู่ในเมืองต่างๆ และเราจะส่งโรคมายังท่ามกลางพวกเจ้าในที่นั่น แล้วพวกเจ้าจะถูกมอบไว้ในมือของศัตรูของพวกเจ้า 26 เมื่อถึงตอนที่เราตัดแหล่งเสบียงอาหารของพวกเจ้า ผู้หญิงสิบคนจะสามารถอบขนมปังโดยใช้เตาอบเพียงเตาเดียว และพวกเขาจะแบ่งขนมปังของพวกเจ้าโดยการชั่ง พวกเจ้าจะกินแต่ไม่อิ่ม
27 ถ้าพวกเจ้าไม่ฟังเราในเรื่องเหล่านี้ แต่ยังคงดำเนินการต่อต้านเรา 28 แล้วเราก็จะดำเนินการต่อต้านพวกเจ้าด้วยความโกรธ และเราจะลงโทษพวกเจ้าให้มากกว่าความบาปทั้งหลายของพวกเจ้าเจ็ดเท่า 29 พวกเจ้าจะกินเนื้อลูกชายของพวกเจ้า พวกเจ้าจะกินเนื้อลูกสาวของพวกเจ้า
30 เราจะทำลายสถานสูงของพวกเจ้า และตัดแท่นเครื่องหอมของพวกเจ้าลง และโยนศพของพวกเจ้าบนซากรูปเคารพทั้งหลายของพวกเจ้า และเราเองจะเกลียดชังพวกเจ้า 31 เราจะเปลี่ยนเมืองของพวกเจ้าให้กลายเป็นซากปรักหักพังและทำลายสถานนมัสการของพวกเจ้า เราจะไม่โปรดปรานกลิ่นหอมแห่งเครื่องบูชาของพวกเจ้า
32 เราจะทำให้แผ่นดินร้างเปล่า ศัตรูของพวกเจ้าผู้อาศัยอยู่ที่นั่นจะตกใจกับความร้างเปล่านั้น 33 เราจะให้พวกเจ้ากระจัดกระจายไปท่ามกลางชนชาติต่างๆ และเราจะชักดาบของเราออกและไล่ตามพวกเจ้า แผ่นดินของพวกเจ้าจะถูกทิ้งร้าง และเมืองต่างๆ ของพวกเจ้าจะกลายเป็นซากปรักหักพัง
34 แล้วแผ่นดินนั้นจะยินดีในสะบาโตของแผ่นดินนานเท่าที่แผ่นดินนั้นว่างเปล่าและพวกเจ้าก็อยู่ในแผ่นดินของศัตรูทั้งหลาย ในช่วงเวลานั้นแผ่นดินก็จะได้หยุดพักและยินดีในสะบาโตของแผ่นดินนั้น 35 นานตราบเท่าที่แผ่นดินนั้นว่างเปล่า แผ่นดินก็จะได้หยุดพัก ซึ่งจะเป็นการหยุดพักที่แผ่นดินนั้นไม่เคยมีในสะบาโตทั้งหลายของพวกเจ้า เมื่อพวกเจ้าอาศัยอยู่ในแผ่นดินนั้น
36 สำหรับบรรดาพวกเจ้าที่เหลืออยู่ในแผ่นดินของศัตรูทั้งหลายของพวกเจ้า เราจะส่งความกลัวมาเข้ามาในใจของพวกเจ้า ดังนั้นแม้แต่เสียงใบไม้ปลิวตามลมก็จะทำให้พวกเจ้าสะดุ้ง และพวกเจ้าจะหนีเหมือนดังพวกเจ้ากำลังหนีจากดาบ พวกเจ้าจะล้มลงแม้ไม่มีใครไล่ตามพวกเจ้า 37 พวกเจ้าจะสะดุดซึ่งกันและกันเหมือนกับพวกเจ้ากำลังวิ่งหนีจากดาบ แม้ไม่มีใครไล่ตามพวกเจ้า พวกเจ้าจะไม่มีกำลังที่จะยืนอยู่ต่อหน้าศัตรูทั้งหลายของพวกเจ้า
38 พวกเจ้าจะพินาศไปในท่ามกลางประชาชาติ และแผ่นดินของศัตรูทั้งหลายของพวกเจ้าจะกลืนกินพวกเจ้า 39 บรรดาพวกที่เหลืออยู่ในท่ามกลางพวกเจ้าจะทรุดโทรมไปในความบาปทั้งหลายของพวกเขาเมื่ออยู่ในแผ่นดินของศัตรูทั้งหลายของพวกเจ้า และเพราะความบาปของบรรพบุรุษของพวกเจ้า พวกเขาก็จะทรุดโทรมไปด้วย
40 แต่ถ้าพวกเขาสารภาพความบาปทั้งหลายของพวกเขาและความบาปของบรรพบุรุษของพวกเจ้า และการทรยศของพวกเขาที่พวกเขาไม่ซื่อสัตย์ต่อเรา และการที่พวกเขาได้ดำเนินการต่อต้านเราด้วย 41 ซึ่งทำให้เราหันไปต่อต้านพวกเขา และเราได้นำพวกเขาไปสู่แผ่นดินของศัตรูทั้งหลายของพวกเขา ถ้าจิตใจที่ไม่ได้เข้าสุหนัตของพวกเขาได้ถ่อมลง และถ้าพวกเขายอมรับการลงโทษสำหรับการบาปทั้งหลายของพวกเขา
42 แล้วเราก็จะระลึกถึงพันธสัญญาของเรากับยาโคบ พันธสัญญาของเรากับอิสอัค และพันธสัญญาของเรากับอับราฮัม และเราจะระลึกถึงแผ่นดินนั้น 43 แผ่นดินจะถูกทิ้งไว้ให้ร้างโดยพวกเขา ดังนั้นแผ่นดินจะยินดีกับสะบาโตของแผ่นดินในขณะที่ถูกทิ้งไว้ให้ร้างโดยไม่มีพวกเขา พวกเขาจะต้องได้รับโทษสำหรับความบาปทั้งหลายของพวกเขา เพราะพวกเขาเองปฏิเสธกฎเกณฑ์ของเราและเกลียดชังกฎหมายของเรา
44 แต่นอกเหนือจากเรื่องทั้งหมดนี้ เมื่อพวกเขาอยู่ในแผ่นดินของเหล่าศัตรู เราจะไม่ปฏิเสธพวกเขา เราจะไม่เกลียดชังพวกเขาจนทำลายพวกเขาให้หมดสิ้นและไม่สนใจพันธสัญญาของเราที่มีกับพวกเขา เพราะเราคือยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขา 45 แต่เพื่อเห็นแก่พวกเขา เราจะระลึกถึงพันธสัญญากับบรรพบุรุษของพวกเขา ผู้ที่เราได้นำออกจากแผ่นดินอียิปต์ต่อหน้าต่อตาบรรดาประชาชาติ เพื่อเราจะได้เป็นพระเจ้าของพวกเขา เราคือยาห์เวห์"
46 เหล่านี้เป็นบัญญัติ กฎเกณฑ์ และกฎหมายต่างๆ ที่พระยาห์เวห์ได้ทรงกระทำไว้ระหว่างพระองค์เองกับคนอิสราเอลที่ภูเขาซีนายโดยผ่านทางโมเสส
1 พระยาห์เวห์ได้ตรัสแก่โมเสสว่า 2 "จงกล่าวแก่คนอิสราเอลและบอกพวกเขาว่า 'ถ้าผู้ใดปฏิญาณตนเป็นพิเศษต่อพระยาห์เวห์ ให้ใช้การประเมินค่าดังต่อไปนี้ 3 มาตรฐานราคาของพวกเจ้าสำหรับผู้ชายหนึ่งคนจากอายุยี่สิบถึงหกสิบปีต้องมีค่าเป็นเงินห้าสิบเชเขล ตามเชเขลของสถานนมัสการ
4 สำหรับผู้หญิงหนึ่งคนที่มีอายุุช่วงอายุเท่ากัน มาตรฐานราคาของพวกเจ้าต้องมีค่าสามสิบเชเขล 5 จากอายุห้าปีถึงอายุยี่สิบปี มาตรฐานราคาของพวกเจ้าสำหรับผู้ชายต้องมีค่ายี่สิบเชเขลและสำหรับผู้หญิงมีค่าสิบเชเขล 6 จากอายุหนึ่งเดือนจนถึงอายุห้าปี มาตรฐานราคาของพวกเจ้าสำหรับผู้ชายต้องมีค่าเป็นเงินห้าเชเขล และสำหรับผู้หญิงมีค่าเป็นเงินสามเชเขล
7 จากอายุหกสิบปีขึ้นไป สำหรับผู้ชายคนหนึ่ง มาตรฐานราคาของพวกเจ้าต้องมีค่าสิบห้าเชเขล และสำหรับผู้หญิงคนหนึ่งมีค่าสิบเชเขล 8 แต่ถ้าคนที่ทำการปฏิญาณตนไม่สามารถจ่ายตามราคามาตรฐานได้ ก็ต้องให้คนที่จะถวายไปพบปุโรหิต และปุโรหิตจะตีค่าราคาบุคคลนั้นตามราคาที่ผู้ที่ทำการปฏิญาณตนนั้นสามารถจัดหามาได้
9 ถ้ามีบางคนต้องการถวายสัตว์ตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาแด่พระยาห์เวห์ และถ้าพระยาห์เวห์ทรงยอมรับเครื่องบูชานั้น สัตว์นั้นก็จะถูกแยกไว้แด่พระองค์ 10 คนนั้นต้องไม่เอาอะไรมาแทนหรือสับเปลี่ยนสัตว์ตัวนั้น ไม่ว่าจะเอาตัวที่ไม่ดีมาแทนตัวที่ดีหรือเอาตัวที่ดีมาแทนตัวที่ไม่ดี ถ้าเขาได้เอาตัวหนึ่งมาสับเปลี่ยนอีกตัวหนึ่ง ทั้งตัวที่นำมาเปลี่ยนและตัวที่ถูกสับเปลี่ยนจะกลายเป็นของบริสุทธิ์ทั้งคู่
11 แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าของถวายที่คนนั้นได้ปฏิญาณที่จะถวายแด่พระยาห์เวห์เป็นของมลทิน พระยาห์เวห์ก็จะไม่ทรงยอมรับของถวายนั้น แล้วคนนั้นต้องนำสัตว์นั้นไปหาปุโรหิต 12 ปุโรหิตจะตีราคาสัตว์นั้นตามราคาตลาดของสัตว์นั้นๆ ไม่ว่าปุโรหิตตีราคาสัตว์นั้นเท่าไรก็จะเป็นราคาของสัตว์นั้น 13 ถ้าเจ้าของต้องการไถ่คืน ก็ต้องเพิ่มราคาอีกหนึ่งในห้าของราคาไถ่
14 เมื่อผู้ใดถวายบ้านของตนให้เป็นของถวายบริสุทธิ์แด่พระยาห์เวห์ ปุโรหิตก็จะตีราคาทั้งของที่ดีและไม่ดี ไม่ว่าปุโรหิตตีราคาเท่าไรก็จะเป็นไปตามนั้น 15 แต่ถ้าเจ้าของที่ถวายบ้านของตนต้องการไถ่บ้านคืน เขาก็ต้องเพิ่มอีกหนึ่งในห้าของราคาไถ่ถอนบ้านนั้น แล้วบ้านก็จะเป็นของเขา
16 ถ้าผู้ใดถวายที่ดินบางส่วนของเขา ราคาของที่ดินนั้นจะไปเป็นตามปริมาณของเมล็ดที่ได้หว่านลงไป ข้าวบาร์เล่ย์หนึ่งโฮเมอร์จะมีค่าเท่ากับเงินห้าสิบเชเขล 17 ถ้าเขาถวายที่ดินของเขาในช่วงปีแห่งการเฉลิมฉลอง ที่ดินก็จะมีราคาเต็ม 18 แต่ถ้าเขาถวายที่ดินหลังจากปีแห่งการเฉลิมฉลอง ปุโรหิตก็ต้องคำนวณราคาของที่ดินตามจำนวนปีที่เหลือจนกว่าจะถึงปีแห่งการเฉลิมฉลองในครั้งต่อไป และต้องหักราคานั้นออกเสีย
19 ถ้าผู้ใดที่ถวายที่ดินนั้นอยากจะไถ่ที่ดินคืน เขาก็ต้องเพิ่มราคาอีกหนึ่งในห้าเข้าไป แล้วที่ดินก็จะเป็นของเขา 20 ถ้าเขาไม่ไถ่ถอนที่ดินคืน หรือถ้าเขาได้ขายที่ดินนั้นให้แก่อีกคนหนึ่ง ก็ไม่สามารถไถ่ที่ดินนั้นคืนได้อีก
21 แต่เมื่อที่ดินนั้นถูกปลดปล่อยในปีแห่งการเฉลิมฉลอง ก็จะตกเป็นของถวายบริสุทธิ์แด่พระยาห์เวห์แทน เหมือนเป็นที่ดินที่ได้ถวายแด่พระยาห์เวห์อย่างสมบูรณ์ ที่ดินนั้นจะเป็นกรรมสิทธิ์ของปุโรหิต 22 ถ้าผู้ใดถวายที่ดินที่เขาได้ซื้อไว้ แต่ที่ดินนั้นไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งจากที่ดินของครอบครัวของเขา
23 แล้วปุโรหิตก็จะประเมินราคาที่ดินไปจนถึงปีแห่งการเฉลิมฉลอง และผู้นั้นต้องจ่ายราคาที่ดินในวันนั้นให้เป็นของถวายบริสุทธิ์แด่พระยาห์เวห์ 24 ในปีแห่งการเฉลิมฉลองที่ดินนั้นก็จะกลับคืนให้แก่คนที่เขาได้ไปซื้อมา แก่เจ้าของที่ดินเดิม 25 การประเมินราคาทั้งหมดต้องเป็นไปตามน้ำหนักเชเขลของสถานนมัสการ ยี่สิบเก-ราห์ต้องมีค่าเท่ากับหนึ่งเชเขล
26 ไม่ให้ใครเอาลูกสัตว์หัวปีจากฝูงมาถวาย เพราะลูกสัตว์หัวปีเป็นของพระยาห์เวห์อยู่แล้ว ไม่ว่าโคหรือแกะ สัตว์นั้นเป็นของพระยาห์เวห์ 27 ถ้าเป็นสัตว์ที่เป็นมลทิน เจ้าของก็สามารถซื้อกลับคืนได้ตามราคาของมัน และต้องเพิ่มราคาอีกหนึ่งในห้า ถ้าสัตว์นั้นไม่ถูกไถ่คืน ก็จะถูกขายตามราคาที่กำหนดไว้
28 แต่อะไรที่เขาอุทิศถวายแด่พระยาห์เวห์ จากทุกสิ่งที่เขามีไม่ว่าเป็นคนหรือสัตว์ หรือที่ดินของครอบครัว จะถูกขายหรือถูกไถ่ถอนไม่ได้ ทุกสิ่งที่ได้อุทิศถวายเป็นสิ่งบริสุทธิ์ที่สุดแด่พระยาห์เวห์ 29 ไม่มีการจ่ายค่าไถ่ถอนสำหรับคนที่ถูกมอบไว้เพื่อให้ถูกทำลาย คนนั้นต้องมีโทษถึงตาย
30 สิบลดทั้งหมดของแผ่นดิน ไม่ว่าเป็นเมล็ดข้าวบนแผ่นดินหรือผลจากต้นไม้ต่างๆ เป็นของพระยาห์เวห์ เป็นของบริสุทธิ์แด่พระยาห์เวห์ 31 ถ้าคนใดไถ่ถอนสิบลดใดๆ ของเขา เขาต้องเพิ่มราคาเข้าไปอีกหนึ่งในห้า 32 และทุกตัวที่สิบตัวของฝูงโคหรือฝูงแพะแกะ ไม่ว่าอะไรที่ผ่านการถูกนับด้วยไม้เท้าของผู้เลี้ยงแกะ หนึ่งในสิบนั้นต้องถวายแด่พระยาห์เวห์
33 ผู้เลี้ยงแกะต้องไม่มองหาสัตว์ที่ดีกว่าหรือแย่กว่า และเขาต้องไม่สับเปลี่ยนกับอีกตัวหนึ่ง ถ้าเขาสับเปลี่ยน ทั้งตัวที่นำมาเปลี่ยนและตัวที่ถูกสับเปลี่ยนก็จะเป็นของบริสุทธิ์ ไม่สามารถไถ่ถอนได้'" 34 เหล่านี้เป็นพระบัญญัติต่างๆ ที่พระยาห์เวห์ประทานให้แก่โมเสสสำหรับคนอิสราเอลที่ภูเขาซีนาย
1 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสในเต๊นท์นัดพบในถิ่นทุรดันดารซีนาย เหตุการณ์นี้ได้เกิดขึ้นในวันที่หนึ่งของเดือนที่สองในช่วงปีที่สอง หลังจากที่คนอิสราเอลได้ออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ พระยาห์เวห์ตรัสว่า 2 "จงทำสำมะโนครัวของผู้ชายอิสราเอลทุกคนในแต่ละตระกูล ในครอบครัวของบิดาของพวกเขา จงนับพวกเขาตามรายชื่อ จงนับผู้ชายทุกคน แต่ละคน 3 ที่มีอายุยี่สิบปีหรือมีอายุมากกว่านั้น จงนับทุกคนที่สามารถออกรบเป็นทหารให้กับอิสราเอลได้ เจ้ากับอาโรนต้องจดบันทึกจำนวนของผู้ชายในกลุ่มคนที่ติดอาวุธของพวกเขา
4 ผู้ชายที่เป็นหัวหน้าตระกูลจากแต่ละเผ่าต้องทำงานร่วมกับเจ้าในการเป็นผู้นำเผ่าของเขา ผู้นำแต่ละคนต้องนำผู้ชายที่จะสู้รบเพื่อเผ่าของเขามา 5 เหล่านี้เป็นรายชื่อของผู้นำที่ต้องสู้รบร่วมกับเจ้า คือ เอลีซูร์บุตรเชเดเออร์ จากเผ่ารูเบน 6 เชลูมิเอลบุตรศูริชัดดัยจากเผ่าสิเมโอน 7 นาโชนบุตรอัมมีนาดับ จากเผ่ายูดาห์
8 เนธันเอลบุตรศุอาร์ จากเผ่าอิสสาคาร์ 9 เอลีอับบุตรเฮโลน จากเผ่าเศบูลุน 10 เอลีชามาบุตรอัมมีฮูด จากเผ่าเอฟราอิมบุตรของโยเซฟ กามาลิเอลบุตรเปดาห์ซูร์ จากเผ่ามนัสเสห์ 11 อาบีดันบุตรกิเดโอนี จากเผ่าเบนยามิน
12 อาหิเยเซอร์บุตรอัมมีชัดดัย จากเผ่าดาน 13 ปากีเอลบุตรโอคราน จากเผ่าอาเชอร์ 14 เอลียาสาฟบุตรเดอูเอล จากเผ่ากาด 15 อาหิราบุตรเอนัน จากเผ่านัฟทาลี"
16 คนเหล่านี้เป็นพวกผู้ชายที่ได้รับการแต่งตั้งจากประชาชน พวกเขาได้นำเผ่าของบรรพบุรุษของพวกเขา พวกเขาเป็นผู้นำตระกูลในอิสราเอล 17 โมเสสและอาโรนได้นำคนเหล่านี้ที่ได้จดบันทึกตามรายชื่อ 18 และท่านทั้งสองพร้อมกับคนเหล่านี้ทั้งหมดได้ประชุมผู้ชายอิสราเอลทุกคน ในวันที่หนึ่งเดือนสอง จากนั้น ผู้ชายแต่ละคนที่มีอายุยี่สิบปีหรือมีอายุมากกว่านั้นได้ระบุชื่อบรรพบุรุษของเขา เขาต้องบอกชื่อตระกูลและครอบครัวที่สืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษของเขา
19 หลังจากที่โมเสสได้จดบันทึกจำนวนของพวกเขาในถิ่นทุรกันดารซีนาย ตามที่พระยาห์เวห์ได้ทรงบัญชาให้ท่านทำแล้ว 20 รายชื่อทั้งหมดของแต่ละคนที่นับได้จากพงศ์พันธุ์รูเบน บุตรหัวปีของอิสราเอล และผู้ชายทุกคนที่มีอายุยี่สิบปีหรือมีอายุมากกว่านั้นที่สามารถออกรบได้ จากการจดบันทึกของตระกูลและครอบครัวของบรรพบุรุษของพวกเขา 21 พวกเขานับจำนวนผู้ชายจากเผ่ารูเบนได้ 46,500 คน
22 รายชื่อทั้งหมดของแต่ละคนที่นับได้จากพงศ์พันธุ์สิเมโอน และผู้ชายทุกคนที่มีอายุยี่สิบปีหรือมีอายุมากกว่านั้นที่สามารถออกรบได้ จากการจดบันทึกของตระกูลและครอบครัวของบรรพบุรุษของพวกเขา 23 พวกเขานับจำนวนผู้ชายจากเผ่าสิเมโอนได้ 59,300 คน 24 รายชื่อทั้งหมดของแต่ละคนที่นับได้จากพงศ์พันธุ์กาด และผู้ชายทุกคนที่มีอายุยี่สิบปีหรือมีอายุมากกว่านั้นที่สามารถออกรบได้ จากการจดบันทึกของตระกูลและครอบครัวของบรรพบุรุษของพวกเขา 25 พวกเขานับจำนวนผู้ชายจากเผ่ากาดได้ 45,650 คน
26 รายชื่อทั้งหมดของแต่ละคนที่นับได้จากพงศ์พันธุ์ยูดาห์ และผู้ชายทุกคนที่มีอายุยี่สิบปีหรือมีอายุมากกว่านั้นที่สามารถออกรบได้ จากการจดบันทึกของตระกูลและครอบครัวของบรรพบุรุษของพวกเขา 27 พวกเขานับจำนวนผู้ชายจากเผ่ายูดาห์ได้ 74,600 คน 28 รายชื่อทั้งหมดของแต่ละคนที่นับได้จากเผ่าอิสสาคาร์ และผู้ชายทุกคนที่มีอายุยี่สิบปีหรือมีอายุมากกว่านั้นที่สามารถออกรบได้ จากการจดบันทึกของตระกูลและครอบครัวของบรรพบุรุษของพวกเขา 29 พวกเขานับจำนวนผู้ชายจากเผ่าอิสสาคาร์ได้ 54,400 คน
30 รายชื่อทั้งหมดของแต่ละคนที่นับได้จากพงศ์พันธุ์เศบูลุน และผู้ชายทุกคนที่มีอายุยี่สิบปีหรือมีอายุมากกว่านั้นที่สามารถออกรบได้ จากการจดบันทึกของตระกูลและครอบครัวของบรรพบุรุษของพวกเขา 31 พวกเขานับจำนวนผู้ชายจากเผ่าเศบูลุนได้ 57,400 คน 32 รายชื่อทั้งหมดของแต่ละคนที่นับได้จากพงศ์พันธุ์เอฟราอิมบุตรชายของโยเซฟ และผู้ชายทุกคนที่มีอายุยี่สิบปีหรือมีอายุมากกว่านั้นที่สามารถออกรบได้ จากการจดบันทึกของตระกูลและครอบครัวของบรรพบุรุษของพวกเขา 33 พวกเขานับจำนวนผู้ชายจากเผ่าเอฟราอิมได้ 40,500 คน
34 รายชื่อทั้งหมดของแต่ละคนที่นับได้จากพงศ์พันธุ์มนัสเสห์บุตรชายของโยเซฟ และผู้ชายทุกคนที่มีอายุยี่สิบปีหรือมีอายุมากกว่านั้นที่สามารถออกรบได้ จากการจดบันทึกของตระกูลและครอบครัวของบรรพบุรุษของพวกเขา 35 พวกเขานับจำนวนผู้ชายจากเผ่ามนัสเสห์ได้ 32,200 คน 36 รายชื่อทั้งหมดของแต่ละคนที่นับได้จากพงศ์พันธุ์เบนยามิน และผู้ชายทุกคนที่มีอายุยี่สิบปีหรือมีอายุมากกว่านั้นที่สามารถออกรบได้ จากการจดบันทึกของตระกูลและครอบครัวของบรรพบุรุษของพวกเขา 37 พวกเขานับจำนวนผู้ชายจากเผ่าเบนยามินได้ 35,400 คน
38 รายชื่อทั้งหมดของแต่ละคนที่นับได้จากพงศ์พันธุ์ดาน และผู้ชายทุกคนที่มีอายุยี่สิบปีหรือมีอายุมากกว่านั้นที่สามารถออกรบได้ จากการจดบันทึกของตระกูลและครอบครัวของบรรพบุรุษของพวกเขา 39 พวกเขานับจำนวนผู้ชายจากเผ่าดานได้ 62,700 คน 40 รายชื่อทั้งหมดของแต่ละคนที่นับได้จากพงศ์พันธุ์อาเชอร์ และผู้ชายทุกคนที่มีอายุยี่สิบปีหรือมีอายุมากกว่านั้นที่สามารถออกรบได้ จากการจดบันทึกของตระกูลและครอบครัวของบรรพบุรุษของพวกเขา 41 พวกเขานับจำนวนผู้ชายจากเผ่าอาเชอร์ได้ 41,500 คน
42 รายชื่อทั้งหมดของแต่ละคนที่นับได้จากพงศ์พันธุ์นัฟทาลี และผู้ชายทุกคนที่มีอายุยี่สิบปีหรือมีอายุมากกว่านั้นที่สามารถออกรบได้ จากการจดบันทึกของตระกูลและครอบครัวของบรรพบุรุษของพวกเขา 43 พวกเขานับจำนวนผู้ชายจากเผ่านัฟทาลีได้ 53,400 คน 44 โมเสสและอาโรนนับพวกผู้ชายเหล่านี้ทุกคน รวมทั้งผู้ชายสิบสองคนที่เป็นผู้นำของสิบสองเผ่าของอิสราเอล 45 เพราะฉะนั้น ผู้ชายอิสราเอลทุกคนที่มีอายุยี่สิบปีและมีอายุมากกว่านั้นที่สามารถออกรบได้ ที่ได้นับในแต่ละครอบครัวของพวกเขา 46 พวกเขานับจำนวนผู้ชายได้ 603,550 คน
47 แต่ไม่ได้นับพวกผู้ชายที่สืบเชื้อสายจากเลวี 48 เพราะพระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า 49 "เจ้าไม่ต้องนับจำนวนคนเผ่าเลวี หรือรวมพวกเขาในจำนวนรวมทั้งหมดของคนอิสราเอล
50 แทนที่จะทำเช่นนั้น จงมอบหมายให้พวกเลวีดูแลพลับพลาแห่งพันธสัญญาพระบัญชา และดูแลเครื่องใช้ทุกอย่างในพลับพลา และดูแลทุกสิ่งที่อยู่ในพลับพลานั้น พวกเลวีต้องขนพลับพลา และพวกเขาต้องขนเครื่องใช้ของพลับพลา พวกเขาต้องดูแลพลับพลาและตั้งค่ายล้อมรอบพลับพลา 51 และเมื่อมีการย้ายพลับพลาไปยังอีกที่หนึ่ง พวกเลวีต้องรื้อพลับพลาลง เมื่อมีการตั้งพลับพลาขึ้น พวกเลวีต้องตั้งพลับพลาขึ้น คนแปลกหน้าคนใดที่เข้ามาใกล้พลับพลาจะต้องตาย
52 เมื่อคนอิสราเอลตั้งเต๊นท์ของตน ผู้ชายแต่ละคนต้องตั้งเต๊นท์ใกล้กับธงที่เป็นของกลุ่มคนติดอาวุธของเขา 53 อย่างไรก็ตาม พวกเลวีต้องตั้งเต๊นท์ของตนล้อมรอบพลับพลาแห่งพันธสัญญาพระบัญชา เพื่อที่ความโกรธของเราจะไม่ลงมาเหนือคนอิสราเอล พวกเลวีต้องดูแลพลับพลาแห่งพันธสัญญาพระบัญชา 54 คนอิสราเอลก็ทำทุกสิ่งเหล่านี้ พวกเขาทำทุกอย่างตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาผ่านทางโมเสส
1 พระยาเวห์ตรัสกับโมเสสและอาโรนอีกครั้ง พระองค์ตรัสว่า 2 "คนอิสราเอลแต่ละคนต้องตั้งค่ายพักล้อมรอบธงของตน ตามธงของครอบครัวของบรรพบุรุษของตน พวกเขาจะตั้งค่ายพักล้อมรอบเต็นท์นัดพบทุกด้าน
3 ค่ายพักเหล่านั้นที่จะตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเต็นท์นัดพบ ที่ดวงอาทิตย์ขึ้น ค่ายพักเหล่านั้นเป็นค่ายพักของยูดาห์ และพวกเขาตั้งค่ายพักภายใต้ธงของตน นาห์โชนบุตรอัมมีนาดับเป็นผู้นำของคนยูดาห์ 4 จำนวนคนยูดาห์ คือ 74,600 คน 5 เผ่าอิสสาคาร์ต้องตั้งค่ายพักถัดไปจากยูดาห์ เนธันเอลบุตรศูอาร์ ต้องนำกองทหารของอิสสาคาร์ 6 จำนวนคนในกองของเขา คือ 54,400 คน
7 เผ่าเศบูลุนต้องตั้งค่ายพักถัดไปจากอิสสาคาร์ เอลีอับบุตรเฮโลนต้องนำกองทหารของเศบูลุน 8 จำนวนคนในกองของเขา คือ 57,400 คน 9 จำนวนคนทั้งหมดของค่ายพักของยูดาห์ คือ 186,400 คน พวกเขาจะออกเดินทางเป็นลำดับแรก
10 ทางด้านทิศใต้ จะเป็นค่ายพักของรูเบนภายใต้ธงของพวกเขา ผู้นำค่ายพักของรูเบน คือ เอลีซูร์บุตรเชเดเออร์ 11 จำนวนคนในกองของเขา คือ 46,500 คน 12 เผ่าสิเมโอนตั้งค่ายพักถัดไปจากรูเบน ผู้นำของสิเมโอนคือเชลูมิเอลบุตรศูริชัดดัย 13 คนเหล่านั้นที่นับได้ในกองของเขา คือ 59,300 คน
14 เผ่ากาดอยู่ถัดไป ผู้นำของคนของพระเจ้า คือ เอลีอาสาฟ บุตรเดอูเอล 15 จำนวนคนในกองของเขา คือ 45,650 คน 16 คนทั้งหมดที่นับได้ในค่ายพักรูเบน ตามกองของพวกเขา คือ 151,450 คน พวกเขาจะออกเดินทางเป็นลำดับที่สอง
17 ต่อจากนั้น เต็นท์นัดพบต้องออกมาจากค่ายพักพร้อมกับคนเลวีที่อยู่ตรงกลางของค่ายพักทั้งหมด พวกเขาต้องออกมาจากค่ายให้เป็นระเบียบเช่นเดียวกับที่พวกเขาเข้าไปในค่ายพัก ผู้ชายทุกคนต้องอยู่ในที่ของเขา ตามธงของเขา 18 กองของค่ายพักของเอฟราอิมอยู่ภายใต้ธงของพวกเขา ผู้นำของพวกเขา คือ เอลีชามาบุตรอัมมีฮูด 19 จำนวนคนในกองของเขาคือ 40,500 คน
20 ถัดจากพวกเขาไปคือ เผ่ามนัสเสห์ ผู้นำของมนัสเสห์ คือ กามาลิเอลบุตรเปดาห์ซูร์ 21 จำนวนคนในกองของเขา คือ 32,200 คน 22 ถัดไปจะเป็นเผ่าเบนยามิน ผู้นำของเบนยามิน คืออาบีดัน บุตรกิเดโอนี 23 จำนวนคนในกองของเขา คือ 35,400 คน
24 จำนวนคนทั้งหมดที่นับได้ในค่ายพักของเอฟราอิม คือ 108,100 คน พวกเขาจะออกเดินทางเป็นลำดับที่สาม 25 ทางด้านทิศเหนือ จะเป็นกองของค่ายพักของดาน ผู้นำของคนดาน คืออาหิเยเซอร์ บุตรอัมมีชัดดัย 26 จำนวนคนในกองของเขา คือ 62,700 คน
27 คนของเผ่าอาเชอร์ตั้งค่ายพักถัดไปจากดาน ผู้นำของอาเชอร์ คือ ปากิเอลบุตรโอคราน 28 จำนวนคนในกองของเขาคือ 41,500 คน 29 เผ่านัฟทาลีอยู่ถัดไป ผู้นำของนัฟทาลี คือ อาหิราบุตรเอนัน 30 จำนวนคนในกองของเขาคือ 53,400 คน
31 จำนวนคนทั้งหมดที่นับได้ในค่ายพักที่อยู่กับดาน คือ 157,600 คน พวกเขาจะออกจากค่ายพักไปเป็นลำดับสุดท้าย ภายใต้ธงของพวกเขา" 32 คนเหล่านี้คือคนอิสราเอลที่นับได้ตามครอบครัวของพวกเขา จำนวนคนเหล่านั้นที่นับได้ทั้งหมดในค่ายพักของพวกเขา ตามกองต่าง ๆ ของพวกเขา คือ 603,550 คน
33 แต่โมเสสกับอาโรนไม่ได้นับคนเลวีที่อยู่ท่ามกลางคนอิสราเอล นี่เป็นไปตามที่พระยาห์เวห์ได้ทรงบัญชากับโมเสสไว้ 34 คนอิสราเอลได้ทำทุกสิ่งตามที่พระยาห์เวห์ได้ทรงบัญชากับโมเสส พวกเขาตั้งค่ายพักตามธงของพวกเขา พวกเขาออกไปจากค่ายตามตระกูลของพวกเขาเรียงลำดับตามครอบครัวของบรรพบุรุษของพวกเขา
1 ตอนนี้ นี่เป็นประวัติศาสตร์ของพงศ์พันธ์ุของอาโรนและโมเสส เมื่อพระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสบนภูเขาซีนาย 2 ชื่อบุตรชายของอาโรน คือ นาดับบุตรหัวปี และอาบีฮู เอเลอาซาร์ และอิธามาร์ 3 เหล่านี้เป็นชื่อของบรรดาบุตรชายของอาโรน ผู้ที่ได้รับการเจิมเป็นปุโรหิต และผู้ที่ได้รับการสถาปนาให้ทำหน้าที่เป็นปุโรหิต 4 แต่นาดับและอาบีฮูได้ล้มลงตายต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ เมื่อพวกเขาได้ถวายไฟที่ต้องห้ามแด่พระองค์ในถิ่นทุรกันดารซีนาย นาดับและอาบีฮูไม่มีบุตร ดังนั้น เอเลอาซาร์กับอิธามาร์จึงทำหน้าที่เป็นปุโรหิตกับอาโรนบิดาของพวกเขา
5 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสส พระองค์ตรัสว่า 6 "จงนำเผ่าเลวีมา และให้พวกเขาอยู่ต่อหน้าอาโรนปุโรหิต เพื่อให้พวกเขาช่วยท่าน 7 พวกเขาต้องปฏิบัติหน้าที่แทนอาโรนและแทนชุมชนทั้งหมดที่หน้าเต็นท์นัดพบ พวกเขาต้องทำงานรับใช้ในพลับพลา 8 พวกเขาต้องดูแลเครื่องใช้ทุกอย่างในเต็นท์นัดพบ และพวกเขาต้องช่วยบรรดาเผ่าของอิสราเอลในการทำหน้าที่ขนย้ายพลับพลา
9 เจ้าต้องมอบคนเลวีให้กับอาโรนและบุตรชายของเขา พวกเขาถูกมอบไว้ให้ช่วยเขาทำงานรับใช้คนอิสราเอลตลอดไป 10 เจ้าต้องแต่งตั้งอาโรนและพวกบุตรของเขาให้เป็นปุโรหิต แต่คนต่างชาติคนใดที่เข้ามาใกล้ต้องถูกลงโทษถึงตาย
11 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสส พระองค์ตรัสว่า 12 "ดูสิ เราได้เลือกคนเลวีจากท่ามกลางคนอิสราเอล เราได้ทำเช่นนี้ แทนที่จะเลือกบุตรชายหัวปีแต่ละคนที่เกิดมาท่ามกลางคนอิสราเอล คนเลวีเป็นของเรา 13 บุตรหัวปีทั้งหมดเป็นของเรา ในวันที่เราได้ประหารบุตรหัวปีทั้งหมดในแผ่นดินอียิปต์ เราได้แยกลูกหัวปีทั้งหมดในอิสราเอลออกมาเพื่อเราเอง ทั้งคนและสัตว์ พวกเขาทั้งหมดเป็นของเรา เราคือยาห์เวห์"
14 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสในถิ่นทุรกันดารซีนาย พระองค์ตรัสว่า 15 "จงนับพงศ์พันธุ์ของเลวีในแต่ละครอบครัว ในวงศ์วานบรรพบุรุษของพวกเขา จงนับผู้ชายทุกคนที่มีอายุหนึ่งเดือนขึ้นไป 16 โมเสสก็นับพวกเขาตามคำตรัสของพระยาห์เวห์ ตามที่พระองค์ทรงบัญชาให้ทำ
17 ชื่อของพวกบุตรชายของเลวี คือเกอร์โชน โคฮาทและเมรารี 18 ตระกูลที่มาจากบุตรของเกอร์โชน คือลิบนีและชิเมอี 19 ตระกูลที่มาจากบุตรของโคฮาทคืออัมราม อิสฮาร์ เฮโบรน และอุสซีเอล
20 ตระกูลที่มาจากบุตรของเมรารี คือมาห์ลีและมูชี ชื่อเหล่านี้เป็นตระกูลของคนเลวีที่จดรายชื่อตระกูลต่อตระกูล 21 ตระกูลที่มาจากคนลิบนี และคนชิเมอีมาจากเกอร์โชน คนเหล่านี้เป็นตระกูลของคนเกอร์โชน 22 ผู้ชายทุกคนที่มีอายุหนึ่งเดือนขึ้นไปที่นับได้ รวมทั้งหมด 7,500 คน
23 ตระกูลของคนเกอร์โชนต้องตั้งค่ายพักทางด้านทิศตะวันตกของพลับพลา 24 เอลีอาสาฟบุตรของลาเอลต้องนำตระกูลของพงศ์พันธุ์ของคนเกอร์โชน 25 ครอบครัวของเกอร์โชนต้องดูแลเต็นท์นัดพบรวมทั้งพลับพลาด้วย พวกเขาต้องดูแลเต็นท์นั้น สิ่งที่ปกคลุมเต็นท์ และม่านที่ใช้เป็นทางเข้าของเต็นท์นัดพบ 26 พวกเขาต้องดูแลม่านบังลาน ม่านที่ทางเข้าลาน ที่อยู่รอบสถานนมัสการและแท่นบูชา พวกเขาต้องดูแลเชือกโยงของเต็นท์นัดพบและดูแลทุกอย่างที่อยู่ในนั้น
27 ตระกูลเหล่านี้มาจากโคฮาท คือตระกูลของคนอัมราม และตระกูลของคนอิสฮาร์ ตระกูลของคนเฮโบรน และตระกูลของคนอุสซีเอล ตระกูลเหล่านี้เป็นคนของโคฮาท 28 ผู้ชายที่มีอายุหนึ่งเดือนขึ้นไปที่นับได้ 8,600 คน ที่จะดูแลสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นของพระยาห์เวห์ 29 ครอบครัวของพงศ์พันธุ์ของโคฮาทต้องตั้งค่ายพักทางด้านทิศใต้ของพลับพลา 30 เอลีซาฟานบุตรของอุสซีเอลจะต้องนำตระกูลของคนโคฮาท 31 พวกเขาต้องดูแลหีบพระบัญญัติ โต๊ะ คันประทีป แท่นบูชาและสิ่งบริสุทธิ์ที่ใช้ในการปรนนิบัติของพวกเขา ม่าน และงานทุกอย่างที่อยู่บริเวณโดยรอบนั้น
32 เอเลอาซาร์บุตรอาโรนปุโรหิตต้องเป็นผู้นำของหัวหน้าคนเลวี เขาต้องกำกับดูแลคนที่ดูแลสถานศักดิ์สิทธิ์ 33 มีสองตระกูลที่มาจากคนเมรารี คือตระกูลของคนมาห์ลีและตระกูลของคนมูชี ตระกูลเหล่านี้มาจากเมรารี 34 ผู้ชายที่มีอายุหนึ่งเดือนขึ้นไปที่นับได้ 6,200 คน
35 ศุรีเอลบุตรชายของอาบีฮาอิลต้องนำตระกูลของเมรารี พวกเขาต้องตั้งค่ายพักทางด้านทิศเหนือของพลับพลา 36 พงศ์พันธุ์ของเมรารีต้องดูแลไม้กรอบของพลับพลา คาน ไม้เสา และฐานรอง และส่วนประกอบทั้งหมด และรวมถึงทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้ 37 เสาหลักและไม้เสาของลานที่อยู่รอบพลับพลา พร้อมกับข้อต่อ หลักหมุดและเชือกโยง
38 โมเสสและอาโรนกับบรรดาบุตรชายของท่านต้องตั้งค่ายพักทางด้านทิศตะวันออกของพลับพลาที่อยู่ข้างหน้าเต็นท์นัดพบตรงด้านที่ดวงอาทิตย์ขึ้น พวกเขารับผิดชอบในการปฏิบัติภารกิจของหน้าที่ในสถานนมัสการและหน้าที่ของคนอิสราเอล คนต่างชาติที่เข้ามาใกล้สถานนมัสการต้องมีโทษถึงตาย 39 โมเสสกับอาโรนได้นับผู้ชายทั้งหมดในตระกูลของเลวีที่มีอายุหนึ่งเดือนขึ้นไป ตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาไว้ พวกเขานับได้สองหมื่นสองพันคน
40 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า "จงนับบุตรชายหัวปีทั้งหมดของคนอิสราเอลที่มีอายุหนึ่งเดือนขึ้นไป จงจดรายชื่อของพวกเขา 41 เจ้าต้องนำเอาคนเลวีให้กับเรา เราคือยาห์เวห์ แทนบุตรหัวปีทั้งหมดของคนอิสราเอลและฝูงสัตว์ของคนเลวี แทนลูกหัวปีของฝูงสัตว์ของพงศ์พันธุ์อิสราเอล 42 โมเสสนับบุตรหัวปีทั้งหมดของคนอิสราเอล ตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาท่านให้ทำ 43 ท่านนับบุตรชายหัวปีทุกคนตามชื่อที่มีอายุหนึ่งเดือนขึ้นไป ท่านนับได้ 22,273 คน
44 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสอีกครั้งหนึ่ง พระองค์ตรัสว่า 45 "จงนำเอาคนเลวีมาแทนที่บุตรหัวปีทุกคนที่อยู่ท่ามกลางคนอิสราเอล และนำเอาฝูงสัตว์ของคนเลวีมาแทนฝูงสัตว์ของชุมชนนั้น คนเลวีเป็นของเรา เราคือยาห์เวห์
46 เจ้าต้องเก็บเงินคนละห้าเชเขลเพื่อเป็นค่าไถ่บุตรหัวปีของคนอิสราเอล 273 คนที่เกินจำนวนของคนเลวี 47 เจ้าต้องใช้เชเขลของสถานนมัสการเป็นตัวกำหนดการชั่งน้ำหนักของเจ้า หนึ่งเชเขลมีค่าเท่ากับยี่สิบเกราห์ 48 เจ้าต้องมอบเงินค่าไถ่ที่เจ้าจ่ายให้กับอาโรนและบรรดาบุตรของเขา"
49 ดังนั้น โมเสสจึงเก็บค่าไถ่จากคนเหล่านั้นที่เกินจากจำนวนของคนที่คนเลวีได้ไถ่ไว้แล้ว 50 โมเสสเก็บเงินจากบุตรหัวปีของคนอิสราเอล ท่านเก็บได้ 1,365 เชเขล ที่ชั่งน้ำหนักตามเชเขลของสถานนมัสการ 51 โมเสสได้มอบเงินค่าไถ่นั้นให้กับอาโรนและพวกบุตรของท่าน โมเสสได้ทำทุกอย่างตามคำตรัสของพระยาเวห์ที่ทรงบอกให้ท่านทำ ตามที่พระยาห์เวห์ได้ทรงบัญชาท่านไว้
1 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสและกับอาโรน พระองค์ตรัสว่า 2 "จงทำสำมะโนครัวของผู้ชายพงศ์พันธุ์ของโคฮาทจากท่ามกลางคนเลวี ตามตระกูลและครอบครัวของบรรพบุรุษของพวกเขา 3 จงนับผู้ชายทุกคนที่มีอายุสามสิบปีถึงห้าสิบปี ผู้ชายเหล่านี้ต้องเข้าร่วมกับกลุ่มคนที่จะปฏิบัติหน้าที่ในเต็นท์นัดพบ 4 พงศ์พันธุ์ของโคฮาทต้องดูแลสิ่งที่บริสุทธิ์ที่สุดที่สงวนไว้สำหรับเราในเต็นท์นัดพบ
5 เมื่อค่ายพักเตรียมที่จะเคลื่อนย้ายออกไป อาโรนกับพวกบุตรชายของเขาต้องเข้าไปข้างในเต็นท์นั้น ปลดม่านที่กั้นอภิสุทธิสถานจากวิสุทธิสถาน และคลุมหีบแห่งสักขีพยานด้วยม่านนั้น 6 พวกเขาต้องคลุมหีบนั้นด้วยหนังพะยูน พวกเขาต้องปูผ้าสีฟ้าคลุมหีบนั้นไว้ พวกเขาต้องสอดไม้คานหามเพื่อขนย้ายมันไป
7 พวกเขาต้องปูผ้าสีฟ้าบนโต๊ะขนมปังเฉพาะพระพักตร์ พวกเขาต้องวางจาน ช้อน ชาม และเหยือกสำหรับรินบนโต๊ะนั้น ขนมปังต้องมีอยู่บนโต๊ะเสมอไป 8 พวกเขาต้องคลุมสิ่งเหล่านั้นด้วยผ้าสีแดงเข้มและคลุมทับด้วยหนังพะยูนอีกชั้นหนึ่ง พวกเขาต้องสอดไม้คานหามเพื่อจะขนโต๊ะนั้นไป 9 พวกเขาต้องเอาผ้าสีฟ้ามาและคลุมคันประทีป พร้อมกับตะเกียง คีม ถาด และเหยือกใส่น้ำมันสำหรับตะเกียงทุกใบของคันประทีปนั้น
10 พวกเขาต้องวางคันประทีบและส่วนประกอบของมันทั้งหมดในการห่อด้วยหนังพะยูน และพวกเขาต้องวางมันบนคานหาม 11 พวกเขาต้องปูผ้าสีฟ้าบนแท่นบูชาทองคำ พวกเขาต้องคลุมมันด้วยการห่อด้วยหนังพะยูน และจากนั้นก็สอดไม้คานหาม 12 พวกเขาต้องเอาของใช้ทุกอย่างสำหรับงานในวิสุทธิสถาน และห่อมันด้วยผ้าสีฟ้า พวกเขาต้องคลุมมันด้วยหนังพะยูน และวางของใช้นั้นไว้บนคานหาม
13 พวกเขาต้องเอาขี้เถ้าออกจากแท่นบูชา และปูผ้าสีม่วงบนแท่นบูชานั้น 14 พวกเขาต้องวางของใช้ทุกอย่างที่พวกเขาใช้ในงานเกี่ยวกับแท่นบูชาบนโครงหาม สิ่งของเหล่านี้ คือ ถาดรองไฟ ส้อม พลั่ว ชาม และของใช้อื่น ๆ ทุกอย่างสำหรับแท่นบูชา พวกเขาต้องคลุมแท่นบูชาด้วยหนังพะยูน และจากนั้นก็สอดไม้คานหาม
15 เมื่ออาโรนและพวกบุตรชายของเขาได้คลุมวิสุทธิสถานและของใช้ทุกอย่างของสถานที่นั้นเรียบร้อยแล้ว และในตอนที่จะเคลื่อนย้ายค่ายพักออกไป หลังจากนั้น พงศ์พันธุ์ของโคฮาทต้องเข้ามาขนย้ายวิสุทธิสถานไป ถ้าพวกเขาแตะต้องของใช้บริสุทธิ์ พวกเขาต้องตาย นี่เป็นงานของพงศ์พันธุ์ของโคฮาท คือการขนเครื่องใช้ในเต็นท์นัดพบ 16 เอเลอาซาร์บุตรชายของอาโรนปุโรหิตเป็นผู้ควบคุมการดูแลน้ำมันสำหรับตะเกียง เครื่องหอม และธัญญบูชาประจำ และน้ำมันเจิม เขาควบคุมการดูแลพลับพลาทั้งหมด และทุกสิ่งที่อยู่ในพลับพลานั้น คือวิสุทธิสถานและของใช้ของสถานที่นั้น
17 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสและอาโรน พระองค์ตรัสว่า 18 "อย่าให้ตระกูลเผ่าคนโคฮาทถูกตัดขาดไปจากท่ามกลางคนเลวี 19 จงปกป้องพวกเขา เพื่อที่จะมีชีิวิตอยู่และไม่ตาย โดยการทำเช่นนี้ ตอนที่พวกเขาเข้าใกล้สิ่งบริสุทธิ์ที่สุด 20 พวกเขาต้องไม่เข้าไปข้างในเพื่อจะมองวิสุทธิสถานแม้แต่ชั่วอึดใจเดียว มิฉะนั้น พวกเขาต้องตาย อาโรนและพวกบุตรชายของเขาต้องเข้าไป และจากนั้น อาโรนและพวกบุตรชายของเขาต้องกำหนดให้คนโคฮาทแต่ละคนให้ทำงานของเขา ให้ทำงานเฉพาะของเขา"
21 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสอีกครั้ง พระองค์ตรัสว่า 22 "จงทำสำมะโนครัวของพงศ์พันธุ์ของเกอร์โชนด้วย ตามครอบครัวของบิดาของพวกเขา ตามตระกูลของพวกเขา 23 จงนับคนเหล่านั้นที่มีอายุสามสิบปีถึงห้าสิบปี จงนับพวกเขาทุกคนที่จะเข้าร่วมกับกลุ่มคนที่จะปฏิบัติหน้าที่ในเต็นท์นัดพบ
24 นี่เป็นงานของตระกูลของคนเกอร์โชน เมื่อพวกเขาปฏิบัติหน้าที่ และสิ่งที่พวกเขาต้องขนย้าย 25 พวกเขาต้องขนม่านของพลับพลา เต็นท์นัดพบ และสิ่งที่ห่อหุ้มมัน ที่มีการคลุมด้วยหนังพะยูนที่อยู่บนนั้น และม่านสำหรับทางเข้าของเต็นท์นัดพบ 26 พวกเขาต้องขนม่านของลาน ม่านสำหรับทางเข้าประตูของประตูลาน ที่อยู่ใกล้พลับพลา และใกล้แท่นบูชา เชือกโยงของม่านเหล่านั้น และเครื่องใช้ทุกอย่างสำหรับการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา สิ่งใดก็ตามที่ควรจะทำกับสิ่งเหล่านี้ พวกเขาต้องทำสิ่งนั้น
27 อาโรนและพวกบุตรชายของเขาต้องกำกับดูแลการปฏิบัติหน้าที่ทุกอย่างของพงศ์พันธุ์ของคนเกอร์โชน ในทุกอย่างที่พวกเขาขนย้าย และในการปฏิบัติหน้าที่ทุกอย่างของพวกเขา เจ้าต้องกำหนดความรับผิดชอบทุกอย่างของพวกเขาให้แก่พวกเขา 28 นี่เป็นการปฏิบัติหน้าที่ของตระกูลของพงศ์พันธุ์ของคนเกอร์โชนสำหรับเต็นท์นัดพบ อิธามาร์บุตรชายของอาโรนปุโรหิตต้องนำพวกเขาในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา
29 เจ้าต้องนับพงศ์พันธุ์ของเมรารีตามตระกูลของพวกเขา และเรียงลำดับพวกเขาตามครอบครัวของบรรพบุรุษของพวกเขา 30 ตั้งแต่คนที่มีอายุสามสิบปีถึงห้าสิบปี จงนับทุกคนที่จะเข้าร่วมกลุ่มและปฏิบัติหน้าที่ในเต็นท์นัดพบ
31 นี่เป็นความรับผิดชอบและงานของพวกเขาในการปฏิบัติหน้าที่ทั้งหมดสำหรับเต็นท์นัดพบ พวกเขาต้องดูแลโครงของพลับพลา ไม้คาน ไม้เสา และฐานรอง 32 ตลอดจนเสาไม้ของลานรอบพลับพลา ฐานรอง เหล็กหมุด และเชือกโยง กับส่วนประกอบต่าง ๆ ของพลับพลา จงจดรายชื่อของสิ่งของที่พวกเขาต้องขนย้าย 33 นี่เป็นงานของตระกูลของพงศ์พันธุ์เมรารี สิ่งที่พวกเขาทำสำหรับเต็นท์นัดพบ ภายใต้การกำกับดูแลของอิธามาร์บุตรชายของอาโรนปุโรหิต"
34 โมเสสและอาโรนและบรรดาผู้นำชุมชนได้นับพงศ์พันธุ์ของโคฮาทตามตระกูลของครอบครัวของบรรพบุรุษของพวกเขา 35 พวกเขานับคนเหล่านั้นที่มีอายุสามสิบปีขึ้นไปจนถึงห้าสิบปี พวกเขานับทุกคนที่จะเข้าร่วมกับกลุ่มคนที่จะปฏิบัติหน้าที่ในเต็นท์นัดพบ 36 พวกเขานับได้ 2,750 คน ตามตระกูลของพวกเขา
37 โมเสสและอาโรนนับผู้ชายทุกคนในตระกูลและครอบครัวของบรรพบุรุษของคนโคฮาทที่ปฏิบัติหน้าที่ในเต็นท์นัดพบ ในการทำเช่นนี้ พวกเขาเชื่อฟังสิ่งที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาพวกเขาให้ทำผ่านทางโมเสส 38 พงศ์พันธุ์ของเกอร์โชนที่นับในตระกูลของพวกเขา ตามครอบครัวของบรรพบุรุษของพวกเขา 39 ตั้งแต่อายุสามสิบปีถึงห้าสิบปี ทุกคนที่เข้าร่วมกลุ่มคนที่จะปฏิบัติหน้าที่ในเต็นท์นัดพบ 40 ผู้ชายทุกคนที่นับตามตระกูลและครอบครัวของบรรพบุรุษของพวกเขา นับได้ 2,630 คน
41 โมเสสและอาโรนได้นับตามตระกูลของพงศ์พันธุ์เกอร์โชน ผู้ที่จะปฏิบัติหน้าที่ในเต็นท์นัดพบ ในการทำเช่นนี้ พวกเขาได้เชื่อฟังสิ่งที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาให้พวกเขาทำผ่านทางโมเสส 42 พงศ์พันธุ์ของเมรารีที่นับได้ในตระกูลของพวกเขา ตามครอบครัวของบรรพบุรุษของพวกเขา 43 ตั้งแต่อายุสามสิบปีถึงห้าสิบปี ทุกคนที่เข้าร่วมกลุ่มที่จะปฏิบัติหน้าที่ในเต็นท์นัดพบ 44 ผู้ชายทุกคน ที่นับตามตระกูล และครอบครัวของบรรพบุรุษของพวกเขา นับได้ 3,200 คน
45 โมเสสและอาโรนนับพวกผู้ชายเหล่านี้ทุกคนที่เป็นพงศ์พันธุ์ของเมรารี ในการทำเช่นนี้ พวกเขาเชื่อฟังสิ่งที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาให้พวกเขาทำผ่านทางโมเสส 46 ดังนั้น โมเสส อาโรน และพวกผู้นำของอิสราเอลจึงนับคนเลวีทั้งหมดตามตระกูลของพวกเขา ในครอบครัวของบรรพบุรุษของพวกเขา 47 ตั้งแต่อายุสามสิบปีถึงห้าสิบปี พวกเขานับทุกคนที่จะทำงานในพลับพลา และผู้ที่จะขนย้ายและดูแลสิ่งของต่าง ๆ ในเต็นท์นัดพบ
48 พวกเขานับได้ 8,580 คน 49 โมเสสนับผู้ชายแต่ละคนตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชา และยังคงนับแต่ละคนต่อไปตามประเภทของงานที่เขาได้รับมอบหมายให้ทำ ท่านนับผู้ชายแต่ละคนตามชนิดของความรับผิดชอบที่พวกเขารับไว้ ในการทำเช่นนี้ พวกเขาได้เชื่อฟังตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาพวกเขาให้ทำผ่านทางโมเสส
1 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสส พระองค์ตรัสว่า 2 "จงสั่งคนอิสราเอลให้แยกทุกคนที่ติดเชื้อโรคผิวหนัง และทุกคนที่มีสิ่งไหลออกมา และคนใดก็ตามที่เป็นมลทิน จากการแตะต้องซากศพออกไปจากค่ายพัก 3 ไม่ว่าชายหรือหญิง เจ้าต้องแยกพวกเขาออกไปจากค่ายพัก พวกเขาต้องไม่ทำให้ค่ายพักนี้เป็นมลทิน เพราะเราสถิตอยู่ในค่ายพักนี้" 4 คนอิสราเอลก็ทำตามนั้น พวกเขาแยกคนเหล่านั้นออกไปจากค่ายพักตามที่พระยาห์เวห์ได้ทรงบัญชาโมเสส คนอิสราเอลก็เชื่อฟังพระยาห์เวห์
5 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสอีกครั้ง พระองค์ตรัสว่า 6 "จงพูดกับคนอิสราเอลว่า เมื่อผู้ชายหรือผู้หญิงได้ทำบาปใด ๆ อย่างที่ผู้คนได้ทำต่อกัน และเป็นการไม่สัตย์ซื่อต่อเรา คนนั้นก็มีความผิด 7 จากนั้น เขาต้องสารภาพบาปที่เขาได้ทำ เขาต้องชดใช้ค่าการทำผิดของเขา และเพิ่มค่าชดใช้อีกหนึ่งในห้า เขาต้องให้ค่าชดใช้นั้นต่อคนที่เขาได้กระทำผิด 8 แต่ถ้าคนที่เขาได้กระทำผิดไม่มีญาติสนิทที่จะรับค่าชดใช้ เขาต้องชดใช้ค่าการทำผิดของเขาให้กับเราผ่านทางปุโรหิต พร้อมกับลูกแกะที่จะลบบาปให้กับตัวเขาเอง
9 เครื่องบูชาทุกอย่างของคนอิสราเอล บรรดาสิ่งที่คนอิสราเอลแยกไว้ และนำมาให้ปุโรหิต ก็จะเป็นของเขา 10 เครื่องบูชาของทุกคนจะเป็นของปุโรหิต ถ้าคนใดมอบสิ่งใด ๆ ให้แก่ปุโรหิต สิ่งนั้นจะก็เป็นของเขา"
11 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสอีกครั้ง พระองค์ตรัสว่า 12 "จงพูดกับคนอิสราเอล จงบอกพวกเขาว่า สมมุติว่าภรรยาของชายคนหนึ่งนอกใจและทำบาปต่อสามีของนาง 13 แล้วสมมุติว่าชายอีกคนหนึ่งหลับนอนกับนาง ในกรณีนั้น นางก็เป็นมลทิน ถึงแม้ว่าสามีของนางจะไม่เห็นหรือไม่รู้เรื่องนี้ และถึงแม้ว่า ไม่มีใครจับได้ว่านางได้กระทำเช่นนั้น และไม่มีใครเป็นพยานปรักปรำนาง 14 แต่อย่างไรก็ตาม วิญญาณแห่งความหึงหวงยังคอยเตือนสามีว่าภรรยาของเขาเป็นมลทิน อย่างไรก็ดี วิญญาณแห่งความหึงหวงที่มาบนชายคนนั้นอาจจะผิดก็ได้ เมื่อภรรยาของเขาไม่ได้เป็นมลทิน
15 ในกรณีเช่นนี้ ชายคนนั้นควรพาภรรยาของเขาไปหาปุโรหิต และสามีต้องนำเครื่องดื่มบูชาสำหรับนางมาด้วย เขาต้องนำแป้งบาร์เลย์หนึ่งในสิบเอฟาห์มาด้วย เขาต้องไม่ใส่น้ำมัน หรือกำยานบนแป้งนั้น เพราะแป้งนั้นเป็นธัญบูชาแห่งความหึงหวง ธัญบูชานั้นอาจจะเป็นตัวชี้ให้เห็นบาปได้ 16 ปุโรหิตต้องพานางมาใกล้ และให้นางยืนอยู่ต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ 17 ปุโรหิตต้องนำเหยือกที่มีน้ำบริสุทธิ์มา และเอาฝุ่นจากพื้นของพลับพลา เขาต้องใส่ฝุ่นลงไปในน้ำนั้น
18 ปุโรหิตจะให้หญิงนั้นยืนอยู่ต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ เขาจะแก้มัดผมบนศีรษะของนาง เขาจะวางธัญบูชาแห่งการระลึกไว้ในมือของนาง ที่เป็นธัญบูชาแห่งความสงสัย ปุโรหิตจะถือน้ำขมที่นำคำสาปแช่งมาไว้ในมือของเขา 19 ปุโรหิตจะให้หญิงนั้นอยู่ภายใต้คำสาบาน และบอกกับนางว่า 'ถ้าไม่มีชายอื่นมีเพศสัมพันธ์กับเจ้า และเจ้าไม่ได้หลงผิด และทำให้เป็นมลทิน แล้วเจ้าจะพ้นจากน้ำขมที่นำคำสาปแช่งมานี้
20 แต่ถ้าเจ้า เป็นหญิงที่อยู่ภายใต้สามี ได้หลงผิดไป ถ้าเจ้าเป็นมลทิน และถ้ามีชายคนอื่นได้หลับนอนกับเจ้า 21 จากนั้น (ปุโรหิตต้องทำให้นางให้คำสาบาน เพื่อที่จะนำคำแช่งสาปลงมาบนนาง และจากนั้นเขาต้องพูดกับหญิงคนนี้ต่อไปว่า) "พระยาห์เวห์จะทรงทำให้เจ้าตกอยู่ในคำสาปแช่ง เพื่อให้ประจักษ์ต่อชุมชนของเจ้าว่าเป็นเช่นนั้น สิ่งนี้จะเกิดขึ้น ถ้าพระยาห์เวห์ทรงทำให้โคนขาของเจ้าลีบไป และทำให้ท้องของเจ้าป่อง
22 น้ำที่นำคำสาปแช่งมาก็จะเข้าไปในกระเพาะของเจ้า และทำให้ท้องของเจ้าป่อง และทำให้โคนขาของเจ้าลีบไป' หญิงคนนั้นต้องตอบว่า "ใช่ ขอให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น ถ้าข้าพเจ้าผิด" 23 ปุโรหิตต้องเขียนคำสาปแช่งเหล่านั้นบนหนังสือม้วน และจากนั้น เขาต้องล้างคำสาปแช่งที่เขียนไว้ลงไปในน้ำขมนั้น 24 ปุโรหิตต้องทำให้หญิงนั้นดื่มน้ำขมที่นำคำสาปแช่งมา น้ำที่นำคำสาปแช่งมาจะเข้าไปในตัวนาง และกลายเป็นรสขม
25 ปุโรหิตต้องเอาธัญบูชาแห่งความหึงหวงมาจากมือของหญิงนั้น เขาต้องยกธัญบูชานั้นขึ้นต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ และนำธัญบูชานั้นไปที่แท่นบูชา 26 ปุโรหิตต้องเอาธัญบูชามาหนึ่งกำมือที่เป็นตัวแทนเครื่องบูชา และเผาบนแท่นบูชา แล้วเขาต้องให้หญิงนั้นดื่มน้ำขม 27 เมื่อเขาให้นางดื่มน้ำนั้นแล้ว ถ้านางเป็นมลทิน เพราะนางทำผิดต่อสามีของนาง แล้วน้ำที่นำคำสาปแช่งมาก็จะเข้าไปในตัวเธอและกลายเป็นรสขม ท้องของนางจะป่องและโคนขาของนางจะลีบไป หญิงนั้นจะถูกสาปแช่งท่ามกลางชุมชนของนาง 28 แต่ถ้านางไม่เป็นมลทิน และถ้านางสะอาด แล้วนางก็ต้องพ้นความผิด นางจะตั้งครรภ์ได้
29 นี่เป็นกฎเรื่องความหึงหวง กฎนี้เป็นกฎสำหรับผู้หญิงที่นอกใจสามีของตนและเป็นมลทิน 30 กฎนี้เป็นกฎสำหรับผู้ชายที่มีวิญญาณแห่งความหึงหวง เมื่อเขาหึงหวงภรรยาของเขา เขาต้องพาหญิงนั้นไปอยู่ต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ และปุโรหิตต้องทำทุกอย่างกับนางตามที่กฎเรื่องความหึงหวงได้อธิบายไว้ 31 ชายคนนั้นจะพ้นจากความผิดในการพาภรรยาของเขาไปหาปุโรหิต หญิงคนนั้นต้องรับความผิดที่นางได้ทำ"
1 พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับโมเสส พระองค์ตรัสว่า 2 "จงพูดกับคนอิสราเอล จงบอกพวกเขาว่า 'เมื่อผู้ชายหรือผู้หญิงคนใดได้แยกตัวเองออกมาแด่พระยาเวห์ด้วยการปฏิญาณตัวพิเศษเป็นนาศีร์ 3 เขาต้องปลีกตัวเองออกจากเหล้าองุ่นและเครื่องดื่มมึนเมา เขาต้องไม่ดื่มน้ำส้มที่ทำมาจากเหล้าองุ่นหรือจากเครื่องดื่มมึนเมา เขาต้องไม่ดื่มน้ำองุ่น หรือไม่กินผลองุ่นสด หรือผลองุ่นแห้งเลย
4 ตลอดเวลาที่เขาแยกตัวออกมาเพื่อเรา เขาต้องไม่กินอะไรที่ทำมาจากต้นองุ่น รวมทั้งทุกอย่างที่ทำมาจากเมล็ดจนถึงเปลือกของมัน 5 ตลอดช่วงระหว่างเวลาของการปฏิญาณในการแยกตัวออกมาของเขา ห้ามใช้มีดโกนบนศีรษะของเขา จนกว่าเวลาของการแยกตัวเองออกมาของเขาแด่พระยาห์เวห์ครบกำหนด เขาต้องแยกตัวออกมาแด่พระยาห์เวห์ เขาต้องไว้ผมยาวบนศีรษะของเขา 6 ตลอดช่วงระหว่างเวลาของการแยกตัวเองออกมาแด่พระยาห์เวห์ เขาต้องไม่เข้ามาใกล้ศพ
7 เขาต้องไม่ทำให้ตัวเองเป็นมลทิน เนื่องจากบิดา มารดา พี่น้องชายหรือหญิงของเขา ถ้าหากพวกเขาตาย นี่เป็นเพราะเขาถูกแยกไว้แด่พระเจ้าแล้ว ตามที่ทุกคนเห็นได้จากผมยาวของเขา 8 ตลอดช่วงเวลาการแยกออกมาของเขา เขาบริสุทธิ์ และสงวนไว้แด่พระยาห์เวห์ 9 ถ้าหากบังเอิญมีใครมาตายอยู่ข้าง ๆ เขาพอดี และทำให้ศีรษะของเขาที่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้วเป็นมลทิน แล้วเขาก็ต้องโกนศีรษะในวันชำระตัวของเขา คือในวันที่เจ็ด เขาต้องโกนศีรษะ 10 วันที่แปด เขาต้องนำนกเขาสองตัว หรือนกพิราบหนุ่มสองตัวมาหาปุโรหิตที่ทางเข้าเต็นท์นัดพบ
11 ปุโรหิตต้องถวายนกตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาลบบาป และอีกตัวหนึ่งเป็นเครื่องเผาบูชา นกเหล่านี้จะลบล้างบาปให้กับเขา เพราะเขาได้ทำบาปจากการอยู่ใกล้ศพ เขาต้องชำระศีรษะของเขาให้บริสุทธิ์อีกครั้งในวันนั้น 12 เขาต้องแยกตัวเองออกมาจากพระยาห์เวห์ในช่วงวันชำระตัวของเขา เขาต้องนำลูกแกะตัวผู้ตัวหนึ่งที่มีอายุหนึ่งปีมาเป็นเครื่องบูชาแห่งการทำผิด จำนวนวันก่อนที่เขาทำให้ตัวเองเป็นมลทินต้องถือว่าไม่นับ เพราะการแยกตัวออกมาของเขาเป็นมลทิน 13 นี่เป็นกฎเกี่ยวกับนาศีร์สำหรับเมื่อตอนที่การแยกออกมาของเขาได้ครบกำหนดแล้ว เขาต้องถูกนำมายังทางเข้าของเต็นท์นัดพบ
14 เขาต้องถวายเครื่องบูชาของเขาแด่พระยาห์เวห์ เขาต้องถวายลูกแกะตัวผู้ตัวหนึ่งที่มีอายุหนึ่งปีและปราศจากตำหนิเป็นเครื่องเผาบูชา เขาต้องนำลูกแกะตัวเมียตัวหนึ่งที่มีอายุหนึ่งปีที่ปราศจากตำหนิเป็นเครื่องบูชาลบบาป เขาต้องนำแกะตัวผู้ตัวหนึ่งที่ปราศจากตำหนิมาถวายเป็นสันติบูชา 15 เขาต้องนำขนมปังที่ปราศจากเชื้อมากระจาดหนึ่งด้วย ขนมปังที่ทำจากแป้งเนื้อละเอียดเคล้าด้วยน้ำมัน ขนมปังแผ่นที่ปราศจากเชื้อทาด้วยน้ำมัน พร้อมกับธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชา 16 ปุโรหิตต้องถวายสิ่งเหล่านี้ต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ เขาต้องถวายเครื่องบูชาลบบาปและเครื่องเผาบูชา 17 เขาต้องถวายแกะตัวผู้ตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชา พร้อมกับกระจาดขนมปังไร้เชื้อ และสันติบูชาแด่พระยาห์เวห์ ปุโรหิตต้องถวายธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชาด้วย
18 นาศีร์ต้องโกนศีรษะของเขาที่แสดงให้เห็นถึงการแยกตัวออกมาแด่พระเจ้าที่ทางเข้าเต็นท์นัดพบ เขาต้องเอาเส้นผมจากศีรษะของเขาและใส่ลงบนไฟที่อยู่ภายใต้การถวายเครื่องบูชาของสันติบูชา 19 ปุโรหิตต้องเอาเนื้อไหล่ของแกะตัวผู้ที่ต้มแล้ว ขนมปังที่ปราศจากเชื้อหนึ่งก้อนมาจากกระจาด และขนมปังแผ่นที่ปราศจากเชื้อหนึ่งแผ่นมา เขาต้องวางสิ่งเหล่านี้ไว้ในมือของนาศีร์คนนั้น หลังจากที่เขาได้โกนศีรษะของเขาเพื่อแสดงการแยกตัวออกมาแล้ว
20 ปุโรหิตต้องโบกเครื่องบูชาเหล่านั้นเป็นเครื่องบูชาต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ ส่วนที่บริสุทธิ์สำหรับปุโรหิต พร้อมกับเนื้ออกที่ได้โบกถวาย และเนื้อโคนขาที่ได้ถวายแล้วสำหรับปุโรหิต หลังจากนั้น นาศีร์คนนั้นก็จะดื่มเหล้าองุ่นก็ได้ 21 นี่เป็นกฎสำหรับนาศีร์ผู้ที่ปฏิญาณเครื่องบูชาของเขาแด่พระยาห์เวห์สำหรับการแยกตัวออกมาของเขา สิ่งอื่นใดก็ตามที่เขาถวายได้ เขาต้องถือรักษาภาระผูกพันตามคำปฏิญาณที่เขาได้กล่าวไว้ เพื่อที่จะรักษาสัญญาตามกฎสำหรับนาศีร์ที่ได้บอกไว้'"
22 พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับโมเสสอีกครั้งหนึ่ง พระองค์ตรัสว่า 23 "จงพูดกับอาโรนและพวกบุตรชายของเขา บอกว่า 'พวกท่านต้องอวยพรคนอิสราเอลอย่างนี้ พวกท่านต้องบอกกับพวกเขาว่า 24 "ขอพระยาห์เวห์ทรงอวยพรท่านและพิทักษ์รักษาท่าน
25 ขอพระยาห์เวห์ทรงให้พระพักตร์ของพระองค์ส่องแสงบนท่าน และทรงพระกรุณาแก่ท่าน 26 ขอพระยาห์เวห์ทอดพระเนตรพวกท่านด้วยความชอบพระทัย และประทานสันติสุขแก่ท่าน" 27 ในการอวยพรเช่นนี้ พวกเขาต้องเอ่ยนามของเราต่อคนอิสราเอล แล้วเราจะอวยพรพวกเขา"
1 ในวันที่โมเสสได้ตั้งพลับพลาเสร็จนั้น ท่านได้เจิมพลับพลาและแยกพลับพลานั้นไว้แด่พระยาเวห์ พร้อมกับเครื่องใช้ทุกอย่างของพลับพลานั้น ท่านได้ทำการเจิมแท่นบูชา และของใช้ทุกอย่างของแท่นบูชานั้นเช่นเดียวกัน ท่านเจิมสิ่งเหล่านั้นและแยกไว้แด่พระยาเวห์ 2 ในวันนั้น บรรดาผู้นำของอิสราเอล พวกหัวหน้าครอบครัวของบรรพบุรุษของพวกเขา ได้ถวายเครื่องบูชา คนเหล่านี้เป็นผู้นำเผ่าต่าง ๆ พวกเขาได้ดูแลการนับจำนวนคนในการทำสำมะโนครัว 3 พวกเขานำเครื่องถวายบูชาของพวกเขามาต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ พวกเขานำเกวียนประทุนหกเล่มและวัวสิบสองตัวมา พวกเขานำเกวียนมาหนึ่งเล่มมาต่อผู้นำสองคน และผู้นำแต่ละคนได้นำวัวมาคนละหนึ่งตัว พวกเขาได้ถวายสิ่งเหล่านี้ข้างหน้าพลับพลา
4 แล้วพระยาห์เวห์ได้ตรัสกับโมเสส พระองค์ตรัสว่า 5 "จงรับบรรดาเครื่องบูชาจากพวกเขา และใช้เครื่องบูชาเหล่านั้นสำหรับงานในเต็นท์นัดพบ จงมอบเครื่องบูชาเหล่านั้นให้กับคนเลวี ให้กับแต่ละคนตามที่ต้องการใช้สิ่งเหล่านั้นในงานของเขา 6 โมเสสจึงรับเกวียนและฝูงวัวมา และท่านได้มอบเครื่องบูชาเหล่านั้นให้กับคนเลวี
7 ท่านได้มอบเกวียนสองเล่มและวัวสี่ตัวให้กับพงศ์พันธุ์ของเกอร์โชน เพราะเป็นสิ่งที่ต้องการใช้ในการทำงานของพวกเขา 8 ท่านได้มอบเกวียนสี่เล่มและวัวแปดตัวให้กับพงศ์พันธุ์ของเมรารี ให้อยู่ในความดูแลของอิธามาร์บุตรชายของอาโรนซึ่งเป็นปุโรหิต ท่านได้ทำเช่นนี้ เพราะเป็นสิ่งที่ต้องการใช้ในการทำงานของพวกเขา 9 แต่ท่านไม่ได้มอบสิ่งใดจากสิ่งเหล่านั้นให้กับพงศ์พันธุ์ของโคฮาทเลย เพราะงานของพวกเขาเป็นงานเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ซึ่งเป็นของพระยาห์เวห์ ที่พวกเขาจะแบกไว้บนบ่าของพวกเขาเอง
10 บรรดาผู้นำได้ถวายสิ่งของต่างๆ ของพวกเขาสำหรับการมอบถวายแท่นบูชาในวันที่โมเสสได้เจิมแท่นบูชา พวกผู้นำได้ถวายบรรดาเครื่องบูชาของพวกเขาข้างหน้าแท่นบูชา 11 พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับโมเสสว่า "ผู้นำแต่ละคนต้องถวายเครื่องบูชาสำหรับการมอบถวายแท่นบูชาในวันของเขาเอง"
12 วันแรก นาห์โชนบุตรชายของอัมมีนาดับแห่งเผ่ายูดาห์ ได้ถวายเครื่องบูชาของเขา 13 เครื่องบูชาของเขาคือจานเงินหนึ่งใบหนัก 130 เชเขล และชามเงินหนึ่งใบหนักเจ็ดสิบเชเขล ตามมาตรฐานน้ำหนักของเชเขลของสถานนมัสการ ภาชนะทั้งสองใบนี้เต็มด้วยแป้งอย่างดีเคล้าน้ำมันเพื่อเป็นธัญบูชา 14 เขาได้ถวายจานทองคำหนึ่งใบที่หนักสิบเชเขล และเต็มด้วยเครื่องหอม
15 เขาถวายวัวหนุ่มหนึ่งตัว แกะผู้หนึ่งตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งปีหนึ่งตัวเป็นเครื่องเผาบูชา 16 เขาถวายแพะผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาลบบาป 17 เขาถวายวัวผู้สองตัว แกะผู้ห้าตัว แพะผู้ห้าตัว และลูกแกะตัวผู้ที่มีอายุหนึ่งปีห้าตัวเป็นเครื่องบูชาสำหรับสันติบูชา นี่เป็นเครื่องบูชาของนาห์โชนบุตรชายของอัมมีนาดับ
18 วันที่สอง เนธันเอลบุตรชายของศุอาร์ผู้นำของเผ่าอิสสาคาร์ ได้ถวายเครื่องบูชาของเขา 19 เขาได้ถวายเป็นเครื่องบูชาของเขา คือจานเงินหนึ่งใบหนัก 130 เชเขล และชามเงินหนึ่งใบหนักเจ็ดสิบเชเขล ตามมาตรฐานน้ำหนักของเชเขลของสถานนมัสการ ภาชนะทั้งสองใบนี้เต็มด้วยแป้งอย่างดีเคล้าน้ำมันเพื่อเป็นธัญบูชา 20 เขาได้ถวายจานทองคำหนึ่งใบหนักสิบเชเขลที่เต็มด้วยเครื่องหอมด้วย
21 เขาถวายวัวหนุ่มหนึ่งตัว แกะผู้หนึ่งตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งปีหนึ่งตัวเป็นเครื่องเผาบูชา 22 เขาถวายแพะผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาลบบาป 23 เขาถวายวัวผู้สองตัว แกะผู้ห้าตัว แพะผู้ห้าตัว และลูกแกะตัวผู้ที่มีอายุหนึ่งปีห้าตัวเป็นเครื่องบูชาสำหรับสันติบูชา นี่เป็นเครื่องบูชาของเนธันเอลบุตรชายของศุอาร์
24 วันที่สาม เอลีอับบุตรชายของเฮโลน ผู้นำของพงศ์พันธุ์ของเศบูลุน ได้ถวายเครื่องบูชาของเขา 25 เครื่องบูชาของเขาคือจานเงินหนึ่งใบหนัก 130 เชเขล และชามเงินหนึ่งใบหนักเจ็ดสิบเชเขล ตามมาตรฐานน้ำหนักของเชเขลของสถานนมัสการ ภาชนะทั้งสองใบนี้เต็มด้วยแป้งอย่างดีเคล้าน้ำมันเพื่อเป็นธัญบูชา 26 เขาได้ถวายจานทองคำหนึ่งใบหนักสิบเชเขลที่เต็มด้วยเครื่องหอมด้วย
27 เขาถวายวัวหนุ่มหนึ่งตัว แกะผู้หนึ่งตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งปีหนึ่งตัวเป็นเครื่องเผาบูชา 28 เขาถวายแพะผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาลบบาป 29 เขาถวายวัวผู้สองตัว แกะผู้ห้าตัว แพะผู้ห้าตัว และลูกแกะตัวผู้ที่มีอายุหนึ่งปีห้าตัวเป็นเครื่องบูชาสำหรับสันติบูชา นี่เป็นเครื่องบูชาของเอลีอับบุตรชายของเฮโลน
30 วันที่สี่ เอลีซูร์บุตรชายของเชเดเออร์ ผู้นำของพงศ์พันธุ์ของรูเบน ได้ถวายเครื่องบูชาของเขา 31 เครื่องบูชาของเขาคือจานเงินหนึ่งใบหนัก 130 เชเขล และชามเงินหนึ่งใบหนักเจ็ดสิบเชเขล ตามมาตรฐานน้ำหนักของเชเขลของสถานนมัสการ ภาชนะทั้งสองใบนี้เต็มด้วยแป้งอย่างดีเคล้าน้ำมันเพื่อเป็นธัญบูชา 32 เขาได้ถวายจานทองคำหนึ่งใบหนักสิบเชเขลที่เต็มด้วยเครื่องหอมด้วย
33 เขาถวายวัวหนุ่มหนึ่งตัว แกะผู้หนึ่งตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งปีหนึ่งตัวเป็นเครื่องเผาบูชา 34 เขาถวายแพะผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาลบบาป 35 เขาถวายวัวผู้สองตัว แกะผู้ห้าตัว แพะผู้ห้าตัว และลูกแกะตัวผู้ที่มีอายุหนึ่งปีห้าตัวเป็นเครื่องบูชาสำหรับสันติบูชา นี่เป็นเครื่องบูชาของเอลีซูร์บุตรชายของเชเดเออร์
36 วันที่ห้า เชลูมิเอลบุตรชายของศุริชัดดัย ผู้นำของพงศ์พันธุ์ของสิเมโอน ได้ถวายเครื่องบูชาของเขา 37 เครื่องบูชาของเขาคือจานเงินหนึ่งใบหนัก 130 เชเขล และชามเงินหนึ่งใบหนักเจ็ดสิบเชเขล ตามมาตรฐานน้ำหนักของเชเขลของสถานนมัสการ ภาชนะทั้งสองใบนี้เต็มด้วยแป้งอย่างดีเคล้าน้ำมันเพื่อเป็นธัญบูชา 38 เขาได้ถวายจานทองคำหนึ่งใบหนักสิบเชเขลที่เต็มด้วยเครื่องหอมด้วย
39 เขาถวายวัวหนุ่มหนึ่งตัว แกะผู้หนึ่งตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งปีหนึ่งตัวเป็นเครื่องเผาบูชา 40 เขาถวายแพะผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาลบบาป 41 เขาถวายวัวผู้สองตัว แกะผู้ห้าตัว แพะผู้ห้าตัว และลูกแกะตัวผู้ที่มีอายุหนึ่งปีห้าตัวเป็นเครื่องบูชาสำหรับสันติบูชา นี่เป็นเครื่องบูชาของเชลูมิเอลบุตรชายของศุริชัดดัย
42 วันที่หก เอลีอาสาฟบุตรชายของเดอูเอล ผู้นำของพงศ์พันธุ์ของกาด ได้ถวายเครื่องบูชาของเขา 43 เครื่องบูชาของเขาคือจานเงินหนึ่งใบหนัก 130 เชเขล และชามเงินหนึ่งใบหนักเจ็ดสิบเชเขล ตามมาตรฐานน้ำหนักของเชเขลของสถานนมัสการ ภาชนะทั้งสองใบนี้เต็มด้วยแป้งอย่างดีเคล้าน้ำมันเพื่อเป็นธัญบูชา 44 เขาได้ถวายจานทองคำหนึ่งใบหนักสิบเชเขลที่เต็มด้วยเครื่องหอมด้วย
45 เขาถวายวัวหนุ่มหนึ่งตัว แกะผู้หนึ่งตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งปีหนึ่งตัวเป็นเครื่องเผาบูชา 46 เขาถวายแพะผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาลบบาป 47 เขาถวายวัวผู้สองตัว แกะผู้ห้าตัว แพะผู้ห้าตัว และลูกแกะตัวผู้ที่มีอายุหนึ่งปีห้าตัวเป็นเครื่องบูชาสำหรับสันติบูชา นี่เป็นเครื่องบูชาของเอลีอาสาฟบุตรชายของเดอูเอล
48 วันที่เจ็ด เอลีชามาบุตรชายของอัมมีฮูด ผู้นำของพงศ์พันธุ์ของเอฟราอิม ได้ถวายเครื่องบูชาของเขา 49 เครื่องบูชาของเขาคือจานเงินหนึ่งใบหนัก 130 เชเขล และชามเงินหนึ่งใบหนักเจ็ดสิบเชเขล ตามมาตรฐานน้ำหนักของเชเขลของสถานนมัสการ ภาชนะทั้งสองใบนี้เต็มด้วยแป้งอย่างดีเคล้าน้ำมันเพื่อเป็นธัญบูชา 50 เขาได้ถวายจานทองคำหนึ่งใบหนักสิบเชเขลที่เต็มด้วยเครื่องหอมด้วย
51 เขาถวายวัวหนุ่มหนึ่งตัว แกะผู้หนึ่งตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งปีหนึ่งตัวเป็นเครื่องเผาบูชา 52 เขาถวายแพะผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาลบบาป 53 เขาถวายวัวผู้สองตัว แกะผู้ห้าตัว แพะผู้ห้าตัว และลูกแกะตัวผู้ที่มีอายุหนึ่งปีห้าตัวเป็นเครื่องบูชาสำหรับสันติบูชา นี่เป็นเครื่องบูชาของเอลีชามาบุตรชายของอัมมีฮูด
54 วันที่แปด กามาลิเอลบุตรชายของเปดาห์ซูร์ ผู้นำของพงศ์พันธุ์ของมนัสเสห์ ได้ถวายเครื่องบูชาของเขา 55 เครื่องบูชาของเขาคือจานเงินหนึ่งใบหนัก 130 เชเขล และชามเงินหนึ่งใบหนักเจ็ดสิบเชเขล ตามมาตรฐานน้ำหนักของเชเขลของสถานนมัสการ ภาชนะทั้งสองใบนี้เต็มด้วยแป้งอย่างดีเคล้าน้ำมันเพื่อเป็นธัญบูชา 56 เขาได้ถวายจานทองคำหนึ่งใบหนักสิบเชเขลที่เต็มด้วยเครื่องหอมด้วย
57 เขาถวายวัวหนุ่มหนึ่งตัว แกะผู้หนึ่งตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งปีหนึ่งตัวเป็นเครื่องเผาบูชา 58 เขาถวายแพะผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาลบบาป 59 เขาถวายวัวผู้สองตัว แกะผู้ห้าตัว แพะผู้ห้าตัว และลูกแกะตัวผู้ที่มีอายุหนึ่งปีห้าตัวเป็นเครื่องบูชาสำหรับสันติบูชา นี่เป็นเครื่องบูชาของกามาลิเอลบุตรชายของเปดาห์ซูร์
60 วันที่เก้า อาบีดันบุตรชายของกิเดโอนี ผู้นำของพงศ์พันธุ์ของเบนยามิน ได้ถวายเครื่องบูชาของเขา 61 เครื่องบูชาของเขาคือจานเงินหนึ่งใบหนัก 130 เชเขล และชามเงินหนึ่งใบหนักเจ็ดสิบเชเขล ตามมาตรฐานน้ำหนักของเชเขลของสถานนมัสการ ภาชนะทั้งสองใบนี้เต็มด้วยแป้งอย่างดีเคล้าน้ำมันเพื่อเป็นธัญบูชา 62 เขาได้ถวายจานทองคำหนึ่งใบหนักสิบเชเขลที่เต็มด้วยเครื่องหอมด้วย
63 เขาถวายวัวหนุ่มหนึ่งตัว แกะผู้หนึ่งตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งปีหนึ่งตัวเป็นเครื่องเผาบูชา 64 เขาถวายแพะผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาลบบาป 65 เขาถวายวัวผู้สองตัว แกะผู้ห้าตัว แพะผู้ห้าตัว และลูกแกะตัวผู้ที่มีอายุหนึ่งปีห้าตัวเป็นเครื่องบูชาสำหรับสันติบูชา นี่เป็นเครื่องบูชาของอาบีดันบุตรชายของกิเดโอนี
66 วันที่สิบ อาหิเอเซอร์บุตรชายของอัมมีชัดดัย ผู้นำของพงศ์พันธุ์ของดาน ได้ถวายเครื่องบูชาของเขา 67 เครื่องบูชาของเขาคือจานเงินหนึ่งใบหนัก 130 เชเขล และชามเงินหนึ่งใบหนักเจ็ดสิบเชเขล ตามมาตรฐานน้ำหนักของเชเขลของสถานนมัสการ ภาชนะทั้งสองใบนี้เต็มด้วยแป้งอย่างดีเคล้าน้ำมันเพื่อเป็นธัญบูชา 68 เขาได้ถวายจานทองคำหนึ่งใบหนักสิบเชเขลที่เต็มด้วยเครื่องหอมด้วย
69 เขาถวายวัวหนุ่มหนึ่งตัว แกะผู้หนึ่งตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งปีหนึ่งตัวเป็นเครื่องเผาบูชา 70 เขาถวายแพะผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาลบบาป 71 เขาถวายวัวผู้สองตัว แกะผู้ห้าตัว แพะผู้ห้าตัว และลูกแกะตัวผู้ที่มีอายุหนึ่งปีห้าตัวเป็นเครื่องบูชาสำหรับสันติบูชา นี่เป็นเครื่องบูชาของอาหิเอเซอร์บุตรชายของอัมมีชัดดัย
72 วันที่สิบเอ็ด ปากีเอลบุตรชายของโอคราน ผู้นำของพงศ์พันธุ์ของอาเชอร์ ได้ถวายเครื่องบูชาของเขา 73 เครื่องบูชาของเขาคือจานเงินหนึ่งใบหนัก 130 เชเขล และชามเงินหนึ่งใบหนักเจ็ดสิบเชเขล ตามมาตรฐานน้ำหนักของเชเขลของสถานนมัสการ ภาชนะทั้งสองใบนี้เต็มด้วยแป้งเนื้อละเอียดเคล้าน้ำมันเพื่อเป็นธัญบูชา 74 เขาได้ถวายจานทองคำหนึ่งใบหนักสิบเชเขลที่เต็มด้วยเครื่องหอมด้วย
75 เขาถวายวัวหนุ่มหนึ่งตัว แกะผู้หนึ่งตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งปีหนึ่งตัวเป็นเครื่องเผาบูชา 76 เขาถวายแพะผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาลบบาป 77 เขาถวายวัวผู้สองตัว แกะผู้ห้าตัว แพะผู้ห้าตัว และลูกแกะตัวผู้ที่มีอายุหนึ่งปีห้าตัวเป็นเครื่องบูชาสำหรับสันติบูชา นี่เป็นเครื่องบูชาของปากีเอลบุตรชายของโอคราน
78 วันที่สิบสอง อาหิราบุตรชายของเอนัน ผู้นำของพงศ์พันธุ์ของนัฟทาลี ได้ถวายเครื่องบูชาของเขา 79 เครื่องบูชาของเขาคือจานเงินหนึ่งใบหนัก 130 เชเขล และชามเงินหนึ่งใบหนักเจ็ดสิบเชเขลตามมาตรฐานน้ำหนักของเชเขลของสถานนมัสการ ภาชนะทั้งสองใบนี้เต็มด้วยแป้งอย่างดีเคล้าน้ำมันเพื่อเป็นธัญบูชา 80 เขาได้ถวายจานทองคำหนึ่งใบหนักสิบเชเขลที่เต็มด้วยเครื่องหอมด้วย
81 เขาถวายวัวหนุ่มหนึ่งตัว แกะผู้หนึ่งตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งปีหนึ่งตัวเป็นเครื่องเผาบูชา 82 เขาถวายแพะผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาลบบาป 83 เขาถวายวัวผู้สองตัว แกะผู้ห้าตัว แพะผู้ห้าตัว และลูกแกะตัวผู้ที่มีอายุหนึ่งปีห้าตัวเป็นเครื่องบูชาสำหรับสันติบูชา นี่เป็นเครื่องบูชาของอาหิราบุตรชายของเอนัน
84 บรรดาผู้นำของอิสราเอลได้แยกสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดไว้ ในวันที่โมเสสเจิมแท่นบูชานั้น พวกเขาแยกจานเงินสิบสองใบ ชามเงินสิบสองใบ และจานทองคำสิบสองใบ 85 จานเงินแต่ละใบหนัก 130 เชเขล และชามเงินแต่ละใบหนักเจ็ดสิบเชเขล ภาชนะเงินทั้งหมดมีน้ำหนัก 2,400 เชเขลตามมาตรฐานน้ำหนักของเชเขลของสถานนมัสการ 86 จานทองคำแต่ละใบที่เต็มด้วยเครื่องหอมหนักสิบเชเขลตามมาตรฐานน้ำหนักของเชเขลของสถานนมัสการ จานทองคำทั้งหมดหนัก 120 เชเขล
87 พวกเขาแยกสัตว์ทั้งหมดไว้เพื่อเป็นเครื่องเผาบูชา คือวัวสิบสองตัว แกะผู้สิบสองตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งปีสิบสองตัว พวกเขาได้ถวายธัญบูชาของพวกเขา พวกเขาได้ถวายแพะผู้สิบสองตัวเป็นเครื่องบูชาลบบาป 88 พวกเขาได้ถวายจากฝูงสัตว์ทั้งหมดของพวกเขา คือ วัวยี่สิบสี่ตัว แกะผู้หกสิบตัว แพะผู้หกสิบตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งปีหกสิบตัวเป็นเครื่องบูชาสำหรับสันติบูชา นี่เป็นสำหรับการมอบถวายแท่นบูชา หลังจากที่ได้เจิมแท่นบูชานั้นแล้ว 89 เมื่อโมเสสเข้าไปในเต็นท์นัดพบเพื่อทูลพระยาห์เวห์ ท่านได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ตรัสกับท่าน พระยาห์เวห์ตรัสกับท่านจากเหนือฝาหีบลบล้างบาปที่อยู่บนหีบแห่งคำพยาน จากระหว่างเครูบทั้งสอง พระองค์ได้ตรัสกับท่าน
1 พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับโมเสส พระองค์ตรัสว่า 2 "จงพูดกับอาโรน จงบอกเขาว่า 'ตะเกียงเจ็ดดวงต้องส่องแสงไปทางด้านหน้าของคันประทีป เมื่อเจ้าจุดตะเกียงเหล่านั้น'" 3 อาโรนก็ได้ทำดังนี้ ท่านจุดตะเกียงบนคันประทีปเพื่อให้ส่องแสงไปทางด้านหน้าของคันประทีปนั้น ตามที่พระยาห์เวห์ได้ทรงบัญชาโมเสส 4 คันประทีปได้ทำขึ้นในลักษณะนี้ พระยาห์เวห์ได้ทรงสำแดงให้โมเสสเห็นแบบสำหรับคันประทีป คันประทีปนั้นทำด้วยทองคำตั้งแต่ฐานจนถึงยอด พร้อมด้วยถ้วยที่มีลวดลายเหมือนดอกไม้
5 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสอีกครั้ง พระองค์ตรัสว่า 6 "จงนำคนเลวีออกจากท่ามกลางคนอิสราเอล และชำระพวกเขาให้บริสุทธิ์ 7 จงทำดังนี้กับพวกเขาในการชำระพวกเขาให้บริสุทธิ์ คือจงประพรมบนพวกเขาด้วยน้ำชำระบาป จงให้พวกเขาโกนทั่วทั้งตัวของพวกเขา และซักเสื้อผ้าของพวกเขา การทำเช่นนี้เป็นการชำระตัวพวกเขาเองให้บริสุทธิิ์ 8 แล้วให้พวกเขานำวัวหนุ่มมาตัวหนึ่งและธัญบูชาคู่กันที่เป็นแป้งอย่างดีเคล้าน้ำมัน ให้พวกเขาเอาวัวหนุ่มอีกตัวหนึ่งมาเป็นเครื่องบูชาลบบาป
9 เจ้าจงนำคนเลวีมาที่ด้านหน้าเต็นท์นัดพบ และให้เรียกชุมชนของคนอิสราเอลทั้งหมดมาชุมนุมกัน 10 เมื่อเจ้านำคนเลวีมาอยู่ต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ คนอิสราเอลต้องวางมือของพวกเขาบนคนเลวี 11 อาโรนต้องถวายคนเลวีต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์เป็นเครื่องบูชาโบกถวายจากคนอิสราเอล เพื่อให้พวกเขาทำงานปรนนิบัติของพระยาห์เวห์
12 คนเลวีต้องวางมือของพวกเขาบนหัวของวัวทั้งสองตัวนั้น เจ้าต้องถวายวัวตัวหนึ่งเป็นเครื่อบูชาลบบาป และวัวอีกตัวหนึ่งเป็นเครื่องเผาบูชาต่อเรา เพื่อลบบาปให้กับคนเลวี 13 จงให้คนเลวีอยู่ต่อหน้าอาโรนและต่อหน้าบรรดาบุตรชายของเขา และยกพวกเขาขึ้นเป็นเครื่องบูชาโบกถวายต่อเรา 14 ในการทำเช่นนี้ เจ้าต้องแยกคนเลวีออกจากท่ามกลางคนอิสราเอล คนเลวีจะเป็นของเรา 15 หลังจากนั้น คนเลวีต้องเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ในเต็นท์นัดพบ เจ้าต้องชำระพวกเขาให้บริสุทธิ์ เจ้าต้องถวายพวกเขาเป็นเครื่องบูชาโบกถวาย
16 จงทำเช่นนี้ เพราะพวกเขาเป็นของเราอย่างแท้จริงจากท่ามกลางคนอิสราเอล พวกเขาจะมาแทนที่เด็กชายแต่ละคนที่เกิดจากครรภ์เป็นคนแรก คือบุตรหัวปีของพงศ์พันธุ์ของอิสราเอลทั้งหมด เราได้รับเอาคนเลวีไว้สำหรับเราเอง 17 บุตรหัวปีทั้งหมดท่ามกลางคนอิสราเอลเป็นของเรา ทั้งคนและสัตว์ ในวันที่เราได้เอาชีวิตบุตรหัวปีทั้งหมดในแผ่นดินอียิปต์ เราได้แยกพวกเขาไว้สำหรับเราเอง 18 เราได้รับเอาคนเลวีจากท่ามกลางคนอิสราเอลมาแทนที่บุตรหัวปีทั้งหมด 19 เราได้มอบพวกคนเลวีเป็นของประทานให้กับอาโรนและบรรดาบุตรของเขา เราได้รับเอาพวกเขาจากท่ามกลางคนอิสราเอลเพื่อที่จะทำงานของคนอิสราเอลในเต็นท์นัดพบ เราได้มอบพวกเขาเพื่อลบบาปให้กับคนอิสราเอล เพื่อที่จะไม่มีภัยพิบัติใด ๆ จะทำร้ายคนเหล่านั้น เมื่อพวกเขามาอยู่ใกล้วิสุทธิสถาน"
20 โมเสส อาโรน และชุมชนของคนอิสราเอลทั้งหมดก็ได้ทำดังนี้กับคนเลวี พวกเขาได้ทำทุกอย่างที่พระยาห์เวห์ได้ทรงบัญชาโมเสสเกี่ยวกับคนเลวี คนอิสราเอลก็ได้ทำดังนี้กับพวกเขา 21 คนเลวีก็ชำระตนเองให้บริสุทธิ์ พวกเขาซักเสื้อผ้าของตน และอาโรนได้ถวายพวกเขาเป็นเครื่องบูชาโบกถวายแด่พระยาห์เวห์ และท่านก็ทำการลบบาปให้กับพวกเขาเพื่อชำระพวกเขาให้บริสุทธิ์ 22 หลังจากนั้น คนเลวีก็ได้เข้าไปทำการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาในเต็นท์นัดพบต่อหน้าอาโรนและต่อหน้าบรรดาบุตรชายของอาโรน นี่เป็นไปตามที่พระยาห์เวห์ได้ทรงบัญชากับโมเสสเกี่ยวกับคนเลวี พวกเขาได้ปฏิบัติต่อพวกคนเลวีทุกคนในวิธีการนี้
23 พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับโมเสสอีกครั้ง พระองค์ตรัสว่า 24 "กฎทั้งหมดนี้ใช้สำหรับคนเลวีที่มีอายุยี่สิบห้าปีขึ้นไป พวกเขาต้องเข้าร่วมในกลุ่มเพื่อปฏิบัติหน้าที่ในเต็นท์นัดพบ 25 พวกเขาต้องหยุดการปฏิบัติหน้าที่ในลักษณะนี้ เมื่อมีอายุห้าสิบปี เมื่อมีอายุถึงที่กำหนดไว้นั้น พวกเขาไม่ต้องปฏิบัติหน้าที่อีกต่อไป 26 พวกเขาอาจจะยังช่วยพวกพี่น้องของตนที่ยังทำงานอยู่ในเต็นท์นัดพบก็ได้ แต่พวกเขาไม่ต้องปฏิบัติหน้าที่อีกต่อไป เจ้าต้องกำกับดูแลคนเลวีในเรื่องเหล่านี้ทั้งหมด"
1 ในเดือนที่หนึ่งปีที่สอง หลังจากที่พวกเขาออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับโมเสสในถิ่นทุรกันดารซีนาย พระองค์ตรัสว่า 2 "จงให้คนอิสราเอลถือปัสกาตามเวลาที่กำหนดไว้ของปี 3 ในวันที่สิบสี่เวลาเย็นของเดือนนี้ เจ้าต้องถือปัสกาตามเวลาที่กำหนดไว้ของปี เจ้าต้องถือปัสกาตามกฎระเบียบทุกอย่าง และทำตามข้อบังคับทั้งสิ้นที่เกี่ยวข้องกับเทศกาลนั้น
4 ดังนั้น โมเสสจึงได้บอกกับคนอิสราเอลว่า พวกเขาควรจะถือเทศกาลปัสกา 5 ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงถือปัสกาในเดือนที่หนึ่ง เวลาเย็นวันที่สิบสี่ของเดือนนั้นในถิ่นทุรกันดารซีนาย คนอิสราเอลก็ได้ทำตามทุกอย่างที่พระยาห์เวห์ได้ทรงบัญชาให้โมเสสทำ
6 มีบางคนที่เป็นมลทินเนื่องจากศพ พวกเขาไม่สามารถถือปัสกาในวันนั้นได้ พวกเขาจึงไปอยู่ต่อหน้าโมเสสและอาโรนในวันเดียวกันนั้น 7 คนเหล่านั้นกล่าวกับโมเสสว่า "เราได้เป็นมลทินเพราะศพ ทำไมท่านจึงห้ามเราจากการถวายเครื่องบูชาแด่พระยาห์เวห์ตามเวลาที่กำหนดไว้ของปีท่ามกลางคนอิสราเอล?" 8 โมเสสจึงตอบคนเหล่านั้นว่า "จงคอยข้าพเจ้าเพื่อที่จะฟังว่า พระยาห์เวห์จะตรัสสั่งอะไรเกี่ยวกับพวกท่าน"
9 พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับโมเสส พระองค์ตรัสว่า 10 "จงพูดกับคนอิสราเอล จงบอกว่า 'ถ้าคนใดในพวกเจ้า หรือพงศ์พันธุ์ของเจ้าเป็นมลทินเพราะศพ หรืออยู่ระหว่างการเดินทางไกล เขาก็ยังถือปัสกาแด่พระยาห์เวห์ได้' 11 พวกเขาต้องถือปัสกาในเดือนที่สอง เวลาเย็นวันที่สิบสี่ พวกเขาต้องกินปัสกาพร้อมกับขนมปังที่ปราศจากเชื้อกับผักรสขม 12 พวกเขาต้องไม่เหลือปัสกานั้นไว้จนรุ่งเช้า หรือหักกระดูกใดๆ ของมัน พวกเขาต้องทำตามกฎระเบียบของปัสกา
13 แต่คนใดที่ไม่เป็นมลทิน และไม่ได้อยู่ระหว่างการเดินทาง แต่ผู้นั้นไม่ได้ถือปัสกา คนนั้นต้องถูกตัดขาดจากชุมชนของเขา เพราะเขาไม่ถวายเครื่องบูชาที่พระยาห์เวห์ที่ทรงประสงค์ตามเวลาที่กำหนดไว้ของปี คนนั้นต้องแบกรับบาปของเขา 14 ถ้าคนต่างด้าวคนใดที่อาศัยอยู่ท่ามกลางพวกเจ้าและถือปัสกาเพื่อถวายพระเกียรติแด่พระยาห์เวห์ เขาต้องถือปัสกาและทำทุกอย่างตามที่พระองค์ได้ทรงบัญชาไว้ ในการถือกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ของปัสกาและทำตามกฎของปัสกา เจ้าต้องมีกฎอย่างเดียวกันสำหรับคนต่างด้าวและสำหรับทุกคนที่เกิดในแผ่นดินนี้
15 ในวันที่จัดตั้งพลับพลา มีเมฆมาปกคลุมพลับพลาที่เป็นเต็นท์แห่งพันธสัญญาพระบัญชา ในตอนเย็นเมฆที่อยู่เหนือพลับพลาก็จะปรากฏเหมือนไฟจนถึงรุ่งเช้า 16 ก็จะเป็นเช่นนั้นอยู่เสมอ เมฆจะปกคลุมพลับพลาและปรากฏเหมือนไฟในตอนกลางคืน 17 เมื่อใดก็ตามที่เมฆลอยขึ้นไปจากเต็นท์นั้น คนอิสราเอลก็จะออกเดินทางไป เมฆหยุดลงที่ใดก็ตาม คนอิสราเอลก็จะตั้งค่ายพักที่นั่น
18 คนอิสราเอลจะออกเดินทางตามพระบัญชาของพระยาห์เวห์ และพวกเขาจะตั้งค่ายพักตามพระบัญชาของพระองค์ ในขณะที่เมฆยังคงหยุดอยู่เหนือพลับพลา พวกเขาจะพักในค่ายพักของพวกเขา 19 เมื่อเมฆยังคงอยู่เหนือพลับพลาเป็นเวลาหลายวัน แล้วคนอิสราเอลก็จะทำตามพระบัญชาของพระยาห์เวห์ และไม่ออกเดินทาง 20 บางครั้งเมฆยังคงอยู่เหนือพลับพลาเพียงไม่กี่วัน ในกรณีนั้น พวกเขาต้องทำตามพระบัญชาของพระยาห์เวห์ พวกเขาจะตั้งค่ายพัก และออกเดินทางอีกครั้งตามพระบัญชาของพระองค์
21 บางครั้งเมฆก็ปรากฏในค่ายพักตั้งแต่ตอนเย็นจนถึงตอนเช้า เมื่อเมฆลอยขึ้นไปในตอนเช้า พวกเขาก็ออกเดินทาง ถ้าเมฆคงอยู่เป็นเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืน แต่เมื่อเมฆลอยขึ้นไป พวกเขาก็จะเดินทางไป 22 ไม่ว่าเมฆจะอยู่เหนือพลับพลาเป็นเวลาสองวัน หนึ่งเดือน หรือหนึ่งปี ตราบใดที่เมฆยังอยู่ที่นั่น คนอิสราเอลต้องพักอยู่ในค่ายพักของพวกเขาและไม่ออกเดินทาง แต่เมื่อใดก็ตามที่เมฆลอยขึ้นไป พวกเขาก็จะออกเดินทาง 23 พวกเขาจะตั้งค่ายพักตามพระบัญชาของพระยาห์เวห์ และพวกเขาจะเดินทางตามพระบัญชาของพระองค์ พวกเขาจะทำตามพระบัญชาของพระยาห์เวห์ที่ทรงประทานผ่านทางโมเสส
1 พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับโมเสสว่า 2 "จงทำแตรเงินสองคัน จงทุบเงินด้วยค้อนเพื่อทำแตรเหล่านั้น เจ้าต้องใช้แตรเพื่อที่จะเรียกชุมชนให้มาชุมนุมกัน และเรียกชุมชนให้เคลื่อนย้ายค่ายพักของพวกเขา 3 พวกปุโรหิตต้องเป่าแตรทั้งสองเพื่อเรียกชุมชนทั้งหมดมาชุมนุมอยู่ข้างหน้าเจ้าที่ทางเข้าเต็นท์นัดพบ 4 ถ้าพวกปุโรหิตเป่าแตรเพียงคันเดียว แล้วบรรดาผู้นำที่เป็นหัวหน้าของตระกูลต่างๆ ของอิสราเอลก็ต้องมาชุมนุมกับเจ้า
5 เมื่อเจ้าเป่าแตรเป็นสัญญาณเสียงดัง บรรดาค่ายพักทางด้านทิศตะวันออกต้องเริ่มออกเดินทาง 6 เมื่อเจ้าเป่าแตรเป็นสัญญาณเสียงดังครั้งที่สอง บรรดาค่ายพักทางด้านทิศใต้ก็ต้องเริ่มออกเดินทาง พวกเขาต้องเป่าเป็นสัญญาณเสียงดังสำหรับการเดินทางของพวกเขา 7 เมื่อชุมชนมาชุมนุมกัน จงเป่าแตรเหล่านั้น แต่ไม่ต้องเสียงดัง 8 พวกบุตรชายของอาโรน บรรดาปุโรหิตต้องเป่าแตร แตรนี้จะเป็นกฎระเบียบสำหรับพวกเจ้าตลอดชั่วชาติพันธุ์ของพวกเจ้า
9 เมื่อพวกเจ้าออกไปทำสงครามกับศัตรูที่ข่มเหงเจ้าในแผ่นดินของเจ้า แล้วเจ้าต้องเป่าเสียงสัญญาณปลุกด้วยแตรเหล่านั้น เรา พระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าจะระลึกถึงพวกเจ้า และจะช่วยพวกเจ้าให้พ้นจากศัตรูของพวกเจ้า 10 ในเวลาแห่งการเฉลิมฉลอง ทั้งเทศกาลงานเลี้ยงที่จัดขึ้นเป็นประจำ และทุกต้นเดือน เจ้าต้องเป่าแตรเช่นเดียวกันเพื่อให้เกียรติแก่เครื่องเผาบูชาของเจ้า และเป่าแตรเหนือเครื่องบูชาสำหรับสันติบูชาของเจ้า สิ่งเหล่านี้จะเป็นการทำให้พวกเจ้าระลึกถึงเรา พระเจ้าของพวกเจ้า เราคือพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า"
11 ในวันที่ยี่สิบของเดือนที่สองปีที่สอง เมฆก็ลอยขึ้นไปจากพลับพลาแห่งพันธสัญญาพระบัญชา 12 แล้วคนอิสราเอลก็ออกเดินทางจากถิ่นทุรกันดารซีนาย เมฆนั้นก็หยุดในถิ่นทุรกันดารปาราน 13 พวกเขาได้ออกเดินทางครั้งแรกตามพระบัญชาของพระยาห์เวห์ที่ได้ทรงประทานผ่านทางโมเสส
14 ค่ายพักภายใต้ธงของพงศ์พันธุ์ยูดาห์ออกเดินทางเป็นกองแรกที่เคลื่อนขบวนแต่ละกองของพวกเขาออกไป นาห์โชนบุตรชายของอัมมีนาดับได้นำกองของยูดาห์ 15 เนธันเอลบุตรชายของศุอาร์ได้นำกองเผ่าของพงศ์พันธุ์อิสสาคาร์ 16 เอลีอับบุตรชายของเฮโลนได้นำกองเผ่าของพงศ์พันธุ์เศบูลุน 17 พงศ์พันธุ์เกอร์โชนและของเมรารี ผู้ที่ดูแลพลับพลาก็รื้อพลับพลาลง แล้วพวกเขาก็ออกเดินทาง
18 ต่อมา บรรดากองที่อยู่ภายใต้ธงของค่ายพักรูเบนก็เริ่มออกเดินทาง เอลีซูร์บุตรชายของเชเดเออร์ได้นำกองของรูเบน 19 เชลูมิเอลบุตรชายของศุริชัดดัยได้นำกองเผ่าของพงศ์พันธุ์สิเมโอน 20 เอลีอาสาฟบุตรชายของเดอูเอลได้นำกองเผ่าของพงศ์พันธุ์กาด 21 คนโคฮาทออกเดินทาง พวกเขาแบกหามเครื่องใช้บริสุทธิ์ของสถานนมัสการ ส่วนกองอื่น ๆ ก็จะจัดตั้งพลับพลาก่อนที่คนโคฮาทจะไปถึงที่ค่ายพักต่อไป
22 บรรดากองที่อยู่ภายใต้ธงของพงศ์พันธุ์เอฟราอิมออกเดินทางเป็นลำดับต่อไป เอลีชามาบุตรชายของอัมมีฮูดได้นำกองของเอฟราอิม 23 กามาลิเอลบุตรชายของเปดาห์ซูร์ได้นำกองเผ่าของพงศ์พันธุ์มนัสเสห์ 24 อาบีดันบุตรชายของกิเดโอนีได้นำกองเผ่าของพงศ์พันธุ์เบนยามิน 25 บรรดากองที่ตั้งค่ายพักภายใต้ธงของพงศ์พันธุ์ดานออกเดินทางเป็นกองสุดท้าย อาหิเอเซอร์บุตรของอัมมีชัดดัยได้นำกองของดาน
26 ปากีเอลบุตรชายของโอครานได้นำกองเผ่าของพงศ์พันธุ์อาเชอร์ 27 อาหิราบุตรชายของเอนันได้นำกองเผ่าของพงศ์พันธุ์นัฟทาลี 28 นี่เป็นรูปแบบการเดินทางของกองต่างๆ ของคนอิสราเอล
29 โมเสสได้พูดกับโฮบับบุตรชายของเรอูเอลคนมีเดียน เรอูเอลเป็นบิดาของภรรยาของโมเสส โมเสสได้พูดกับโฮบับว่า "เรากำลังเดินทางไปยังสถานที่ที่พระยาห์เวห์ได้ทรงบอกไว้ พระยาห์เวห์ได้ตรัสว่า 'เราจะมอบแผ่นดินนั้นให้กับพวกเจ้า' มากับเราเถิด และเราจะทำดีต่อท่าน พระยาห์เวห์ได้ทรงสัญญาว่าจะทรงทำดีต่ออิสราเอล" 30 แต่โฮบับได้บอกโมเสสว่า "ข้าพเจ้าจะไม่ไปกับท่าน ข้าพเจ้าจะไปยังแผ่นดินของข้าพเจ้า และชุมชนของข้าพเจ้า" 31 แล้วโมเสสจึงได้ตอบว่า "อย่าจากเราไปเลย ท่านรู้วิธีการตั้งค่ายพักในถิ่นทุรกันดาร ท่านต้องคอยเฝ้าระวังให้กับเรา 32 ถ้าท่านไปกับเรา เราจะทำดีต่อท่านเช่นเดียวกับที่พระยาห์เวห์ทรงทำดีต่อเรา"
33 พวกเขาได้เดินทางจากภูเขาแห่งพระยาห์เวห์เป็นเวลาสามวัน หีบแห่งพันธสัญญาของพระยาห์เวห์ก็ไปข้างหน้าพวกเขาเป็นเวลาสามวัน เพื่อที่จะหาสถานที่พักให้กับพวกเขา 34 เมฆของพระยาห์เวห์อยู่เหนือพวกเขาในตอนกลางวันในขณะที่พวกเขาเดินทาง 35 เมื่อใดก็ตามที่หีบนั้นออกเดินทาง โมเสสจะกล่าวว่า "ขอพระยาห์เวห์ทรงลุกขึ้น ขอทรงทำให้ศัตรูของพระองค์กระจัดกระจายไป ขอให้คนเหล่านั้นที่เกลียดชังพระองค์ต้องวิ่งหนีไปจากพระองค์" 36 เมื่อใดก็ตามที่หีบนั้นหยุดลง โมเสสก็จะกล่าวว่า "ขอพระยาห์เวห์ทรงกลับมาสู่คนอิสราเอลที่มีจำนวนมากมายหลายหมื่นคนนี้ด้วยเถิด"
1 บัดนี้ ประชาชนได้บ่นเกี่ยวกับความยากลำบากของพวกเขา ขณะที่พระยาห์เวห์ทรงฟังอยู่ พระยาห์เวห์ทรงได้ยินคนเหล่านั้นแล้วก็กริ้ว ไฟจากพระยาห์เวห์ได้เผาไหม้อยู่ท่ามกลางพวกเขา และเผาค่ายพักที่อยู่รอบนอกไปบางส่วน 2 แล้วประชาชนก็ร้องขอต่อโมเสส ดังนั้น โมเสสจึงได้อธิษฐานต่อพระยาห์เวห์ แล้วไฟนั้นก็ดับ 3 พวกเขาจึงเรียกสถานที่นั้นว่าทาเบราห์ เพราะไฟของพระยาห์เวห์ได้เผาไหม้อยู่ท่ามกลางพวกเขา
4 พวกคนต่างชาติบางคนก็เข้ามาตั้งค่ายพักอยู่กับพงศ์พันธุ์อิสราเอล พวกเขาต้องการอาหารที่ดีกว่ามากิน แล้วคนอิสราเอลก็เริ่มร้องไห้คร่ำครวญและกล่าวว่า "ใครจะให้เนื้อเรากิน? 5 เราคิดถึงปลาในอียิปต์ที่เราได้กินโดยไม่ต้องเสียอะไร อีกทั้ง แตงกวา แตงโม ต้นกระเทียม หัวหอม และหัวกระเทียม 6 บัดนี้ เราเบื่ออาหารนี้เต็มทนแล้ว เพราะที่เราเห็นทั้งหมดก็มีแต่มานา"
7 มานามีลักษณะเหมือนเมล็ดผักชี ดูเหมือนยางไม้ 8 ประชาชนก็เดินออกไปรอบ ๆ และเก็บมานา พวกเขาบดมานาในโม่หิน ตำในครก ต้มในหม้อและทำเป็นขนม มานามีรสเหมือนกับน้ำมันมะกอกสด 9 เมื่อน้ำค้างตกลงมาเหนือค่ายพักในตอนกลางคืน มานาก็จะตกลงมาด้วย
10 โมเสสได้ยินว่าประชาชนพากันร้องไห้คร่ำครวญในครอบครัวของพวกเขา และผู้ชายทุกคนก็อยู่ที่ทางเข้าเต็นท์ของตน พระยาห์เวห์กริ้วมาก และการบ่นของพวกเขาเป็นความผิดในสายตาของโมเสส 11 โมเสสจึงทูลพระยาห์เวห์ว่า "ทำไมพระองค์จึงทรงทำให้ผู้รับใช้ของพระองค์ลำบากเช่นนี้? ทำไมพระองค์จึงไม่ทรงพอพระทัยข้าพระองค์? พระองค์ทรงทำให้ข้าพระองค์แบกภาระหนักจนเกินกำลังกับคนทั้งหมดนี้ 12 ข้าพระองค์ตั้งท้องคนเหล่านี้มาหรือ? ข้าพระองค์คลอดพวกเขามา เพื่อที่พระองค์จะตรัสกับข้าพระองค์ว่า 'จงอุ้มพวกเขาไว้แนบอกของเจ้าเหมือนกับบิดาอุ้มลูกน้อยหรือ?' ข้าพระองค์ควรจะอุ้มพวกเขาไปยังแผ่นดินที่พระองค์ทรงสาบานกับบรรดาบรรพบุรุษของพวกเขาว่าจะทรงมอบให้กับพวกเขาหรือ?"
13 ข้าพระองค์จะหาเนื้อจากที่ไหนมาให้คนทั้งหมดนี้ได้? พวกเขากำลังร้องไห้คร่ำครวญอยู่ต่อหน้าข้าพระองค์ และบอกว่า "ขอเนื้อให้เรากิน" 14 ข้าพระองค์เพียงคนเดียวไม่สามารถแบกรับคนเหล่านี้ทั้งหมดได้ พวกเขามีจำนวนมากเกินไปสำหรับข้าพระองค์ 15 ถ้าหากพระองค์จะทรงทำแก่ข้าพระองค์เช่นนี้ ก็ขอให้พระองค์ประหารข้าพระองค์เสียเดี๋ยวนี้เถิด ถ้าพระองค์ทรงพระกรุณาต่อข้าพระองค์ ก็ขอทรงเอาความทุกข์ยากของข้าพระองค์ออกไปด้วยเถิด"
16 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า "จงพาพวกผู้ใหญ่ของอิสราเอลเจ็ดสิบคนมาหาเรา ขอให้แน่ใจว่าพวกเขาเป็นพวกผู้ใหญ่และเป็นพวกเจ้าหน้าที่ของประชาชน จงพาพวกเขามาที่เต็นท์นัดพบ และยืนอยู่กับเจ้าที่นั่น 17 เราจะลงมาและสนทนากับเจ้าที่นั่น เราจะเอาพระวิญญาณที่อยู่บนเจ้าบางส่วนมาและใส่ลงไปบนพวกเขา พวกเขาจะแบกภาระของประชาชนร่วมกับเจ้า เจ้าไม่ต้องแบกรับภาระนั้นเพียงคนเดียว 18 จงบอกประชาชนว่า 'จงชำระตัวให้บริสุทธิ์สำหรับพรุ่งนี้ และพวกเจ้าจะได้กินเนื้อจริงๆ เพราะพวกเจ้าได้ร้องไห้คร่ำครวญ และพระยาห์เวห์ได้ทรงได้ยินที่พวกเจ้าพูดว่า "ใครจะให้เนื้อเรากิน? เราอยู่ในอียิปต์ก็ดีอยู่แล้ว" เพราะฉะนั้น พระยาห์เวห์จะทรงประทานเนื้อให้แก่พวกเจ้า และพวกเจ้าจะได้กินเนื้อ
19 พวกเจ้าจะไม่ได้กินเนื้อแค่เพียงวันเดียว สองวัน ห้าวัน สิบวันหรือยี่สิบวัน 20 แต่พวกเจ้าจะกินเนื้อตลอดทั้งเดือนจนเนื้อออกมาจากจมูกของเจ้า จนเนื้อทำให้พวกเจ้าเอียน เพราะพวกเจ้าปฏิเสธพระยาห์เวห์ผู้ทรงอยู่ท่ามกลางพวกเจ้า เจ้าได้ร้องไห้คร่ำครวญต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ เจ้าบอกว่า 'ทำไมเราจึงออกมาจากอียิปต์?'"" 21 แล้วโมเสสทูลว่า "ข้าพระองค์อยู่กับคน 600,000 คน และพระองค์ได้ตรัสว่า 'เราจะให้เนื้อพวกเขากินตลอดทั้งเดือน' 22 เราควรจะฆ่าฝูงแพะแกะและฝูงโคมาเพื่อให้พวกเขาพอใจหรือ? เราควรจะจับปลาทั้งหมดในทะเลมาเพื่อทำให้พวกเขาพอใจหรือ?"
23 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า "มือของเราสั้นไปหรือ? บัดนี้ เจ้าจะได้เห็นว่าคำของเราจะเป็นจริงหรือไม่" 24 โมเสสออกไปและบอกถ้อยคำที่พระยาห์เวห์ตรัสต่อประชาชน ท่านได้ประชุมผู้ใหญ่ของประชาชนเจ็ดสิบคน และให้พวกเขายืนอยู่รอบเต็นท์นั้น 25 พระยาห์เวห์ทรงลงมาในเมฆและตรัสกับโมเสส พระยาห์เวห์ได้ทรงนำพระวิญญาณบนโมเสสบางส่วนไปใส่บนพวกผู้ใหญ่ทั้งเจ็ดสิบคนนั้น เมื่อพระวิญญาณทรงสถิตบนพวกเขา พวกเขาก็เผยพระวจนะ แต่เฉพาะในช่วงเวลานั้น และไม่ได้ทำอีกเลย
26 ชายสองคนที่ยังอยู่ในค่ายพัก ชื่อเอลดาด และเมดาด พระวิญญาณได้ทรงสถิตบนพวกเขาเช่นกัน ชื่อของพวกเขาก็อยู่ในรายชื่อนั้นด้วย แต่พวกเขาไม่ได้ออกไปที่เต็นท์นั้น อย่างไรก็ดี พวกเขาก็เผยพระวจนะในค่ายพัก 27 ชายหนุ่มคนหนึ่งที่อยู่ในค่ายพักนั้นได้วิ่งมาบอกโมเสสว่า "เอลดาด และเมดาดกำลังเผยพระวจนะอยู่ในค่ายพัก" 28 โยชูวาบุตรชายของนูน ผู้ช่วยของโมเสส ซึ่งเป็นคนหนึ่งของคนที่เขาเลือกมาบอกกับโมเสสว่า "เจ้านายของข้าพเจ้า ขอให้พวกเขาหยุดพูดเถิด" 29 โมเสสบอกกับเขาว่า "ท่านอิจฉา เพราะเห็นแก่เราหรือ?" ข้าพเจ้าอยากให้ประชาชนทุกคนของพระยาห์เวห์เป็นผู้เผยพระวจนะ และเพื่อที่พระองค์จะทรงใส่พระวิญญาณของพระองค์ลงบนพวกเขาทุกคน" 30 แล้วโมเสสและพวกผู้ใหญ่ของอิสราเอลก็กลับไปยังค่ายพัก
31 แล้วลมก็พัดมาจากพระยาห์เวห์ และหอบเอานกคุ่มมาจากทะเล พวกนกเหล่านั้นก็มาตกอยู่ใกล้ค่ายพัก ซึ่งเดินทางไปถึงประมาณหนึ่งวัน และเดินทางกลับมาประมาณหนึ่งวัน นกคุ่มก็ตกอยู่รอบค่ายพักสูงจากพื้นดินประมาณสองศอก 32 ประชาชนก็ง่วนอยู่กับการจับนกคุ่มกันตลอดทั้งวันทั้งคืน และตลอดวันถัดมาด้วย ไม่มีใครที่จับนกคุ่มได้น้อยกว่าสิบโฮเมอร์ พวกเขาแบ่งนกคุ่มให้แก่กันทั่วค่ายพัก 33 ในขณะที่เนื้อนกยังติดฟันพวกเขาอยู่ ในขณะที่กำลังเคี้ยวเนื้อนั้นอยู่ พระยาห์เวห์ก็กริ้วพวกเขา พระองค์ทรงประหารคนเหล่านั้นด้วยโรคภัยร้ายแรง
34 เขาจึงเรียกสถานที่นั้นว่า ขิบโรธ หัทธาอาวาห์ เพราะที่นั่น พวกเขาได้ฝังศพคนเหล่านั้นที่ตะกละกินเนื้อมาก 35 ประชาชนได้เดินทางจากขิบโรธ หัทธาอาวาห์ไปยังฮาเซโรธที่พวกเขาได้พักอยู่ที่นั่น
1 ต่อมา มิเรียมกับอาโรนได้พูดต่อต้านโมเสส เพราะเหตุหญิงชาวคูชที่ท่านแต่งงานด้วย 2 พวกเขาได้กล่าวว่า "พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสคนเดียวเท่านั้นหรือ? พระองค์ไม่ตรัสกับเราบ้างหรือ?" พระยาห์เวห์ทรงได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูด 3 ในขณะที่โมเสสเป็นคนที่ถ่อมใจยิ่งนัก ถ่อมใจยิ่งกว่าคนอื่นใดบนแผ่นดิน
4 ในทันใดนั้น พระยาห์เวห์ก็ตรัสกับโมเสส อาโรน และมิเรียมว่า "พวกเจ้าทั้งสามคนจงออกไปที่เต็นท์นัดพบ" พวกเขาทั้งสามคนจึงออกไป 5 แล้วพระยาห์เวห์ก็เสด็จลงมาในเสาเมฆ พระองค์ประทับยืนอยู่ที่ทางเข้าเต็นท์นัดพบ และทรงเรียกอาโรนกับมิเรียม พวกเขาทั้งสองคนก็ออกมาข้างหน้า 6 พระยาห์เวห์ตรัสว่า "บัดนี้ จงฟังถ้อยคำของเรา เมื่อผู้เผยพระวจนะของเราอยู่ท่ามกลางพวกเจ้า เราจะสำแดงตัวเราเองต่อเขาในนิมิต และพูดกับเขาในความฝัน
7 แต่โมเสสผู้รับใช้ของเราไม่ได้เป็นเช่นนั้น ในครัวเรือนทั้งหมดของเรา เขาเป็นคนสัตย์ซื่อ 8 เราพูดกับโมเสสโดยตรง ไม่ได้พูดด้วยนิมิตหรือคำปริศนา เขาได้เห็นสัณฐานของเรา ดังนั้น ทำไมพวกเจ้าจึงไม่เกรงกลัวที่พูดต่อต้านโมเสสผู้รับใช้ของเรา?" 9 พระพิโรธของพระยาห์เวห์ก็พลุ่งขึ้นต่อเขาทั้งสองคน แล้วพระองค์ก็ทรงจากพวกเขาไป
10 เมฆก็ลอยขึ้นไปจากเต็นท์นั้น แล้วทันใดนั้น มิเรียมก็เป็นโรคเรื้อน ขาวราวกับหิมะ เมื่ออาโรนหันมาดูมิเรียม ท่านก็เห็นมิเรียมเป็นโรคเรื้อน 11 อาโรนจึงกล่าวกับโมเสสว่า "โอ เจ้านายของข้าพเจ้า ขอโปรดอย่าถือโทษบาปนี้ต่อเราเลย เราได้พูดอย่างโง่เขลา และเราได้ทำบาปแล้ว 12 ขออย่าให้นางเป็นเหมือนเด็กแรกเกิดที่ตายแล้ว ผู้ที่มีเนื้อกุดไปครึ่งหนึ่ง ตอนที่คลอดออกมาจากครรภ์มารดา"
13 ดังนั้น โมเสสจึงร้องทูลต่อพระยาห์เวห์ว่า "ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงพระกรุณารักษานางให้หายด้วยเถิด" 14 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า "ถ้าบิดาของนางถ่มน้ำลายใส่หน้าของนาง นางก็จะอับอายไปเจ็ดวัน จงกักตัวนางไว้นอกค่ายเจ็ดวัน หลังจากนั้น จึงพานางเข้ามาอีกครั้ง" 15 ดังนั้น มิเรียมจึงถูกกักตัวไว้นอกค่ายเป็นเวลาเจ็ดวัน ประชาชนก็ไม่ออกเดินไป จนกระทั่งนางได้กลับมายังค่ายพัก 16 หลังจากนั้น ประชาชนก็ออกเดินทางไปจากฮาเซโรธ และตั้งค่ายพักในถิ่นทุรกันดารปาราน
1 จากนั้น พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับโมเสส พระองค์ตรัสว่า 2 "จงส่งบางคนไปสอดแนมแผ่นดินคานาอันที่เราได้มอบให้แก่คนอิสราเอล จงส่งคนจากทุกเผ่าของบรรพบุรุษของพวกเขาเผ่าละคน แต่ละคนต้องเป็นผู้นำท่ามกลางพวกเขา" 3 โมเสสจึงส่งพวกเขาไปจากถิ่นทุรกันดารปาราน เพื่อให้พวกเขาทำตามพระบัญชาของพระยาห์เวห์ พวกเขาทุกคนเป็นผู้นำท่ามกลางคนอิสราเอล
4 ต่อไปนี้เป็นรายชื่อของพวกเขา ชัมมุวาบุตรชายของศักเกอร์จากเผ่ารูเบน 5 ชาฟัทบุตรชายของโฮรีจากเผ่าสิเมโอน 6 คาเลบบุตรชายของเยฟุนเนห์จากเผ่ายูดาห์ 7 อิกาลบุตรชายของโยเซฟจากเผ่าอิสสาคาร์
8 โฮเชยาบุตรชายของนูนจากเผ่าเอฟราอิม 9 ปัลทีบุตรชายของราฟูจากเผ่าเบนยามิน 10 กัดดีเอลบุตรชายของโสดีจากเผ่าเศบูลุน 11 กัดดีบุตรชายของสุสีจากเผ่าโยเซฟ (นั่นเป็นการบอกว่า จากเผ่ามนัสเสห์)
12 อัมมีเอลบุตรชายของเกมัลลีจากเผ่าดาน 13 เสธูร์บุตรชายของมีคาเอลจากเผ่าอาเชอร์ 14 นาห์บีบุตรชายของโวฟสีจากเผ่านัฟทาลี 15 เกอูเอลบุตรชายของมาคีจากเผ่ากาด 16 เหล่านี้เป็นรายชื่อของคนที่โมเสสได้ส่งไปสอดแนมแผ่นดินนั้น โมเสสเรียกโฮเชยาบุตรชายของนูนโดยใช้ชื่อว่าโยชูวา
17 โมเสสส่งพวกเขาไปสอดแนมแผ่นดินคานาอัน ท่านบอกพวกเขาว่า "จงเข้าไปตั้งแต่เนเกฟ และขึ้นไปยังเขตแดนเทือกเขา 18 จงตรวจดูแผ่นดินนั้นเพื่อดูว่าแผ่นดินนั้นเป็นอย่างไร จงสังเกตดูคนที่อาศัยอยู่ที่นั่นว่า พวกเขาเข้มแข็งหรืออ่อนแอ และพวกเขามีจำนวนน้อยหรือมาก 19 จงดูว่าแผ่นดินที่พวกเขาอาศัยอยู่เป็นอย่างไร ดีหรือไม่ดี? บรรดาเมืองที่นั่นเป็นอย่างไร? เมืองเหล่านั้นเป็นค่ายพัก หรือเป็นเมืองที่มีกำแพงป้องกัน? 20 จงดูว่าแผ่นดินนั้นเป็นอย่างไร แผ่นดินนั้นเหมาะสำหรับการงอกงามของพืชผลหรือไม่ และมีต้นไม้อยู่ที่นั่นหรือไม่ จงกล้าหาญเถิด และนำตัวอย่างของผลิตผลของแผ่นดินนั้นมาด้วย" เวลาตอนนี้เป็นฤดูที่ผลองุ่นรุ่นแรกสุก
21 ดังนั้น คนเหล่านั้นจึงขึ้นไปและสอดแนมแผ่นดินนั้น ตั้งแต่ถิ่นทุรกันดารศินจนถึงเรโหบใกล้กับเมืองเลโบฮามัท 22 พวกเขาขึ้นไปจากเนเกฟ และมาถึงเมืองเฮโบรน มีคนอาหิมาน คนเชชัย และคนทัลมัย ซึ่งเป็นเชื้อสายตระกูลจากคนอานาคอยู่ที่นั่น เมืองเฮโบรนได้ถูกสร้างขึ้นก่อนเมืองโศอันในอียิปต์เจ็ดปี 23 เมื่อพวกเขามาถึงหุบเขาเอชโคล พวกเขาก็ตัดกิ่งที่มีพวงองุ่นพวงหนึ่ง พวกเขาต้องใช้สองคนในกลุ่มของพวกเขาหามพวงองุ่นนั้นด้วยไม้คาน พวกเขายังนำผลทับทิมและผลมะเดื่อมาด้วย 24 สถานที่นั้นจึงถูกเรียกว่าหุบเขาเอชโคล เพราะพวงองุ่นที่คนอิสราเอลได้ตัดมาจากที่นั่น
25 หลังจากสี่สิบวัน พวกเขาก็กลับมาจากการสอดแนมแผ่นดินนั้น 26 พวกเขากลับมาหาโมเสส อาโรน และชุมชนทั้งหมดของคนอิสราเอลในถิ่นทุรกันดารปารานที่คาเดช คนเหล่านั้นได้กลับมารายงานต่อท่านทั้งสองและชุมชนทั้งหมด และให้พวกเขาดูผลไม้จากแผ่นดินนั้น 27 พวกเขาบอกโมเสสว่า "เราได้ไปถึงแผ่นดินที่ท่านได้ส่งเราไป แผ่นดินนั้นอุดมด้วยน้ำนมและน้ำผึ้งจริง ๆ นี่เป็นผลไม้จำนวนหนึ่งจากแผ่นดินนั้น
28 แต่อย่างไรก็ตาม คนที่สร้างบ้านเรือนของพวกเขาที่นั่นเป็นคนแข็งแรงมาก เมืองเหล่านั้นมีกำแพงป้องกันและใหญ่โตมาก เราได้เห็นพงศ์พันธุ์ของคนอานาคที่นั่นด้วย 29 คนอามาเลคอาศัยอยู่ในเนเกฟ คนฮิตไทต์ คนเยบุส และคนอาโมไรต์มีบ้านเรือนของพวกเขาในเขตแดนหุบเขา คนคานาอันอาศัยอยู่ใกล้ทะเลและตามฝั่งแม่น้ำจอร์แดน 30 แล้วคาเลบได้ให้ประชาชนเงียบต่อหน้าโมเสส และกล่าวว่า "ให้เราขึ้นไปและยึดครองแผ่นดินนั้น เพราะเราสามารถชนะเมืองนั้นได้แน่นอน"
31 แต่คนอื่น ๆ ที่ได้ไปกับเขากล่าวว่า "เราไม่สามารถต่อสู้กับคนเหล่านั้นได้ เพราะพวกเขาแข็งแกร่งกว่าเรา" 32 ดังนั้น พวกเขาก็รายงานเกี่ยวกับแผ่นดินที่พวกเขาไปสอดแนมมาให้รู้กันทั่วที่ทำให้คนอิสราเอลเกิดความท้อถอย พวกเขากล่าวว่า "แผ่นดินที่เราได้ไปเห็นมาเป็นแผ่นดินที่กินคน ทุกคนที่เราได้เห็นที่นั่นเป็นคนสูงใหญ่มาก 33 ที่นั่นเราได้เห็นยักษ์ที่เป็นพงศ์พันธุ์คนอานาค คนที่มาจากพวกยักษ์ ในสายตาของเรา เราเป็นเหมือนตั๊กแตนเมื่อเปรียบเทียบกับพวกเขา และนี่ก็เป็นสิ่งที่เราเป็นในสายตาของพวกเขาด้วย"
1 ในคืนนั้น ชุมชนทั้งหมดก็ร้องไห้เสียงดัง 2 คนอิสราเอลทั้งหมดก็ต่อว่าโมเสสกับอาโรน ชุมชนทั้งหมดกล่าวกับท่านทั้งสองว่า "เราอยากจะตายเสียในแผ่นดินอียิปต์ หรือในถิ่นทุรกันดารที่นี่ 3 ทำไมพระยาห์เวห์จึงทรงนำเรามายังแผ่นดินนี้เพื่อที่จะตายด้วยดาบ? ภรรยาและลูกเล็กๆ ของเราก็จะกลายเป็นผู้รับเคราะห์ ให้เรากลับไปที่อียิปต์ไม่ดีกว่าหรือ?" 4 พวกเขาพูดต่อกันและกันว่า "ให้เราเลือกผู้นำอีกคนหนึ่ง และให้เรากลับไปที่อียิปต์"
5 แล้วโมเสสกับอาโรนก็ซบหน้าลงต่อหน้าที่ประชุมของชุมชนคนอิสราเอล 6 โยชูวาบุตรชายของนูนและคาเลบบุตรชายของเยฟุนเนห์ ทั้งสองคนที่อยู่ในพวกคนเหล่านั้นที่ถูกส่งไปสอดแนมแผ่นดินนั้นก็ได้ฉีกเสื้อผ้าของตน 7 พวกเขาพูดกับชุมชนคนอิสราเอลทั้งหมด พวกเขาบอกว่า "แผ่นดินที่เราได้เข้าไปดูจนทั่วนั้นเป็นแผ่นดินที่ดีมาก 8 ถ้าพระยาห์เวห์ทรงพอพระทัยเรา แล้วพระองค์จะทรงนำเราเข้าสู่แผ่นดินนั้น และประทานแผ่นดินนั้นแก่เรา แผ่นดินที่อุดมด้วยน้ำนมและน้ำผึ้ง
9 แต่ขออย่ากบฎต่อพระยาห์เวห์ และอย่ากลัวคนในแผ่นดินนั้นเลย เราจะทำลายพวกเขาให้สิ้นได้อย่างง่าย ๆ เหมือนกับอาหาร เกราะกำบังของพวกเขาจะถูกเอาออกไปจากพวกเขา เพราะพระยาเวห์ทรงสถิตกับเรา อย่ากลัวพวกเขาเลย" 10 แต่ชุมชนทั้งหมดได้ขู่ว่าจะเอาก้อนหินขว้างพวกเขาให้ตาย แล้วพระสิริของพระยาห์เวห์ก็ได้ปรากฏที่เต็นท์นัดพบต่อหน้าคนอิสราเอลทั้งหมด 11 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า "คนเหล่านี้จะสบประมาทเรานานเท่าใด? พวกเขาจะไม่มีความวางใจเรานานเท่าใด ทั้ง ๆ ที่เราได้ทำหมายสำคัญแห่งฤทธิ์อำนาจของเราทั้งหมดท่ามกลางพวกเขา? 12 เราจะประหารพวกเขาด้วยภัยพิบัติ ตัดสิทธิ์พวกเขาจากมรดก และสร้างชนชาติหนึ่งจากตระกูลของเจ้าเองให้ยิ่งใหญ่และเข้มแข็งกว่าพวกเขา"
13 โมเสสทูลพระยาห์เวห์ว่า "ถ้าพระองค์ทรงทำเช่นนั้น แล้วชาวอียิปต์ก็จะได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะพระองค์ทรงช่วยคนเหล่านี้ให้รอดชีวิตจากพวกเขาด้วยฤทธิ์อำนาจของพระองค์ 14 พวกเขาจะบอกเรื่องนี้ต่อผู้ที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินนี้ พวกเขาได้ยินว่า พระองค์ พระยาห์เวห์ได้ทรงสถิตกับคนเหล่านี้ เพราะพวกเขาได้เห็นพระองค์หน้าต่อหน้า เมฆของพระองค์ตั้งอยู่เหนือคนของเรา พระองค์ทรงนำหน้าพวกเขาไปในเสาเมฆในตอนกลางวันและเสาเพลิงในตอนกลางคืน 15 ถ้าพระองค์ทรงประหารคนเหล่านี้เหมือนกับคนเดียว แล้วชนชาติต่าง ๆ ก็จะได้ยินกิตติศัพท์ ก็จะพูดกันและกล่าวว่า 16 'เพราะพระยาห์เวห์ไม่ทรงสามารถพาคนเหล่านั้นไปยังแผ่นดินที่พระองค์ทรงปฏิญาณว่าจะมอบให้แก่พวกเขาได้ พระองค์จึงทรงประหารพวกเขาในถิ่นทุรกันดาร'
17 บัดนี้ ข้าพระองค์ขอวิงวอนต่อพระองค์ ขอทรงใช้ฤทธิ์อำนาจยิ่งใหญ่ของพระองค์ เพราะพระองค์ได้ตรัสไว้ว่า 18 'พระยาห์เวห์กริ้วช้า และเปี่ยมด้วยความสัตย์ซื่อในพันธสัญญา พระองค์ทรงอภัยความชั่วร้ายและการละเมิด พระองค์จะไม่ทรงละเว้นความผิด เมื่อพระองค์ทรงนำการลงโทษบาปของบรรพบุรุษตกทอดไปถึงลูกหลานของพวกเขาสามและสี่ชั่วอายุคน' 19 ข้าพระองค์ขอวิงวอนต่อพระองค์ ขอทรงอภัยบาปของคนเหล่านี้ เพราะความยิ่งใหญ่แห่งความสัตย์ซื่อในพันธสัญญาของพระองค์ เหมือนดังที่พระองค์ทรงอภัยคนเหล่านี้มาตั้งแต่พวกเขาอยู่ในอียิปต์จนถึงบัดนี้"
20 พระยาห์เวห์ตรัสว่า "เรายกโทษให้กับพวกเขาเพื่อเป็นไปตามคำขอร้องของเจ้า 21 แต่แท้จริง เรามีชีวิตอยู่ฉันใด และแผ่นดินโลกทั้งหมดนี้ก็จะเต็มด้วยพระสิริของเราฉันนั้น 22 คนเหล่านั้นที่ได้เห็นพระสิริของเราและหมายสำคัญแห่งฤทธิ์อำนาจที่เราได้กระทำในอียิปต์และในถิ่นทุรกันดาร แต่พวกเขาก็ยังทดลองเราเป็นสิบครั้ง และไม่ฟังเสียงของเรา 23 ดังนั้น พวกเขาจะไม่ได้เห็นแผ่นดินที่เราได้ปฏิญาณไว้กับบรรพบุรุษของพวกเขาอย่างแน่นอน ไม่มีใครสักคนในพวกเขาที่สบประมาทเราจะได้เห็นแผ่นดินนั้น 24 ยกเว้นคาเลบผู้รับใช้ของเราที่มีวิญญาณต่างกัน เขาได้ติดตามเราอย่างสุดใจ เราจะนำเขาเข้าสู่แผ่นดินที่เขาได้ไปสอดแนมมานั้น พงศ์พันธุ์ของเขาจะได้แผ่นดินนั้นเป็นกรรมสิทธิ์
25 (ในเวลานั้น คนอามาเลคและคนคานาอันอาศัยอยู่ในหุบเขานั้น) พรุ่งนี้ จงหันกลับและไปยังถิ่นทุรกันดารตามทางไปทะเลแดง" 26 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสและอาโรน พระองค์ตรัสว่า 27 "เราต้องทนต่อชุมชนชั่วร้ายนี้ที่บ่นว่าเรานานเท่าใด? เราได้ยินคนอิสราเอลบ่นว่าเรา
28 พระยาห์เวห์ตรัสว่า "จงบอกพวกเขาว่า 'เรามีชีวิตอยู่ฉันใด เราจะทำต่อพวกเจ้าตามที่พวกเจ้าได้พูดให้เราได้ยินฉันนั้น 29 ซากศพของพวกเจ้าจะตกหล่นอยู่ในถิ่นทุรกันดารนี้ พวกเจ้าทุกคนที่ได้บ่นว่าเรา พวกเจ้าที่ได้ถูกนับไว้ในการทำสำมะโนครัว จำนวนคนทั้งหมดตั้งแต่อายุยี่สิบปีขึ้นไป 30 พวกเจ้าจะไม่ได้เข้าไปในแผ่นดินที่เราสัญญาว่าจะสร้างบ้านของพวกเจ้าอย่างแน่นอน ยกเว้นคาเลบบุตรชายของเยฟุนเนห์ และโยชูวาบุตรชายของนูน 31 แต่ลูกเล็กของพวกเจ้าที่พวกเจ้าบอกว่าเป็นผู้รับเคราะห์นั้น เราจะพาพวกเขาเข้าไปในแผ่นดินนั้น พวกเขาจะได้รับแผ่นดินนั้นที่พวกเจ้าได้ปฏิเสธ
32 แต่สำหรับพวกเจ้า ซากศพของเจ้าจะตกหล่นในถิ่นทุรกันดารนี้ 33 ลูกหลานของพวกเจ้าจะเป็นคนเลี้ยงแกะในถิ่นทุรกันดารเป็นเวลาสี่สิบปี พวกเขาต้องรับผลที่ตามมาจากการกบฎของพวกเจ้า จนกว่าซากศพของพวกเจ้าจะครบจำนวนในถิ่นทุรกันดาร 34 ตามจำนวนวันที่พวกเจ้าได้ไปสอดแนมแผ่นดินนั้นเป็นเวลาสี่สิบวัน พวกเจ้าต้องรับผลที่ตามมาของบาปของพวกเจ้าเป็นเวลาสี่สิบปีเช่นเดียวกัน หนึ่งปีคือแต่ละวัน และพวกเจ้าจะต้องรู้ว่าการเป็นศัตรูต่อเรานั้นเป็นอย่างไร 35 เรา คือพระยาห์เวห์ได้กล่าวไว้แล้ว เราจะทำต่อชุมชนที่ชั่วร้ายทั้งหมดนี้ที่รวมตัวกันต่อสู้เราอย่างแน่นอน พวกเขาจะถูกตัดออกอย่างสิ้นเชิง และพวกเขาจะตายที่นี่'"
36 ดังนั้น พวกผู้ชายที่โมเสสได้ส่งไปสอดแนมในแผ่นดินนั้น คือผู้ที่กลับมาและทำให้ชุมนุมชนทั้งหมดบ่นไม่พอใจโมเสสโดยการกระจายข่าวร้ายเกี่ยวกับแผ่นดิน 37 คนเหล่านี้ที่ได้นำข่าวร้ายเกี่ยวกับแผ่นดินนั้นล้วนถูกฆ่าและพวกเขาตายด้วยโรคระบาดต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ 38 ในบรรดาคนเหล่านั้นที่ได้เข้าไปดูในแผ่นดินนั้น มีเพียงโยชูวาบุตรชายของนูนและคาเลบบุตรชายของเยฟุนเนห์เท่านั้นที่ยังมีชีวิตอยู่ 39 เมื่อโมเสสเล่าถ้อยคำเหล่านั้นให้กับคนอิสราเอลทั้งหมด พวกเขาก็ร้องไห้โศกเศร้าอย่างหนัก
40 พวกเขาลุกขึ้นแต่เช้ามืดในตอนเช้า และไปที่ยอดเขา และกล่าวว่า "ดูสิ เราอยู่ที่นี่ และเราจะไปยังที่ซึ่งพระยาห์เวห์ได้ทรงสัญญาไว้ เพราะพวกเราได้ทำบาปแล้ว" 41 แต่โมเสสกล่าวว่า "ทำไมพวกท่านจึงขัดขืนพระบัญชาของพระยาห์เวห์? พวกท่านจะไม่ประสบความสำเร็จ 42 อย่าไปเลย เพราะพระยาห์เวห์ไม่ได้ทรงสถิตกับพวกท่านเพื่อปกป้องพวกท่านจากการโจมตีของศัตรูของท่าน 43 คนอามาเลคและคนคานาอันอยู่ที่นั่น และพวกท่านจะตายด้วยดาบ เพราะพวกท่านหันกลับจากการติดตามพระยาห์เวห์ ดังนั้น พระองค์จะไม่ทรงสถิตกับพวกท่าน"
44 แต่พวกเขาก็ขึ้นไปยังเขตแดนหุบเขานั้นโดยพลการ แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าโมเสสหรือหีบแห่งพันธสัญญาของพระยาห์เวห์ก็จะไม่ได้ออกไปจากค่าย 45 แล้วคนอามาเลคก็ลงมา และคนคานาอันที่อาศัยอยู่บนหุบเขาเหล่านั้นก็ลงมาด้วย คนเหล่านั้นได้โจมตีคนอิสราเอลและชนะพวกเขามาตามทางจนไปถึงเมืองโฮรมาห์
1 ต่อมา พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับโมเสส พระองค์ตรัสว่า 2 "จงพูดกับคนอิสราเอล และบอกพวกเขาว่า "เมื่อพวกเจ้าเข้าไปในแผ่นดินที่พวกเจ้าจะไปอาศัยอยู่ ที่พระยาห์เวห์จะมอบให้แก่พวกเจ้า 3 พวกเจ้าต้องจัดเตรียมเครื่องบูชาที่เผาด้วยไฟแด่พระยาห์เวห์ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเผาบูชา หรือเครื่องสัตวบูชาเพื่อแก้บน หรือเครื่องบูชาด้วยความสมัครใจ หรือเครื่องบูชาตอนเทศกาลงานเลี้ยงของพวกเจ้า เพื่อให้มีกลิ่นหอมที่พอพระทัยแด่พระยาห์เวห์จากฝูงโคหรือฝูงแพะแกะ
4 พวกเจ้าต้องถวายเครื่องเผาบูชาแด่พระยาห์เวห์พร้อมกับธัญบูชาที่เป็นแป้งอย่างดีหนึ่งในสิบเอฟาห์เคล้าด้วยน้ำมันหนึ่งในสี่ฮิน 5 พวกเจ้าต้องถวายเหล้าองุ่นหนึ่งในสี่ฮินต่อลูกแกะหนึ่งตัวเป็นเครื่องดื่มบูชาพร้อมกับเครื่องเผาบูชาหรือเครื่องสัตวบูชาด้วย 6 ถ้าพวกเจ้าถวายแกะผู้ตัวหนึ่ง พวกเจ้าต้องจัดเตรียมแป้งอย่างดีสองในสิบเอฟาห์ที่เคล้าด้วยน้ำมันสามในสิบฮินเป็นธัญบูชา 7 พวกเจ้าต้องถวายเหล้าองุ่นสามในสิบฮินเป็นเครื่องดื่มบูชา ซึ่งจะทำให้มีกลิ่นหอมแด่พระยาห์เวห์
8 เมื่อพวกเจ้าจัดเตรียมโคผู้ตัวหนึ่งเป็นเครื่องเผาบูชา หรือเป็นเครื่องสัตวบูชาเพื่อแก้บน หรือเป็นสันติบูชาแด่พระยาห์เวห์ 9 แล้วพวกเจ้าก็ต้องถวายธัญบูชาที่เป็นแป้งอย่างดีสามในสิบเอฟาห์เคล้าด้วยน้ำมันครึ่งฮินพร้อมกับโคผู้ตัวนั้นด้วย 10 พวกเจ้าต้องถวายเหล้าองุ่นครึ่งฮินเป็นเครื่องดื่มบูชาเป็นเครื่องบูชาด้วยไฟ เพื่อให้มีกลิ่นหอมแด่พระยาห์เวห์ 11 พวกเจ้าต้องทำเช่นนี้สำหรับโคผู้แต่ละตัว สำหรับแกะผู้แต่ละตัว และสำหรับลูกแกะตัวผู้หรือลูกแพะแต่ละตัว 12 เครื่องสัตวบูชาทุกอย่างที่พวกเจ้าจัดเตรียมและถวายต้องทำตามที่กำหนดไว้ในที่นี้
13 คนอิสราเอลโดยกำเนิดทุกคนต้องทำสิ่งเหล่านี้ตามวิธีการนี้ เมื่อคนใดนำเครื่องบูชาที่เผาด้วยไฟมา เพื่อให้มีกลิ่นหอมเป็นที่พอพระทัยแด่พระยาห์เวห์ 14 ถ้าคนต่างชาติที่พักอาศัยอยู่กับพวกเจ้า หรือใครก็ตามที่พักอาศัยอยู่ท่ามกลางพวกเจ้าตลอดทุกชั่วอายุคนของพวกเจ้า เขาต้องถวายเครื่องบูชาที่เผาด้วยไฟ เพื่อให้มีกลิ่นหอมแด่พระยาห์เวห์ เขาต้องทำเหมือนกับพวกเจ้าทำ 15 ต้องมีกฎเกณฑ์อย่างเดียวกันสำหรับชุมชนนี้และสำหรับคนต่างชาติที่พักอาศัยอยู่กับพวกเจ้าเป็นกฎเกณฑ์ถาวรตลอดทุกชั่วอายุคนของพวกเจ้า ดังนั้น คนเดินทางที่พักอาศัยอยู่กับพวกเจ้าก็ต้องทำเหมือนอย่างที่พวกเจ้าทำด้วย เขาต้องทำเหมือนอย่างที่พวกเจ้าทำต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ 16 กฎเกณฑ์และข้อบังคับเดียวกันต้องใช้กับพวกเจ้า และกับคนต่างชาติที่พักอาศัยอยู่กับพวกเจ้า'"
17 พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับโมเสสอีกครั้ง พระองค์ตรัสว่า 18 "จงพูดกับคนอิสราเอล และบอกพวกเขาว่า 'เมื่อพวกเจ้าเข้ามาในแผ่นดินที่เราได้พาพวกเจ้ามา 19 เมื่อพวกเจ้ากินอาหารที่เป็นผลมาจากแผ่นดินนั้น เจ้าต้องถวายเครื่องบูชาและถวายสิ่งนั้นให้กับเรา 20 พวกเจ้าต้องถวายขนมก้อนแรกจากก้อนแป้งที่ผสมแล้วของพวกเจ้าและถวายเป็นเครื่องบูชาถวายจากลานนวดแป้ง พวกเจ้าต้องถวายขนมนั้นในวิธีนี้
21 พวกเจ้าต้องถวายเครื่องบูชาถวายจากขนมก้อนแรกจากแป้งที่ผสมแล้วของพวกเจ้าให้กับเราตลอดทุกชั่วอายุคนของพวกเจ้า 22 หากพวกเจ้าจะทำบาปโดยไม่ได้เจตนาที่จะทำเช่นนั้น ตอนที่พวกเจ้าไม่เชื่อฟังคำสั่งทุกประการที่เราได้สั่งกับโมเสส 23 ทุกสิ่งที่เราได้สั่งพวกเจ้าผ่านทางโมเสส ตั้งแต่วันที่เราเริ่มให้คำบัญชาแก่พวกเจ้าและต่อไปข้างหน้าตลอดทุกชั่วอายุคนของพวกเจ้า
24 ในกรณีของการทำบาปโดยไม่ได้เจตนาที่ชุมชนไม่รู้ตัว ก็ให้ชุมชนทั้งหมดถวายโคหนุ่มเป็นเครื่องเผาบูชา เพื่อให้มีกลิ่นหอมแด่พระยาห์เวห์ พวกเจ้าต้องทำธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชาพร้อมกับการถวายนี้ ตามที่กฎข้อบังคับได้สั่งไว้ และแพะผู้ตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป 25 ปุโรหิตต้องทำการลบล้างบาปให้กับชุมชนของคนอิสราเอลทั้งหมด พวกเขาจะได้รับการอภัย เพราะการทำบาปนั้นเป็นความผิดพลาด พวกเขาได้นำเครื่องบูชาของพวกเขามาถวายเราเป็นเครื่องบูชาที่เผาด้วยไฟ พวกเขานำเครื่องบูชาลบล้างบาปของพวกเขามาอยู่ต่อหน้าเรา สำหรับความผิดพลาดของเขา 26 แล้วชุมชนอิสราเอลทั้งหมดก็จะได้รับการอภัย และรวมทั้งคนต่างชาติที่อาศัยอยู่กับพวกเขาด้วย เพราะประชาชนทั้งหมดได้ทำบาปโดยไม่เจตนา
27 ถ้าหากคนใดทำบาปโดยไม่เจตนา เขาก็ต้องถวายแพะตัวเมียอายุหนึ่งปีเป็นเครื่องบูชาลบล้างความบาป 28 ปุโรหิตต้องทำการลบล้างความบาปให้กับคนที่ทำบาปโดยไม่เจตนาต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ คนนั้นจะได้รับการอภัย เมื่อได้มีการลบล้างบาปแล้ว 29 พวกเจ้าต้องมีกฎเกณฑ์เดียวกันสำหรับคนที่ทำสิ่งใดโดยไม่เจตนา กฎเกณฑ์เดียวกันสำหรับคนที่อยู่ท่ามกลางคนอิสราเอลโดยกำเนิด และสำหรับคนต่างชาติที่พักอาศัยอยู่ท่ามกลางพวกเขา 30 แต่คนที่ทำสิ่งใดที่เป็นการฝ่าฝืน ไม่ว่าจะเป็นคนอิสราเอลโดยกำเนิด หรือคนต่างชาติก็เป็นการหมิ่นประมาทเรา คนนั้นต้องถูกตัดออกจากท่ามกลางชุมชนของเขา 31 เพราะเขาได้สบประมาทคำของเราและฝ่าฝืนคำบัญชาของเรา คนนั้นต้องถูดตัดออกอย่างสิ้นเชิง บาปของเขาก็จะอยู่ที่ตัวเขา'"
32 ขณะที่คนอิสราเอลอยู่ในถิ่นทุรกันดาร พวกเขาได้พบกับคนหนึ่งที่ออกไปเก็บฟืนในวันสะบาโต 33 คนเหล่านั้นที่พบเขาจึงพาเขามาหาโมเสส อาโรน และชุมชนทั้งหมด 34 พวกเขากักชายคนนั้นไว้ในที่คุมขัง เพราะไม่เคยมีการประกาศไว้ว่าจะทำอย่างไรกับเขา 35 แล้วพระยาห์เวห์ก็ได้ตรัสกับโมเสสว่า "ชายคนนั้นต้องถูกลงโทษถึงตายอย่างแน่นอน ชุมชนทั้งหมดต้องเอาก้อนหินขว้างเขาที่นอกค่าย" 36 ดังนั้น ชุมชนทั้งหมดก็นำเขาออกไปนอกค่าย และเอาก้อนหินขว้างเขาจนตาย ตามที่พระยาห์เวห์ได้ทรงบัญชาโมเสส
37 พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับโมเสสอีกครั้ง พระองค์ตรัสว่า 38 "จงพูดกับพงศ์พันธุ์ของอิสราเอล และสั่งพวกเขาให้ทำพู่ห้อยที่ชายเสื้อของพวกเขา จงห้อยพู่เหล่านั้นจากแต่ละมุมด้วยด้ายสีฟ้า พวกเขาต้องทำเช่นนี้ตลอดทุกชั่วอายุคนของพวกเขา 39 การทำเช่นนี้จะเป็นการเตือนใจพวกเจ้าโดยเฉพาะ เมื่อพวกเจ้ามองดูพู่นั้น พวกเจ้าจะทำตามคำบัญชาของเราทุกประการ เพื่อที่พวกเจ้าจะไม่มองดูตามใจและตาของพวกเจ้าเอง และทำให้พวกเจ้าเองเล่นชู้กับพวกเขา 40 การทำเช่นนี้ เพื่อพวกเจ้าระลึกถึง และเชื่อฟังคำบัญชาของเรา และเพื่อพวกเจ้าจะบริสุทธิ์ ที่ได้สงวนไว้สำหรับเรา พระเจ้าของพวกเจ้า 41 เราคือพระยาห์เวห์ ผู้นำพวกเจ้าออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ เพื่อเป็นพระเจ้าของพวกเจ้า เราคือพระยาห์เวห์ พระเจ้าของพวกเจ้า"
1 ในตอนนั้น โคราห์บุตรชายของอิสฮาร์ ผู้เป็นบุตรชายของโคฮาท ผู้เป็นบุตรชายของเลวี พร้อมกับดาธานและอาบีรัมบุตรชายของเอลีอับ และโอนบุตรชายของเปเลท ผู้เป็นเชื้อสายของรูเบนได้รวบรวมคนจำนวนหนึ่ง 2 พวกเขาลุกขึ้นต่อต้านโมเสสพร้อมกับคนอื่น ๆ จากคนอิสราเอลที่เป็นผู้นำของชุมชนจำนวนสองร้อยห้าสิบคนที่เป็นคนมีชื่อเสียงในชุมชน 3 พวกเขามาชุมนุมกันเพื่อที่จะพบกับโมเสสและอาโรน พวกเขากล่าวกับท่านทั้งสองว่า "พวกท่านทำเกินไปแล้ว ชุมชนทั้งหมดนี้ได้ถูกแยกไว้ พวกเขาทุกคน และพระยาห์เวห์ทรงอยู่ท่ามกลางพวกเขา ทำไมพวกท่านจึงยกตัวเองขึ้นเหนือคนที่เหลือของชุมชนของพระยาห์เวห์?"
4 เมื่อโมเสสได้ยินดังนั้น ท่านก็ซบหน้าลง 5 ท่านจึงพูดกับโคราห์และคนเหล่านั้นที่มากับเขาทุกคนว่า "ในตอนเช้า พระยาห์เวห์จะทรงทำให้รู้กันว่า ใครเป็นของพระองค์และใครที่ได้รับการแยกไว้แด่พระองค์ พระองค์จะทรงนำคนนั้นมาใกล้พระองค์ คนที่พระองค์ทรงเลือก พระองค์จะทรงนำมาใกล้พระองค์ 6 จงทำดังนี้ โคราห์และพวกพ้องของท่าน จงนำกระถางไฟมา 7 ในวันพรุ่งนี้และใส่ไฟและเครื่องหอมลงไปในกระถางไฟเหล่านั้นต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ ผู้ใดที่พระยาห์เวห์ทรงเลือก คนนั้นจะถูกแยกไว้แด่พระยาห์เวห์ ท่านทำเกินไปแล้ว ท่านที่เป็นเชื้อสายของเลวี"
8 โมเสสได้พูดกับโคราห์อีกว่า "บัดนี้ ท่านที่เป็นเชื้อสายคนเลวี จงฟัง 9 การที่พระเจ้าแห่งอิสราเอลได้ทรงแยกท่านไว้จากชุมชนอิสราเอล เพื่อนำพวกท่านมาใกล้พระองค์ เพื่อให้ทำงานในพลับพลาของพระยาห์เวห์ และยืนอยู่ต่อหน้าชุมชนนี้เพื่อรับใช้พวกเขา นั่นเป็นสิ่งเล็กน้อยสำหรับท่านหรือ? 10 พระองค์ทรงนำท่านมาใกล้ และรวมทั้งญาติพี่น้องของท่านทุกคนที่เป็นเชื้อสายของเลวีที่อยู่กับท่าน แต่ท่านกำลังแสวงหาตำแหน่งปุโรหิตอีกหรือ? 11 นั่นเป็นเหตุให้ท่านและพวกพ้องของท่านได้มาชุมนุมกันต่อต้านพระยาห์เวห์ ดังนั้น ทำไมท่านจึงบ่นว่าเกี่ยวกับอาโรนผู้ที่เชื่อฟังพระยาห์เวห์?"
12 แล้วโมเสสก็เรียกดาธานกับอาบีรัมบุตรชายของเอลีอับมา แต่พวกเขาบอกว่า "เราจะไม่ขึ้นมา 13 การที่ท่านพาเราออกมาจากแผ่นดินที่อุดมด้วยน้ำนมและน้ำผึ้ง เพื่อที่จะฆ่าเราในถิ่นทุรกันดารเป็นสิ่งเล็กน้อยสำหรับท่านหรือ? บัดนี้ ท่านต้องการจะทำให้ตัวท่านเองเป็นผู้ปกครองเหนือเรา 14 ยิ่งกว่านั้น ท่านยังไม่พาเราเข้าไปในแผ่นดินที่อุดมด้วยน้ำนมและน้ำผึ้ง หรือไม่ได้มอบทุ่งนาและสวนองุ่นให้แก่เราเป็นมรดก บัดนี้ ท่านจะทำให้เราตาบอดด้วยคำสัญญาที่ว่างเปล่าหรือ? เราจะไม่มาหาท่าน"
15 โมเสสก็โกรธมาก และได้ทูลต่อพระยาห์เวห์ว่า "ขออย่าทรงรับเครื่องบูชาของพวกเขา ข้าพระองค์ไม่ได้เอาลาของพวกเขามาแม้แต่ตัวเดียว และข้าพระองค์ก็ไม่เคยทำร้ายใครในพวกเขาเลย" 16 แล้วโมเสสก็พูดกับโคราห์ว่า "พรุ่งนี้ท่านและพวกพ้องของท่านทั้งหมดต้องไปอยู่ต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ ทั้งท่านและพวกเขาและอาโรน 17 พวกท่านแต่ละคนต้องนำกระถางไฟมาและใส่เครื่องหอมลงไปในนั้น แล้วแต่ละคนก็ต้องนำกระถางไฟของตนมาอยู่ต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ กระถางไฟสองร้อยห้าสิบใบ ทั้งท่านและอาโรนก็ต้องนำกระถางไฟของท่านมาคนละใบ" 18 ดังนั้น ชายทุกคนก็ได้เอากระถางไฟของตนไป และใส่ไฟลงไปและวางเครื่องหอมในกระถางไฟนั้น และยืนอยู่ที่ทางเข้าเต็นท์นัดพบกับโมเสสและอาโรน 19 โคราห์ได้ประชุมชุมชนทั้งหมดให้ต่อต้านโมเสสและอาโรนที่ทางเข้าเต็นท์นัดพบ และพระสิริของพระยาห์เวห์ก็ปรากฏต่อชุมชนทั้งหมด
20 แล้วพระยาห์เวห์ได้ตรัสกับโมเสสและอาโรนว่า 21 "จงแยกตัวเองออกจากท่ามกลางชุมชนนี้ที่เราจะทำลายพวกเขาให้หมดสิ้นเสียเดี๋ยวนี้" 22 โมเสสกับอาโรนก็ซบหน้าลง และทูลว่า "ข้าแต่พระเจ้า ผู้ทรงเป็นพระเจ้าแห่งวิญญาณของมวลมนุษย์ ถ้าหากคนหนึ่งทำบาป พระองค์จะทรงพระพิโรธต่อชุมชนทั้งหมดหรือ?" 23 พระยาห์เวห์ทรงตอบโมเสส พระองค์ตรัสว่า 24 "จงบอกกับชุมชนนี้ว่า 'จงออกไปให้ห่างจากเต็นท์ของโคราห์ ดาธานและอาบีรัม'"
25 แล้วโมเสสก็ลุกขึ้นและไปหาดาธานกับอาบีรัม พวกผู้อาวุโสของอิสราเอลก็ตามท่านไป 26 ท่านบอกกับชุมชนว่า "จงออกไปจากเต็นท์ของคนชั่วร้ายเหล่านี้เดี๋ยวนี้ อย่าแตะต้องสิ่งใดของพวกเขา มิฉะนั้น พวกท่านจะถูกทำลายสิ้นเนื่องจากบาปทั้งหมดของพวกเขา" 27 ดังนั้น ชุมชนที่อยู่ทุกด้านของเต็นท์ของโคราห์ ดาธานและอาบีรัมก็ออกไปห่างจากพวกเขา ดาธานและอาบีรัมก็ออกมาและยืนอยู่ที่ประตูเต็นท์ของพวกเขาพร้อมกับภรรยา บรรดาลูกชายและลูกเล็กๆ ของพวกเขา
28 แล้วโมเสสจึงกล่าวว่า "โดยการทำเช่นนี้ พวกท่านจะได้รู้ว่าพระยาห์เวห์ได้ส่งเรามาเพื่อที่จะทำงานเหล่านี้ทั้งหมด เพราะเราไม่ได้ทำสิ่งเหล่านี้ตามอำเภอใจของเรา 29 ถ้าคนเหล่านี้ตายด้วยการตายธรรมชาติที่เกิดขึ้นเป็นปกติทั่วไป แล้วพระยาห์เวห์ก็ไม่ได้ทรงใช้เรามา 30 แต่ถ้าพระยาห์เวห์ทรงทำให้พื้นดินอ้าออกและกลืนพวกเขาพร้อมกับครอบครัวของพวกเขาเข้าไปเหมือนกับปากขนาดใหญ่ และถ้าพวกเขาลงไปสู่แดนคนตายทั้งเป็น แล้วพวกท่านก็ต้องเข้าใจว่าคนเหล่านั้นได้หมิ่นประมาทพระยาห์เวห์"
31 ทันทีที่โมเสสพูดถ้อยคำทั้งหมดนี้จบ พื้นดินที่อยู่ใต้คนเหล่านั้นก็อ้าออก 32 แผ่นดินก็อ้าปากออกและกลืนพวกเขา ครอบครัวของพวกเขา และทุกคนที่มีส่วนร่วมกับโคราห์ รวมทั้งทรัพย์สินทั้งหมดของพวกเขาด้วย 33 พวกเขาและทุกคนในครอบครัวของพวกเขาก็ลงไปสู่แดนคนตายทั้งเป็น แผ่นดินก็ปิดกลบพวกเขาไว้ และในเหตุการณ์นี้ พวกเขาก็พินาศไปจากท่ามกลางชุมชนนี้ 34 คนอิสราเอลทั้งหมดที่อยู่รอบ ๆ พวกเขาก็วิ่งหนีจากเสียงร้องของพวกเขา พวกเขาร้องตะโกนว่า "แผ่นดินนี้จะกลืนเราเข้าไปด้วย" 35 แล้วไฟก็พุ่งออกมาจากพระยาห์เวห์และเผาผลาญคน 250 คนที่ถวายเครื่องหอมนั้น
36 พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับโมเสสอีกว่า 37 "จงบอกกับเอเลอาซาร์ บุตรชายของอาโรนปุโรหิต และให้เขาเอากระถางไฟออกมาจากกองไฟนั้น เพราะกระถางไฟนั้นได้ถูกแยกไว้เฉพาะเรา แล้วให้เขากระจายถ่านที่ลุกไหม้อยู่นั้นออกไปไกล ๆ 38 จงเอากระถางไฟของคนเหล่านั้นที่เสียชีวิตเพราะบาปของพวกเขามา ให้พวกเขาทำให้เป็นแผ่นที่ทุบด้วยค้อนให้เป็นสิ่งที่คลุมไว้เหนือแท่นบูชา คนเหล่านั้นก็ทำเพื่อถวายกระถางไฟเหล่านั้นต่อหน้าเรา ดังนั้น กระถางไฟเหล่านั้นก็ถูกแยกไว้เฉพาะเรา กระถางไฟเหล่านั้นจะเป็นหมายสำคัญของการทรงสถิตของเราต่อคนอิสราเอล"
39 เอเลอาซาร์ปุโรหิตก็เอากระถางไฟทองสัมฤทธิ์ที่คนที่ถูกไฟเผาเหล่านั้นใช้ และกระถางเหล่านั้นก็ถูกทุบด้วยค้อนเป็นแผ่นคลุมแท่นบูชา 40 เพื่อเป็นการเตือนใจคนอิสราเอล เพื่อที่จะไม่มีคนภายนอกคนใดที่ไม่ได้เป็นเชื้อสายจากอาโรนจะเข้ามาเผาเครื่องหอมต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ เพื่อที่พวกเขาจะไม่เป็นเหมือนกับโคราห์กับพวกพ้องของเขา ตามที่พระยาห์เวห์ได้ทรงบัญชาผ่านทางโมเสส 41 แต่พอเช้าวันรุ่งขึ้น ชุมชนทั้งหมดของคนอิสราเอลก็บ่นว่าโมเสสกับอาโรน พวกเขากล่าวว่า "พวกท่านได้ฆ่าคนของพระยาห์เวห์" 42 แล้วเหตุการณ์นี้ก็ได้เกิดขึ้น เมื่อชุมชนได้มาชุมนุมกันต่อต้านโมเสสกับอาโรน ขณะที่พวกเขามองตรงไปที่เต็นท์นัดพบ ดูเถิด เมฆได้ปกคลุมเต็นท์นั้น พระสิริของพระยาห์เวห์ก็ปรากฏขึ้น 43 และโมเสสกับอาโรนก็มาที่ข้างหน้าเต็นท์นัดพบ
44 แล้วพระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสส พระองค์ตรัสว่า 45 "จงออกไปจากข้างหน้าชุมชนนี้ เพื่อที่เราจะทำลายพวกเขาให้หมดสิ้นเดี๋ยวนี้" แล้วโมเสสกับอาโรนก็ซบหน้าลงถึงพื้นดิน 46 โมเสสจึงบอกกับอาโรนว่า "จงไปเอากระถางไฟมาและใส่ไฟที่มาจากแท่นบูชาลงไป และใส่เครื่องหอมลงไปในกระถางไฟนั้น จงถือกระถางไฟนั้นมาที่ชุมชนนี้โดยเร็ว และทำการลบมลทินบาปให้กับพวกเขา เพราพระพิโรธได้ลงมาจากพระยาห์เวห์ ภัยพิบัติได้เริ่มเกิดขึ้นแล้ว"
47 ดังนั้น อาโรนจึงทำตามที่โมเสสสั่ง เขาจึงวิ่งเข้าไปตรงกลางของชุมชนนั้น ภัยพิบัติก็เริ่มแพร่ขยายออกไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางประชาชน ดังนั้น เขาจึงใส่เครื่องหอมและทำการลบมลทินบาปให้กับประชาชน 48 อาโรนก็ยืนอยู่ระหว่างคนตายกับคนที่มีชีวิต ในการทำเช่นนี้ ภัยพิบัติก็ได้หยุดลง 49 คนเหล่านั้นที่ตายจากภัยพิบัติมีจำนวน 14,700 คน นอกเหนือจากคนเหล่านั้นที่ได้ตายไปในเรื่องของโคราห์ 50 อาโรนได้กลับมาหาโมเสสที่ทางเข้าเต็นท์นัดพบ และภัยพิบัติก็สิ้นสุดลง
1 พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับโมเสส พระองค์ตรัสว่า 2 "จงพูดกับคนอิสราเอลและเอาไม้เท้าจากพวกเขามา ไม้เท้าอันหนึ่งจากแต่ละเผ่าบรรพบุรุษ จำนวนสิบสองอัน จงเขียนชื่อของแต่ละคนบนไม้เท้าของเขา 3 เจ้าต้องเขียนชื่ออาโรนบนไม้เท้าของเผ่าเลวี ต้องมีไม้เท้าอันหนึ่งสำหรับผู้นำแต่ละคนจากเผ่าบรรพบุรุษของเขา 4 เจ้าต้องวางไม้เท้าเหล่านั้นไว้ในเต็นท์นัดพบตรงหน้าพระบัญชา ซึ่งเป็นที่เราได้พบกับเจ้า 5 สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับไม้เท้าของคนที่เราเลือกก็จะแตกหน่อ เราจะทำให้คำบ่นจากคนอิสราเอลที่พวกเขาพูดต่อต้านเจ้าหยุดไป"
6 ดังนั้น โมเสสจึงบอกกับคนอิสราเอล ผู้นำเผ่าทุกคนก็นำไม้เท้าของเขามาให้ท่าน ไม้เท้าอันหนึ่งจากผู้นำแต่ละคนที่เลือกมาจากแต่ละเผ่าบรรพบุรุษ ไม้เท้าทั้งหมดมีสิบสองอัน ไม้เท้าของอาโรนก็อยู่ท่ามกลางไม้เท้าเหล่านั้น 7 แล้วโมเสสก็วางไม้เท้าเหล่านั้นต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ในเต็นท์แห่งพระบัญชา 8 พอวันรุ่งขึ้น โมเสสได้ไปที่เต็นท์แห่งพระบัญชา และ ดูเถิด ไม้เท้าของอาโรนที่เป็นคนเผ่าเลวีก็แตกหน่อ ไม้เท้านั้นแตกหน่อและออกดอกและเกิดผลอัลมอนด์สุก 9 โมเสสจึงเอาไม้เท้าทั้งหมดออกไปจากพระพักตร์พระยาห์เวห์มายังคนอิสราเอลทั้งหมด และแต่ละคนก็เอาไม้เท้าของเขาไป
10 พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับโมเสสว่า "จงวางไม้เท้าของอาโรนไว้ตรงหน้าพระบัญชา จงเก็บไม้เท้านั้นไว้เป็นเครื่องหมายแห่งความผิดต่อคนที่กบฎ เพื่อที่เจ้าจะทำให้คำบ่นว่าเราสิ้นสุดลง มิฉะนั้นพวกเขาจะต้องตาย" 11 โมเสสก็ทำตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาท่าน 12 คนอิสราเอลก็พูดกับโมเสสว่า "เราจะตายกันที่นี่ เราจะพินาศกันหมด 13 ทุกคนที่ขึ้นมา คนที่เข้ามาใกล้พลับพลาของพระยาห์เวห์จะตาย เราต้องพินาศกันหมดหรือ?"
1 พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับอาโรนว่า "เจ้ากับพวกบุตรชายของเจ้า และตระกูลของบรรพบุรุษของเจ้าจะรับผิดชอบต่อการทำบาปทั้งหมดที่ทำต่อสถานนมัสการ แต่เฉพาะเจ้ากับพวกบุตรชายของเจ้าเท่านั้นที่รับผิดชอบต่อการทำบาปทั้งหมดที่ทำโดยคนที่อยู่ในตำแหน่งปุโรหิต 2 ส่วนพวกพี่น้องของเผ่าเลวีที่เป็นเผ่าบรรพบุรุษของเจ้า เจ้าจงพาพวกเขามากับเจ้า เพื่อให้พวกเขาร่วมกันกับเจ้าและช่วยเจ้า เมื่อเจ้าและพวกบุตรชายของเจ้าทำงานอยู่ข้างหน้าเต็นท์พระบัญชา 3 พวกเขาต้องทำงานให้กับเจ้าและงานทั้งหมดของเต็นท์นั้น แต่อย่างไรก็ตาม พวกเขาต้องไม่เข้ามาใกล้สิ่งใดในวิสุทธิสถาน หรือสิ่งที่ใช้กับแท่นบูชา มิฉะนั้น พวกเขาและรวมทั้งเจ้าด้วยจะตาย 4 พวกเขาต้องร่วมกันกับเจ้าและดูแลเต็นท์นัดพบ เพราะงานทั้งหมดเกี่ยวกับเต็นท์นั้น คนต่างชาติต้องไม่เข้ามาใกล้เจ้า
5 เจ้าต้องรับผิดชอบวิสุทธิสถานและแท่นบูชา เพื่อที่ความกริ้วของเราจะไม่ลงมาเหนือคนอิสราเอลอีก 6 ดูเถิด เราเองได้เลือกพวกพี่น้องของเจ้าจากเผ่าเลวีท่ามกลางพงศ์พันธุ์อิสราเอล พวกเขาเป็นของประทานแก่เจ้า ที่ได้มอบถวายเราให้ทำงานเกี่ยวกับเต็นท์นัดพบ 7 แต่เฉพาะเจ้าและพวกบุตรของเจ้าเท่านั้นที่จะทำหน้าที่ในตำแหน่งปุโรหิตที่เกี่ยวกับทุกสิ่งที่ใช้กับแท่นบูชา และทุกสิ่งที่อยู่ภายในม่านนั้น เจ้าเองก็ต้องถือปฏิบัติตามความรับผิดชอบเหล่านั้น เราได้มอบตำแหน่งปุโรหิตให้กับเจ้าเป็นของประทาน คนใดที่เป็นคนต่างชาติที่เข้ามาใกล้จะต้องถูกลงโทษถึงตาย"
8 ต่อมา พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับอาโรนว่า "ดูเถิด เราได้มอบหน้าที่ให้พวกเจ้าดูแลเครื่องบูชาที่ถวายต่อเรา และสิ่งบริสุทธิ์ทุกอย่างที่คนอิสราเอลถวายต่อเรา เราได้ให้เครื่องบูชาเหล่านี้แก่เจ้าและพวกบุตรชายของเจ้า เพื่อเป็นส่วนของพวกเจ้าตลอดไป 9 สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งบริสุทธิ์ที่สุด ที่ไม่ได้เผาไฟ จากเครื่องบูชาทุกอย่างของพวกเขา คือ ธัญบูชาทุกอย่าง เครื่องบูชาลบล้างบาปทุกอย่าง และเครื่องบูชาชดใช้บาปทุกอย่าง สิ่งเหล่านี้แยกไว้สำหรับเจ้าและพวกบุตรชายของเจ้า 10 เครื่องบูชาเหล่านี้บริสุทธิ์มาก ผู้ชายทุกคนจงกินสิ่งนั้น เพราะสิ่งเหล่านี้บริสุทธิ์สำหรับพวกเจ้า
11 เหล่านี้คือเครื่องบูชาที่จะเป็นของเจ้า คือบรรดาของถวายของพวกเขา เครื่องบูชาโบกถวายทั้งหมดของคนอิสราเอล เราได้มอบสิ่งเหล่านั้นให้แก่เจ้า พวกบุตรชายและบุตรหญิงของเจ้าเพื่อเป็นส่วนของพวกเจ้าตลอดไป ทุกคนในครอบครัวของเจ้าที่ได้รับการชำระให้สะอาดแล้วจะกินสิ่งใดๆ ของเครื่องบูชาเหล่านี้ได้ 12 น้ำมันอย่างดีที่สุดทั้งหมด เหล้าองุ่นใหม่และธัญพืชที่ดีที่สุดทั้งหมด ผลแรกที่ประชาชนได้ถวายต่อเรา สิ่งทั้งหมดเหล่านี้ เราได้มอบให้แก่เจ้า 13 ผลไม้สุกรุ่นแรกของทุกต้นที่อยู่ในที่ดินของพวกเขา ที่พวกเขาได้นำมาถวายเราจะเป็นของเจ้า ทุกคนในครอบครัวของเจ้าที่ได้รับการชำระสะอาดแล้วก็จะกินเครื่องบูชาเหล่านี้ได้ 14 สิ่งที่ได้มอบถวายทุกสิ่งในอิสราเอลจะเป็นของเจ้า
15 ทุกสิ่งที่เปิดครรภ์ครั้งแรก ลูกหัวปีทั้งหมดที่ประชาชนได้ถวายแด่พระยาห์เวห์ ทั้งคนและสัตว์จะเป็นของเจ้า นอกจากนั้น ประชาชนจะต้องซื้อบุตรชายหัวปีทุกคนกลับคืนอย่างแน่นอน และพวกเขาต้องซื้อสัตว์ตัวผู้ที่ไม่มีมลทินกลับคืนไป 16 ประชาชนจะนำลููกหัวปีเหล่านั้นกลับไปด้วยการซื้อกลับคืนไป หลังจากที่มีอายุได้หนึ่งเดือน แล้วประชาชนต้องซื้อกลับคืนเป็นเงินห้าเชเขลตามเชเขลของสถานนมัสการที่มีค่าเท่ากับยี่สิบเกราห์ 17 แต่ลูกหัวปีของโค หรือลูกหัวปีของแกะ หรือลูกหัวปีของแพะ เจ้าต้องไม่ให้ซื้อสัตว์เหล่านี้กลับคืน สัตว์เหล่านี้ได้ถูกแยกไว้ให้เราโดยเฉพาะ เจ้าต้องประพรมเลือดของพวกมันบนแท่นบูชา และเผาไขมันของพวกมันเป็นเครื่องบูชาที่เผาด้วยไฟที่มีกลิ่นหอมที่พอพระทัยแด่พระยาห์เวห์ 18 เนื้อของมันจะเป็นของเจ้า เช่นเดียวกับเนื้ออกถวาย และเนื้อโคนขาข้างขวา เนื้อของพวกมันจะเป็นของเจ้า
19 เครื่องบูชาบริสุทธิ์ทั้งหมดที่คนอิราเอลได้ถวายแด่พระยาห์เวห์ เราได้มอบให้แก่เจ้า และแก่บรรดาบุตรชายและบุตรหญิงของเจ้าที่อยู่กับเจ้า เพื่อเป็นส่วนแบ่งตลอดไป ซึ่งเป็นพันธสัญญาเกลือตลอดไปเป็นนิตย์ พันธสัญญาที่ผูกพันตลอดไปต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ สำหรับทั้งเจ้าและลูกหลานของเจ้าที่อยู่กับเจ้า" 20 พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับอาโรนว่า "พวกเจ้าจะไม่มีมรดกในแผ่นดินของประชาชน หรือพวกเจ้าจะไม่มีส่วนแบ่งในทรัพย์สินท่ามกลางประชาชน เราเป็นส่วนแบ่งและเป็นมรดกของพวกเจ้าท่ามกลางคนอิสราเอล 21 ดูเถิด เราได้มอบทศางค์ทั้งหมดในอิสราเอลเป็นมรดกแก่เชื้อสายของคนเลวี ในการตอบแทนสำหรับการทำงานที่พวกเขาทำในการทำงานที่เต็นท์นัดพบ 22 ตั้งแต่นี้ไป คนอิสราเอลต้องไม่มาใกล้เต็นท์นัดพบ มิฉะนั้น พวกเขาจะต้องรับผิดชอบต่อบาปนี้และต้องตาย
23 คนเลวีต้องทำงานที่เกี่ยวกับเต็นท์นัดพบ พวกเขาจะต้องรับผิดชอบบาปใดก็ตามที่เกี่ยวกับเต็นท์นั้น นี่จะเป็นกฎถาวรตลอดไปทุกชั่วอายุคนของพวกเจ้า พวกเขาไม่ต้องมีมรดกท่ามกลางคนอิสราเอล 24 เพราะทศางค์ของคนอิสราเอลที่พวกเขาได้ถวายเป็นส่วนแบ่งต่อเรา ทศางค์เหล่านี้แหละ ที่เรามอบให้กับคนเลวีเป็นมรดกของพวกเขา นี่เป็นเหตุผลที่เราพูดกับพวกเขาว่า 'พวกเขาไม่ต้องมีมรดกท่ามกลางคนอิสราเอล'"
25 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสส พระองค์ตรัสว่า 26 "เจ้าต้องพูดกับคนเลวี และบอกพวกเขาว่า 'เมื่อพวกเจ้าได้รับหนึ่งในสิบจากคนอิสราเอลที่เราได้มอบให้แก่พวกเจ้าเป็นมรดกของพวกเจ้าที่มาจากพวกเขา พวกเจ้าต้องถวายส่วนแบ่งจากทศางค์นั้นแด่พระยาห์เวห์ หนึ่งในสิบของทศางค์ 27 ส่วนแบ่งของพวกเจ้า พวกเจ้าต้องถือว่า ถ้าส่วนแบ่งนั้นเป็นหนึ่งในสิบของธัญพืชจากลานนวดแป้ง หรือผลที่เกิดจากบ่อย่ำองุ่น 28 พวกเจ้าก็จะแบ่งส่วนหนึ่งแด่พระยาห์เวห์จากทศางค์ทั้งหมดที่พวกเจ้าได้รับจากคนอิสราเอล พวกเจ้าต้องถวายส่วนแบ่งของพระองค์จากพวกเขาให้กับอาโรนปุโรหิต 29 จากของถวายทั้งหมดที่พวกเจ้าได้รับ พวกเจ้าต้องถวายส่วนแบ่งทุกอย่างแด่พระยาห์เวห์ พวกเจ้าต้องทำดังนี้ จากสิ่งที่ดีที่สุดและบริสุทธิ์ที่สุดที่ได้มอบให้แก่พวกเจ้า'
30 เพราะฉะนั้น เจ้าต้องพูดกับพวกเขาว่า 'เมื่อพวกเจ้าถวายสิ่งที่ดีที่สุดของสิ่งนั้น แล้วสิ่งนั้นต้องเป็นผลที่คนเลวีได้รับจากลานนวดแป้งและบ่อย่ำองุ่น 31 พวกเจ้าจะกินส่วนที่เหลือของเครื่องถวายของพวกเจ้าที่ใดก็ได้ ทั้งเจ้าและครอบครัวของพวกเจ้า เพราะสิ่งนั้นเป็นค่าตอบแทนของพวกเจ้าสำหรับการทำงานในเต็นท์นัดพบ 32 พวกเจ้าจะไม่ก่อให้เกิดความผิดบาปใดๆ ด้วยการกินและการดื่มสิ่งนั้น ถ้าพวกเจ้าได้ถวายสิ่งที่ดีที่สุดที่พวกเจ้าได้รับแด่พระยาห์เวห์ แต่พวกเจ้าต้องไม่ดูหมิ่นเครื่องบูชาบริสุทธิ์ของคนอิสราเอล มิฉะนั้น พวกเจ้าจะต้องตาย'"
1 พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับโมเสสและอาโรน พระองค์ตรัสว่า 2 "นี่เป็นพระบัญญัติซึ่งเป็นกฎที่เราบัญชาเจ้า จงบอกคนอิสราเอลว่า พวกเขาต้องนำโคสาวสีแดงที่ไม่มีความบกพร่องหรือไม่มีตำหนิ และตัวที่ไม่เคยเทียมแอกเลยมา 3 จงให้โคสาวตัวนี้แก่เอเลอาซาร์ปุโรหิต เขาต้องนำมันออกไปนอกค่าย และคนหนึ่งต้องฆ่ามันต่อหน้าเขา 4 เอเลอาซาร์ปุโรหิตต้องเอานิ้วของเขาจุ่มเลือดของมันมาและประพรมเลือดนั้นเจ็ดครั้งตรงข้างหน้าเต็นท์นัดพบ
5 ปุโรหิตอีกคนหนึ่งต้องเผาโคสาวตัวนั้นต่อหน้าเขา เขาต้องเผาหนังของมัน เนื้อและเลือดของมันพร้อมกับมูลของมัน 6 ปุโรหิตคนนั้นต้องเอาไม้สนสีดาห์ ต้นหุสบ และขนแกะสีแดงเข้มมา และโยนทั้งหมดนี้ลงไปตรงกลางของโคสาวที่กำลังเผาไหม้อยู่นั้น 7 แล้วเขาต้องซักเสื้อผ้าของเขาและชำระตัวในน้ำ จากนั้น เขาก็จะกลับมายังค่ายที่เขาจะยังคงเป็นมลทินจนถึงเวลาเย็น
8 คนที่เผาโคสาวตัวนั้นต้องซักเสื้อผ้าของตนในน้ำและชำระตัวในน้ำ เขาจะยังคงเป็นมลทินจนถึงเวลาเย็น 9 คนที่สะอาดต้องเก็บขี้เถ้าของโคสาวตัวนั้น และเอาขี้เถ้านั้นออกไปในที่สะอาดนอกค่าย ขี้เถ้าเหล่านี้ต้องเก็บไว้สำหรับชุมชนของคนอิสราเอล พวกเขาจะผสมขี้เถ้านี้กับน้ำเพื่อชำระให้บริสุทธิ์จากบาป เนื่องจากขี้เถ้านั้นมาจากเครื่องบูชาลบล้างบาป 10 คนที่เก็บขี้เถ้าของโคสาวตัวนั้นต้องซักเสื้อผ้าของเขา เขาจะยังคงเป็นมลทินจนถึงเวลาเย็น นี่จะเป็นกฎถาวรสำหรับคนอิสราเอลและคนต่างชาติที่อาศัยอยู่กับพวกเขา
11 ใครก็ตามที่แตะต้องศพของคนใดคนหนึ่งก็จะเป็นมลทินอยู่เจ็ดวัน 12 คนนั้นต้องชำระตนเองให้บริสุทธิ์ในวันที่สามและในวันที่เจ็ด แล้วเขาจึงจะสะอาด แต่ถ้าเขาไม่ชำระตนเองให้บริสุทธิ์ในวันที่สาม แล้วเขาก็จะไม่สะอาดในวันที่เจ็ด 13 ใครก็ตามที่แตะต้องศพของคนที่ตาย และไม่ชำระตนเองให้บริสุทธิ์ คนนั้นก็ทำให้พลับพลาของพระยาห์เวห์เป็นมลทิน คนนั้นต้องถูกตัดออกจากอิสราเอล เพราะน้ำชำระมลทินไม่ได้ประพรมบนตัวเขา เขาจะยังคงเป็นมลทินอยู่ มลทินของเขาจะยังคงอยู่บนตัวเขา
14 นี่เป็นกฎสำหรับคนที่ตายในเต็นท์ ทุกคนที่เข้าไปในเต็นท์นั้น และทุกคนที่อยู่ในเต็นท์นั้นอยู่แล้วจะเป็นมลทินอยู่เจ็ดวัน 15 ภาชนะทุกใบที่เปิดอยู่ไม่มีฝาปิดก็จะเป็นมลทิน 16 เช่นเดียวกับคนที่อยู่ภายนอกเต็นท์ที่ได้แตะต้องคนที่ถูกฆ่าตายด้วยดาบ ศพใด ๆ กระดูกมนุษย์ หรือหลุมฝังศพ คนนั้นก็จะเป็นมลทินอยู่เจ็ดวัน
17 จงทำดังนี้สำหรับคนที่เป็นมลทิน จงเอาขี้เถ้าจากเครื่องเผาบูชาลบล้างบาปและผสมขี้เถ้านั้นลงไปกับน้ำไหลในเหยือก 18 จากนั้น คนที่สะอาดต้องเอากิ่งหุสบจุ่มลงในน้ำนั้น และประพรมบนเต็นท์นั้น บนภาชนะทุกใบภายในเต็นท์ บนคนเหล่านั้นที่อยู่ที่นั่น และบนคนที่แตะต้องกระดูก คนที่ถูกฆ่าตาย ศพ หรือหลุมฝังศพ 19 ในวันที่สามและในวันที่เจ็ด คนที่สะอาดต้องประพรมคนที่เป็นมลทิน ในวันที่เจ็ดคนที่เป็นมลทินต้องชำระตนเองให้บริสุทธิ์ เขาต้องซักเสื้อผ้าของเขาและชำระตัวในน้ำ พอถึงตอนเย็นเขาก็จะสะอาด
20 แต่คนที่ยังเป็นมลทินอยู่ คนที่ไม่ยอมชำระตนเองให้บริสุทธิ์ คนนั้นก็จะถูกตัดออกจากชุมชน เพราะเขาได้ทำให้สถานนมัสการของพระยาห์เวห์เป็นมลทิน น้ำชำระมลทินไม่ได้ประพรมบนตัวเขา เขาจึงยังคงเป็นมลทิน 21 นี่เป็นกฎตลอดไปเป็นนิตย์เกี่ยวกับสถานการณ์เหล่านี้ คนที่ประพรมน้ำชำระมลทินต้องซักเสื้อผ้าของเขา คนที่แตะต้องน้ำชำระมลทินก็จะเป็นมลทินอยู่จนถึงเวลาเย็น 22 คนที่แตะต้องอะไรก็ตามที่เป็นมลทินก็จะเป็นมลทิน คนที่แตะต้องสิ่งนั้นจะเป็นมลทินจนถึงเวลาเย็น"
1 ชุมชนทั้งหมดของคนอิสราเอลก็เข้าไปในถิ่นทุรกันดารศินในเดือนที่หนึ่ง พวกเขาพักอยู่ที่คาเดช มิเรียมได้เสียชีวิตและถูกฝังไว้ที่นั่น 2 ที่นั่นไม่มีน้ำให้กับชุมชน ดังนั้น พวกเขาจึงชุมนุมกันต่อต้านโมเสสและอาโรน
3 ประชาชนได้บ่นว่าโมเสส พวกเขากล่าวว่า "ตอนที่พี่น้องอิสราเอลของเราได้ตายต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ ถ้าหากเราได้ตายด้วยก็จะดีกว่า 4 ทำไมท่านจึงพาชุมชนของพระยาห์เวห์เข้ามาในถิ่นทุรกันดารนี้ เพื่อให้เราและฝูงสัตว์ของเราตายกันที่นี่? 5 ทำไมท่านจึงให้เราขึ้นมาจากอียิปต์เพื่อพาเรามายังสถานที่ที่น่ากลัวเช่นนี้? ที่นี่ไม่มีเมล็ดพืช มะเดื่อ องุ่น หรือทับทิม และไม่มีน้ำให้ดื่มเลย"
6 ดังนั้น โมเสสกับอาโรนจึงออกไปจากข้างหน้าที่ประชุมนั้น พวกเขาไปที่ทางเข้าเต็นท์นัดพบและซบหน้าลง พระสิริอันงดงามของพระยาห์เวห์ก็ปรากฏต่อพวกเขา 7 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า 8 "จงเอาไม้เท้าไป และเรียกประชุมชุมชน ทั้งตัวเจ้าและอาโรนพี่ชายของเจ้า จงพูดกับหินที่อยู่ต่อหน้าพวกเขา และสั่งหินนั้นให้หลั่งน้ำออกมา เจ้าจะทำให้น้ำออกมาจากหินให้กับพวกเขา และเจ้าต้องให้น้ำนั้นแก่ชุมชนและฝูงสัตว์ของพวกเขาดื่ม"
9 โมเสสก็เอาไม้เท้านั้นออกไปจากพระพักตร์พระยาห์เวห์ ตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาให้เขาทำ 10 แล้วโมเสสกับอาโรนก็เรียกชุมชนมารวมกันที่ข้างหน้าหินนั้น โมเสสพูดกับพวกเขาว่า "บัดนี้ เจ้าพวกกบฎ จงฟัง เราต้องเอาน้ำจากหินนี้มาให้กับพวกเจ้าหรือ?" 11 แล้วโมเสสก็ยกมือของเขาขึ้นและตีหินนั้นสองครั้งด้วยไม้เท้าของเขา และน้ำก็ไหลออกมามากมาย ชุมชนก็ได้ดื่ม และฝูงสัตว์ของพวกเขาก็ได้ดื่ม
12 แล้วพระยาห์เวห์ได้ตรัสกับโมเสสและอาโรนว่า "เพราะว่าเจ้าทั้งสองไม่ได้วางใจเราหรือถวายเกียรติแด่เราเป็นองค์บริสุทธิ์ในสายตาของคนอิสราเอล เจ้าทั้งสองจะไม่ได้นำชุมชนนี้ไปยังแผ่นดินที่เราได้มอบให้กับพวกเขา" 13 สถานที่นั้นจึงมีชื่อเรียกว่า น้ำแห่งเมรีบาห์ เพราะคนอิสราเอลได้โต้เถียงกับพระยาห์เวห์ที่นั่น และพระองค์ทรงสำแดงพระองค์เองเป็นองค์บริสุทธิ์ต่อพวกเขา
14 โมเสสได้ส่งผู้ส่งสารจากคาเดชไปยังกษัตริย์แห่งเอโดมว่า อิสราเอลพี่น้องของท่านได้กล่าวดังนี้ "ท่านได้ทราบถึงความทุกข์ยากทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับเราแล้ว 15 ท่านทราบว่าบรรพบุรุษของเราได้ลงไปที่อียิปต์และอาศัยอยู่ในอียิปต์เป็นเวลายาวนาน ชาวอียิปต์ได้ข่มเหงเราอย่างหนัก และรวมทั้งบรรพชนของเราด้วย 16 เมื่อเราร้องทูลต่อพระยาห์เวห์ พระองค์ทรงได้ยินเสียงของเรา และส่งทูตสวรรค์องค์หนึ่งมาและนำเราออกจากอียิปต์ ดูสิ เราอยู่ในคาเดชเมืองที่ติดกับพรมแดนของแผ่นดินของท่าน 17 ข้าพเจ้าขอให้ท่านอนุญาตให้เราผ่านแผ่นดินของท่านไป เราจะไม่ผ่านเข้าไปในทุ่งนา หรือสวนองุ่น และเราจะไม่ดื่มน้ำในบ่อของท่าน เราจะไปตามทางหลวง เราจะไม่เลี้ยวไปทางขวามือหรือทางซ้าย จนกว่าเราได้ผ่านพรมแดนของท่านไป"
18 แต่กษัตริย์แห่งเอโดมตอบเขาว่า "พวกเจ้าจะผ่านเข้ามาที่นี่ไม่ได้ ถ้าพวกเจ้าเข้ามา เราจะมาพร้อมกับดาบที่จะโจมตีพวกเจ้า" 19 แล้วคนอิสราเอลก็บอกท่านว่า "เราจะไปตามทางหลวง ถ้าเราหรือฝูงสัตว์ของเราดื่มน้ำของท่าน เราจะจ่ายค่าตอบแทนให้ ขอเพียงให้เราเดินเท้าผ่านไป โดยไม่ทำสิ่งอื่นใดเลย"
20 แต่กษัตริย์แห่งเอโดมตอบว่า "พวกเจ้าจะผ่านเข้ามาไม่ได้" ดังนั้น กษัตริย์แห่งเอโดมจึงออกมาต่อสู้กับอิสราเอลด้วยมือที่เข้มแข็งพร้อมกับทหารมากมาย 21 กษัตริย์แห่งเอโดมปฏิเสธที่จะอนุญาตให้อิสราเอลข้ามผ่านเขตแดนของพวกเขา เพราะเหตุนี้ อิสราเอลจึงหันออกไปจากแผ่นดินเอโดม 22 ดังนั้น คนอิสราเอลจึงออกจากคาเดช ชุมชนทั้งหมดของคนอิสราเอลก็มายังภูเขาโฮร์
23 พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับโมเสสและอาโรนที่ภูเขาโฮร์ ที่อยู่ติดเขตแดนของเอโดม พระองค์ตรัสว่า 24 "อาโรนต้องถูกรวบไปอยู่กับคนของเขา เพราะเขาจะไม่ได้เข้าไปในแผ่นดินที่เราได้มอบให้กับคนอิสราเอล นี่เป็นเพราะเจ้าทั้งสองคนได้กบฎต่อเราที่น้ำแห่งเมรีบาห์ 25 จงพาอาโรนกับเอเลอาซาร์บุตรชายของเขามา และพาพวกเขาขึ้นมาบนภูเขาโฮร์ 26 จงถอดชุดเสื้อปุโรหิตของอาโรนออก และสวมใส่ชุดนั้นให้กับเอเลอาซาร์บุตรชายของเขา อาโรนต้องตายและถูกรวบไปอยู่กับคนของเขาที่นั่น"
27 โมเสสก็ได้ทำตามที่พระยาห์เวห์ได้ทรงบัญชา พวกเขาขึ้นไปยังภูเขาโฮร์ต่อหน้าต่อตาชุมชนทั้งหมด 28 โมเสสได้ถอดชุดเสื้อปุโรหิตของอาโรนออกและสวมชุดนั้นให้กับเอเลอาซาร์บุตรชายของเขา อาโรนก็สิ้นชีวิตที่นั่น บนยอดภูเขานั้น แล้วโมเสสกับเอเลอาซาร์ก็ลงมา 29 เมื่อชุมชนทั้งหมดเห็นว่าอาโรนสิ้นชีวิตแล้ว ชนชาติทั้งหมดก็ร้องไห้ไว้ทุกข์ให้อาโรนเป็นเวลาสามสิบวัน
1 เมื่อกษัตริย์แห่งเมืองอาราด ชาวคานาอัน ผู้อาศัยอยู่ในเนเกบได้ยินว่าคนอิสราเอลกำลังเดินทางมาตามทางไปอาธาริม ท่านจึงออกมาต่อสู้กับคนอิสราเอลและจับบางคนไปเป็นเชลย 2 คนอิสราเอลปฏิญาณกับพระยาห์เวห์ว่า "ถ้าพระองค์ทรงให้เรามีชัยชนะเหนือชาวเมืองนี้ แล้วเราก็จะทำลายบ้านเมืองของพวกเขาให้สิ้นซาก 3 พระยาห์เวห์ทรงฟังเสียงของคนอิสราเอล และพระองค์ทรงให้พวกเขามีชัยชนะเหนือคนคานาอัน พวกเขาจึงทำลายชาวเมืองนั้น และบ้านเมืองของพวกเขาจนสิ้นซาก เขาจึงเรียกสถานที่นั้นว่าโฮรมาห์
4 พวกเขาเดินทางออกจากภูเขาโฮร์ไปตามทางที่ไปยังทะเลแดงเพื่ออ้อมแผ่นดินเอโดม ประชาชนก็เกิดความท้อแท้มากระหว่างทาง 5 ประชาชนจึงต่อว่าพระเจ้าและโมเสสว่า "ทำไมท่านจึงพาเราขึ้นมาจากอียิปต์เพื่อมาตายในถิ่นทุรกันดารนี้? ไม่มีอาหาร ไม่มีน้ำ และเราเกลียดอาหารเลวนี้" 6 แล้วพระยาห์เวห์ทรงส่งงูพิษมาท่ามกลางประชาชน งูพิษก็กัดประชาชน คนเป็นจำนวนมากก็ตาย 7 ประชาชนจึงมาหาโมเสสและกล่าวว่า "เราได้ทำบาปไปแล้ว เพราะเราได้ต่อว่าพระยาห์เวห์และท่าน ขอให้ท่านอธิษฐานต่อพระยาห์เวห์เพื่อที่พระองค์จะทรงเอางูออกไปจากเรา" ดังนั้น โมเสสจึงอธิษฐานขอเพื่อประชาชน
8 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า "จงทำงูตัวหนึ่งและติดไว้ที่เสา ซึ่งจะทำให้คนใดก็ตามที่ถูกงูกัดจะรอดชีวิตได้ ถ้าหากเขามองดูงูนั้น" 9 ดังนั้น โมเสสจึงทำงูทองสัมฤทธิ์ตัวหนึ่งและติดไว้ที่เสา เมื่องูกัดคนใด ถ้าหากเขามองดูที่งูทองสัมฤทธิ์นั้น เขาก็รอดชีวิต 10 แล้วคนอิสราเอลก็ออกเดินทางไปและตั้งค่ายที่โอโบท 11 พวกเขาเดินทางออกจากโอโบทและตั้งค่ายที่อิเยอาบาริมในถิ่นทุรกันดารที่หันหน้าไปทางโมอับตรงทางทิศตะวันออก
12 จากที่นั่นพวกเขาก็เดินทางต่อไปและตั้งค่ายในหุบเขาเศเรด 13 จากที่นั่นพวกเขาเดินทางต่อไปและตั้งค่ายที่อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำอารโนน ซึ่งอยู่ในถิ่นทุรกันดารซึ่งเป็นส่วนที่ต่อจากเขตแดนของคนอาโมไรต์ แม่น้ำอารโนนเป็นเขตแดนของโมอับ ที่กั้นระหว่างโมอับกับคนอาโมไรต์ 14 นั่นเป็นเหตุที่เมืองนี้ได้กล่าวไว้ในหนังสือม้วนของสงครามของพระยาห์เวห์ว่า "วาเฮบในสุฟาห์ และหุบเขาทั้งหลายของแม่น้ำอารโนน 15 ที่ลาดของหุบเขาเหล่านั้นที่ยาวไปถึงเมืองอาร์ และลงไปตามเขตแดนของโมอับ"
16 จากที่นั่น พวกเขาเดินทางไปยังเมืองเบเออร์ ซึ่งเป็นบ่อน้ำที่พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับโมเสสว่า "จงเรียกประชาชนให้มารวมกัน เพื่อเราจะให้น้ำแก่พวกเขา" 17 แล้วคนอิสราเอลก็ร้องเพลงนี้ว่า "จงพลุ่งขึ้นมา บ่อน้ำเอ๋ย จงร้องเพลงถึงบ่อน้ำนี้ 18 บ่อน้ำที่ผู้นำของเราได้ขุดไว้ บ่อน้ำที่บรรดาเจ้านายของประชาชนได้ขุดด้วยคฑาและไม้เท้าของพวกเขา" แล้วจากถิ่นทุรกันดารนั้น พวกเขาก็เดินทางไปยังมัททานาห์
19 จากมัททานาห์ พวกเขาก็เดินทางไปยังนาหะลีเอล และจากนาหะลีเอลไปยังบาโมท 20 และจากบาโมทไปยังหุบเขาในแผ่นดินของโมอับ นั่นคือที่ซึ่งมองจากยอดเขาปิสกาห์ลงมาเห็นถิ่นทุรกันดารนี้ 21 แล้วคนอิสราเอลจึงส่งผู้ส่งสารไปยังสิโหนกษัตริย์ของคนอาโมไรต์ว่า 22 "ขอให้เราผ่านแผ่นดินของท่านไป เราจะไม่เลี้ยวเข้าไปในทุ่งนาหรือสวนองุ่นใด ๆ เลย เราจะไม่ดื่มน้ำจากบ่อของท่าน เราจะเดินทางไปตามทางหลวง จนกว่าเราจะข้ามผ่านเขตแดนของท่านไป"
23 แต่กษัตริย์สิโหนไม่ยอมให้คนอิสราเอลผ่านเข้าเขตแดนของพวกเขา แต่สิโหนกลับรวบรวมกองทัพทั้งหมดของท่านและโจมตีคนอิสราเอลในถิ่นทุรกันดาร เขามาที่ยาฮาสที่ซึ่งเขาได้สู้รบกับคนอิสราเอล 24 คนอิสราเอลก็โจมตีกองทัพของสิโหนด้วยคมดาบ และยึดแผ่นดินของพวกเขาตั้งแต่แม่น้ำอารโนนจนถึงแม่น้ำยับบอก ไกลออกไปจนถึงดินแดนของคนอัมโมน ในตอนนั้น เขตแดนของอัมโมนได้มีการป้องกันแน่นหนา 25 คนอิสราเอลจึงยึดเมืองของคนอาโมไรต์ทั้งหมด และอาศัยอยู่ในเมืองเหล่านั้นทั้งหมด รวมทั้งเมืองเฮชโบนและหมู่บ้านทั้งหมดของเมืองนั้น
26 เฮชโบนเป็นเมืองของสิโหนกษัตริย์ของคนอาโมไรต์ ผู้ที่สู้รบกับกษัตริย์คนก่อนของโมอับ สิโหนได้ยึดดินแดนของเขาทั้งหมด ตั้งแต่เขตแดนของเขาไปจนถึงแม่น้ำอารโนน 27 นั่นคือเหตุผลที่คนเหล่านั้นพูดเป็นคำภาษิตว่า "จงมาที่เฮชโบน ขอให้สร้างเมืองสิโหนขึ้นมาใหม่ และสถาปนาขึ้นอีกครั้ง 28 ไฟได้พลุ่งออกจากเฮชโบน เปลวไฟจากเมืองของสิโหนได้เผาผลาญเมืองอาร์แห่งโมอับและบรรดาเจ้าของที่สูงของแม่น้ำอารโนน
29 วิบัติจงมีแก่เจ้า โมอับเอ๋ย คนของพระเคโมช เจ้าได้พินาศแล้ว เขาได้ทำให้บรรดาบุตรชายของเขาเป็นผู้ลี้ภัย และบรรดาบุตรหญิงของเขาเป็นนักโทษของสิโหนกษัตริย์ของคนอาโมไรต์ 30 แต่เราได้ชนะเหนือสิโหน เฮชโบนได้ถูกทำลายล้างไปตลอดทางจนถึงดีโบน เราได้ชนะพวกเขาตลอดทางจนไปถึงโนฟาห์ ที่ไปจนถึงเมเดบา" 31 ดังนั้น คนอิสราเอลก็เริ่มอาศัยอยู่ในดินแดนของคนอาโมไรต์
32 แล้วโมเสสจึงส่งคนออกไปดูที่เมืองยาเซอร์ พวกเขาก็ยึดหมู่บ้านของเมืองนั้น และขับไล่คนอาโมไรต์ที่อยู่ที่นั่นออกไป 33 แล้วพวกเขาก็หันไปและขึ้นไปตามทางไปเมืองบาชาน โอกกษัตริย์ของบาชานก็ออกมาสู้รบกับพวกเขา ทั้งเขาและกองทัพของเขามาเพื่อสู้รบกับคนอิสราเอลที่เอเดรอี 34 แล้วพระยาห์เวห์ได้ตรัสกับโมเสสว่า "อย่ากลัวเขาเลย เพราะเราได้ให้เจ้ามีชัยชนะเหนือเขา กองทัพทั้งหมดของเขา และดินแดนของเขา จงทำกับเขาเหมือนอย่างที่เจ้าทำกับสิโหนกษัตริย์ของคนอาโมไรต์ที่อาศัยอยู่ที่เมืองเฮชโบน" 35 ดังนั้น พวกเขาก็ได้ประหารโอก บุตรชายของเขา กองทัพของเขา จนกระทั่งไม่มีประชาชนของเขาเหลือรอดชีวิตอยู่เลย แล้วพวกเขาก็ยึดดินแดนของเขา
1 คนอิสราเอลได้ออกเดินทางต่อไป จนกระทั่งพวกเขาได้ตั้งค่ายในที่ราบโมอับใกล้กับเมืองเยรีโค ที่อยู่อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดน 2 บาลาคบุตรชายของศิปโปร์ได้เห็นทุกสิ่งที่อิสราเอลได้ทำกับคนอาโมไรต์ 3 คนโมอับจึงกลัวคนเหล่านั้นเป็นอย่างยิ่ง เพราะพวกเขามีจำนวนมากมาย และคนโมอับก็อยู่ในความหวาดกลัวต่อคนอิสราเอล 4 กษัตริย์แห่งโมอับได้กล่าวกับพวกผู้อาวุโสของคนมีเดียนว่า "คนมากมายเหล่านี้จะกินทั้งหมดที่อยู่รอบ ๆ เราเหมือนกับโคกินหญ้าในทุ่งนา" บาลาคบุตรชายของศิปโปร์เป็นกษัตริย์แห่งโมอับในเวลานั้น
5 เขาได้ส่งพวกผู้ส่งสารไปยังบาลาอัมบุตรชายของเบโอร์ที่เมืองเปโธร์ ที่อยู่ใกล้กับแม่น้ำยูเฟรติส ในดินแดนของชนชาติของเขาและประชาชนของเขา เขาได้เรียกคนนั้นมาและกล่าวว่า "ดูสิ ชนชาติหนึ่งที่มาจากอียิปต์อยู่ที่นี่ พวกเขาได้แผ่คลุมทั่วแผ่นดิน และพวกเขาอยู่ติดกับเราในตอนนี้ 6 ดังนั้น ขอโปรดมาเดี๋ยวนี้เถิด และสาปแช่งชนชาตินี้ให้กับเรา เพราะพวกเขามีกำลังมากเกินไปสำหรับเรา แล้วบางทีเราอาจจะจัดการเพื่อโจมตีพวกเขาได้ และไล่พวกเขาออกไปจากแผ่นดินนี้ เรารู้ว่าท่านอวยพรผู้ใดก็ตาม ก็จะได้รับพร และท่านสาปแช่งผู้ใดก็ตาม ก็จะถูกสาปแช่ง" 7 ดังนั้น พวกผู้อาวุโสของคนโมอับและพวกผู้อาวุโสของคนมีเดียนก็ออกไป และเอาค่าตอบแทนสำหรับคำทำนายไปด้วย พวกเขาก็มาหาบาลาอัมและได้พูดถ้อยคำของบาลาคกับเขา
8 บาลาอัมได้กล่าวกับพวกเขาว่า "จงอยู่ที่นี่คืนนี้เถิด ข้าพเจ้าจะนำคำที่พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับข้าพเจ้าในคืนนี้มาแจ้งกับพวกท่าน" ดังนั้น พวกผู้นำโมอับจึงพักอยู่กับเขาในคืนนั้น 9 พระเจ้าได้ทรงมาหาบาลาอัมและตรัสว่า "คนเหล่านี้ที่มาหาเจ้าเป็นใคร?" 10 บาลาอัมทูลตอบพระเจ้าว่า "บาลาคบุตรชายของศิปโปร์ กษัตริย์แห่งโมอับได้ส่งพวกเขามาหาข้าพระองค์ เขาบอกว่า 11 'ดูสิ คนเหล่านั้นที่มาจากอียิปต์ได้แผ่คลุมพื้นแผ่นดินของเรา ขอให้มาสาปแช่งพวกเขาให้กับเราเดี๋ยวนี้ บางทีเราจะจัดการเพื่อสู้รบกับพวกเขาได้และขับไล่พวกเขาออกไป'"
12 พระเจ้าทรงตอบบาลาอัมว่า "เจ้าต้องไม่ไปกับคนเหล่านั้น เจ้าต้องไม่สาปแช่งคนอิสราเอล เพราะพวกเขาเป็นคนที่ได้รับพร" 13 บาลาอัมลุกขึ้นในตอนเช้า และบอกกับพวกผู้นำของบาลาคว่า "จงกลับไปยังดินแดนของพวกท่านเถิด เพราะพระยาห์เวห์ทรงปฏิเสธที่จะให้ข้าพเจ้าไปกับพวกท่าน" 14 ดังนั้น พวกผู้นำของคนโมอับจึงจากไปและกลับไปหาบาลาค พวกเขาบอกว่า "บาลาอัมปฏิเสธที่จะมากับเรา"
15 บาลาคได้ส่งพวกผู้นำไปอีกครั้งซึ่งมีจำนวนมากกว่าและมีเกียรติมากกว่ากลุ่มแรก 16 พวกเขามาหาบาลาอัมและบอกเขาว่า "บาลาคบุตรชายของศิปโปร์กล่าวดังนี้ว่า 'โปรดอย่าให้อะไรมาหยุดยั้งท่านจากการมาหาเรา 17 เพราะเราจะจ่ายให้ท่านอย่างงาม และให้เกียรติแก่ท่านอย่างสูง และเราจะทำตามสิ่งที่ท่านบอกให้เราทำ ดังนั้น ขอโปรดมาเถิด และสาปแช่งชนชาตินี้ให้กับเรา'"
18 บาลาอัมได้ตอบและกล่าวกับคนของบาลาคว่า "ถึงแม้ว่าบาลาคจะมอบวังของเขาที่เต็มไปด้วยเงินและทองให้กับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ไม่สามารถทำเกินเลยมากไปกว่าถ้อยคำของพระยาห์เวห์ พระเจ้าของข้าพเจ้า และไม่สามารถทำน้อยหรือมากกว่าที่พระองค์ทรงบอกข้าพเจ้าได้" 19 แล้วตอนนี้ ขอให้รอที่นี่ในคืนนี้ด้วย เพื่อที่ข้าพเจ้าจะรู้ว่าพระยาห์เวห์จะทรงบอกอะไรเพิ่มเติมแก่ข้าพเจ้าอีก" 20 พระเจ้าได้ทรงมาหาบาลาอัมในตอนกลางคืน และตรัสกับเขาว่า "เนื่องจากคนเหล่านี้มาเรียกท่านไป จงตื่นขึ้นแล้วไปกับพวกเขา แต่จงทำแต่สิ่งที่เราได้บอกเจ้าให้ทำเท่านั้น"
21 บาลาอัมตื่นขึ้นในตอนเช้า ผูกลาของเขา และไปกับพวกผู้นำของคนโมอับ 22 แต่เพราะเหตุที่เขาไป ความกริ้วของพระเจ้าได้พลุ่งขึ้น ทูตของพระยาห์เวห์ก็ยืนขวางอยู่ในถนนนั้นเป็นเหมือนกับคนที่เป็นศัตรูต่อบาลาอัมที่กำลังขี่ลาของเขา คนรับใช้สองคนของบาลาอัมก็อยู่กับเขาด้วย 23 ลาตัวนั้นได้เห็นทูตของพระยาห์เวห์ที่ชักดาบออกมาอยู่ในมือของเขากำลังยืนอยู่ในถนนนั้น ลาตัวนั้นจึงเลี้ยวออกนอกถนนและเข้าไปในทุ่งนา บาลาอัมก็ตีลาตัวนั้นให้มันหันกลับมาที่ถนน
24 แล้วทูตของพระยาห์เวห์ก็ยืนอยู่ในทางแคบของถนนระหว่างสวนองุ่น ที่มีกำแพงอยู่ด้านขวาของเขา และกำแพงอีกด้านหนึ่งอยู่ทางซ้ายของเขา 25 ลาตัวนั้นได้เห็นทูตของพระยาห์เวห์อีก มันจึงไปชนกำแพง และทำให้เท้าของบาลาอัมเบียดกับกำแพง บาลาอัมจึงตีมันอีก 26 ทูตของพระยาห์เวห์เดินหน้าไปและยืนอยู่ในทางแคบอีกแห่งหนึ่งที่แต่ละด้านไม่มีทางเลี้ยวออกไป 27 ลาตัวนั้นได้เห็นทูตของพระยาห์เวห์ และมันก็หมอบลงอยู่ข้างใต้บาลาอัม บาลาอัมก็โกรธขึ้นมา และเขาก็ตีลาตัวนั้นด้วยไม้เท้าของเขา
28 แล้วพระยาห์เวห์ก็ทรงเปิดปากลาตัวนั้น มันก็พูดได้ มันกล่าวกับบาลาอัมว่า "ข้าพเจ้าได้ทำอะไรแก่ท่าน ท่านจึงตีข้าพเจ้าถึงสามครั้ง?" 29 บาลาอัมตอบลาว่า "เป็นเพราะเจ้าได้ทำโง่เขลาต่อข้า ข้าอยากจะมีดาบอยู่ในมือของข้า ถ้าหากมี ข้าจะฆ่าเจ้าเสียเดี๋ยวนี้" ลาจึงกล่าวกับบาลาอัมว่า 30 "ข้าพเจ้าไม่ได้เป็นลาของท่านที่ขี่มายาวนานตลอดชีวิตจนถึงวันนี้หรือ? ข้าพเจ้าเคยมีนิสัยทำอย่างนั้นกับท่านมาก่อนหรือ?" บาลาอัมตอบว่า "ไม่เคย"
31 แล้วพระยาห์เวห์จึงเปิดตาบาลาอัม แล้วเขาก็ได้เห็นทูตของพระยาห์เวห์ที่ชักดาบอยู่ในมือของเขายืนขวางในถนนอยู่ บาลาอัมจึงก้มศีรษะของเขาและซบหน้าลง 32 ทูตของพระยาห์เวห์ได้กล่าวกับเขาว่า "ทำไมเจ้าจึงตีลาของเจ้าถึงสามครั้ง? ดูสิ เราได้มาเป็นคนหนึ่งที่เป็นศัตรูต่อเจ้า เพราะการกระทำของเจ้าชั่วร้ายต่อหน้าเรา 33 ลาตัวนั้นได้เห็นเราและหันออกไปถึงสามครั้ง ถ้ามันไม่หันไปจากเรา เราคงจะได้ฆ่าเจ้าอย่างแน่นอนและไว้ชีวิตของมัน"
34 บาลาอัมจึงกล่าวกับทูตของพระยาห์เวห์ว่า "ข้าพเจ้าได้ทำบาปแล้ว ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าท่านยืนขวางกั้นข้าพเจ้าในถนนนั้น ดังนั้น ถ้าเป็นการที่ทำให้ท่านไม่พอใจ ข้าพเจ้าจะกลับไปเดี๋ยวนี้" 35 แต่ทูตของพระยาห์เวห์บอกบาลาอัมว่า "จงไปกับคนเหล่านั้นต่อไป แต่เจ้าต้องพูดเฉพาะคำที่เราบอกกับเจ้าเท่านั้น" ดังนั้น บาลาอัมจึงไปกับพวกผู้นำของบาลาค
36 เมื่อบาลาคได้ยินว่าบาลาอัมได้มาแล้ว บาลาคก็ออกไปพบเขาที่เมืองในโมอับท่ี่แม่น้ำอารโนนที่กั้นเขตแดน 37 บาลาคกล่าวกับบาลาอัมว่า "เราไม่ได้ส่งคนไปหาท่านเพื่อเรียกให้ท่านมาหรือ?" ทำไมท่านจึงไม่มาหาเรา? เราไม่สามารถให้เกียรติท่านได้หรือ?" 38 แล้วบาลาอัมจึงตอบบาลาคว่า "ดูสิ ข้าพเจ้าได้มาหาท่านแล้ว บัดนี้ ข้าพเจ้ามีอำนาจอะไรที่จะพูดสิ่งใดได้หรือ? ข้าพเจ้าพูดได้เฉพาะถ้อยคำที่พระเจ้าได้ทรงใส่ไว้ในปากของข้าพเจ้าเท่านั้น"
39 บาลาอัมจึงไปกับบาลาค และพวกเขาก็มาถึงคิริยาทหุโซท 40 แล้วบาลาคก็ได้ถวายบรรดาโคและแกะเป็นเครื่องบูชา และให้เนื้อบางส่วนแก่บาลาอัมและพวกผู้นำที่อยู่กับเขา 41 ในตอนเช้า บาลาคก็พาบาลาอัมขึ้นไปบนที่สูงบาอัล จากที่นั่นบาลาอัมก็สามารถมองเห็นคนอิสราเอลที่อยู่ในค่ายของพวกเขาได้เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น
1 บาลาอัมได้พูดกับบาลาคว่า "ขอจงสร้างแท่นบูชาเจ็ดแท่นให้ข้าพเจ้าที่นี่ และจัดเตรียมโคผู้เจ็ดตัวและแกะผู้เจ็ดตัว" 2 ดังนั้น บาลาคจึงทำตามที่บาลาอัมได้ขอมา แล้วบาลาคกับบาลาอัมก็ถวายโคผู้หนึ่งตัวและแกะผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาบนแท่นบูชาทุกแท่น 3 แล้วบาลาอัมได้พูดบาลาคว่า "ขอให้ยืนอยู่ที่เครื่องเผาบูชาของท่าน และข้าพเจ้าจะไป บางทีพระยาห์เวห์จะทรงมาพบข้าพเจ้า อะไรก็ตามที่พระยาห์เวห์ทรงสำแดงแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะบอกท่าน" ดังนั้น เขาจึงออกไปที่ยอดเขาที่ไม่มีต้นไม้เลย
4 ขณะที่เขาอยู่บนยอดเขานั้น พระเจ้าได้ทรงมาพบเขา และบาลาอัมได้ทูลพระองค์ว่า "ข้าพระองค์ได้สร้างแท่นบูชาเจ็ดแท่น และข้าพระองค์ได้ถวายโคผู้หนึ่งตัวและแกะผู้หนึ่งตัวบนแต่ละแท่นแล้ว" 5 พระยาห์เวห์ได้ทรงใส่ถ้อยคำในปากของบาลาอัม และตรัสกับเขาว่า "จงกลับไปหาบาลาคและพูดกับเขา" 6 ดังนั้น บาลาอัมจึงกลับไปหาบาลาค ที่กำลังยืนอยู่ใกล้กับเครื่องเผาบูชาของเขา และพวกผู้นำของคนโมอับทุกคนที่อยู่กับเขา
7 แล้วบาลาอัมได้เริ่มพูดคำเผยพระวจนะของเขา และกล่าวว่า "บาลาคได้พาข้าพเจ้ามาจากเมืองอารัม กษัตริย์แห่งโมอับจากเทือกเขาทางตะวันออก 'มาเถิด จงสาปแช่งยาโคบเพื่อเรา' เขากล่าวว่า 'มาเถิด มาต่อสู้กับอิสราเอล' 8 ข้าพเจ้าจะสาปแช่งคนเหล่านั้นที่พระเจ้าไม่ได้ทรงสาปแช่งได้อย่างไร? ข้าพเจ้าจะสู้รบกับคนเหล่านั้นที่พระเจ้าไม่ได้ทรงสู้รบได้อย่างไร? 9 เพราะจากยอดโขดหินนั้น ข้าพเจ้าเห็นเขา จากเนินเขาเหล่านั้น ข้าพเจ้ามองดูเขา ดูสิ มีชนชาติหนึ่งที่อาศัยอยู่ลำพัง และไม่ถือว่าพวกเขาเองเป็นเพียงแค่ชนชาติธรรมดา 10 ใครจะนับจำนวนของยาโคบที่มากดังผงคลีนี้ได้ หรือนับจำนวนแค่หนึ่งในสี่ของอิสราเอลได้? ขอให้ข้าพเจ้าตายอย่างความตายของคนชอบธรรม และขอให้บั้นปลายชีวิตของข้าพเจ้าเป็นเหมือนกับของเขา"
11 บาลาคจึงพูดกับบาลาอัมว่า "ท่านได้ทำอะไรเพื่อเรา? เราพาท่านมาสาปแช่งศัตรูของเรา แต่ดูสิ ท่านได้อวยพรพวกเขา" 12 บาลาอัมจึงตอบว่า "ข้าพเจ้าจะไม่ระวังที่จะพูดคำที่พระยาห์เวห์ได้ทรงใส่ไว้ในปากของข้าพเจ้าได้หรือ? 13 ดังนั้น บาลาคจึงบอกเขาว่า "โปรดมากับเรายังอีกที่หนึ่งเถิด ที่ซึ่งท่านสามารถมองเห็นส่วนที่อยู่ใกล้ที่สุดของพวกเขา ไม่ใช่ทั้งหมดของพวกเขา ที่นั่น ท่านจะสาปแแช่งพวกเขาเพื่อเรา"
14 ดังนั้น บาลาคจึงพาบาลาอัมเข้าไปในทุ่งนาของโศฟิม ที่ยอดเขาปิสกาห์ และสร้างแท่นบูชาอีกเจ็ดแท่น เขาถวายโคผู้หนึ่งตัวและแกะผู้หนึ่งตัวบนแต่ละแท่นบูชา 15 แล้วบาลาอัมจึงพูดกับบาลาคว่า "ขอจงยืนอยู่ใกล้เครื่องเผาบูชาของท่านที่นี่เถิด ขณะที่ข้าพเจ้าไปพบกับพระยาห์เวห์ตรงโน้น" 16 ดังนั้น พระยาห์เวห์จึงทรงมาพบกับบาลาอัม และทรงใส่ถ้อยคำในปากของเขา พระองค์ตรัสว่า "จงกลับไปหาบาลาค และบอกถ้อยคำของเราแก่เขา"
17 บาลาอัมได้กลับมาหาบาลาค และมองดู เขากำลังยืนอยู่ใกล้เครื่องเผาบูชาของเขา และพวกผู้นำของคนโมอับก็อยู่กับเขา แล้วบาลาคก็พูดกับเขาว่า "พระยาห์เวห์ได้ตรัสอะไร?" 18 บาลาอัมจึงเริ่มเผยพระวจนะของเขา เขากล่าวว่า "บาลาค จงลุกขึ้น และฟัง จงฟังข้าพเจ้า ท่านผู้เป็นบุตรชายของศิปโปร์ 19 พระเจ้าไม่ใช่คน ที่พระองค์จะทรงมุสาได้ หรือไม่ได้เป็นมนุษย์ที่จะเปลี่ยนพระทัยของพระองค์ได้ พระองค์ได้ทรงสัญญาสิ่งใดไว้แล้ว จะไม่ทรงกระทำสิ่งนั้นหรือ? พระองค์ได้ตรัสไว้แล้วพระองค์จะไม่ทรงทำสิ่งนั้นให้สำเร็จหรือ?"
20 ดูสิ ข้าพเจ้าได้รับพระบัญชาให้อวยพร พระเจ้าได้ทรงประทานพระพรและข้าพเจ้าจะกลับคำไม่ได้ 21 พระองค์ไม่ทรงเห็นความยากลำบากใดๆ ในยาโคบ หรือความทุกข์ยากใดๆ ในอิสราเอล พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขาทรงสถิตกับพวกเขา และโห่ร้องต่อกษัตริย์ของพวกเขา ทรงสถิตท่ามกลางพวกเขา 22 พระเจ้าทรงพาพวกเขาออกมาจากอียิปต์ด้วยพระกำลังเหมือนกับกำลังของโคป่า 23 ไม่มีเวทมนตร์ใดที่ต่อต้านยาโคบได้ และไม่มีคำทำนายอนาคตใดที่จะทำร้ายอิสราเอลได้ แต่ยาโคบและอิสราเอลจะต้องได้รับคำกล่าวว่า 'จงดูสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงกระทำ'
24 ดูสิ ชนชาติที่ลุกขึ้นมาเหมือนกับนางสิงห์ เป็นเหมือนกับสิงโตที่ปรากฏตัวและเข้าโจมตี มันจะไม่นอนลงจนกว่ามันจะได้กินเหยื่อของมันแล้ว และดื่มเลือดจากตัวที่มันได้ฆ่า" 25 บาลาคจึงพูดกับบาลาอัมว่า "อย่าแช่งสาปพวกเขาหรืออวยพรพวกเขาเลย" 26 แต่บาลาอัมตอบบาลาคว่า "ข้าพเจ้าไม่ได้บอกท่านหรือว่า ข้าพเจ้าต้องพูดทุกสิ่งที่พระยาห์เวห์ทรงบอกให้ข้าพเจ้าพูด?"
27 ดังนั้น บาลาคจึงตอบบาลาอัมว่า "จงมาเดี๋ยวนี้เถิด เราจะพาท่านไปยังอีกที่หนึ่ง บางทีอาจจะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าที่จะให้ท่านสาปแช่งพวกเขาเพื่อเรา" 28 ดังนั้น บาลาคจึงพาบาลาอัมไปที่ยอดเขาเปโอร์ที่มองลงมาเห็นถิ่นทุรกันดารนั้น 29 บาลาอัมพูดกับบาลาคว่า "ขอให้สร้างแท่นบูชาเจ็ดแท่นให้ข้าพเจ้าที่นี่ และจัดเตรียมโคผู้เจ็ดตัวและแกะผู้เจ็ดตัว" 30 ดังนั้น บาลาคจึงทำตามที่บาลาลัมได้บอก เขาถวายโคผู้หนึ่งตัวและแกะผู้หนึ่งตัวบนแต่ละแท่นบูชา
1 เมื่อบาลาอัมได้เห็นว่าพระยาห์เวห์ทรงพอพระทัยที่จะอวยพรอิสราเอล เขาจึงไม่ไปเพื่อใช้เวทมนตร์เหมือนครั้งอื่นๆ แต่เขามองตรงไปที่ถิ่นทุรกันดารนั้น 2 เขาได้เงยหน้าขึ้นมอง และเห็นว่าอิสราเอลได้ตั้งค่าย แต่ละค่ายในเผ่าของตนเอง และพระวิญญาณของพระเจ้าก็ลงมาสถิตกับเขา 3 เขาได้รับคำเผยพระวจนะและกล่าวว่า "บาลาอัมบุตรชายของเบโอร์ต้องกล่าว ชายที่ตากระจ่างแจ้ง 4 เขาพูดและได้ยินพระวจนะของพระเจ้า เขาเห็นนิมิตจากองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ต่อพระพักตร์ผู้ที่เขาก้มกราบลงด้วยตาที่กระจ่างแจ้ง
5 ยาโคบเอ๋ย บรรดาเต็นท์ของท่านช่างงามจริงหนอ อิสราเอลเอ๋ย สถานที่ที่ท่านอาศัยอยู่ก็ช่างงามจริงๆ 6 เหมือนกับหุบเขาเหล่านั้นที่แผ่ขยายออกไป เหมือนสวนทั้งหลายที่อยู่ริมแม่น้ำ เหมือนต้นกฤษณาที่พระยาห์เวห์ได้ทรงปลูกไว้ เหมือนกับต้นสนสีดาห์ที่อยู่ริมธารน้ำ 7 น้ำไหลมาจากถังน้ำของพวกเขา และพงศ์พันธุ์ของพวกเขาอุดมด้วยน้ำ กษัตริย์ของพวกเขาสูงกว่าอากัก และราชอาณาจักรของเขาจะได้รับการยกย่อง 8 พระเจ้าทรงนำเขาออกมาจากอียิปต์ด้วยพระกำลังดุจโคป่า เขาจะกินบรรดาประชาชาติที่ต่อสู้กับเขา เขาจะหักกระดูกของพวกเขาเป็นท่อน ๆ เขาจะยิงพวกเขาด้วยธนูของเขา 9 เขาหมอบลงเหมือนสิงโต ดุจนางสิงห์ ใครจะกล้ารบกวนเขา? ขอให้ทุกคนที่อวยพรเขาได้รับพร ขอให้ทุกคนที่สาปแช่งเขาได้รับการสาปแช่ง"
10 ความโกรธของบาลาคก็ได้พลุ่งขึ้นต่อบาลาอัม และเขาก็ตบมือของเขาด้วยความโกรธ บาลาคพูดกับบาลาอัมว่า "เราได้เรียกท่านมาให้สาปแช่งศัตรูของเรา แต่ดูสิ ท่านได้อวยพรพวกเขาสามครั้งแล้ว 11 ดังนั้น จงไปจากเราและกลับไปบ้านของท่านเดี๋ยวนี้ เราได้บอกว่าจะให้รางวัลอย่างงามแก่ท่าน แต่พระยาห์เวห์ได้ทรงกีดกันท่านไม่ให้ได้รับรางวัลใดๆ" 12 แล้วบาลาอัมได้ตอบบาลาคว่า ''ข้าพเจ้าได้บอกกับผู้ส่งสารที่ท่านส่งไปหาข้าพเจ้าแล้วว่า 13 'ถึงแม้ว่าบาลาคจะมอบวังของเขาที่เต็มด้วยเงินและทองให้แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ไม่สามารถทำอะไรนอกเหนือจากถ้อยคำของพระยาห์เวห์ และสิ่งที่เลวหรือดี หรือสิ่งใดที่ข้าพเจ้าต้องการจะทำ ข้าพเจ้าพูดได้เฉพาะคำที่พระยาห์เวห์ทรงบอกให้ข้าพเจ้าพูดเท่านั้น' ข้าพเจ้าไม่ได้พูดดังนี้กับพวกเขาหรือ? 14 ดังนั้น ตอนนี้ ดูสิ ข้าพเจ้าจะกลับไปยังชนชาติของข้าพเจ้า แต่ขอเตือนท่านก่อนว่า ชนชาตินี้จะทำอะไรต่อประชาชนของท่านในอีกไม่กี่วันข้างหน้า"
15 บาลาอัมได้เริ่มกล่าวคำเผยพระวจนะนี้ เขากล่าวว่า "บาลาอัมบุตรชายของเบโอร์ได้กล่าว ชายที่มีตากระจ่างแจ้ง 16 นี่เป็นคำเผยพระวจนะของคนที่ได้ยินถ้อยคำจากพระเจ้า ผู้ที่มีความรู้จากองค์สูงสุด ผู้ที่มีนิมิตจากองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ต่อพระพักตร์ผู้ที่เขาก้มกราบลงด้วยดวงตากระจ่างแจ้ง 17 ข้าพเจ้าเห็นเขา แต่ตอนนี้เขาไม่อยู่ที่นี่ ข้าพเจ้ามองดูเขา แต่เขาไม่ได้อยู่ใกล้ ดาวดวงหนึ่งจะมาจากยาโคบ คฑาจะขึ้นมาจากอิสราเอล เขาจะทำให้พวกผู้นำของโมอับกระจัดกระจายไป และทำลายเชื้อสายของเสททั้งหมด
18 แล้วเอโดมจะเป็นกรรมสิทธิ์ของอิสราเอล และเสอีร์ก็จะเป็นกรรมสิทธิ์ของพวกเขาด้วย ศัตรูของอิสราเอลผู้ที่อิสราเอลจะมีชัยชนะด้วยกำลัง 19 กษัตริย์องค์หนึ่งจะออกมาจากยาโคบ ผู้ที่จะทรงครอบครอง และเขาจะทำลายผู้ที่รอดชีวิตจากเมืองของพวกเขา" 20 แล้วบาลาอัมได้มองที่อามาเลข และได้เริ่มกล่าวคำเผยพระวจนะของเขา เขากล่าวว่า "ครั้งหนึ่งคนอามาเลขเคยเป็นชนชาติที่ยิ่งใหญ่ที่สุด แต่บั้นปลายของเขาจะถูกทำลาย"
21 แล้วบาลาอัมก็มองตรงไปที่คนเคไนต์ และเริ่มกล่าวคำเผยพระวจนะของเขา เขาได้กล่าวว่า "สถานที่ที่ท่านอาศัยอยู่เข้มแข็งมาก และรังของท่านก็อยู่ในหิน 22 อย่างไรก็ตาม คนเคไนต์ก็จะถูกทำลาย เมื่ออัสซีเรียนำท่านไปเป็นเชลย" 23 แล้วบาลาอัมได้เริ่มกล่าวคำเผยพระวจนะสุดท้ายของเขา เขากล่าวว่า "วิบัติแก่พวกเจ้า เมื่อพระเจ้าทรงทำสิ่งนี้ ใครจะที่มีชีวิตรอดได้? 24 เรือทั้งหลายจะมาจากริมฝั่งของคิททิม เรือเหล่านั้นจะโจมตีอัสซีเรียและจะชนะเอเบอร์ แต่พวกเขาจะมีจุดจบในการถูกทำลายเช่นกัน" 25 แล้วบาลาอัมก็ลุกขึ้นและจากไป เขาได้กลับไปยังบ้านของเขา และบาลาคก็จากไปเช่นกัน
1 อิสราเอลพักอยู่ในชิทธีม และพวกผู้ชายก็เริ่มเล่นชู้กับพวกผู้หญิงชาวโมอับ 2 เพราะชาวโมอับได้เชิญชวนประชาชนไปถวายเครื่องบูชาให้กับพระของพวกนาง ด้วยเหตุนี้ คนเหล่านั้นจึงได้กินและก้มกราบพระของคนโมอับ 3 คนอิสราเอลเข้าร่วมในการนมัสการพระบาอัลแห่งเปโอร์ และพระพิโรธของพระยาห์เวห์ก็พลุ่งขึ้นต่ออิสราเอล
4 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า "จงฆ่าพวกผู้นำของประชาชนทุกคนต่อหน้าเรา และแขวนพวกเขาไว้กลางแดด เพื่อที่ความกริ้วรุนแรงของเราจะหันไปจากอิสราเอล" 5 ดังนั้น โมเสสจึงพูดกับพวกผู้นำคนอิสราเอลว่า "ท่านแต่ละคนจงออกไปและประหารคนของเขาที่ร่วมในการนมัสการพระบาอัลแห่งเปโอร์" 6 แล้วชายคนหนึ่งของอิสราเอลเข้ามาและนำหญิงมีเดียนมาอยู่ท่ามกลางครอบครัวของเขา เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาโมเสสและชุมชนทั้งหมดของคนอิสราเอล ขณะที่พวกเขากำลังร้องไห้อยู่ที่ทางเข้าเต็นท์นัดพบ
7 เมื่อฟีเนหัสบุตรชายของเอเลอาซาร์ผู้เป็นบุตรชายของอาโรนปุโรหิต เห็นดังนั้น เขาก็ลุกขึ้นไปจากท่ามกลางชุมชนนั้น และถือหอกอยู่ในมือของเขา 8 เขาตามชายอิสราเอลคนนั้นเข้าไปในเต็นท์ของเขา และแทงหอกนั้นทะลุร่างทั้งสองคน ทั้งชายอิสราเอลและหญิงคนนั้น ด้วยเหตุนี้ ภัยพิบัติที่พระยาห์เวห์ทรงส่งลงมาเหนือคนอิสราเอลก็สงบลง 9 คนเหล่านั้นที่ตายด้วยภัยพิบัตินับจำนวนได้สองหมื่นสี่พันคน
10 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า 11 "ฟีเนหัสบุตรชายของเอเลอาซาร์ผู้เป็นบุตรชายของอาโรนปุโรหิตได้หันความกริ้วของเราออกไปจากคนอิสราเอล เพราะเขาร้อนใจด้วยความหวงแหนของเราท่ามกลางพวกเขา ดังนั้น เราจึงไม่ผลาญคนอิสราเอลด้วยความรุนแรงของเรา 12 'พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ "ดูสิ เราจะมอบพันธสัญญาแห่งสันติสุขให้แก่ฟีเนหัส
13 สำหรับเขาและลูกหลานของเขาที่จะมาภายหลังเขา ซึ่งเป็นพันธสัญญาชั่วนิรันดร์ของตำแหน่งปุโรหิต เพราะเขาได้หวงแหนเพื่อเรา พระเจ้าของเขา เขาได้ลบล้างบาปให้กับคนอิสราเอล"'" 14 ตอนนี้ ชื่อของชายอิสราเอลคนนั้นที่ถูกฆ่าตายพร้อมกับหญิงชาวมีเดียนคนนั้น คือศิมรีบุตรชายของสาลู ซึ่งเป็นผู้นำครอบครัวของบรรพบุรุษท่ามกลางคนสิเมโอน 15 ชื่อของหญิงชาวมีเดียนคนนั้นที่ถูกฆ่า คือคอสบี บุตรหญิงของศูร์ ผู้เป็นหัวหน้าของเผ่าและครอบครัวในมีเดียน
16 ดังนั้น พระยาห์เวห์จึงตรัสกับโมเสสว่า 17 "จงปฏิบัติต่อคนมีเดียนเป็นเหมือนศัตรูและโจมตีพวกเขา 18 เพราะพวกเขาปฏิบัติต่อพวกเจ้าเป็นเหมือนศัตรูด้วยการหลอกลวงของพวกเขา พวกเขานำพวกเจ้าเข้าไปในความชั่วร้ายในเรื่องของเปโอร์ และในเรื่องของคอสบีน้องสาวของพวกเขา ที่เป็นบุตรหญิงของผู้นำในมีเดียนที่ถูกฆ่าในวันที่เกิดภัยพิบัติในเรื่องของเปโอร์"
1 หลังจากที่เกิดภัยพิบัตินั้น พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสและเอเลอาซาร์บุตรชายของอาโรนปุโรหิต พระองค์ตรัสว่า 2 "จงนับชุมชนทั้งหมดของคนอิสราเอล ตั้งแต่อายุยี่สิบปีขึ้นไปตามครอบครัวบรรพบุรุษของพวกเขา ทุกคนที่สามารถออกรบเพื่ออิสราเอลได้" 3 ดังนั้น โมเสสและเอเลอาร์ซาร์ปุโรหิตจึงพูดกับพวกเขาในที่ราบโมอับใกล้แม่น้ำจอร์แดนที่เมืองเยรีโค และกล่าวว่า 4 "จงนับจำนวนประชาชน ตั้งแต่อายุยี่สิบปีขึ้นไปตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาโมเสสและคนอิสราเอลที่ออกมาจากแผ่นดินอียิปต์"
5 รูเบนเป็นบุตรหัวปีของอิสราเอล ตระกูลของคนฮาโนคมาจากบุตรชายของเขาคือฮาโนค ตระกูลของคนปัลลูมาจากปัลลู 6 ตระกูลของคนเฮสโรนมาจากเฮสโรน ตระกูลของคนคารมีมาจากคารมี 7 เหล่านี้เป็นตระกูลของพงศ์พันธุ์ของรูเบน ที่นับจำนวนผู้ชายได้ 43,730 คน
8 เอลีอับเป็นบุตรชายของปัลลู 9 บุตรชายของเอลีอับคือ เนมูเอล ดาธานและอาบีรัม คนเหล่านี้เป็นคนเดียวกันกับดาธานและอาบีรัมที่ติดตามโคราห์ ตอนที่พวกเขาท้าทายโมเสสและอาโรน และกบฎต่อพระยาห์เวห์ 10 แผ่นดินได้อ้าปากและกลืนพวกเขาไปพร้อมกับโคราห์ เมื่อคนที่ติดตามเขาทั้งหมดตายไป ในเวลานั้น ไฟได้เผาผลาญคน 250 คน ที่กลายเป็นเครื่องหมายเตือนใจ 11 แต่เชื้อสายของโคราห์ไม่ได้ตายทั้งหมด
12 เหล่านี้เป็นตระกูลของพงศ์พันธุ์ของสิเมโอน คือ ตระกูลของคนเนมูเอลมาจากเนมูเอล ตระกูลของคนยามีนมาจากยามีน ตระกูลของคนยาคีนมาจากยาคีน 13 ตระกูลของคนเศ-ราห์มาจากเศ-ราห์ ตระกูลของคนชาอูลมาจากชาอูล 14 เหล่านี้เป็นตระกูลของพงศ์พันธุ์ของสิเมโอน ที่นับจำนวนผู้ชายได้ 22,200 คน
15 เหล่านี้เป็นตระกูลของพงศ์พันธุ์ของกาด คือตระกูลของคนเศโฟนมาจากเศโฟน ตระกูลของคนฮักกีมาจากฮักกี ตระกูลของคนชูนีมาจากชูนี 16 ตระกูลของคนโอสนีมาจากโอสนี ตระกูลของคนเอรีมาจากเอรี 17 ตระกูลของคนอาโรดมาจากอาโรด ตระกูลของคนอาเรลีมาจากอาเรลี 18 เหล่านี้เป็นตระกูลของพงศ์พันธุ์ของกาด ที่นับจำนวนผู้ชายได้ 40,500 คน
19 บุตรชายของยูดาห์คือ เอร์และโอนัน แต่คนเหล่านี้ได้ตายในแผ่นดินคานาอัน 20 เหล่านี้เป็นตระกูลของพงศ์พันธุ์ของยูดาห์ คือตระกูลของคนเชลาห์มาจากเชลาห์ ตระกูลของคนเปเรศมาจากเปเรศ ตระกูลของคนเศ-ราห์มาจากเศ-ราห์ 21 เหล่านี้เป็นพงศ์พันธุ์เปเรศ คือตระกูลของคนเฮสโรนมาจากเฮสโรน ตระกูลของคนฮามูลมาจากฮามูล 22 เหล่านี้เป็นตระกูลของพงศ์พันธุ์ของยูดาห์ ที่นับจำนวนผู้ชายได้ 76,500 คน
23 เหล่านี้เป็นตระกูลของพงศ์พันธุ์ของอิสสาคาร์ คือตระกูลของคนโทลามาจากโทลา ตระกูลของคนปูวาห์มาจากปูวาห์ 24 ตระกูลของคนยาชูบมาจากยาชูบ ตระกูลของคนชิมโรนมาจากชิมโรน 25 เหล่านี้คือตระกูลของอิสสาคาร์ ที่นับจำนวนผู้ชายได้ 64,300 คน
26 เหล่านี้เป็นตระกูลของพงศ์พันธุ์ของเศบูลุน คือตระกูลของคนเสเรดมาจากเสเรด ตระกูลของคนเอโลนมาจากเอโลน ตระกูลของคนยาห์เลเอลมาจากยาห์เลเอล 27 เหล่านี้คือตระกูลของคนเศบูลุน ที่นับจำนวนผู้ชายได้ 60,500 คน 28 ตระกูลของพงศ์พันธุ์ของโยเซฟ คือมนัสเสห์และเอฟราอิม 29 เหล่านี้เป็นพงศ์พันธุ์ของมนัสเสห์ คือ ตระกูลของคนมาคีร์มาจากมาคีร์ (มาคีร์เป็นบิดาของกิเลอาด) ตระกูลของคนกิเลอาดมาจากกิเลอาด
30 เหล่านี้เป็นพงศ์พันธุ์ของกิเลอาด ตระกูลของคนอีเยเซอร์มาจากอีเยเซอร์ ตระกูลของคนเฮเลคมาจากเฮเลค 31 ตระกูลของคนอัสรีเอลมาจากอัสรีเอล ตระกูลของคนเชเคมมาจากเชเคม 32 ตระกูลของคนเชมิดามาจากเชมิดา ตระกูลของคนเฮเฟอร์มาจากเฮเฟอร์ 33 เศโลเฟหัสบุตรชายของเฮเฟอร์ไม่มีบุตรชาย มีแต่บุตรหญิงเท่านั้น ชื่อของบรรดาบุตรหญิงเหล่านั้น คือ มาลาห์ โนอาห์ โฮกลาห์ มิลคาห์ และทีรซาห์ 34 เหล่านี้เป็นตระกูลของมนัสเสห์ ที่นับจำนวนผู้ชายได้ 52,700 คน
35 เหล่านี้เป็นตระกูลของพงศ์พันธุ์ของเอฟราอิม คือตระกูลของคนชูเธลาห์มาจากชูเธลาห์ ตระกูลของคนเบเคอร์มาจากเบเคอร์ ตระกูลของคนทาหานมาจากทาหาน 36 พงศ์พันธุ์ของชูเธลาห์ คือตระกูลของคนเอรานมาจากเอราน 37 เหล่านี้เป็นตระกูลของพงศ์พันธุ์ของเอฟราอิม ที่นับจำนวนผู้ชายได้ 32,500 คน เหล่านี้เป็นพงศ์พันธุ์ของโยเซฟ ที่ได้นับจำนวนในแต่ละตระกูลของพวกเขา
38 เหล่านี้เป็นตระกูลของพงศ์พันธุ์ของเบนยามิน คือตระกูลของคนเบ-ลามาจากเบ-ลา ตระกูลของคนอัชเบลมาจากอัชเบล ตระกูลของคนอาหิรัมมาจากอาหิรัม 39 ตระกูลของคนเชฟูฟามมาจากเชฟูฟาม ตระกูลของคนหุฟามมาจากหุฟาม 40 บุตรชายของเบ-ลาคืออาร์ดและนาอามาน ตระกูลของคนอาร์ดมาจากอาร์ด และตระกูลของคนนาอามานมาจากนาอามาน 41 เหล่านี้เป็นตระกูลของพงศ์พันธุ์ของเบนยามิน พวกเขานับผู้ชายได้ 45,600 คน
42 เหล่านี้เป็นตระกูลของพงศ์พันธุ์ของดาน คือตระกูลของคนชูฮัมมาจากชูฮัม เหล่านี้เป็นตระกูลของพงศ์พันธุ์ของดาน 43 ตระกูลของคนชูฮัมทั้งหมด นับผู้ชายได้ 64,400 คน 44 เหล่านี้เป็นตระกูลของพงศ์พันธุ์ของอาเชอร์ คือ ตระกูลของคนอิมนาห์มาจากอิมนาห์ ตระกูลของคนอิชวีมาจากอิชวี ตระกูลของคนเบรียาห์มาจากเบรียาห์ 45 เหล่านี้เป็นพงศ์พันธุ์ของเบรียาห์ คือ ตระกูลของคนเฮเบอร์มาจากเฮเบอร์ ตระกูลของคนมัลคีเอลมาจากมัลคีเอล
46 ชื่อบุตรหญิงของอาเชอร์ คือ เสราห์ 47 เหล่านี้เป็นตระกูลของพงศ์พันธุ์ของอาเชอร์ ที่นับผู้ชายได้ 53,400 คน 48 เหล่านี้เป็นตระกูลของพงศ์พันธุ์ของนัฟทาลี คือ ตระกูลของคนยาห์เซเอลมาจากยาห์เซเอล ตระกูลของคนกูนีมาจากกูนี 49 ตระกูลของคนเยเซอร์มาจากเยเซอร์ ตระกูลของคนชิลเลมมาจากชิลเลม 50 เหล่านี้เป็นตระกูลของพงศ์พันธุ์ของนัฟทาลี ที่นับจำนวนผู้ชายได้ 45,400 คน
51 นี่เป็นจำนวนผู้ชายของคนอิสราเอลที่นับได้ทั้งหมด 601,730 คน 52 พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับโมเสสว่า 53 "แผ่นดินนั้นต้องแบ่งเป็นมรดกท่ามกลางคนเหล่านี้ที่นับตามจำนวนชื่อของพวกเขา
54 เจ้าต้องมอบมรดกที่ใหญ่กว่าให้กับตระกูลที่ใหญ่กว่า และมอบมรดกที่เล็กกว่าให้กับตระกูลที่เล็กกว่า เจ้าต้องมอบมรดกให้แก่ทุกครอบครัวตามจำนวนคนที่ถูกนับไว้ 55 แต่อย่างไรก็ตาม แผ่นดินนั้นต้องแบ่งกันโดยการจับฉลาก พวกเขาต้องได้รับแผ่นดินนั้นเป็นมรดกเหมือนกับแผ่นดินที่แบ่งกันท่ามกลางเผ่าของบรรพบุรุษของพวกเขา 56 มรดกของพวกเขาต้องแบ่งท่ามกลางตระกูลที่ใหญ่กว่า และตระกูลที่เล็กกว่า ซึ่งเป็นการแบ่งให้พวกเขาโดยการจับฉลาก"
57 เหล่านี้เป็นตระกูลคนเลวี ที่นับตระกูลต่อตระกูล คือตระกูลของคนเกอร์โชนมาจากเกอร์โชน ตระกูลของคนโคฮาทมาจากโคฮาท ตระกูลของคนเมรารีมาจากเมรารี 58 เหล่านี้เป็นตระกูลของเลวี คือตระกูลของคนลิบนี ตระกูลของคนเฮโบรน ตระกูลของคนมาห์ลี ตระกูลของคนมูชี และตระกูลของคนโคราห์ โคฮาทเป็นบรรพบุรุษของอัมราม 59 ภรรยาของอัมรามชื่อโยเคเบด ที่เป็นพงศ์พันธุ์ของเลวีที่เกิดในตระกูลคนเลวีในอียิปต์ นางคลอดบุตรหลายคนให้แก่อัมราม คืออาโรน โมเสส และมิเรียมพี่สาวของพวกเขา
60 อาโรนให้กำเนิดนาดับและอาบีฮู เอเลอาซาร์และอิธามาร์ 61 นาดับและอาบีฮูสิ้นชีวิตตอนที่พวกเขาถวายไฟที่ต้องห้ามต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ 62 พวกผู้ชายที่นับได้ท่ามกลางพวกเขา จำนวนสองหมื่นสามพันคน ซึ่งเป็นผู้ชายทั้งหมดที่มีอายุหนึ่งเดือนขึ้นไป แต่พวกเขาไม่ได้ถูกนับรวมกับพงศ์พันธุ์ของอิสราเอล เพราะไม่มีมรดกมอบให้กับพวกเขาท่ามกลางคนอิสราเอล
63 เหล่านี้คือคนที่โมเสสและเอเลอาซาร์ปุโรหิตได้นับไว้ พวกเขานับจำนวนคนอิสราเอลในที่ราบโมอับข้างแม่น้ำจอร์แดนที่เมืองเยรีโค 64 แต่ท่ามกลางคนเหล่านี้ ไม่มีคนใดเลยที่โมเสสและอาโรนเคยนับไว้ ตอนที่มีการนับจำนวนพงศ์พันธุ์ของอิสราเอลในถิ่นทุรกันดารซีนาย 65 เพราะพระยาห์เวห์ตร้สว่า คนเหล่านั้นทั้งหมดจะตายในถิ่นทุรกันดารนั้นอย่างแน่นอน จะไม่มีเหลืออยู่สักคนเดียวท่ามกลางพวกเขา นอกจากคาเลบบุตรชายของเยฟุนเนห์ และโยชูวาบุตรชายของนูน
1 แล้วบุตรหญิงทั้งหลายของเศโลเฟหัด ผู้เป็นบุตรชายของเฮเฟอร์ ผู้เป็นบุตรชายของกิเลอาด ผู้เป็นบุตรชายของมาคีร์ ผู้เป็นบุตรชายของมนัสเสห์ จากตระกูลของมนัสเสห์ ผู้เป็นบุตรชายของโยเซฟ ที่ได้มาหาโมเสส เหล่านี้คือชื่อของบุตรหญิงทั้งหลายของเขา คือมาห์ลาห์ โนอาห์ โฮกลาห์ มิลคาห์ และทีรซาห์ 2 พวกนางยืนอยู่ต่อหน้าโมเสส เอเลอาซาร์ปุโรหิต พวกผู้นำ และต่อหน้าชุมชนทั้งหมดที่ทางเข้าเต็นท์นัดพบ พวกนางกล่าวว่า 3 "บิดาของเราตายในถิ่นทุรกันดาร เขาไม่ได้อยู่ในพวกคนเหล่านั้นที่สมรู้ร่วมคิดกันต่อต้านพระยาห์เวห์ในพรรคพวกของโคราห์ เขาตายเพราะบาปของเขาเอง และเขาไม่มีบุตรชายเลย 4 ทำไมจึงเอาชื่อบิดาของเราออกไปจากท่ามกลางคนในตระกูลของเขา เพราะเขาไม่มีบุตรชาย? ขอมอบแผ่นดินท่ามกลางญาติของบิดาของเราให้แก่พวกเราเถิด"
5 ดังนั้น โมเสสจึงนำเรื่องของพวกนางมาทูลต่อพระพักตร์พระยาเวห์ 6 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า 7 "บุตรหญิงทั้งหลายของเศโลเฟหัดพูดถูกต้อง เจ้าต้องมอบแผ่นดินให้เป็นมรดกแก่พวกนางท่ามกลางญาติพี่น้องของบิดาของพวกนาง เจ้าต้องทำให้มั่นใจว่ามรดกของบิดาของพวกนางจะตกทอดไปถึงพวกนาง 8 เจ้าต้องพูดกับคนอิสราเอลว่า 'ถ้าชายคนใดตายและไม่มีบุตรชาย แล้วพวกท่านต้องทำให้มรดกของเขาตกทอดไปสู่บุตรหญิงของเขา
9 ถ้าเขาไม่มีบุตรหญิง แล้วพวกท่านต้องมอบมรดกของเขาให้แก่พี่น้องของเขา 10 ถ้าเขาไม่มีพี่น้อง แล้วพวกท่านต้องมอบมรดกของเขาให้กับพี่น้องของบิดาของเขา 11 ถ้าบิดาของเขาไม่มีพี่น้อง แล้วพวกท่านก็ต้องมอบมรดกให้กับญาติที่สนิทที่สุดของเขาในตระกูลของเขา และเขาต้องรับมรดกนั้นสำหรับตัวของเขาเอง นี่เป็นกฎหมายที่ตั้งขึ้นจากพระบัญชาสำหรับคนอิสราเอล ตามที่พระยาห์เวห์ได้ทรงบัญชาข้าพเจ้า"'
12 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า "จงขึ้นไปบนภูเขาอาบาริมและมองดูแผ่นดินที่เรามอบให้แก่คนอิสราเอล 13 หลังจากที่เจ้าได้เห็นแผ่นดินนั้นแล้ว เจ้าก็จะต้องถูกรวมไปอยู่กับคนของเจ้าด้วยเช่นเดียวกับอาโรนพี่ชายของเจ้า 14 เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นเพราะเจ้าทั้งสองได้กบฎต่อคำสั่งของเราในถิ่นทุรกันดารศิน ที่นั่น ตอนที่น้ำไหลออกมาจากหิน ในความโกรธของเจ้า เจ้าไม่ได้ให้เกียรติเราเป็นองค์บริสุทธิ์ต่อหน้าสายตาของชุมชนทั้งหมด" เหล่านี้เป็นน้ำแห่งเมรีบาห์ของคาเดชในถิ่นทุรกันดารศิน
15 แล้วโมเสสจึงทูลพระยาห์เวห์ว่า 16 "ขอพระองค์ พระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งวิญญาณของมนุษย์ทุกคน ทรงแต่งตั้งชายคนหนึ่งไว้เหนือชุมชนนี้ 17 คนที่จะออกไปและเข้ามาต่อหน้าพวกเขา และนำพวกเขาออกไปและนำพวกเขาเข้ามา เพื่อที่ชุมชนของพระองค์จะไม่เป็นเหมือนกับฝูงแกะที่ขาดผู้เลี้ยง"
18 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า "จงนำโยชูวาบุตรชายของนูนมา ชายที่มีวิญญาณของเราอยู่ในเขา จงวางมือของเจ้าบนเขา 19 จงแต่งตั้งเขาต่อหน้าเอเลอาซาร์ปุโรหิต และต่อหน้าชุมชนทั้งหมด และบัญชาเขาให้นำพวกเขาต่อหน้าต่อตาพวกเขา 20 เจ้าต้องมอบอำนาจหน้าที่ของเจ้าบางส่วนให้กับเขา เพื่อให้ชุมชนทั้งหมดของคนอิสราเอลเชื่อฟังเขา
21 เขาจะไปอยู่ต่อหน้าเอเลอาซาร์ปุโรหิตเพื่อแสวงหาน้ำพระทัยของเราสำหรับเขาจากการเลือกของอูริม ซึ่งจะเป็นคำสั่งของเขาที่จะให้ประชาชนออกไปและเข้ามา ทั้งเขาและคนอิสราเอลทุกคนที่อยู่กับเขา คือชุมชนทั้งหมด" 22 ดังนั้น โมเสสจึงทำตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาเขา เขานำโยชูวามาและแต่งตั้งเขาต่อหน้าเอเลอาซาร์ปุโรหิตและชุมชนทั้งหมด 23 โมเสสได้วางมือของเขาบนโยชูวาและบัญชาเขาให้เป็นผู้นำ ตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาให้เขาทำ
1 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า 2 "จงสั่งคนอิสราเอล และจงพูดกับพวกเขาว่า 'พวกเจ้าต้องถวายเครื่องบูชาแด่เราตามเวลาที่กำหนดไว้ อาหารของเครื่องบูชาของเราที่เผาด้วยไฟเพื่อให้เป็นกลิ่นหอมแด่เรา' 3 เจ้าต้องพูดกับพวกเขาด้วยว่า 'นี่เป็นเครื่องบูชาที่เผาด้วยไฟที่พวกเจ้าต้องถวายแด่พระยาห์เวห์ คือลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งปีที่ปราศจากตำหนิ วันละสองตัวเป็นเครื่องเผาบูชาประจำวัน 4 พวกเจ้าต้องถวายลูกแกะหนึ่งตัวในตอนเช้า และพวกเจ้าต้องถวายลูกแกะอีกหนึ่งตัวในตอนเย็น
5 พวกเจ้าต้องถวายแป้งอย่างดีหนึ่งในสิบเอฟาห์เคล้าน้ำมันสกัดหนึ่งในสี่ฮินเป็นเครื่องธัญบูชา 6 นี่เป็นเครื่องเผาบูชาประจำวันที่ทรงบัญชาไว้ที่ภูเขาซีนาย ซึ่งเป็นเครื่องบูชาที่เผาด้วยไฟเพื่อให้เป็นกลิ่นหอมแด่พระยาห์เวห์ 7 เครื่องดื่มบูชาหนึ่งในสี่ฮินต่อลูกแกะหนึ่งตัวที่ต้องถวายพร้อมกัน พวกเจ้าต้องเทเครื่องดื่มบูชาที่เป็นเหล้าถวายแด่พระยาห์เวห์ในวิสุทธิสถาน 8 พวกเจ้าต้องถวายลูกแกะอีกตัวหนึ่งในตอนเย็นพร้อมกับเครื่องธัญบูชาอีกเช่นเดียวกันกับเครื่องบูชาที่ถวายในตอนเช้า พวกเจ้าต้องถวายเครื่องดื่มบูชาพร้อมกันอีกด้วย ให้เป็นเครื่องบูชาที่เผาด้วยไฟเพื่อให้เป็นกลิ่นหอมแด่พระยาห์เวห์
9 ในวันสะบาโต พวกเจ้าต้องถวายลูกแกะตัวผู้สองตัว แต่ละตัวมีอายุหนึ่งปีและไม่มีตำหนิ และแป้งอย่างดีสองในสิบเอฟาห์เคล้าด้วยน้ำมันเป็นเครื่องธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชาพร้อมกัน 10 นี่จะเป็นเครื่องเผาบูชาสำหรับทุกวันสะบาโต นอกเหนือจากเครื่องเผาบูชาและเครื่องดื่มบูชาประจำวัน 11 ในตอนต้นเดือนของแต่ละเดือน พวกเจ้าต้องถวายเครื่องเผาบูชาแด่พระยาห์เวห์ พวกเจ้าต้องถวายโคหนุ่มสองตัว แกะผู้หนึ่งตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งปีที่ปราศจากตำหนิเจ็ดตัว 12 พวกเจ้าต้องถวายแป้งอย่างดีสามในสิบเอฟาห์เคล้าด้วยน้ำมันเป็นเครื่องธัญบูชาสำหรับโคแต่ละตัว และแป้งอย่างดีเคล้าน้ำมันสองในสิบเอฟาห์เป็นเครื่องธัญบูชาสำหรับแกะผู้หนึ่งตัว
13 พวกเจ้าก็ต้องถวายแป้งอย่างดีเคล้าด้วยน้ำมันหนึ่งในสิบเอฟาห์เป็นเครื่องธัญบูชาสำหรับลูกแกะแต่ละตัวด้วย นี่เป็นเครื่องเผาบูชาที่เป็นกลิ่นหอม ซึ่งเป็นเครื่องบูชาที่เผาด้วยไฟแด่พระยาห์เวห์ 14 เครื่องดื่มบูชาของประชาชนต้องเป็นเหล้าองุ่นครึ่งฮินต่อโคผู้หนึ่งตัว และหนึ่งในสามฮินต่อแกะผู้หนึ่งตัว และหนึ่งในสี่ฮินต่อลูกแกะหนึ่งตัว นี่เป็นเครื่องเผาบูชาสำหรับทุกเดือนตลอดปี 15 จงถวายแพะตัวผู้ตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปแด่พระยาห์เวห์ นี่จะเป็นส่วนที่นอกเหนือจากเครื่องเผาบูชาและเครื่องดื่มบูชาพร้อมกันที่ถวายประจำวัน
16 ในระหว่างเดือนที่หนึ่ง ในวันที่สิบสี่ของเดือนเป็นปัสกาของพระยาห์เวห์ 17 ในวันที่สิบห้าของเดือนนี้เป็นการจัดเทศกาลงานเลี้ยง ซึ่งต้องกินขนมปังไร้เชื้อเป็นเวลาเจ็ดวัน 18 ในวันแรกต้องมีการประชุมบริสุทธิ์เพื่อถวายพระเกียรติแด่พระยาห์เวห์ พวกเจ้าต้องไม่ทำงานประจำวันในวันนั้น 19 แต่อย่างไรก็ตาม พวกเจ้าต้องถวายเครื่องบูชาที่เผาด้วยไฟเป็นเครื่องเผาบูชาแด่พระยาห์เวห์ พวกเจ้าต้องถวายโคหนุ่มสองตัว แกะผู้หนึ่งตัว และลูกแกะอายุหนึ่งปีเจ็ดตัวที่ปราศจากตำหนิ
20 พวกเจ้าต้องถวายแป้งอย่างดีเคล้าด้วยน้ำมันสามในสิบเอฟาห์เป็นเครื่องธัญบูชาพร้อมกับโคผู้ตัวนั้น และถวายสองในสิบเอฟาห์พร้อมกับแกะผู้ตัวนั้น 21 พวกเจ้าต้องถวายแป้งอย่างดีเคล้าด้วยน้ำมันหนึ่งในสิบเอฟาห์สำหรับแกะแต่ละตัวในเจ็ดตัวนั้น 22 และแพะตัวผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปสำหรับพวกเจ้าเอง 23 พวกเจ้าต้องถวายสิ่งเหล่านี้นอกเหนือจากเครื่องเผาบูชาประจำวันที่กำหนดไว้ในตอนเช้าของแต่ละวัน
24 พวกเจ้าต้องถวายเครื่องบูชาประจำวันเหล่านี้ตามที่กำหนดไว้ในที่นี้เป็นเวลาเจ็ดวันของเทศกาลปัสกา อาหารของเครื่องบูชาที่เผาด้วยไฟให้เป็นกลิ่นหอมแด่พระยาห์เวห์ ซึ่งต้องถวายนอกเหนือจากเครื่องเผาบูชาและเครื่องดื่มบูชาพร้อมกันประจำวัน 25 ในวันที่เจ็ด พวกเจ้าต้องมีการประชุมบริสุทธิ์เพื่อถวายพระเกียรติแด่พระยาห์เวห์ และพวกเจ้าต้องไม่ทำงานประจำในวันนั้น 26 ในวันแห่งการถวายผลแรกก็เช่นเดียวกัน เมื่อพวกเจ้าถวายเครื่องธัญบูชาใหม่แด่พระยาห์เวห์ในเทศกาลสัปดาห์ของพวกเจ้า พวกเจ้าต้องมีการประชุมบริสุทธิ์เพื่อถวายพระเกียรติแด่พระยาห์เวห์ และพวกเจ้าต้องไม่ทำงานประจำในวันนั้น
27 พวกเจ้าต้องถวายเครื่องเผาบูชาเพื่อให้เป็นกลิ่นหอมแด่พระยาห์เวห์ พวกเจ้าต้องถวายโคหนุ่มสองตัว แกะผู้หนึ่งตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งปีเจ็ดตัว 28 จงถวายเครื่องธัญบูชาที่เป็นแป้งอย่างดีเคล้าด้วยน้ำมันที่ต้องถวายไปด้วยกัน แป้งอย่างดีเคล้าด้วยน้ำมันสามในสิบเอฟาห์สำหรับโคผู้แต่ละตัว และสองในสิบเอฟาห์สำหรับแกะผู้หนึ่งตัว 29 จงถวายแป้งอย่างดีเคล้าด้วยน้ำมันหนึ่งในสิบเอฟาห์สำหรับลูกแกะแต่ละตัวในเจ็ดตัวนั้น 30 และแพะผู้หนึ่งตัวเพื่อทำการลบล้างบาปสำหรับพวกเจ้าเอง 31 เมื่อพวกเจ้าถวายสัตว์เหล่านั้นที่ปราศจากตำหนิ พร้อมกับเครื่องดื่มบูชาของพวกเขา ซึ่งต้องเป็นส่วนที่นอกเหนือจากเครื่องเผาบูชาและเครื่องธัญบูชาที่ถวายด้วยกันประจำวัน'"
1 "ในเดือนที่เจ็ด ในวันที่หนึ่งของเดือนนั้น พวกเจ้าต้องมีการประชุมบริสุทธิ์เพื่อถวายพระเกียรติแด่พระยาห์เวห์ พวกเจ้าต้องไม่ทำงานประจำวันในวันนั้น วันนี้จะเป็นวันที่พวกเจ้าเป่าแตรเหล่านั้น 2 พวกเจ้าต้องถวายเครื่องเผาบูชาให้เป็นกลิ่นหอมแด่พระยาห์เวห์ พวกเจ้าต้องถวายโคหนุ่มหนึ่งตัว แกะตัวผู้หนึ่งตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งปีเจ็ดตัว แต่ละตัวต้องปราศจากตำหนิ 3 พวกเจ้าต้องถวายเครื่องธัญบูชาที่ถวายด้วยกันเป็นแป้งอย่างดีเคล้าด้วยน้ำมันสามในสิบเอฟาห์สำหรับโคตัวผู้ตัวนั้น และสองในสิบเอฟาห์สำหรับแกะตัวผู้ตัวนั้น 4 และหนึ่งในสิบเอฟาห์สำหรับลูกแกะแต่ละตัวของลูกแกะทั้งเจ็ดตัวนั้น 5 พวกเจ้าต้องถวายแพะตัวผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป เพื่อทำการลบมลทินบาปให้กับตัวพวกเจ้าเอง
6 จงถวายเครื่องบูชาเหล่านี้ในเดือนที่เจ็ด นอกเหนือจากเครื่องบูชาทั้งหมดที่พวกเจ้าจะถวายในวันแรกของแต่ละเดือน เครื่องเผาบูชาพิเศษ และเครื่องธัญบูชาที่ถวายด้วยกัน เหล่านี้ต้องเป็นส่วนที่นอกเหนือจากเครื่องเผาบูชาประจำวัน เครื่องธัญบูชา และเครื่องดื่มบูชาต่าง ๆ ของเครื่องเผาบูชานั้นด้วย เมื่อพวกเจ้าถวายเครื่องบูชาเหล่านี้ พวกเจ้าจะทำตามกฎเกณฑ์ที่ได้ทรงบัญชาไว้ ให้เป็นเครื่องบูชาที่เผาด้วยไฟที่เป็นกลิ่นหอมแด่พระยาห์เวห์ 7 ในวันที่สิบของเดือนที่เจ็ด พวกเจ้าต้องมีการประชุมบริสุทธิ์เพื่อถวายพระเกียรติแด่พระยาห์เวห์ พวกเจ้าต้องถ่อมตัวเองลง และไม่ทำงาน
8 พวกเจ้าต้องถวายเครื่องเผาบูชาให้เป็นกลิ่นหอมแด่พระยาห์เวห์ พวกเจ้าต้องถวายโคหนุ่มหนึ่งตัว แกะตัวผู้หนึ่งตัวและลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งปีเจ็ดตัว ลูกแกะเหล่านั้นแต่ละตัวต้องปราศจากตำหนิ 9 พวกเจ้าต้องถวายเครื่องธัญบูชาที่ถวายด้วยกัน เป็นแป้งอย่างดีเคล้าด้วยน้ำมันสามในสิบเอฟาห์สำหรับโคตัวผู้ตัวนั้น สองในสิบเอฟาห์สำหรับแกะตัวผู้ตัวนั้น 10 และหนึ่งในสิบเอฟาห์สำหรับลูกแกะแต่ละตัวทั้งเจ็ดตัวนั้น 11 พวกเจ้าต้องถวายแพะตัวผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป นี่จะเป็นส่วนที่นอกเหนือจากเครื่องบูชาลบล้างบาป ที่เป็นเครื่องเผาบูชาประจำวัน เครื่องธัญบูชา และเครื่องดื่มบูชาต่างๆ ของเครื่องเผาบูชาเหล่านั้น
12 ในวันที่สิบห้าของเดือนที่เจ็ด พวกเจ้าต้องมีการประชุมบริสุทธิ์เพื่อถวายพระเกียรติแด่พระยาห์เวห์ พวกเจ้าต้องไม่ทำงานประจำในวันนั้น และพวกเจ้าต้องถือเทศกาลเลี้ยงฉลองเพื่อพระองค์เจ็ดวัน 13 พวกเจ้าต้องถวายเครื่องเผาบูชา ที่เป็นเครื่องบูชาที่เผาด้วยไฟให้เป็นกลิ่นหอมแด่พระยาห์เวห์ พวกเจ้าต้องถวายโคหนุ่มสิบสามตัว แกะตัวผู้สองตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งปีสิบสี่ตัว แต่ละตัวต้องปราศจากตำหนิ 14 พวกเจ้าต้องถวายเครื่องธัญบูชาที่ถวายด้วยกัน เป็นแป้งอย่างดีเคล้าน้ำมันสามในสิบเอฟาห์สำหรับโคตัวผู้ทุกตัวทั้งสิบสามตัวนั้น สองในสิบเอฟาห์สำหรับแกะตัวผู้แต่ละตัวทั้งสองตัวนั้น 15 และหนึ่งในสิบเอฟาห์สำหรับลูกแกะแต่ละตัวทั้งสิบสี่ตัวนั้น 16 พวกเจ้าต้องถวายแพะตัวผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป นอกเหนือจากเครื่องเผาบูชาประจำวัน เครื่องธัญบูชา และเครื่องดื่มบูชาของเครื่องเผาบูชานั้น
17 ในวันที่สองของการประชุม พวกเจ้าต้องถวายโคหนุ่มสิบสองตัว แกะตัวผู้สองตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งปีสิบสี่ตัว แต่ละตัวต้องปราศจากตำหนิ 18 พวกเจ้าต้องถวายเครื่องธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชาต่างๆ ที่ถวายด้วยกันสำหรับโคตัวผู้เหล่านั้น สำหรับแกะตัวผู้เหล่านั้น และสำหรับลูกแกะเหล่านั้น ที่ถวายเป็นเครื่องบูชามากมายตามที่ได้ทรงบัญชาไว้ 19 พวกเจ้าต้องถวายแพะตัวผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป นอกเหนือจากเครื่องเผาบูชาประจำวัน เครื่องธัญบูชา และเครื่องดื่มบูชาต่าง ๆ ของเครื่องเผาบูชาเหล่านั้น
20 ในวันที่สามของการประชุม พวกเจ้าต้องถวายโคตัวผู้สิบเอ็ดตัว แกะตัวผู้สองตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งปีสิบสี่ตัว แต่ละตัวต้องปราศจากตำหนิ 21 พวกเจ้าต้องถวายเครื่องธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชาต่างๆ ที่ถวายด้วยกันสำหรับโคตัวผู้เหล่านั้น สำหรับแกะตัวผู้เหล่านั้น และสำหรับลูกแกะเหล่านั้น ที่ถวายเป็นเครื่องบูชามากมายตามที่ได้ทรงบัญชาไว้ 22 พวกเจ้าต้องถวายแพะตัวผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป นอกเหนือจากเครื่องเผาบูชาประจำวัน เครื่องธัญบูชา และเครื่องดื่มบูชาของเครื่องเผาบูชาเหล่านั้น
23 ในวันที่สี่ของการประชุม พวกเจ้าต้องถวายโคตัวผู้สิบตัว แกะตัวผู้สองตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งปีสิบสี่ตัว แต่ละตัวต้องปราศจากตำหนิ 24 พวกเจ้าต้องถวายเครื่องธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชาต่างๆ ที่ถวายด้วยกันสำหรับโคตัวผู้เหล่านั้น สำหรับแกะตัวผู้เหล่านั้น และสำหรับลูกแกะเหล่านั้นที่ถวายเป็นเครื่องบูชามากมายตามที่ได้ทรงบัญชาไว้ 25 พวกเจ้าต้องถวายแพะตัวผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป นอกเหนือจากเครื่องเผาบูชาประจำวัน เครื่องธัญบูชา และเครื่องดื่มบูชาต่าง ๆ ของเครื่องเผาบูชาเหล่านั้น
26 ในวันที่ห้าของการประชุม พวกเจ้าต้องถวายโคตัวผู้เก้าตัว แกะตัวผู้สองตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งปีสิบสี่ตัว แต่ละตัวต้องปราศจากตำหนิ 27 พวกเจ้าต้องถวายเครื่องธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชาที่ถวายด้วยกันสำหรับโคตัวผู้เหล่านั้น สำหรับแกะตัวผู้เหล่านั้น และสำหรับลูกแกะเหล่านั้นที่ถวายเป็นเครื่องบูชามากมายตามที่ได้ทรงบัญชาไว้ 28 พวกเจ้าต้องถวายแพะตัวผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป นอกเหนือจากเครื่องเผาบูชาประจำวัน เครื่องธัญบูชา และเครื่องดื่มบูชาต่าง ๆ ของเครื่องเผาบูชาเหล่านั้น
29 ในวันที่หกของการประชุม พวกเจ้าต้องถวายโคตัวผู้แปดตัว แกะตัวผู้สองตัวและลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งปีสิบสี่ตัว แต่ละตัวต้องปราศจากตำหนิ 30 พวกเจ้าต้องถวายเครื่องธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชาต่าง ๆ ที่ถวายด้วยกันสำหรับโคตัวผู้เหล่านั้น สำหรับแกะตัวผู้เหล่านั้น และสำหรับลูกแกะเหล่านั้นที่ถวายเป็นเครื่องบูชามากมายตามที่ได้ทรงบัญชาไว้ 31 พวกเจ้าต้องถวายแพะตัวผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป นอกเหนือจากเครื่องเผาบูชาประจำวัน เครื่องธัญบูชา และเครื่องดื่มบูชาต่าง ๆ ของเครื่องเผาบูชาเหล่านั้น
32 ในวันที่เจ็ดของการประชุม พวกเจ้าต้องถวายโคตัวผู้เจ็ดตัว แกะตัวผู้สองตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งปีสิบสี่ตัว แต่ละตัวต้องปราศจากตำหนิ 33 พวกเจ้าต้องถวายเครื่องธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชาต่าง ๆ ที่ถวายด้วยกันสำหรับโคตัวผู้เหล่านั้น สำหรับแกะตัวผู้เหล่านั้น และสำหรับลูกแกะเหล่านั้นที่ถวายเป็นเครื่องบูชามากมายตามที่ได้ทรงบัญชาไว้ 34 พวกเจ้าต้องถวายแพะตัวผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป นอกเหนือจากเครื่องเผาบูชาประจำวัน เครื่องธัญบูชา และเครื่องดื่มบูชาต่าง ๆ ของเครื่องเผาบูชาเหล่านั้น
35 ในวันที่แปด พวกเจ้าต้องมีการประชุมตามพิธีการอีกวันหนึ่ง พวกเจ้าต้องไม่ทำงานประจำวันในวันนั้น 36 พวกเจ้าต้องถวายเครื่องเผาบูชา เป็นเครื่องบูชาที่เผาด้วยไฟให้เป็นกลิ่นหอมแด่พระยาห์เวห์ พวกเจ้าต้องถวายโคตัวผู้หนึ่งตัว แกะตัวผู้หนึ่งตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งปีเจ็ดตัว แต่ละตัวต้องปราศจากตำหนิ 37 พวกเจ้าต้องถวายเครื่องธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชาต่าง ๆ ของเครื่องเผาบูชาเหล่านั้นสำหรับโคผู้ตัวนั้น สำหรับแกะผู้ตัวนั้น และสำหรับลูกแกะเหล่านั้นที่ถวายเป็นเครื่องบูชามากมายตามที่ได้ทรงบัญชาไว้
38 พวกเจ้าต้องถวายแพะตัวผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป นอกเหนือจากเครื่องเผาบูชาประจำวัน เครื่องธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชาต่าง ๆ ของเครื่องเผาบูชาเหล่านั้น 39 เหล่านี้เป็นเครื่องบูชาที่พวกเจ้าต้องถวายแด่พระยาห์เวห์ ในเทศกาลเลี้ยงฉลองของพวกเจ้าที่ได้กำหนดไว้ เครื่องบูชาเหล่านี้ต้องเป็นส่วนที่นอกเหนือจากเครื่องบูชาที่สาบานไว้และเครื่องบูชาตามสมัครใจทั้งหลายของพวกเจ้า พวกเจ้าต้องถวายเครื่องบูชาเหล่านี้เป็นบรรดาเครื่องเผาบูชา เครื่องธัญบูชา เครื่องดื่มบูชา และเครื่องสันติบูชาของพวกเจ้า" 40 โมเสสได้บอกกับคนอิสราเอลทุกสิ่งที่พระยาห์เวห์ได้ทรงบัญชาเขาให้พูด
1 โมเสสพูดกับบรรดาผู้นำของเผ่าต่างๆ ของคนอิสราเอล เขากล่าวว่า "นี่เป็นสิ่งที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาไว้ 2 เมื่อคนใดทำการสาบานต่อพระยาห์เวห์ หรือสาบานคำปฏิญาณที่ผูกมัดตัวเองด้วยคำสัญญานั้น เขาต้องไม่เสียคำพูดของเขา เขาต้องรักษาคำสัญญาของเขาที่จะทำทุกสิ่งที่ออกมาจากปากของเขา
3 เมื่อหญิงสาวที่อาศัยอยู่ในบ้านของบิดาของนางทำการสาบานต่อพระยาห์เวห์ และผูกมัดตัวเองกับคำสัญญานั้น 4 ถ้าบิดาของนางได้ยินคำสาบานและคำสัญญาที่ผูกมัดตัวนางเอง และถ้าเขาไม่ได้พูดอะไรให้นางกลับคำ แล้วคำสาบานทั้งหมดของนางก็จะยังคงมีผลบังคับ ทุกคำสัญญาที่นางได้ผูกมัดตัวนางเองจะยังคงมีผลบังคับ 5 แต่ถ้าบิดาของนางได้ยินเกี่ยวกับคำสาบานของนางและคำสัญญาของนาง และเขาไม่ได้พูดอะไรกับนาง แล้วคำสาบานและคำสัญญาทั้งหมดที่นางได้ทำกับตัวนางเองก็จะยังคงมีผลบังคับ 6 แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าบิดาของนางได้ยินคำสาบานทั้งหมดของนางที่นางทำและคำสัญญาอย่างหนักแน่นที่นางได้ผูกมัดตัวนางเอง และถ้าเขาได้คัดค้านนางในวันเดียวกันนั้น แล้วคำเหล่านั้นก็จะไม่มีผลบังคับ พระยาห์เวห์จะทรงอภัยให้กับนาง เพราะบิดาของนางได้คัดค้านนาง
7 ถ้านางแต่งงานกับชายคนหนึ่ง ขณะที่ยังอยู่ภายใต้คำสาบานเหล่านั้น หรือถ้านางทำสัญญาต่าง ๆ ที่ไม่ยั้งคิดด้วยคำที่เป็นภาระผูกพันตัวนางเอง ภาระผูกพันเหล่านั้นจะยังคงมีผลบังคับ 8 แต่ถ้าสามีของนางห้ามนางในวันที่เขาได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้ แล้วเขาทำให้คำสาบานที่นางได้ทำเป็นโมฆะ ซึ่งเป็นคำพูดที่ไม่ยั้งคิดที่ออกมาจากปากของนางที่ได้ผูกมัดตัวนางเอง พระยาห์เวห์จะทรงปล่อยนางเป็นอิสระ 9 แต่ส่วนแม่ม่ายหรือผู้หญิงที่หย่าร้าง ทุกสิ่งที่นางได้ผูกมัดตัวเองจะยังมีผลบังคับกับนาง
10 ถ้าผู้หญิงคนใดได้ทำการสาบานในบ้านของสามีของนาง หรือทำให้ตัวเองมีภาระผูกพันด้วยการให้คำปฏิญาณ 11 และสามีของนางได้ยินเรื่องนี้ แต่เขาไม่ได้พูดอะไรกับนาง และเขาไม่คัดค้านนาง แล้วคำสาบานของนางทั้งหมดก็จะยังคงอยู่ และภาระผูกพันที่นางทำไว้ก็ต้องมีผลบังคับ 12 แต่ถ้าสามีของนางทำให้คำสาบานเหล่านั้นเป็นโมฆะในวันที่เขาได้ยินเกี่ยวกับคำสาบานนั้น แล้วคำใดก็ตามที่ออกมาจากปากของนางเกี่ยวกับคำสาบานหรือคำสัญญาเหล่านั้นของนางก็จะไม่มีผลบังคับ สามีของนางได้ทำให้คำสาบานเหล่านั้นเป็นโมฆะแล้ว พระยาห์เวห์จะทรงปล่อยนางให้เป็นอิสระ 13 ทุกคำสาบานหรือคำปฏิญาณที่ผู้หญิงได้ทำที่เป็นการผูกมัดนางที่เป็นการบังคับตัวเอง สามีของนางอาจจะยืนยันหรือทำให้บางอย่างเป็นโมฆะได้
14 แต่ถ้าเขาไม่พูดอะไรกับนางเลยวันแล้ววันเล่า แล้วเขาก็ยืนยันคำสาบานของนางและคำสัญญาที่ผูกมัดนางทั้งหมดที่นางได้ทำ เขาได้ยืนยันคำสาบานเหล่านั้นแล้ว เพราะเขาไม่ได้พูดอะไรกับนางในเวลาที่เขาได้ยินเกี่ยวกับคำสาบานเหล่านั้น 15 ถ้าสามีของนางพยายามที่จะทำให้คำสาบานของนางเป็นโมฆะหลังจากที่ได้ยินคำสาบานนั้นมาเป็นเวลานานแล้ว แล้วเขาก็ต้องรับผิดชอบต่อความบาปของนาง" 16 เหล่านี้เป็นข้อกำหนดที่พระยาห์เวห์ได้ทรงบัญชาโมเสสให้ประกาศข้อกำหนดเหล่านี้ที่เป็นเรื่องระหว่างผู้ชายกับภรรยาของเขา และระหว่างบิดากับบุตรหญิงของเขา ขณะที่นางอยู่ในวัยสาวอยู่ในครอบครัวของบิดาของนาง
1 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า 2 "จงทำการแก้แค้นต่อคนมีเดียน เพราะสิ่งที่พวกเขาทำต่อคนอิสราเอล หลังจากทำอย่างนั้นแล้ว เจ้าจะตายและถูกรวมไปอยู่กับบรรดาคนของเจ้า" 3 ดังนั้น โมเสสจึงพูดกับประชาชน เขากล่าวว่า "จงเตรียมบางคนของพวกท่านให้พร้อมด้วยอาวุธเพื่อทำสงคราม เพื่อพวกเขาจะไปสู้รบกับคนมีเดียน และทำการแก้แค้นของพระยาห์เวห์ให้สำเร็จ 4 อิสราเอลทั่วทุกเผ่าต้องส่งทหารหนึ่งพันคนไปทำสงคราม" 5 ดังนั้น คนอิสราเอลนับพันๆ คนได้ถูกส่งออกไป ซึ่งได้จัดหนึ่งพันคนจากทุกๆ เผ่าเพื่อทำสงคราม รวมทั้งหมดหนึ่งหมื่นสองพันคน
6 แล้วโมเสสได้ส่งพวกเขาไปทำสงคราม หนึ่งพันคนจากทุกๆ เผ่า พร้อมกับฟีเนหัสบุตรชายของเอเลอาซาร์ปุโรหิต และพร้อมด้วยเครื่องใช้บางอย่างจากวิสุทธิสถานและแตรทั้งหลายที่อยู่ในการครอบครองของเขาเพื่อเป่าสัญญาณ 7 พวกเขาได้สู้รบกับคนมีเดียน ตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชากับโมเสส 8 พวกเขาได้ฆ่าผู้ชายทุกคน พวกเขาได้ฆ่าบรรดากษัตริย์ของคนมีเดียนพร้อมกับคนอื่นๆ ในพวกคนของพวกเขาที่ตาย คือเอวี เรเคม ศูร์ เฮอร์ และเรบา ซึ่งเป็นกษัตริย์ทั้งห้าของคนมีเดียน พวกเขายังได้ฆ่าบาลาอัมบุตรชายของเบโอร์ด้วยดาบ
9 กองทัพของอิสราเอลได้นำพวกเชลยที่เป็นพวกผู้หญิงชาวมีเดียน เด็กๆ ของพวกเขา ฝูงสัตว์เลี้ยงของพวกเขาทั้งหมด ฝูงแพะแกะของพวกเขาทั้งหมด และสิ่งของของพวกเขาทั้งหมด พวกเขานำของพวกนี้มาเป็นของที่ริบได้ 10 พวกเขาเผาเมืองทั้งสิ้นของคนเหล่านั้นที่พวกเขาอาศัยอยู่ และบรรดาค่ายของคนเหล่านั้นทั้งหมด 11 พวกเขานำของที่ริบได้และพวกเชลยทั้งหมดมา ทั้งคนและสัตว์ 12 พวกเขานำพวกเชลย ของที่ริบได้ และสิ่งของที่ยึดมาได้ให้แก่โมเสส แก่เอเลอาซาร์ปุโรหิต และแก่ชุมชนของคนอิสราเอล พวกเขานำสิ่งเหล่านี้มายังค่ายในที่ราบโมอับข้างแม่น้ำจอร์แดน ใกล้กับเมืองเยรีโค
13 โมเสส เอเลอาซาร์ปุโรหิตและบรรดาผู้นำของชุมชนทั้งหมดได้ไปหาพวกเขาที่นอกค่าย 14 แต่โมเสสก็โกรธพวกนายทหารของกองทัพมาก คือพวกผู้บัญชาการกองพันและผู้บังคับการกองร้อยที่มาจากการสู้รบ 15 โมเสสพูดกับพวกเขาว่า "พวกท่านปล่อยให้ผู้หญิงทั้งหมดมีชีวิตอยู่หรือ? 16 ดูสิ ผู้หญิงเหล่านี้ที่ทำให้คนอิสราเอลทำบาปต่อพระยาห์เวห์ ตามคำแนะนำของบาลาอัมในเรื่องของเปโอร์ ตอนที่ภัยพิบัติได้แพร่กระจายไปท่ามกลางชุมชนของพระยาห์เวห์
17 บัดนี้ จงฆ่าผู้ชายทุกคนที่เป็นพวกเด็กเล็กๆ และฆ่าผู้หญิงทุกคนที่เคยหลับนอนกับผู้ชาย 18 แต่จงรับหญิงสาวที่ไม่เคยหลับนอนกับผู้ชายไว้สำหรับพวกท่านเอง 19 พวกท่านต้องตั้งค่ายข้างนอกค่ายของอิสราเอลเป็นเวลาเจ็ดวัน พวกท่านทุกคนที่ได้ฆ่าคนและได้แตะต้องศพ พวกท่านต้องชำระตัวเองให้บริสุทธิ์ในวันที่สามและวันที่เจ็ด ทั้งท่านและพวกเชลยของท่าน 20 พวกท่านต้องชำระเสื้อผ้าทุกชิ้นให้บริสุทธิ์และทุกสิ่งที่ทำมาจากหนังสัตว์และขนแพะ และทุกสิ่งที่ทำด้วยไม้"
21 เอเลอาซาร์ปุโรหิตได้พูดกับพวกทหารที่ได้ไปทำสงครามว่า "นี่เป็นกฎบัญญัติที่พระยาห์เวห์ทรงให้แก่โมเสส 22 คือ ทองคำ เงิน ทองสัมฤทธิ์ ดีบุกและตะกั่ว 23 และทุกสิ่งที่ทนไฟได้ พวกท่านต้องนำไปผ่านไฟและมันก็จะสะอาด แล้วพวกท่านก็ต้องชำระสิ่งเหล่านั้นให้บริสุทธิ์ด้วยน้ำแห่งการชำระนั้น อะไรก็ตามที่ไม่สามารถทนไฟได้ พวกท่านต้องล้างชำระในน้ำ 24 พวกท่านต้องซักเสื้อผ้าในวันที่เจ็ด แล้วพวกท่านก็จะสะอาด หลังจากนั้น พวกท่านก็จะเข้ามาในค่ายของอิสราเอลได้"
25 แล้วพระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า 26 "จงนับสิ่งที่เป็นของที่ริบได้ทั้งหมดที่เอามา ทั้งคนและสัตว์ เจ้า เอเลอาซาร์ปุโรหิต และพวกผู้นำตระกูลของบรรพบุรุษของชุมชน 27 ต้องแบ่งของที่ริบมาได้เป็นสองส่วน จงแบ่งระหว่างพวกทหารที่ออกไปสู้รบกับพวกคนที่เหลือของชุมชนนั้น 28 แล้วจงเรียกเก็บส่วนหนึ่งถวายให้กับเราจากพวกทหารที่ออกไปสู้รบ ส่วนที่เรียกเก็บนี้ต้องเป็นหนึ่งส่วนในห้าร้อยส่วน ไม่ว่าจะเป็นพวกคน ฝูงสัตว์เลี้ยง ฝูงลา ฝูงแกะ หรือฝูงแพะ
29 จงนำส่วนที่เรียกเก็บนี้จากส่วนแบ่งครึ่งหนึ่งของพวกเขา และมอบให้กับเอเลอาซาร์ปุโรหิตเพื่อเป็นเครื่องบูชาที่ถวายต่อเรา 30 และส่วนอีกครึ่งหนึ่งของคนอิสราเอล พวกเจ้าต้องเอาหนึ่งส่วนออกจากห้าสิบส่วน จากพวกคน ฝูงลา ฝูงแกะ และฝูงแพะ จงให้สิ่งเหล่านี้กับพวกเลวีที่ดูแลพลับพลาของเรา" 31 ดังนั้น โมเสสและเอเลอาซาร์ปุโรหิตก็ได้ทำตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาแก่โมเสส
32 ในขณะนี้ ของที่ริบได้ที่ยังคงเหลืออยู่ที่พวกทหารได้เอามา คือฝูงแกะ 675,000 ตัว 33 ฝูงโคเจ็ดหมื่นสองพันตัว 34 ฝูงลาหกหมื่นหนึ่งพันตัว 35 และพวกผู้หญิงที่ไม่เคยหลับนอนกับชายใดสามหมื่นสองพันคน 36 ส่วนครึ่งหนึ่งที่เก็บไว้ให้กับพวกทหารนับจำนวนได้เป็นฝูงแกะจำนวน 337,000 ตัว
37 ฝูงแกะที่เป็นส่วนของพระยาห์เวห์ 675 ตัว 38 ฝูงโคสามหมื่นหกพันตัว ส่วนที่เรียกเก็บที่เป็นของพระยาห์เวห์เจ็ดสิบสองตัว 39 ฝูงลา 30,500 ตัว ส่วนที่เรียกเก็บของพระยาห์เวห์หกสิบเอ็ดตัว 40 คนจำนวนหนึ่งหมื่นหกพันคนที่เป็นพวกผู้หญิงที่เป็นส่วนที่เรียกเก็บของพระยาห์เวห์สามสิบสองคน 41 โมเสสได้เอาส่วนที่เรียกเก็บเหล่านี้เป็นเครื่องบูชามอบถวายแด่พระยาห์เวห์ เขาได้มอบให้กับเอเลอาซาร์ปุโรหิต ตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาโมเสส
42 ส่วนครึ่งหนึ่งของคนอิสราเอล ที่โมเสสได้รับจากพวกทหารที่ออกไปสู้รบ 43 คือส่วนครึ่งหนึ่งของชุมชนคือ ฝูงแกะ 337,500 ตัว 44 ฝูงโคสามหมื่นหกพันตัว 45 ฝูงลา 30,500 ตัว 46 และพวกผู้หญิงจำนวนหนึ่งหมื่นหกพันคน
47 โมเสสได้รับหนึ่งส่วนจากทุกห้าสิบส่วน จากส่วนครึ่งหนึ่งของคนอิสราเอล ทั้งคนและสัตว์ เขาได้มอบสิ่งเหล่านี้ให้กับพวกเลวีที่ดูแลพลับพลาของพระยาห์เวห์ ตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาเขาให้ทำ 48 แล้วพวกนายทหารของกองทัพ คือพวกผู้บัญชาการกองพันและผู้บังคับการกองร้อยก็ได้มาหาโมเสส 49 คนเหล่านั้นได้พูดกับเขาว่า "ผู้รับใช้ทั้งหลายของท่านได้นับจำนวนทหารที่อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของเราแล้ว ไม่มีใครหายไปสักคนเดียว 50 เราได้นำเครื่องบูชาของพระยาห์เวห์ที่แต่ละคนได้พบมา ของใช้ที่เป็นทองคำ คือกำไลแขน และกำไลมือ แหวนตรา ต่างหูและสร้อยคอเพื่อทำการลบมลทินบาปสำหรับพวกเราต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์"
51 โมเสสและเอเลอาซาร์ปุโรหิตก็รับทองคำและของใช้ทั้งหมดที่เป็นงานฝีมือจากพวกเขา 52 ทองคำทั้งหมดที่เป็นเครื่องบูชาที่พวกเขานำมาถวายแด่พระยาห์เวห์ เป็นเครื่องบูชาจากพวกผู้บัญชาการกองพันและผู้บังคับการกองร้อย มีน้ำหนักรวม 16,750 เชเขล 53 ทหารแต่ละคนก็เอาของที่ริบมาได้ของแต่ละคนไว้สำหรับตัวเอง 54 โมเสสและเอเลอาซาร์ปุโรหิตได้รับทองคำจากพวกผู้บัญชาการกองพัน และพวกผู้บังคับการกองร้อย พวกเขาเอาของเหล่านั้นเข้าไปในเต็นท์นัดพบเพื่อเป็นเครื่องเตือนใจของคนอิสราเอลแด่พระยาห์เวห์
1 ในขณะนั้น พงศ์พันธุ์รูเบนและกาดมีฝูงปศุสัตว์เป็นจำนวนมาก เมื่อพวกเขาเห็นแผ่นดินยาเซอร์และกิเลอาดที่เป็นแผ่นดินที่ยอดเยี่ยมสำหรับฝูงปศุสัตว์ 2 ด้วยเหตุนี้ พงศ์พันธุ์กาดและรูเบนจึงมาหาและพูดกับโมเสส เอเลอาซาร์ปุโรหิต และบรรดาผู้นำชุมชน พวกเขาได้กล่าวว่า 3 "นี่เป็นรายชื่อสถานที่ต่างๆ ที่พวกเราสำรวจมา คือ อาทาโรท ดีโบน ยาเซอร์ นิมราห์ เฮชโบน เอเลอาเลห์ เสบาม เนโบ และเบโอน 4 เหล่านี้คือแผ่นดินที่พระยาห์เวห์ทรงตีได้ต่อหน้าชุมชนอิสราเอล และแผ่นดินเหล่านี้เป็นสถานที่ดีสำหรับฝูงปศุสัตว์ พวกเรา บรรดาผู้รับใช้ของท่านมีฝูงปศุสัตว์จำนวนมาก" 5 พวกเขากล่าวว่า "ถ้าหากพวกเราเป็นที่โปรดปรานในสายตาของท่าน ขอมอบแผ่นดินนี้ให้กับพวกเรา บรรดาผู้รับใช้ของท่านเป็นกรรมสิทธิ์เถิด อย่าให้พวกเราต้องข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปเลย"
6 โมเสสได้ตอบพงศ์พันธุ์กาดและรูเบนว่า "ควรจะให้พี่น้องของพวกท่านไปทำสงคราม ในขณะที่พวกท่านตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นี่หรือ? 7 ทำไมจึงทำให้จิตใจของคนอิสราเอลท้อถอยจากการข้ามไปยังแผ่นดินที่พระยาห์เวห์ได้ทรงมอบให้กับพวกเขา? 8 บรรพบุรุษของพวกท่านก็ได้ทำสิ่งเดียวกันนี้ ตอนที่ข้าพเจ้าส่งพวกเขาไปจากคาเดชบารเนียเพื่อตรวจดูแผ่นดินนั้น
9 พวกเขาไปที่หุบเขาเอชโคล พวกเขาได้เห็นแผ่นดินนั้น แล้วก็ทำให้จิตใจของคนอิสราเอลท้อถอย ดังนั้น พวกเขาจึงได้ปฏิเสธที่จะเข้าไปยังแผ่นดินที่พระยาห์เวห์ทรงมอบให้กับพวกเขา 10 ความกริ้วของพระยาห์เวห์ก็ได้พลุ่งขึ้นในวันนั้น พระองค์ทรงปฏิญาณว่า 11 'แน่ทีเดียวว่าจะไม่มีใครสักคนที่ออกมาจากอียิปต์ ที่มีอายุตั้งแต่ยี่สิบปีขึ้นไปจะเห็นแผ่นดินที่เราได้สาบานกับอับราฮัม อิสอัคและยาโคบ เพราะพวกเขาไม่ได้ติดตามเราอย่างสุดใจ ยกเว้น 12 คาเลบบุตรชายของเยฟุนเนห์คนเคไนซ์ และโยชูวาบุตรชายของนูน คาเลบกับโยชูวาเท่านั้นที่ได้ติดตามเราอย่างสุดใจ'
13 เพราะเหตุนี้ ความกริ้วของพระยาห์เวห์จึงได้พลุ่งขึ้นต่อคนอิสราเอล พระองค์ได้ทรงทำให้พวกเขารอนแรมไปในถิ่นทุรกันดารเป็นเวลาสี่สิบปี จนกระทั่งบรรดาชนรุ่นที่ทำชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระองค์ได้ถูกทำลายไปหมดสิ้น 14 ดูสิ พวกท่านได้เติบโตมาแทนที่บรรพบุรุษของพวกท่าน ซึ่งเหมือนกับคนที่ทำบาปมากขึ้น ที่เพิ่มความกริ้วของพระยาห์เวห์ให้ลุกโชนมากขึ้นต่อคนอิสราเอล 15 ถ้าพวกท่านหันกลับจากการติดตามพระองค์ พระองค์ก็จะทรงทอดทิ้งคนอิสราเอลไว้ในถิ่นทุรกันดารอีก และพวกท่านก็จะทำลายชนชาตินี้จนหมดสิ้น"
16 ดังนั้น พวกเขาจึงเข้ามาใกล้โมเสส และกล่าวว่า "ขออนุญาตให้เราได้สร้างคอกสำหรับฝูงปศุสัตว์ของเราที่นี่ และสร้างเมืองต่างๆ สำหรับบรรดาครอบครัวของพวกเรา 17 แต่อย่างไรก็ตาม ตัวพวกเราเองจะพร้อมและถืออาวุธไปกับกองทัพของอิสราเอล จนกว่าพวกเราจะนำพวกเขาไปยังที่ของพวกเขา แต่ครอบครัวของพวกเราจะอาศัยอยู่ในเมืองต่าง ๆ ที่มีกำแพงล้อมรอบ เพราะยังมีชนชาติอื่นที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินนี้ 18 พวกเราจะไม่กลับมาที่บ้านของพวกเรา จนกว่าคนอิสราเอลทุกคนจะได้รับมอบมรดกของเขาแล้ว 19 พวกเราจะไม่รับมรดกในแผ่นดินนั้นร่วมกับพวกเขาที่อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดน เพราะมรดกของเราอยู่ที่นี่บนฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน"
20 ดังนั้น โมเสสจึงตอบพวกเขาว่า "ถ้าพวกท่านทำอย่างที่พวกท่านพูด ถ้าพวกท่านเองถืออาวุธที่จะไปทำสงครามต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ 21 แล้วพวกท่านทุกคนที่ถืออาวุธต้องข้ามแม่น้ำจอร์แดนต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ จนกว่าพระองค์จะทรงขับไล่ศัตรูของพระองค์ออกไปจากพระพักตร์พระองค์ 22 และแผ่นดินนั้นจะพ่ายแพ้ต่อพระพักตร์พระองค์ แล้วภายหลังพวกท่านก็จะกลับมาได้ พวกท่านจะไม่รู้สึกผิดต่อพระยาห์เวห์และต่อคนอิสราเอล แผ่นดินนี้ก็จะเป็นกรรมสิทธิ์ของพวกท่านต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ 23 แต่ถ้าพวกท่านไม่ทำเช่นนั้น ดูเถิด พวกท่านก็จะทำบาปต่อพระยาห์เวห์ จงแน่ใจเถิดว่าบาปของพวกท่านจะตามทันพวกท่าน 24 จงสร้างเมืองต่าง ๆ สำหรับครอบครัวของท่านและทำคอกต่าง ๆ ให้ฝูงแกะของพวกท่าน แล้วทำสิ่งที่พวกท่านได้พูดไว้"
25 พงศ์พันธุ์กาดและรูเบนได้พูดกับโมเสสว่า "บรรดาผู้รับใช้ของท่านจะทำตามคำสั่งท่านผู้เป็นเจ้านายของพวกเรา 26 ลูกเล็ก ๆ ของพวกเรา บรรดาภรรยาของพวกเรา ฝูงแพะแกะของพวกเรา และฝูงปศุสัตว์ของพวกเราจะอยู่ที่นั่นในเมืองต่าง ๆ ของกิเลอาด 27 แต่เราทั้งหลายที่เป็นเหล่าผู้รับใช้ของท่าน ทุกคนที่ถืออาวุธเพื่อทำสงครามจะข้ามไปเพื่อทำสงครามต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ ตามที่ท่านผู้เป็นเจ้านายของพวกเราพูด"
28 ดังนั้น โมเสสจึงให้คำสั่งเกี่ยวกับพวกเขาแก่เอเลอาซาร์ปุโรหิต โยชูวาบุตรชายของนูน และต่อพวกผู้นำตระกูลของบรรพบุรุษในเผ่าต่าง ๆ ของอิสราเอล 29 โมเสสพูดกับพวกเขาว่า "ถ้าพงศ์พันธุ์กาดและรูเบนข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปกับพวกท่าน ผู้ชายทุกคนที่ถืออาวุธไปทำสงครามต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ และถ้าแผ่นดินนั้นพ่ายแพ้ต่อหน้าพวกท่าน แล้วพวกท่านก็จะมอบแผ่นดินกิเลอาดให้แก่พวกเขาเป็นกรรมสิทธิ์ 30 แต่ถ้าพวกเขาไม่ถืออาวุธข้ามไปกับพวกท่าน แล้วพวกเขาก็จะได้รับกรรมสิทธิ์ของพวกเขาท่ามกลางพวกท่านในแผ่นดินคานาอัน"
31 ดังนั้น พงศ์พันธุ์กาดและรูเบนจึงได้ตอบว่า "ตามที่พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับพวกเรา บรรดาผู้รับใช้ของท่าน นี่คือสิ่งที่พวกเราจะทำ 32 พวกเราจะถืออาวุธข้ามไปในแผ่นดินคานาอันต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ แต่มรดกที่เป็นกรรมสิทธิ์ของเราจะยังคงอยู่กับเราที่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างนี้" 33 ดังนั้น โมเสสจึงได้มอบอาณาจักรของสิโหนกษัตริย์ของคนอาโมไรต์ และของโอกกษัตริย์แห่งบาชานให้กับพงศ์พันธุ์กาดและรูเบน และมนัสเสห์อีกครึ่งเผ่า เขาได้มอบแผ่นดินนั้นให้กับพวกเขาและได้แบ่งเมืองทั้งหมดให้กับพวกเขาพร้อมกับบริเวณรอบนอกของเมืองเหล่านั้นด้วย คือเมืองต่าง ๆ ที่อยู่รอบแผ่นดินนั้น
34 พงศ์พันธุ์กาดได้สร้างเมืองเหล่านี้ขึ้นใหม่ คือดีโบน อาทาโรท อาโรเออร์ 35 อัทโรทโชฟาน ยาเซอร์ โยกเบฮาห์ 36 เบธนิมราห์ และเบธฮาราน เป็นเมืองที่มีกำแพงล้อมด้วยคอกสำหรับฝูงแกะ 37 พงศ์พันธุ์รูเบนได้สร้างเมืองเหล่านี้ขึ้นใหม่ คือ เฮชโบน เอเลอาเลห์ คิริยาธาอิม 38 เนโบ บาอัลเมโอน ภายหลังได้มีการเปลี่ยนชื่อเมืองเหล่านี้ และสิบมาห์ พวกเขาได้ตั้งชื่ออื่น ๆ ให้กับบรรดาเมืองที่พวกเขาสร้างขึ้นใหม่
39 พงศ์พันธุ์มาคีร์บุตรชายของมนัสเสห์ได้ไปที่กิเลอาดและยึดเมืองนั้นจากคนอาโมไรต์ที่อาศัยอยู่ที่นั่น 40 แล้วโมเสสก็ได้มอบเมืองกิเลอาดให้กับมาคีร์บุตรชายของมนัสเสห์และประชาชนของเขาก็ได้ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นั่น 41 ยาอีร์บุตรชายของมนัสเสห์ไปและยึดหัวเมืองต่างๆ ของเมืองนั้นและเรียกหัวเมืองเหล่านั้นว่าฮาวโวทยาอีร์ 42 โนบาห์ไปและยึดเมืองเคนาทและหมู่บ้านรอบๆ เมืองนั้น และเขาได้เรียกเมืองนั้นว่าโนบาห์ตามชื่อของเขาเอง
1 ต่อไปนี้เป็นการเคลื่อนพลของคนอิสราเอล หลังจากที่พวกเขาออกจากแผ่นดินอียิปต์โดยกลุ่มคนถืออาวุธของพวกเขาที่อยู่ภายใต้การนำของโมเสสและอาโรน 2 โมเสสบันทึกชื่อสถานที่ต่างๆ ไว้ จากที่ซึ่งพวกเขาจากไปถึงที่ซึ่งพวกเขาไปตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชา ต่อไปนี้เป็นการเคลื่อนพลของพวกเขาที่ออกเดินทางเป็นระยะๆ 3 พวกเขาเดินทางออกจากราเมเสสในระหว่างเดือนที่หนึ่ง ออกไปในวันที่สิบห้าของเดือนที่หนึ่ง ในตอนเช้าหลังจากวันปัสกา คนอิสราเอลก็ออกไปอย่างเปิดเผยในสายตาของชาวอียิปต์ทุกคน 4 เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นขณะที่ชาวอียิปต์กำลังฝังบุตรหัวปีทั้งหมดของพวกเขา คนเหล่านั้นที่พระยาห์เวห์ทรงประหารท่ามกลางพวกเขา เพราะพระองค์ทรงลงโทษบรรดาพระของพวกเขาด้วย
5 คนอิสราเอลออกเดินทางจากราเมเสสและตั้งค่ายที่สุคคท 6 พวกเขาออกเดินทางจากสุคคทและตั้งค่ายที่เอธามซึ่งอยู่ชายแดนถิ่นทุรกันดาร 7 พวกเขาออกเดินทางจากเอธามและหันกลับไปยังปิหะหิโรท ที่อยู่ตรงข้ามบาอัลเซโฟน ที่ซึ่งพวกเขาตั้งค่ายอยู่ตรงข้ามมิกดล 8 แล้วพวกเขาออกเดินทางจากที่อยู่ตรงข้ามปิหะหิโรท และฝ่าเข้าไปกลางทะเลนั้นเข้าสู่ถิ่นทุรกันดาร พวกเขาเดินทางเป็นเวลาสามวันเข้าไปในถิ่นทุรกันดารเอธามและตั้งค่ายที่มาราห์
9 พวกเขาออกเดินทางจากมาราห์และมาถึงที่เอลิม ที่เอลิมมีน้ำพุสิบสองแห่ง และมีต้นปาล์มเจ็ดสิบต้น นั่นเป็นที่พวกเขาตั้งค่าย 10 พวกเขาออกเดินทางจากเอลิม และตั้งค่ายใกล้ทะเลแดง 11 พวกเขาออกเดินทางจากทะเลแดงและตั้งค่ายในถิ่นทุรกันดารศิน 12 พวกเขาออกเดินทางจากถิ่นทุรกันดารศินและตั้งค่ายที่โดฟคาห์ 13 พวกเขาออกเดินทางจากโดฟคาห์และตั้งค่ายที่อาลูช
14 พวกเขาออกเดินทางจากอาลูชและตั้งค่ายที่เรฟีดิม ซึ่งเป็นที่ไม่มีน้ำให้ประชาชนดื่ม 15 พวกเขาออกเดินทางจากเรฟีดิมและตั้งค่ายในถิ่นทุรกันดารซีนาย 16 พวกเขาออกเดินทางจากถิ่นทุรกันดารซีนายและตั้งค่ายที่ขิบโรทหัททาอาวาห์ 17 พวกเขาออกเดินทางจากขิบโรทหัททาอาวาห์และตั้งค่ายที่ฮาเซโรท 18 พวกเขาออกเดินทางจากฮาเซโรทและตั้งค่ายที่ริทมาห์
19 พวกเขาออกเดินทางจากริทมาห์และตั้งค่ายที่ริมโมนเปเรศ 20 พวกเขาออกเดินทางจากริมโมนเปเรศและตั้งค่ายที่ลิบนาห์ 21 พวกเขาออกเดินทางจากลิบนาห์และตั้งค่ายที่ริสสาห์ 22 พวกเขาออกเดินทางจากริสสาห์และตั้งค่ายที่เคเฮลาธาห์ 23 พวกเขาออกเดินทางจากเคเฮลาธาห์และตั้งค่ายที่ภูเขาเชเฟอร์
24 พวกเขาออกเดินทางจากภูเขาเชเฟอร์และตั้งค่ายที่ฮาราดาห์ 25 พวกเขาออกเดินทางจากฮาราดาห์และตั้งค่ายที่มักเฮโลท 26 พวกเขาออกเดินทางจากมักเฮโลทและตั้งค่ายที่ทาหัท 27 พวกเขาออกเดินทางจากทาหัทและตั้งค่ายที่เทราห์ 28 พวกเขาออกเดินทางจากเทราห์และตั้งค่ายที่มิทคาห์
29 พวกเขาออกเดินทางจากมิทคาห์และตั้งค่ายที่ฮัชโมนาห์ 30 พวกเขาออกเดินทางจากฮัชโมนาห์และตั้งค่ายที่โมเสโรท 31 พวกเขาออกเดินทางจากโมเสโรทและตั้งค่ายที่เบเนยาอะคัน 32 พวกเขาออกเดินทางจากเบเนยาอะคันและตั้งค่ายที่โฮร์ฮักกิดกาด 33 พวกเขาออกเดินทางจากโฮร์ฮักกิดกาดและตั้งค่ายที่โยทบาธาห์
34 พวกเขาออกเดินทางจากโยทบาธาห์และตั้งค่ายที่อับโรนาห์ 35 พวกเขาออกเดินทางจากอับโรนาห์และตั้งค่ายที่เอซีโอนเกเบอร์ 36 พวกเขาออกเดินทางจากเอซีโอนเกเบอร์ และตั้งค่ายที่ถิ่นทุรกันดารศินที่คาเดช 37 พวกเขาออกเดินทางจากคาเดชและตั้งค่ายที่ภูเขาโฮร์ที่ชายแดนแผ่นดินเอโดม
38 อาโรนปุโรหิตขึ้นไปบนภูเขาโฮร์ตามพระบัญชาของพระยาห์เวห์ และสิ้นชีวิตที่นั่น ในปีที่สี่สิบหลังจากที่คนอิสราเอลออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ ในเดือนที่ห้า ในวันที่หนึ่งของเดือนนั้น 39 อาโรนมีอายุได้ 123 ปี เมื่อเขาสิ้นชีวิตบนภูเขาโฮร์ 40 กษัตริย์แห่งอาราดชาวคานาอัน ผู้ซึ่งอาศัยอยู่ทางตอนใต้ของถิ่นทุรกันดารในแผ่นดินคานาอัน ได้ยินข่าวถึงการมาของคนอิสราเอล
41 พวกเขาออกเดินทางจากภูเขาโฮร์และตั้งค่ายที่ศัลโมนาห์ 42 พวกเขาออกเดินทางจากศัลโมนาห์และตั้งค่ายที่ปูโนน 43 พวกเขาออกเดินทางจากปูโนนและตั้งค่ายที่โอโบท 44 พวกเขาออกเดินทางจากโอโบทและตั้งค่ายที่อิเยอาบาริมซึ่งอยู่ที่เขตแดนของโมอับ 45 พวกเขาออกเดินทางจากอิเยอาบาริมและตั้งค่ายที่ดีโบนกาด
46 พวกเขาออกเดินทางจากดีโบนกาดและตั้งค่ายที่อัลโมนดิบลาธาอิม 47 พวกเขาออกเดินทางจากอัลโมนดิบลาธาอิมและตั้งค่ายในภูเขาอาบาริม ที่อยู่ตรงข้ามกับเนโบ 48 พวกเขาออกเดินทางจากภูเขาอาบาริมและตั้งค่ายในที่ราบโมอับใกล้แม่น้ำจอร์แดนที่เมืองเยรีโค 49 พวกเขาตั้งค่ายใกล้แม่น้ำจอร์แดน จากเบธเยชิโมทไปถึงอาเบลชิททิมในที่ราบโมอับ
50 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสในที่ราบโมอับใกล้แม่น้ำจอร์แดนที่เมืองเยรีโค และตรัสว่า 51 "จงพูดกับคนอิสราเอล และจงบอกพวกเขาว่า 'เมื่อพวกเจ้าข้ามแม่น้ำจอร์แดนเข้าไปในแผ่นดินคานาอันแล้ว 52 แล้วพวกเจ้าต้องขับไล่คนที่อาศัยอยู่ทั้งหมดออกไปให้พ้นหน้าพวกเจ้า พวกเจ้าต้องทำลายรูปแกะสลักของพวกเขาทั้งหมด พวกเจ้าต้องทำลายรูปหล่อของพวกเขาทั้งหมด และทำลายสถานสูงของพวกเขาทั้งหมด 53 พวกเจ้าต้องยึดแผ่นดินนั้นเป็นกรรมสิทธิ์ และตั้งถิ่นฐานในแผ่นดินนั้น เพราะเราได้มอบแผ่นดินนั้นให้พวกเจ้าครอบครองแล้ว
54 พวกเจ้าต้องมอบแผ่นดินนั้นเป็นมรดกโดยการจับฉลาก ตามแต่ละตระกูล พวกเจ้าต้องมอบส่วนแบ่งที่ดินที่ใหญ่กว่าให้กับตระกูลที่ใหญ่กว่า และมอบส่วนของที่ดินที่เล็กกว่าให้กับตระกูลที่เล็กกว่า ที่ดินไหนก็ตามที่ฉลากตกแต่ละตระกูล ที่ดินนั้นจะเป็นของตระกูลนั้น พวกเจ้าต้องมอบแผ่นดินนั้นให้เป็นมรดกตามเผ่าของบรรพบุรุษของพวกเจ้า 55 แต่ถ้าพวกเจ้าไม่ขับไล่คนที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินนั้นออกไปให้พ้นหน้าพวกเจ้า แล้วชนชาติที่พวกเจ้าปล่อยให้อาศัยอยู่ ก็จะกลายเป็นเหมือนผงที่อยู่ในตาของพวกเจ้า และเป็นเหมือนหนามในสีข้างของเจ้า พวกเขาจะทำให้ชีวิตของพวกเจ้ายากลำบากในแผ่นดินที่พวกเจ้าตั้งถิ่นฐานอยู่ 56 แล้วสิ่งที่จะเกิดขึ้น คือเมื่อเราตั้งใจว่าจะทำอะไรกับชนชาติเหล่านั้น เราก็จะทำกับพวกเจ้าด้วย'"
1 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า 2 "จงสั่งคนอิสราเอลและจงกล่าวกับพวกเขาว่า 'เมื่อพวกเจ้าเข้าไปในแผ่นดินคานาอัน แผ่นดินที่จะเป็นของพวกเจ้า แผ่นดินคานาอันและเขตแดนของแผ่นดินนั้น 3 เขตแดนทางทิศใต้ของพวกเจ้าจะขยายออกไปจากถิ่นทุรกันดารศินไปตามเขตแดนของเอโดม สุดปลายทางทิศตะวันออกของเขตแดนด้านทิศใต้ที่จะเป็นเส้นแบ่งเขตแดนที่ไปสิ้นสุดที่สุดปลายทางทิศใต้ของทะเลเกลือ 4 เขตแดนของพวกเจ้าจะเลี้ยวไปทางทิศใต้จากภูเขาอัครับบิมและข้ามผ่านเข้าไปในถิ่นทุรกันดารศิน จากที่นั่น ก็จะต่อเนื่องไปทางทิศใต้ของคาเดชบารเนีย และต่อเนื่องไปถึงฮาซาร์อัดดาร์และไกลไปถึงอัสโมน
5 จากที่นั่น เขตแดนนั้นจะเลี้ยวจากอัสโมนตรงไปยังลำธารของอียิปต์และตามลำธารนั้นไปถึงทะเล 6 เขตแดนทางด้านทิศตะวันตกจะไปถึงชายฝั่งของทะเลใหญ่ นี่จะเป็นเขตแดนทางทิศตะวันตกของพวกเจ้า 7 เขตแดนทางทิศเหนือของพวกเจ้าจะขยายออกไปตามเส้นแบ่งเขตแดนที่พวกเจ้าต้องทำเครื่องหมายจากทะเลใหญ่ไปถึงภูเขาโฮร์ 8 แล้วจากภูเขาโฮร์ไปถึงเลโบฮามัท แล้วเรื่อยไปถึงเศดัด 9 แล้วเขตแดนนั้นจะต่อเนื่องไปถึงศิโฟรน และไปสิ้นสุดที่ฮาซาร์เอนัน นี่จะเป็นเขตแดนทางทิศเหนือของพวกเจ้า
10 แล้วพวกเจ้าต้องทำเครื่องหมายเขตแดนทางทิศตะวันออกของพวกเจ้าจากฮาซาร์เอนันไปทางทิศใต้ถึงเชฟาม 11 แล้วเขตแดนทางทิศตะวันออกจะลงไปจากเชฟามไปถึงริบลาห์ทางทิศตะวันออกของอายิน เขตแดนนั้นจะยาวต่อเนื่องไปตามทางทิศตะวันออกของทะเลคินเนเรท 12 แล้วเขตแดนก็จะยาวต่อเนื่องไปทางทิศใต้ไปตามแม่น้ำจอร์แดนไปถึงทะเลเกลือ และต่อเนื่องลงไปทางเขตแดนด้านทิศตะวันออกของทะเลเกลือ นี่จะเป็นแผ่นดินของพวกเจ้าตามเขตแดนโดยรอบทั้งหมด'"
13 แล้วโมเสสสั่งคนอิสราเอลว่า "นี่เป็นแผ่นดินที่พวกท่านจะได้รับโดยการจับฉลาก ที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาที่จะมอบให้แก่เก้าเผ่าและอีกครึ่งเผ่า 14 เผ่าของพงศ์พันธุ์รูเบน ตามที่ได้มอบที่ดินให้แก่เผ่าของบรรพบุรุษของพวกเขา และเผ่าของพงศ์พันธุ์กาด ตามที่ได้มอบที่ดินให้แก่เผ่าของบรรพบุรุษของพวกเขา และครึ่งเผ่าของมนัสเสห์ได้รับที่ดินของพวกเขาทั้งหมดแล้ว 15 ส่วนสองเผ่าครึ่งได้มอบส่วนแบ่งที่ดินของพวกเขาที่อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดน ทางด้านทิศตะวันออกของเมืองเยรีโค ตรงทางดวงอาทิตย์ขึ้น"
16 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า 17 "เหล่านี้เป็นรายชื่อของคนทั้งหลายที่จะแบ่งที่ดินให้เป็นมรดกของพวกเจ้า คือเอเลอาซาร์ปุโรหิต โยชูวาบุตรชายของนูน 18 พวกเจ้าต้องเลือกผู้นำหนึ่งคนจากทุกๆ เผ่าเพื่อแบ่งที่ดินสำหรับตระกูลของพวกเขา 19 เหล่านี้คือรายชื่อของคนเหล่านั้น คือคาเลบบุตรชายของเยฟุนเนห์ จากเผ่ายูดาห์
20 เชมูเอลบุตรชายของอัมมีฮูด จากเผ่าของพงศ์พันธุ์สิเมโอน 21 เอลีดาดบุตรชายของคิสโลน จากเผ่าเบนยามิน 22 บุคคีบุตรชายของโยกลี ผู้นำจากเผ่าของพงศ์พันธุ์ดาน 23 จากเผ่าของพงศ์พันธุ์โยเซฟ ฮันนีเอลบุตรชายของเอโฟด ผู้นำจากเผ่าของพงศ์พันธุ์มนัสเสห์ 24 เคมูเอลบุตรชายของชิฟทาน ผู้นำจากเผ่าของพงศ์พันธุ์ของเอฟราอิม
25 เอลีซาฟานบุตรชายของปารนาค ผู้นำจากเผ่าของพงศ์พันธุ์เศบูลุน 26 ปัลทีเอลบุตรชายของอัสซาน ผู้นำจากเผ่าของพงศ์พันธุ์อิสสาคาร์ 27 อาหิฮูดบุตรชายของเชโลมี ผู้นำจากเผ่าของพงศ์พันธุ์อาเชอร์ 28 เปดาเฮลบุตรชายของอัมมีฮูด ผู้นำจากเผ่าของพงศ์พันธุ์นัฟทาลี" 29 พระยาห์เวห์ทรงบัญชาคนเหล่านี้ให้แบ่งแผ่นดินของคานาอันและมอบส่วนแบ่งของพวกเขาให้แก่แต่ละเผ่าของอิสราเอล
1 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสในที่ราบโมอับ ใกล้กับแม่น้ำจอร์แดนที่เมืองเยรีโค และตรัสว่า 2 "จงสั่งให้คนอิสราเอลมอบส่วนแบ่งที่ดินของพวกเขาให้กับคนเลวีบ้าง พวกเขาต้องมอบเมืองต่างๆ ให้กับคนเลวีเพื่ออาศัยอยู่และทุ่งหญ้ารอบๆ เมืองเหล่านั้นด้วย 3 คนเลวีจะมีเมืองเหล่านี้เพื่ออาศัยอยู่ ทุ่งหญ้าก็จะเป็นที่สำหรับฝูงโค ฝูงสัตว์ และสัตว์ทั้งหมดของพวกเขา
4 ทุ่งหญ้าที่อยู่รอบเมืองเหล่านั้นที่พวกเจ้าจะมอบให้กับคนเลวีต้องเป็นส่วนที่ต่อออกไปจากกำแพงเมืองนั้นหนึ่งพันศอกในทุกทิศทาง 5 พวกเจ้าต้องวัดจากนอกเมืองนั้นไปทางด้านทิศตะวันออกสองพันศอก และด้านทิศใต้สองพันศอก และด้านทิศตะวันตกสองพันศอก และด้านทิศเหนือสองพันศอก นี่จะเป็นบรรดาทุ่งหญ้าสำหรับเมืองต่าง ๆ ของพวกเขา เมืองเหล่านั้นจะอยู่ตรงกลาง
6 เมืองต่าง ๆ ที่พวกเจ้าจะมอบให้กับคนเลวีต้องทำให้เป็นเมืองลี้ภัยหกเมือง พวกเจ้าต้องจัดให้เมืองเหล่านี้เป็นสถานที่สำหรับให้คนที่ได้ฆ่าคนหลบหนีไปที่นั่นได้ ยิ่งกว่านั้น ต้องจัดให้มีเมืองอื่น ๆ อีกสี่สิบสองเมืองด้วย 7 เมืองต่าง ๆ ที่พวกเจ้ามอบให้กับคนเลวีจะรวมทั้งหมดเป็นสี่สิบแปดเมือง พวกเจ้าต้องมอบทุ่งหญ้าของเมืองเหล่านั้นพร้อมกับเมืองเหล่านั้น 8 บรรดาเผ่าของคนอิสราเอลที่ใหญ่กว่า บรรดาเผ่าที่มีที่ดินมากกว่าต้องให้เมืองจำนวนมากกว่า บรรดาเผ่าที่เล็กกว่าก็ให้เมืองจำนวนน้อยกว่า แต่ละเผ่าจะให้เมืองสำหรับคนเลวีตามส่วนแบ่งที่เผ่านั้นได้รับ"
9 แล้วพระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสส ทรง ตรัสว่า 10 "จงพูดกับคนอิสราเอล และจงบอกกับพวกเขาว่า 'เมื่อพวกเจ้าได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดนเข้าไปในแผ่นดินคานาอัน 11 จากนั้น พวกเจ้าต้องเลือกเมืองต่าง ๆ ให้เป็นเมืองลี้ภัยสำหรับพวกเจ้า ซึ่งเป็นสถานที่สำหรับให้คนที่ฆ่าคนโดยไม่เจตนาได้หลบหนี 12 เมืองเหล่านี้ต้องเป็นที่ลี้ภัยของพวกเจ้าจากผู้แก้แค้น เพื่อที่คนที่ถูกกล่าวหาจะไม่ถูกฆ่าโดยไม่ได้ยืนต่อหน้าชุมชนเพื่อพิจารณาคดีก่อน
13 พวกเจ้าต้องเลือกเมืองหกเมืองให้เป็นเมืองลี้ภัย 14 พวกเจ้าต้องจัดให้มีสามเมืองที่ฟากหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดน และอีกสามเมืองในแผ่นดินคานาอัน เมืองเหล่านี้จะเป็นเมืองลี้ภัย 15 สำหรับคนอิสราเอล สำหรับคนต่างชาติ สำหรับคนที่อาศัยอยู่ท่ามกลางพวกเจ้า เมืองหกเมืองนี้จะเป็นที่ลี้ภัยสำหรับให้คนที่ฆ่าคนโดยไม่เจตนาได้หลบหนีไปที่นั่น
16 แต่ถ้าคนที่ถูกกล่าวหาได้ตีผู้ที่ถูกทำร้ายด้วยเครื่องมือเหล็ก และถ้าผู้ถูกทำร้ายคนนั้นตาย แล้วผู้ถูกกล่าวหาจึงเป็นฆาตกรอย่างแท้จริง เขาต้องถูกประหารชีวิตแน่นอน 17 ถ้าคนที่ถูกกล่าวหาได้ทุบผู้ที่ถูกทำร้ายด้วยก้อนหินที่อยู่ในมือของเขา ซึ่งสามารถฆ่าผู้ถูกทำร้ายได้ และถ้าผู้ถูกทำร้ายคนนั้นตาย แล้วผู้ถูกกล่าวหาจึงเป็นฆาตกรอย่างแท้จริง เขาต้องถูกประหารชีวิตอย่างแน่นอน 18 ถ้าคนที่ถูกกล่าวหาได้ตีผู้ที่ถูกทำร้ายด้วยอาวุธที่เป็นไม้ ที่สามารถฆ่าคนถูกทำร้ายได้ และถ้าผู้ถูกทำร้ายคนนั้นตาย แล้วผู้ถูกกล่าวหาจึงเป็นฆาตกรอย่างแท้จริง เขาต้องถูกประหารชีวิตอย่างแน่นอน
19 ผู้แก้แค้นแทนโลหิตประหารฆาตกรคนนั้นได้ เมื่อเขาพบคนนั้น ผู้แก้แค้นแทนโลหิตต้องประหารชีวิตคนนั้น 20 ถ้าเขาได้ตีคนอื่นด้วยความเกลียดชัง หรือขว้างสิ่งใดไปที่เขา ขณะที่ซ่อนตัวเพื่อซุ่มรอเขาอยู่ เพื่อทำให้ผู้ที่ถูกทำร้ายตาย 21 หรือถ้าเขาชกคนนั้นล้มลงด้วยความเกลียดชังด้วยมือของเขาเพื่อให้ผู้ที่ถูกทำร้ายตาย แล้วผู้ที่ถูกกล่าวหาผู้ที่ได้ชกเขาต้องถูกประหารชีวิตแน่นอน เขาเป็นฆาตกร ผู้แก้แค้นแทนโลหิตประหารชีวิตเขาได้ เมื่อเขาพบคนนั้น
22 แต่ถ้าคนที่ถูกกล่าวหาได้ตีคนที่ถูกทำร้ายโดยบังเอิญโดยไม่ได้มีการไตร่ตรองด้วยความเกลียดชังมาก่อน หรือขว้างสิ่งใดไปโดนผู้ที่ถูกทำร้ายโดยที่ไม่ได้ดักซุ่มรออยู่ 23 หรือถ้าเขาขว้างก้อนหินที่สามารถฆ่าคนที่ถูกทำร้ายได้โดยมองไม่เห็นคนที่ถูกทำร้ายคนนั้น แล้วผู้ที่ถูกกล่าวหาก็ไม่ได้เป็นศัตรูของคนที่ถูกทำร้าย เขาไม่ได้พยายามที่จะทำร้ายคนที่ถูกทำร้ายคนนั้น แต่นี่เป็นสิ่งที่เขาทำ ถ้าคนที่ถูกทำร้ายตายโดยวิธีใดก็ตาม 24 ในกรณีนั้น ชุมชนต้องพิจารณาระหว่างผู้ถูกกล่าวหากับผู้แก้แค้นแทนโลหิตตามหลักของกฎหมายเหล่านี้
25 ชุมชนต้องช่วยชีวิตผู้ที่ถูกกล่าวหาให้พ้นจากอำนาจของผู้แก้แค้นแทนโลหิต ชุมชนต้องให้ผู้กล่าวหากลับไปที่เมืองลี้ภัยที่เขาได้หลบหนีไปแต่แรก เขาต้องอาศัยอยู่ที่นั่น จนกว่ามหาปุโรหิตที่ได้รับการเจิมด้วยน้ำมันบริสุทธิ์ในสมัยนั้นได้สิ้นชีวิต 26 แต่ถ้าเมื่อใดที่คนที่ถูกกล่าวหาได้ออกไปจากเมืองลี้ภัยที่เขาได้หลบหนีไปอยู่ 27 และถ้าผู้แก้แค้นแทนโลหิตพบเขานอกเขตแดนเมืองลี้ภัยของเขา และถ้าเขาฆ่าคนที่ถูกกล่าวหานั้น ผู้แก้แค้นแทนโลหิตคนนั้นจะไม่มีความผิดฐานเป็นฆาตกร
28 นี่เป็นเพราะคนที่ถูกกล่าวหาควรจะยังคงอยู่ในเมืองลี้ภัยของเขา จนกว่ามหาปุโรหิตจะสิ้นชีวิต หลังจากที่มหาปุโรหิตสิ้นชีวิตแล้ว ผู้ถูกกล่าวหาจะกลับมายังดินแดนที่เขามีที่ดินของเขาเองได้ 29 กฎหมายเหล่านี้ต้องเป็นกฎข้อบังคับสำหรับพวกเจ้าตลอดทุกชั่วอายุคนของพวกเจ้า ในทุกแห่งที่พวกเจ้าอาศัยอยู่ 30 ใครก็ตามที่ฆ่าคน ฆาตกรคนนั้นต้องถูกฆ่า จากถ้อยคำของเหล่าพยานที่ได้เป็นพยาน แต่ถ้อยคำของพยานเพียงคนเดียวจะไม่ทำให้คนใดถูกประหารชีวิตได้
31 ยิ่งกว่านั้น พวกเจ้าต้องไม่รับค่าไถ่ชีวิตของฆาตกรที่มีความผิดในการฆาตกรรม เขาต้องถูกประหารชีวิตแน่นอน 32 พวกเจ้าต้องไม่รับค่าไถ่ตัวของคนที่หนีไปยังเมืองลี้ภัย ในการทำเช่นนี้ พวกเจ้าต้องไม่อนุญาตให้เขาอาศัยอยู่ในที่ดินของเขาเองจนกว่ามหาปุโรหิตจะสิ้นชีวิต 33 อย่าทำให้แผ่นดินที่พวกเจ้าอาศัยอยู่เป็นมลทินด้วยการทำเช่นนี้ เพราะโลหิตจากการฆาตกรรมทำให้แผ่นดินนี้เป็นมลทิน ซึ่งไม่สามารถทำการลบล้างมลทินบาปสำหรับโลหิตที่ได้หลั่งออกบนแผ่นดินนี้ได้ ยกเว้นโลหิตของคนที่ทำให้โลหิตหลั่งออก 34 ด้วยเหตุนี้ พวกเจ้าต้องไม่ทำให้แผ่นดินที่พวกเจ้าอาศัยอยู่เป็นมลทิน เพราะเราอยู่ในแผ่นดินนี้ เรา พระยาห์เวห์อยู่ท่ามกลางคนอิสราเอล'"
1 หลังจากนั้น พวกผู้นำของบรรดาครอบครัวของบรรพบุรุษของตระกูลกิเลอาด บุตรชายของมาคีร์ (ผู้ที่เป็นบุตรชายของมนัสเสห์) ผู้ที่มาจากพงศ์พันธุ์โยเซฟมาและพูดต่อหน้าโมเสสและต่อหน้าบรรดาผู้นำที่เป็นพวกหัวหน้าของบรรดาครอบครัวของบรรพบุรุษของคนอิสราเอล 2 พวกเขากล่าวว่า "พระยาห์เวห์ทรงบัญชาพวกท่านผู้เป็นเจ้านายของพวกเรา ให้มอบส่วนแบ่งที่ดินแก่คนอิสราเอลโดยการจับฉลาก พระยาห์เวห์ทรงบัญชาพวกท่านให้มอบส่วนแบ่งที่ดินของเศโลเฟหัดพี่น้องของเราให้แก่บรรดาบุตรหญิงของเขา 3 แต่ถ้าบรรดาบุตรหญิงของเขาแต่งงานกับพวกผู้ชายในเผ่าอื่นของคนอิสราเอล แล้วส่วนแบ่งที่ดินของพวกนางก็จะถูกโยกย้ายไปจากส่วนแบ่งที่ดินของบรรพบุรุษของเรา แล้วจะเพิ่มส่วนแบ่งนั้นให้กับบรรดาเผ่าที่พวกนางไปอยู่ด้วย ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็จะเป็นการโยกย้ายจากส่วนแบ่งมรดกของพวกเราที่ได้จัดแบ่งไว้
4 ถ้าเป็นเช่นนั้น เมื่อปีอิสรภาพของคนอิสราเอลมาถึง แล้วส่วนแบ่งที่ดินของพวกนางก็จะไปรวมกับส่วนแบ่งที่ดินที่พวกนางไปอยู่ด้วย ในวิธีการเช่นนี้ ส่วนแบ่งที่ดินของพวกนางก็จะถูกเอาออกไปจากส่วนแบ่งที่ดินของเผ่าของบรรพบุรุษของพวกเรา" 5 เพราะฉะนั้น โมเสสจึงให้คำสั่งต่อคนอิสราเอล ตามพระดำรัสของพระยาห์เวห์ เขากล่าวว่า "สิ่งที่เผ่าของพงศ์พันธุ์โยเซฟพูดเป็นการถูกต้องแล้ว 6 นี่เป็นสิ่งที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาเกี่ยวกับบรรดาบุตรหญิงของเศโลเฟหัด พระองค์ตรัสว่า 'ให้พวกนางแต่งงานกับคนที่พวกนางคิดว่าดีที่สุด แต่พวกนางต้องแต่งงานได้เฉพาะคนภายในเผ่าของบรรพบุรุษของนางเท่านั้น'
7 ไม่มีส่วนแบ่งที่ดินใด ๆ ของคนอิสราเอลต้องเปลี่ยนจากเผ่าหนึ่งไปยังอีกเผ่าหนึ่ง คนอิสราเอลแต่ละคนต้องสืบทอดส่วนแบ่งที่ดินของเผ่าของบรรพบุรุษของเขาต่อไป 8 ผู้หญิงทุกคนของคนอิสราเอลที่เป็นเจ้าของส่วนแบ่งที่ดินในเผ่าของนางต้องแต่งงานกับคนที่มาจากตระกูลของเผ่าของบรรพบุรุษของนาง ที่เป็นดังนี้เพื่อให้ทุกคนของคนอิสราเอลจะได้มรดกของตนเองจากบรรพบุรุษของเขา 9 ไม่มีส่วนแบ่งที่ดินใดๆ ที่จะเปลี่ยนมือจากเผ่าหนึ่งไปยังอีกเผ่าหนึ่ง ทุกคนของบรรดาเผ่าของอิสราเอลต้องรักษามรดกของเขาเอง"
10 ดังนั้น บรรดาบุตรหญิงของเศโลเฟหัดจึงได้ทำตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชากับโมเสส 11 บรรดาบุตรหญิงของเศโลเฟหัด คือมาห์ลาห์ ทีรซาห์ โฮกลาห์ มิลคาห์ และโนอาห์ ต่างก็ได้แต่งงานกับคนในพงศ์พันธุ์มนัสเสห์ 12 พวกนางได้แต่งงานกับคนในตระกูลของพงศ์พันธุ์ของมนัสเสห์บุตรชายของโยเซฟ ในวิธีการนี้ มรดกของพวกนางก็ยังคงอยู่ในเผ่าที่เป็นของตระกูลของบรรพบุรุษของพวกนาง 13 เหล่านี้เป็นพระบัญญัติและกฎข้อบังคับที่พระยาห์เวห์ได้ประทานแก่คนอิสราเอลทางโมเสส ในที่ราบโมอับใกล้กับแม่น้ำจอร์แดนที่เมืองเยรีโค
1 เหล่านี้คือบรรดาถ้อยคำของโมเสสที่กล่าวต่อชาวอิสราเอลทั้งหมดที่อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดนในถิ่นทุรกันดาร ที่ทุ่งราบของหุบเขาแม่น้ำจอร์แดนซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับเมืองสูฟ ที่อยู่ระหว่างปารานกับโทเฟล ลาบาน ฮาเซโรท และดีซาหับ 2 จากโฮเรบไปทางภูเขาเสอีร์เพื่อจะไปถึงคาเดชบารเนียนั้นต้องใช้เวลาเดินทางสิบเอ็ดวัน
3 เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในปีที่สี่สิบ เดือนที่สิบเอ็ด ในวันแรกของเดือน ที่โมเสสได้กล่าวต่อประชาชนอิสราเอลถึงทุกสิ่งที่พระยาห์เวห์ได้ทรงบัญชาโมเสสเกี่ยวกับพวกเขา 4 นี่คือหลังจากที่พระยาห์เวห์ได้โจมตีสิโหนกษัตริย์ของคนอาโมไรต์ซึ่งอาศัยอยู่ในเฮชโบน และโอกกษัตริย์แห่งบาชานซึ่งอาศัยอยู่ในอัชทาโรทที่เอเดรอี 5 ทางอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดนในดินแดนโมอับ โมเสสเริ่มต้นประกาศคำสั่งสอนเหล่านี้ว่า
6 พระยาห์เวห์พระเจ้าของเราได้ตรัสแก่พวกเราที่โฮเรบว่า 'พวกเจ้าได้อาศัยอยู่ในประเทศเทือกเขานี้นานพอแล้ว 7 จงหันไปและออกเดินทางไปยังประเทศเทือกเขาของคนอาโมไรต์ และสถานที่ใกล้เคียงในทุ่งราบแห่งหุบเขาแม่น้ำจอร์แดน ในประเทศเทือกเขา ในที่ราบต่ำ ในเนเกบและชายฝั่งทะเล ในดินแดนคานาอัน และในเลบานอน ไปจนถึงยูเฟรติสแม่น้ำใหญ่
8 ดูเถิด เราได้ตั้งดินแดนนั้นเอาไว้ต่อหน้าพวกเจ้า จงเข้าไปและยึดครองดินแดนนั้นที่พระยาห์เวห์ได้ทรงสัญญาเอาไว้แก่บรรดาบรรพบุรุษของพวกเจ้า คือ อับราฮัม อิสอัค และยาโคบ และให้ไว้แก่เชื้อสายของพวกเขาที่มาหลังจากพวกเขานั้น' 9 ข้าพเจ้าได้กล่าวแก่พวกท่านในเวลานั้นว่า 'ข้าพเจ้าไม่สามารถแบกพวกท่านเอาไว้เพียงคนเดียวได้ 10 พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านได้ทรงเพิ่มทวีจำนวนของพวกท่าน และดูเถิดในวันนี้พวกท่านมีจำนวนมากมายดุจดั่งดวงดาวในฟ้าสวรรค์ 11 ขอพระยาห์เวห์พระเจ้าของบรรพบุรุษของพวกท่านทรงกระทำให้พวกท่านเพิ่มพูนมากขึ้นอีกเป็นพันเท่า และขอทรงอวยพรพวกท่านตามที่พระองค์ได้ทรงสัญญาเอาไว้แก่พวกท่าน
12 แต่ข้าพเจ้าเพียงคนเดียวจะแบกรับปัญหา ภาระหนัก และข้อพิพาทต่าง ๆ ของพวกท่านได้อย่างไร? 13 จงเลือกบรรดาคนที่ฉลาด คนที่มีความเข้าใจ และคนที่มีชื่อเสียงดีจากแต่ละเผ่า และข้าพเจ้าจะทำให้พวกเขาเป็นหัวหน้าปกครองเหนือพวกท่าน' 14 พวกท่านตอบข้าพเจ้าว่า 'สิ่งที่ท่านได้กล่าวมานั้นเป็นสิ่งดีที่พวกเราสมควรทำ' 15 ดังนั้นข้าพเจ้าจึงได้เลือกบรรดาหัวหน้าออกมาจากเผ่าต่าง ๆ ของพวกท่าน คือ คนที่ฉลาดและคนที่มีชื่อเสียงดี และแต่งตั้งพวกเขาให้เป็นหัวหน้าปกครองดูแลพวกท่าน เป็นหัวหน้าผู้ควบคุมคนหนึ่งพันคนบ้าง หัวหน้าผู้ควบคุมคนหนึ่งร้อยคนบ้าง หัวหน้าผู้ควบคุมคนห้าสิบคนบ้าง หัวหน้าผู้ควบคุมคนสิบคนบ้าง และแต่งตั้งบรรดาเจ้าหน้าที่ประจำเผ่าแต่ละเผ่า
16 ข้าพเจ้าได้สั่งบรรดาผู้วินิจฉัยของพวกท่านในครั้งนั้นว่า 'จงฟังข้อพิพาทต่าง ๆ ระหว่างพี่น้องของพวกท่าน และจงตัดสินอย่างชอบธรรมระหว่างคนหนึ่งกับพี่น้องของเขา และกับคนต่างชาติที่อยู่กับเขานั้น 17 พวกท่านจะไม่แสดงความลำเอียงต่อผู้ใดในข้อพิพาท พวกท่านจะฟังเสียงของคนเล็กน้อยเหมือนกับเสียงของคนที่ยิ่งใหญ่ พวกท่านจะไม่เกรงกลัวหน้าของผู้ใด เพราะการพิพากษาเป็นของพระเจ้า ข้อพิพาทที่หนักเกินกว่าที่พวกท่านจะตัดสินได้ พวกท่านจะนำมาหาข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะฟังข้อพิพาทนั้น' 18 ข้าพเจ้าสั่งพวกท่านในครั้งนั้นถึงทุกสิ่งที่พวกท่านสมควรกระทำ
19 เราเดินทางออกจากโฮเรบและผ่านเข้าไปในถิ่นทุรกันดารอันกว้างใหญ่และน่ากลัวตามที่พวกท่านได้เห็น ซึ่งอยู่ระหว่างทางที่พวกเราจะไปยังประเทศหุบเขาของคนอาโมไรต์ตามที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเราได้ตรัสสั่งพวกเรา และพวกเราก็มาถึงที่คาเดชบารเนีย 20 ข้าพเจ้ากล่าวแก่พวกท่านว่า 'พวกท่านได้มาถึงประเทศหุบเขาของคนอาโมไรต์ตามที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของเราได้ประทานให้แก่พวกท่าน 21 ดูเถิด พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านได้ทรงตั้งดินแดนนี้เอาไว้ตรงหน้าพวกท่านแล้ว จงขึ้นไปและยึดครอง ดังที่พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของพวกท่านได้ตรัสเอาไว้แก่พวกท่าน อย่ากลัวหรืออย่าท้อแท้เลย'
22 พวกท่านทุกคนได้มาหาข้าพเจ้าและพูดว่า 'ให้เราส่งพวกผู้ชายไปข้างหน้าพวกเราเพื่อพวกเขาจะสอดแนมเกี่ยวกับดินแดนนั้นให้แก่พวกเรา และนำถ้อยคำมารายงานถึงวิธีการที่พวกเราควรจะโจมตี และเกี่ยวกับเมืองนั้นที่พวกเราจะเข้าไป' 23 คำแนะนำนั้นเป็นที่พอใจของข้าพเจ้าอย่างมาก ข้าพเจ้าจึงตั้งชายสิบสองคนจากทุกเผ่าของพวกท่าน โดยเลือกหนึ่งคนจากหนึ่งเผ่า 24 พวกเขาจึงหันหน้ามุ่งไปที่ประเทศหุบเขา มาถึงหุบเขาแห่งเอชโคล และสอดแนมเกี่ยวกับดินแดนนั้น
25 พวกเขานำผลผลิตแห่งแผ่นดินนั้นถือมาในมือและนำลงมาให้แก่พวกเรา พวกเขายังกลับมารายงานพวกเราอีกด้วยว่า 'ที่นั่นเป็นดินแดนที่ดีที่พระเจ้าของพวกเราทรงประทานให้แก่พวกเรา' 26 แต่พวกท่านกลับปฏิเสธที่จะโจมตี และยังกบฎต่อพระบัญชาของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน 27 พวกท่านบ่นในเต็นท์ของพวกท่านว่า "นี่เป็นเพราะพระยาห์เวห์ทรงเกลียดชังพวกเรา พระองค์จึงได้นำพวกเราออกมาจากดินแดนอียิปต์เพื่อมอบพวกเราเอาไว้ในมือของคนอาโมไรต์ให้ทำลายพวกเรา
28 พวกเราสามารถไปที่ไหนได้เวลานี้? พวกพี่น้องของพวกเราได้ทำให้หัวใจของพวกเราละลายโดยกล่าวว่า 'คนพวกนั้นตัวใหญ่กว่าและสูงกว่าพวกเรายิ่งนัก บรรดาเมืองของพวกเขาใหญ่โตและมีกำลังมากจนถึงสวรรค์ ยิ่งกว่านั้น พวกเราได้เห็นพวกบุตรชายของอานาคิมอยู่ที่นั่นด้วย'" 29 และข้าพเจ้ากล่าวแก่พวกท่านว่า 'อย่าขยาดและอย่าหวาดกลัวพวกเขาเลย 30 พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน ผู้ทรงนำหน้าพวกท่าน พระองค์จะทรงต่อสู้เพื่อพวกท่าน ดังเช่นที่พระองค์ได้ทรงกระทำทุกสิ่งเพื่อพวกท่านในอียิปต์ต่อหน้าต่อตาพวกท่าน 31 และเช่นกันในถิ่นทุรกันดารที่พวกท่านได้เห็นแล้วว่าพระยาห์เวห์ทรงอุ้มชูพวกท่านเหมือนกับชายคนหนึ่งอุ้มบุตรชายของเขา ในทุกที่ทุกแห่งที่พวกท่านไปจนกระทั่งพวกท่านมาถึงสถานที่แห่งนี้'
32 แต่ถึงกระนั้นจากถ้อยคำนี้ พวกท่านก็ยังไม่เชื่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน 33 ผู้ทรงนำทางไปข้างหน้าพวกท่านด้วยไฟในเวลากลางคืนและด้วยเมฆในเวลากลางวันเพื่อหาสถานที่หนึ่งให้กับพวกท่านสำหรับตั้งค่าย 34 พระยาห์เวห์ทรงได้ยินเสียงถ้อยคำของพวกท่านและทรงพระพิโรธ พระองค์ทรงสัญญาและตรัสว่า 35 'แน่นอนจะไม่มีคนใดในท่ามกลางคนเหล่านี้ซึ่งเป็นชนรุ่นที่ชั่วช้าจะได้เห็นดินแดนอันประเสริฐตามที่เราได้สัญญาเอาไว้ว่าจะประทานให้กับบรรดาบรรพบุรุษของพวกเขา
36 ยกเว้นคาเลบบุตรเยฟุนเนห์ เขาจะได้เห็นดินแดนนั้น เราจะประทานดินแดนที่เขาได้เหยียบย่างนั้นแก่เขา และแก่บรรดาลูกหลานของเขา เพราะเขาได้ติดตามพระยาห์เวห์อย่างเต็มที่' 37 เช่นเดียวกันพระยาห์เวห์ทรงพระพิโรธต่อข้าพเจ้าเหตุเพราะพวกท่านด้วย พระองค์ตรัสว่า "เจ้าเองก็จะไม่ได้เข้าไปในดินแดนนั้นด้วยเช่นกัน 38 โยชูวาบุตรนูน ผู้ที่ยืนต่อหน้าเจ้านี้ เขาจะได้เข้าไปที่นั่น จงหนุนใจเขา เพราะเขาจะเป็นผู้นำชนอิสราเอลให้รับดินแดนนั้นเป็นกรรมสิทธิ์ 39 ยิ่งกว่านั้น บรรดาเด็กเล็ก ๆ ของพวกเจ้า คือบรรดาคนที่พวกเจ้ากล่าวว่าพวกเขาจะตกเป็นเหยื่อ ผู้ซึ่งในวันนี้ไม่มีความรู้ถึงสิ่งดีและชั่ว พวกเขาจะไปที่นั่น เราจะมอบดินแดนนั้นให้แก่พวกเขา และพวกเขาจะครอบครองดินแดนนั้น
40 แต่สำหรับพวกเจ้า จงหันกลับและเดินทางเข้าไปในถิ่นทุรกันดารตามทางที่จะไปทะเลแดง' 41 แล้วพวกท่านตอบแก่ข้าพเจ้าว่า 'พวกเราได้ทำบาปต่อพระยาห์เวห์แล้ว พวกเราจะขึ้นไปและต่อสู้ และพวกเราจะทำตามทุกสิ่งที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเราได้ทรงบัญชาให้แก่พวกเรากระทำ' ผู้ชายทุกคนในท่ามกลางพวกท่านต่างก็คาดอาวุธสำหรับทำสงคราม และพวกท่านพร้อมที่จะเข้าโจมตีประเทศหุบเขานั้น 42 พระยาห์เวห์ตรัสแก่ข้าพเจ้าว่า 'จงบอกแก่พวกเขาว่า "อย่าเข้าโจมตีและอย่าต่อสู้ เพราะเราจะไม่อยู่กับพวกเจ้า และพวกเจ้าจะถูกปราบให้พ่ายแพ้โดยศัตรูของพวกเจ้า"
43 ข้าพเจ้ากล่าวแก่พวกท่านเช่นนี้ แต่พวกท่านไม่ยอมฟัง พวกท่านกบฎต่อคำบัญชาของพระยาห์เวห์ พวกท่านเพิกเฉยและเข้าโจมตีประเทศหุบเขานั้น 44 แต่ชาวอาโมไรต์ผู้อาศัยอยู่ในประเทศหุบเขานั้นได้ออกมาต่อสู้กับพวกท่าน และขับไล่พวกท่านเหมือนกับฝูงผึ้ง โจมตีพวกท่านไล่ลงมาจากเสอีร์ไปจนถึงโฮรมาห์ 45 พวกท่านหันกลับและร่ำไห้ต่อพระยาห์เวห์ แต่พระยาห์เวห์ไม่ทรงฟังเสียงของพวกท่าน หรือไม่ทรงสนพระทัยพวกท่านเลย 46 ดังนั้นพวกท่านจึงต้องพักอาศัยอยู่ที่คาเดชเป็นเวลาหลายวัน ตลอดเวลาที่พวกท่านพักอาศัยอยู่ที่นั่น
1 ต่อมาพวกเราจึงวกกลับและเดินทางเข้าไปในถิ่นทุรกันดารตามทางสู่ทะเลแดง ตามที่พระยาห์เวห์ได้ตรัสแก่ข้าพเจ้า พวกเราได้เดินวนรอบภูเขาเสอีร์เป็นเวลาหลายวัน 2 พระยาห์เวห์ตรัสแก่ข้าพเจ้าว่า 3 'พวกเจ้าได้เดินวนรอบภูเขานี้เป็นเวลานานพอแล้ว จงหันไปทางทิศเหนือเถิด
4 จงบัญชาประชาชนว่า "พวกเจ้าจะต้องเดินผ่านเขตแดนบ้านเมืองของพวกพี่น้องของพวกเจ้า คือ เชื้อสายของเอซาวผู้อาศัยอยู่ในเสอีร์ พวกเขาจะเกรงกลัวพวกเจ้า ดังนั้นจงระวังให้ดี 5 อย่าต่อสู้กับพวกเขา เพราะเราจะไม่มอบดินแดนใดๆ ของพวกเขาให้แก่พวกเจ้า จะไม่ให้แม้แต่พอสำหรับฝ่าเท้าเหยียบ เพราะเราได้มอบภูเขาเสอีร์ให้แก่เอซาวเป็นกรรมสิทธิ์แล้ว
6 พวกเจ้าจงเอาเงินซื้ออาหารจากพวกเขา เพื่อพวกเจ้าจะได้กิน พวกเจ้าจงเอาเงินซื้อน้ำจากพวกเขาด้วย เพื่อพวกเจ้าจะได้ดื่ม 7 เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้าได้ทรงอวยพรพวกเจ้าในการงานแห่งน้ำมือทุกอย่างของพวกเจ้า พระองค์ได้ทรงรู้ถึงการเดินผ่านถิ่นทุรกันดารอันกว้างใหญ่นี้ เพราะในเวลาสี่สิบปีเหล่านี้ พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้าได้ทรงสถิตกับพวกเจ้า และพวกเจ้าไม่ขาดสิ่งใดๆ เลย"
8 ดังนั้นเราจึงได้เดินเลยผ่านพวกพี่น้องของเรา คือ เชื้อสายของ เอซาวผู้อาศัยอยู่ในเสอีร์ ออกไปจากเส้นทางอาราบาห์ จากเอลัท และจากเอซีโอนเกเบอร์ แล้วพวกเราจึงหันกลับและผ่านไปทางถิ่นทุรกันดารโมอับ 9 พระยาห์เวห์ตรัสแก่ข้าพเจ้าว่า 'อย่ารบกวนโมอับ และอย่าทำสงครามกับพวกเขา เพราะเราจะไม่มอบดินแดนของเขาให้แก่พวกเจ้าเป็นกรรมสิทธิ์ เพราะเราได้มอบเมืองอาร์ให้แก่เชื้อสายของโลทเป็นกรรมสิทธิ์แล้ว' 10 (แต่ก่อนหน้านี้คนเอมิมได้อาศัยอยู่ที่นั่น เป็นชนชาติใหญ่ มีจำนวนมาก และสูงเหมือนกับคนอานาคิม
11 คนเหล่านี้ถูกนับว่าเป็นพวกเรฟาอิมเหมือนกับคนอานาคิม แต่คนโมอับเรียกพวกเขาว่าเอมิม 12 เมื่อก่อนพวกโฮรีก็อยู่ที่เสอีร์ด้วย แต่เชื้อสายของเอซาวได้เอาชนะพวกเขา ได้ทำลายพวกเขา และได้มาอาศัยอยู่แทนที่พวกเขา เหมือนกับที่อิสราเอลได้กระทำต่อดินแดนที่พระยาห์เวห์ได้ทรงมอบให้แก่พวกเขาเป็นกรรมสิทธิ์นั้น)
13 "'บัดนี้จงลุกขึ้นและข้ามลำห้วยเศเรด' ดังนั้นพวกเราจึงข้ามลำห้วยเศเรด 14 นับจากเมื่อพวกเรามาจากคาเดชบารเนียจนกระทั่งพวกเราได้ข้ามลำห้วยเศเรดเป็นเวลาทั้งหมดสามสิบแปดปี ในเวลานั้นเองที่ผู้ชายทั้งหมดในชนรุ่นนั้นที่ถูกเตรียมไว้เพื่อสู้รบได้ตายไปจากท่ามกลางประชาชน ตามที่พระยาห์เวห์ได้ทรงสัญญาแก่พวกเขา
15 ยิ่งกว่านั้น พระหัตถ์ของพระยาห์เวห์ได้ทรงต่อสู้ชนรุ่นนั้นเพื่อทำลายพวกเขาจากประชาชนจนกว่าพวกเขาจะหมดสิ้นไป 16 สิ่งนี้ได้เกิดขึ้นเมื่อผู้ชายทั้งหมดที่ได้เตรียมไว้เพื่อการสู้รบได้ตายและหมดสิ้นไปจากท่ามกลางประชาชน
17 แล้วพระยาห์เวห์ตรัสแก่ข้าพเจ้าว่า 18 'วันนี้พวกเจ้าต้องเดินผ่านเมืองอาร์ เขตแดนของคนโมอับ 19 เมื่อพวกเจ้ามาใกล้ฝั่งตรงกันข้ามดินแดนของคนอัมโมน อย่าก่อกวนหรือสู้รบกับพวกเขา เพราะเราจะไม่มอบดินแดนใดๆ ของคนอัมโมนให้แก่พวกเจ้าเป็นกรรมสิทธิ์ เนื่องจากเราได้มอบดินแดนนั้นให้แก่เชื้อสายของโลทเป็นกรรมสิทธิ์แล้ว'"
20 (ที่นั่นถูกนับว่าเป็นดินแดนหนึ่งของพวกเรฟาอิมด้วย พวกเรฟาอิมเคยอยู่ที่นั่นมาก่อน แต่คนอัมโมนเรียกพวกเขาว่าศัมซุมมิม 21 เป็นชนชาติใหญ่ มีจำนวนมาก และสูงเหมือนคนอานาค แต่พระยาห์เวห์ได้ทรงทำลายพวกเขาต่อหน้าต่อตาคนอัมโมน คนอัมโมนได้เอาชนะพวกเขา และเข้าอาศัยอยู่ที่นั่นแทนที่พวกเขา
22 พระยาห์เวห์ได้ทรงกระทำสิ่งนี้เพื่อประชาชนของเอซาวผู้อาศัยอยู่ในเสอีร์ด้วย พระองค์ได้ทรงทำลายพวกโฮรีต่อหน้าต่อตาพวกเขา และเชื้อสายของเอซาวได้เอาชนะพวกเขา และได้เข้าอาศัยแทนที่พวกเขาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ 23 เช่นเดียวกันกับพวกอัฟวิมที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านต่างๆ ไปไกลถึง กาซา คนคัฟโทร์ซึ่งมาจากคัฟโทร์ได้ทำลายพวกเขาและตั้งถิ่นฐานแทนที่พวกเขา)
24 "'บัดนี้จงลุกขึ้นออกเดินทาง และข้ามลำห้วยหุบเขาอารโนน ดูเถิด เราได้มอบสิโหนชาวอาโมไรต์ผู้เป็นกษัตริย์แห่งเฮชโบนและดินแดนของเขาเอาไว้ในมือของพวกเจ้า จงเริ่มยึดครองและทำสงครามสู้รบกับเขา 25 วันนี้เราจะเริ่มใส่ความกลัวและครั่นคร้ามต่อพวกเจ้าให้กับประชาชนทั้งหลายทั่วใต้ฟ้า พวกเขาจะได้ยินข่าวเกี่ยวกับพวกเจ้า และจะตัวสั่นสะท้านและทุกข์ทรมานเนื่องจากพวกเจ้า'
26 ข้าพเจ้าจึงส่งผู้สื่อสารจากถิ่นทุรกันดารเคเดโมทไปเข้าเฝ้ากษัตริย์สิโหนแห่งเฮชโบน พร้อมกับถ้อยคำแห่งสันติว่า 27 'ขอให้ข้าพระบาทผ่านดินแดนของฝ่าพระบาท ข้าพระบาทจะเดินไปตามทางหลวงนั้น ข้าพระบาทจะไม่เลี้ยวไปทางขวาหรือไปทางซ้ายเลย 28 ฝ่าพระบาทจะขายอาหารให้แก่ข้าพระบาทเพื่อเอาเงิน เพื่อข้าพระบาทจะได้กิน ฝ่าพระบาทจะขายน้ำให้แก่ข้าพระบาทเพื่อเอาเงิน เพื่อข้าพระบาทจะได้ดื่ม ขอเพียงให้ข้าพระบาทผ่านไปตามทางของข้าพระบาทเท่านั้น
29 เหมือนกับบรรดาเชื้อสายของเอซาวผู้อาศัยอยู่ในเสอีร์ และเหมือนกับชาวโมอับผู้อาศัยอยู่ในเมืองอาร์ได้กระทำเพื่อข้าพระบาท จนกระทั่งข้าพระบาทข้ามแม่น้ำจอร์แดนเข้าไปในดินแดนที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของเราทรงประทานให้แก่พวกเรา' 30 แต่กษัตริย์สิโหนแห่งเฮชโบนไม่ยอมปล่อยพวกเราให้ผ่านดินแดนของเขา เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านได้ทำให้ใจของเขาแข็งกระด้าง และทำให้หัวใจของเขาดื้อดึง เพื่อพระองค์จะปราบเขาให้พ่ายแพ้โดยฤทธิ์อำนาจของพระองค์ ซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำแล้วในวันนี้
31 พระยาห์เวห์ได้ตรัสแก่ข้าพเจ้าว่า 'ดูเถิด เราได้เริ่มมอบสิโหนและดินแดนของเขาให้แก่เจ้าแล้ว จงเริ่มต้นยึดครอง เพื่อว่าเจ้าจะได้ดินแดนของเขาเป็นกรรมสิทธิ์' 32 แล้วสิโหนจึงได้ออกมาต่อต้านพวกเรา เขาและประชาชนของเขาทั้งหมดมาต่อสู้ที่ยาฮาส
33 พระยาห์เวห์พระเจ้าของเราได้ทรงมอบเขาให้แก่พวกเรา และพวกเราได้ปราบเขาให้พ่ายแพ้ เราทำร้ายเขาจนถึงตาย ทั้งบรรดาบุตรชาย และประชาชนของเขาทั้งหมด 34 เรายึดครองเมืองทุกเมืองของเขาในเวลานั้น และทำลายทุกเมืองอย่างสิ้นซาก บรรดาผู้ชาย ผู้หญิง และเด็กเล็ก ๆ เราไม่ปล่อยให้ใครรอดชีวิต 35 มีเพียงฝูงสัตว์ที่เรายึดมาเป็นของพวกเราพร้อมกับของริบของเมืองต่างๆ ที่เราได้ยึดมา
36 จากอาโรเออร์ซึ่งตั้งอยู่บนริมลุ่มแม่น้ำอารโนน และจากเมืองที่อยู่ในลุ่มแม่น้ำนั้น ไปตามทางทุกทางจนถึงเมืองกิเลอาด ไม่มีเมืองใดที่สูงเกินไปสำหรับพวกเรา พระยาห์เวห์พระเจ้าของเราได้ประทานชัยชนะให้แก่พวกเราเหนือเหล่าศัตรูทั้งหมดที่อยู่ตรงหน้าพวกเรา 37 มีเพียงดินแดนที่เป็นของเชื้อสายของอัมโนนเท่านั้นที่พวกท่านไม่ได้ไป คือทุกฝั่งของแม่น้ำยับบอก และเมืองต่างๆ ในประเทศหุบเขานั้น ที่ใดๆ ก็ตามที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของเราได้ทรงห้ามไม่ให้พวกเราไป
1 แล้วพวกเราจึงได้หันกลับและขึ้นไปตามทางสู่บาชาน กษัตริย์โอกแห่งบาชานได้มาและโจมตีเรา เขาและประชาชนของเขาทั้งหมดมาต่อสู้ที่เอเดรอี 2 พระยาห์เวห์ได้ตรัสแก่ข้าพเจ้าว่า 'อย่ากลัวเขาเลย เพราะเราได้มอบชัยชนะเหนือเขาให้แก่เจ้าแล้ว และได้วางประชาชนทั้งหมดและดินแดนของเขาภายใต้การควบคุมของเจ้าแล้ว พวกเจ้าจะกระทำต่อเขาเหมือนกับที่กระทำต่อกษัตริย์สิโหนชาวอาโมไรต์ผู้อาศัยอยู่ที่เฮชโบน'
3 ดังนั้นพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเราจึงได้ทรงประทานชัยชนะเหนือกษัตริย์โอกแห่งบาชานให้แก่พวกเรา และประชาชนทั้งหมดของเขาถูกวางไว้ภายใต้การควบคุมของพวกเรา พวกเราต่อสู้พวกเขาจนกระทั่งไม่มีแม้แต่คนเดียวในท่ามกลางประชาชนของเขาที่หลงเหลืออยู่ 4 พวกเรายึดครองเมืองทั้งหมดของเขาในเวลานั้น ไม่มีแม้แต่เมืองเดียวที่เราไม่ได้ยึดครองมาจากพวกเขา จำนวนเมืองหกสิบเมือง คือ ทุกแคว้นของอารโกบ อาณาจักรของโอกในบาชาน 5 เหล่านี้คือเมืองป้อมทั้งหมดที่มีกำแพงสูง ประตูใหญ่ และดาลประตู นอกจากนี้คือหมู่บ้านจำนวนมากที่ไม่มีกำแพง
6 พวกเราได้ทำลายพวกเขาจนหมดสิ้น เหมือนกับที่พวกเราได้กระทำต่อกษัตริย์สิโหนแห่งเฮชโบน ทำลายเมืองทุกเมืองอย่างสิ้นซาก ทั้งบรรดาชาย หญิง และเด็กเล็ก ๆ 7 แต่ฝูงสัตว์ทั้งหมดและของริบของเมืองต่าง ๆ พวกเราได้ยึดมาเป็นของพวกเรา 8 ในเวลานั้นพวกเราได้ยึดครองดินแดนจากมือของกษัตริย์ทั้งสองของคนอาโมไรต์ผู้อาศัยอยู่อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดน จากแม่น้ำอารโนนไปจนถึงภูเขาเฮอร์โมน 9 (ภูเขาเฮอร์โมนนั้น ชาวไซดอนเรียกว่า สีรีออน และชาวอาโมไรต์เรียกว่า เสนีร์)
10 และทุกเมืองที่เป็นที่ราบ กิเลอาดทั้งหมด และบาชานทั้งหมด ตลอดทุกเส้นทางที่ไปถึงเมืองสาเลคาห์และเมืองเอเดรอี เมืองต่าง ๆ ของอาณาจักรของโอกในบาชาน" 11 (สำหรับส่วนที่เหลือของพวกเรฟาอิม มีเพียงกษัตริย์โอกแห่งบาชานเท่านั้นที่เหลือรอดอยู่ ดูเถิด ที่นอนของเขาเป็นเตียงเหล็ก มันไม่ได้อยู่ในรับบาห์ คือ สถานที่ที่เชื้อสายของอัมโมนอาศัยอยู่หรอกหรือ? เตียงนี้ยาว 9 ศอก กว้าง 4 ศอก นี่คือวิธีวัดขนาดของประชาชน) 12 "ดินแดนนี้ที่พวกเราได้ยึดมาเป็นกรรมสิทธิ์ในเวลานั้น จากอาโรเออร์ คือ ดินแดนที่อยู่ใกล้ลุ่มแม่น้ำอารโนน และครึ่งหนึ่งของประเทศหุบเขาในกิเลอาด และเมืองต่าง ๆ ของดินแดนนั้น เราได้มอบให้แก่เผ่ารูเบนและเผ่ากาด
13 ส่วนที่เหลือของกิเลอาด และบาชานทั้งหมด คืออาณาจักรของโอก ข้าพเจ้าได้มอบให้แก่เผ่ามนัสเสห์ครึ่งเผ่า คือแคว้นทั้งหมดของอารโกบ และบาชานทั้งหมด (อาณาเขตเดียวกันนี้ได้ถูกเรียกว่าเป็นดินแดนของพวกเรฟาอิม 14 ยาอีร์ คือเชื้อสายหนึ่งของมนัสเสห์ ได้รับเอาแคว้นทั้งหมดของอารโกบ ไปจนถึงเขตแดนของชาวเกชูร์และชาวมาอาคาห์ เขาเรียกชื่อแคว้นทั้งหมดแม้แต่บาชานตามชื่อของเขาเอง คือ ฮัฟโวท ยาอีร์ มาจนถึงวันนี้) 15 ข้าพเจ้าได้มอบกิเลอาดให้แก่มาคีร์
16 สำหรับเผ่ารูเบนและเผ่ากาด ข้าพเจ้าได้มอบอาณาเขตจากกิเลอาดไปจนถึงลุ่มแม่น้ำอารโนน คือ นับจากตอนกลางของแม่น้ำเป็นเขตแดนของอาณาเขต และไปจนถึงแม่น้ำยับบอกซึ่งเป็นเขตแดนของเชื้อสายอัมโมน 17 เขตแดนอีกส่วนหนึ่งเป็นที่ราบของแม่น้ำจอร์แดนเช่นกัน จากคินเนเรทไปจนถึงทะเลแห่งอาราบาห์ (คือทะเลเกลือ) ไปจนถึงทางลาดของภูเขาปิสกาห์ในทางทิศตะวันออก
18 ข้าพเจ้าได้บัญชาพวกท่านในเวลานั้นว่า 'พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านได้ทรงมอบดินแดนนี้ให้แก่พวกท่านเป็นกรรมสิทธิ์ พวกท่าน คือ บรรดาชายผู้เป็นนักรบทั้งหมด จะข้ามไปก่อนพี่น้องของพวกท่านคือประชาชนอิสราเอล 19 แต่ภรรยาของพวกท่าน ลูกๆ และฝูงสัตว์ของพวกท่าน (ข้าพเจ้ารู้ว่าพวกท่านมีฝูงสัตว์จำนวนมาก) จะยังคงอยู่ในเมืองต่าง ๆ ของพวกท่านที่ข้าพเจ้าได้มอบให้แก่พวกท่านนั้น 20 จนกว่าพระยาห์เวห์จะประทานการพักสงบให้แก่พี่น้องของพวกท่านเหมือนกับที่พระองค์ได้ประทานให้แก่พวกท่าน จนกระทั่งพวกเขายึดครองดินแดนที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านจะทรงมอบให้แก่พวกเขาคือดินแดนอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดนนั้น จากนั้นพวกท่านคือพวกผู้ชายทุกคนจะกลับมายังดินแดนที่ข้าพเจ้าได้มอบให้แก่พวกท่านแล้วนั้น'
21 ข้าพเจ้าได้บัญชาโยชูวาในเวลานั้น โดยกล่าวว่า 'สายตาของท่านได้มองเห็นทุกสิ่งที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านได้ทรงกระทำต่อกษัตริย์ทั้งสองเหล่านี้ พระยาห์เวห์จะทรงกระทำอย่างเดียวกันต่อทุกอาณาจักรที่ท่านเข้าไป 22 ท่านจะไม่กลัวพวกเขา เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงเป็นผู้เดียวที่จะต่อสู้เพื่อท่าน' 23 ข้าพเจ้าทูลขอพระยาห์เวห์ในเวลานั้น โดยกล่าวว่า 24 'โอ พระเจ้าพระยาห์เวห์ พระองค์ได้ทรงเริ่มต้นสำแดงแก่ผู้รับใช้ของพระองค์ถึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์และถึงพระหัตถ์อันเข้มแข็งของพระองค์ จะมีพระใดที่อยู่ในฟ้าสวรรค์หรือในโลกนี้ที่สามารถกระทำพระราชกิจอย่างเดียวกันกับที่พระองค์ได้ทรงกระทำ และสามารถกระทำกิจอันทรงฤทธิ์ได้เหมือนพระองค์หรือ?
25 ข้าพระองค์ขอทูลวิงวอนพระองค์ ขอให้ข้าพระองค์ได้ข้ามไป และมองเห็นดินแดนอันประเสริฐที่อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดน เห็นประเทศหุบเขาที่ดี และเห็นเลบานอนด้วยเถิด' 26 แต่พระยาห์เวห์ทรงพิโรธข้าพเจ้าเหตุเพราะพวกท่าน พระองค์ไม่ทรงฟังเสียงข้าพเจ้า พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับข้าพเจ้าว่า 'ให้เรื่องนี้พอแล้วสำหรับเจ้า จงอย่าพูดกับเราด้วยเรื่องนี้อีกต่อไป
27 จงขึ้นไปบนยอดเขาปิสกาห์และเปิดตาของเจ้ามองไปทางทิศตะวันตก ทิศเหนือ ทิศใต้ และทิศตะวันออก จงมองดูด้วยสายตาของเจ้า เพราะเจ้าจะไม่ได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดน 28 แต่จงสั่งสอนโยชูวา และหนุนใจ และเสริมกำลังเขา เพราะเขาจะข้ามนำหน้าไปก่อนประชาชนนี้ และเขาจะทำให้ประชาชนได้รับดินแดนที่เจ้าจะมองเห็นนั้นเป็นมรดก' 29 ดังนั้นพวกเราจึงยังคงอยู่ในหุบเขาฝั่งตรงข้ามกับเบธเปโอร์
1 บัดนี้ อิสราเอลเอ๋ย จงฟังกฎบัญญัติและข้อบังคับที่ข้าพเจ้าจะสอนพวกท่าน จงปฏิบัติตามเพื่อพวกท่านจะมีชีวิตและเข้าไปยึดครองดินแดนที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของบรรพบุรุษของพวกท่านจะทรงมอบให้แก่พวกท่าน 2 พวกท่านจะไม่เพิ่มเข้าไปในถ้อยคำใดๆ ที่ข้าพเจ้าได้บัญชาแก่พวกท่าน และจะไม่ทำให้น้อยลง เพื่อว่าพวกท่านจะรักษาคำบัญชาต่างๆ ของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านที่ข้าพเจ้าได้บัญชาพวกท่านนั้น 3 ดวงตาของพวกท่านได้มองเห็นสิ่งที่พระยาห์เวห์กระทำเนื่องจากพระบาอัลเปโอร์ ทุกคนที่ติดตามพระบาอัลเปโอร์ พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านได้ทรงทำลายพวกเขาไปจากท่ามกลางพวกท่านแล้ว
4 แต่พวกท่านผู้ยึดมั่นต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านก็มีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้ คือ พวกท่านทุกคน 5 ดูเถิด ข้าพเจ้าได้สอนกฎบัญญัติและข้อบังคับให้แก่พวกท่านตามที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพเจ้าได้บัญชาแก่ข้าพเจ้า เพื่อพวกท่านจะกระทำตามในท่ามกลางดินแดนที่พวกท่านกำลังเข้าไปเพื่อยึดครองนั้น 6 ดังนั้นจงถือรักษาและกระทำตาม เพราะนี่คือสติปัญญาและความเข้าใจของพวกท่านในสายตาของประชาชนต่างๆ ผู้ที่จะได้ยินเกี่ยวกับกฎหมายทั้งหมดเหล่านี้โดยกล่าวว่า 'แน่ทีเดียวที่ชนชาติอันยิ่งใหญ่นี้คือประชาชนผู้มีสติปัญญาและความเข้าใจ'
7 เพราะมีชนชาติใหญ่อื่นใดที่มีพระเจ้าองค์หนึ่งที่อยู่ใกล้พวกเขา เหมือนดังพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเราที่พวกเราร้องทูลต่อพระองค์ได้ทุกเมื่ออย่างนั้นหรือ? 8 มีชนชาติใหญ่อื่นใดที่มีกฎบัญญัติและข้อบังคับอันชอบธรรมเหมือนกับกฎบัญญัติเหล่านี้ที่ข้าพเจ้าได้ตั้งไว้ตรงหน้าของพวกท่านในวันนี้อย่างนั้นหรือ? 9 เพียงแต่จงเอาใจใส่และปกป้องตัวของพวกท่านเอาไว้ให้ดี เพื่อว่าพวกท่านจะไม่หลงลืมสิ่งต่างๆ ที่ดวงตาของพวกท่านได้เห็นแล้ว เพื่อว่าสิ่งเหล่านี้จะไม่ออกไปจากหัวใจของพวกท่านไปจนตลอดวันเวลาแห่งชีวิตของพวกท่าน แต่จงทำให้บรรดาลูกและบรรดาหลานของพวกท่านได้รู้ถึงสิ่งเหล่านี้เถิด
10 ในวันนั้นที่พวกท่านได้ยืนต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านที่โฮเรบ เมื่อพระยาห์เวห์ได้ตรัสแก่ข้าพเจ้าว่า 'จงเรียกประชาชนมาชุมนุมต่อหน้าเรา และเราจะทำให้พวกเขาได้ยินบรรดาถ้อยคำของเรา เพื่อพวกเขาจะสามารถเรียนรู้ที่จะยำเกรงเราในทุกวันที่พวกเขามีชีวิตอยู่บนแผ่นดินโลกนี้ และที่พวกเขาจะสอนให้แก่บรรดาลูกหลานของพวกเขา' 11 พวกท่านได้เข้ามาใกล้และยืนอยู่ที่เชิงเขา ภูเขานั้นมีไฟลุกโชติช่วงขึ้นไปถึงใจกลางของท้องฟ้า มีความมืดครึ้ม มีเมฆ และความมืดหนาแน่น 12 พระยาห์เวห์ตรัสกับพวกท่านออกมาจากกลางเพลิงนั้น พวกท่านได้ยินเสียงพร้อมกับบรรดาถ้อยคำ แต่พวกท่านไม่ได้เห็นรูปพรรณสัณฐาน พวกท่านเพียงแค่ได้ยินเสียงเท่านั้น
13 พระองค์ได้ทรงประกาศต่อพวกท่านถึงพันธสัญญาที่พระองค์ได้ทรงบัญชาพวกท่านให้ปฏิบัติ คือ บัญญัติสิบประการ พระองค์ทรงเขียนบัญญัติเหล่านั้นบนศิลาสองแผ่น 14 พระยาห์เวห์ได้ทรงบัญชาข้าพเจ้าในเวลานั้น เพื่อสอนกฎหมายและกฎบัญญัติให้แก่พวกท่านได้กระทำตามในดินแดนที่พวกท่านกำลังข้ามไปเพื่อยึดครอง 15 ดังนั้นจงเอาใจใส่ตัวของพวกท่านให้ดี เพราะพวกท่านไม่ได้เห็นรูปพรรณสัณฐานในวันนั้นที่พระยาห์เวห์ตรัสออกมาจากกลางเพลิงนั้นที่โฮเรบ
16 พวกท่านอย่าทำตัวเองให้เสื่อมเสีย และสร้างรูปแกะสลักที่เป็นเหมือนกับสิ่งทรงสร้างใด ๆ รูปปั้นที่เป็นชายหรือหญิง 17 หรือรูปเหมือนของสัตว์ชนิดใด ๆ ที่อยู่บนแผ่นดินโลก หรือรูปเหมือนของนกมีปีกที่บินในท้องฟ้า 18 หรือรูปเหมือนของสิ่งใด ๆ ที่เลื้อยคลานไปบนดิน หรือรูปเหมือนของปลาใด ๆ ที่อยู่ในน้ำใต้แผ่นดินโลก
19 พวกท่านอย่าเปิดดวงตาของพวกท่านมองขึ้นไปที่ท้องฟ้า และมองที่ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ หรือดวงดาวต่าง ๆ คือบริวารทั้งหมดของท้องฟ้า และถูกชักนำให้นมัสการสิ่งเหล่านั้นและบูชาสิ่งเหล่านั้น คือ สิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านได้ประทานให้เป็นการแบ่งสรรแก่ประชาชนทุกคนภายใต้ท้องฟ้าทั้งหมด 20 แต่พระยาห์เวห์ได้ยึดท่านและนำท่านออกมาจากเตาเหล็ก คือออกจากอียิปต์ เพื่อเป็นประชาชนที่เป็นมรดกของพระองค์เองอย่างที่พวกท่านเป็นในทุกวันนี้
21 พระยาห์เวห์ทรงพิโรธข้าพเจ้าเหตุเพราะพวกท่าน พระองค์ทรงสัญญาว่าข้าพเจ้าจะไม่ได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดน และที่ข้าพเจ้าไม่สมควรเข้าไปในดินแดนอันประเสริฐ คือดินแดนที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านกำลังจะมอบให้แก่พวกท่านเป็นกรรมสิทธิ์นั้น 22 แต่ข้าพเจ้าต้องตายในดินแดนนี้ ข้าพเจ้าต้องไม่ข้ามแม่น้ำจอร์แดน แต่พวกท่านจะข้ามไปและยึดครองดินแดนอันประเสริฐนั้น 23 จงระวังตัวของพวกท่านให้ดี เพื่อพวกท่านจะไม่หลงลืมพันธสัญญาของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านที่พระองค์ได้ทรงกระทำกับพวกท่าน และสร้างรูปแกะสลักที่เป็นรูปทรงใด ๆ เพื่อตัวของพวกท่านเองดังที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านได้ทรงห้ามไม่ให้พวกท่านกระทำนั้น 24 เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านทรงเป็นเพลิงที่เผาผลาญและเป็นพระเจ้าผู้ทรงหวงแหน
25 เมื่อพวกท่านให้กำเนิดบรรดาลูกและหลานทั้งหลาย และเมื่อพวกท่านจะอาศัยอยู่ในดินแดนนั้นเป็นเวลานาน และถ้าพวกท่านจะทำตัวเองให้เสื่อมเสีย และสร้างรูปแกะสลักเป็นรูปทรงของสิ่งใด ๆ และทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน ซึ่งเป็นการยั่วยุให้พระองค์ทรงพิโรธ 26 ข้าพเจ้าอันเชิญท้องฟ้าและแผ่นดินโลกให้เป็นพยานเพื่อต่อต้านพวกท่านในวันนี้ ที่ไม่ช้านานพวกท่านจะพินาศอย่างสิ้นเชิงจากดินแดนที่พวกท่านกำลังจะข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปยึดครองนั้น พวกท่านจะไม่ได้ยืดเวลาของพวกท่านให้ยาวนาน แต่พวกท่านจะถูกทำลายอย่างสิ้นซาก 27 พระยาห์เวห์จะทำให้พวกท่านกระจัดกระจายไปท่ามกลางประชาชนทั้งหลาย และพวกท่านจะเหลือเพียงจำนวนน้อยในท่ามกลางบรรดาประชาชาติที่พระยาห์เวห์จะทรงนำท่านให้จากไปนั้น
28 ที่นั่นพวกท่านจะปรนนิบัติบรรดาพระอื่น การงานแห่งน้ำมือของมนุษย์ คือไม้และหิน ที่มองไม่เห็น ไม่ได้ยิน รับประทานไม่ได้ หรือดมกลิ่นไม่ได้ 29 แต่จากที่นั่นพวกท่านจะแสวงหาพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน และพวกท่านจะพบพระองค์ เมื่อพวกท่านเสาะหาพระองค์ด้วยสุดใจของพวกท่าน และด้วยสุดจิตของพวกท่าน 30 เมื่อพวกท่านอยู่ในความเศร้าโศก และเมื่อสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ทั้งหมดมาเหนือพวกท่าน ในวันเหล่านั้นต่อมาพวกท่านจะหันกลับมาหาพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน และฟังเสียงของพระองค์
31 เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงพระเมตตา พระองค์จะไม่ทรงทำให้พวกท่านผิดหวังหรือทรงทำลายพวกท่าน หรือทรงลืมพันธสัญญาของบรรดาบรรพบุรุษของพวกท่านที่พระองค์ได้ทรงสัญญาเอาไว้กับพวกเขา 32 บัดนี้จงถามถึงวันเหล่านั้นในอดีต คือวันที่อยู่ก่อนพวกท่าน นับจากวันนั้นที่พระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์บนแผ่นดินโลกนี้ และจากฟากฟ้าหนึ่งไปจนถึงอีกฟากฟ้าหนึ่ง จงถามว่าเคยมีสิ่งใดเหมือนกับสิ่งที่ยิ่งใหญ่นี้บ้างหรือ? หรือมีสิ่งใดที่เคยได้ยินมาอย่างนี้บ้างหรือ?
33 เคยมีคนได้ยินเสียงของพระเจ้าที่ตรัสออกมาจากกลางเพลิงอย่างที่พวกท่านได้ยินและยังมีชีวิตอยู่แบบนี้ไหม? 34 หรือเคยมีพระเจ้าองค์ใดที่ได้พยายามไปและนำชนชาติหนึ่งมาเพื่อพระองค์เองจากท่ามกลางอีกชนชาติหนึ่งด้วยการลองใจ ด้วยหมายสำคัญ ด้วยการอัศจรรย์ ด้วยสงคราม ด้วยพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ และด้วยพระกรที่เหยียดออก และด้วยเหตุที่น่ากลัวยิ่งนัก ดังที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านได้ทรงกระทำเพื่อพวกท่านในอียิปต์ต่อหน้าต่อตาพวกท่านอย่างนั้นหรือ?
35 สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ทรงสำแดงแก่พวกท่าน เพื่อพวกท่านจะรู้ว่า พระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้า และนอกจากพระองค์แล้วไม่มีพระเจ้าอื่นใดเลย 36 จากท้องฟ้า พระองค์ได้ทรงกระทำให้พวกท่านได้ยินเสียงของพระองค์ เพื่อพระองค์จะทรงสั่งสอนพวกท่าน บนแผ่นดินโลก พระองค์ได้ทรงกระทำให้พวกท่านเห็นเพลิงอันยิ่งใหญ่ พวกท่านได้ยินถ้อยคำของพระองค์ออกมาจากท่ามกลางเพลิงนั้น 37 เพราะพระองค์ทรงรักบรรดาบรรพบุรุษของพวกท่าน พระองค์ทรงเลือกเชื้อสายที่ตามมาของพวกเขา และนำพวกท่านออกมาจากอียิปต์พร้อมกับการทรงสถิตของพระองค์ พร้อมกับฤทธิ์อำนาจอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ 38 เพื่อขับไล่ชนชาติทั้งหลายที่ยิ่งใหญ่กว่าและเข้มแข็งกว่าออกไปต่อหน้าต่อตาของพวกท่าน เพื่อนำพวกท่านเข้ามาและเพื่อมอบดินแดนของพวกท่านให้เป็นกรรมสิทธิ์อย่างเช่นในทุกวันนี้
39 ดังนั้นในวันนี้จงรู้เถิด และฝังสิ่งนี้เอาไว้ในหัวใจของพวกท่าน ว่าพระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้าในฟ้าเบื้องบนและบนแผ่นดินโลกเบื้องล่าง ไม่มีผู้ใดอีกแล้ว 40 พวกท่านจะรักษาบรรดากฎหมายของพระองค์และพระบัญชาทั้งหลายของพระองค์ที่ข้าพเจ้าได้บัญชาพวกท่านในวันนี้ เพื่อพวกท่านจะไปดีมาดีและพร้อมทั้งบรรดาบุตรหลานที่มาภายหลังพวกท่านด้วย และเพื่อวันเวลาของพวกท่านจะยืนยาวในดินแดนที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านประทานให้แก่พวกท่านเป็นนิตย์"
41 แล้วโมเสสจึงได้เลือกเมืองสามเมืองทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน 42 เพื่อคนจะหลบหนีไปที่เมืองใดเมืองหนึ่งในเมืองเหล่านี้ ถ้าหากเขาได้ฆ่าคนโดยไม่เจตนา โดยไม่ได้เป็นศัตรูกันมาก่อน โดยการหนีไปที่เมืองใดเมืองหนึ่งเหล่านี้ เขาจะรอดชีวิต 43 เมืองเหล่านี้คือ เมืองเบเซอร์ในถิ่นทุรกันดาร คือประเทศบนที่ราบ สำหรับเผ่ารูเบน เมืองราโมทในกิเลอาด สำหรับเผ่ากาด และเมืองโกลานในบาชาน สำหรับเผ่ามนัสเสห์
44 นี่คือกฎบัญญัติที่โมเสสได้วางไว้ต่อหน้าประชาชนอิสราเอล 45 เหล่านี้คือกฎหมายที่เป็นพันธสัญญา กฎบัญญัติต่าง ๆ และกฎหมายอื่น ๆ ที่โมเสสได้กล่าวต่อประชาชนอิสราเอลเมื่อพวกเขาออกมาจากอียิปต์ 46 เมื่อพวกเขาอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน ในหุบเขาตรงกันข้ามกับเบธเปโอร์ ในดินแดนของสิโหนผู้เป็นกษัตริย์ชาวอาโมไรต์ผู้อาศัยอยู่ที่เฮชโบน คือผู้ที่โมเสสและประชาชนอิสราเอลได้ปราบให้พ่ายแพ้เมื่อพวกเขาออกมาจากอียิปต์
47 พวกเขายึดดินแดนของสิโหนเป็นกรรมสิทธิ์ และดินแดนของโอกผู้เป็นกษัตริย์แห่งบาชาน เหล่านี้คือกษัตริย์ทั้งสองของคนอาโมไรต์ผู้อยู่อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดนไปทางทิศตะวันออก 48 อาณาเขตนี้นับจากอาโรเออร์ไปถึงสุดขอบลุ่มแม่น้ำอารโนน ไปจนถึงภูเขาสีรีออน (หรือภูเขาเฮอร์โมน) 49 และรวมถึงที่ราบทั้งหมดของแม่น้ำจอร์แดน ทางฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดนไปจนถึงทะเลแห่งอาราบาห์ ไปถึงเนินลาดของปิสกาห์
1 โมเสสได้เรียกชาวอิสราเอลทั้งหมดและกล่าวแก่พวกเขาว่า 'อิสราเอลเอ๋ย จงฟังกฎบัญญัติและกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่ข้าพเจ้าจะกล่าวให้พวกท่านได้ยินในวันนี้ เพื่อพวกท่านจะเรียนรู้และถือรักษาเอาไว้ 2 พระยาห์เวห์พระเจ้าของเราได้ทรงกระทำพันธสัญญาต่อพวกเราที่โฮเรบ 3 พระยาห์เวห์มิได้ทรงกระทำพันธสัญญานี้กับบรรดาบรรพบุรุษของพวกเรา แต่ทรงกระทำกับพวกเรา พวกเราทุกคนที่ยังมีชีวิตอยู่ที่นี่ในทุกวันนี้ 4 พระยาห์เวห์ได้ตรัสแก่พวกท่านหน้าต่อหน้าที่บนภูเขาออกมาจากกลางเพลิงนั้น
5 (ข้าพเจ้าได้ยืนอยู่ระหว่างพระยาห์เวห์กับพวกท่านในเวลานั้น เพื่อเปิดเผยถ้อยคำของพระองค์ให้แก่พวกท่าน เพราะพวกท่านหวาดกลัวเนื่องจากเพลิงนั้น และพวกท่านไม่ได้ขึ้นไปบนภูเขา) พระยาห์เวห์ได้ตรัสว่า 6 'เราคือพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้า ผู้นำพวกเจ้าออกมาจากดินแดนอียิปต์ ออกมาจากครัวเรือนของทาส 7 พวกเจ้าจะไม่มีพระอื่นใดต่อหน้าเรา 8 พวกเจ้าจะไม่ทำรูปสลักสำหรับตัวเองหรือรูปเหมือนของสิ่งใด ๆ ที่อยู่บนฟ้าเบื้องบน หรือที่อยู่บนแผ่นดินเบื้องล่าง หรือที่อยู่ในใต้น้ำนั้น
9 พวกเจ้าจะไม่ก้มกราบลงหรือปรนนิบัติสิ่งเหล่านั้น เพราะเราคือพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้าเป็นพระเจ้าผู้ทรงหวงแหน เราลงโทษความชั่วช้าของบรรดาบรรพบุรุษนั้นโดยการนำการลงโทษมาเหนือบรรดาบุตรหลาน คือ ชั่วอายุที่สามและสี่ของบรรดาคนที่เกลียดชังเรา 10 และสำแดงความสัตย์ซื่อตามพันธสัญญาต่อหลายพันชั่วอายุ ต่อบรรดาคนเหล่านั้นที่รักเราและถือรักษาพระบัญชาทั้งหลายของเรา 11 พวกเจ้าจะไม่ยกพระนามของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้าอย่างไม่สมควร เพราะพระยาห์เวห์จะไม่ปล่อยคนที่ยกพระนามของพระยาห์เวห์อย่างไม่สมควรให้ไร้ความผิด
12 จงรักษาวันสะบาโตให้เป็นวันบริสุทธิ์ ดังที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้าได้บัญชาพวกเจ้า 13 พวกเจ้าจะลงแรงหรือทำงานทั้งหมดของพวกเจ้าในหกวัน 14 แต่ในวันที่เจ็ดคือวันสะบาโตจงถวายแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้า ในวันนั้นพวกเจ้าจะไม่ทำการงานใด ๆ ไม่ว่าตัวเจ้า หรือบุตรชายของพวกเจ้า หรือบุตรสาวของพวกเจ้า หรือทาสชายของพวกเจ้า หรือทาสหญิงของพวกเจ้า หรือวัวผู้ของพวกเจ้า หรือลาของพวกเจ้า หรือฝูงสัตว์ใด ๆ ของพวกเจ้า หรือคนต่างชาติคนใดก็ตามที่อาศัยอยู่ในรั้วประตูของพวกเจ้า สิ่งนี้เพื่อให้คนรับใช้ชายและคนรับใช้หญิงของพวกเจ้าได้พักผ่อนเหมือนกับพวกเจ้าด้วย
15 พวกเจ้าจะระลึกถึงว่าพวกเจ้าได้เป็นทาสในดินแดนอียิปต์ และพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้าได้ทรงนำพวกเจ้าออกมาจากที่นั่นโดยพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์และโดยพระกรที่เหยียดออก ด้วยเหตุนี้พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้าจึงได้ทรงบัญชาให้พวกเจ้าถือรักษาวันสะบาโต 16 จงให้เกียรติแก่บิดาของพวกเจ้าและแก่มารดาของพวกเจ้า ดังที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้าได้ทรงบัญชาให้พวกเจ้ากระทำนั้น เพื่อพวกเจ้าจะมีชีวิตยืนยาวในแผ่นดินที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้าประทานให้แก่พวกเจ้า และเพื่อพวกเจ้าจะไปดีมาดี
17 พวกเจ้าจะไม่ฆ่าคน 18 พวกเจ้าจะไม่ล่วงประเวณี 19 พวกเจ้าจะไม่ลักขโมย 20 พวกเจ้าจะไม่ให้คำพยานเท็จต่อต้านเพื่อนบ้านของพวกเจ้า 21 พวกเจ้าจะไม่อยากได้ภรรยาของเพื่อนบ้าน พวกเจ้าจะไม่อยากได้บ้านของเพื่อนบ้าน ทุ่งนาของเขา หรือทาสชายของเขา หรือทาสหญิงของเขา วัวผู้ของเขา หรือลาของเขา หรือสิ่งใด ๆ ที่เป็นของเพื่อนบ้านของพวกเจ้า'
22 ถ้อยคำเหล่านี้ พระยาห์เวห์ได้ตรัสด้วยพระสุรเสียงอันดังต่อที่ชุมนุมชนทั้งหมดของพวกท่านบนภูเขาออกมาจากกลางเพลิง จากก้อนเมฆ และจากความมืดทึบ พระองค์ไม่ได้ทรงเพิ่มเติมถ้อยคำใด ๆ อีก พระองค์ทรงจารึกถ้อยคำเหล่านั้นบนศิลาสองแผ่นและได้ประทานให้แก่ข้าพเจ้า 23 ต่อมาเมื่อพวกท่านได้ยินพระสุรเสียงตรัสออกมาจากท่ามกลางความมืดในขณะที่ภูเขานั้นกำลังลุกไหม้ ซึ่งพวกท่านได้เข้ามาใกล้ข้าพเจ้า คือ บรรดาผู้อาวุโสทั้งหมดของพวกท่านและบรรดาหัวหน้าเผ่าต่าง ๆ ของพวกท่าน
24 พวกท่านกล่าวว่า 'ดูเถิด พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเราได้ทรงสำแดงพระสิริของพระองค์และความยิ่งใหญ่ของพระองค์แก่พวกเรา และพวกเราได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ออกมาจากกลางเพลิง ในวันนี้พวกเราได้เห็นแล้วว่าเมื่อพระเจ้าตรัสกับประชากร พวกเขาสามารถมีชีวิตอยู่ 25 แต่ทำไมพวกเราจึงสมควรตาย? เพราะเพลิงอันยิ่งใหญ่นี้จะเผาผลาญพวกเรา ถ้าพวกเราได้ยินพระสุรเสียงของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเรานานกว่านี้ เราจะตายแน่ 26 เพราะนอกเหนือจากพวกเรา มีใครหรือในท่ามกลางมนุษย์ทั้งหมดที่ได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ตรัสออกมาจากกลางเพลิงและยังได้มีชีวิตอยู่เหมือนอย่างพวกเราหรือ?
27 สำหรับท่านนั้น ท่านควรไปและฟังทุกสิ่งที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเราตรัส ขอทบทวนทุกสิ่งที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของเราตรัสกับท่านให้แก่พวกเรา พวกเราจะฟังและกระทำตาม' 28 พระยาห์เวห์ทรงได้ยินถ้อยคำต่าง ๆ ของพวกท่านเมื่อพวกท่านได้กล่าวแก่ข้าพเจ้า พระองค์ได้ตรัสกับข้าพเจ้าว่า 'เราได้ยินถ้อยคำต่าง ๆ ของประชาชนนี้ สิ่งที่พวกเขากล่าวนั้นดี
29 โอ ซึ่งมีหัวใจเช่นนี้ในพวกเขา ที่พวกเขาจะให้เกียรติแก่เราและรักษาคำบัญชาทั้งสิ้นของเราเสมอ เพื่อพวกเขาและบรรดาบุตรหลานของพวกเขาจะไปดีมาดีเป็นนิตย์ 30 จงไปพูดกับพวกเขาว่า "จงกลับไปยังเต็นท์ของพวกเจ้าเถิด"
31 แต่สำหรับเจ้า จงยืนอยู่ที่นี่กับเรา และเราจะบอกเจ้าถึงคำบัญชาทั้งสิ้น พระบัญญัติและกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่เจ้าจะสอนพวกเขา เพื่อพวกเขาจะถือรักษาในดินแดนที่เราจะมอบให้แก่พวกเขาเป็นกรรมสิทธิ์' 32 ด้วยเหตุนี้ พวกท่านจะถือรักษาสิ่งที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านได้ทรงบัญชาแก่พวกท่าน พวกท่านจะไม่หันเหไปทางขวาหรือหันเหไปทางซ้าย 33 พวกท่านจะเดินในทุกทางที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านได้ทรงบัญชาแก่พวกท่าน เพื่อว่าพวกท่านจะมีชีวิตอยู่ และเพื่อพวกท่านจะไปดีมาดี และเพื่อพวกท่านจะมีวันเวลาที่ยืนยาวในดินแดนที่พวกท่านจะได้เป็นกรรมสิทธิ์นั้น
1 ดังนั้น เหล่านี้คือพระบัญชา กฎบัญญัติ และกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านได้ทรงบัญชาข้าพเจ้าให้สอนพวกท่าน เพื่อว่าพวกท่านจะถือรักษาไว้ในดินแดนที่พวกท่านกำลังจะข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปเพื่อยึดครองนั้น 2 เพื่อว่าพวกท่านจะให้เกียรติต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน เมื่อพวกท่านถือรักษากฎบัญญัติและพระบัญชาทั้งสิ้นของพระองค์ที่ข้าพเจ้ากำลังบัญชาให้แก่พวกท่าน คือพวกท่าน บรรดาบุตรชายของพวกท่าน และบรรดาบุตรหลานของพวกท่าน ตลอดทุกวันในชีวิตของพวกท่าน เพื่อวันเวลาของพวกท่านจะยืนยาว
3 ด้วยเหตุนี้ อิสราเอลเอ๋ย จงฟังถ้อยคำเหล่านี้และถือรักษาเอาไว้เพื่อว่าพวกท่านจะไปดีมาดี เพื่อว่าพวกท่านจะทวีคูณอย่างมากมายในดินแดนที่มีน้ำนมและน้ำผึ้งไหลล้น ตามที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของบรรพบุรุษของพวกท่านได้ทรงสัญญาแก่พวกท่านว่าจะทรงกระทำ 4 อิสราเอลเอ๋ยจงฟังเถิด พระยาห์เวห์พระเจ้าของเราทรงเป็นพระเจ้าเดียว 5 พวกท่านจะรักพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านด้วยสิ้นสุดหัวใจของพวกท่าน ด้วยสิ้นสุดจิตของพวกท่าน และด้วยสิ้นสุดกำลังของพวกท่าน
6 ถ้อยคำทั้งหลายที่ข้าพเจ้ากำลังบัญชาพวกท่านในวันนี้ จะอยู่ในหัวใจของพวกท่าน 7 และพวกท่านจะหมั่นเพียรสอนถ้อยคำเหล่านี้ให้แก่บรรดาบุตรหลานของพวกท่าน พวกท่านจะพูดถึงถ้อยคำเหล่านี้เมื่อพวกท่านนั่งอยู่ในบ้านของพวกท่าน เมื่อพวกท่านเดินไปบนถนน เมื่อพวกท่านนอนลง และเมื่อพวกท่านลุกขึ้น 8 พวกท่านจะผูกถ้อยคำเหล่านี้เป็นดั่งเครื่องหมายอยู่บนมือของพวกท่าน และพวกท่านจะคาดไว้ที่หน้าผากระหว่างดวงตาของพวกท่าน 9 พวกท่านจะเขียนถ้อยคำเหล่านี้เอาไว้บนวงกบประตูบ้านของพวกท่านและบนประตูรั้วของพวกท่าน
10 เมื่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านทรงนำพวกท่านเข้าไปในดินแดนที่พระองค์ได้ทรงสัญญาเอาไว้ต่อบรรดาบรรพบุรุษของพวกท่าน คือต่ออับราฮัม ต่ออิสอัค และต่อยาโคบ ที่พระองค์จะประทานให้แก่พวกท่าน พร้อมกับเมืองต่าง ๆ ที่กว้างใหญ่และดียิ่งนักซึ่งพวกท่านไม่ได้สร้าง 11 และบรรดาบ้านเรือนที่เต็มไปด้วยสิ่งที่ดีทุกอย่างซึ่งพวกท่านไม่ได้กระทำ บ่อน้ำต่าง ๆ ที่พวกท่านไม่ได้ขุด และบรรดาสวนองุ่นกับต้นมะกอกที่พวกท่านไม่ได้ปลูก พวกท่านจะรับประทานและอิ่มหนำ
12 ดังนั้นจงเอาใจใส่ให้ดี เพื่อว่าพวกท่านจะไม่หลงลืมพระยาห์เวห์ ผู้ทรงได้นำพวกท่านออกจากดินแดนอียิปต์ ออกจากเรือนทาส 13 พวกท่านจะให้เกียรติต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน พวกท่านจะนมัสการพระองค์ และพวกท่านจะปฏิญาณโดยพระนามของพระองค์ 14 พวกท่านจะไม่ติดตามพระอื่น ๆ บรรดาพระทั้งหลายของประชาชนที่อยู่ล้อมรอบพวกท่าน
15 เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านที่อยู่ท่ามกลางพวกท่านนั้นทรงเป็นพระเจ้าที่หวงแหน ถ้าหากพวกท่านกระทำ พระพิโรธของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านจะพลุ่งขึ้นเพื่อโจมตีพวกท่าน และพระองค์จะทำลายพวกท่านจากผืนแผ่นดินโลก 16 พวกท่านจะไม่ทดสอบพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านเหมือนที่พวกท่านได้ทดสอบพระองค์ที่มัสสาห์ 17 พวกท่านจะเคร่งครัดในการถือรักษาพระบัญชาต่าง ๆ ของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน พระบัญชาเกี่ยวเนื่องด้วยพิธีต่าง ๆ ของพระองค์ และกฎบัญญัติของพระองค์ ที่พระองค์ได้ทรงบัญชาพวกท่านเอาไว้
18 พวกท่านจะทำสิ่งที่ถูกต้องและดีงามในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ เพื่อพวกท่านจะไปดีมาดี และเพื่อพวกท่านจะเข้าไปและยึดครองดินแดนอันประเสริฐที่พระยาห์เวห์ได้ทรงสัญญาเอาไว้กับบรรดาบรรพบุรุษของพวกท่าน 19 เพื่อขับไล่บรรดาศัตรูทั้งหมดของพวกท่านที่อยู่ต่อหน้าพวกท่าน ดังที่พระยาห์เวห์ได้ตรัสไว้นั้น
20 เมื่อบุตรชายของพวกท่านถามพวกท่านในเวลาที่จะมาถึง กล่าวว่า 'อะไรคือกฎเกณฑ์ กฎบัญญัติต่าง ๆ ตามพันธสัญญา และกฎเกณฑ์อื่น ๆ ที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเราได้ทรงบัญชาแก่พวกท่าน?' 21 แล้วพวกท่านจะพูดกับบุตรชายของพวกท่านว่า 'เราได้เคยตกเป็นทาสของฟาโรห์ในอียิปต์ พระยาห์เวห์ได้ทรงนำพวกเราออกจากอียิปต์ด้วยพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ 22 และพระองค์ได้ทรงกระทำหมายสำคัญและการอัศจรร์ย์ต่าง ๆ ทรงกระทำกิจอันยิ่งใหญ่และรุนแรง เหนืออียิปต์ เหนือฟาโรห์ และเหนือครัวเรือนทั้งหมดของเขาต่อหน้าต่อตาของพวกเรา
23 และพระองค์ได้ทรงนำพวกเราออกจากที่นั่น เพื่อว่าพระองค์จะทรงนำพวกเราเข้าไปในดินแดนที่พระองค์ได้ทรงสัญญาเอาไว้แก่บรรดาบรรพบุรุษของพวกเราว่าจะทรงมอบให้แก่พวกเรา 24 พระยาห์เวห์ได้ทรงบัญชาพวกเราให้ถือรักษากฎบัญญัติทั้งสิ้นเหล่านี้เสมอ ให้ยำเกรงพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเราเพื่อผลดีของพวกเราเอง เพื่อพระองค์จะทรงรักษาพวกเราให้มีชีวิตดังที่พวกเราเป็นอยู่ในทุกวันนี้ 25 ถ้าหากพวกเราถือรักษาพระบัญชาทั้งสิ้นเหล่านี้ต่อพระพักตร์ของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเรา ตามที่พระองค์ได้ทรงบัญชาเอาไว้แก่พวกเรานั้น สิ่งนี้จะเป็นความชอบธรรมของพวกเรา'
1 เมื่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านทรงนำพวกท่านเข้ามาในดินแดนที่พวกท่านได้เป็นกรรมสิทธิ์นั้น พระองค์จะทรงขับไล่ชนชาติทั้งหลายที่อยู่ต่อหน้าพวกท่าน คือชาวฮิตไทต์ ชาวเกอร์กาชี ชาวอาโมไรต์ ชาวคานาอัน ชาวเปริสซี และชาวเยบุส ชนชาติเจ็ดชนชาติที่ยิ่งใหญ่กว่าและมีกำลังมากกว่าพวกท่าน 2 คือ พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านเป็นผู้ประทานชนชาติเหล่านั้นให้แก่พวกท่านเมื่อพวกท่านรบชนะพวกเขา และพวกท่านต้องทำลายพวกเขาให้สิ้นซาก พวกท่านจะไม่ทำพันธสัญญาใด ๆ กับพวกเขา และไม่สำแดงความเมตตาต่อพวกเขาเลย
3 พวกท่านอย่าได้ทำการสมรสใด ๆ กับพวกเขา พวกท่านจะไม่มอบบรรดาบุตรหญิงของพวกท่านให้แก่บรรดาบุตรชายของพวกเขา และพวกท่านจะไม่นำบรรดาบุตรหญิงของพวกเขามาให้แก่บรรดาบุตรชายของพวกท่าน 4 เพราะพวกเขาจะทำให้บรรดาบุตรชายของพวกท่านหันเหไปจากการติดตามเรา เพื่อพวกเขาจะนมัสการพระอื่น แล้วพระพิโรธของพระยาห์เวห์จะพลุ่งขึ้นโจมตีพวกท่าน และพระองค์จะทรงทำลายพวกท่านอย่างรวดเร็ว 5 นี่คือวิธีการที่พวกท่านจะจัดการกับพวกเขา พวกท่านจะทำลายแท่นบูชาพวกเขา ทุบบรรดาเสาหินของพวกเขาจนแหลกเป็นชิ้น โค่นเสาอาเชราห์ลง และเผาบรรดารูปเคารพของพวกเขาเสีย
6 เพราะพวกท่านเป็นชนชาติหนึ่งที่ได้รับการแยกเอาไว้เพื่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน พระองค์ได้ทรงเลือกพวกท่านให้เป็นประชาชาติที่พระองค์ทรงครอบครอง ยิ่งกว่าประชาชาติอื่นทั้งหมดที่อยู่บนผืนแผ่นดินโลกนี้ 7 พระยาห์เวห์มิได้ทรงตั้งความรักของพระองค์เหนือพวกท่านหรือทรงเลือกพวกท่านเพราะพวกท่านมีจำนวนมากกว่าประชาชาติใดๆ 8 แต่เพราะพวกท่านเป็นประชาชาติที่มีจำนวนน้อยที่สุด แต่เพราะพระองค์ทรงรักพวกท่าน และพระองค์ทรงปรารถนาที่จะรักษาคำสัญญาที่พระองค์ได้ทรงกระทำเอาไว้แก่บรรดาบรรพบุรุษของพวกท่าน นี่จึงเป็นสาเหตุที่พระยาห์เวห์ได้ทรงนำพวกท่านออกมาด้วยพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์และได้ทรงไถ่พวกท่านออกจากเรือนทาส จากพระหัตถ์ของฟาโรห์ กษัตริย์แห่งอียิปต์
9 ด้วยเหตุนี้ จงรู้จักพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า พระเจ้าผู้ทรงสัตย์ซื่อ ผู้ทรงรักษาพันธสัญญาและความสัตย์ซื่อไปจนเป็นพันชั่วอายุสำหรับผู้ที่รักพระองค์และรักษาพระบัญชาทั้งหลายของพระองค์ 10 แต่ทรงตอบสนองต่อบรรดาคนเหล่านั้นที่เกลียดชังพระองค์ต่อหน้าของพวกเขา ทรงทำลายพวกเขา พระองค์จะไม่ทรงปราณีต่อคนใดที่เกลียดชังพระองค์ พระองค์จะทรงตอบสนองเขาต่อหน้าเขาเอง
11 ด้วยเหตุนี้ พวกท่านจะถือรักษาพระบัญชา กฎบัญญัติ และกฎเกณฑ์ทั้งหลายที่ข้าพเจ้าได้บัญชาพวกท่านในวันนี้ เพื่อพวกท่านจะกระทำตามถ้อยคำเหล่านี้ 12 ถ้าหากพวกท่านฟังกฎเกณฑ์ต่าง ๆ เหล่านี้ และถือรักษาและกระทำตาม สิ่งนี้จะเกิดขึ้นแน่นอนคือพระยาห์เวห์จะทรงรักษาพันธสัญญาและความสัตย์ซื่อที่พระองค์ได้ทรงสัญญาเอาไว้แก่บรรดาบรรพบุรุษของพวกท่าน 13 พระองค์จะทรงรักพวกท่าน ทรงอวยพรพวกท่าน และทรงให้พวกท่านมีจำนวนทวีคูณ พระองค์ทรงอวยพรผลจากร่างกายของพวกท่าน และผลจากผืนดินของพวกท่าน พืชผลของพวกท่าน เหล้าองุ่นใหม่ของพวกท่าน และน้ำมันของพวกท่าน ทรงเพิ่มพูนฝูงสัตว์และบรรดาลูกอ่อนของฝูงสัตว์ของพวกท่าน ในดินแดนที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้แก่บรรดาบรรพบุรุษของพวกท่านว่าจะประทานให้แก่พวกท่านนั้น
14 พวกท่านจะได้รับการอวยพรมากยิ่งกว่าประชาชาติอื่น ๆ ทั้งหมด จะไม่มีผู้ชายที่เป็นหมันหรือผู้หญิงที่เป็นหมันท่ามกลางพวกท่านหรือท่ามกลางฝูงสัตว์ของพวกท่าน 15 พระยาห์เวห์จะกำจัดโรคภัยทั้งหมดออกไปจากพวกท่าน จะไม่มีโรคร้ายของอียิปต์ที่พวกท่านได้รู้จักที่พระองค์จะทำให้เกิดขึ้นกับพวกท่าน แต่พระองค์จะทรงทำให้เกิดขึ้นกับบรรดาคนเหล่านั้นที่เกลียดชังพวกท่าน 16 พวกท่านจะทำลายประชาชาติทั้งหมดที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านประทานชัยชนะให้แก่พวกท่าน และนัยน์ตาของพวกท่านจะไม่มีความสงสารต่อพวกเขา พวกท่านจะไม่นมัสการพระต่าง ๆ ของพวกเขา เพราะนั้นจะเป็นกับดักสำหรับพวกท่าน
17 ถ้าพวกท่านกล่าวในใจของพวกท่านว่า 'ชนชาติต่าง ๆ เหล่านี้มีจำนวนมากกว่าเรา แล้วเราจะขับไล่พวกเขาไปได้อย่างไร?' 18 อย่ากลัวพวกเขาเลย พวกท่านจะระลึกถึงสิ่งที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านได้ทรงกระทำแล้วต่อฟาโรห์และต่ออียิปต์ทั้งหมด 19 การทนทุกข์ครั้งใหญ่ที่นัยน์ตาของพวกท่านได้เห็น หมายสำคัญ การอัศจรรย์ต่าง ๆ พระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ และพระกรที่เหยียดออกที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านได้ทรงนำพวกท่านออกมา พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านจะทรงกระทำอย่างเดียวกันต่อบรรดาชนชาติทั้งหมดที่พวกท่านกลัว
20 ยิ่งไปกว่านั้น พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านจะทรงส่งฝูงต่อมาท่ามกลางพวกเขา จนกว่าบรรดาคนเหล่านั้นที่หลงเหลือและซ่อนตัวอยู่จากพวกท่านจะถูกทำลายให้หมดไปต่อหน้าของพวกท่าน 21 พวกท่านจะไม่หวาดกลัวพวกเขา เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านทรงอยู่ท่ามกลางพวกท่าน พระเจ้าผู้ทรงยิ่งใหญ่และน่าเกรงขาม
22 พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านจะทรงขับไล่ชนชาติต่าง ๆ เหล่านั้นต่อหน้าพวกท่านทีละน้อย พวกท่านจะไม่ได้รบชนะพวกเขาในครั้งเดียว หรือสัตว์ป่าทั้งหลายที่อยู่ล้อมรอบพวกท่านจะเพิ่มมากขึ้น 23 แต่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านจะประทานชัยชนะเหนือพวกเขาเมื่อพวกท่านประจันหน้าพวกเขาในสงคราม พระองค์จะทรงทำให้พวกเขาสับสนอย่างมากจนกระทั่งพวกเขาถูกทำลาย 24 พระองค์จะทรงทำให้บรรดากษัตริย์ของพวกเขาตกอยู่ภายใต้อำนาจของพวกท่าน และพวกท่านจะกำจัดชื่อของพวกเขาออกไปเสียจากภายใต้ฟ้า ไม่มีสักคนเดียวที่จะสามารถยืนหยัดต่อหน้าพวกท่าน จนกว่าพวกท่านได้ทำลายพวกเขาจนหมด
25 พวกท่านจะเผารูปแกะสลักพระต่าง ๆ ของพวกเขา อย่าโลภเงินหรือทองที่ห่อหุ้มรูปเหล่านั้นและนำมาเป็นของพวกท่าน เพราะถ้าหากพวกท่านทำอย่างนั้น พวกท่านจะติดกับดักของมัน เพราะสิ่งเหล่านั้นเป็นที่น่ารังเกียจต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน 26 พวกท่านจะไม่นำสิ่งที่น่ารังเกียจใด ๆ เข้ามาในบ้านของพวกท่านและเริ่มต้นนมัสการสิ่งนั้น พวกท่านจะรังเกียจและชิงชังสิ่งนั้นที่สุด เพราะมันเป็นสิ่งที่ถูกแยกเอาไว้เพื่อการทำลาย
1 พวกท่านต้องถือรักษาพระบัญชาทั้งสิ้นที่ข้าพเจ้ากำลังมอบให้แก่พวกท่านในวันนี้ เพื่อว่าพวกท่านจะมีชีวิตและทวีคูณขึ้น และเข้าไปเพื่อยึดครองดินแดนที่พระยาห์เวห์ได้ทรงสัญญาต่อบรรดาบรรพบุรุษของพวกท่าน 2 พวกท่านจะระลึกถึงวิถีทุกอย่างที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านได้ทรงนำพวกท่านช่วงสี่สิบปีในถิ่นทุรกันดารนั้น เพื่อว่าพระองค์จะทำให้พวกท่านถ่อมใจลง เพื่อพระองค์จะทรงทดสอบพวกท่านให้รู้ถึงสิ่งที่อยู่ในใจของพวกท่าน ว่าพวกท่านจะถือรักษาพระบัญชาทั้งหลายของพระองค์หรือไม่
3 พระองค์ได้ทรงทำให้พวกท่านถ่อมใจลง และทำให้พวกท่านหิว และทรงเลี้ยงดูพวกท่านด้วยมานา คือสิ่งที่พวกท่านไม่เคยรู้จักและบรรดาบรรพบุรุษของพวกท่านก็ไม่เคยรู้จัก พระองค์ทำเช่นนั้นเพื่อให้พวกท่านรู้ว่าไม่ใช่แค่เพียงขนมปังเท่านั้นที่ทำให้ประชาชนมีชีวิตอยู่ แต่โดยทุกสิ่งที่ออกมาจากพระโอษฐ์ของพระยาห์เวห์ที่ทำให้ประชาชนมีชีวิตอยู่ 4 เสื้อผ้าของพวกท่านก็ไม่ชำรุดหรือขาดวิ่น และเท้าของพวกท่านก็ไม่บวมในช่วงระหว่างสี่สิบปีเหล่านั้น 5 พวกท่านจะคิดถึงสิ่งที่อยู่ในหัวใจของพวกท่าน เหมือนกับผู้ชายคนหนึ่งอบรมสั่งสอนบุตรชายของตน ดังนั้นพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านก็จะทรงอบรมสั่งสอนพวกท่าน 6 พวกท่านจะถือรักษาพระบัญชาต่าง ๆ ของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน เพื่อว่าพวกท่านจะเดินในทางของพระองค์และถวายพระเกียรติแด่พระองค์
7 เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านกำลังทรงนำพวกท่านให้เข้าไปในดินแดนอันประเสริฐ ดินแดนที่มีธารน้ำ น้ำพุ และแหล่งน้ำ ไหลออกมาและไปยังหุบเขาต่างๆ และไปท่ามกลางเนินเขาต่าง ๆ 8 ดินแดนที่เต็มไปด้วยข้าวสาลีและข้าวบาร์เลย์ เถาองุ่น ต้นมะเดื่อ และทับทิม ดินแดนที่เต็มไปด้วยต้นมะกอกและน้ำผึ้ง 9 คือดินแดนที่พวกท่านจะรับประทานขนมปังได้อย่างไม่ขาด และเป็นที่ที่พวกท่านจะไม่ไปโดยสูญเปล่า ดินแดนที่มีหินต่าง ๆ ที่ทำจากเหล็ก และพวกท่านจะขุดทองแดงได้จากเนินเขาต่าง ๆ 10 พวกท่านจะรับประทานและอิ่มหนำ และพวกท่านจะสรรเสริญพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านสำหรับดินแดนอันประเสริฐที่พระองค์ได้ประทานให้แก่พวกท่าน
11 จงเอาใจใส่เพื่อพวกท่านจะไม่หลงลืมพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน และเพื่อพวกท่านจะไม่เพิกเฉยต่อพระบัญชาของพระองค์ พระบัญญัติของพระองค์ และกฎหมายของพระองค์ที่ข้าพเจ้ากำลังบัญชาพวกท่านในวันนี้ 12 มิเช่นนั้น เมื่อพวกท่านรับประทานและอิ่มหนำ และเมื่อพวกท่านสร้างบ้านที่ดีและอาศัยอยู่ในนั้น จิตใจของพวกท่านจะถูกทำให้ลำพองขึ้น 13 จงระวังให้ดี เมื่อฝูงสัตว์ทั้งหลายของพวกท่านทวีจำนวนเพิ่มขึ้น และเมื่อเงินและทองคำของพวกท่านเพิ่มพูนขึ้น และทุกสิ่งที่พวกท่านมีนั้นเพิ่มทวียิ่งขึ้น 14 แล้วจิตใจของพวกท่านจะลำพองและพวกท่านจะหลงลืมพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน ผู้ทรงนำพวกท่านออกมาจากดินแดนอียิปต์ ออกมาจากเรือนทาสนั้น
15 อย่าหลงลืมพระองค์ผู้ได้ทรงนำพวกท่านผ่านถิ่นทุรกันดารอันกว้างใหญ่น่ากลัว ที่มีอสรพิษร้ายแรงและแมงป่องทั้งหลาย และผืนดินที่แห้งแล้งไม่มีน้ำ ผู้ที่ได้ทรงทำให้น้ำออกมาจากหินเหล็กไฟนั้น 16 พระองค์ได้ทรงเลี้ยงดูพวกท่านในถิ่นทุรกันดารด้วยมานาที่บรรดาบรรพบุรุษพวกท่านไม่เคยรู้จัก เพื่อว่าพระองค์จะทำให้พวกท่านถ่อมใจและทดสอบพวกท่าน เพื่อทำให้พวกท่านดีในบั้นปลาย 17 แต่พวกท่านอาจกล่าวในใจของพวกท่านว่า 'อำนาจของเราและกำลังแห่งมือของเราที่ทำให้เราได้ความมั่งคั่งทั้งหมดนี้'
18 แต่พวกท่านจะระลึกถึงพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน เพราะพระองค์เป็นผู้ประทานอำนาจแก่พวกท่านเพื่อพวกท่านจะมั่งคั่ง เพื่อพระองค์จะทรงสถาปนาพันธสัญญาของพระองค์ที่พระองค์ได้ทรงสัญญาต่อบรรดาบรรพบุรุษของพวกท่าน ดังที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ 19 สิ่งนั้นจะเกิดขึ้น ถ้าหากพวกท่านจะหลงลืมพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านและเดินตามพระอื่น ๆ นมัสการพระเหล่านั้น และบูชาพระเหล่านั้น ข้าพเจ้าขอเป็นพยานต่อต้านพวกท่านในวันนี้ว่าพวกท่านจะได้รับการลงโทษอย่างแน่นอน 20 เหมือนกับชนชาติทั้งหลายที่พระยาห์เวห์จะทรงลงโทษต่อหน้าต่อตาพวกท่าน ดังนั้นจะทรงลงโทษพวกท่าน เพราะพวกท่านไม่ฟังพระสุรเสียงของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน
1 อิสราเอลเอ๋ย จงฟังเถิด พวกท่านกำลังจะข้ามแม่น้ำจอร์แดนในวันนี้ เพื่อเข้าไปขับไล่ชนชาติต่างๆ ที่ยิ่งใหญ่กว่าและเข้มแข็งกว่าพวกท่าน และยึดเมืองทั้งหลายที่ยิ่งใหญ่และมีป้อมสูงถึงท้องฟ้า 2 ผู้คนที่ตัวใหญ่และสูง บรรดาบุตรชายทั้งหลายของคนอานาค ผู้ที่พวกท่านรู้จัก และผู้ที่พวกท่านได้ยินประชาชนพูดกันว่า 'ใครหรือที่สามารถยืนอยู่ต่อหน้าบรรดาบุตรชายของคนอานาคได้?'
3 ดังนั้นในวันนี้จงรู้เถิดว่า พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านคือพระองค์ผู้ทรงไปข้างหน้าพวกท่านเหมือนกับเพลิงที่เผาผลาญ พระองค์จะทรงทำลายพวกเขา และพระองค์จะทรงปราบพวกเขาต่อหน้าพวกท่าน เพื่อพวกท่านจะขับไล่พวกเขาออกไปและทำให้พวกเขาพินาศไปอย่างรวดเร็ว เหมือนที่พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับพวกท่าน 4 อย่ากล่าวในใจของพวกท่าน หลังจากพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านได้ขับไล่พวกเขาออกไปต่อหน้าพวกท่านว่า 'เป็นเพราะความชอบธรรมของเราที่พระยาห์เวห์ได้ทรงนำเราเข้ามายึดครองดินแดนนี้' เป็นเพราะความชั่วช้าของชนชาติต่างๆ เหล่านี้ที่พระยาห์เวห์ทรงกำลังขับไล่พวกเขาออกไปต่อหน้าพวกท่าน 5 ไม่ใช่เพราะความชอบธรรมของพวกท่านหรือความเที่ยงตรงในใจของพวกท่านที่พวกท่านจะเข้าไปยึดครองดินแดนของพวกเขานั้น แต่เป็นเพราะความชั่วช้าของชนชาติต่างๆ เหล่านี้ที่พระเจ้าของพวกท่านจะขับไล่พวกเขาออกไปต่อหน้าพวกท่าน และเพื่อว่าพระองค์จะทำให้ถ้อยคำของพระองค์เป็นจริงดังที่พระองค์ได้ทรงสัญญาต่อบรรดาบรรพบุรุษของพวกท่าน คือต่ออับราฮัม อิสอัค และยาโคบ
6 ดังนั้นจงรู้เถิดว่า พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านมิได้ทรงประทานดินแดนอันประเสริฐนี้ให้แก่พวกท่านยึดครองเพราะความชอบธรรมของพวกท่าน เพราะพวกท่านเป็นประชาชนที่หัวแข็ง 7 จงระลึกถึงและอย่าหลงลืมว่าพวกท่านได้ยั่วยุให้พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านพิโรธในถิ่นทุรกันดารมาแล้วอย่างไร จากวันที่พวกท่านได้ออกจากอียิปต์จวบจนพวกท่านมาถึงสถานที่แห่งนี้ พวกท่านได้กบฎต่อพระยาห์เวห์ 8 เช่นเดียวกันที่โฮเรบ พวกท่านยั่วยุให้พระยาห์เวห์พิโรธมากพอที่จะทำให้พระองค์ทรงทำลายพวกท่านได้ 9 เมื่อข้าพเจ้าได้ขึ้นไปบนภูเขาเพื่อรับแผ่นศิลา คือแผ่นศิลาแห่งพันธสัญญาที่พระยาห์เวห์ได้ทรงกระทำไว้กับพวกท่าน ข้าพเจ้าได้อยู่บนภูเขาเป็นเวลาสี่สิบวันและสี่สิบคืน ข้าพเจ้าไม่ได้รับประทานขนมปังหรือดื่มน้ำเลย
10 พระยาห์เวห์ได้ประทานแผ่นศิลาสองแผ่นให้แก่ข้าพเจ้าซึ่งถูกเขียนโดยพระหัตถ์ของพระองค์ บนศิลาเหล่านั้น ทุกสิ่งได้ถูกจารึกเอาไว้เหมือนกับถ้อยคำทั้งหมดที่พระยาห์เวห์ได้ทรงประกาศให้แก่พวกท่านจากกลางเพลิงที่บนภูเขาในวันที่ชุมนุมกันนั้น 11 สิ่งนี้ได้เกิดขึ้นในวันสุดท้ายของสี่สิบวันสี่สิบคืนที่พระยาห์เวห์ได้ประทานศิลาสองแผ่นนั้นให้แก่ข้าพเจ้า คือศิลาแห่งพันธสัญญา 12 พระยาห์เวห์ได้ตรัสแก่ข้าพเจ้าว่า 'จงลุกขึ้น รีบลงไปจากที่นี่ เพราะประชาชนของเจ้า ผู้ที่เจ้าได้นำออกมาจากอียิปต์ ได้ทำให้ตัวของพวกเขาเสื่อมเสียแล้ว พวกเขาได้หันออกจากวิถีที่เราได้บัญชาพวกเขาอย่างรวดเร็ว พวกเขาได้สร้างรูปหล่อสำหรับตัวพวกเขาเองแล้ว'
13 นอกจากนี้ พระยาห์เวห์ได้ตรัสแก่ข้าพเจ้าว่า 'เราได้เห็นประชาชนนี้ พวกเขาเป็นประชาชนที่หัวแข็ง 14 จงปล่อยเราเถิด เพื่อเราจะทำลายพวกเขาและลบชื่อของพวกเขาออกจากภายใต้ฟ้า และเราจะทำให้เจ้าเป็นชนชาติที่เข้มแข็งและยิ่งใหญ่กว่าพวกเขา' 15 ดังนั้นข้าพเจ้าจึงหันกลับและลงมาจากภูเขานั้น และภูเขานั้นกำลังเผาไหม้ แผ่นศิลาแห่งพันธสัญญาทั้งสองแผ่นได้อยู่ในมือของข้าพเจ้า 16 ข้าพเจ้าได้มองดู และดูเถิด พวกท่านได้ทำบาปต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน พวกท่านได้หล่อรูปลูกโคสำหรับตนเอง พวกท่านได้หันออกจากวิถีที่พระยาห์เวห์ได้ทรงบัญชาพวกท่านอย่างรวดเร็ว
17 ข้าพเจ้าได้นำแผ่นศิลาทั้งสองมาและทุ่มลงจากมือของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าทำลายแผ่นศิลาเหล่านั้นต่อหน้าต่อตาของพวกท่าน 18 อีกครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าได้ซบหน้าลงต่อพระยาห์เวห์เป็นเวลาสี่สิบวันสี่สิบคืน ข้าพเจ้าไม่ได้รับประทานขนมปังหรือดื่มน้ำเลย เพราะความบาปทั้งหมดของพวกท่านที่พวกท่านได้กระทำ ในการทำเช่นนั้นเป็นสิ่งที่ชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ ซึ่งเป็นการยั่วยุให้พระองค์ทรงพิโรธ 19 เพราะข้าพเจ้ากลัวพระพิโรธและความเดือดดาลที่พระยาห์เวห์ได้พิโรธมากพอที่จะต่อสู้กับพวกท่านเพื่อทำลายพวกท่าน แต่พระยาห์เวห์ได้ทรงฟังข้าพเจ้าในเวลานั้นด้วย 20 พระยาห์เวห์ได้ทรงมีพระพิโรธอย่างมากต่ออาโรนจนถึงกับจะทำลายเขา ข้าพเจ้าได้อธิษฐานเพื่ออาโรนในเวลานั้นด้วยเช่นกัน
21 ข้าพเจ้าได้นำความบาปของพวกท่าน รูปหล่อลูกโคที่พวกท่านได้สร้างขึ้นมา และเผามัน ทุบมันจนแหลก และบดขยี้จนเป็นผง จนมันเป็นเหมือนกับผงฝุ่น ข้าพเจ้าโปรยมันลงไปในลำธารน้ำที่ไหลมาจากภูเขา 22 ที่ทาเบราห์ ที่มัสสาห์ และที่ขิบโรทหัทธาอาวาห์ พวกท่านได้ยั่วยุให้พระยาห์เวห์ทรงพิโรธ 23 เมื่อพระยาห์เวห์ได้ทรงส่งพวกท่านจากคารเดชบารเนียและตรัสว่า 'จงขึ้นไปและยึดครองดินแดนที่เราได้ประทานให้แก่พวกเจ้า' แล้วพวกท่านก็ได้กบฎต่อพระบัญชาของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน และพวกท่านไม่ได้เชื่อหรือฟังพระสุรเสียงของพระองค์ 24 พวกท่านได้กบฎต่อพระยาห์เวห์นับจากวันนั้นที่ข้าพเจ้าได้รู้จักพวกท่าน
25 ดังนั้นข้าพเจ้าจึงได้ซบหน้าลงต่อพระยาห์เวห์ในช่วงสี่สิบวันสี่สิบคืนเหล่านั้น เพราะพระองค์ได้ตรัสว่าพระองค์จะทรงทำลายพวกท่าน 26 ข้าพเจ้าได้อธิษฐานต่อพระยาห์เวห์ ทูลว่า 'โอ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระยาห์เวห์ ขอทรงอย่าได้ทำลายประชาชนของพระองค์หรือมรดกของพระองค์ผู้ที่พระองค์ได้ทรงไถ่โดยความยิ่งใหญ่ของพระองค์ ที่พระองค์ได้ทรงนำออกมาจากอียิปต์ด้วยพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์
27 ขอทรงระลึกถึงบรรดาผู้รับใช้ของพระองค์ คืออับราฮัม อิสอัค และยาโคบ ขออย่าทอดพระเนตรที่ความดื้อดึงของประชาชนเหล่านี้ หรือที่ความชั่วร้ายของพวกเขา หรือที่ความบาปของพวกเขา 28 เพื่อว่าดินแดนจากที่ข้าพเจ้าได้นำพวกเรามานั้นจะกล่าวได้ว่า "เพราะพระยาห์เวห์ไม่ทรงสามารถนำพวกเขาเข้าไปในดินแดนที่พระองค์ได้ทรงสัญญาต่อพวกเขา และเพราะพระองค์ทรงเกลียดพวกเขา พระองค์จึงได้ทรงนำพวกเขาออกมาเพื่อประหารพวกเขาในถิ่นทุรกันดาร" 29 แต่พวกเขายังคงเป็นประชาชนของพระองค์และเป็นมรดกของพระองค์ ผู้ที่พระองค์ได้ทรงนำออกมาโดยพระกำลังอันเข้มแข็งและโดยการสำแดงถึงฤทธิ์อำนาจของพระองค์นั้น'
1 ในเวลานั้น พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับข้าพเจ้าว่า 'จงสกัดศิลาสองแผ่นเหมือนกับครั้งแรก และจงขึ้นมาหาเราบนภูเขา และจงทำหีบไม้ใบหนึ่ง 2 เราจะเขียนถ้อยคำต่าง ๆ บนศิลาเช่นเดียวกับที่ได้เขียนบนศิลาสองแผ่นแรกที่เจ้าได้ทำลายไปแล้ว และเจ้าจงนำศิลาทั้งสองแผ่นใส่ไว้ในหีบนั้น' 3 ดังนั้นข้าพเจ้าจึงได้ทำหีบจากไม้กระถินเทศขึ้นมาใบหนึ่ง และข้าพเจ้าได้สกัดศิลาสองแผ่นเหมือนกับครั้งแรก และข้าพเจ้าได้ขึ้นไปบนภูเขา โดยมีศิลาทั้งสองแผ่นอยู่ในมือของข้าพเจ้า
4 พระองค์ได้ทรงเขียนบนศิลาเหล่านั้น เหมือนกับที่ได้ทรงเขียนในครั้งแรก คือพระบัญญัติสิบประการที่พระยาห์เวห์ได้ตรัสแก่ข้าพเจ้าออกมาจากกลางเพลิงที่บนภูเขาในวันแห่งการชุมนุมกันนั้น แล้วพระยาห์เวห์จึงได้ประทานศิลาเหล่านั้นแก่ข้าพเจ้า 5 ข้าพเจ้าได้หันกลับและลงมาจากภูเขา และใส่แผ่นศิลาทั้งสองแผ่นในหีบที่ข้าพเจ้าได้ทำขึ้นมา ศิลาทั้งสองแผ่นก็อยู่ที่นั่น ตามที่พระยาห์เวห์ได้ทรงบัญชาข้าพเจ้า" 6 (ประชาชนอิสราเอลได้เดินทางจากเบเอโรทเบเนยาอะคันไปยังโมเสราห์ อาโรนได้เสียชีวิตที่นั่น และเขาได้ถูกฝังที่นั่น เอเลอาซาร์ บุตรชายของเขาจึงได้ปรนนิบัติในตำแหน่งปุโรหิตแทนเขา
7 จากที่นั่น พวกเขาได้เดินทางไปที่กุดโกดาห์ และจากกุดโกดาห์ไปยังโยทบาธาห์ ดินแดนแห่งธารน้ำ 8 ในเวลานั้น พระยาห์เวห์ได้ทรงเลือกเผ่าเลวีให้เป็นผู้แบกหีบพันธสัญญาของพระยาห์เวห์ เพื่อยืนอยู่ต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ เพื่อปรนนิบัติพระองค์ และเพื่ออวยพรประชาชนในพระนามของพระองค์ เหมือนเช่นทุกวันนี้ 9 ด้วยเหตุนี้คนเลวีจึงไม่มีทรัพย์สมบัติหรือมรดกของดินแดนนั้นร่วมกันกับพวกพี่น้องของเขา พระยาห์เวห์ทรงเป็นมรดกของเขา เหมือนดังที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านได้ตรัสต่อเขา)
10 "ข้าพเจ้าได้อยู่บนภูเขาเป็นเวลาสี่สิบวันสี่สิบคืนเหมือนอย่างครั้งแรก พระยาห์เวห์ได้ทรงฟังข้าพเจ้าในเวลานั้นด้วยเช่นกัน พระยาห์เวห์ไม่ได้ทรงปรารถนาที่จะทำลายพวกท่าน 11 พระยาห์เวห์ได้ตรัสแก่ข้าพเจ้าว่า 'จงลุกขึ้น นำหน้าประชาชน นำพวกเขาไปในการเดินทางของพวกเขา พวกเขาจะเข้าไปและยึดครองดินแดนที่เราได้สัญญาเอาไว้กับบรรดาบรรพบุรุษของพวกเขาเพื่อประทานให้แก่พวกเขา'
12 บัดนี้ อิสราเอลเอ๋ย พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านไม่ได้ทรงต้องการสิ่งใดจากพวกท่าน นอกจากความยำเกรงพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน เพื่อดำเนินในวิถีทั้งสิ้นของพระองค์ เพื่อรักพระองค์ และเพื่อนมัสการพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านด้วยสิ้นสุดใจของพวกท่านและด้วยสิ้นสุดจิตของพวกท่าน 13 เพื่อรักษาพระบัญชาของพระยาห์เวห์ และกฎบัญญัติของพระองค์ ที่ข้าพเจ้ากำลังบัญชาพวกท่านในวันนี้เพื่อผลดีของพวกท่านเองไม่ใช่หรือ? 14 ดูเถิด เพื่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านผู้ทรงเป็นเจ้าของท้องฟ้าและสวรรค์สูงสุด แผ่นดินโลก พร้อมทุกสิ่งที่อยู่ในสิ่งเหล่านั้น 15 เพียงแต่พระยาห์เวห์ได้ทรงพอพระทัยบรรดาบรรพบุรุษของพวกท่านและทรงรักพวกเขา และพระองค์ทรงเลือกพวกท่าน คือเชื้อสายของพวกเขา สืบทอดจากพวกเขา มากยิ่งกว่าประชาชนอื่นใด ดังที่พระองค์ทรงกระทำในวันนี้
16 ด้วยเหตุนี้ จงเข้าสุหนัตในหัวใจของพวกท่าน และอย่าหัวแข็งอีกต่อไป 17 เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าเหนือพระใด ๆ และทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าเหนือเจ้านายใด ๆ ทรงเป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ทรงฤทธิ์และน่าเกรงขาม ผู้มิได้ทรงเห็นแก่ผู้ใดและมิได้ทรงรับอามิสสินจ้าง 18 พระองค์ทรงดำเนินอย่างยุติธรรมเพื่อผู้ที่กำพร้าพ่อและหญิงม่าย และพระองค์ทรงสำแดงความรักต่อคนต่างชาติโดยการประทานอาหารและเสื้อผ้าให้แก่เขา
19 ด้วยเหตุนี้ จงรักคนต่างชาติ เพราะพวกท่านเป็นคนต่างชาติในดินแดนอียิปต์ 20 พวกท่านจะยำเกรงพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน พวกท่านจะนมัสการพระองค์ ท่านต้องผูกพันอยู่กับพระองค์ และสาบานโดยพระนามของพระองค์ 21 พระองค์คือคำสรรเสริญของพวกท่าน และพระองค์คือพระเจ้าของพวกท่าน ผู้ได้ทรงกระทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่และสิ่งที่น่าเกรงขามเหล่านี้ให้กับพวกท่าน ตามที่ดวงตาของพวกท่านได้มองเห็นนั้น 22 บรรดาบรรพบุรุษของพวกท่านได้ลงไปที่อียิปต์เพียงเจ็ดสิบคน บัดนี้พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านได้ทรงกระทำให้พวกท่านมีจำนวนมากมายดุจดวงดาวในท้องฟ้า
1 ด้วยเหตุนี้ พวกท่านจะรักพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านและรักษาคำสั่งสอนของพระองค์ กฎบัญญัติของพระองค์ กฎหมายของพระองค์ และพระบัญชาของพระองค์เสมอ 2 จงสังเกตเถิดว่าข้าพเจ้าไม่ได้กำลังกล่าวกับลูกหลานของพวกท่านผู้ที่ไม่รู้จักหรือไม่เคยเห็นการลงโทษของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน ไม่เคยเห็นความยิ่งใหญ่ของพระองค์ พระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระองค์ หรือพระกรที่เหยียดออกของพระองค์ 3 หมายสำคัญและการกระทำต่างๆ ที่พระองค์ได้ทรงกระทำในท่ามกลางอียิปต์ต่อฟาโรห์ กษัตริย์ของอียิปต์ และต่อดินแดนทั้งหมดของเขา
4 พวกเขาไม่เคยเห็นสิ่งที่พระองค์ได้ทรงกระทำต่อกองทัพของอียิปต์ ต่อกองทหารม้าของพวกเขา ต่อบรรดารถม้าของพวกเขา การที่พระองค์ได้ทรงทำให้น้ำในทะเลแดงท่วมจมพวกเขาในขณะที่พวกเขาไล่ตามพวกท่าน และการที่พระยาห์เวห์ได้ทรงทำลายพวกเขาจนถึงทุกวันนี้ 5 หรือสิ่งที่พระองค์ได้ทรงกระทำเพื่อพวกท่านในถิ่นทุรกันดารจนกระทั่งพวกท่านได้มาถึงสถานที่แห่งนี้ 6 พวกเขาไม่เคยเห็นสิ่งที่พระยาห์เวห์ได้ทรงกระทำต่อดาธานและอาบีรัม บรรดาบุตรชายของเอลีอับแห่งเผ่ารูเบน การที่แผ่นดินโลกอ้าปากของมันและกลืนพวกเขาลงไป ครัวเรือนของพวกเขา เต็นท์ของพวกเขา และทุกสิ่งที่มีชีวิตที่ติดตามพวกเขา ในท่ามกลางอิสราเอลทั้งหมด
7 แต่ดวงตาของพวกท่านได้เห็นพระราชกิจอันยิ่งใหญ่ทั้งหมดของพระยาห์เวห์ที่พระองค์ได้ทรงกระทำ 8 ด้วยเหตุนี้จงถือรักษาพระบัญชาทั้งสิ้นที่ข้าพเจ้ากำลังบัญชาพวกท่านในวันนี้ เพื่อพวกท่านจะเข้มแข็ง และเข้าไปยึดครองดินแดนที่พวกท่านกำลังจะข้ามไปเพื่อยึดครองนั้น 9 และเพื่อพวกท่านจะทำให้วันเวลาของพวกท่านยืนยาวตามที่พระยาห์เวห์ได้ทรงสัญญากับบรรดาบรรพบุรุษของพวกท่านว่าจะประทานให้แก่พวกเขา และแก่เชื้อสายของพวกเขา คือดินแดนที่ไหลล้นด้วยน้ำนมและน้ำผึ้ง
10 เพราะดินแดนนั้นที่พวกท่านจะเข้าไปเพื่อยึดครองนั้น ไม่เหมือนกับดินแดนของอียิปต์ที่พวกท่านได้จากมา ที่พวกท่านได้หว่านเมล็ดพันธุ์ของพวกท่านและรดน้ำด้วยเท้าของพวกท่าน เป็นเหมือนสวนพืชพันธุ์ต่างๆ 11 แต่ดินแดนนั้นที่พวกท่านจะข้ามไปเพื่อยึดครองนั้น เป็นดินแดนแห่งเนินเขาและหุบเขาต่างๆ และดื่มน้ำที่เป็นน้ำฝนจากท้องฟ้า 12 ดินแดนที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านทรงเอาใจใส่ พระเนตรของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านทรงเฝ้าอยู่เหนือดินแดนนั้นเสมอ จากวันเริ่มต้นของปีไปจนวันสุดท้ายของปี
13 มันจะเกิดขึ้น ถ้าพวกท่านจะฟังด้วยความหมั่นเพียรต่อพระบัญชาต่าง ๆ ของพระเจ้าที่ข้าพเจ้าบัญชาพวกท่านในวันนี้ เพื่อรักพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านและเพื่อปรนนิบัติพระองค์ด้วยสิ้นสุดใจของพวกท่านและด้วยสิ้นสุดจิตของพวกท่าน 14 เพื่อพระองค์จะประทานน้ำฝนในดินแดนของพวกท่านตามฤดูกาลของมัน ฝนต้นฤดูและฝนปลายฤดู เพื่อพวกท่านจะเก็บรวบรวมพืชผลของพวกท่าน เหล้าองุ่นใหม่ของพวกท่าน และน้ำมันของพวกท่าน 15 พระองค์จะประทานต้นหญ้าในท้องทุ่งของพวกท่านสำหรับฝูงสัตว์ และพวกท่านจะรับประทานและอิ่มหนำ
16 จงเอาใจใส่ตัวของพวกท่านเพื่อว่าหัวใจของพวกท่านจะไม่ถูกหลอกลวง และทำให้พวกท่านหันออกไปและนมัสการพระอื่น ๆ และก้มกราบต่อพระเหล่านั้น 17 เพื่อว่าพระพิโรธของพระยาห์เวห์จะไม่พลุ่งขึ้นต่อสู้พวกท่าน และเพื่อพระองค์จะไม่ปิดท้องฟ้าเพื่อไม่ให้มีฝน และแผ่นดินนั้นจะไม่ผลิตผล และพวกท่านจะถูกทำลายอย่างรวดเร็วจากดินแดนอันประเสริฐที่พระยาห์เวห์ทรงประทานให้แก่พวกท่าน
18 ด้วยเหตุนี้จงจดจำถ้อยคำเหล่านี้ในใจของพวกท่านและในจิตของพวกท่าน ผูกเอาไว้เป็นเหมือนเครื่องหมายที่มือของพวกท่าน และคาดเอาไว้ที่ระหว่างดวงตาของพวกท่าน 19 พวกท่านจะสอนถ้อยคำเหล่านี้ให้แก่ลูกหลานของพวกท่าน และพูดถึงถ้อยคำเหล่านี้เมื่อพวกท่านนั่งในบ้านของพวกท่าน เมื่อพวกท่านเดินไปตามถนน เมื่อพวกท่านนอนลง และเมื่อพวกท่านลุกขึ้น 20 พวกท่านจะเขียนถ้อยคำเหล่านี้เอาไว้บนวงกบประตูบ้านของพวกท่านและที่ประตูเมืองของพวกท่าน 21 เพื่อวันเวลาของพวกท่านและวันเวลาของลูกหลานของพวกท่านจะทวีเพิ่มขึ้นในดินแดนที่พระยาห์เวห์ได้สัญญาแก่บรรดาบรรพบุรุษของพวกท่านว่าจะประทานให้พวกเขานานตราบที่ท้องฟ้ายังอยู่เหนือแผ่นดินโลก
22 เพราะถ้าพวกท่านหมั่นเพียรในการถือรักษาพระบัญชาทั้งสิ้นที่ข้าพเจ้ากำลังบัญชาพวกท่าน ดังที่พวกท่านกระทำตามพระบัญชาเหล่านั้น เพื่อรักพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน เพื่อดำเนินในทางทั้งสิ้นของพระองค์ และเพื่อผูกพันอยู่กับพระองค์ 23 แล้วพระยาห์เวห์จะทรงขับไล่ชนชาติต่างๆ เหล่านี้ทั้งหมดออกไปจากพวกท่าน และพวกท่านจะขับไล่ชนชาติต่างๆ ที่ใหญ่กว่าและมีกำลังมากกว่าพวกท่านออกไป 24 ทุกสถานที่ที่ฝ่าเท้าของพวกท่านเหยียบย่ำจะเป็นของพวกท่าน จากถิ่นทุรกันดารเลบานอน จากแม่น้ำ คือแม่น้ำยูเฟรติส ไปจนถึงทะเลตะวันตกจะเป็นเขตแดนของพวกท่าน 25 ไม่มีมนุษย์คนใดที่จะสามารถยืนต่อหน้าพวกท่านได้ พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านจะวางความเกรงกลัวต่อพวกท่านและความครั่นคร้ามต่อพวกท่านเหนือดินแดนทั้งหมดที่พวกท่านเหยียบย่ำ ดังที่พระองค์ได้ตรัสแก่พวกท่านแล้วนั้น
26 ดูเถิด ข้าพเจ้าตั้งพระพรและคำแช่งสาปต่อหน้าพวกท่านในวันนี้ 27 พระพรจะเป็นของพวกท่าน ถ้าหากพวกท่านเชื่อฟังพระบัญชาของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านที่ข้าพเจ้าบัญชาพวกท่านในวันนี้ 28 และคำแช่งสาปจะเป็นของพวกท่าน ถ้าหากพวกท่านไม่เชื่อฟังพระบัญชาของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านในวันนี้ เพื่อไปติดตามพระอื่นๆ ที่พวกท่านไม่รู้จัก 29 สิ่งนี้จะเกิดขึ้น เมื่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านนำพวกท่านเข้าสู่ดินแดนที่พวกท่านเข้าไปยึดครอง เพื่อพวกท่านจะตั้งพระพรเอาไว้บนภูเขาเกริซิม และคำแช่งสาปบนภูเขาเอบาล
30 พวกเขาไม่ได้ข้ามฟากแม่น้ำจอร์แดน ทางตะวันตกของถนนทิศตะวันตก ในดินแดนของคนคานาอันผู้อาศัยอยู่ในอาราบาห์ ตรงข้ามกิลกาล ด้านข้างต้น โอ๊คแห่งโมเรห์หรือ? 31 เพราะพวกท่านต้องข้ามแม่น้ำจอร์แดนเพื่อเข้าไปยึดครองดินแดนที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านกำลังประทานให้แก่พวกท่าน และพวกท่านจะยึดครองดินแดนนั้นและอาศัยอยู่ในนั้น 32 พวกท่านจะถือรักษากฎบัญญัติทั้งสิ้นและกฎหมายต่างๆ ที่ข้าพเจ้าได้ตั้งไว้ต่อหน้าพวกท่านวันนี้
1 เหล่านี้คือกฎบัญญัติและกฎหมายต่างๆ ที่พวกท่านจะถือรักษาไว้ในดินแดนที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของบรรพบุรุษของพวกท่านได้ประทานให้แก่พวกท่านยึดครอง ตลอดวันเวลาที่พวกท่านมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ 2 แน่นอนที่พวกท่านจะต้องทำลายสถานที่ทุกแห่งที่ชนชาติต่างๆ ที่พวกท่านจะยึดครองนั้นได้นมัสการพระต่างๆ ของพวกเขา บนภูเขาสูงต่างๆ บนเนินเขาทั้งหลาย และใต้ต้นไม้สีเขียวทุกต้น
3 พวกท่านต้องทำลายแท่นบูชาต่างๆ ของพวกเขา จงทุบเสาหินของพวกเขาให้แหลกเป็นชิ้น และเผาเสาอาเชราห์ของพวกเขา พวกท่านต้องโค่นรูปแกะสลักพระต่างๆ ของพวกเขาและลบชื่อพระเหล่านั้นออกจากสถานที่นั้น 4 พวกท่านไม่นมัสการพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านแบบนั้น 5 แต่จงไปยังสถานที่ที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านจะเลือกออกมาจากเผ่าต่างๆ ทั้งหมดของพวกท่านเพื่อสถาปนาพระนามของพระองค์ ที่นั่นจะเป็นสถานที่ที่พระองค์ประทับอยู่ และเป็นสถานที่ที่พวกท่านจะไป
6 ที่นั่นคือสถานที่ที่พวกท่านจะนำเครื่องเผาบูชาของพวกท่านมาถวาย เครื่องบูชาของพวกท่าน ทศางค์ของพวกท่าน และของถวายต่างๆ ที่นำมาโดยมือของพวกท่าน ของถวายแก้บนต่างๆ ของพวกท่าน ของถวายตามสมัครใจของพวกท่าน และผลแรกของฝูงสัตว์ต่างๆ ของพวกท่าน 7 ที่นั่นพวกท่านจะรับประทานต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านและร่าเริงเกี่ยวกับทุกสิ่งที่พวกท่านได้ลงมือกระทำ พวกท่านและครัวเรือนของพวกท่าน คือสถานที่ที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านได้ทรงอวยพรพวกท่าน
8 พวกท่านจะไม่ทำสิ่งต่างๆ ทั้งหมดที่พวกเรากำลังทำในวันนี้ บัดนี้ทุกคนกำลังทำในสิ่งที่ถูกต้องในสายตาของตัวเอง 9 เพราะพวกท่านยังไม่ได้มาถึงการพักสงบ มาถึงมรดกที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านกำลังประทานให้แก่พวกท่าน 10 แต่เมื่อพวกท่านข้ามแม่น้ำจอร์แดนและอาศัยอยู่ในดินแดนนั้นที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านกำลังทำให้พวกท่านได้เป็นมรดก และเมื่อพระองค์ประทานให้พวกท่านพักสงบจากบรรดาศัตรูทั้งหมดที่อยู่ล้อมรอบ เพื่อพวกท่านจะมีชีวิตอยู่อย่างปลอดภัย
11 แล้วสิ่งนี้จะเกิดขึ้นเพื่อในสถานที่ที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านจะเลือกเพื่อทำให้พระนามของพระองค์ดำรงอยู่ ที่นั่นพวกท่านจะนำทุกสิ่งที่ข้าพเจ้าบัญชาพวกท่าน คือ เครื่องเผาบูชาของพวกท่าน เครื่องบูชาของพวกท่าน ทศางค์ของพวกท่าน และของถวายที่นำมาโดยมือของพวกท่าน และทุกสิ่งที่เป็นของถวายแก้บนที่พวกท่านได้สาบานกับพระยาห์เวห์เอาไว้นั้น 12 พวกท่านจะชื่นชมยินดีต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน ทั้งบรรดาบุตรชายของพวกท่าน บรรดาบุตรหญิงของพวกท่าน บรรดาคนรับใช้ชายของพวกท่าน บรรดาคนรับใช้หญิงของพวกท่าน และบรรดาคนเลวีผู้ที่อยู่ในประตูเมืองของพวกท่าน เพราะเขาไม่ได้รับส่วนแบ่งหรือมรดกในท่ามกลางพวกท่าน
13 จงเอาใจใส่ตัวของพวกท่านให้ดี เพื่อพวกท่านจะไม่ถวายเครื่องเผาบูชาของพวกท่านในทุกสถานที่ที่พวกท่านมองเห็น 14 แต่คือสถานที่ที่พระยาห์เวห์จะทรงเลือกออกมาจากเผ่าหนึ่งในท่ามกลางเผ่าต่างๆ ของพวกท่านที่พวกท่านจะถวายเครื่องเผาบูชา และที่นั่นพวกท่านจะทำทุกสิ่งที่ข้าพเจ้าบัญชาแก่พวกท่าน 15 อย่างไรก็ตาม พวกท่านอาจฆ่าและรับประทานสัตว์ต่างๆ ภายในประตูเมืองของพวกท่าน ตามที่พวกท่านปรารถนาได้ จงรับพระพรของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านสำหรับทุกสิ่งที่พระองค์ได้ประทานให้แก่พวกท่าน ทั้งคนที่ไม่สะอาดและสะอาดจะรับประทานสิ่งนั้น คือสัตว์ต่างๆ เช่น ละมั่งและกวาง 16 แต่พวกท่านจะไม่รับประทานเลือด พวกท่านจะเทเลือดลงบนแผ่นดินเหมือนเทน้ำ
17 พวกท่านจะไม่รับประทานภายในประตูเมืองของพวกท่านจากทศางค์ของพืชผลของพวกท่าน เหล้าองุ่นใหม่ของพวกท่าน น้ำมันของพวกท่าน หรือผลแรกของฝูงสัตว์ต่างๆ ของพวกท่าน และพวกท่านจะไม่รับประทานเนื้อที่เป็นเครื่องบูชาที่ถวายแก้บนที่พวกท่านได้สาบานเอาไว้ หรือไม่รับประทานของถวายตามสมัครใจ หรือไม่รับประทานของถวายที่พวกท่านนำมาด้วยมือของพวกท่าน 18 แทนที่จะทำอย่างนั้น พวกท่านจะรับประทานทั้งหมดนั้นต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านในสถานที่ที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านจะทรงเลือก พวกท่าน บุตรชายของพวกท่าน บุตรหญิงของพวกท่าน คนรับใช้ชายของพวกท่าน คนรับใช้หญิงของพวกท่าน และคนเลวีผู้ที่อยู่ในประตูเมืองของพวกท่าน พวกท่านจะชื่นชมยินดีต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านเกี่ยวกับทุกสิ่งที่พวกท่านได้วางมือของพวกท่านนั้น
19 จงระวังตัวของพวกท่านให้ดี เพื่อพวกท่านจะไม่ทอดทิ้งคนเลวีนานตราบเท่าที่พวกท่านมีชีวิตอยู่บนแผ่นดินของพวกท่าน 20 เมื่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านจะขยายเขตแดนของพวกท่านตามที่พระองค์ได้ทรงสัญญาแก่พวกท่าน และพวกท่านพูดว่า 'เราจะรับประทานเนื้อสด' เพราะความปรารถนาของพวกท่านที่จะรับประทานเนื้อ พวกท่านอาจกินเนื้อได้ตามที่ใจของพวกท่านปรารถนา 21 ถ้าสถานที่แห่งนั้นที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านทรงเลือกเพื่อสถาปนาพระนามของพระองค์อยู่ห่างไกลเกินไปจากพวกท่าน ดังนั้นพวกท่านจะฆ่าสัตว์ส่วนหนึ่งจากฝูงสัตว์ของพวกท่านที่พระยาห์เวห์ได้ประทานให้แก่พวกท่าน ตามที่ข้าพเจ้าได้บัญชาพวกท่าน พวกท่านอาจรับประทานภายในประตูเมืองของพวกท่านตามที่ใจของพวกท่านปรารถนาได้
22 เช่นการรับประทานละมั่งและกวางนั้น ดังนั้นพวกท่านจะรับประทานสิ่งนั้น คนที่ไม่สะอาดและคนที่สะอาดจะรับประทานสิ่งนั้นได้เหมือนกัน 23 ขอเพียงแต่จงแน่ใจว่าพวกท่านไม่ดื่มเลือด เพราะเลือดคือชีวิต พวกท่านจะไม่รับประทานชีวิตพร้อมกับเนื้อนั้น 24 พวกท่านจะไม่รับประทานเลือด พวกท่านจะเทเลือดลงบนแผ่นดินเหมือนกับเทน้ำ 25 พวกท่านจะไม่รับประทานเลือด เพื่อว่าพวกท่านจะไปดีมาดี และทั้งบุตรหลานที่ตามมาของพวกท่าน เมื่อพวกท่านจะทำสิ่งที่ถูกต้องในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์
26 แต่สิ่งต่างๆ ที่เป็นของพระยาห์เวห์ที่พวกท่านมีและของถวายแก้บนต่างๆ ของพวกท่าน พวกท่านจะเอาสิ่งเหล่านี้มาและไปยังสถานที่ที่พระยาห์เวห์ทรงเลือก 27 ที่นั่นพวกท่านจะถวายเครื่องเผาบูชา คือ เนื้อและเลือด บนแท่นบูชาของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน เลือดของเครื่องบูชาต่าง ๆ ของพวกท่านจะถูกเทลงบนแท่นบูชาของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน และพวกท่านจะรับประทานเนื้อสด 28 จงสังเกตและฟังทุกถ้อยคำเหล่านี้ที่ข้าพเจ้าบัญชาพวกท่าน เพื่อพวกท่านจะไปดีมาดีและพร้อมกับบุตรหลานที่ตามมาของพวกท่านชั่วนิรันดร์ เมื่อพวกท่านทำสิ่งที่ดีและถูกต้องในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน
29 เมื่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านกำจัดชนชาติทั้งหลายออกไปต่อหน้าพวกท่าน เมื่อพวกท่านเข้าไปขับไล่พวกเขา และพวกท่านขับไล่พวกเขา และอาศัยอยู่ในดินแดนของพวกเขานั้น 30 จงเอาใจใส่ตัวของพวกท่านให้ดีเพื่อพวกท่านจะไม่ติดกับดักในการทำตามพวกเขา หลังจากที่พวกเขาถูกทำลายไปต่อหน้าพวกท่านแล้ว คือกับดักในการไต่ถามเรื่องพระต่าง ๆ ของพวกเขาด้วยการถามว่า 'ชนชาติเหล่านี้นมัสการพระของพวกเขาอย่างไรหรือ? เราจะทำอย่างเดียวกันนั้น' 31 พวกท่านต้องไม่นมัสการพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านด้วยวิธีการอย่างนั้น เพราะทุกสิ่งนั้นเป็นที่น่ารังเกียจต่อพระยาห์เวห์ สิ่งต่างๆ ที่พระองค์ทรงเกลียด พวกเขาได้ทำสิ่งเหล่านี้กับพระต่างๆ ของพวกเขา พวกเขาทำแม้แต่เผาบุตรชายทั้งหลายและบุตรหญิงทั้งหลายของพวกเขาด้วยไฟเพื่อพระต่างๆ ของพวกเขา 32 สิ่งใดก็ตามที่ข้าพเจ้าบัญชาพวกท่าน จงปฎิบัติตาม อย่าเพิ่มเติมเข้าไปหรือตัดออก
1 ถ้าหากมีผู้พยากรณ์คนหนึ่งหรือผู้ที่ฝันเห็นคนหนึ่งลุกขึ้นในท่ามกลางพวกท่าน และถ้าหากเขาให้หมายสำคัญและการอัศจรรย์อย่างหนึ่งแก่พวกท่าน 2 และถ้าหมายสำคัญหรือการอัศจรรย์ที่เขาพูดแก่ท่านนั้นเป็นอย่างนี้ว่า 'ให้พวกเราไปติดตามพระอื่นๆ ที่พวกท่านไม่รู้จัก และให้พวกเรานมัสการพระเหล่านั้น' 3 อย่าฟังถ้อยคำเหล่านั้นของผู้พยากรณ์คนนั้น หรืออย่าฟังผู้ที่ฝันเห็นนั้น เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านกำลังทดสอบพวกท่านเพื่อจะรู้ว่าพวกท่านรักพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านด้วยสิ้นสุดใจและด้วยสิ้นสุดจิตหรือไม่
4 พวกท่านจะดำเนินตามพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน ถวายเกียรติแด่พระองค์ ถือรักษาพระบัญญัติต่างๆ ของพระองค์ และเชื่อฟังพระสุรเสียงของพระองค์ และพวกท่านจะนมัสการพระองค์และผูกพันอยู่กับพระองค์ 5 ผู้พยากรณ์นั้นหรือผู้ที่ฝันเห็นนั้นจะต้องตาย เพราะเขาได้พูดกบฎต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน ผู้ได้ทรงนำพวกท่านออกมาจากดินแดนอียิปต์ และเป็นผู้ที่ทรงไถ่พวกท่านจากเรือนทาส ผู้พยากรณ์นั้นต้องการดึงพวกท่านออกจากวิถีที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านได้ทรงบัญชาให้พวกท่านดำเนิน ดังนั้นจงเอาความชั่วออกไปจากท่ามกลางพวกท่านเสีย
6 สมมติว่าพี่น้องของพวกท่าน บุตรของมารดาของพวกท่าน หรือบุตรชายของพวกท่าน หรือบุตรหญิงของพวกท่าน หรือภรรยาที่อยู่ในอ้อมอกของพวกท่าน หรือเพื่อนของพวกท่านผู้ที่เป็นเหมือนดวงใจของพวกท่าน เข้ามาหาพวกท่านอย่างลับๆ และพูดว่า 'ให้พวกเราไปและนมัสการพระอื่นๆ ที่พวกท่านไม่รู้จัก ไม่ว่าพวกท่านหรือบรรพบุรุษของพวกท่าน 7 คือพระใดๆ ของประชาชนต่างๆ ที่อยู่ล้อมรอบพวกท่าน อยู่ใกล้พวกท่าน หรืออยู่ไกลจากพวกท่าน จากสุดปลายแผ่นดินโลกด้านหนึ่งไปยังจุดสิ้นสุดของปลายแผ่นดินโลกอีกด้านหนึ่ง'
8 อย่ายอมรับเขาหรือฟังเขา อย่าให้ดวงตาของพวกท่านสงสารเขา อย่าไว้ชีวิตเขาหรือซ่อนเขาไว้ 9 แต่พวกท่านจงฆ่าเขาเสีย มือของพวกท่านจะเป็นมือแรกที่ทำให้เขาตาย และหลังจากนั้นจึงเป็นมือของประชาชนทุกคน 10 พวกท่านจะขว้างเขาให้ตายด้วยก้อนหิน เพราะเขาได้พยายามดึงพวกท่านออกจากพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน ผู้ได้ทรงนำพวกท่านออกมาจากดินแดนอียิปต์ ออกมาจากเรือนทาส 11 ชาวอิสราเอลทั้งหมดจะได้ยินและเกรงกลัว และจะไม่ทำความชั่วช้าเช่นนี้ในท่ามกลางพวกท่านอีกต่อไป
12 ถ้าพวกท่านฟังคนใดกล่าวถึงเมืองหนึ่งในเมืองทั้งหลายของพวกท่าน ที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านประทานให้แก่พวกท่านอาศัยอยู่ 13 มีคนหนุ่มบางคนเป็นคนชั่วร้ายที่ได้ออกไปจากพวกท่านและได้ดึงบรรดาผู้อาศัยอยู่เมืองของพวกท่านและพูดว่า 'ให้พวกเราไปและนมัสการพระอื่นๆ ที่พวกท่านไม่รู้จัก' 14 แล้วพวกท่านจะตรวจสอบหลักฐาน ทำการค้นหา และไต่ถามอย่างละเอียดถี่ถ้วน เมื่อพวกท่านค้นพบว่าเรื่องนั้นเป็นความจริงและถูกต้องแน่นอนที่มีการกระทำอันเลวทรามต่ำช้าเกิดขึ้นในท่ามกลางพวกท่านแล้ว พวกท่านจงลงมือกระทำเถิด
15 พวกท่านจงโจมตีผู้อาศัยในเมืองนั้นด้วยคมดาบ ทำลายจนสิ้นซาก และประชาชนทั้งหมดที่อยู่ในนั้น ตลอดจนฝูงปศุสัตว์ จงทำลายด้วยคมดาบ 16 พวกท่านจะรวบรวมของที่ริบมาจากเมืองนั้นนำมาไว้กลางถนนและจะเผาเมืองนั้นรวมทั้งของที่ริบได้มาทั้งหมดด้วย เพื่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน เมืองนั้นจะเป็นกองซากปรักหักพังไปเป็นนิตย์ มันจะต้องไม่ถูกสร้างขึ้นมาอีก
17 ต้องไม่มีสักสิ่งเดียวในสิ่งเหล่านั้นที่ถูกแยกไว้เพื่อการทำลายจะอยู่ในมือของพวกท่าน นี่เป็นสิ่งที่พวกท่านต้องกระทำ เพื่อว่าพระยาห์เวห์จะทรงหันพระพิโรธอันรุนแรงออกไป แต่สำแดงพระเมตตาแก่พวกท่าน มีพระทัยสงสารต่อพวกท่าน และทรงทำให้พวกท่านเพิ่มจำนวนมากขึ้น ตามที่พระองค์ได้ทรงสัญญาแก่บรรดาบรรพบุรุษของพวกท่าน 18 พระองค์จะทรงทำสิ่งนี้เพราะพวกท่านฟังสุรเสียงของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน เพื่อถือรักษาพระบัญญัติทั้งหมดที่ข้าพเจ้ากำลังบัญชาพวกท่านวันนี้ เพื่อทำสิ่งนี้ที่ถูกต้องในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน
1 พวกท่านเป็นประชาชนของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน จงอย่าเชือดเนื้อตัวเอง หรือโกนส่วนใดๆ ของใบหน้าของท่านเพื่อคนตาย 2 เพราะพวกท่านเป็นชนชาติหนึ่งที่ถูกแยกไว้เพื่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน และพระยาห์เวห์ได้ทรงเลือกพวกท่านให้เป็นประชาชนเพื่อเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์เอง มากยิ่งกว่าประชาชนทั้งหมดที่อยู่บนพื้นแผ่นดินนี้ 3 พวกท่านต้องไม่รับประทานสิ่งที่น่ารังเกียจใดๆ
4 เหล่านี้คือสัตว์ต่างๆ ที่พวกท่านรับประทานได้ คือ วัวผู้ แกะ และแพะ 5 กวาง ละมั่ง อีเก้ง แพะป่า สมัน เลียงผา และแกะบนภูเขา 6 พวกท่านรับประทานสัตว์ใดๆ ที่แยกกีบได้ คือสัตว์ที่กีบแยกออกเป็นสองส่วน และที่เคี้ยวเอื้อง 7 พวกท่านต้องไม่รับประทานสัตว์บางชนิดที่เคี้ยวเอื้องหรือมีกีบแยกเป็นสองส่วน คืออูฐ กระต่าย และกระจงผา เพราะพวกมันเคี้ยวเอื้องแต่ไม่แยกกีบ พวกมันเป็นมลทินสำหรับพวกท่าน
8 สุกรเป็นสัตว์มลทินสำหรับพวกท่านด้วยเช่นกันเพราะมันมีกีบแยกแต่ไม่ได้เคี้ยวเอื้อง มันเป็นสัตว์มลทินสำหรับพวกท่าน อย่ารับประทานเนื้อสุกร และอย่าแตะต้องซากของมัน นอกจากสิ่งเหล่านี้ 9 บรรดาสิ่งต่างๆ ที่อยู่ในน้ำ พวกท่านรับประทานได้ คือสัตว์มีครีบและเกล็ด 10 แต่สิ่งที่ไม่มีครีบและเกล็ดนั้น พวกท่านต้องไม่รับประทาน พวกมันเป็นมลทินสำหรับพวกท่าน 11 นกทุกตัวที่สะอาดพวกท่านรับประทานได้ 12 แต่เหล่านี้คือนกทั้งหลายที่พวกท่านต้องไม่รับประทาน คือ นกอินทรี นกแร้งหนวดแพะ นกออก 13 เหยี่ยวแดง และเหยี่ยวดำ ไม่ว่านกเหยี่ยวใดๆ ก็ตาม
14 พวกท่านต้องไม่รับประทานนกกาชนิดใด ๆ 15 และนกกระจอกเทศ และนกเค้าแมว นกนางนวล และเหยี่ยวนกเขาชนิดต่างๆ 16 นกเค้าแมวเล็ก นกเค้าแมวใหญ่ นกเค้าแมวสีขาว 17 นกกระทุง นกแร้ง นกอ้ายงั่ว 18 พวกท่านต้องไม่รับประทานนกกระสาดำ นกกระสาชนิดต่างๆ นกหัวขวาน และค้างคาว 19 สัตว์มีปีกทุกชนิดจำพวกแมลงเป็นสัตว์มลทินสำหรับพวกท่าน พวกมันต้องไม่ถูกนำมารับประทาน 20 พวกท่านอาจรับประทานสัตว์มีปีกต่างๆ ที่สะอาดได้ทุกชนิด
21 พวกท่านต้องไม่รับประทานสิ่งใดๆ ที่ตายเอง พวกท่านเอามันให้กับคนต่างชาติที่อยู่ในเมืองของพวกท่านได้ เพื่อเขาจะรับประทานมัน หรือพวกท่านจะขายให้กับคนต่างชาติก็ได้ เพราะพวกท่านเป็นชนชาติหนึ่งที่ได้ถูกแยกไว้เพื่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน พวกท่านต้องไม่ต้มลูกแพะอ่อนในน้ำนมแม่ของมัน 22 พวกท่านต้องถวายทศางค์ทั้งหมดของเมล็ดพืชของพวกท่าน ที่ได้มาจากทุ่งนาปีต่อปี 23 พวกท่านต้องรับประทานต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน ในสถานที่ที่พระองค์จะเลือกให้เป็นสถานนมัสการ ถวายทศางค์จากพืชผลของพวกท่าน จากเหล้าองุ่นใหม่ของพวกท่าน และจากน้ำมันของพวกท่าน และสัตว์หัวปีจากฝูงสัตว์ของพวกท่าน เพื่อพวกท่านจะเรียนรู้ที่จะถวายเกียรติแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านเสมอ
24 ถ้าหากการเดินทางนั้นไกลเกินไปสำหรับพวกท่านซึ่งทำให้พวกท่านไม่สามารถแบกสิ่งของไปได้ เพราะสถานที่ที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านจะทรงเลือกให้เป็นสถานนมัสการของพระองค์นั้นอยู่ห่างไกลจากพวกท่านมากเกินไปในเมื่อพระยาห์เวห์ทรงอวยพรพวกท่าน 25 พวกท่านจงแลกเปลี่ยนของถวายให้กลายเป็นเงินแทน จงถือเงินนั้นเอาไว้ในมือของพวกท่าน และไปยังสถานที่ที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านจะทรงเลือกนั้น 26 ที่นั่นพวกท่านจงใช้เงินสำหรับซื้อสิ่งที่พวกท่านปรารถนา คือซื้อวัว หรือซื้อแกะ สิ่งใดที่พวกท่านปรารถนา พวกท่านจงรับประทานที่นั่นต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน และพวกท่านจะชื่นชมยินดี ทั้งพวกท่านและครัวเรือนของพวกท่าน 27 ส่วนคนเลวีผู้ที่อยู่ในประตูเมืองของพวกท่าน จงอย่าทอดทิ้งพวกเขา เพราะเขาไม่ได้มีส่วนแบ่งหรือรับมรดกร่วมกันกับพวกท่านเลย
28 เมื่อสิ้นปีของช่วงปีที่สาม พวกท่านจะนำเอาทศางค์ทั้งหมดจากผลผลิตในปีเดียวกันนั้นมา และพวกท่านจะสะสมเอาไว้ในประตูเมืองของพวกท่าน 29 และคนเลวี เนื่องจากเขาไม่ได้รับส่วนแบ่งหรือรับมรดกร่วมกับพวกท่าน และคนต่างชาติ และเด็กกำพร้า และหญิงม่ายผู้ที่อาศัยอยู่ในประตูเมืองของพวกท่าน จะมาและรับประทานและอิ่มหนำ จงทำอย่างนี้เพื่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านจะอวยพรพวกท่านในการงานทุกอย่างที่มือของพวกท่านกระทำ
1 เมื่อถึงสิ้นปีของทุกปีที่เจ็ด พวกท่านต้องยกหนี้ 2 นี่คือวิธีการปลดปล่อยหนี้สิน คือให้เจ้าหนี้ทุกคนยกเลิกหนี้ที่เขาให้เพื่อนบ้านขอยืม เขาจะไม่เรียกร้องเอาคืนจากเพื่อนบ้านของเขาหรือจากพี่น้องของเขาเพราะการยกหนี้ของพระยาห์เวห์ที่ได้ประกาศนี้ 3 พวกท่านสามารถเรียกร้องจากคนต่างชาติได้ แต่สิ่งใดก็ตามที่เป็นของพวกท่านซึ่งอยู่กับพี่น้องของพวกท่าน มือของพวกท่านจะต้องยอมปล่อยสิ่งนั้นไป 4 อย่างไรก็ตาม ไม่สมควรให้มีคนยากจนอยู่ในท่ามกลางพวกท่าน (เพราะพระยาห์เวห์จะอวยพรพวกท่านในดินแดนที่พระองค์ประทานให้แก่พวกท่านเป็นกรรมสิทธิ์ครอบครอง)
5 ถ้าพวกท่านขะมักเขม้นในการฟังพระสุรเสียงของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน เพื่อถือรักษาพระบัญญัติทั้งสิ้นเหล่านี้ที่ข้าพเจ้ากำลังบัญชาพวกท่านในวันนี้ 6 เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านจะทรงอวยพรพวกท่าน ตามที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้ พวกท่านจะให้ชนชาติต่างๆ ยืม แต่พวกท่านจะไม่ยืม พวกท่านจะปกครองเหนือชนชาติต่างๆ มากมาย แต่พวกเขาจะไม่ปกครองเหนือพวกท่าน 7 ถ้าหากมีคนยากจนในท่ามกลางพวกท่าน คือคนที่เป็นพี่น้องของพวกท่าน ที่อาศัยอยู่ในประตูเมืองในดินแดนของพวกท่านที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านประทานให้แก่พวกท่าน พวกท่านต้องไม่ทำให้ใจแข็งกระด้างหรือปิดใจต่อพี่น้องที่ยากจนของพวกท่าน 8 แต่พวกท่านต้องมีใจเอื้อเฟื้อต่อเขาและให้เขายืมจนเพียงพอกับความจำเป็นของเขา
9 จงระวังที่จะไม่ให้มีความชั่วในใจของพวกท่านที่กล่าวว่า 'ปีที่เจ็ด ปีแห่งการปลดปล่อย ใกล้เข้ามาแล้ว' เพื่อพวกท่านจะไม่ตระหนี่ถี่เหนียวกับพี่น้องที่ยากจนของพวกท่านและไม่ให้สิ่งใดแก่เขาเลย เขาจะร้องทูลต่อพระยาห์เวห์เหตุเพราะพวกท่าน และนั่นจะเป็นบาปสำหรับพวกท่าน 10 พวกท่านต้องให้เขา และใจของพวกท่านต้องไม่เสียใจเมื่อพวกท่านให้แก่เขานั้น เพราะพระยาห์เวห์จะทรงตอบแทนพวกท่านด้วยการอวยพรพวกท่านในการทำงานทุกอย่างและในทุกสิ่งที่มือของพวกท่านกระทำ 11 เพราะคนยากจนจะไม่หมดไปแต่จะยังคงมีอยู่ในดินแดนนี้ ดังนั้นข้าพเจ้าจึงบัญชาพวกท่านและกล่าวว่า 'พวกท่านต้องมีใจเอื้อเฟื้อต่อพี่น้องของพวกท่าน คนที่ขัดสนของพวกท่าน และคนยากจนในดินแดนของพวกท่าน'
12 ถ้าพี่น้องของพวกท่าน ไม่ว่าเป็นผู้ชายชาวฮีบรู หรือผู้หญิงชาวฮีบรู ที่ถูกขายให้แก่พวกท่านและรับใช้พวกท่านเป็นเวลาหกปีแล้ว ในปีที่เจ็ด พวกท่านต้องปล่อยเขาให้เป็นอิสระจากพวกท่าน 13 เมื่อพวกท่านปล่อยให้เขาเป็นอิสระจากพวกท่าน พวกท่านต้องไม่ปล่อยให้เขาไปโดยมือเปล่า 14 พวกท่านต้องจัดเตรียมด้วยใจกว้างขวางให้แก่เขา คือของจากฝูงสัตว์ของพวกท่าน จากลานนวดข้าวของพวกท่าน และจากบ่อย่ำองุ่นของพวกท่าน ดังที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านได้ทรงอวยพรพวกท่านนั้น พวกท่านต้องให้แก่เขา 15 พวกท่านต้องระลึกถึงเมื่อพวกท่านเป็นทาสอยู่ในดินแดนอียิปต์ และที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านได้ทรงไถ่พวกท่านมา ดังนั้นในวันนี้ ข้าพเจ้าจึงบัญชาให้พวกท่านทำสิ่งนี้
16 สิ่งนี้จะเกิดขึ้นถ้าหากเขาพูดกับพวกท่านว่า 'ข้าพเจ้าจะไม่จากท่านไปที่ใด' เพราะเขารักพวกท่านและบ้านของพวกท่าน และเพราะเขาสุขใจที่ได้อยู่กับพวกท่านแล้ว 17 พวกท่านต้องเอาเหล็กปลายแหลมและแทงทะลุหูของเขาไปติดที่ประตู และเขาจะเป็นทาสของพวกท่านเป็นนิตย์ พวกท่านต้องทำอย่างเดียวกันนี้กับทาสหญิงของพวกท่านด้วย 18 การที่พวกท่านต้องปล่อยพวกเขาให้เป็นอิสระจากท่านต้องไม่เป็นเรื่องยากสำหรับพวกท่านด้วย เพราะเขาได้รับใช้พวกท่านมาถึงหกปีและได้รับค่าแรงมากกว่าคนอื่นเป็นสองเท่า พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านจะทรงอวยพรพวกท่านในทุกสิ่งที่พวกท่านกระทำ 19 สัตว์หัวปีทุกตัวในฝูงสัตว์ของพวกท่าน พวกท่านต้องแยกเอาไว้เพื่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน พวกท่านจะไม่ใช้งานสัตว์หัวปีจากฝูงสัตว์ของพวกท่าน หรือไม่ตัดขนสัตว์หัวปีจากฝูงสัตว์ของพวกท่าน
20 พวกท่านต้องรับประทานสัตว์หัวปีต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านปีต่อปีในสถานที่ที่พระยาห์เวห์จะทรงเลือก พวกท่านและครัวเรือนของพวกท่าน 21 ถ้ามันมีตำหนิใดๆ เช่น ถ้ามันพิการหรือตาบอด หรือมีตำหนิใดๆ ก็ตาม พวกท่านต้องไม่นำมาถวายเป็นเครื่องบูชาแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน 22 พวกท่านจะรับประทานมันภายในประตูเมืองของพวกท่าน ทั้งคนที่เป็นมลทินและคนสะอาดต้องรับประทานมันเหมือนกับพวกท่านรับประทานละมั่งหรือกวางตัวหนึ่ง 23 สิ่งเดียวที่พวกท่านต้องไม่รับประทานคือเลือดของมัน พวกท่านต้องเทเลือดของมันบนพื้นดินเหมือนกับเทน้ำ
1 จงถือปฎิบัติในเดือนอาบีบ และถือรักษาปัสกาต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน เพราะในเดือนอาบีบนั้น พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านได้ทรงนำพวกท่านออกมาจากอียิปต์ในตอนกลางคืน 2 พวกท่านจะถวายปัสกาต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านด้วยบางส่วนจากฝูงสัตว์ในสถานที่ที่พระยาห์เวห์จะทรงเลือกให้เป็นสถานนมัสการของพระองค์ 3 พวกท่านจะไม่รับประทานขนมปังมีเชื้อพร้อมกับเครื่องบูชานั้น เป็นเวลาเจ็ดวัน พวกท่านจะรับประทานขนมปังไร้เชื้อพร้อมกับเครื่องบูชา ขนมปังแห่งความทุกข์ใจ เพราะพวกท่านได้ออกมาจากดินแดนอียิปต์อย่างเร่งรีบ จงทำสิ่งนี้ตลอดชีวิตของพวกท่านเพื่อพวกท่านจะระลึกถึงวันนั้นเมื่อพวกท่านได้ออกมาจากดินแดนอียิปต์ 4 เชื้อขนมปังจะต้องไม่มีอยู่ในท่ามกลางพวกท่านภายในรั้วของพวกท่านเป็นเวลาเจ็ดวัน และต้องไม่มีเนื้อใดๆ ที่พวกท่านถวายบูชาในตอนเย็นของวันแรกที่เหลืออยู่จนถึงรุ่งเช้า
5 พวกท่านต้องไม่ถวายปัสกาภายในประตูเมืองใดๆ ของพวกท่านที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านประทานให้ 6 แต่จงถวายเครื่องบูชาที่สถานที่ที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านจะทรงเลือกให้เป็นสถานนมัสการนั้น ที่นั่นพวกท่านจะถวายปัสกาในตอนเย็นเมื่อดวงอาทิตย์ตกดิน ในเวลานั้นของปีที่พวกท่านได้ออกมาจากอียิปต์ 7 พวกท่านต้องย่างและรับประทานปัสกานั้นในสถานที่ที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านจะทรงเลือก ในตอนเช้าที่พวกท่านจะหันกลับและไปยังเต็นท์ของพวกท่าน 8 เป็นเวลาหกวันพวกท่านจะรับประทานขนมปังไร้เชื้อ ในวันที่เจ็ด จะมีการประชุมศักดิ์สิทธิ์เพื่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน ในวันนั้นพวกท่านต้องไม่ทำงาน 9 พวกท่านจงนับไปให้ครบเจ็ดสัปดาห์เพื่อตัวของพวกท่าน จากเวลานั้นที่พวกท่านเริ่มต้นเอาเคียวเกี่ยวต้นข้าว พวกท่านต้องเริ่มต้นนับไปให้ครบเจ็ดสัปดาห์
10 พวกท่านต้องถือรักษาเทศกาลสัปดาห์เพื่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านพร้อมกับถวายของถวายตามสมัครใจจากมือของพวกท่านที่พวกท่านจะให้ ตามที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านได้ทรงอวยพรพวกท่าน 11 พวกท่านจะชื่นชมยินดีต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน คือพวกท่าน บุตรชายของพวกท่าน บุตรหญิงของพวกท่าน คนรับใช้ชายของพวกท่าน คนรับใช้หญิงของพวกท่าน คนเลวีที่อยู่ในประตูเมืองทั้งหลายของพวกท่าน และคนต่างชาติ ลูกกำพร้า และหญิงม่ายที่อาศัยอยู่ในท่ามกลางพวกท่าน ในสถานที่ที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านจะทรงเลือกเพื่อให้เป็นสถานนมัสการของพระองค์ 12 พวกท่านจะระลึกถึงเมื่อพวกท่านได้เป็นทาสในอียิปต์ พวกท่านต้องถือปฏิบัติและทำตามกฎบัญญัติต่างๆ เหล่านี้ 13 พวกท่านต้องถือรักษาเทศกาลสัปดาห์เป็นเวลาเจ็ดวันหลังจากพวกท่านได้รวบรวมการเก็บเกี่ยวจากลานนวดข้าวของพวกท่านและจากบ่อย่ำองุ่นของพวกท่าน
14 พวกท่านจะชื่นชมยินดีในช่วงระหว่างเทศกาลของพวกท่าน คือพวกท่าน บุตรชายของพวกท่าน บุตรหญิงของพวกท่าน คนรับใช้ชายของพวกท่าน คนรับใช้หญิงของพวกท่าน คนเลวี และคนต่างชาติ และลูกกำพร้า และหญิงม่าย ที่อาศัยอยู่ภายในประตูเมืองทั้งหลายของพวกท่าน 15 เป็นเวลาเจ็ดวัน พวกท่านต้องถือปฏิบัติตามเทศกาลนั้นเพื่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านในสถานที่ที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านจะทรงเลือก เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านจะอวยพรพวกท่านในการเก็บเกี่ยวทุกอย่างและในการทำงานด้วยมือของพวกท่านทุกอย่าง และพวกท่านต้องชื่นชมยินดีอย่างเต็มที่ 16 เป็นเวลาสามครั้งในหนึ่งปีที่บรรดาผู้ชายทั้งหมดของพวกท่านต้องเข้าเฝ้าต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านที่สถานที่ที่พระยาห์เวห์จะทรงเลือก ในเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อ ในเทศกาลสัปดาห์ และในเทศกาลอยู่เพิง และพวกเขาจะไม่เข้าเฝ้าต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ด้วยมือเปล่า
17 แต่ผู้ชายทุกคนจะให้ตามที่พวกเขาสามารถให้ได้ เพื่อพวกท่านจะรู้จักพระพรที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านได้ประทานให้แก่พวกท่าน 18 พวกท่านต้องตั้งผู้พิพากษาและเจ้าหน้าที่ต่างๆ ภายในประตูเมืองทั้งหมดของพวกท่านที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านประทานให้แก่พวกท่าน พวกเขาจะถูกเลือกออกมาจากแต่ละเผ่าของพวกท่าน และพวกเขาต้องพิพากษาประชาชนด้วยคำตัดสินที่ชอบธรรม 19 พวกท่านต้องไม่เอาความยุติธรรมออกไปโดยการบีบบังคับ พวกท่านต้องไม่แสดงความลำเอียงหรือรับสินบน เพราะสินบนนั้นทำให้ตาของคนมีปัญญามืดบอดไป และทำให้ถ้อยคำของคนชอบธรรมถูกบิดเบือน
20 พวกท่านต้องติดตามความยุติธรรม ติดตามความยุติธรรมเท่านั้น เพื่อพวกท่านจะมีชีวิตและรับมรดกคือดินแดนที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านจะประทานให้แก่พวกท่าน 21 พวกท่านต้องไม่ตั้งเสาอาเชราห์เพื่อตนเอง ไม่ว่าเสาใดๆ นอกเหนือจากแท่นบูชาของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านที่พวกท่านจะทำไว้สำหรับพวกท่านเอง 22 พวกท่านต้องไม่ตั้งเสาหินศักดิ์สิทธิ์ใดๆ ที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านทรงเกลียดชัง
1 พวกท่านต้องไม่ถวายเครื่องบูชาเป็นวัวผู้หรือแกะที่มีตำหนิหรือสิ่งไม่ดีใดๆ แด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน เพราะนั่นจะเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน 2 ถ้าหากพบผู้ชายหรือผู้หญิงคนใดในท่ามกลางพวกท่าน คือภายในประตูเมืองทั้งหลายที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านประทานให้แก่พวกท่าน ที่ทำชั่วในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านและละเมิดต่อพันธสัญญาของพระองค์ 3 คนที่ได้ไปและนมัสการพระอื่นๆ และก้มกราบต่อพระเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ หรือสิ่งใดที่เป็นบริวารของท้องฟ้า สิ่งใดที่ข้าพเจ้าได้ห้ามเอาไว้ 4 และถ้าพวกท่านได้รับการบอกกล่าวในเรื่องนี้ หรือถ้าพวกท่านได้ยินเรื่องนี้แล้ว พวกท่านจงไต่ถามอย่างละเอียด ถ้าหากเป็นความจริงและถูกต้องแน่นอนแล้วว่ามีสิ่งที่น่ารังเกียจเกิดขึ้นในอิสราเอล นี่คือสิ่งที่พวกท่านสมควรต้องทำ
5 พวกท่านต้องนำผู้ชายหรือผู้หญิงคนนั้น คือคนที่ได้ทำสิ่งชั่วร้ายนี้ มายังประตูเมืองทั้งหลายของพวกท่าน และพวกท่านต้องเอาหินขว้างผู้ชายและผู้หญิงคนนั้นให้ตาย 6 โดยพยานสองปาก หรือพยานสามปาก เขาจะต้องตาย แต่โดยพยานปากเดียว เขาไม่ต้องถูกทำให้ถึงตาย 7 ผู้เป็นพยานเหล่านั้นจะต้องเป็นคนแรกที่ลงโทษเขาจนถึงตาย และหลังจากนั้นจึงเป็นประชาชนทั้งหมด และพวกท่านจึงจะกำจัดความชั่วออกไปจากท่ามกลางพวกท่านได้ 8 ถ้ามีคดีที่ยากเกินกว่าที่พวกท่านจะตัดสินได้ อาจเป็นคำถามเรื่องการตายโดยเจตนาฆ่าหรือตายโดยไม่เจตนาฆ่า เรื่องสิทธิอันชอบธรรมของบุคคลหนึ่งกับของอีกบุคคลหนึ่ง หรือคำถามเรื่องการทำร้ายร่างกาย หรือคดีอื่นๆ คดีต่างๆ ที่มีความเคลือบแคลงภายในประตูเมืองทั้งหลายของพวกท่าน ดังนั้นแล้วพวกท่านจงขึ้นไปยังสถานที่ที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านจะทรงเลือกให้เป็นสถานนมัสการของพระองค์
9 พวกท่านต้องไปหาปุโรหิต ผู้เป็นเชื้อสายของคนเลวี และไปหาผู้พิพากษาผู้ที่กำลังทำงานปรนนิบัติในเวลานั้น พวกท่านจงแสวงหาคำปรึกษาของพวกเขา และพวกเขาจะให้คำตัดสินแก่พวกท่าน 10 พวกท่านต้องทำตามกฎหมายที่ได้ให้ไว้แก่พวกท่านในสถานที่ที่พระยาห์เวห์จะทรงเลือกให้เป็นสถานนมัสการของพระองค์ พวกท่านจงเอาใจใส่ที่จะทำทุกสิ่งที่พวกเขาสั่งให้พวกท่านทำ 11 จงทำตามกฎหมายที่พวกเขาสอนพวกท่าน และทำตามการตัดสินใจที่พวกเขาให้แก่พวกท่าน อย่าหันไปทางขวามือหรือซ้ายมือจากสิ่งที่พวกเขาบอกพวกท่าน 12 คนใดก็ตามที่จองหอง ไม่ฟังเสียงของปุโรหิตผู้ที่ยืนปรนนิบัติต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน หรือไม่ฟังเสียงผู้พิพากษา คนนั้นจะต้องตาย พวกท่านจงกำจัดคนชั่วออกไปจากอิสราเอล
13 ประชาชนทุกคนต้องได้ยินและยำเกรง และไม่ทำตัวจองหองอีกต่อไป 14 เมื่อพวกท่านได้มาถึงดินแดนที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านประทานให้แก่พวกท่าน และเมื่อพวกท่านยึดครองดินแดนนั้นและเริ่มต้นอาศัยอยู่ที่นั่น และพวกท่านกล่าวว่า 'เราจะตั้งกษัตริย์ปกครองเหนือเรา เหมือนกับทุกชนชาติที่อยู่ล้อมรอบเรา' 15 แล้วพวกท่านจงตั้งใครบางคนให้เป็นกษัตริย์ปกครองเหนือพวกท่าน คือคนที่พระยาห์เวห์จะทรงเลือก พวกท่านต้องตั้งใครบางคนจากพวกพี่น้องของพวกท่านให้เป็นกษัตริย์ปกครองเหนือพวกท่าน พวกท่านอย่าเอาคนต่างชาติผู้ที่ไม่ใช่พี่น้องของพวกท่านมาปกครองเหนือพวกท่าน 16 แต่เขาต้องไม่เพิ่มจำนวนม้าของเขาเอง หรือเป็นเหตุให้ประชาชนหันกลับไปอียิปต์เพื่อเขาจะได้ม้าเพิ่ม เพราะพระยาห์เวห์ได้ตรัสกับพวกท่านแล้วว่า 'พวกเจ้าจงอย่ากลับไปทางนั้นอีก'
17 เขาต้องไม่มีภรรยาหลายคนสำหรับตัวของเขาเอง เพื่อว่าใจของเขาจะไม่หันออกไป เขาต้องไม่สะสมเงินและทองจำนวนมากมาย 18 เมื่อเขานั่งบนบัลลังก์แห่งอาณาจักรของเขา เขาต้องบันทึกสำเนากฎหมายนี้ในหนังสือม้วนสำหรับตัวของเขาเอง คือกฎหมายที่อยู่ต่อหน้าปุโรหิตผู้เป็นคนเลวี 19 หนังสือม้วนนั้นต้องอยู่กับเขา และเขาต้องอ่านสิ่งที่บันทึกในนั้นทุกวันตลอดชีวิตของเขา เพื่อว่าเขาจะเรียนรู้การถวายเกียรติแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของเขา เช่นเดียวกันเพื่อถือรักษาถ้อยคำทั้งหมดที่เป็นกฎหมายนี้และกฎบัญญัติเหล่านี้ เพื่อปฏิบัติตามถ้อยคำเหล่านี้ 20 เขาต้องทำสิ่งนี้เพื่อใจของเขาจะไม่ลำพองเหนือพวกพี่น้องของเขา เพื่อเขาจะไม่หันไปจากพระบัญญัติต่างๆ ไปทางขวามือหรือทางซ้ายมือ เพื่อจุดประสงค์ในการมีชีวิตยืนยาวในอาณาจักรของเขา เขาและบุตรหลานทั้งหลายของเขา ในท่ามกลางอิสราเอล
1 บรรดาปุโรหิต ผู้ที่เป็นคนเลวีทั้งหลาย และเผ่าเลวีทั้งหมด จะไม่ได้รับส่วนแบ่งหรือรับมรดกร่วมกับชาวอิสราเอล พวกเขาต้องรับประทานของถวายบูชาทั้งหลายของพระยาห์เวห์ซึ่งเผาด้วยไฟที่เป็นดั่งมรดกของพวกเขา 2 พวกเขาต้องไม่มีมรดกในท่ามกลางพวกพี่น้องของพวกเขา พระยาห์เวห์ทรงเป็นมรดกของพวกเขา ดังที่พระองค์ได้ตรัสกับพวกเขาแล้วนั้น 3 สิ่งนี้จะเป็นสิ่งที่ปุโรหิตทั้งหลายสมควรได้รับจากประชาชน จากคนเหล่านั้นที่ถวายเครื่องบูชา ไม่ว่าจะเป็นวัวผู้หรือแกะ พวกเขาต้องเอาส่วนไหล่ ส่วนแก้มสองแก้ม และส่วนต่างๆที่เป็นอวัยวะภายในให้แก่ปุโรหิต 4 ผลแรกของพืชผลของพวกท่าน ของเหล้าองุ่นใหม่ของพวกท่าน และของน้ำมันของพวกท่าน และขนแกะที่ตัดครั้งแรกของพวกท่าน พวกท่านต้องมอบให้แก่เขา
5 เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านได้ทรงเลือกเขาออกมาจากเผ่าต่าง ๆ ของพวกท่านเพื่อยืนขึ้นปรนนิบัติในพระนามของพระยาห์เวห์ ทั้งตัวเขาและบุตรชายทั้งหลายของพวกเขาตลอดไปเป็นนิตย์ 6 ถ้ามีคนเลวีคนหนึ่งจากเมืองใด ๆ ของพวกท่านที่ออกมาจากอิสราเอลทั้งหมดจากที่ที่เขากำลังอาศัยอยู่ และเขามีความปรารถนาอย่างสุดใจเพื่อจะมายังสถานที่ที่พระยาห์เวห์จะทรงเลือกนั้น 7 เขาต้องปรนนิบัติในพระนามของพระยาห์เวห์พระเจ้าของเขาเหมือนกับพวกพี่น้องของเขาทั้งหมดที่เป็นคนเลวีกระทำ คือผู้ที่ยืนอยู่ที่นั่นต่อพระพักตร์ของพระยาห์เวห์ 8 พวกเขาต้องรับส่วนแบ่งอย่างเดียวกันในการรับประทาน นอกเหนือจากสิ่งที่ได้จากการขายมรดกครอบครัวของเขานั้น
9 เมื่อพวกท่านได้เข้ามาในดินแดนที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านประทานให้แก่พวกท่าน พวกท่านต้องไม่เรียนรู้ที่จะกระทำสิ่งที่น่ารังเกียจของชนชาติต่าง ๆ เหล่านั้น 10 ในท่ามกลางพวกท่าน จะต้องไม่พบคนใดที่เอาบุตรชายและบุตรหญิงของเขาเผาไฟ ต้องไม่พบคนใดที่เป็นคนทำนาย เป็นหมอดู หรือเป็นหมอเสน่ห์ หรือเป็นพ่อมดหมอผี เป็นหมอพราย 11 เป็นคนที่สื่อสารกับคนตาย หรือเป็นคนที่สื่อสารกับวิญญาณต่าง ๆ 12 เพราะไม่ว่าใครก็ตามที่ทำสิ่งเหล่านี้ก็เป็นที่น่ารังเกียจต่อพระยาห์เวห์ เพราะสิ่งที่น่ารังเกียจเหล่านี้ พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านจึงขับไล่พวกเขาออกไปต่อหน้าต่อตาพวกท่าน
13 พวกท่านจงเป็นคนที่ปราศจากตำหนิต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน 14 เพราะชนชาติต่าง ๆ เหล่านี้ที่พวกท่านจะขับไล่นั้นฟังเสียงของพวกคนที่เป็นคนทำนายและหมอดู แต่สำหรับพวกท่าน พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านไม่อนุญาตให้พวกท่านทำอย่างนั้น 15 พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านจะยกชูผู้เผยพระวจนะคนหนึ่งจากท่ามกลางพวกท่านให้แก่พวกท่าน ผู้หนึ่งจากพวกพี่น้องของพวกท่าน เหมือนกับข้าพเจ้า พวกท่านต้องฟังเสียงของเขา
16 นี่คือสิ่งที่พวกท่านได้ขอจากพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านที่โฮเรบในวันแห่งการชุมนุมนั้น กล่าวว่า 'อย่าให้พวกเราได้ยินพระสุรเสียงของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเราอีก หรืออย่าให้พวกเราต้องมองเห็นไฟอันแรงกล้านี้อีกต่อไป มิฉะนั้น พวกเราจะตาย' 17 พระยาห์เวห์ได้ตรัสแก่ข้าพเจ้าว่า 'สิ่งที่พวกเขาได้พูดนั้นก็ดี 18 เราจะยกผู้เผยพระวจนะคนหนึ่งเพื่อพวกเขาซึ่งมาจากท่ามกลางพวกพี่น้องของพวกเขา ผู้เป็นเหมือนกับเจ้า เราจะใส่ถ้อยคำของเราในปากของเขา และเขาจะกล่าวถ้อยคำเหล่านั้นทั้งหมดที่เราบัญชาแก่เขา 19 มันจะเกิดขึ้นที่มีบางคนที่ไม่ยอมฟังถ้อยคำต่าง ๆ ของเราที่เขากล่าวโดยนามของเรา เราจะกำหนดโทษให้แก่เขา
20 แต่ผู้เผยพระวจนะผู้ที่กล่าวถ้อยคำอย่างยโสในนามของเรา ถ้อยคำที่เราไม่ได้บัญชาเขาให้กล่าว หรือผู้ที่กล่าวในนามของพระอื่น ๆ ผู้เผยพระวจนะคนนั้นจะต้องตาย' 21 นี่คือสิ่งที่พวกท่านต้องกล่าวในใจของพวกท่าน 'พวกเราจะจดจำถ้อยคำที่พระยาห์เวห์ไม่ได้ตรัสได้อย่างไร?' 22 พวกท่านจะจดจำถ้อยคำที่พระยาห์เวห์ได้ตรัสเมื่อผู้เผยพระวจนะกล่าวในนามของพระยาห์เวห์ ถ้าหากสิ่งนั้นไม่ได้ปรากฎหรือเกิดขึ้นแล้ว นั่นย่อมเป็นสิ่งที่พระยาห์เวห์ไม่ได้ตรัสและผู้เผยพระวจนะได้กล่าวสิ่งนั้นอย่างยโส และพวกท่านจงอย่าเกรงกลัวเขา
1 เมื่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านทำลายชนชาติต่าง ๆ คือคนเหล่านั้นที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านกำลังจะประทานดินแดนของพวกเขาให้แก่พวกท่าน และเมื่อพวกท่านขับไล่พวกเขาและเข้าอาศัยอยู่ในบรรดาเมืองและบ้านเรือนต่าง ๆ ของพวกเขา 2 พวกท่านจงเลือกเมืองสามเมืองสำหรับพวกท่านเองซึ่งอยู่ตรงกลางของดินแดนของพวกท่านที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านกำลังจะประทานให้พวกท่านยึดครอง 3 พวกท่านต้องสร้างถนนสายหนึ่งและแบ่งเขตแดนต่าง ๆ ในดินแดนของพวกท่านเป็นสามส่วน ดินแดนที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านกำลังจะทำให้พวกท่านได้เป็นมรดก เพื่อว่าทุกคนที่ฆ่าบุคคลอื่นจะหนีไปที่นั่นได้ 4 นี่คือกฎหมายสำหรับคนที่ฆ่าคนอื่นและหนีไปอาศัยอยู่ที่นั่น คือใครก็ตามที่ฆ่าเพื่อนบ้านโดยไม่ตั้งใจ และไม่ได้เกลียดเขามาก่อน
5 เช่นเมื่อชายคนหนึ่งเข้าไปในป่าเพื่อตัดไม้กับเพื่อนบ้านของเขา และมือของเขาเงื้อมขวานขึ้นเพื่อจะตัดต้นไม้ และหัวขวานนั้นหลุดออกจากด้ามและไปถูกเพื่อนบ้านของเขาแล้วเพื่อนบ้านของเขาจึงเสียชีวิต ดังนั้นชายคนนั้นต้องหนีไปยังเมืองใดเมืองหนึ่งในเมืองเหล่านี้รักษาชีวิตของเขา 6 ไม่เช่นนั้นคนที่อาฆาตโลหิตจะตามคนนั้นเพื่อเอาชีวิตของเขาถ้าหากเมืองนั้นห่างไกลเกินไป ด้วยความโกรธที่กำลังพลุ่งขึ้น เขาจะทำร้ายและฆ่าชายคนนั้น แม้ว่าชายคนนั้นไม่สมควรจะต้องตาย เพราะเขาไม่ได้เกลียดเพื่อนบ้านของเขามาก่อน 7 ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงบัญชาพวกท่านให้เลือกเมืองสามเมืองเพื่อพวกท่านเอง 8 ถ้าพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านขยายเขตแดนของพวกท่านดังที่พระองค์ได้ทรงสัญญาแก่บรรดาบรรพบุรุษของพวกท่านให้กระทำ และประทานดินแดนทั้งหมดให้แก่พวกท่านตามที่ได้ทรงสัญญาว่าจะประทานให้แก่บรรดาบรรพบุรุษของพวกท่าน
9 ถ้าพวกท่านถือรักษาพระบัญญัติทั้งหมดเหล่านี้เพื่อกระทำตาม ที่ข้าพเจ้ากำลังบัญชาพวกท่านในวันนี้ คือพระบัญญัติให้รักพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านและที่จะดำเนินในทางของพระองค์เสมอ แล้วพวกท่านต้องเพิ่มเมืองทั้งสามเมืองเพื่อพวกท่านเอง นอกเหนือจากสามเมืองเหล่านี้ 10 จงทำสิ่งนี้เพื่อโลหิตที่ไม่มีผิดจะไม่หลั่งออกในท่ามกลางดินแดนที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านกำลังจะประทานให้พวกท่านเพื่อเป็นมรดก เพื่อจะไม่มีความผิดเนื่องจากโลหิตตกอยู่บนพวกท่าน 11 แต่ถ้าคนใดเกลียดเพื่อนบ้านของเขา ซุ่มคอยดักเขา ลุกขึ้นทำร้ายเขา และทำให้เขาบาดเจ็บจนถึงตาย และถ้าเขาหนีไปยังเมืองใดเมืองหนึ่งเหล่านี้แล้ว 12 บรรดาผู้ใหญ่ในเมืองของเขาต้องส่งตัวและนำเขากลับมาจากที่นั่น และมอบเขาคืนให้กับญาติที่มีความรับผิดชอบต่อเขา เพื่อว่าเขาจะถูกฆ่าตาย
13 ดวงตาของพวกท่านต้องไม่แสดงความสงสารแก่เขา แต่พวกท่านต้องกำจัดผู้ที่จงใจฆ่าคนตายออกไปจากอิสราเอล เพื่อพวกท่านจะไปดีมาดี 14 พวกท่านต้องไม่ย้ายหลักเขตของเพื่อนบ้านของพวกท่านที่พวกเขาได้ตั้งในสถานที่เป็นเวลานานมาแล้ว ในมรดกที่พวกท่านจะได้รับ ในดินแดนที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านกำลังจะประทานให้พวกท่านยึดครอง 15 พยานปากเดียวต้องไม่ลุกขึ้นปรักปรำชายคนใดสำหรับความชั่วร้าย หรือความบาปใด ๆ ในเรื่องใด ๆ ที่เขาทำบาป ไม่ว่าเรื่องใดจะต้องได้รับการยืนยันโดยพยานสองปาก หรือพยานสามปาก
16 สมมุติว่ามีพยานที่ไม่ชอบธรรมลุกขึ้นปรักปรำชายคนใดเพื่อพิสูจน์ถึงการกระทำผิดของเขา 17 ดังนั้นชายทั้งสองคน คือคนที่กำลังมีข้อพิพาทต่อกันนั้น จะต้องยืนอยู่ต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ ต่อหน้าปุโรหิตทั้งหลายและผู้พิพากษาทั้งหลายที่ปรนนิบัติในเวลานั้น 18 ผู้พิพากษาทั้งหลายต้องทำการไต่สวนอย่างละเอียด ดูว่าพยานนั้นเป็นพยานเท็จและได้มีหลักฐานเท็จเพื่อปรักปรำพี่น้องของเขาหรือไม่
19 ดังนั้นสิ่งที่พวกท่านต้องกระทำแก่เขาคือ ทำในสิ่งที่เขาปรารถนากระทำต่อพี่น้องของเขา และพวกท่านจะกำจัดคนชั่วออกไปจากท่ามกลางพวกท่าน 20 แล้วบรรดาคนเหล่านั้นที่เหลืออยู่จะได้ยินและเกรงกลัว และจากนั้นไปจะไม่มีการทำสิ่งชั่วร้ายในท่ามกลางพวกท่านอีก 21 ดวงตาของพวกท่านต้องไม่แสดงความสงสาร ชีวิตต้องแลกด้วยชีวิต ตาแทนตา ฟันแทนฟัน มือแทนมือ เท้าแทนเท้า
1 เมื่อพวกท่านออกรบเพื่อต่อสู้กับเหล่าศัตรูของพวกท่าน และมองเห็นม้าทั้งหลาย รถม้าศึกทั้งหลาย และผู้คนที่มีจำนวนมากมายกว่าพวกท่าน พวกท่านจงอย่ากลัวพวกเขา เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านทรงอยู่กับพวกท่าน พระองค์ผู้ได้ทรงนำพวกท่านออกมาจากดินแดนอียิปต์ 2 เมื่อพวกท่านจะเข้าไปในสงคราม ปุโรหิตต้องเข้ามาใกล้และพูดกับประชาชน 3 เขาต้องพูดกับพวกเขาว่า 'อิสราเอล จงฟัง พวกท่านกำลังจะเข้าทำสงครามกับเหล่าศัตรูของพวกท่าน จงอย่าให้ใจของพวกท่านฝ่อ อย่ากลัวหรืออย่าขยาด อย่ากลัวพวกเขาเลย 4 เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านทรงเป็นผู้เดียวที่ไปกับพวกท่านเพื่อต่อสู้ศัตรูแทนพวกท่านและเพื่อช่วยกู้พวกท่านให้รอด'
5 นายทหารทั้งหลายต้องพูดต่อประชาชนและพูดว่า 'มีชายคนใดที่ได้สร้างบ้านใหม่และยังไม่ได้ถวายบ้าน? ให้เขากลับไปบ้านของเขา เพื่อว่าเขาจะไม่ต้องตายในสงครามและทำให้คนอื่นต้องถวายบ้านแทน 6 มีใครที่ได้ปลูกสวนองุ่นและยังไม่ได้เก็บเกี่ยวผล? ให้เขากลับบ้าน เพื่อเขาจะไม่ต้องตายในสงครามและให้คนอื่นเก็บเกี่ยวผลนั้นแทน 7 มีชายคนใดที่ได้หมั้นหมายเพื่อแต่งงานกับผู้หญิงคนหนึ่งและยังไม่ได้แต่งงานกับเธอ? ให้เขากลับบ้านเพื่อเขาจะไม่ต้องตายในสงครามและทำให้คนอื่นต้องแต่งงานกับเธอ' 8 นายทหารทั้งหลายต้องพูดเพิ่มเติมต่อประชาชนอีกและพูดว่า 'มีชายคนใดที่กลัวหรือหวาดหวั่นหรือ? ให้เขากลับไปบ้านของเขา เพื่อว่าใจของพี่น้องของเขาจะไม่ละลายไปเหมือนกับใจของเขาเอง'
9 เมื่อเจ้าหน้าที่ทั้งหลายได้กล่าวต่อประชาชนเสร็จสิ้นแล้ว พวกเขาต้องแต่งตั้งผู้บัญชาการเหนือพวกเขา 10 เมื่อพวกท่านออกไปโจมตีเมืองหนึ่ง จงให้ข้อเสนอยอมเจรจาอย่างสแก่ผู้คนเหล่านั้น 11 ถ้าพวกเขายอมรับข้อเสนอของพวกท่านและเปิดประตูเมืองให้แก่พวกท่าน ประชาชนทุกคนที่พบในเมืองนั้นจะต้องมาเป็นทาสแรงงานให้แก่พวกท่านและต้องรับใช้พวกท่าน 12 แต่ถ้าไม่มีการทำข้อเสนอยอมเจรจาต่อพวกท่าน แต่กลับทำสงครามกับพวกท่านแล้ว พวกท่านต้องล้อมเมืองนั้น
13 และเมื่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านประทานชัยชนะให้แก่พวกท่านและให้พวกเขาอยู่ภายใต้การควบคุมของพวกท่าน พวกท่านต้องฆ่าผู้ชายทุกคนในเมืองนั้น 14 แต่สำหรับพวกผู้หญิง เด็กเล็ก ๆ ทั้งหลาย ฝูงสัตว์ และทุกสิ่งที่อยู่ในเมืองนั้น และทรัพย์สินทุกอย่างของเมืองนั้น พวกท่านจะยึดมาเป็นของริบเพื่อพวกท่านเอง พวกท่านจะใช้สิ่งของที่ยึดมาของศัตรูของพวกท่านได้ คือพวกที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านได้ประทานให้แก่พวกท่าน 15 พวกท่านต้องกระทำด้วยวิธีการนี้ต่อเมืองทุกเมืองที่อยู่ห่างไกลจากพวกท่าน เมืองต่าง ๆ ที่ไม่ได้เป็นเมืองของชนชาติต่าง ๆ เหล่านี้ 16 ในเมืองต่าง ๆ ของประชาชนเหล่านี้ที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านกำลังจะประทานให้แก่พวกท่านให้เป็นมรดก พวกท่านต้องไม่ปล่อยให้สิ่งใดรอดชีวิต
17 แต่พวกท่านต้องทำลายพวกเขาให้หมด คือชาวฮิตไทต์ ชาวอาโมไรต์ ชาวคานาอัน ชาวเปริสสี ชาวฮีไวต์ และชาวเยบุส ตามที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านได้ทรงบัญชาพวกท่านนั้น 18 จงทำสิ่งนี้เพื่อว่าพวกเขาจะไม่ต้องสอนพวกท่านให้ทำตามวิถีที่น่ารังเกียจของพวกเขา เหมือนกับที่พวกเขาได้กระทำแก่พระต่าง ๆ ของพวกเขานั้น ถ้าหากพวกท่านทำ พวกท่านจะทำบาปต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน 19 เมื่อพวกท่านจะล้อมรอบเมืองหนึ่งเป็นเวลานาน ขณะที่พวกท่านทำสงครามเพื่อยึดครองเมืองนั้น พวกท่านต้องไม่ทำลายต้นไม้ต่าง ๆ ของเมืองนั้นโดยการใช้ขวานตัดโค่นพวกมัน เพราะพวกท่านต้องรับประทานผลจากพวกมัน ดังนั้นพวกท่านต้องไม่โค่นมันลง เพราะต้นไม้ในทุ่งนาเป็นชีวิตของมนุษย์ที่พวกท่านล้อมรอบอยู่นั้นใช่ไหม? 20 มีเพียงต้นไม้ต่าง ๆ ที่พวกท่านรู้ว่าไม่ใช่ต้นไม้สำหรับเป็นอาหาร พวกท่านสามารถทำลายและตัดได้ พวกท่านจะสร้างเครื่องล้อมเมืองเพื่อต่อสู้กับเมืองนั้นที่ทำสงครามกับพวกท่าน จนกว่าเมืองนั้นจะแตก
1 ถ้ามีบางคนถูกฆ่าตายในทุ่งนาในดินแดนที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านกำลังประทานให้แก่พวกท่านครอบครองนั้น โดยที่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนฆ่าเขาแล้ว 2 บรรดาผู้ใหญ่ของพวกท่านและพวกผู้พิพากษาของพวกท่านต้องออกไป และพวกเขาต้องวัดระยะทางถึงเมืองต่าง ๆ ที่อยู่ล้อมรอบคนนั้นที่ถูกฆ่า 3 แล้วบรรดาผู้ใหญ่ของเมืองที่อยู่ใกล้ศพคนตายมากที่สุดต้องนำวัวสาวตัวหนึ่งมาจากฝูง ซึ่งเป็นวัวที่ไม่เคยถูกใช้งานมาก่อน และไม่เคยเทียมแอกมาก่อน
4 แล้วพวกเขาต้องนำวัวสาวตัวนั้นลงมาที่หุบเขาแห่งหนึ่งที่มีแม่น้ำไหล เป็นหุบเขาที่ไม่เคยถูกไถพรวนหรือหว่านเมล็ดมาก่อน และที่ในหุบเขานั้นพวกเขาต้องหักคอของวัวสาวตัวนั้น 5 พวกปุโรหิต บรรดาเชื้อสายของคนเลวี ต้องมาใกล้ คือพวกเขาที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านได้ทรงเลือกให้ปรนนิบัติพระองค์และอวยพรประชาชนในพระนามของพระยาห์เวห์ จงฟังคำชี้แนะของพวกเขาเพราะถ้อยคำของพวกเขาจะเป็นคำตัดสินสำหรับทุกข้อพิพาทและสำหรับการประทุษร้ายทุกอย่าง 6 บรรดาผู้ใหญ่ทั้งหมดของเมืองนั้นที่อยู่ใกล้คนที่ถูกฆ่าตายต้องชำระมือของพวกเขาเหนือวัวสาวตัวนั้นที่ถูกหักคอในหุบเขา 7 และพวกเขาต้องตอบในเรื่องนี้และพูดว่า 'มือของพวกเราไม่ได้ทำให้โลหิตนี้ตก และดวงตาของเราก็ไม่ได้มองเห็นมัน
8 ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอทรงให้อภัยต่อประชาชนอิสราเอลของพระองค์ คือผู้ที่พระองค์ได้ทรงไถ่มา และขอทรงอย่าเอาผิดสำหรับการหลั่งเลือดของผู้ที่ไร้ความผิดในท่ามกลางประชาชนอิสราเอลของพระองค์นี้เลย' แล้วการหลั่งโลหิตนั้นจะได้รับการยกโทษ 9 ด้วยวิธีการนี้ พวกท่านจะเอาการหลั่งโลหิตของผู้ที่ไร้ความผิดของออกไปจากท่ามกลางพวกท่าน เมื่อพวกท่านทำสิ่งที่ถูกต้องในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ 10 เมื่อพวกท่านออกไปทำสงครามกับพวกศัตรูของพวกท่านและพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านจะประทานชัยชนะให้แก่พวกท่าน และทำให้พวกเขาอยู่ภายใต้การควบคุมของพวกท่าน และพวกท่านจะเอาพวกเขามาเป็นเชลย
11 ถ้าท่านคนใดเห็นผู้หญิงสวยงามในท่ามกลางเชลยนั้น และท่านมีความปรารถนาต่อเธอและต้องการเอาเธอมาเป็นภรรยาของท่านเอง 12 แล้วท่านจะนำเธอมาที่บ้านของท่าน เธอจะโกนผมของเธอและตัดเล็บของเธอ 13 แล้วเธอจะถอดเสื้อผ้าที่เธอกำลังสวมใส่เมื่อตอนที่เธอถูกจับเป็นเชลยออก และเธอจะอาศัยอยู่ในบ้านของท่านและไว้ทุกข์เพื่อบิดาของเธอและมารดาของเธอตลอดหนึ่งเดือนเต็ม หลังจากนั้นท่านจึงจะหลับนอนกับเธอและเป็นสามีของเธอได้ และเธอจะเป็นภรรยาของท่าน 14 แต่ถ้าท่านไม่พึงพอใจเธอแล้ว ท่านสามารถปล่อยเธอไปในที่ที่เธอปรารถนาได้ แต่ท่านต้องไม่ขายเธอเพื่อแลกกับเงินอย่างเด็ดขาด และท่านต้องไม่ปฏิบัติต่อเธอเหมือนกับเป็นทาส เพราะท่านได้ทำให้เธอเสียเกียรติแล้ว
15 ถ้าหากผู้ชายคนใดที่มีภรรยาสองคนและหนึ่งคนเป็นที่รักกับอีกคนเป็นที่เกลียดชัง และพวกเธอทั้งสองคนได้ให้กำเนิดบุตรแก่เขา คือทั้งภรรยาที่เป็นที่รักและภรรยาที่เป็นที่เกลียดชัง ถ้าบุตรชายหัวปีเป็นของภรรยาคนที่ถูกเกลียดชัง 16 แล้วในวันนั้นที่ผู้ชายคนนั้นทำให้บุตรชายของเขาได้รับมรดกที่เขาครอบครอง เขาต้องไม่ให้บุตรชายของภรรยาคนที่เป็นที่รักเป็นบุตรหัวปีก่อนบุตรชายของภรรยาคนที่เขาเกลียดชัง คือบุตรชายคนที่เป็นบุตรหัวปีที่แท้จริง 17 แต่เขาต้องยอมรับบุตรชายหัวปีของภรรยาคนที่เขาเกลียดชังนั้น โดยการมอบส่วนแบ่งเป็นสองเท่าของทุกสิ่งที่เขาครอบครองแก่บุตรชายคนนั้น เพราะบุตรชายคนนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของกำลังของเขา สิทธิของบุตรหัวปีเป็นของเขา
18 ถ้าหากมีผู้ชายคนหนึ่งมีบุตรชายที่ดื้อรั้นและกบฎที่จะไม่เชื่อฟังเสียงของบิดาของเขาหรือเสียงของมารดาของเขา ถึงแม้ว่าพวกเขาจะตักเตือน บุตรชายก็จะไม่ฟังเสียงของพวกเขา 19 ดังนั้นบิดาของเขาและมารดาของเขาต้องจับตัวเขาและนำเขาออกไปหาบรรดาผู้ใหญ่ของเมืองของเขาและไปที่ประตูเมืองของเขา 20 พวกเขาต้องพูดต่อบรรดาผู้ใหญ่ของเมืองของเขาว่า 'นี่คือบุตรชายของเราที่ดื้อรั้นและกบฎ เขาจะไม่เชื่อฟังเสียงของพวกเรา เขาเป็นคนตะกละและเมามาย'
21 แล้วผู้ชายทุกคนในเมืองของเขาต้องเอาก้อนหินขว้างเขาให้ตาย และพวกท่านจะกำจัดความชั่วออกไปจากท่ามกลางพวกท่านได้ ชาวอิสราเอลทั้งหมดจะได้ยินเรื่องนี้และเกรงกลัว 22 ถ้าหากผู้ชายคนหนึ่งได้ทำบาปซึ่งสมควรตายและเขาถูกฆ่าตาย และพวกท่านแขวนเขาไว้ที่ต้นไม้ต้นหนึ่ง 23 แล้วศพของเขาจะต้องไม่ถูกปล่อยให้ค้างคืนบนต้นไม้นั้น แต่พวกท่านต้องเผาศพของเขาในวันเดียวกันนั้น เพราะใครก็ตามที่ถูกแขวนนั้นก็ได้รับคำแช่งสาปโดยพระเจ้า จงเชื่อฟังคำบัญชานี้เพื่อว่าพวกท่านจะไม่ทำให้ดินแดนที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านกำลังประทานให้แก่พวกท่านเป็นมรดกนั้นเป็นมลทิน
1 พวกท่านต้องไม่มองดูวัวของเพื่อนชาวอิสราเอลหรือแกะของเขาพลัดหลงและนิ่งเฉยต่อพวกมัน พวกท่านต้องนำพวกมันกลับไปคืนให้เขา 2 ถ้าหากเพื่อนชาวอิสราเอลของพวกท่านไม่ได้อยู่ใกล้พวกท่าน หรือถ้าพวกท่านไม่รู้จักเขา แล้วพวกท่านต้องนำสัตว์นั้นกลับมาที่บ้านของพวกท่าน และมันต้องอยู่กับพวกท่านจนกว่าเขาจะมาตามหามัน และจากนั้นพวกท่านต้องคืนมันให้แก่เขา 3 พวกท่านต้องทำอย่างเดียวกันนี้กับลาของเขา พวกท่านต้องทำอย่างเดียวกันนี้กับเสื้อผ้าของพวกเขา พวกท่านต้องทำอย่างเดียวกันนี้กับทุกสิ่งที่เพื่อนชาวอิสราเอลของพวกท่านทำหาย สิ่งใดที่เขาได้ทำหายและพวกท่านได้พบ พวกท่านต้องไม่นิ่งเฉย 4 พวกท่านต้องไม่มองดูลาของเพื่อนชาวอิสราเอลของพวกท่านหรือวัวของเขาตกลงไปจากถนน และนิ่งเฉยต่อพวกมัน พวกท่านต้องช่วยเขาฉุดมันขึ้นมาอีกครั้ง
5 ผู้หญิงต้องไม่สวมเครื่องแต่งกายของผู้ชาย และผู้ชายก็ต้องไม่สวมเครื่องแต่งกายของผู้หญิง เพราะใครที่ทำสิ่งเหล่านี้ก็เป็นที่รังเกียจต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน 6 ถ้ามีรังนกตกอยู่บนถนนต่อหน้าต่อตาพวกท่าน ในต้นไม้ต้นใด หรือบนพื้นดิน ซึ่งในรังนกมีลูกนกเล็ก ๆ หรือไข่นก และแม่ของมันนั่งกกลูกเล็กหรือไข่เหล่านั้นอยู่ พวกท่านต้องไม่พรากแม่ไปจากลูกเล็ก ๆ ของมัน 7 พวกท่านต้องปล่อยแม่ของมันไป แต่ลูกเล็ก ๆ ของมัน พวกท่านสามารถเอามาได้ จงเชื่อฟังคำบัญชานี้เพื่อพวกท่านจะไปดีมาดี และพวกท่านจะมีชีวิตยืนยาวตลอดวันเวลาของพวกท่าน 8 เมื่อพวกท่านสร้างบ้านใหม่หลังหนึ่ง แล้วพวกท่านต้องทำราวบันไดขึ้นไปบนหลังคาของพวกท่าน เพื่อพวกท่านจะไม่ทำให้โลหิตไหลบนบ้านของพวกท่านถ้าหากมีใครตกลงมาจากที่นั่น
9 พวกท่านต้องไม่ทำสวนองุ่นด้วยการหว่านเมล็ดพันธุ์สองชนิดพร้อมกัน เพื่อการเก็บเกี่ยวทั้งหมดนั้นจะไม่เป็นมลทิลต่อวิสุทธิสถาน คือเมล็ดพันธุ์ที่พวกท่านได้หว่านและผลผลิตจากสวนองุ่นนั้น 10 พวกท่านต้องไม่ใช้วัวและลาไถพรวนด้วยกัน 11 พวกท่านต้องไม่สวมใส่เสื้อผ้าที่ทอขนแกะและผ้าลินินเข้าด้วยกัน 12 พวกท่านต้องทำพู่ห้อยเอาไว้ที่มุมทั้งสี่ด้านของเสื้อคลุมที่พวกท่านสวมใส่ 13 ถ้ามีชายคนหนึ่งมีภรรยาคนหนึ่ง หลับนอนกับเธอ และจากนั้นก็เกลียดชังเธอ
14 และจากนั้นก็กล่าวหาทำให้เธออับอายและทำให้เธอเสียชื่อเสียง และพูดว่า 'ข้าพเจ้ารับเอาผู้หญิงคนนี้มา แต่เมื่อข้าพเจ้าเข้าใกล้เธอ ข้าพเจ้าพบว่าเธอไม่ใช่หญิงบริสุทธิ์' 15 แล้วบิดาและมารดาของหญิงสาวนั้นต้องพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเธอต่อบรรดาผู้ใหญ่ที่ประตูเมือง 16 บิดาของหญิงสาวนั้นต้องพูดต่อบรรดาผู้ใหญ่ว่า 'ข้าพเจ้าได้มอบลูกสาวของข้าพเจ้าให้กับชายคนนี้เพื่อเป็นภรรยา และเขากลับเกลียดชังเธอ 17 ดูเถิด เขาได้กล่าวหาให้เธออับอายและพูดว่า "ข้าพเจ้าพบว่าลูกสาวของท่านไม่ใช่หญิงบริสุทธิ์" แต่นี่คือหลักฐานแสดงความเป็นหญิงบริสุทธิ์อของลูกสาวของข้าพเจ้า' แล้วพวกเขาจะคลี่เสื้อผ้านั้นออกต่อหน้าบรรดาผู้ใหญ่ของเมืองนั้น 18 บรรดาผู้ใหญ่ของเมืองนั้นต้องนำตัวผู้ชายคนนั้นมาและลงโทษเขา
19 และพวกเขาต้องปรับเงินชายคนนั้นเป็นจำนวนหนึ่งร้อยเชเขล และมอบเงินนั้นให้กับบิดาของหญิงสาวคนนั้น เพราะชายคนนั้นได้ทำให้เสียชื่อเสียงเรื่องความบริสุทธิ์ของอิสราเอล เธอต้องเป็นภรรยาของเขา เขาไม่สามารถส่งเธอไปที่ไหนได้ตลอดชีวิตของเขา 20 แต่ถ้าสิ่งนี้เป็นเรื่องจริงที่พิสูจน์ได้ว่าหญิงสาวนั้นไม่มีความบริสุทธิ์ 21 แล้วพวกเขาต้องนำหญิงสาวนั้นมาที่ประตูบ้านของบิดาของเธอ และพวกผู้ชายในเมืองของเธอต้องเอาก้อนหินขว้างเธอให้ตาย เพราะเธอได้ประพฤติอย่างน่าอับอายในอิสราเอล ประพฤติเยี่ยงโสเภณีในบ้านของบิดาของเธอ และพวกท่านจะกำจัดความชั่วออกไปจากท่ามกลางพวกท่าน 22 ถ้าหากมีผู้ชายคนหนึ่งที่ถูกจับได้ว่าไปหลับนอนกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ได้แต่งงานกับผุู้ชายอีกคนแล้ว พวกเขาต้องตายทั้งคู่ คือผู้ชายคนนั้นที่กำลังหลับนอนกับผู้หญิงคนนั้นและผู้หญิงคนนั้นเองด้วย และพวกท่านจะกำจัดความชั่วออกไปจากท่ามกลางพวกท่าน
23 ถ้าหากมีหญิงสาวคนหนึ่งที่เป็นหญิงบริสุทธิ์ ได้หมั้นกับผู้ชายคนหนึ่ง และมีผู้ชายอีกคนหนึ่งพบเธอในเมืองและหลับนอนกับเธอ 24 จงนำพวกเขาทั้งสองคนมาที่ประตูเมือง และเอาก้อนหินขว้างพวกเขาให้ตาย พวกท่านต้องเอาหินขว้างหญิงสาวคนนั้น เพราะเธอไม่ได้ส่งเสียงร้อง แม้ว่าเธออยู่ในเมืองนั้น พวกท่านต้องเอาหินขว้างผู้ชายคนนั้น เพราะเขาข่มขืนภรรยาของเพื่อนบ้านของเขา และพวกท่านจะกำจัดความชั่วออกไปจากท่ามกลางพวกท่าน 25 แต่ถ้าหากผู้ชายคนนั้นไปพบหญิงสาวที่หมั้นแล้วในทุ่งนา และถ้าหากเขาจับกุมเธอและหลับนอนกับเธอ ดังนั้นชายคนนั้นที่หลับนอนกับเธอจะต้องตายเพียงคนเดียว 26 แต่พวกท่านไม่ต้องทำสิ่งใดต่อหญิงสาวคนนั้น ไม่มีความบาปที่สมควรตายในหญิงสาวคนนั้น เพราะกรณีนี้เป็นเหมือนกับผู้ชายคนหนึ่งได้ทำร้ายเพื่อนบ้านของเขาและฆ่าเขา
27 เพราะเขาได้พบเธอในทุ่งนา หญิงสาวที่หมั้นแล้วได้ส่งเสียงร้อง แต่ไม่มีใครช่วยเธอให้รอดพ้นได้ 28 ถ้าหากชายคนหนึ่งพบหญิงสาวคนหนึ่งที่เป็นหญิงบริสุทธิ์แต่ยังไม่ได้หมั้น และถ้าเขาจับกุมเธอและหลับนอนกับเธอ และถ้าพวกเขาถูกจับได้ 29 แล้วผู้ชายคนนั้นที่ได้หลับนอนกับเธอต้องให้เงินห้าสิบเชเขลกับบิดาของหญิงสาวคนนั้น และเธอต้องเป็นภรรยาของเขา เพราะเขาได้ทำให้เธอเสียเกียรติ เขาต้องไม่ไล่เธอไปจนตลอดชีวิตของเขา 30 ผู้ชายคนหนึ่งต้องไม่เอาภรรยาของบิดาของเขามาเป็นภรรยาของเขาเอง เขาต้องไม่เอาสิทธิในการสมรสของบิดาของเขาไป
1 ต้องไม่มีผู้ชายคนใดที่บาดเจ็บโดยการถูกตอนหรือถูกตัดอวัยวะเพศจะเข้าในที่ชุมนุมของพระยาห์เวห์ได้ 2 ต้องไม่มีลูกนอกกฎหมายคนใดมีส่วนร่วมในที่ชุมนุมของพระยาห์เวห์ ไปจนถึงชนรุ่นที่สิบของเชื้อสายของเขา ในท่ามกลางพวกเขาจะไม่มีสักคนเดียวที่มีส่วนร่วมในที่ชุมนุมของพระยาห์เวห์ 3 คนอัมโมนหรือคนโมอับจะไม่สามารถมีส่วนร่วมในที่ชุมนุมของพระยาห์เวห์ ไปจนถึงชนรุ่นที่สิบของเชื้อสายของเขา ในท่ามกลางพวกเขาจะไม่มีสักคนเดียวที่มีส่วนร่วมในที่ชุมนุมของพระยาห์เวห์ได้ 4 นี่เพราะพวกเขาไม่ได้ต้อนรับพวกท่านด้วยขนมปังและน้ำดื่มตามทางเมื่อพวกท่านได้ออกมาจากอียิปต์ และเพราะพวกเขาได้ว่าจ้างบาลาอัมบุตรชายของเบโอร์จากเปโธร์ในอารัมนาหะราอิมให้มาแช่งสาปพวกท่าน
5 แต่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านไม่ได้ฟังเสียงของบาลาอัม พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านได้เปลี่ยนคำแช่งสาปให้กลายเป็นพระพรสำหรับพวกท่านแทน เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านได้ทรงรักพวกท่าน 6 พวกท่านต้องไม่แสวงหาสันติสุขหรือความเจริญรุ่งเรืองของพวกเขา ในตลอดชีวิตของพวกท่าน 7 พวกท่านต้องไม่เกลียดชังคนเอโดม เพราะเขาเป็นพี่น้องของพวกท่าน พวกท่านต้องไม่รังเกียจคนอียิปต์เพราะเหตุที่พวกท่านเคยเป็นคนต่างชาติในดินแดนของเขามาก่อน 8 เชื้อสายของชนรุ่นที่สามที่ถือกำเนิดจากพวกเขาจะสามารถมีส่วนร่วมในที่ชุมนุมของพระยาห์เวห์ได้
9 เมื่อพวกท่านตั้งขบวนกองทัพเพื่อต่อสู้กับเหล่าศัตรูของพวกท่าน ดังนั้นพวกท่านต้องรักษาตัวเองให้พ้นจากสิ่งชั่วร้ายทุกอย่าง 10 ถ้าหากในท่ามกลางพวกท่าน มีผู้ชายคนใดที่เป็นมลทินเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาในเวลากลางคืน แล้วเขาต้องออกไปจากค่ายของกองทัพนั้น เขาต้องไม่กลับเข้ามาในค่ายอีก 11 เมื่อถึงเวลาเย็น เขาต้องชำระตัวให้สะอาดด้วยน้ำ เมื่อดวงอาทิตย์ตก เขาจึงจะกลับเข้ามาในค่ายได้ 12 พวกท่านต้องมีสถานที่แห่งหนึ่งภายนอกค่ายที่พวกท่านจะไปได้ด้วย
13 และพวกท่านจะมีอุปกรณ์บางอย่างในท่ามกลางอุปกรณ์ต่าง ๆ ของพวกท่านเพื่อใช้ขุดดิน เมื่อพวกท่านนั่งยอง ๆ ลงเพื่อขับถ่ายด้วยตัวเอง พวกท่านต้องขุดดินด้วยอุปกรณ์นั้นและจากนั้นจึงกลบดินปิดสิ่งที่ออกมาจากพวกท่านเอาไว้ 14 เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านทรงดำเนินในท่ามกลางค่ายของพวกท่านเพื่อประทานชัยชนะและเพื่อมอบเหล่าศัตรูให้แก่พวกท่าน ด้วยเหตุนี้ค่ายของพวกท่านต้องบริสุทธิ์ เพื่อพระองค์จะไม่ทรงทอดพระเนตรเห็นสิ่งที่เป็นมลทินใด ๆ ในท่ามกลางพวกท่านและหันหนีจากพวกท่าน 15 พวกท่านต้องไม่มอบทาสคนหนึ่งที่ได้หนีมาจากเจ้านายของเขาคืนให้แก่เจ้านายของเขา 16 จงยอมให้เขาอาศัยอยู่กับพวกท่าน ไม่ว่าในเมืองใดที่เขาเลือก อย่ากดขี่เขา
17 ต้องไม่มีโสเภณีในพิธีศาสนาในท่ามกลางบุตรหญิงทั้งหลายของอิสราเอล และต้องไม่มีโสเภณีในพิธีศาสนาในท่ามกลางบุตรชายทั้งหลายของอิสราเอล 18 พวกท่านต้องไม่นำค่าจ้างของโสเภณีหรือค่าจ้างของสุนัขเข้ามาในพระนิเวศของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านเพื่อการปฏิญาณใด ๆ เพราะทั้งสองสิ่งเหล่านี้เป็นที่น่ารังเกียจต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน 19 พวกท่านต้องไม่คิดดอกเบี้ยกับพี่น้องชาวอิสราเอล ไม่ว่าดอกเบี้ยเงิน ดอกเบี้ยอาหาร หรือดอกเบี้ยของสิ่งใด ๆ ที่ให้ยืมเพื่อเอาดอกเบี้ย
20 ต่อคนต่างชาติ พวกท่านสามารถให้ยืมโดยคิดดอกเบี้ยได้ แต่ต่อพี่น้องชาวอิสราเอลของพวกท่าน พวกท่านต้องไม่ให้ยืมโดยคิดดอกเบี้ย เพื่อว่าพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านจะทรงอวยพรพวกท่านในทุกสิ่งที่มือของพวกท่านกระทำ ในดินแดนนั้นที่พวกท่านกำลังเข้าไปยึดครอง 21 เมื่อพวกท่านให้คำสาบานต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน พวกท่านต้องไม่ช้าในการทำให้คำสาบานนั้นสำเร็จ เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านจะเรียกร้องสิ่งนั้นจากพวกท่านแน่นอน การไม่ทำให้คำสาบานสำเร็จก็เป็นความบาป 22 แต่ถ้าพวกท่านจะระงับการให้คำสาบาน ก็จะไม่เป็นความบาปแก่พวกท่าน
23 สิ่งนั้นที่ได้ออกมาจากปากของพวกท่าน พวกท่านต้องปฏิบัติและทำตาม คือสิ่งที่พวกท่านได้ให้คำสาบานเอาไว้ต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน สิ่งใด ๆ ก็ตามที่พวกท่านได้สัญญาด้วยปากของพวกท่านโดยสมัครใจ 24 เมื่อพวกท่านเข้าไปในสวนองุ่นของเพื่อนบ้านของพวกท่าน พวกท่านสามารถรับประทานผลองุ่นได้มากตามที่พวกท่านปรารถนา แต่อย่าเก็บผลองุ่นใส่ตะกร้าของพวกท่าน 25 เมื่อพวกท่านเข้าไปในทุ่งนาของเพื่อนบ้านของพวกท่าน พวกท่านสามารถใช้มือของพวกท่านเด็ดรวงข้าว แต่จงอย่าใช้เคียวเกี่ยวรวงข้าวของเพื่อนบ้านของพวกท่าน
1 เมื่อมีผู้ชายคนหนึ่งที่รับภรรยาและแต่งงานกับเธอ ถ้าหากเธอไม่เป็นที่พึงพอใจในสายตาของเขาเพราะเขาได้พบสิ่งที่ไม่เหมาะสมในตัวเธอ แล้วเขาต้องเขียนหนังสือหย่าให้แก่เธอฉบับหนึ่ง ใส่ไว้ในมือของเธอ และไล่เธอออกไปจากบ้านของเขา 2 เมื่อเธอได้ออกมาจากบ้านของเขา เธอสามารถไปเป็นภรรยาของผู้ชายอีกคนหนึ่งได้ 3 ถ้าหากสามีคนที่สองเกลียดเธอและเขียนหนังสือหย่าให้แก่เธอ ใส่ไว้ในมือของเธอ และไล่เธอออกไปจากบ้านของเขา หรือถ้าหากสามีคนที่สองตาย คือผู้ชายคนที่ได้รับเธอมาเป็นภรรยาของเขา 4 แล้วสามีคนแรกของเธอ คือคนที่ได้ไล่เธอออกจากบ้านคนแรก จะไม่สามารถรับเธอกลับมาเป็นภรรยาของเขาได้อีก หลังจากที่เธอได้กลายเป็นคนที่ไม่บริสุทธิ์แล้ว เพราะการทำเช่นนั้นเป็นที่น่ารังเกียจต่อพระยาห์เวห์ พวกท่านต้องไม่ทำให้ดินแดนนั้นมีความผิด คือดินแดนที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านได้ทรงประทานให้แก่พวกท่านเป็นมรดก
5 เมื่อผู้ชายคนหนึ่งมีภรรยาใหม่คนหนึ่ง เขาจะไม่ไปออกรบกับกองทัพ ไม่ว่าเขาจะได้รับคำสั่งให้ไปทำหน้าที่ในกองทัพใด ๆ ก็ตาม เขาจะเป็นอิสระเพื่อจะอยู่ที่บ้านเป็นเวลาหนึ่งปีและจะชื่นชมอยู่กับภรรยาของเขาที่เขาได้รับมานั้น 6 อย่าให้คนใดยึดโม่หรือหินโม่เอาไว้เป็นประกัน เพราะนั่นจะเป็นการยึดเอาชีวิตของบุคคลหนึ่งไว้เป็นประกัน 7 ถ้าหากผู้ชายคนหนึ่งถูกจับได้ว่าลักพาตัวพี่น้องคนใดของเขาไปจากท่ามกลางชนอิสราเอล และทำให้เขาเป็นทาสและขายเขา คนที่ขโมยนั้นต้องตาย และพวกท่านจะกำจัดความชั่วออกไปจากท่ามกลางพวกท่าน 8 จงระวังเกี่ยวกับโรคเรื้อนใด ๆ เพื่อพวกท่านจะเอาใจใส่ในการปฏิบัติและทำตามคำสั่งสอนทุกอย่างที่ได้มอบเอาไว้ให้แก่พวกท่านตามที่บรรดาปุโรหิต คนเลวีทั้งหลาย ได้สอนพวกท่าน ตามที่ข้าพเจ้าได้บัญชาทั้งหมดนั้น เพื่อพวกท่านจะกระทำตาม
9 จงระลึกถึงสิ่งที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านได้ทรงกระทำต่อมิเรียมเมื่อพวกท่านได้กำลังออกมาจากอียิปต์ 10 เมื่อพวกท่านให้เพื่อนบ้านของพวกท่านยืมสิ่งใด ๆ พวกท่านต้องไม่เข้าไปในบ้านของเขาเพื่อยึดของประกัน 11 พวกท่านจะยืนอยู่ด้านนอก และผู้ชายคนนั้นที่พวกท่านได้ให้ยืมจะนำของประกันออกมาให้แก่พวกท่าน 12 ถ้าหากเขาเป็นคนยากจน พวกท่านต้องไม่นอนหลับโดยมีของประกันของเขาอยู่ในการครอบครองของพวกท่าน 13 พวกท่านต้องคืนของประกันให้แก่เขาก่อนดวงอาทิตย์ตกดิน เพื่อเขาจะสามารถใช้เสื้อคลุมห่มเวลานอนหลับและอวยพรพวกท่าน สิ่งนี้เป็นความชอบธรรมสำหรับพวกท่านต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน
14 พวกท่านต้องไม่กดขี่ลูกจ้างที่ยากจนและขัดสน ไม่ว่าเขาจะเป็นพี่น้องชาวอิสราเอลของพวกท่าน หรือเป็นคนต่างชาติที่อาศัยอยู่ในดินแดนของพวกท่านภายในประตูเมืองใด ๆ ของพวกท่านก็ตาม 15 ในแต่ละวัน พวกท่านต้องจ่ายค่าจ้างให้แก่เขา ดวงอาทิตย์ต้องไม่ตกถึงดินก่อนที่เรื่องนี้จะได้รับการสะสาง เพราะเขายากจนและมีใจจดจ่ออยู่กับค่าจ้างนั้น จงกระทำสิ่งนี้เพื่อเขาจะไม่ร้องทูลกล่าวหาพวกท่านต่อพระยาห์เวห์ และเพื่อจะไม่เป็นความบาปที่พวกท่านได้กระทำ 16 พ่อแม่ทั้งหลายต้องไม่ถูกทำให้ถึงแก่ความตายแทนพวกลูกของพวกเขา พวกลูกต้องไม่ถูกทำให้ถึงแก่ความตายแทนพ่อแม่ของพวกเขา แต่ทุกคนต้องถูกทำให้ถึงแก่ความตายเพราะความบาปของเขาเอง
17 พวกท่านต้องไม่ใช้กำลังบังคับเพื่อเอาความยุติธรรมไปจากคนต่างชาติหรือจากลูกกำพร้า หรือยึดเสื้อคลุมของหญิงม่ายเป็นของประกัน 18 แต่พวกท่านต้องระลึกถึงเมื่อพวกท่านเป็นทาสในอียิปต์ และที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านได้ทรงช่วยกู้พวกท่านจากที่นั่น ด้วยเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงสั่งสอนพวกท่านให้เชื่อฟังคำบัญชานี้ 19 เมื่อพวกท่านเก็บเกี่ยวในทุ่งนาของพวกท่าน และถ้าพวกท่านได้ลืมฟ่อนข้าวมัดหนึ่งเอาไว้ในทุ่งนานั้น พวกท่านต้องไม่กลับไปเอา มันต้องเป็นของคนต่างชาติ ของลูกกำพร้า หรือของหญิงม่าย เพื่อว่าพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านจะทรงอวยพรพวกท่านในการงานทุกอย่างที่มือของพวกท่านกระทำ
20 เมื่อพวกท่านเขย่าต้นมะกอก พวกท่านต้องไม่กลับไปที่กิ่งเดิมอีก มันจะต้องเป็นของคนต่างชาติ ของลูกกำพร้า หรือของหญิงม่าย 21 เมื่อพวกท่านเก็บผลองุ่นในสวนองุ่นของพวกท่าน พวกท่านต้องไม่เก็บซ้ำที่เดิมอีก สิ่งที่เหลืออยู่จะเป็นของคนต่างชาติ เป็นของลูกกำพร้า และเป็นของหญิงม่าย 22 พวกท่านต้องระลึกถึงเมื่อพวกท่านเป็นทาสอยู่ในดินแดนอียิปต์ ด้วยเหตุนี้้ข้าพเจ้าจึงสั่งสอนพวกท่านให้เชื่อฟังคำบัญชานี้
1 ถ้าหากมีข้อพิพาทเกิดขึ้นระหว่างมนุษย์ด้วยกันและพวกเขาไปที่ศาล และผู้พิพากษาตัดสินคดีของพวกเขา แล้วพวกเขาจะประกาศว่าไร้ผิดสำหรับคนที่ชอบธรรมและประกาศลงโทษคนที่ทำชั่ว 2 ถ้าหากคนที่ทำผิดสมควรได้รับการโบยตี แล้วผู้พิพากษาจะให้เขานอนลงและโบยตีต่อหน้าผู้พิพากษาพร้อมกับคำสั่งให้โบยตีกี่ครั้งแล้วแต่การกระทำผิดของคนนั้น 3 ผู้พิพากษาจะให้เขาถูกโบยตีสี่สิบครั้งก็ได้ แต่เขาต้องไม่ถูกโบยตีเกินกว่าจำนวนนั้น เพราะถ้าหากเขาสมควรถูกโบยตีมากกว่าจำนวนนั้นและโบยตีเขามากเกินกว่านั้น แล้วพี่น้องชาวอิสราเอลของพวกท่านจะถูกทำให้เสียเกียรติต่อหน้าต่อตาของพวกท่าน 4 พวกท่านต้องไม่เอาตะกร้าครอบปากวัวเมื่อขณะที่มันนวดข้าวอยู่
5 ถ้าหากมีพี่น้องอาศัยอยู่ด้วยกันและหนึ่งคนในพวกเขาตาย โดยไม่มีบุตรชายแม้สักคนเดียว แล้วภรรยาของคนที่ตายต้องไม่แต่งงานกับคนภายนอกครอบครัวนี้ แต่น้องชายของสามีของเธอต้องหลับนอนกับเธอและรับเธอมาเป็นภรรยาของเขา และทำหน้าที่สามีให้กับเธอแทนพี่ชายของเขา 6 สิ่งนี้เพื่อว่าบุตรหัวปีที่เธอให้กำเนิดจะสืบชื่อของพี่ชายคนที่ตายไปแล้วนั้น เพื่อว่าชื่อของเขาจะไม่ถูกลบไปจากอิสราเอล 7 แต่ถ้าผู้ชายคนนั้นไม่ปรารถนารับภรรยาของพี่ชายของเขามาเป็นภรรยาตนเอง แล้วภรรยาของพี่ชายของเขาต้องไปที่ประตูเมืองเพื่อหาบรรดาผู้ใหญ่และพูดว่า 'น้องชายของสามีของดิฉันปฏิเสธที่จะยกชูชื่อของพี่ชายของเขาในอิสราเอล เขาจะไม่ปฏิบัติหน้าที่น้องชายของสามีต่อดิฉัน'
8 แล้วบรรดาผู้ใหญ่ของเมืองของเขาต้องเรียกเขามาและพูดกับเขา แต่ถ้าหากเขายังยืนยันและพูดว่า 'ข้าพเจ้าไม่ปรารถนาที่จะรับเธอเป็นภรรยา' 9 แล้วภรรยาของพี่ชายของเขาต้องขึ้นมาหาเขาต่อหน้าบรรดาผู้ใหญ่ ถอดรองเท้าแตะของเขาจากเท้าของเขา และถ่มน้ำลายรดหน้าเขา เธอต้องตอบเขาและพูดว่า 'นี่คือสิ่งที่สมควรกระทำต่อผู้ชายคนนั้นที่ไม่สร้างวงศ์ตระกูลของพี่ชายของเขา' 10 ชื่อของเขาจะถูกเรียกในอิสราเอลว่า 'วงศ์ตระกูลของเขาที่รองเท้าแตะถูกถอดออก'
11 ถ้าหากมีผู้ชายต่อสู้กัน และภรรยาของหนึ่งคนในนั้นมาเพื่อช่วยชีวิตสามีของเธอจากมือของคนนั้นที่ทำร้ายเขา และถ้าหากเธอยื่นมือของเธอออกมาและจับของลับของเขา 12 แล้วพวกท่านต้องตัดมือของเธอทิ้ง สายตาของพวกท่านต้องไม่มีความสงสาร 13 พวกท่านต้องไม่มีลูกตุ้มน้ำหนักที่แตกต่างกันในกระเป๋าของพวกท่าน ใหญ่อันหนึ่งและเล็กอันหนึ่ง 14 พวกท่านต้องไม่มีเครื่องตวงวัดที่แตกต่างกันในบ้านของพวกท่าน ใหญ่อันหนึ่งและเล็กอันหนึ่ง 15 พวกท่านต้องมีลูกตุ้มน้ำหนักหนึ่งอันที่ถูกต้องและแม่นยำ พวกท่านต้องมีเครื่องตวงวัดหนึ่งอันที่ถูกต้องและแม่นยำ เพื่อว่าชีวิตของพวกท่านจะยืนยาวในดินแดนที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านกำลังประทานให้แก่พวกท่าน
16 เพราะทุกคนที่ทำอย่างนั้น ทุกคนที่กระทำอย่างไม่ชอบธรรมนั้น ก็เป็นที่น่ารังเกียจต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน 17 จงระลึกถึงสิ่งที่คนอามาเลขกระทำต่อพวกท่านตามหนทางเมื่อพวกท่านได้ออกมาจากอียิปต์ 18 การที่พวกเขาได้มาพบท่านอย่างไรตามหนทางนั้นและการที่เขาโจมตีพวกท่านด้านหลังอย่างไร ทุกคนที่อ่อนกำลังในกองหลังของพวกท่าน เมื่อพวกท่านอ่อนล้าและอ่อนแรง เขาไม่ได้ถวายเกียรติแด่พระเจ้า 19 ด้วยเหตุนี้ เมื่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านได้ประทานการพักสงบจากเหล่าศัตรูทั้งหมดของพวกท่าน ในดินแดนที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านกำลังประทานให้แก่พวกท่านเพื่อยึดครองเป็นมรดกนั้น พวกท่านต้องไม่ลืมว่าพวกท่านต้องทำให้คนอามาเลขสูญสิ้นไปจากความทรงจำภายใต้ท้องฟ้านี้
1 เมื่อพวกท่านได้เข้าไปในดินแดนที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านกำลังประทานให้แก่พวกท่านเป็นมรดกนั้น และเมื่อพวกท่านยึดครองดินแดนนั้นและอาศัยอยู่ในนั้น 2 แล้วพวกท่านต้องเอาผลแรกของการเก็บเกี่ยวทั้งหมดของแผ่นดินที่พวกท่านได้นำเข้ามาจากดินแดนที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านกำลังประทานให้แก่พวกท่าน พวกท่านต้องนำผลเหล่านั้นใส่ในตะกร้าและไปยังสถานที่ที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านจะทรงเลือกให้เป็นดั่งสถานนมัสการของพระองค์ 3 พวกท่านต้องไปหาปุโรหิตผู้ที่กำลังปรนนิบัติในเวลานั้นและพูดกับเขาว่า 'ในวันนี้ข้าพเจ้ายอมรับต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านว่า ข้าพเจ้าได้มาถึงดินแดนนี้ที่พระยาห์เวห์ได้ทรงสัญญาต่อบรรพบุรุษของพวกเราว่าจะประทานให้แก่พวกเรา' 4 ปุโรหิตต้องรับตะกร้านั้นจากมือของพวกท่านและวางมันลงต่อหน้าแท่นบูชาของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน
5 พวกท่านต้องพูดต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านว่า 'บรรพบุรุษของข้าพเจ้าคือชาวอารัมผู้ร่อนเร่ เขาได้ลงไปยังอียิปต์และอาศัยอยู่ที่นั่น และประชาชนของเขามีจำนวนน้อย ที่นั่นเขาได้กลายเป็นชนชาติที่ยิ่งใหญ่ เข้มแข็ง และมีประชาชนหนาแน่น 6 ชาวอียิปต์ได้ปฏิบัติต่อพวกเราอย่างเลวร้ายและได้ทรมานพวกเรา พวกเขาได้ให้เราทำงานเยี่ยงทาส 7 เราได้ร้องทูลต่อพระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษทั้งหลายของพวกเรา และพระองค์ได้ทรงฟังเสียงของพวกเราและได้ทอดพระเนตรเห็นความทรมานของพวกเรา การทำงานหนักของพวกเรา และการถูกกดขี่ของพวกเรา 8 พระยาห์เวห์ได้ทรงนำเราออกจากอียิปต์ด้วยพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระองค์ ด้วยพระกรที่เหยียดออก ด้วยสิ่งที่น่ายำเกรงอย่างยิ่งใหญ่ต่าง ๆ ด้วยหมายสำคัญต่างๆ และด้วยการอัศจรรย์ต่างๆ
9 และพระองค์ได้ทรงนำพวกเรามาที่สถานที่แห่งนี้และได้ทรงประทานดินแดนนี้แก่พวกเรา คือดินแดนหนึ่งที่มีน้ำนมและน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์ 10 ดูเถิดเวลานี้ ข้าพเจ้าได้นำผลแรกของการเก็บเกี่ยวของแผ่นดินที่พระองค์ คือพระยาห์เวห์ ได้ประทานให้แก่ข้าพเจ้า' พวกท่านต้องวางมันลงต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านและนมัสการต่อพระพักตร์ของพระองค์ 11 และพวกท่านต้องชื่นชมยินดีในทุกสิ่งที่ดีที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านได้ทรงกระทำเพื่อพวกท่าน เพื่อครอบครัวของพวกท่าน คือตัวพวกท่านและคนเลวี และคนต่างชาติที่อยู่ท่ามกลางพวกท่าน 12 เมื่อพวกท่านได้เสร็จสิ้นจากการถวายสิบลดทั้งหมดของการเก็บเกี่ยวของพวกท่านในปีที่สามแล้ว นั่นคือ ปีแห่งการถวายสิบลด แล้วพวกท่านต้องมอบสิ่งนั้นให้กับคนเลวี แก่คนต่างชาติ แก่ลูกกำพร้า และแก่หญิงม่าย เพื่อว่าพวกเขาจะสามารถรับประทานภายในประตูเมืองต่าง ๆ ของพวกท่านและอิ่มหนำ
13 พวกท่านต้องพูดต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านว่า 'ข้าพเจ้าได้นำสิ่งต่างๆ ที่เป็นของพระยาห์เวห์ออกจากบ้านของข้าพเจ้า และได้มอบสิ่งเหล่านั้นแก่คนเลวี แก่คนต่างชาติ แก่ลูกกำพร้า และแก่หญิงม่าย ตามพระบัญญัติทั้งสิ้นของพระองค์ที่พระองค์ได้ประทานแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่ได้ละเมิดพระบัญญัติของพระองค์แม้แต่ข้อเดียว และไม่ได้ลืมเลย 14 ข้าพเจ้าไม่ได้รับประทานสิ่งใดๆ จากสิ่งเหล่านั้นในการไว้ทุกข์ของข้าพเจ้า หรือข้าพเจ้าไม่ได้วางมันไว้ในที่ใดเมื่อข้าพเจ้าไม่บริสุทธิ์ หรือข้าพเจ้าไม่ได้มอบสิ่งใดๆ ของสิ่งเหล่านั้นเพื่อให้เกียรติแก่คนตาย ข้าพเจ้าได้ฟังพระสุรเสียงของพระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้เชื่อฟังทุกสิ่งที่พระองค์ได้ทรงบัญชาให้ข้าพเจ้ากระทำ 15 ขอทอดพระเนตรลงมาจากวิสุทธิสถานที่พระองค์ทรงประทับ คือจากสวรรค์ และขอทรงอวยพรประชาชนอิสราเอลของพระองค์ และดินแดนที่พระองค์ได้ประทานให้แก่พวกเรา ตามที่พระองค์ได้ทรงสัญญาแก่บรรพบุรุษของพวกเรา คือดินแดนหนึ่งที่มีน้ำนมและน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์
16 วันนี้พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านกำลังทรงบัญชาพวกท่านให้เชื่อฟังกฎหมายและกฎเกณฑ์ต่างๆ เหล่านี้ ดังนั้นพวกท่านจะถือรักษาถ้อยคำเหล่านี้และทำตามด้วยสิ้นสุดใจและด้วยสิ้นสุดจิตของพวกท่าน 17 พวกท่านได้ประกาศในวันนี้ว่าพระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้าของพวกท่าน และที่พวกท่านจะดำเนินในทางทั้งหลายของพระองค์และถือรักษากฎหมายต่างๆ ของพระองค์ พระบัญญัติต่างๆ ของพระองค์ และกฎเกณฑ์ต่างๆ ของพระองค์ และที่พวกท่านจะฟังพระสุรเสียงของพระองค์ 18 วันนี้พระยาห์เวห์ได้ทรงประกาศว่าพวกท่านเป็นประชาชนที่เป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์เอง ตามที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้แก่พวกท่าน และที่พวกท่านต้องถือรักษาพระบัญญัติทั้งสิ้นของพระองค์ 19 และพระองค์จะตั้งพวกท่านให้สูงเหนือชนชาติอื่นๆ ทั้งหมดที่พระองค์ได้ทรงสร้าง และพวกท่านจะรับคำสรรเสริญ ชื่อเสียง และเกียรติ พวกท่านจะเป็นประชาชนที่ถูกแยกเอาไว้เพื่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน เหมือนอย่างที่พระองค์ได้ตรัสแล้วนั้น
1 โมเสสและบรรดาผู้ใหญ่ของอิสราเอลได้บัญชาประชาชนและพูดว่า "จงถือรักษาพระบัญชาทั้งหลายซึ่งข้าพเจ้าบัญชาแก่พวกท่านในวันนี้ 2 ในวันนั้นเมื่อพวกท่านจะข้ามแม่น้ำจอร์แดนเข้าสู่ดินแดนที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านกำลังประทานให้แก่พวกท่าน พวกท่านต้องตั้งหินก้อนใหญ่จำนวนหนึ่งขึ้นและฉาบปูน 3 พวกท่านต้องเขียนถ้อยคำต่างๆ ของกฎหมายนี้เมื่อพวกท่านได้ข้ามไป เพื่อพวกท่านจะสามารถเข้าสู่ดินแดนซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านกำลังประทานให้แก่พวกท่าน คือดินแดนที่มีน้ำนมและน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์ ตามที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของบรรพบุรุษของพวกท่านได้ทรงสัญญาแก่พวกท่าน
4 เมื่อพวกท่านได้ข้ามผ่านแม่น้ำจอร์แดน จงตั้งหินเหล่านี้ที่ข้าพเจ้ากำลังบัญชาพวกท่านในวันนี้ ที่บนภูเขาเอบาล และฉาบหินเหล่านั้นด้วยปูนขาว 5 ที่นั่นพวกท่านต้องสร้างแท่นบูชาถวายแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน คือแท่นบูชาที่ทำจากหินทั้งหลาย แต่พวกท่านต้องไม่ใช้เครื่องมือเหล็กสกัดก้อนหินเหล่านั้น 6 พวกท่านต้องสร้างแท่นบูชาของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านจากหินที่ยังไม่ได้สกัด พวกท่านต้องเผาเครื่องบูชาบนแท่นบูชานั้นถวายแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน 7 และพวกท่านจะถวายเครื่องสันติบูชาและจะรับประทานที่นั่น พวกท่านจะชื่นชมยินดีต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน 8 พวกท่านจะเขียนถ้อยคำทั้งหมดที่เป็นกฎหมายนี้อย่างชัดเจนบนหินเหล่านั้น"
9 โมเสสและบรรดาปุโรหิตทั้งหลาย คนเลวีทั้งหลาย ได้กล่าวต่อชนอิสราเอลทั้งหมดและพูดว่า "อิสราเอลเอ๋ย จงเงียบและฟัง ในวันนี้พวกท่านได้มาเป็นประชาชนของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน 10 ด้วยเหตุนี้พวกท่านต้องเชื่อฟังพระสุรเสียงของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านและเชื่อฟังพระบัญญัติต่างๆ และกฎหมายของพระองค์ที่ข้าพเจ้ากำลังบัญชาพวกท่านในวันนี้" 11 โมเสสได้บัญชาประชาชนในวันเดียวกันและพูดว่า 12 "ชนเผ่าเหล่านี้ต้องยืนบนภูเขาเกริซิมเพื่ออวยพรประชาชนหลังจากที่พวกท่านได้ข้ามผ่านแม่น้ำจอร์แดนมาแล้ว ได้แก่ เผ่าสิเมโอน เผ่าเลวี เผ่ายูดาห์ เผ่าอิสสาคาร์ เผ่าโยเซฟ และเผ่าเบนยามิน 13 ทั้งหมดเหล่านี้คือเผ่าต่างๆ ที่ต้องยืนบนภูเขาเอบาลเพื่อประกาศคำแช่งสาป ได้แก่ เผ่ารูเบน เผ่ากาด เผ่าอาเชอร์ เผ่าเศบูลุน เผ่าดาน และเผ่านัฟทาลี
14 คนเลวีทั้งหลายจะตอบและพูดต่อคนทั้งหมดของอิสราเอลด้วยเสียงอันดังว่า 15 'ขอคนนั้นถูกแช่งสาปคือคนที่สร้างรูปปั้นหรือรูปแกะสลัก ซึ่งเป็นที่น่ารังเกียจต่อพระยาห์เวห์ ผลงานแห่งน้ำมือของช่างฝีมือ และคนที่ตั้งมันไว้ในที่ลับ' แล้วประชาชนทุกคนต้องตอบและกล่าวว่า 'อาเมน' 16 'ขอให้คนนั้นถูกแช่งสาปคือคนที่ไม่ให้เกียรติแก่บิดาของเขาหรือแก่มารดาของเขา' แล้วประชาชนทุกคนต้องกล่าวว่า 'อาเมน' 17 'ขอให้คนนั้นถูกแช่งสาป คือคนที่ย้ายหลักเขตของเพื่อนบ้านของเขา' แล้วประชาชนทุกคนต้องกล่าวว่า 'อาเมน' 18 'ขอให้คนนั้นถูกแช่งสาป คือคนที่ทำให้คนตาบอดหลงไปจากทาง' แล้วประชาชนทุกคนต้องกล่าวว่า 'อาเมน'
19 'ขอให้คนนั้นถูกแช่งสาป คือคนที่ใช้กำลังบังคับเอาความยุติธรรมออกไปจากคนต่างชาติ ลูกกำพร้า หรือหญิงม่าย' แล้วประชาชนทุกคนต้องกล่าวว่า 'อาเมน' 20 'ขอให้คนนั้นถูกแช่งสาป คือคนที่หลับนอนกับภรรยาของบิดาของเขา เพราะเขาได้เอาสิทธิ์ของบิดาของเขาไป' แล้วประชาชนทุกคนต้องกล่าวว่า 'อาเมน' 21 'ขอให้คนนั้นถูกแช่งสาป คือคนที่หลับนอนกับสัตว์ชนิดใดๆ' แล้วประชาชนทุกคนต้องกล่าวว่า 'อาเมน' 22 'ขอให้คนนั้นถูกแช่งสาป คือคนที่หลับนอนกับพี่น้องผู้หญิงของเขา คือบุตรหญิงของบิดาของเขา หรือกับบุตรหญิงของมารดาของเขา' แล้วประชาชนทุกคนต้องกล่าวว่า 'อาเมน'
23 'ขอให้คนนั้นถูกแช่งสาป คือคนที่หลับนอนกับแม่ยายของเขา' แล้วประชาชนทุกคนต้องกล่าวว่า 'อาเมน' 24 'ขอให้คนนั้นถูกแช่งสาป คือคนที่ฆ่าเพื่อนบ้านของเขาในที่ลับ' แล้วประชาชนทุกคนต้องกล่าวว่า 'อาเมน' 25 'ขอให้คนนั้นถูกแช่งสาป คือคนที่รับสินบนเพื่อฆ่าคนที่บริสุทธิ์' แล้วประชาชนทุกคนต้องกล่าวว่า 'อาเมน' 26 'ขอให้คนนั้นถูกแช่งสาป คือคนที่ไม่ยึดมั่นในถ้อยคำต่างๆ ที่เป็นกฎหมายนี้ ที่เขาจะเชื่อฟังถ้อยคำเหล่านั้น' แล้วประชาชนทุกคนต้องกล่าวว่า 'อาเมน'
1 ถ้าหากพวกท่านเอาใจใส่ในการฟังพระสุรเสียงของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านเพื่อถือรักษาพระบัญญัติทั้งสิ้นของพระองค์ที่ข้าพเจ้ากำลังบัญชาพวกท่านในวันนี้ พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านจะตั้งพวกท่านเหนือชนชาติอื่นๆ ทั้งหมดบนแผ่นดินโลกนี้ 2 พระพรทั้งหมดเหล่านี้จะมาถึงพวกท่านและตามทันพวกท่าน ถ้าหากพวกท่านฟังพระสุรเสียงของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน 3 พระพรจะเป็นของพวกท่านที่ในเมือง และพระพรจะเป็นของพวกท่านที่ในทุ่งนา 4 ผลจากร่างกายของพวกท่านจะได้รับพระพร และผลจากแผ่นดินของพวกท่าน และผลจากสัตว์ต่างๆ ของพวกท่าน คือฝูงสัตว์ของพวกท่านที่เพิ่มพูน และลูกอ่อนของฝูงสัตว์ของพวกท่าน 5 กระจาดของพวกท่านและรางนวดแป้งของพวกท่านจะได้รับพระพร 6 พวกท่านจะได้รับพระพรเมื่อเข้ามา พวกท่านจะได้รับพระพรเมื่อออกไป
7 พระยาห์เวห์จะทำให้พวกศัตรูของพวกท่านที่ลุกขึ้นต่อสู้พวกท่านนั้นพ่ายแพ้ต่อหน้าต่อตาของพวกท่าน พวกเขาจะเข้ามาต่อสู้พวกท่านหนึ่งทางแต่จะหนีไปจากพวกท่านเจ็ดทาง 8 พระยาห์เวห์จะทรงบัญชาพระพรมาเหนือพวกท่านในยุ้งฉางของพวกท่านและในทุกสิ่งที่มือของพวกท่านกระทำ พระองค์จะทรงอวยพรพวกท่านในดินแดนที่พระองค์กำลังประทานให้แก่พวกท่าน 9 พระยาห์เวห์จะทรงสถาปนาพวกท่านให้เป็นชนชาติหนึ่งที่ถูกแยกไว้เพื่อพระองค์เอง ตามที่พระองค์ได้ทรงสัญญาแก่พวกท่าน ถ้าพวกท่านถือรักษาพระบัญญัติต่างๆ ของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน และดำเนินในทางทั้งหลายของพระองค์ 10 ชนชาติทั้งหมดบนแผ่นดินโลกนี้จะมองเห็นว่าพวกท่านได้ถูกเรียกโดยพระนามของพระยาห์เวห์ และพวกเขาจะเกรงกลัวพวกท่าน
11 พระยาห์เวห์จะทรงทำให้พวกท่านเจริญรุ่งเรืองด้วยผลจากร่างกายของพวกท่าน ด้วยผลจากฝูงสัตว์ของพวกท่าน ด้วยผลจากแผ่นดินของพวกท่าน ในดินแดนที่พระองค์ได้ทรงสัญญาต่อบรรดาบรรพบุรุษของพวกท่านว่าจะประทานให้แก่พวกท่าน 12 พระยาห์เวห์จะทรงเปิดคลังแห่งสวรรค์ของพระองค์เพื่อประทานฝนให้แก่แผ่นดินของพวกท่านในเวลาที่เหมาะสม และทรงอวยพรการงานทุกอย่างที่มือของพวกท่านกระทำ พวกท่านจะเป็นผู้ให้ยืมแก่ชนชาติมากมาย แต่พวกท่านจะไม่เป็นผู้ที่ขอยืม 13 พระยาห์เวห์จะทรงทำให้พวกท่านเป็นหัว และไม่ใช่หาง พวกท่านจะอยู่เหนือกว่าเท่านั้น และพวกท่านจะไม่มีวันอยู่ภายใต้ ถ้าพวกท่านฟังพระบัญญัติทั้งหลายของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านที่ข้าพเจ้ากำลังบัญชาพวกท่านในวันนี้ ดังนั้นจงปฏิบัติและกระทำตามถ้อยคำเหล่านี้ 14 และถ้าพวกท่านไม่หันหนีจากถ้อยคำใดๆ ที่ข้าพเจ้ากำลังบัญชาพวกท่านในวันนี้ ไปทางขวามือหรือทางซ้ายมือ คือไปติดตามพระอื่นๆ เพื่อปรนนิบัติพระเหล่านั้น
15 แต่ถ้าพวกท่านไม่ฟังพระสุรเสียงของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน เพื่อถือรักษาพระบัญญัติทั้งสิ้นของพระองค์และกฎหมายของพระองค์ที่ข้าพเจ้ากำลังบัญชาพวกท่านในวันนี้ แล้วคำแช่งสาปเหล่านี้ทั้งหมดจะมาถึงพวกท่านและตามทันพวกท่าน 16 คำแช่งสาปจะตามทันเมื่อพวกท่านอยู่ในเมือง และคำแช่งสาปจะตามทันเมื่อพวกท่านอยู่ในทุ่งนา 17 กระจาดและรางนวดข้าวของพวกท่านจะถูกแช่งสาป 18 ผลจากร่างกายของพวกท่านจะถูกแช่งสาป ผลจากแผ่นดินของพวกท่าน คือฝูงสัตว์ที่เพิ่มพูนของพวกท่าน และลูกอ่อนของฝูงสัตว์ของพวกท่านนั้น 19 คำแช่งสาปจะตามทันเมื่อพวกท่านเข้ามา และคำแช่งสาปจะตามทันเมื่อพวกท่านออกไป 20 พระยาห์เวห์จะทรงส่งคำแช่งสาปมาเหนือพวกท่าน ความสับสน และการขนาบในทุกสิ่งที่มือของพวกท่านกระทำ จนกว่าพวกท่านจะถูกทำลาย และจนกว่าพวกท่านจะพินาศไปอย่างรวดเร็วเพราะการกระทำอันชั่วช้าของพวกท่านที่พวกท่านได้ทอดทิ้งข้าพเจ้าเสีย
21 พระยาห์เวห์จะทรงทำให้มีโรคร้ายติดอยู่กับพวกท่านจนกว่าพระองค์จะทรงทำลายพวกท่านไปจากดินแดนนั้นที่พวกท่านกำลังเข้าไปยึดครอง 22 พระยาห์เวห์จะทรงโจมตีพวกท่านด้วยโรคติดเชื้อ ด้วยการเป็นไข้ ด้วยการอักเสบเรื้อรัง และด้วยภัยแล้งกับแผลพุพอง และด้วยลมที่ร้อนแผดเผากับโรคเชื้อรา สิ่งเหล่านี้จะตามทันพวกท่านจนกว่าพวกท่านจะพินาศ 23 ท้องฟ้าของพวกท่านที่อยู่เหนือศีรษะของพวกท่านจะเป็นทองสัมฤทธิ์ และแผ่นดินที่อยู่ภายใต้พวกท่านจะเป็นเหล็ก 24 พระยาห์เวห์จะทำให้ฝนของแผ่นดินของพวกท่านเป็นผงและฝุ่นละออง มันจะตกลงมาจากท้องฟ้าเหนือพวกท่าน จนกว่าพวกท่านจะถูกทำลาย 25 พระยาห์เวห์จะทรงทำให้พวกท่านพ่ายแพ้ต่อหน้าต่อตาพวกศัตรูของพวกท่าน พวกท่านจะออกไปทางหนึ่งเพื่อต่อสู้กับพวกเขาแต่จะหนีไปต่อหน้าต่อตาของพวกเขาเจ็ดทาง พวกท่านจะถูกเหวี่ยงไปและเหวี่ยงออกจากท่ามกลางราชอาณาจักรทั้งหมดบนแผ่นดินโลกนี้ 26 ศพของพวกท่านจะเป็นอาหารของพวกนกในท้องฟ้าและสัตว์ทั้งหลายบนดิน จะไม่มีใครไล่พวกมันไป
27 พระยาห์เวห์จะทรงโจมตีพวกท่านด้วยฝีของอียิปต์และด้วยแผลกดทับ ด้วยโรคเลือดออกตามไรฟัน และด้วยอาการคัน ที่พวกท่านไม่สามารถรับการรักษาให้หายได้ 28 พระยาห์เวห์จะทรงโจมตีพวกท่านด้วยอาการวิกลจริต ด้วยอาการตาบอด และด้วยอาการสับสนทางจิต 29 พวกท่านจะต้องคลำไปในเวลาเที่ยงเหมือนคนตาบอดคลำไปในความมืด และพวกท่านจะไม่เจริญรุ่งเรืองในวิถีต่างๆ ของพวกท่าน พวกท่านจะถูกกดขี่และถูกปล้นเสมอ และจะไม่มีใครช่วยพวกท่านให้รอดพ้นได้ 30 พวกท่านหมั้นกับผู้หญิงคนหนึ่ง แต่ผู้ชายอีกคนหนึ่งจะฉุดเธอไปและข่มขืนเธอ พวกท่านจะสร้างบ้านหลังหนึ่งแต่จะไม่ได้อาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้น พวกท่านจะปลูกสวนองุ่นแต่จะไม่ได้กินผลของมัน 31 วัวของพวกท่านจะถูกฆ่าต่อหน้าต่อตาของพวกท่าน แต่พวกท่านจะไม่ได้กินเนื้อของมัน ลาของพวกท่านจะถูกแย่งชิงไปต่อหน้าต่อตาของพวกท่านและพวกท่านจะไม่ได้มันกลับคืน แกะของพวกท่านจะถูกยกให้กับพวกศัตรูของพวกท่าน และจะไม่มีใครช่วยเหลือพวกท่าน
32 บุตรชายทั้งหลายและบุตรหญิงทั้งหลายของพวกท่านจะถูกมอบให้กับประชาชนอื่นๆ ดวงตาของพวกท่านจะมองดูพวกเขาตลอดทุกวัน แต่จะรอคอยพวกเขาด้วยความผิดหวัง มือของพวกท่านจะไม่มีกำลังเลย 33 การเก็บเกี่ยวในแผ่นดินของพวกท่านและในการทำงานหนักของพวกท่านทั้งหมด จะมีชนชาติหนึ่งซึ่งพวกท่านไม่รู้จักมากินพวกมัน พวกท่านจะถูกกดขี่และถูกบดขยี้ 34 เพื่อว่าพวกท่านจะกลายเป็นคนเสียสติด้วยสิ่งที่เกิดขึ้นที่พวกท่านมองเห็น 35 พระยาห์เวห์จะทรงโจมตีหัวเข่าและขาของพวกท่านด้วยฝีที่พวกท่านไม่สามารถรักษาให้หายได้ จากปลายเท้าจนถึงด้านบนศีรษะของพวกท่าน 36 พระยาห์เวห์จะทรงนำพาพวกท่านและกษัตริย์ที่พวกท่านจะตั้งไว้เหนือพวกท่านเองนั้นไปยังชนชาติหนึ่งที่พวกท่านไม่รู้จัก ไม่ว่าพวกท่านหรือบรรดาบรรพบุรุษของพวกท่าน ที่นั่นพวกท่านจะนมัสการพระอื่นๆ ที่ทำจากไม้และหิน
37 พวกท่านจะกลายเป็นที่มาแห่งความน่าสะพรึงกลัว สุภาษิตบทหนึ่ง และเป็นคำครหาท่ามกลางประชาชนทั้งหมดที่พระยาห์เวห์จะนำพวกท่านไปนั้น 38 พวกท่านจะเอาเมล็ดพันธุ์มากมายออกไปในทุ่งนา แต่จะเก็บรวมรวมเมล็ดพันธุ์กลับมาได้น้อยนิด เพราะตั๊กแตนทั้งหลายจะมาทำลายมัน 39 พวกท่านจะปลูกสวนองุ่นและเพาะปลูกพวกมัน แต่พวกท่านจะไม่ได้ดื่มเหล้าองุ่นใดๆ หรือแม้แต่ไม่ได้เก็บผลองุ่น เพราะพวกหนอนจะมากัดกินพวกมัน 40 พวกท่านจะมีต้นมะกอกมากมายอยู่ภายในอาณาเขตของพวกท่าน แต่พวกท่านจะไม่ได้น้ำมันใดๆ มาชโลมบนตัวของพวกท่าน เพราะผลของต้นมะกอกของพวกท่านจะร่วงหล่นเสีย 41 พวกท่านจะมีบุตรชายและบุตรหญิงมากมาย แต่พวกเขาจะไม่อาศัยอยู่กับพวกท่าน เพราะพวกเขาจะไปเป็นเชลย 42 บรรดาต้นไม้ทั้งหมดของพวกท่านและผลจากแผ่นดินของพวกท่าน จะถูกพวกตั๊กแตนมาทำลายจนหมดสิ้น
43 คนต่างชาติที่อยู่ท่ามกลางพวกท่านจะลุกขึ้นสูงเหนือพวกท่านมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งพวกท่านเองจะตกต่ำลงเรื่อยๆ 44 เขาจะเป็นผู้ให้พวกท่านขอยืม แต่พวกท่านจะไม่เป็นผู้ให้เขาขอยืม เขาจะเป็นหัว และพวกท่านจะเป็นหาง 45 คำแช่งสาปทั้งหมดเหล่านี้จะมาเหนือพวกท่านและจะตามทันพวกท่านจนกว่าพวกท่านจะถูกทำลาย สิ่งนี้จะเกิดขึ้นเพราะพวกท่านไม่ได้ฟังพระสุรเสียงของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน เพื่อถือรักษาพระบัญญัติต่างๆ ของพระองค์และกฎข้อบังคับต่างๆ ของพระองค์ที่พระองค์ได้ทรงบัญชาพวกท่าน 46 คำแช่งสาปเหล่านี้จะอยู่เหนือพวกท่านเป็นดั่งหมายสำคัญและการอัศจรรย์ และเหนือเชื้อสายทั้งหลายของพวกท่านเป็นนิตย์ 47 เพราะพวกท่านไม่นมัสการพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านด้วยความชื่นชมยินดีและด้วยใจเปรมปรีิดิ์เมื่อพวกท่านอยู่ในความเจริญรุ่งเรืองนั้น
48 ด้วยเหตุนี้ พวกท่านจะรับใช้พวกศัตรูที่พระยาห์เวห์จะทรงส่งมาโจมตีพวกท่าน พวกท่านจะรับใช้พวกเขาด้วยความหิว ด้วยความกระหาย ด้วยการเปลือยกาย และด้วยความยากจน เขาจะวางแอกเหล็กไว้บนคอของพวกท่านจนกระทั่งเขาทำลายพวกท่าน 49 พระยาห์เวห์จะทรงนำชนชาติหนึ่งมาโจมตีพวกท่านจากแดนไกล จากที่สุดปลายแผ่นดินโลก เหมือนกับนกอินทรีตัวหนึ่งบินตรงมาหาเหยื่อของมัน ชนชาติหนึ่งที่พวกท่านไม่เข้าใจภาษา 50 ชนชาติหนึ่งที่มีใบหน้าโหดเหี้ยมที่ไม่เคารพคนมีอายุและไม่แสดงความพอใจต่อคนหนุ่ม 51 พวกเขาจะกินลูกอ่อนจากฝูงสัตว์ของพวกท่านและผลจากแผ่นดินของพวกท่านจนกว่าพวกท่านถูกทำลาย พวกเขาจะไม่ทิ้งรวงข้าวไว้ให้พวกท่านเลย ไม่ทิ้งเหล้าองุ่น หรือน้ำมันเอาไว้ ไม่เหลือลูกอ่อนจากฝูงสัตว์ของพวกท่านหรือฝูงปศุสัตว์ของพวกท่าน จนกระทั่งพวกเขาได้ทำให้พวกท่านพินาศ 52 พวกเขาจะล้อมรอบประตูเมืองทั้งหมดของพวกท่าน จนกว่ากำแพงสูงและป้อมปราการของพวกท่านพังทลายลงในทุกแห่งของดินแดนของพวกท่าน กำแพงต่างๆ ที่พวกท่านได้ไว้วางใจ พวกเขาจะล้อมรอบพวกท่านภายในประตูเมืองต่างๆ ของพวกท่านไปจนตลอดทั่วดินแดนที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านได้ประทานให้แก่พวกท่าน
53 พวกท่านจะกินผลของร่างกายของพวกท่านเอง คือเนื้อของบรรดาบุตรชายและบรรดาบุตรหญิงของพวกท่าน ผู้ที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านได้ประทานให้แก่พวกท่าน ในการถูกล้อมรอบและเป็นทุกข์ที่พวกศัตรูของพวกท่านวางไว้เหนือพวกท่าน 54 คนที่สุภาพและอ่อนโยนในท่ามกลางพวกท่าน เขาจะกลายเป็นคนที่อิจฉาพี่น้องของเขา อิจฉาภรรยาผู้เป็นที่รักของเขา และอิจฉาพวกลูกๆ ที่เขาได้ละทิ้ง 55 ดังนั้นเขาจะไม่ให้เนื้อของพวกลูกของเขาเองที่เขากำลังจะกินแก่พวกเขาคนใด เพราะเขาจะไม่มีอะไรเหลือสำหรับตัวเองในการถูกล้อมรอบและเป็นทุกข์ที่ศัตรูของพวกท่านจะวางไว้เหนือพวกท่านภายในประตูเมืองต่างๆ ของพวกท่าน 56 ผู้หญิงที่สุภาพและอ่อนโยนในท่ามกลางพวกท่าน คือคนที่จะไม่เสี่ยงวางปลายเท้าของเธอบนพื้นดินเพื่อความอ่อนโยนและสุภาพ เธอจะกลายเป็นคนที่อิจฉาสามีผู้เป็นที่รักของเธอ บุตรชายของเธอ และบุตรหญิงของเธอ 57 และทารกที่เกิดใหม่ที่ออกมาจากหว่างขาของเธอ และลูกๆ ที่เธอให้กำเนิด เธอจะกินพวกเขาในที่ลับเพราะไม่มีสิ่งใดเหลืออีกแล้ว ในช่วงการถูกล้อมรอบและเป็นทุกข์ที่ศัตรูของพวกท่านจะวางไว้เหนือพวกท่านภายในประตูเมืองต่างๆ ของพวกท่าน
58 ถ้าพวกท่านไม่ถือรักษาถ้อยคำทั้งหมดของกฎหมายนี้ที่ถูกบันทึกในหนังสือนี้ เพื่อเป็นการถวายเกียรติแด่พระนามอันทรงพระสิริและน่ายำเกรงนี้ คือพระนามของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน 59 แล้วพระยาห์เวห์จะทรงทำให้เกิดความทุกข์ใจอย่างร้ายแรงแก่พวกท่าน และบรรดาคนเหล่านั้นที่เป็นเชื้อสายของพวกท่าน โรคระบาดร้ายแรงจะเกิดขึ้นกับพวกเขา เป็นเวลาอันยาวนาน และโรคภัยที่ร้ายแรงต่างๆ เป็นเวลาอันยาวนาน 60 พระองค์จะทรงนำโรคภัยของอียิปต์ที่พวกท่านหวาดกลัวมาให้พวกท่านอีกครั้งหนึ่ง พวกมันจะติดอยู่กับพวกท่าน 61 ความเจ็บป่วยทุกชนิดและโรคระบาดร้ายแรงทั้งหมดที่ไม่ได้บันทึกไว้ในกฎหมายนี้ สิ่งเหล่านั้น พระยาห์เวห์จะทรงนำมาเหนือพวกท่านด้วยจนกว่าพวกท่านถูกทำลาย 62 พวกท่านจะเหลือเพียงจำนวนน้อย ถึงแม้ว่าพวกท่านได้เป็นเหมือนดวงดาวในท้องฟ้าจำนวนมากมาย เพราะพวกท่านไม่ฟังพระสุรเสียงของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน
63 เมื่อพระยาห์เวห์ทรงได้ชื่นชมยินดีเหนือพวกท่านในการทำสิ่งดีต่อพวกท่าน และในการทวีคูณพวกท่าน ดังนั้นพระองค์จะทรงชื่นชมยินดีเหนือพวกท่านในการทำให้พวกท่านพินาศและในการทำลายพวกท่าน พวกท่านจะถูกถอนออกจากดินแดนที่พวกท่านกำลังเข้าไปยึดครองนั้น 64 พระยาห์เวห์จะทำให้พวกท่านกระจัดกระจายไปท่ามกลางประชาชนทั้งหมดจากสุดปลายแผ่นดินโลกหนึ่งไปยังอีกสุดปลายแผ่นดินโลกหนึ่ง ที่นั่นพวกท่านจะนมัสการพระอื่นๆ ที่พวกท่านไม่รู้จัก ไม่ว่าพวกท่านหรือบรรดาบรรพบุรุษของพวกท่าน พระต่างๆ ที่ทำจากไม้และหิน 65 ในท่ามกลางชนชาติต่างๆ เหล่านี้ พวกท่านจะไม่พบความสะดวก และจะไม่มีการหยุดพักสำหรับปลายเท้าของพวกท่าน แต่พระยาห์เวห์จะประทานหัวใจที่หวั่นไหว ดวงตาที่ผิดหวัง และจิตใจที่โศกเศร้าให้แก่พวกท่านที่นั่นแทน 66 ชีวิตของพวกท่านจะถูกแขวนในความสับสนต่อหน้าต่อตาพวกท่าน พวกท่านจะหวาดกลัวในทุกค่ำคืนและในเวลากลางวันและจะไม่มีความแน่นอนเลยในชีวิตของพวกท่าน 67 ในเวลาเช้าพวกท่านจะพูดว่า 'ข้าพเจ้าปรารถนาให้มันเป็นเวลาเย็น' และในเวลาเย็นพวกท่านจะพูดว่า 'ข้าพเจ้าปรารถนาให้มันเป็นเวลาเช้า' เพราะความหวาดกลัวในหัวใจของพวกท่านและสิ่งต่างๆ ที่ดวงตาของพวกท่านจะได้มองเห็น 68 พระยาห์เวห์จะทรงนำพวกท่านเข้าไปในอียิปต์อีกครั้งโดยทางเรือ โดยเส้นทางที่ข้าพเจ้าได้กล่าวแก่พวกท่าน 'พวกท่านจะไม่ได้เห็นอียิปต์อีก' ที่นั่นพวกท่านจะขายตัวเองให้กับพวกศัตรูของพวกท่านให้เป็นทาสชายและทาสหญิง แต่จะไม่มีใครซื้อพวกท่านเลย"
1 เหล่านี้คือถ้อยคำต่างๆ ที่พระยาห์เวห์ได้ทรงบัญชาโมเสสให้บอกกับประชาชนอิสราเอลในดินแดนโมอับ ถ้อยคำต่างๆ ที่เพิ่มจากพันธสัญญาที่พระองค์ได้ทรงกระทำกับพวกเขาที่โฮเรบ 2 โมเสสได้เรียกชาวอิสราเอลทั้งหมดและพูดกับพวกเขาว่า "พวกท่านได้มองเห็นทุกสิ่งที่พระยาห์เวห์ทรงกระทำต่อหน้าต่อตาของพวกท่านในดินแดนอียิปต์ต่อฟาโรห์ ต่อทาสทั้งหมดของเขา และต่อดินแดนของเขาทั้งหมด 3 คือการทนทุกข์อย่างยิ่งใหญ่ที่ดวงตาของพวกท่านได้มองเห็น หมายสำคัญต่าง ๆ และการอัศจรรย์อันยิ่งใหญ่ต่าง ๆ เหล่านั้น 4 แต่จนถึงวันนี้ พระยาห์เวห์ไม่ได้ประทานใจที่จะรู้ ดวงตาที่จะมองเห็น หูที่จะได้ยิน ให้แก่พวกท่าน
5 เราได้นำพวกเจ้ามาเป็นเวลาสี่สิบปีในถิ่นทุรกันดาร เสื้อผ้าของพวกเจ้าก็ไม่ขาดวิ่น และรองเท้าของพวกเจ้าก็ไม่สึกไป 6 พวกเจ้าจะไม่รับประทานขนมปังใดๆ และพวกเจ้าจะไม่ดื่มเหล้าองุ่นใดๆ หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อื่นๆ เพื่อว่าพวกเจ้าจะรู้ว่าเราเป็นพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้า 7 เมื่อพวกเจ้ามาถึงสถานที่แห่งนี้ สิโหน กษัตริย์แห่งเฮชโบน และโอก กษัตริย์แห่งบาชาน ได้ออกมาโจมตีพวกเรา และเราทำให้พวกเขาพ่ายแพ้ 8 พวกเราได้ยึดดินแดนของพวกเขาและมอบมันให้เป็นมรดกแก่คนเผ่ารูเบน แก่คนเผ่ากาด และแก่คนเผ่ามนัสเสห์ครึ่งเผ่า
9 ด้วยเหตุนี้จงถือรักษาถ้อยคำต่างๆ ของพันธสัญญานี้และกระทำตาม เพื่อพวกท่านจะเจริญรุ่งเรืองในทุกสิ่งที่พวกท่านกระทำ 10 ในวันนี้พวกท่านจงยืนหยัดต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน พวกท่านทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นพวกหัวหน้าทั้งหมดของพวกท่าน เผ่าต่างๆ ของพวกท่าน บรรดาผู้ใหญ่ของพวกท่าน และบรรดานายทหารของพวกท่าน คือผู้ชายทั้งหมดของอิสราเอล 11 บรรดาลูกเล็กทั้งหลายของพวกท่าน พวกภรรยาของพวกท่าน และคนต่างชาติที่อาศัยอยู่ท่ามกลางพวกท่านในค่ายของพวกท่าน ที่ตัดฟืนและหาบน้ำให้แก่พวกท่าน
12 พวกท่านอยู่ที่นี่เพื่อเข้าสู่พันธสัญญาของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านและเข้าสู่คำสัญญาที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านกำลังสัญญากับพวกท่านในวันนี้ 13 เพื่อว่าในวันนี้พระองค์จะทำให้พวกท่านเข้าสู่การเป็นประชาชนของพระองค์เอง ตามที่พระองค์ได้ตรัสแก่พวกท่าน และตามที่พระองค์ได้ทรงสัญญาแก่บรรดาบรรพบุรุษของพวกท่าน คือแก่อับราฮัม แก่อิสอัค และแก่ยาโคบ 14 เพราะไม่ใช่เพียงต่อพวกท่านเท่านั้นที่เรากำลังทำพันธสัญญานี้และคำสัญญานี้ 15 คือทุกคนที่กำลังยืนอยู่ที่นี่กับพวกเราในวันนี้ต่อพระพักตร์ของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเรา แต่กระทำกับคนเหล่านั้นที่ไม่ได้อยู่ที่นี่กับเราในวันนี้ด้วย
16 พวกท่านได้รู้วิธีที่พวกเราได้อาศัยอยู่ในดินแดนอียิปต์ และการที่เราได้ผ่านท่ามกลางชนชาติต่างๆ ตามที่พวกท่านได้ผ่านมานั้น 17 พวกท่านได้มองเห็นสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนของพวกเขา คือพวกรูปเคารพของพวกเขาที่ทำด้วยไม้และหิน เงินและทอง ที่อยู่ท่ามกลางพวกเขา 18 จงแน่ใจว่าไม่มีสิ่งเหล่านี้ในท่ามกลางพวกท่าน คือผู้ชาย ผู้หญิง ครอบครัว หรือเผ่าใดๆ ที่วันนี้ใจของเขาได้หันไปจากพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเรา เพื่อไปนมัสการพระอื่นๆ ของชนชาติต่างๆ เหล่านั้น จงแน่ใจว่าในท่ามกลางพวกท่านจะไม่มีรากที่ทำให้เกิดความขมขื่นและเป็นทุกข์ 19 เมื่อคนนั้นได้ยินถ้อยคำแห่งคำแช่งสาปต่างๆ นี้ เขาจะอวยพรตัวเองในใจของเขาและพูดว่า 'ข้าพเจ้ามีสันติสุข ถึงแม้ว่าข้าพเจ้าดำเนินด้วยความดื้อดึงที่อยู่ในใจของข้าพเจ้า' สิ่งนี้จะทำลายทั้งสิ่งที่เปียกและแห้งไปพร้อมๆ กัน
20 พระยาห์เวห์จะไม่ทรงยกโทษให้แก่เขา แต่พระพิโรธของพระยาห์เวห์และความหึงหวงของพระองค์จะพลุ่งขึ้นโจมตีเขาแทน และคำแช่งสาปทั้งหมดที่ถูกบันทึกในหนังสือนี้จะมาเหนือเขา และพระยาห์เวห์จะลบชื่อของเขาออกไปจากภายใต้ท้องฟ้านี้ 21 พระยาห์เวห์จะแยกเขาออกจากเผ่าทั้งหมดของอิสราเอลเพื่อความพินาศ เพื่อรักษาคำแช่งสาปทั้งสิ้นของพันธสัญญาที่ถูกบันทึกในหนังสือแห่งกฎบัญญัตินี้ 22 ชนรุ่นนั้นที่จะมาถึง คือพวกลูกหลานที่จะเติบโตขึ้นมาหลังจากพวกท่าน และคนต่างชาติที่มาจากดินแดนห่างไกล จะพูดเมื่อพวกเขามองเห็นภัยพิบัติต่างๆ บนแผ่นดินนี้และโรคภัยต่าง ๆ ที่พระยาห์เวห์ได้ทรงกระทำให้ป่วยนั้น
23 และเมื่อพวกเขามองเห็นว่าดินแดนทั้งหมดได้กลายเป็นกำมะถันและเกลือที่ถูกเผาไฟ ที่ซึ่งไม่มีการหว่านหรือการออกผล ไม่มีการปลูกผัก เหมือนการถูกคว่ำของโสโดมและโกโมราห์ อัดมาห์ และเสโบอิม ที่พระยาห์เวห์ได้ทรงทำลายด้วยความโกรธและพระพิโรธของพระองค์ 24 พวกเขาจะพูดพร้อมกันกับชนชาติอื่นๆ ทั้งหมดว่า 'ทำไมพระยาห์เวห์จึงได้ทรงกระทำสิ่งนี้ต่อดินแดนนี้? พระพิโรธอันรุนแรงนี้หมายความว่าอย่างไร? 25 แล้วประชาชนจะพูดว่า 'เพราะพวกเขาได้ละทิ้งพันธสัญญาของพระยาห์เวห์ พระเจ้าของเหล่าบรรพบุรุษของพวกเขา ที่พระองค์ได้ทรงกระทำต่อพวกเขาเมื่อพระองค์ได้ทรงนำพวกเขาออกมาจากดินแดนอียิปต์ 26 และเพราะพวกเขาได้ไปและได้รับใช้พระอื่นๆ และได้ก้มกราบต่อพระเหล่านั้น พระอื่นๆ ที่พวกเขาไม่รู้จักและที่พระองค์ไม่ได้ประทานให้แก่พวกเขา
27 ด้วยเหตุนี้พระพิโรธของพระยาห์เวห์ได้พลุ่งขึ้นโจมตีดินแดนนี้ เพื่อนำคำแช่งสาปทั้งหมดที่ได้บันทึกในหนังสือนี้มาเหนือดินแดนนี้ 28 พระยาห์เวห์ได้ถอนรากพวกเขาออกจากดินแดนของพวกเขาด้วยความโกรธ ด้วยพระพิโรธ และด้วยความเดือดดาล และได้ทรงเหวี่ยงพวกเขาไปอีกดินแดนหนึ่ง ดังเช่นในทุกวันนี้' 29 สิ่งลี้ลับเป็นของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเราแต่เพียงผู้เดียว แต่สิ่งต่างๆ ที่ถูกสำแดงนั้นเป็นของพวกเราและเชื้อสายของพวกเราเป็นนิตย์ เพื่อพวกเราจะทำตามถ้อยคำทั้งหมดของกฎหมายนี้
1 เมื่อสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ได้มาเหนือพวกท่าน คือพระพรต่างๆ และคำแช่งสาปต่างๆ ที่ข้าพเจ้าได้ตั้งเอาไว้ตรงหน้าพวกท่าน และเมื่อพวกท่านระลึกถึงสิ่งทั้งหมดเหล่านี้ในท่ามกลางชนชาติอื่นๆ ทั้งหมดที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านได้ทรงขับไล่พวกท่านไปนั้น 2 และเมื่อพวกท่านหันกลับมาหาพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านและเชื่อฟังเสียงของพระองค์ ทำตามทุกสิ่งที่ข้าพเจ้ากำลังบัญชาพวกท่านในวันนี้ ทั้งพวกท่านและบุตรหลานของพวกท่าน ด้วยสิ้นสุดใจของพวกท่าน และด้วยสิ้นสุดจิตของพวกท่าน 3 เมื่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านทรงนำพวกท่านกลับจากการเป็นเชลยและทรงมีพระทัยสงสารพวกท่าน พระองค์จะหันกลับและรวบรวมพวกท่านจากประชาชนทั้งหมดที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านได้ทำให้พวกท่านกระจัดกระจายไปนั้น 4 ถ้าหากคนใดในพวกท่านที่อยู่ท่ามกลางประชาชนที่ถูกเนรเทศไปยังสถานที่อันไกลโพ้นภายใต้ท้องฟ้านี้ จากที่นั่นพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านจะรวบรวมพวกท่านมา และจากที่นั่นพระองค์จะทรงนำพวกท่านมา
5 พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านจะทรงนำพวกท่านเข้าไปในดินแดนที่บรรดาบรรพบุรุษของพวกท่านเคยครอบครอง และพวกท่านจะครอบครองดินแดนนั้นอีกครั้ง พระองค์จะทรงกระทำสิ่งดีให้แก่พวกท่านและจะทรงทวีคูณพวกท่านมากยิ่งกว่าที่พระองค์ได้ทรงกระทำแก่บรรดาบรรพบุรุษของพวกท่าน 6 พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านจะให้พวกท่านและเชื้อสายของพวกท่านเข้าสุหนัตที่ใจ เพื่อพวกท่านจะรักพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านด้วยสิ้นสุดใจและด้วยสิ้นสุดจิตของพวกท่าน เพื่อว่าพวกท่านจะมีชีวิตอยู่ 7 พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านจะเอาคำแช่งสาปทั้งหมดเหล่านี้ใส่เหนือพวกศัตรูของพวกท่าน และเหนือคนเหล่านั้นที่เกลียดชังพวกท่าน คือคนเหล่านั้นที่ได้ข่มเหงพวกท่าน 8 พวกท่านจะหันกลับและเชื่อฟังเสียงของพระยาห์เวห์ และพวกท่านจะทำตามพระบัญญัติทุกประการของพระองค์ที่ข้าพเจ้ากำลังบัญชาพวกท่านในวันนี้
9 พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านจะทรงทำให้พวกท่านอุดมสมบูรณ์ในการงานทุกอย่างที่มือของพวกท่านกระทำ ในผลแห่งร่างกายของพวกท่าน ในผลแห่งฝูงสัตว์ของพวกท่าน ในผลแห่งผืนดินของพวกท่าน เพื่อความเจริญรุ่งเรือง เพราะพระยาห์เวห์จะทรงเปรมปรีดิ์เหนือพวกท่านอีกครั้งหนึ่งเพราะความเจริญรุ่งเรือง เหมือนกับที่พระองค์ได้ทรงเปรมปรีดิ์เหนือบรรดาบรรพบุรุษของพวกท่านนั้น 10 พระองค์จะทรงกระทำสิ่งนี้ถ้าหากพวกท่านจะเชื่อฟังพระสุรเสียงของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน เพื่อถือรักษาพระบัญญัติต่างๆ และข้อบังคับต่างๆ ของพระองค์ที่ถูกบันทึกไว้ในหนังสือแห่งกฎบัญญัตินี้ ถ้าพวกท่านหันมาหาพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านด้วยสิ้นสุดใจและด้วยสิ้นสุดจิตของพวกท่าน 11 เพราะพระบัญญัตินี้ที่ข้าพเจ้ากำลังบัญชาพวกท่านในวันนี้ไม่ได้ยากสำหรับพวกท่าน หรือไม่ได้ไกลเกินกว่าที่พวกท่านจะเอื้อมถึงได้ 12 มันไม่ได้อยู่บนท้องฟ้า ที่พวกท่านจะต้องกล่าวว่า 'ใครจะขึ้นไปบนท้องฟ้าเพื่อพวกเราและนำมันลงมาให้กับพวกเราและทำให้พวกเราสามารถได้ยินสิ่งนั้น เพื่อพวกเราจะกระทำตามได้หรือ?'
13 หรือมันไม่ได้อยู่อีกฟากของทะเล ที่พวกท่านจะต้องกล่าวว่า 'ใครจะข้ามทะเลไปเพื่อเราและนำมันมาให้แก่พวกเราและทำให้พวกเราได้ยินสิ่งนั้น เพื่อพวกเราจะกระทำตามได้หรือ?' 14 แต่ถ้อยคำนั้นอยู่ใกล้พวกท่านอย่างมาก อยู่ในปากของพวกท่านและอยู่ในหัวใจของพวกท่าน เพื่อพวกท่านจะกระทำตามถ้อยคำนั้นได้ 15 ดูเถิด วันนี้ ข้าพเจ้าได้วางไว้ต่อหน้าพวกท่าน คือชีวิตและสิ่งดี กับความตายและสิ่งชั่วร้าย 16 ถ้าหากพวกท่านเชื่อฟังกฎเกณฑ์ต่างๆ ของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน ดังที่ข้าพเจ้ากำลังบัญชาพวกท่านวันนี้ให้รักพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน ให้เดินในทางทั้งสิ้นของพระองค์ และให้ถือรักษาพระบัญญัติต่างๆ ของพระองค์ ข้อบังคับต่างๆ ของพระองค์ และกฎหมายต่างๆ ของพระองค์ พวกท่านจะมีชีวิตและทวีคูณ และพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านจะทรงอวยพรพวกท่านในดินแดนที่พวกท่านกำลังเข้าไปยึดครองนั้น
17 แต่ถ้าจิตใจของพวกท่านหันไปเสีย และพวกท่านไม่ได้ฟังแต่กลับออกห่างและก้มกราบต่อพระอื่นๆ และนมัสการพระเหล่านั้น 18 แล้วข้าพเจ้าขอประกาศต่อพวกท่านในวันนี้ว่าพวกท่านจะพินาศอย่างแน่นอน พวกท่านจะไม่มีชีวิตยืนยาวในดินแดนที่พวกท่านกำลังข้ามแม่น้ำจอร์แดนเพื่อเข้าไปและยึดครองนั้น 19 ข้าพเจ้าเรียกท้องฟ้าและแผ่นดินให้เป็นพยานต่อสู้พวกท่านในวันนี้ว่า ข้าพเจ้าได้ตั้งไว้ต่อหน้าพวกท่าน คือชีวิตและความตาย พระพรและคำแช่งสาป ด้วยเหตุนี้จงเลือกชีวิตเพื่อว่าพวกท่านจะมีชีวิตอยู่ พวกท่านและเชื้อสายของพวกท่าน 20 จงกระทำสิ่งนี้เพื่อเป็นการรักพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน เพื่อเชื่อฟังพระสุรเสียงของพระองค์ และเพื่อผูกพันกับพระองค์ เพราะพระองค์ทรงเป็นชีวิตของพวกท่านและทรงเป็นวันเวลาที่ยืนยาวของพวกท่าน จงกระทำสิ่งนี้เพื่อว่าพวกท่านจะมีชีวิตอยู่ในดินแดนที่พระยาห์เวห์ได้ทรงสัญญาแก่บรรดาบรรพบุรุษของพวกท่าน คือแก่อับราฮัม แก่อิสอัค และแก่ยาโคบ ว่าจะประทานให้พวกเขา"
1 โมเสสได้ไปและได้กล่าวถ้อยคำเหล่านี้ต่อคนอิสราเอลทั้งหมด 2 เขาพูดกับคนอิสราเอลว่า "บัดนี้ข้าพเจ้าอายุหนึ่งร้อยยี่สิบปีแล้ว ข้าพเจ้าไม่สามารถออกไปและเข้ามาได้อีก พระยาห์เวห์ได้ตรัสแก่ข้าพเจ้าว่า 'เจ้าจะไม่ได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดน' 3 พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน พระองค์จะทรงข้ามไปก่อนหน้าพวกท่าน พระองค์จะทรงทำลายชนชาติต่างๆ เหล่านี้ให้พ้นหน้าพวกท่าน และพระองค์จะทรงขับไล่พวกเขาออกไป โยชูวา เขาจะข้ามไปก่อนหน้าพวกท่าน ตามที่พระยาห์เวห์ได้ตรัสนั้น 4 พระยาห์เวห์จะทรงกระทำต่อพวกเขาดังที่พระองค์ได้ทรงกระทำต่อสิโหนและต่อโอก พวกกษัตริย์ของคนอาโมไรต์ และต่อดินแดนของพวกเขา ที่พระองค์ได้ทรงทำลาย 5 พระยาห์เวห์จะทรงประทานชัยชนะเหนือพวกเขาให้แก่พวกท่านเมื่อพวกท่านเผชิญพวกเขาในสงคราม และพวกท่านจะกระทำต่อพวกเขาทุกอย่างตามที่ข้าพเจ้าได้บัญชาพวกท่าน
6 จงเข้มแข็งและมีความกล้าหาญ จงอย่ากลัว และอย่าหวั่นเกรงต่อพวกเขา เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน พระองค์คือผู้ที่ไปกับพวกท่าน พระองค์จะไม่ทรงทำให้พวกท่านผิดหวังหรือทรงทอดทิ้งพวกท่าน 7 โมเสสได้เรียกโยชูวาและพูดกับเขาว่าต่อหน้าคนอิสราเอลทั้งหมดว่า "จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด เพราะท่านจะเข้าไปกับประชาชนนี้ในดินแดนที่พระยาห์เวห์ได้ทรงสัญญาต่อบรรดาบรรพบุรุษของพวกเขาว่าจะประทานให้พวกเขา ท่านจะทำให้พวกเขาได้รับดินแดนนั้นเป็นมรดก 8 พระยาห์เวห์ พระองค์คือผู้ที่นำหน้าท่านไป พระองค์จะทรงอยู่กับท่าน พระองค์จะไม่ทำให้ท่านผิดหวังหรือทรงทอดทิ้งท่าน อย่ากลัว อย่าท้อใจเลย" 9 โมเสสได้เขียนกฎหมายนี้และได้มอบให้กับบรรดาปุโรหิต บรรดาบุตรชายของคนเลวี ผู้ที่ได้หามหีบพันธสัญญาของพระยาห์เวห์ พระองค์ได้ประทานสำเนาต่างๆ ของพันธสัญญานั้นให้แก่บรรดาผู้ปกครองของชาวอิสราเอลด้วย
10 โมเสสได้บัญชาพวกเขาและพูดว่า "เมื่อถึงสิ้นปีของทุกเจ็ดปี เวลานั้นเป็นเวลาแก้ไขเพื่อยกเลิกสัญญาหนี้ต่างๆ ในช่วงระหว่างเทศกาลอยู่เพิง 11 เมื่อชาวอิสราเอลทั้งหมดได้มาปรากฎตัวต่อหน้าพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านในสถานที่ที่พระองค์จะทรงเลือกให้เป็นสถานนมัสการของพระองค์ พวกท่านจะอ่านกฎหมายนี้ต่อหน้าชาวอิสราเอลทั้งหมดเพื่อให้พวกเขาได้ยิน 12 ที่ชุมนุมของประชาชน พวกผู้ชาย พวกผู้หญิง และพวกเด็กเล็กๆ และพวกคนต่างชาติที่อยู่ภายในประตูเมืองของพวกท่าน เพื่อว่าพวกเขาจะได้ยินและเรียนรู้ และเพื่อพวกเขาจะถวายเกียรติพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านและถือรักษาถ้อยคำทั้งหมดของกฎหมายนี้ 13 จงกระทำสิ่งนี้เพื่อว่าบุตรหลานทั้งหลายของพวกเขา คือผู้ที่ไม่ได้รู้ จะได้ยินและเรียนรู้ที่จะถวายเกียรติแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน ตราบเท่าที่พวกท่านมีชีวิตอยู่ในดินแดนที่พวกท่านกำลังข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปยึดครองนั้น"
14 พระยาห์เวห์ได้ตรัสแก่โมเสสว่า "จงมองดู วันนั้นกำลังมาถึงเมื่อพวกท่านต้องตาย จงเรียกโยชูวาและพวกเจ้าจงอยู่ในเต็นท์นัดพบ เพื่อว่าเราจะมอบพระบัญญัติอย่างหนึ่งให้แก่เขา" โมเสสและโยชูวาได้ไปและได้อยู่ในเต็นท์นัดพบ 15 พระยาห์เวห์ได้ทรงปรากฎในเต็นท์ด้วยเสาเมฆ เสาเมฆที่ตั้งอยู่เหนือประตูทางเข้าของเต็นท์ 16 พระยาห์เวห์ได้ตรัสแก่โมเสสว่า "ดูเถิด เจ้าจะล่วงหลับไปอยู่กับบรรดาบรรพบุรุษของเจ้า ประชาชนนี้จะลุกขึ้นและกระทำเหมือนโสเภณีที่ไล่ตามพระแปลกหน้าทั้งหลายที่อยู่ท่ามกลางพวกเขาในดินแดนที่พวกเขากำลังเข้าไป พวกเขาจะละทิ้งเราและทำลายพันธสัญญาที่เราได้กระทำไว้กับพวกเขา 17 แล้วในวันนั้น ความพิโรธของเราจะพลุ่งขึ้นทำลายพวกเขาและเราจะทอดทิ้งพวกเขา เราจะซ่อนหน้าของเราจากพวกเขาและพวกเขาจะถูกเผาผลาญ พวกเขาจะพบกับความพินาศและวิบัติต่างๆ มากมายเพื่อพวกเขาจะพูดในวันนั้นว่า 'ความพินาศเหล่านี้ที่ไม่มาเหนือพวกเราก็เพราะพระเจ้าของพวกเราไม่ได้ทรงอยู่ท่ามกลางพวกเราหรือ?'
18 เราจะซ่อนหน้าของเราจากพวกเขาในวันนั้นอย่างแน่นอนเพราะความชั่วร้ายทั้งหมดที่พวกเขาได้กระทำ เพราะพวกเขาได้หันไปหาบรรดาพระอื่น 19 ดังนั้นบัดนี้จงเขียนบทเพลงนี้เพื่อตัวของเจ้าเองและสอนเพลงนั้นให้กับประชาชนอิสราเอล จงใส่ไว้ในปากของพวกเขา เพื่อว่าบทเพลงนี้จะเป็นพยานให้กับเราในการต่อสู้กับประชาชนอิสราเอล 20 เพราะเมื่อเราจะได้นำพวกเขาเข้ามาในดินแดนที่เราได้สัญญาว่าจะมอบให้แก่บรรดาบรรพบุรุษของพวกเขา คือดินแดนที่เต็มล้นด้วยน้ำนมและน้ำผึ้ง และเมื่อพวกเขาได้กินและอิ่มหนำและอ้วนพี แล้วพวกเขาจะหันไปหาพระอื่นๆ และพวกเขาจะปรนนิบัติพระเหล่านั้นและพวกเขาจะดูหมิ่นเรา และพวกเขาจะทำลายพันธสัญญาของเรา
21 เมื่อความชั่วร้ายและปัญหามากมายมาเหนือประชาชนนี้ บทเพลงนี้จะเป็นพยานต่อพวกเขาดั่งคำพยาน (เพราะมันจะไม่ถูกลืมไปจากปากของบรรดาเชื้อสายของพวกเขา) เพราะเรารู้แผนการต่างๆ ที่พวกเขากำลังสร้างในวันนี้ แม้ก่อนที่เราจะได้นำพวกเขาเข้าไปในดินแดนที่เราได้สัญญาแก่พวกเขาก็ตาม" 22 ดังนั้นโมเสสจึงได้เขียนบทเพลงในวันเดียวกันนั้นและได้สอนบทเพลงนั้นให้กับประชาชนอิสราเอล 23 พระยาห์เวห์ได้ประทานพระบัญญัติอย่างหนึ่งแก่โยชูวาบุตรชายของนูน "จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด เพราะเจ้าจะนำประชาชนอิสราเอลเข้าไปในดินแดนที่เราได้สัญญาแก่พวกเขา และเราจะอยู่กับเจ้า" 24 สิ่งนี้เกิดขึ้นเมื่อโมเสสได้เขียนถ้อยคำต่างๆ ของกฎหมายนี้ลงในหนังสือได้สำเร็จ 25 ซึ่งเขาได้บัญชาพวกคนเลวีผู้ที่หามหีบพันธสัญญาของพระยาห์เวห์ และเขาได้พูดว่า
26 "จงเอาหนังสือแห่งกฎหมายนี้และใส่ลงไปในด้านข้างของหีบพันธสัญญาของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน ดังนั้นเพื่อจะเป็นคำพยานต่อสู้พวกท่าน 27 เพราะข้าพเจ้ารู้เรื่องการกบฎของพวกท่านและเรื่องความดื้อดึงของพวกท่าน จงดูเถิด ในขณะที่ข้าพเจ้ายังคงมีชีวิตอยู่ร่วมกับพวกท่านในทุกวันนี้ พวกท่านยังได้กบฎต่อพระยาห์เวห์ แล้วมันจะยิ่งกว่านี้สักเท่าใดเมื่อหลังจากข้าพเจ้าตายไปแล้ว? 28 จงเรียกชุมนุมพวกผู้อาวุโสทั้งหมดของเผ่าต่างๆ ของพวกท่าน และพวกนายพลทั้งหลายของพวกท่านให้แก่ข้าพเจ้า เพื่อว่าข้าพเจ้าจะพูดถ้อยคำเหล่านี้ให้เข้าไปในหูของพวกเขา และเรียกท้องฟ้ากับแผ่นดินให้เป็นพยานต่อสู้พวกเขา 29 เพราะข้าพเจ้ารู้ว่าหลังจากข้าพเจ้าตายไปแล้ว พวกท่านจะทำให้ตัวเองเลวทรามลงและหันออกไปจากวิถีที่ข้าพเจ้าได้บัญชาพวกท่าน ความพินาศจะมาเหนือพวกท่านในวันเหล่านั้นที่ตามมา สิ่งนี้จะเกิดขึ้นเพราะพวกท่านจะทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ เพื่อเป็นการยั่วยุให้พระองค์ทรงพิโรธโดยผ่านการงานแห่งน้ำมือของพวกท่าน" 30 โมเสสอ่านออกเสียงถ้อยคำต่างๆ ของบทเพลงนี้ให้กับที่ชุมนุมทั้งหมดของอิสราเอลได้ยินจนกระทั่งจบบทเพลง
1 จงฟังเถิด พวกเจ้าท้องฟ้าทั้งหลาย และข้าพเจ้าจะพูด ขอให้แผ่นดินจงฟังถ้อยคำต่างๆ จากปากของข้าพเจ้า 2 ขอให้คำสอนของข้าพเจ้าหยาดลงมาเหมือนกับสายฝน ขอให้คำพูดของข้าพเจ้าหยดลงมาเหมือนน้ำค้าง เหมือนกับฝนชื่นใจหยาดลงมาบนต้นหญ้าที่อ่อนไหว และเป็นเหมือนกับการรดน้ำบนพืชพันธ์ุทั้งปวง 3 เพราะข้าพเจ้าจะประกาศพระนามของพระยาห์เวห์ และอ้างถึงความยิ่งใหญ่ถวายแด่พระเจ้าของเรา 4 พระศิลา พระราชกิจของพระองค์นั้นดีพร้อม เพราะวิถีทางทั้งสิ้นของพระองค์นั้นยุติธรรม พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้สัตย์ซื่อ ทรงปราศจากความชั่วช้า พระองค์ทรงยุติธรรมและเที่ยงตรง 5 พวกเขาได้กระทำอย่างเลวทรามเพื่อต่อสู้กับพระองค์ พวกเขาไม่ใช่บุตรทั้งหลายของพระองค์ นั่นเป็นความอัปยศของพวกเขา พวกเขาเป็นชนรุ่นที่หลงผิดและไม่ซื่อสัตย์
6 พวกท่านผู้โง่เขลาและไม่มีสติ พวกท่านตอบแทนพระยาห์เวห์ด้วยวิธีการนี้หรือ? พระองค์ผู้ที่ได้ทรงสร้างพวกท่าน ไม่ได้ทรงเป็นพระบิดาของพวกท่านหรือ? พระองค์ได้ทรงสร้างพวกท่านและสถาปนาพวกท่าน 7 จงระลึกถึงวันทั้งหลายในกาลก่อน จงคิดถึงปีทั้งหลายที่ผ่านมาหลายชั่วอายุ จงถามบิดาของพวกท่านและเขาจะแสดงให้พวกท่านได้เห็น พวกผู้ใหญ่ทั้งหลาย และพวกเขาจะบอกพวกท่าน 8 เมื่อองค์สูงสุดได้ประทานชนชาติทั้งหลายให้เป็นมรดกของพวกเขา เมื่อพระองค์กระจายมวลมนุษย์ทั้งหมด และพระองค์ได้ทรงตั้งขอบเขตให้กับประชาชนเหล่านั้น ดังที่พระองค์กำหนดจำนวนของบรรดาพระของพวกเขานั้น 9 เพราะส่วนของพระยาห์เวห์คือประชาชนของพระองค์ ยาโคบเป็นมรดกที่ได้รับการแต่งตั้งของพระองค์ 10 พระองค์ทรงได้พบเขาในดินแดนที่แห้งแล้ง และในถิ่นทุรกันดารที่ปราศจากพืชผลและกว้างใหญ่ พระองค์ได้ทรงปกป้องเขาและทรงดูแลเขา พระองค์ได้ทรงคุ้มกันเขาเหมือนดั่งแก้วพระเนตรของพระองค์
11 เหมือนนกอินทรีตัวหนึ่งที่ปกป้องรังของมันและกระพือปีกเหนือลูกอ่อนของมัน พระยาห์เวห์ก็ได้ทรงกางปีกของพระองค์และทรงนำพวกเขา และทรงแบกพวกเขาไว้บนปีกของพระองค์ 12 พระยาห์เวห์ผู้เดียวได้ทรงนำเขา ไม่ใช่พระของคนต่างชาติที่อยู่กับเขา 13 พระองค์ได้ทรงกระทำให้เขาขี่ขึ้นไปบนสถานที่สูงของดินแดนนั้น และพระองค์ได้ทรงเลี้ยงดูเขาด้วยผลต่างๆ จากทุ่งนา พระองค์ทรงบำรุงเลี้ยงเขาด้วยน้ำผึ้งจากศิลา และน้ำมันจากผาหินชัน 14 เขาได้รับประทานจากฝูงสัตว์และดื่มน้ำนมจากฝูงสัตว์ พร้อมกับไขมันของแกะทั้งหลาย บรรดาแกะตัวผู้แห่งบาชานและแพะทั้งหลาย พร้อมกับข้าวสาลีที่ดีที่สุด และพวกท่านได้ดื่มเหล้าองุุ่นชั้นดีที่ทำมาจากน้ำองุ่น 15 แต่เยชูรูนอ้วนพีและขัดขืน พวกท่านอ้วนพีขึ้น ท่านอ้วนมากเกินไป และท่านได้รับประทานจนอิ่มหนำ เขาทอดทิ้งพระเจ้าผู้ได้ทรงสร้างเขา และเขาได้ปฏิเสธพระศิลาแห่งความรอดของเขา
16 พวกเขาได้ทำให้พระยาห์เวห์ทรงหึงหวงโดยบรรดาพระแปลกหน้าของพวกเขา ด้วยสิ่งที่น่ารังเกียจของพวกเขา พวกเขาได้ทำให้พระองค์พิโรธ 17 พวกเขาถวายเครื่องบูชาต่อวิญญาณชั่วทั้งหลาย ซึ่งไม่ใช่พระเจ้า บรรดาพระต่างๆ ที่พวกเขาไม่รู้จัก บรรดาพระต่างๆ ที่พึ่งปรากฎเมื่อไม่นานมานี้ บรรดาพระต่างๆ ที่บรรดาบรรพบุรุษของพวกท่านไม่ได้ยำเกรง 18 พวกท่านได้ทอดทิ้งพระศิลา ผู้ได้ทรงมาเป็นพระบิดาของพวกท่าน และพวกท่านได้หลงลืมพระเจ้าผู้ได้ทรงให้กำเนิดพวกท่าน 19 พระยาห์เวห์ได้ทอดพระเนตรสิ่งนี้และพระองค์ได้ทรงปฎิเสธพวกเขา เพราะบรรดาบุตรชายของพวกเขาและบรรดาบุตรหญิงของพวกเขาได้ยั่วยุเขาให้โกรธด้วย 20 "เราจะซ่อนหน้าของเราจากพวกเขา" พระองค์ได้ตรัส "และเราจะมองดูว่าจุดจบของพวกเขาจะเป็นอย่างไร เพราะพวกเขาเป็นชนรุ่นที่เอาแต่ใจ พวกบุตรที่ไม่ซื่อสัตย์ 21 พวกเขาได้ทำให้เราอิจฉาโดยสิ่งที่ไม่ใช่พระเจ้าและทำให้เราโกรธโดยสิ่งที่ไร้ค่าของพวกเขา เราจะทำให้พวกเขาอิจฉาคนเหล่านั้นที่ไม่ได้เป็นชนชาติ คือชนชาติที่โง่เขลา เราจะทำให้พวกเขาโกรธ
22 เพราะไฟได้พลุ่งขึ้นด้วยความพิโรธของเราและกำลังเผาผลาญไปถึงส่วนที่ลึกที่สุดของแดนคนตาย ไฟกำลังเผาผลาญแผ่นดินโลกและการเก็บเกี่ยวของมัน รากฐานของภูเขาต่างๆ กำลังลุกด้วยไฟ 23 เราจะสุมภัยพิบัติต่างๆ บนพวกเขา เราจะยิงลูกศรทั้งหมดของเราใส่พวกเขา 24 พวกเขาจะถูกทำให้สูญเปล่าโดยความหิวและการเผาผลาญอย่างร้อนแรงและการทำลายอย่างขมขื่น เราจะส่งสัตว์ป่าที่มีเขี้ยวเล็บมายังพวกเขา ด้วยสิ่งต่าง ๆ ที่มีพิษที่คลานมาในธุลี 25 ที่หลงเหลือจากดาบจะถูกปลิดชีพ และในห้องนอนต่างๆ ก็จะมีความหวาดกลัว มันจะทำลายทั้งคนหนุ่มและหญิงสาวบริสุทธิ์ ทารก และชายที่มีผมหงอก 26 เราได้พูดว่าเราจะทำให้พวกเขากระจัดกระจายไป ที่เราจะทำให้อนุสรณ์ของพวกเขาหมดไปจากท่ามกลางมนุษย์ 27 แต่เราก็กลัวการยุยงของศัตรู และบรรดาศัตรูของพวกเขาจะตัดสินอย่างผิดพลาด และที่พวกเขาจะกล่าวว่า 'มือของพวกเราได้รับการยกย่อง' เราจะทำสิ่งนี้ทั้งหมด
28 เพราะอิสราเอลเป็นชนชาติหนึ่งที่ขาดสติปัญญา และไม่มีความเข้าใจในพวกเขา 29 โอ ที่พวกเขาได้มีปัญญา ที่พวกเขาได้เข้าใจสิ่งนี้ ที่พวกเขาจะได้พิจารณาถึงจุดจบของพวกเขาที่กำลังมาถึง 30 คนหนึ่งจะสามารถขับไล่พันคนได้อย่างไร และสองคนจะขับไล่หนึ่งหมื่นคนได้อย่างไร เว้นแต่พระศิลาของพวกเขาได้ขายพวกเขาเสีย และพระยาห์เวห์ได้ทำให้พวกเขาพ่ายแพ้? 31 เพราะก้อนหินของพวกศัตรูทั้งหลายของพวกเรานั้นไม่เหมือนกับพระศิลาของพวกเรา ที่แม้แต่พวกศัตรูของพวกเราก็ยอมรับ 32 เพราะเถาองุ่นของพวกเขาที่มาจากเถาองุ่นของโสโดม และจากทุ่งนาของโกโมราห์ ผลองุ่นทั้งหลายของพวกเขาเป็นผลองุ่นที่มีพิษ พวงของพวกมันก็มีรสขม 33 เหล้าองุ่นของพวกเขาคือพิษของงู และพิษของงูที่ทำให้ทรมานอย่างมากมาย
34 แผนการนี้ เราไม่ได้เก็บไว้เป็นความลับ ปิดผนึกไว้ท่ามกลางทรัพย์สมบัติของเราหรือ? 35 การแก้แค้นเป็นของเราที่จะมอบคืน และตอบแทน ในเวลานั้นเมื่อเท้าของพวกเขาลื่น เพราะวันแห่งภัยพิบัติสำหรับพวกเขาเข้ามาใกล้แล้ว และสิ่งต่างๆ ที่ต้องมาถึงพวกเขาก็จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว" 36 เพราะพระยาห์เวห์จะประทานความยุติธรรมแก่ประชาชนของพระองค์ และพระองค์จะทรงสงสารบรรดาผู้รับใช้ของพระองค์ พระองค์จะทรงมองเห็นอำนาจของพวกเขาสูญสิ้นไป และไม่มีใครสักคนหลงเหลืออยู่ ไม่ว่าทาสทั้งหลายหรือคนที่เป็นไท 37 แล้วพระองค์จะตรัสว่า "พระต่างๆ ของพวกเขาอยู่ที่ไหน ก้อนหินที่พวกเขาเข้าลี้ภัยอยู่ที่ไหน? 38 พระต่าง ๆ ที่กินไขมันที่เป็นเครื่องบูชาของพวกเขาและดื่มเหล้าองุ่นที่เป็นเครื่องดื่มบูชาของพวกเขาอยู่ที่ไหนหรือ? จงให้พระเหล่านั้นลุกขึ้นและช่วยพวกท่านเถิด จงให้พระเหล่านั้นปกป้องพวกท่านเถิด
39 บัดนี้ ดูเถิด เราคือผู้นั้น เราคือพระเจ้า และไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกเหนือจากเรา เราทำให้ตาย และเราให้ชีวิต เราทำให้บาดเจ็บ และเรารักษา และไม่มีผู้ใดที่สามารถช่วยเจ้าให้รอดพ้นจากฤทธิ์อำนาจของเราได้ 40 เพราะเรายกมือของเราขึ้นต่อท้องฟ้าและกล่าวว่า 'ดังที่เรามีชีวิตอยู่นิรันดร์ เราจะกระทำ 41 เมื่อเราลับดาบอันแวววาวของเราให้คมกริบ และเมื่อมือของเราเริ่มต้นนำความยุติธรรมมา เราจะตอบแทนด้วยการแก้แค้นต่อพวกศัตรูของเรา และเราจะสนองคืนให้แก่คนเหล่านั้นที่เกลียดเรา 42 เราจะทำให้ลูกศรของเราเมาโลหิต และดาบของเราจะกินเนื้อ ด้วยโลหิตของผู้ถูกฆ่าและผู้เป็นเชลยทั้งหลาย และจากศีรษะของพวกผู้นำของพวกศัตรูนั้น'" 43 จงชื่นชมยินดี พวกเจ้าชนชาติทั้งหลาย พร้อมกับประชาชนของพระเจ้า เพราะพระองค์จะแก้แค้นให้กับโลหิตของบรรดาผู้รับใช้ของพระองค์ พระองค์จะแก้แค้นพวกศัตรูของพระองค์ และพระองค์จะลบล้างบาปเพื่อดินแดนของพระองค์ เพื่อประชาชนของพระองค์
44 โมเสสได้มาและกล่าวเนื้อเพลงทั้งหมดให้กับประชาชนได้ฟัง เขากับโยชูวาบุตรชายของนูน 45 เมื่อโมเสสท่องถ้อยคำทั้งหมดนี้ให้กับคนอิสราเอลทั้งปวงจนจบแล้ว 46 เขาพูดกับประชาชนว่า "จงให้ใจของพวกท่านจดจ่อกับถ้อยคำทั้งหมดที่ข้าพเจ้าได้เป็นพยานให้กับพวกท่านในวันนี้ เพื่อพวกท่านจะสั่งบรรดาบุตรหลานของพวกท่านให้ถือรักษา ถ้อยคำทั้งหมดของกฎหมายนี้ 47 เพราะในสิ่งนี้ไม่มีสิ่งใดไม่สำคัญสำหรับพวกท่าน เพราะมันคือชีวิตของพวกท่าน และโดยทางสิ่งเหล่านี้ พวกท่านจะทำให้วันของพวกท่านยืนยาวในดินแดนที่พวกท่านกำลังข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปยึดครองนั้น" 48 พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับโมเสสในวันเดียวกันนั้นและตรัสว่า
49 "จงขึ้นไปบนเทือกเขาอาบาริม ขึ้นไปจนถึงภูเขาเนโบ ซึ่งอยู่ในดินแดนโมอับ ฝั่งตรงกันข้ามกับเยรีโค เจ้าจะมองดูดินแดนคานาอัน ที่เรากำลังมอบให้กับประชาชนอิสราเอลเป็นกรรมสิทธิ์ของพวกเขา 50 เจ้าจะตายบนภูเขานั้นที่เจ้าขึ้นไป และเจ้าจะถูกรวบรวมไปอยู่กับประชาชนของเจ้า เหมือนกับอาโรน พี่น้องชาวอิสราเอลของเจ้าตายบนภูเขาเฮอร์และถูกรวบรวมไปอยู่กับประชาชนของเขา 51 สิ่งนี้จะเกิดขึ้นเพราะเจ้าไม่ซื่อสัตย์ต่อเราในท่ามกลางประชาชนอิสราเอลที่น้ำแห่งเมรีบาห์ในคาเดช ในถิ่นทุรกันดารแห่งสิน เพราะเจ้าไม่ได้ปฏิบัติต่อเราด้วยการให้เกียรติและการนับถือในท่ามกลางประชาชนอิสราเอล 52 เพราะเจ้าจะมองเห็นดินแดนที่อยู่ต่อหน้าเจ้า แต่เจ้าจะไม่ได้เข้าไปที่นั่น คือเข้าไปในดินแดนที่เรากำลังมอบให้กับประชาชนอิสราเอล"
1 นี่คือคำอวยพรที่โมเสส ผู้รับใช้ของพระเจ้าได้อวยพรประชาชนอิสราเอลก่อนการตายของเขา 2 เขาได้กล่าวว่า พระยาห์เวห์ได้เสด็จมาจากซีนายและได้ทรงลุกขึ้นจากเสอีร์เหนือพวกเขา พระองค์ได้ทรงฉายแสงจากภูเขาปาราน และพระองค์ได้เสด็จมาพร้อมกับวิสุทธิชนนับหมื่นๆ ในพระหัตถ์ขวาของพระองค์คือสายฟ้าแลบ 3 แท้จริงแล้ว พระองค์ทรงรักประชาชนทั้งหลาย บรรดาวิสุทธิชนทั้งสิ้นของพระองค์อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ และพวกเขาได้ก้มกราบที่พระบาทของพระองค์ พวกเขาได้รับถ้อยคำทั้งหลายของพระองค์ 4 โมเสสได้บัญชากฎหมายอย่างหนึ่งแก่พวกเรา มรดกอย่างหนึ่งสำหรับที่ชุมนุมของยาโคบ
5 แล้วได้มีกษัตริย์องค์หนึ่งในเยชูรูน เมื่อบรรดาผู้นำของประชาชนได้มารวมกัน ชนทุกเผ่าของอิสราเอลได้มาอยู่รวมกัน 6 จงให้รูเบนมีชีวิตอยู่และไม่ตาย แต่ขอให้พวกผู้ชายของเขามีเล็กน้อย 7 นี่คือพระพรสำหรับยูดาห์ โมเสสได้กล่าวว่า ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอทรงฟังเถิด ขอทรงฟังเสียงของยูดาห์ และนำเขามายังประชาชนของเขาอีกครั้ง ขอทรงต่อสู้เพื่อเขา ขอทรงเป็นความช่วยเหลือเพื่อต่อสู้กับพวกศัตรูของเขา 8 สำหรับคนเลวี โมเสสได้กล่าวว่า ทัมมิมและอูริมของพระองค์เป็นของผู้ที่จงรักภักดีของพระองค์ ผู้ที่พระองค์ได้ทรงทดสอบที่มัสสาห์ ผู้ที่พระองค์ได้ทรงต่อสู้ที่เมรีบาห์ 9 ผู้ที่พูดเกี่ยวกับบิดาและมารดาของเขาว่า "ข้าพเจ้าไม่ได้เห็นพวกเขา" เขาไม่ได้รู้จักพวกพี่น้องของเขา หรือไม่ได้รับผิดชอบต่อบรรดาบุตรหลานของเขาเอง เพราะเขาได้ปกป้องถ้อยคำของพระองค์และได้ถือรักษาพันธสัญญาของพระองค์
10 เขาสอนกฎบัญญัติของพระองค์แก่ยาโคบและสอนกฎหมายของพระองค์แก่คนอิสราเอล เขาจะถวายเครื่องหอมต่อพระพักตร์ของพระองค์และถวายเครื่องเผาบูชาบนแท่นบูชาของพระองค์ 11 ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอทรงอวยพรบรรดาทรัพย์สินของเขา และยอมรับการงานจากมือของเขา ขอทรงขับไล่เหล่าสิงโตที่ลุกขึ้นต่อสู้พวกเขา และคนเหล่านั้นที่เกลียดชังเขา เพื่อพวกเขาจะไม่ได้ลุกขึ้นมาต่อสู้อีก 12 สำหรับเบนยามิน โมเสสได้กล่าวว่า ผู้ที่พระยาห์เวห์ทรงรักและทรงอยู่เคียงข้างเขาอย่างมั่นคง พระยาห์เวห์ทรงปกป้องเขาตลอดเวลาอันยาวนาน และเขามีชีวิตอยู่ระหว่างอ้อมพระกรของพระยาห์เวห์ 13 สำหรับโยเซฟ โมเสสได้กล่าวว่า ขอให้ดินแดนของเขาได้รับพระพรจากพระยาห์เวห์ด้วยสิ่งมีค่าต่างๆ จากท้องฟ้า ด้วยหยาดน้ำค้าง และด้วยสิ่งที่อยู่ลึกใต้น้ำ
14 ขอให้ดินแดนของเขาได้รับการอวยพรด้วยสิ่งมีค่าต่างๆ ซึ่งเป็นการเก็บเกี่ยวจากดวงอาทิตย์ ด้วยสิ่งมีค่าต่างๆ อันเป็นผลจากเดือนทั้งหลาย 15 ด้วยสิ่งที่ดีที่สุดจากบรรดาภูเขาโบราณ และด้วยสิ่งมีค่าต่างๆ จากบรรดาเนินเขาชั่วนิรันดร์ 16 ขอให้ดินแดนของเขาได้รับการอวยพรด้วยสิ่งมีค่าต่าง ๆ แห่งแผ่นดินและความอุดมสมบูรณ์ของมัน และด้วยน้ำพระทัยประเสริฐของพระองค์ผู้ทรงอยู่ในพุ่มไม้นั้น ขอให้พระพรมายังศีรษะของโยเซฟ และบนศีรษะของเขาผู้ปกครองเหนือพวกพี่น้องของเขา 17 สัตว์หัวปีของวัว คือศักดิ์ศรีของเขา และเขาของเขาเป็นเขาของวัวป่า ด้วยสิ่งเหล่านี้เขาจะผลักพวกประชาชนทั้งหลาย พวกเขาทั้งหมด ไปจนถึงสุดปลายแผ่นดินโลก ทั้งหมดเหล่านี้คือคนเอฟราอิมนับหมื่นๆ คน ทั้งหมดเหล่านี้คือคนมนัสเสห์นับพันๆ คน
18 สำหรับเศบูลุน โมเสสได้กล่าวว่า เศบูลุน จงชื่นชมยินดีเถิด ในการออกไป และพวกท่าน อิสสาคาร์ จงอยู่ในเต็นท์ 19 พวกเขาจะเรียกประชาชนทั้งหลายไปที่ภูเขาต่างๆ ที่นั่นพวกเขาจะถวายเครื่องบูชาแห่งความชอบธรรม เพราะพวกเขาจะดูดดื่มความอุดมสมบูรณ์แห่งท้องทะเลทั้งหลาย และจากเม็ดทรายบนชายหาด 20 สำหรับกาด โมเสสได้กล่าวว่า การอวยพรจงเป็นของเขาคือผู้ที่ทำให้กาดกว้างใหญ่มากขึ้น เขาจะมีชีวิตอยู่ที่นั่นเหมือนกับนางสิงห์ และเขาจะฉีกแขนหรือศีรษะ 21 เขาได้จัดเตรียมส่วนทีดีที่สุดสำหรับตัวเขาเอง เพราะมีส่วนดินแดนที่เป็นของผู้นำที่ถูกสงวนไว้ เขามาพร้อมกับบรรดาหัวหน้าของประชาชน เขาทำให้ความยุติธรรมของพระยาห์เวห์และบรรดาข้อบังคับของพระองค์แก่อิสราเอลสำเร็จ
22 สำหรับดาน โมเสสได้กล่าวว่า ดานเป็นสิงห์หนุ่มตัวหนึ่งที่กระโดดออกมาจากบาชาน 23 สำหรับนัฟทาลี โมเสสได้กล่าวว่า นัฟทาลี จงอิ่มใจอยู่กับความโปรดปราน และเต็มไปด้วยพระพรของพระยาห์เวห์ จงยึดครองดินแดนทางตะวันตกและทางใต้ 24 สำหรับอาเชอร์ โมเสสได้กล่าวว่า การอวยพรจงเป็นของอาเชอร์มากยิ่งกว่าบรรดาบุตรชายอื่นๆ จงให้เขาเป็นที่ยอมรับต่อบรรดาพี่น้องของเขา และจงยอมให้เขาจุ่มเท้าของเขาในน้ำมันมะกอก
25 ขอให้ดาลประตูเมืองของพวกท่านเป็นเหล็กและทองสัมฤทธิ์ พวกท่านจะอยู่ในความมั่นคงปลอดภัย นานตราบเท่าที่พวกท่านมีชีวิตอยู่ 26 ไม่มีผู้ใดเป็นเหมือนพระเจ้าแห่งเยชูรูน ผู้ทรงเที่ยงตรง คือผู้ที่ทรงพาหนะผ่านท้องฟ้าทั้งหลายเพื่อช่วยเหลือพวกท่าน และในพระสง่าราศีของพระองค์บนเมฆทั้งหลาย 27 พระเจ้าผู้ทรงเป็นนิรันดร์คือที่ลี้ภัย และภายใต้คือพระกรอันเป็นนิรันดร์ พระองค์ทรงขับไล่ศัตรูออกไปต่อหน้าต่อตาของพวกท่าน และพระองค์ได้ตรัสว่า "จงทำลายเสีย" 28 อิสราเอลได้พักอาศัยอยู่ในที่ปลอดภัย น้ำพุของยาโคบนั้นมั่นคงอยู่ในดินแดนแห่งพืชผลและเหล้าองุ่นใหม่ จงให้ท้องฟ้าทั้งหลายของพระองค์หยาดน้ำค้างเหนือเขาเถิด 29 พระพรทั้งหลายของพระองค์นั้นมากมาย อิสราเอล ใครเป็นเหมือนพวกท่าน คือประชาชนที่ได้รับการช่วยให้รอดโดยพระยาห์เวห์ ผู้ทรงเป็นโล่แห่งความช่วยเหลือของพวกท่าน และทรงเป็นดาบแห่งศักดิ์ศรีของพวกท่านหรือ? บรรดาศัตรูของพวกท่านจะมาเพื่อทำให้พวกท่านสั่นสะเทือน แต่พวกท่านจะทำให้บรรดาที่สูงของพวกเขาสั่นสะเทือนและล้มลง
1 โมเสสได้ขึ้นไปจากที่ราบโมอับจนถึงภูเขาเนโบ ถึงยอดเขาปิสกา ซึ่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับเมืองเยรีโค ที่นั่นพระยาห์เวห์ได้ทรงสำแดงให้เขาเห็นดินแดนทั้งหมดของกิเลอาดไปไกลจนถึงดาน 2 และนัฟทาลีทั้งหมด และดินแดนของเอฟราอิมกับมนัสเสห์ และดินแดนทั้งหมดของยูดาห์ ไปจนถึงทะเลฝั่งตะวันตก 3 และเนเกบ และที่ราบหุบเขาแห่งเยรีโค เมืองแห่งปาล์ม ไปไกลจนถึงโศอาร์ 4 พระยาห์เวห์ตรัสกับเขาว่า "นี่คือดินแดนที่เราได้สัญญาไว้แก่อับราฮัม แก่อิสอัค และแก่ยาโคบ โดยกล่าวว่า 'เราจะมอบดินแดนนั้นแก่เชื้อสายของพวกเจ้า' เราได้อนุญาตให้เจ้ามองเห็นดินแดนนั้นกับตาของเจ้า แต่เจ้าจะไม่ได้ข้ามไปที่นั่น"
5 ดังนั้นโมเสส ผู้รับใช้ของพระยาห์เวห์ จึงได้เสียชีวิตที่นั่นในดินแดนโมอับ ดังที่ถ้อยคำของพระยาห์เวห์ได้ทรงสัญญาเอาไว้ 6 พระยาห์เวห์ได้ทรงฝังเขาไว้ในหุบเขาในดินแดนโมอับทางฝั่งตรงกันข้ามกับเบธเปโอร์ แต่ไม่มีใครรู้ว่าที่ฝังศพของเขาอยู่ที่ไหนจวบจนวันนี้ 7 โมเสสมีอายุหนึ่งร้อยยี่สิบปีเมื่อเขาเสียชีวิต ตาของเขาไม่ฝ้าฟาง และกำลังฝ่ายธรรมชาติของเขาก็ไม่ลดน้อยลง 8 ประชาชนอิสราเอลได้คร่ำครวญเพื่อโมเสสในที่ราบโมอับเป็นเวลาสามสิบวัน และแล้ววันต่างๆ แห่งการคร่ำครวญเพื่อโมเสสก็ได้จบสิ้น
9 โยชูวาบุตรชายของนูนก็ได้เต็มไปด้วยพระวิญญาณแห่งสติปัญญา เพราะโมเสสได้วางมือบนเขา ประชาชนอิสราเอลได้ฟังเขาและได้กระทำสิ่งที่พระยาห์เวห์ได้ทรงบัญชาแก่โมเสส 10 นับจากนั้นเป็นต้นมาไม่มีผู้เผยพระวจนะคนใดที่เหมือนโมเสส คือผู้ที่พระยาห์เวห์ทรงรู้จักเขาแบบหน้าต่อหน้า 11 ไม่เคยมีผู้เผยพระวจนะคนไหนเป็นเหมือนกับเขาในเรื่องหมายสำคัญและการอัศจรรย์ที่พระยาห์เวห์ได้ทรงส่งเขาไปกระทำในดินแดนอียิปต์ คือต่อฟาโรห์ และต่อบรรดาทาสของเขา และต่อดินแดนทั้งหมดของเขา 12 ไม่เคยมีผู้เผยพระวจนะคนไหนที่เป็นเหมือนเขาในความยิ่งใหญ่ทั้งหมด คือการกระทำอันน่าเกรงขามที่โมเสสได้กระทำในสายตาของคนอิสราเอลทั้งหมด
1 บัดนี้ หลังจากการสิ้นชีวิตของโมเสสผู้รับใช้ของพระยาห์เวห์ ที่พระยาห์เวห์ตรัสกับโยชูวาบุตรของนูน ผู้ช่วยของโมเสสว่า 2 "โมเสส ผู้รับใช้ของเราได้สิ้นชีวิตแล้ว ดังนั้น จงลุกขึ้นข้ามแม่น้ำจอร์แดนนี้ เจ้าและประชาชนทั้งหมด ไปยังแผ่นดินที่เราจะยกให้พวกเขา คือประชาชนของอิสราเอล 3 เราได้ยกให้เจ้าทุกแห่งที่ฝ่าเท้าของพวกเจ้าจะเหยียบลงไป เราได้ยกให้แก่เจ้าแล้วดังที่เราได้สัญญาไว้กับโมเสส 4 ตั้งแต่ถิ่นทุรกันดารและภูเขาเลบานอนไปจนสุดแม่น้ำใหญ่ คือแม่น้ำยูเฟรติส แผ่นดินทั้งหมดของชนฮิตไทต์ และถึงทะเลใหญ่ ทางที่ดวงอาทิตย์ตก จะเป็นแผ่นดินของพวกเจ้า 5 ไม่มีใครจะสามารถยืนหยัดต่อเจ้าได้ตลอดชีวิตของเจ้า เราจะอยู่กับเจ้าเช่นที่เราได้อยู่กับโมเสสมาแล้ว เราจะไม่ทอดทิ้งหรือจากเจ้าไป
6 จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด เจ้าจะทำให้ประชาชนเหล่านี้ได้รับแผ่นดินเป็นมรดกซึ่งเราได้สัญญากับบรรพบุรุษของพวกเขาว่าเราจะยกให้พวกเขา 7 จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด จงระมัดระวังที่จะเชื่อฟังบัญญัติทั้งหมดที่โมเสสผู้รับใช้ของเราได้บัญชาเจ้า จงอย่าได้หันขวาหรือหันซ้าย เพื่อที่เจ้าจะพบกับความสำเร็จไม่ว่าเจ้าจะไปทางไหนก็ตาม 8 เจ้าจะพูดถึงหนังสือพระบัญญัตินี้อย่างสม่ำเสมอ เจ้าจะเข้าเฝ้าภาวนาทั้งกลางวันและกลางคืนเพื่อที่เจ้าจะสามารถเชื่อฟังทุกสิ่งที่ได้บันทึกในหนังสือนั้น แล้วเจ้าจะรุ่งเรืองและประสบความสำเร็จ 9 เราสั่งเจ้าแล้วไม่ใช่หรือ ? จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด อย่ากลัว อย่าท้อถอย พระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าสถิตกับเจ้าทุกแห่งที่เจ้าไป"
10 แล้วโยชูวาก็บัญชาผู้นำทั้งหลายของประชาชน 11 "จงไปในค่ายและสั่งประชาชนว่า "จงเตรียมเสบียงสำหรับตัวท่านทั้งหลาย ในสามวัน พวกท่านจะข้ามแม่น้ำจอร์แดนนี้และเข้าไป และยึดแผ่นดินที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านทรงประทานให้พวกท่านยึดครอง" 12 โยชูวาพูดต่อชาวรูเบน ชาวกาด และครึ่งเผ่าของชาวมนัสเสห์ว่า 13 " จงจำคำของโมเสสผู้รับใช้ของพระยาห์เวห์ ได้บัญชาพวกท่านเมื่อท่านได้กล่าวว่า "พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านประทานที่พักสำหรับท่าน และพระองค์จะทรงประทานแผ่นดินนี้ให้ท่าน"
14 ภรรยาของท่าน ลูกเล็กๆ ของท่าน และฝูงสัตว์ของพวกท่านจะอยู่ในแผ่นดินซึ่งโมเสสยกให้ท่านที่ฟากโน้นของแม่น้ำจอร์แดน แต่พวกนักรบของท่านจะข้ามไปกับพวกพี่น้องของท่านและช่วยพวกเขา 15 จนกว่าพระยาห์เวห์ได้ประทานที่พักแก่พี่น้องของท่านดังเช่นที่พระองค์ทรงประทานให้แก่ท่าน แล้วพวกเขาจะได้ครอบครองแผ่นดินที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงประทานให้พวกเขา แล้วท่านจะกลับมาที่แผ่นดินของท่านเองและครอบครอง แผ่นดินที่โมเสสผู้รับใช้ของพระยาห์เวห์ได้มอบให้แก่ท่านที่ฟากแม่น้ำจอร์แดนที่ดวงอาทิตย์ขึ้น" 16 แล้วพวกเขาได้ตอบโยชูวาว่า "ทั้งหมดที่ท่านได้บัญชาพวกเรา พวกเราจะทำตาม และไม่ว่าที่ใดที่ท่านส่งพวกเราไป พวกเราจะไป 17 เราจะเชื่อฟังท่านเช่นเดียวกับที่เราเชื่อฟังโมเสส เพียงแต่ขอให้พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงสถิตอยู่กับท่าน เช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงสถิตอยู่กับโมเสส 18 ใครก็ตามที่ขัดขืนคำบัญชาของท่าน และไม่เชื่อฟังถ้อยคำของท่าน คนนั้นจะต้องถึงตาย ขอเพียงแต่จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด"
1 ต่อมาโยชูวาบุตรของนูนส่งชายสองคนจากเมืองชิทธีมเป็นการลับไปสอดแนม เขากล่าวว่า "จงไป ตรวจตราดูทั่วแผ่นดิน เฉพาะอย่างยิ่งเมืองเยรีโค" พวกเขาก็ไปและได้มาถึงในบ้านของหญิงโสเภณีคนหนึ่งชื่อราหับ และพวกเขาพักอยู่ที่นั่น 2 มีรายงานไปถึงกษัตริย์ของเมืองเยรีโค ว่า "จงดูเถิด ชายชาวอิสราเอลบางคนมาที่นี่เพื่อสอดแนมดูแผ่นดิน" 3 กษัตริย์ของเมืองเยรีโคทรงมีพระบัญชาไปยังราหับ และตรัสว่า "จงนำตัวชายเหล่านั้นผู้ที่มาหาเจ้าในบ้านของเจ้าออกมา พวกเขามาเพื่อสอดแนมทั่่วแผ่นดินนี้" 4 แต่ผู้หญิงได้พาชายสองคนนั้นไปและซ่อนพวกเขาไว้ นางตอบว่า "ใช่แล้ว พวกผู้ชายมาหาดิฉัน แต่ดิฉันไม่รู้ว่าพวกเขามาจากที่ไหน 5 พวกเขาจากไปเมื่อเวลาค่ำ เมื่อเป็นเวลาที่ประตูเมืองปิด ดิฉันไม่รู้ว่าพวกเขาไปที่ไหน ท่านอาจจะจับพวกเขาได้ถ้าท่านรีบตามพวกเขาไป" 6 แต่หญิงนั้นได้พาทั้งสองคนขึ้นไปบนดาดฟ้า และซ่อนตัวพวกเขาไว้ที่ต้นป่านที่นางได้เรียงไว้บนดาดฟ้า 7 ดังนั้น พวกผู้ชายก็ไล่ตามพวกเขาไปจนถึงท่าข้ามแม่น้ำจอร์แดน ประตูก็ถูกปิดทันทีที่พวกคนตามล่านั้นออกไปแล้ว
8 พวกผู้ชายยังไม่นอนในคืนนั้น เมื่อผู้หญิงได้ขึ้นไปหาพวกเขาที่บนดาดฟ้า 9 นางกล่าวว่า "ดิฉันรู้ว่าพระยาห์เวห์ได้ทรงมอบแผ่นดินให้แก่ท่านและความกลัวพวกของท่านมาเหนือพวกเรา บรรดาคนเหล่านั้นที่อาศัยอยู่บนแผ่นดินแทบจะหลอมละลายต่อหน้าท่าน 10 พวกเราได้ยินเรื่องที่พระยาห์เวห์ได้ทำให้น้ำของทะเลแดงเหือดแห้งไปเพื่อพวกท่าน เมื่อพวกท่านออกมาจากอียิปต์ พวกเราได้ยินเรื่องพวกท่านได้ทำให้กษัตริย์สองพระองค์ของคนอาโมไรต์บนอีกฝั่งของแม่น้ำจอร์แดน คือสิโหนและโอก ผู้ซึ่งถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง 11 ทันทีที่พวกเราได้ยิน หัวใจของพวกเราก็หลอมละลายและไม่มีความกล้าหาญเหลือในคนไหนเลย เพราะว่าพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าในสวรรค์เบื้องบนและบนแผ่นดินโลกเบื้องล่าง 12 บัดนี้ ขอสาบานต่อดิฉันในนามของพระยาห์เวห์ว่า ในเมื่อดิฉันได้แสดงความเมตตาต่อท่านแล้ว ท่านจะแสดงความเมตตาต่อครอบครัวบิดาของดิฉันด้วย จงให้ดิฉันมีหมายสำคัญที่แน่นอน 13 ว่าท่านจะไว้ชีวิตบิดาของดิฉัน มารดา พี่น้องชาย พี่น้องหญิง และทุกคนในครอบครัวของพวกเขา และท่านจะไว้ชีวิตของพวกเรา"
14 พวกผู้ชายนั้นจึงตอบนางว่า "ชีวิตของเราเพื่อชีวิตของพวกเจ้า แม้แต่ถึงตาย ถ้าพวกเจ้าไม่เปิดเผยภารกิจนี้ของเรากับใคร เมื่อพระยาห์เวห์ประทานแผ่นดินนี้แก่เรา เราจะมีเมตตาและสัตย์ซื่อต่อพวกเจ้า" 15 ดังนั้น นางจึงหย่อนพวกเขาลงทางหน้าต่างโดยใช้เชือก บ้านที่นางอาศัยอยู่ได้สร้างในกำแพงของเมือง 16 นางกล่าวกับพวกเขาว่า" จงไปที่เนินเขาและซ่อนตัวเพื่อพวกผู้ตามล่าจะไม่พบพวกท่าน จงซ่อนตัวอยู่ที่นั่นสามวันจนกว่าพวกที่ตามล่าท่านจะกลับ แล้วท่านก็เดินทางต่อไป 17 พวกผู้ชายพูดกับนางว่า "เราจะไม่ผูกมัดตามคำสัญญาที่เราสาบาน ถ้าเจ้าไม่ทำสิ่งนี้ 18 เมื่อเราได้เข้ามาในแผ่นดิน เจ้าจงเอาเชือกสีแดงนี้ผูกไว้ที่หน้าต่างที่เจ้าได้หย่อนพวกเราลงไปนั้น และเจ้าจงรวบรวมบิดามารดา พี่น้อง และทุกคนในครอบครัวของบิดามาไว้ในบ้าน
19 ใครก็ตามที่ออกนอกประตูบ้านของเจ้าไปที่ถนน เลือดของพวกเขาจะอยู่บนศีรษะของพวกเขาและเราจะไม่มีความผิด แต่ถ้ามือใดมาแตะต้องใครก็ตามที่อยู่กับเจ้าในบ้าน เลือดของเขาจะอยู่บนศีรษะของเรา 20 แต่ถ้าเจ้าพูดเกี่ยวกับภารกิจของเรา เราก็จะพ้นจากคำสาบานที่พวกเจ้าให้เราสาบานไว้นั้น" 21 ราหับ ตอบว่า "ขอให้เป็นไปตามที่ท่านได้พูดนั้น" และนางก็ส่งพวกเขาไปและพวกเขาก็ได้จากไป แล้วนางจึงมัดเชือกสีแดงที่หน้าต่าง 22 พวกเขาได้จากไปและขึ้นไปยังเนินเขาและพวกเขาอยู่ที่นั่นสามวันจนกระทั่งพวกคนที่ตามล่าพวกเขากลับไป พวกคนที่ติดตามได้หาตลอดถนนและไม่พบอะไรเลย 23 ชายสองคนก็กลับไปและข้ามกลับไปหาโยชูวาบุตรของนูน และพวกเขาได้บอกเขาทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเขา 24 และพวกเขากล่าวแก่โยชูวาว่า "แท้ที่จริงแล้ว พระยาห์เวห์ทรงมอบแผ่นดินทั้งหมดไว้ในมือเราแล้ว ชาวเมืองทุกคนในแผ่นดินก็หวาดกลัวเพราะพวกเรา"
1 โยชูวาตื่นเช้าในตอนเช้า และเขาทั้งหลายออกจากชิทธีม เขาและประชาชนอิสราเอลทั้งหมดมาถึงแม่น้ำจอร์แดน และพวกเขาตั้งค่ายพักที่นั่นก่อนจะข้ามไป 2 ต่อมาอีกสามวัน พวกเจ้าหน้าที่ก็ไปทั่วค่าย 3 พวกเขาสั่งประชาชนว่า "เมื่อพวกท่านเห็นหีบพันธสัญญาแห่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน และเห็นพวกปุโรหิตซึ่งมาจากชนเผ่าเลวีหามไป พวกท่านจะต้องออกจากสถานที่แห่งนี้และตามไป 4 จะต้องมีระยะห่างระหว่างพวกท่านและหีบประมาณสองพันศอก จงอย่าเข้าไปใกล้หีบนั้น เพื่อพวกท่านจะได้รู้จักทางที่จะไป เพราะพวกท่านยังไม่เคยไปทางนี้มาก่อน 5 โยชูวากล่าวกับประชาชนว่า "จงชำระตัวของพวกท่านให้บริสุทธิ์ในวันพรุ่งนี้ เพราะพระยาห์เวห์จะทรงทำการอัศจรรย์ท่ามกลางพวกท่าน" 6 แล้วโยชูวาได้สั่งพวกปุโรหิตว่า "จงหามหีบพันธสัญญา และผ่านไปข้างหน้าประชาชน" ดังนั้น พวกเขาก็หามหีบพันธสัญญาและเดินไปข้างหน้าประชาชน
7 พระยาห์เวห์ตรัสกับโยชูวาว่า "ในวันนี้ เราจะให้เจ้าเป็นชายที่ยิ่งใหญ่ในสายตาของของอิสราเอลทั้งมวล พวกเขาจะได้รู้ว่าเราอยู่กับโมเสสมาแล้วอย่างไร เราจะอยู่กับเจ้าอย่างนั้น 8 เจ้าจะสั่งปุโรหิตผู้หามหีบพันธสัญญาว่า "เมื่อพวกท่านมาถึงริมแม่น้ำจอร์แดน พวกท่านจงหยุดยืนอยู่ในแม่น้ำจอร์แดน" 9 แล้วโยชูวากล่าวแก่ประชาชนอิสราเอลว่า "จงมาที่นี่ และฟังพระดำรัสของพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน 10 โดยเหตุนี้พวกท่านทั้งหลายจะได้รู้ว่า พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ประทับอยู่ท่ามกลางท่านทั้งหลาย จะทรงขับไล่คนคานาอัน คนฮิตไทต์ คนฮีไวต์ คนเปริสซี คนเกอร์กาชี คนอาโมไรต์ และคนเยบุสให้พ้นหน้าท่านทั้งหลาย
11 "จงดูนั่น หีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งโลกทั้งมวลจะข้ามไปข้างหน้าท่านลงไปในแม่น้ำจอร์แดน 12 บัดนี้ จงเลือกคนสิบสองคนออกจากเผ่าของอิสราเอล เผ่าละหนึ่งคน 13 และเมื่อฝ่าเท้าของพวกปุโรหิตผู้หามหีบของพระยาห์เวห์องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งโลกทั้งมวล แตะน้ำของแม่น้ำจอร์แดน น้ำในแม่น้ำจอร์แดนจะแยกออก และแม้แต่น้ำที่ไหลมาจากข้างบนจะหยุดไหลและจะตั้งขึ้นเป็นกองเดียว"
14 ดังนั้้น เมื่อประชาชนได้ออกเดินทางเพื่อจะข้ามแม่น้ำจอร์แดน พวกปุโรหิตที่หามหีบพันธสัญญาไปข้างหน้าประชาชน 15 ทันทีที่คนเหล่านั้นที่แบกหีบพันธสัญญามาถึงแม่น้ำจอร์แดน และเท้าของคนเหล่านั้นที่หามหีบจุ่มลงที่แม่น้ำแล้ว (ขณะนั้น แม่น้ำจอร์แดนไหลท่วมฝั่งตลอดฤดูเก็บเกี่ยว) 16 น้ำที่ไหลมาจากข้างบนก็หยุดเป็นกองเดียว น้ำหยุดไหลจากระยะไกล น้ำหยุดไหลจากเมืองอาดัม ซึ่งเป็นเมืองอยู่ข้างๆ เมืองศาเรธานและน้ำที่ไหลลงสู่ทะเลของเนเกบ ทะเลเกลือ ประชาชนก็ข้ามไปใกล้เมืองเยรีโค 17 พวกปุโรหิตที่หามหีบพันธสัญญาของพระยาห์เวห์ยืนบนพื้นดินแห้ง กลางแม่น้ำจอร์แดน จนกระทั่งประชาชนอิสราเอลทั้งหมดเดินข้ามไปบนพื้นดินแห้ง
1 เมื่อประชาชนอิสราเอลทั้งหมดได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดนแล้ว พระยาห์เวห์ตรัสสั่งโยชูวาว่า 2 "จงเลือกคนสิบสองคนในหมู่ประชาชน เผ่าละคน 3 ให้สั่งพวกเขาว่า 'จงเอาก้อนหินสิบสองก้อนจากกลางแม่น้ำจอร์แดน ตรงที่พวกปุโรหิตได้ยืนบนพื้นที่แห้ง และให้ขนก้อนหินมากับท่านและให้วางลงบนในที่ที่พวกท่านจะนอนในคืนนี้'" 4 แล้วโยชูวาได้เรียกคนสิบสองคนที่ท่านได้คัดเลือกมาจากเผ่าต่างๆ ของอิสราเอล เผ่าละคน 5 โยชูวากล่าวกับพวกเขาว่า "จงไปที่ข้างหน้าหีบของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านไปยังกลางแม่น้ำจอร์แดน ให้พวกท่านแต่ละคนยกก้อนหินคนละก้อนแบกขึ้นบ่า ตามจำนวนของเผ่าต่างๆ ของประชาชนอิสราเอล 6 นี่จะเป็นสัญลักษณ์ในท่ามกลางพวกท่านเมื่อบรรดาลูกหลานพวกท่านจะถามในวันข้างหน้าว่า "ก้อนหินเหล่านี้มีความหมายอะไรสำหรับท่าน ?" 7 แล้วท่านจงตอบพวกเขาว่า "น้ำของแม่น้ำจอร์แดนแยกจากกันต่อหน้าหีบพันธสัญญาแห่งพระยาห์เวห์ เมื่อหีบได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดน น้ำของแม่น้ำจอร์แดนก็แยกจากกัน ดังนั้น ก้อนหินเหล่านี้จะเป็นสิ่งเตือนความทรงจำของประชาชนของอิสราเอลเป็นนิตย์
8 ประชาชนอิสราเอลก็ทำตามที่โยชูวาได้บัญชา และพวกเขาขนก้อนหินสิบสองก้อนมาจากกลางแม่น้ำจอร์แดนตามที่พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับโยชูวา พวกเขาได้ก่อก้อนหินขึ้นตามจำนวนเผ่าของประชาชนอิสราเอล พวกเขาแบกก้อนหินมายังสถานที่ที่พวกเขาตั้งค่ายอยู่และได้ก่อพวกมันขึ้นที่นั่น 9 แล้วโยชูวาได้ก่อก้อนหินสิบสองก้อนที่กลางแม่น้ำจอร์แดน ในที่ที่เท้าของพวกปุโรหิตที่หามหีบพันธสัญญายืนอยู่ สิ่งเตือนความทรงจำยังอยู่ที่นั่นจนกระทั่งถึงวันนี้ 10 พวกปุโรหิตที่หามหีบพันธสัญญายืนอยู่กลางแม่น้ำจอร์แดนจนกระทั่งทุกสิ่งที่พระยาห์เวห์ทรงสั่งโยชูวาให้บอกประชาชนสำเร็จ ตามที่โมเสสได้บัญชาโยชูวาทุกประการ ประชาชนรีบเร่งและพวกเขาได้ข้ามไป
11 เมื่อประชาชนข้ามไปหมดแล้ว หีบของพระยาห์เวห์และพวกปุโรหิตก็ข้ามไปต่อหน้าประชาชน 12 คนเผ่าคนรูเบน คนเผ่ากาดและครึ่งหนึ่งของคนเผ่ามนัสเสห์ ได้ข้ามไปต่อหน้าประชาชนอิสราเอล จัดตั้งเป็นกองทัพ ตามที่โมเสสได้กล่าวไว้กับพวกเขา 13 มีคนถืออาวุธครบมือพร้อมที่จะเข้าสู่สงครามประมาณ 40,000 คนได้ข้ามไปเฉพาะพระพักตร์ของพระยาห์เวห์เพื่อไปทำศึกบนที่ราบของเมืองเยรีโค
14 ในวันนั้นพระยาห์เวห์ทรงทำให้โยชูวายิ่งใหญ่ในสายตาของอิสราเอลทั้งหมด เขาทั้งหลายก็ยกย่องท่าน ดังที่พวกเขาเคยยกย่องโมเสสมาตลอดชีวิตของท่าน 15 จากนั้นพระยาห์เวห์ตรัสกับโยชูวาว่า 16 " จงสั่งพวกปุโรหิตผู้ที่หามหีบแห่งสักขีพยานให้ขึ้นมาจากแม่น้ำจอร์แดน" 17 ดังนั้น โยชูวาได้สั่งพวกปุโรหิต "จงขึ้นมาจากแม่น้ำจอร์แดน" 18 เมื่อพวกปุโรหิตผู้หามหีบพันธสัญญาแห่งพระยาห์เวห์ขึ้นมาจากกลางแม่น้ำจอร์แดน และฝ่าเท้าของพวกเขายกขึ้นเหยียบแผ่นดินแห้ง แล้วน้ำในแม่น้ำจอร์แดนก็ไหลกลับมายังที่เก่าและท่วมสองฝั่ง เหมือนเดิมอย่างเมื่อสี่วันก่อน
19 ประชาชนได้ขึ้นจากแม่น้ำจอร์แดนในวันที่สิบเดือนที่หนึ่ง พวกเขาพักที่กิลกาล ด้านทิศตะวันออกของเมืองเยรีโค 20 ก้อนหินสิบสองก้อนที่พวกเขานำมาจากแม่น้ำจอร์แดน โยชูวาก็ได้ตั้งไว้ในกิลกาล 21 เขากล่าวกับประชาชนอิสราเอลว่า "เมื่อลูกหลานของท่านถามบรรดาบิดาของพวกเขาว่าในเวลาข้างหน้าว่า "ก้อนหินเหล่านี้คืออะไร ? ' 22 จงบอกลูกหลานของท่านว่า 'นี่เป็นสถานที่ที่ชนชาติอิสราเอลข้ามแม่น้ำจอร์แดนบนแผ่นดินแห้ง' 23 พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านทรงทำให้น้ำในแม่น้ำจอร์แดนแห้งเพื่อพวกท่าน จนพวกท่านได้ข้ามไป ดังที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านได้ทำแก่ทะเลแดง ซึ่งพระองค์ทรงทำให้แห้งเพื่อพวกเราจนกระทั่งพวกเราข้ามไปได้หมด 24 ดังนั้น ประชาชนทั้งมวลบนแผ่นดินจะได้รู้ว่าพระหัตถ์ของพระยาห์เวห์ทรงอานุภาพ และเพื่อพวกท่านจะสรรเสริญพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านนิจนิรันดร์
1 ทันทีที่กษัตริย์ทั้งหมดของคนอาโมไรต์ซึ่งอยู่ฟากตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดน และกษัตริย์ทั้งหมดของคนคานาอันซึ่งอยู่ริมฝั่งทะเลใหญ่ ได้ยินว่าพระยาห์เวห์ทรงให้น้ำในแม่น้ำจอร์แดนเหือดแห้งไปจนกระทั่งประชาชนอิสราเอลข้ามฟากไปได้ หัวใจของพวกเขาก็หดหู่ และไม่มีกำลังใจเพราะพวกประชาชนอิสราเอล 2 ในเวลานั้น พระยาห์เวห์ตรัสกับโยชูวาว่า "จงทำมีดด้วยหินและจงให้ผู้ชายอิสราเอลทั้งหมดเข้าสุหนัตอีกครั้ง" 3 แล้วโยชูวาทำมีดหินและทำสุหนัตให้ผู้ชายทั้งหมดของอิสราเอลที่กิเบอัธ หะอาราโลท
4 นี่คือสาเหตุที่โยชูวาทำสุหนัตพวกเขา คือ ผู้ชายทุกคนที่ออกมาจากอียิปต์ รวมทั้งทหารทั้งหมดที่ได้เสียชีวิตตามทางในถิ่นทุรกันดาร หลังจากที่พวกเขาได้ออกมาจากอียิปต์ 5 ถึงแม้ว่าผู้ชายทุกคนที่ออกมาจากอียิปต์จะได้เข้าสุหนัตหมดแล้ว แต่ไม่มีเด็กชายคนใดที่เกิดในถิ่นทุรกันดารหลังจากที่ออกมาจากอียิปต์นั้นได้เข้าสุหนัตเลย 6 สำหรับประชาชนของอิสราเอลที่เดินทางสี่สิบปีในถิ่นทุรกันดารจนกระทั่งประชาชนทุกคน กล่าวคือ ประชาชนทุกคนที่เป็นนักรบที่ออกมาจากอียิปต์เสียชีวิต เพราะว่าพวกเขาไม่ได้เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระยาห์เวห์ พระยาห์เวห์ทรงยืนยันกับพวกเขาไว้ว่าพระองค์จะไม่ทรงอนุญาตให้พวกเขาได้เห็นแผ่นดินที่พระองค์ทรงสัญญาไว้กับบรรพบุรุษของพวกเขาว่าพระองค์จะประทานแผ่นดินที่มีน้ำนมและน้ำผึ้งเอ่อล้นให้เรา 7 มีแต่ลูกหลานของพวกเขาที่พระยาห์เวห์ทรงให้มาแทนพวกเขานั้นที่โยชูวาได้ทำสุหนัต เพราะว่าพวกเขาไม่ได้เข้าสุหนัตในระหว่างทาง
8 เมื่อพวกเขาทั้งหมดเข้าสุหนัตแล้ว พวกเขาก็พักอยู่ในที่ที่พวกเขาตั้งค่ายจนพวกเขาหายเป็นปกติ 9 แล้วพระยาห์เวห์ตรัสกับโยชูวาว่า "วันนี้เราได้กลิ้งความอดสูของอียิปต์ไปจากพวกเจ้าแล้ว" ดังนั้น สถานที่นั้นได้ถูกเรียกว่ากิลกาลจนถึงทุกวันนี้ 10 ประชาชนของอิสราเอลตั้งค่ายอยู่ที่กิลกาล ในตอนเย็นวันที่สิบสี่ของเดือนพวกเขาได้ถือเทศกาลปัสกา บนที่ราบของเยรีโค
11 พวกเขาได้กินผลบางอย่างของแผ่นดินในวันหลังจากเทศกาลปัสกา คือขนมปังไร้เชื้อและข้าวปิ้ง 12 มานาก็ขาดหายไปหลังจากที่พวกเขาได้กินผลจากแผ่นดิน ไม่มีมานาสำหรับประชาชนอิสราเอลอีกต่อไป แต่พวกเขากินผลของแผ่นดินคานาอันในปีนั้น
13 เมื่อโยชูวาเข้าใกล้เมืองเยรีโค เขาได้เงยหน้าขึ้นมองและ นี่แน่ะ ชายคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขา เขาได้ชักดาบของเขาและถืออยู่ในมือของเขา โยชูวาได้เข้าไปหาเขาและกล่าวว่า "ท่านอยู่ฝ่ายเราหรือฝ่ายศัตรูของเรา ?" 14 ชายผู้นั้นตอบว่า "ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง เราเป็นผู้บัญชาการทัพของพระยาห์เวห์ บัดนี้เราได้มาแล้ว " แล้วโยชูวาก็กราบลงถึงพื้นดินเพื่อนมัสการแล้วถามท่านว่า "เจ้านายของข้าพเจ้าจะกล่าวอะไรกับผู้รับใช้ของท่าน ?" 15 ผู้บัญชาการทัพของพระยาห์เวห์ พูดกับโยชูวาว่า "จงถอดรองเท้าของเจ้าออกจากเท้าของเจ้าเสีย เพราะว่าที่ซึ่งเจ้ากำลังยืนอยู่นี้เป็นที่บริสุทธิ์" โยชูวาก็ทำตาม
1 บัดนี้ ทางเข้าเมืองเยรีโคทั้งหมดก็ถูกปิดเพราะเหตุแห่งกองทัพของอิสราเอล ไม่มีผู้ใดออกและไม่มีผู้ใดเข้า 2 พระยาห์เวห์ตรัสกับโยชูวาว่า "จงดูเถิด เราได้มอบเมืองเยรีโค ทั้งกษัตริย์ของเมือง และเหล่าทหารที่ฝึกฝนของเมืองไว้ในมือพวกเจ้าแล้ว 3 พวกเจ้าจะต้องเดินขบวนรอบเมือง พวกทหารเดินรอบเมืองหนึ่งครั้ง พวกเจ้าจะต้องทำเช่นนี้เป็นเวลาหกวัน 4 พวกปุโรหิตเจ็ดคนจะต้องถือแตรเขาแกะเจ็ดคันนำหน้าหีบ ในวันที่เจ็ด พวกเจ้าจงเดินขบวนรอบเมืองเจ็ดครั้ง และให้พวกปุโรหิตเป่าแตร 5 แล้วพวกเขาจะต้องเป่าเขาแกะเป็นเสียงยาว และเมื่อพวกเจ้าได้ยินเสียงแตรนั้น ประชาชนทุกคนจะต้องโห่ร้องด้วยเสียงดัง และกำแพงเมืองก็จะพังราบลง เหล่าทหารจะต้องจู่โจม แต่ละคนจะมุ่งตรงไปข้างหน้า"
6 โยชูวาบุตรของนูนจึงเรียกพวกปุโรหิตและกล่าวกับพวกเขาว่า "จงยกหีบแห่งพันธสัญญาขึ้นหาม และให้ปุโรหิตเจ็ดคนถือแตรเขาแกะเจ็ดคันเดินนำหน้าหีบแห่งพระยาห์เวห์" 7 เขากล่าวกับประชาชนว่า "จงไปและเดินขบวนรอบเมือง และให้ทหารอาวุธครบมือจะเดินข้างหน้าหีบแห่งพระยาห์เวห์" 8 เมื่อโยชูวาพูดกับประชาชนเสร็จแล้ว พวกปุโรหิตเจ็ดคนถือแตรเขาแกะเจ็ดคันต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ ขณะที่เดินไปข้างหน้า พวกเขาก็ได้เป่าแตร หีบแห่งพันธสัญญาของพระยาห์เวห์ก็ได้ตามหลังพวกเขา 9 เหล่าทหารพร้อมถืออาวุธเดินนำหน้าพวกปุโรหิต และพวกเขาเป่าแตรของพวกเขา แต่กองระวังหลังก็เดินตามหีบ และพวกปุโรหิตก็เป่าแตรของพวกเขาอย่างต่อเนื่อง 10 แต่โยชูวาบัญชาประชาชนว่า "จงอย่าตะโกน จงอย่าให้มีเสียงออกจากปากพวกท่านจนกว่าจะถึงวันที่เราจะบอกให้พวกท่านตะโกน เอาไว้ถึงตอนนั้นแล้วพวกท่านถึงจะตะโกนได้" 11 ดังนั้นเขาจึงเป็นเหตุให้หีบแห่งพระยาห์เวห์ไปรอบเมืองหนึ่งครั้งในวันนั้น แล้วพวกเขาก็พักค้างคืนอยู่ในค่าย
12 แล้วโยชูวาก็ได้ตื่นขึ้นแต่เช้ามืด และพวกปุโรหิตก็ยกหีบแห่งพระยาห์เวห์ขึ้นหาม 13 พวกปุโรหิตเจ็ดคนผู้ที่ถือแตรเขาแกะเจ็ดคันอยู่หน้าหีบแห่งพระยาห์เวห์เดินไปข้างหน้าอย่างมุ่งมั่นและเป่าแตร เหล่าทหารถืออาวุธก็เดินอยู่ข้างหน้าพวกเขา แต่เมื่อกองระวังหลังเดินอยู่ข้างหลังหีบแห่งพระยาห์เวห์ แล้วแตรทั้งหลายก็ถูกเป่าอย่างต่อเนื่อง 14 พวกเขาเดินขบวนรอบเมืองหนึ่งรอบในวันที่สองและกลับเข้าค่าย พวกเขาทำเช่นนี้อยู่หกวัน
15 ในวันที่เจ็ด พวกเขาตื่นแต่เช้าตรู่ในรุ่งอรุณ และพวกเขาเดินขบวนรอบเมืองตามแบบของพวกเขาเช่นเคยในครั้งนี้เป็นครั้งที่เจ็ด 16 ในวันนี้แหละที่พวกเขาเดินขบวนรอบเมืองเจ็ดครั้ง เมื่อพวกปุโรหิตเป่าแตร แล้วโยชูวาบัญชาพวกประชาชนว่า "จงโห่ร้อง เพราะพระยาห์เวห์ทรงมอบเมืองให้พวกท่านแล้ว" 17 เมืองและทุกสิ่งในเมืองจะต้องถูกทำลายลงเพื่อถวายแด่พระยาห์เวห์ มีเพียงราหับหญิงโสเภณีเท่านั้นที่จะรอดชีวิต คือ นางและทุกคนที่อยู่ในบ้านของนาง เพราะว่านางได้ซ่อนพวกผู้ชายที่พวกเราได้ใช้ไป 18 แต่สำหรับพวกท่าน จงเฝ้าระวังเกี่ยวกับการนำสิ่งของต่างๆที่จะถูกทำลายนั้น พวกท่านอย่าได้นำสิ่งใดออกมา ถ้าพวกท่านทำอย่างนี้ พวกท่านจะทำให้ค่ายของพวกอิสราเอลเป็นสิ่งที่ต้องถูกทำลายและพวกท่านจะนำปัญหามา 19 เครื่องใช้ทั้งหมดที่เป็นเงิน ทองคำ และสิ่งของที่ทำด้วยทองสัมฤทธิ์และเหล็กเป็นของถวายแด่พระยาห์เวห์ ของพวกนั้นจะต้องนำไปที่พระคลังของพระยาห์เวห์"
20 เมื่อพวกเขาเป่าแตร พวกประชาชนก็ตะโกนกึกก้องและกำแพงก็พังราบ ทุกคนก็บุกและยึดเมือง 21 พวกเขาได้ทำลายเมืองลงอย่างสิ้นเชิง คือทุกอย่างที่อยู่ในเมืองด้วยคมดาบของพวกเขา ผู้ชายและผู้หญิง คนหนุ่มและคนแก่ วัว แกะและลาทั้งหลาย 22 แล้วโยชูวากล่าวกับผู้ชายสองคนที่ได้เข้าไปสอดแนมในเมือง ว่า "จงไปยังบ้านหญิงโสเภณี นำพวกผู้หญิงและทุกคนที่อยู่กับนางมา ตามที่พวกท่านได้สาบานไว้กับนาง" 23 ดังนั้นชายหนุ่มสองคนที่ได้ไปสอดแนมก็เข้าไปและนำราหับออกมา พวกเขานำบิดาของนาง มารดา พี่ชายน้องชายและญาติทั้งหมดที่อยู่กับนาง ออกมา พวกเขานำคนเหล่านั้นไปยังสถานที่อยู่นอกค่ายพักของอิสราเอล
24 พวกเขาเผาเมืองและทุกสิ่งในนั้น เพียงแต่เงิน ทอง และเครื่องใช้ที่เป็นทองเหลืองและเป็นเหล็กเท่านั้นได้ถูกนำไปไว้ที่พระคลังในพระนิเวศของพระยาห์เวห์ 25 แต่โยชูวาปล่อยให้ราหับหญิงโสเภณี และครอบครัวบิดาของนางและทุกสิ่งที่เป็นของนางรอดชีวิต นางใช้ชีวิตอยู่ในอิสราเอลจนถึงทุกวันนี้เพราะว่านางได้ซ่อนพวกผู้ชายที่โยชูวาได้ส่งไปสอดแนมเมืองเยรีโค 26 แล้วโยชูวาบัญชาพวกเขาในเวลานั้นด้วยคำสาบาน และเขากล่าวว่า "ขอให้ชายใดก็ตามที่สร้างเมืองนี้คือเยรีโคขึ้นมาใหม่อีกถูกสาปแช่งในสายพระเนตรพระยาห์เวห์ คนที่จะวางรากฐานก็ขอให้เสียบุตรหัวปี และคนที่จะสร้างประตู ก็ขอให้เสียบุตรคนสุดท้อง" 27 ดังนั้นพระยาห์เวห์ก็ได้สถิตกับโยชูวา และชื่อเสียงของเขาก็เลื่องลือไปทั่วแผ่นดิน
1 แต่ประชาชนอิสราเอลได้กระทำการอย่างไม่สัตย์ซื่อเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องแยกออกมาเพื่อทำลายนั้น อาคานบุตรของคารมี ผู้เป็นบุตรของศับดี ผู้เป็นบุตรของเศ-ราห์จากเผ่ายูดาห์ได้นำสิ่งที่ต้องแยกออกมาเพื่อทำลายบางส่วนไปและพระพิโรธของพระยาห์เวห์จึงแผดเผาประชาชนของอิสราเอล 2 โยชูวาได้ส่งพวกผู้ชายจากเยรีโคไปเมืองอัยซึ่งอยู่ใกล้กับเบธาเวนทางตะวันออกของเบธเอล เขากล่าวกับเขาเหล่านั้นว่า "จงขึ้นไป และจงสอดแนมแผ่นดิน" ดังนั้นพวกผู้ชายจึงขึ้นไปและสอดแนมเมืองอัย 3 เมื่อพวกเขากลับมาหาโยชูวา พวกเขากล่าวว่า "อย่าส่งประชาชนทั้งหมดขึ้นไปเมืองอัย ให้ส่งเพียงสองหรือสามพันคนขึ้นไปโจมตีเมืองอัย อย่าให้ประชาชนทั้งหมดตากตรำในสงครามนี้ เพราะว่าพวกนั้นมีจำนวนน้อย" 4 ดังนั้น จึงมีผู้ชายประมาณ 3,000 คนเท่านั้นที่ขึ้นไปจากกองทัพ แต่คนพวกนี้ก็ต้องแตกกระเจิงหนีจากพวกผู้ชายของเมืองอัย 5 พวกผู้ชายของเมืองอัยได้ฆ่าพวกเขาตายไปประมาณสามสิบหกคนในขณะที่คนพวกนั้นได้ติดตามพวกเขาจากประตูเมืองไปจนถึงเหมืองหิน และก็ได้ฆ่าพวกเขาขณะที่พวกเขากำลังลงเขา จิตใจของประชาชนก็หวาดหวั่นและความกล้าหาญของพวกเขาก็เหือดหายไป
6 แล้วโยชูวาก็ฉีกเสื้อผ้าของตน เขาและผู้อาวุโสของอิสราเอลก็เอาขี้ฝุ่นใส่ลงบนศีรษะของพวกเขาและซบหน้าลงถึงพื้นดิน ที่หน้าหีบแห่งพระยาห์เวห์ อยู่ที่นั่นจนถึงเวลาเย็น 7 จากนั้นโยชูวาทูลว่า "ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์พระผู้เป็นเจ้า เหตุไฉนพระองค์ทรงนำประชาชนเหล่านี้ข้ามแม่น้ำจอร์แดนมาเล่า? เพื่อมอบพวกข้าพระองค์ไว้ในมือของพวกอาโมไรต์เพื่อทำลายพวกข้าพระองค์เสียอย่างนั้นหรือ? ถ้าเพียงเพราะพวกข้าพระองค์ตัดสินใจที่แตกต่างไปและพวกข้าพระองค์คงยังอยู่อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดน 8 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์จะทูลอะไรได้เล่า หลังจากที่อิสราเอลได้หันหลังให้บรรดาศัตรูของพวกเขา ? 9 เพราะว่า พวกคานาอันและบรรดาคนที่อยู่ในแผ่นดินนั้นจะได้ยินเรื่องนี้ พวกเขาจะล้อมพวกข้าพระองค์และกระทำให้ประชาชนของแผ่นดินโลกลืมชื่อพวกข้าพระองค์ พระองค์จะทรงทำอะไรเพื่อพระนามอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ ?
10 พระยาห์เวห์ตรัสกับโยชูวาว่า "จงลุกขึ้นเถิด ทำไมเจ้าจึงซบหน้าลงกับพื้นอย่างนี้เล่า? 11 อิสราเอลได้ทำบาป พวกเขาหักพันธสัญญาของเราซึ่งเราได้บัญชาพวกเขาไว้ พวกเขาขโมยบางสิ่งที่แยกไว้ พวกเขาได้ขโมยและจากนั้นได้ซ่อนความบาปของพวกเขาด้วย โดยพวกเขาได้วางสิ่งที่ได้ลักเอามากับทรัพย์สินส่วนตัวของพวกเขา 12 ผลจากเรื่องนี้ ประชาชนอิสราเอลจึงไม่สามารถยืนหยัดต่อหน้าศัตรูของพวกเขาได้ พวกเขาหันหลังให้พวกศัตรูของพวกเขาเพราะว่าพวกเขาเองได้กลายเป็นสิ่งถูกแยกเพื่อการทำลายเสียเอง เราจะไม่อยู่กับพวกเจ้าอีกต่อไปนอกเสียจากพวกเจ้าจะทำลายสิ่งต่างๆที่ควรต้องทำลายแต่ยังอยู่กับพวกเจ้า 13 จงลุกขึ้น ชำระประชาชนให้บริสุทธิ์และกล่าวกับพวกเขาว่า 'จงชำระตัวพวกเจ้าเสียสำหรับวันพรุ่งนี้ เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอลตรัสว่า "โอ อิสราเอลเอ๋ย มีสิ่งที่ต้องแยกออกเพื่อทำลายที่ยังอยู่ท่ามกลางพวกเจ้า เจ้าจึงยืนหยัดสู้ศัตรูไม่ได้ จนกว่าพวกเจ้าจะนำสิ่งของที่แยกออกเพื่อทำลายนั้น ออกเสียจากหมู่พวกเจ้า"
14 ในตอนเช้า พวกท่านจะต้องเข้ามาแสดงตัวตามเผ่าของท่าน เผ่าใดที่พระยาห์เวห์ทรงคัดไว้ก็ต้องเข้ามาทีละตระกูล ตระกูลใดที่พระยาห์เวห์ทรงคัดไว้ก็ให้เข้ามาทีละครัวเรือน ครัวเรือนใดที่พระยาห์เวห์ทรงคัดไว้ก็ให้เข้ามาทีละคน 15 สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ คนที่ถูกจับคัดไว้และผู้ที่มีสิ่งที่ถูกแยกเพื่อการทำลายเหล่านั้น เขาจะถูกเผาไฟ เขาและทุกสิ่งที่เขามี เพราะว่าเขาได้หักพันธสัญญาของพระยาห์เวห์ และเพราะว่าเขาได้ทำสิ่งที่น่าอับอายในอิสราเอล'" 16 ดังนั้น โยชูวาตื่นแต่เช้าตรู่ในตอนเช้าและนำอิสราเอลเข้ามาใกล้ ทีละเผ่า และเผ่ายูดาห์ได้ถูกคัดไว้ 17 โยชูวาได้นำเผ่ายูดาห์มาใกล้ และตระกูลเศ-ราห์ก็ได้ถูกคัด เขานำตระกูลเศ-ราห์มาทีละคน และศับดีถูกคัด 18 เขาได้นำครัวเรือนศับดีเข้ามาทีละคน และอาคานบุตรของคาร์มี ผู้เป็นบุตรของศับดี ผู้เป็นบุตรของเศ-ราห์ จากเผ่ายูดาห์ ถูกจับได้
19 โยชูวาจึงกล่าวแก่อาคานว่า "บุตรของเราเอ๋ย จงบอกความจริงต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอล และทูลสารภาพต่อพระองค์ จงบอกเราว่าท่านได้ทำอะไรลงไป จงอย่าปิดบังเราเลย" 20 อาคานตอบโยชูวาว่า "เป็นความจริง ข้าพเจ้าได้ทำบาปต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอล นี่คือสิ่งที่ข้าพเจ้าได้ทำคือ 21 เมื่อข้าพเจ้าได้เห็นเสื้อคลุมงามจากบาบิโลน เงินสองร้อยเชเขลและทองแท่งหนักห้าสิบเชเขล ข้าพเจ้าปรารถนาอยากได้สิ่งของเหล่านั้นและเอามันมา ของพวกนั้นได้ถูกซ่อนอยู่ในดินกลางเต็นท์ของข้าพเจ้าและเงินก็อยู่ภายใต้นั้น"
22 โยชูวาจึงส่งผู้สื่อสารไป ผู้ที่ได้วิ่งไปที่เต็นท์และมีของต่างๆ อยู่ที่นั่น เมื่อพวกเขามองเห็น พวกเขาก็พบว่าของซ่อนอยู่ในเต็นท์ของเขา และเงินได้ซ่อนอยู่ข้างใต้พวกนั้น 23 พวกเขานำของพวกนั้นออกมาจากกลางเต็นท์ และนำมามอบให้โยชูวาและประชาชนอิสราเอลทั้งหมด แล้วเขาก็วางของเหล่านั้นลงเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ 24 แล้วโยชูวา และคนอิสราเอลที่อยู่กับเขาทั้งหมด ได้นำอาคานบุตรเศ-ราห์ และเงิน เสื้อคลุม ทองคำแท่ง บรรดาบุตรชายของเขา และบุตรสาวทั้งหลายของเขา วัวทั้งหลายของเขา ลาทั้งหลายของเขา แกะของเขา เต็นท์ของเขา และทุกสิ่งที่เขามี และเขาทั้งหลายได้นำพวกเขาเหล่านั้นขึ้นไปยังหุบเขาอาโคร์
25 แล้วโยชูวากล่าวว่า "ทำไมท่านจึงนำความทุกข์ยากมาให้พวกเรา ? พระยาห์เวห์จะทรงนำความทุกข์ยากมาถึงท่านในวันนี้" พวกอิสราเอลทั้งหมดก็เอาก้อนหินขว้างเขา แล้วพวกเขาเอาหินขว้างพวกที่เหลือด้วยก้อนหินและ เผาพวกเขาด้วยไฟ 26 พวกเขาเอาก้อนหินถมทับเขาไว้เป็นกองใหญ่ที่ยังอยู่ที่นี่จนทุกวันนี้ พระยาเห์เวห์ก็ทรงหันกลับจากพระพิโรธร้อนแรงของพระองค์ ดังนั้นสถานที่แห่งนี้จึงถูกเรียกว่าหุบเขาแห่งอาโคร์มาจนถึงทุกวันนี้
1 พระยาห์เวห์ตรัสกับโยชูวาว่า "อย่ากลัว อย่าท้อถอยเลย จงนำทหารทั้งหมดไปกับเจ้า ลุกขึ้นไปยังเมืองอัย นี่แน่ะ เราได้มอบกษัตริย์ของเมืองอัยไว้ในมือของเจ้าแล้ว ทั้งประชาชนของเขา เมืองของเขาและแผ่นดินของเขา 2 เจ้าจงทำกับเมืองอัยและกษัตริย์ของเมืองนั้นเช่นเดียวกับที่เจ้าได้ทำกับเมืองเยรีโคและกษัตริย์ของเมืองนั้น ยกเว้นเจ้าจะเอาข้าวของและสัตว์เลี้ยงเป็นของเจ้าได้ จงตั้งพวกซุ่มโจมตีไว้ที่หลังเมือง"
3 ดังนั้นโยชูวาจึงลุกขึ้นพร้อมกับผู้ชายทั้งหมดขึ้นไปยังเมืองอัย แล้วโยชูวาได้คัดเลือกผู้ชายสามหมื่นคน เป็นคนที่แข็งแรง คนที่กล้าหาญ และส่งพวกเขาออกไปในเวลากลางคืน 4 เขาบัญชาพวกเขาว่า "นี่แน่ะ พวกท่านจงหมอบซุ่มอยู่ด้านหลังของเมืองนั้น อย่าไปไกลจากเมือง แต่ให้ทุกคนเตรียมพร้อมไว้ 5 ข้าพเจ้าและพวกผู้ชายทั้งหมดที่อยู่กับข้าพเจ้าจะบุกเข้าตัวเมือง และเมื่อพวกเขาออกมาต่อสู้กับพวกเรา เราก็จะวิ่งถอยหนีจากพวกเขาเหมือนก่อนหน้านั้น
6 พวกเขาจะตามพวกเราออกมาจนกระทั่งเราดึงพวกเขาออกมาห่างจากเมือง พวกเขาจะพูดว่า 'พวกเขากำลังวิ่งหนีพวกเราอย่างที่พวกเขาได้ทำครั้งก่อนนั้น' ดังนั้นพวกเราก็จะหนีจากพวกเขา 7 แล้วให้พวกท่านขึ้นมาจากที่ซ่อน และท่านจะเข้ายึดเมือง พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านจะทรงมอบเมืองนั้นไว้ในมือของพวกท่าน 8 เมื่อพวกท่านเข้ายึดเมืองได้แล้ว ท่านจะจุดไฟเผาเมือง ท่านจะต้องทำอย่างนี้เมื่อท่านเชื่อฟังคำสั่งที่สั่งตามพระดำรัสของพระยาห์เวห์ นี่แหละ ที่ข้าพเจ้าได้บัญชาท่านแล้ว" 9 โยชูวาก็ให้พวกเขาไป และพวกเขาก็ออกไปยังที่ซุ่มโจมตี และพวกเขาซุ่มซ่อนอยู่ระหว่างเบธเอลกับเมืองอัยทางทิศตะวันตกของเมืองอัย แต่โยชูวานอนค้างแรมอยู่ท่ามกลางประชาชน
10 โยชูวาตื่นขึ้นแต่เช้าตรู่ และให้ทหารของเขาเตรียมพร้อม คือโยชูวาและพวกผู้อาวุโสของอิสราเอล และพวกเขาก็เข้าโจมตีประชาชนของเมืองอัย 11 นักสู้ชายทั้งหมดที่อยู่กับเขาได้ขึ้นไปและมุ่งหน้าไปยังเมือง พวกเขาเข้าใกล้เมืองและตั้งค่ายอยู่ด้านทิศเหนือของเมืองอัย นี่แน่ะ มีหุบเขาอยู่ระหว่างพวกเขากับเมืองอัย 12 เขาได้นำผู้ชายประมาณห้าพันคน และให้พวกเขาแอบซุ่มทางทิศตะวันตกของเมืองระหว่างเบธเอลและเมืองอัย
13 พวกเขาจัดกองกำลังทหารทั้งหมด ให้กองทัพหลักอยู่ด้านเหนือของเมือง และพวกทัพหลังให้อยู่ด้านตะวันตกของเมือง โยชูวาได้ค้างแรมในหุบเขา 14 ต่อมาเมื่อกษัตริย์แห่งเมืองอัยเห็นดังนั้น พระองค์และกองทัพของพระองค์ก็ตื่นแต่เช้าและรีบออกไปโจมตีอิสราเอลที่สถานที่หันไปทางหุบเขาแห่งแม่น้ำจอร์แดน พระองค์ไม่รู้ว่ามีพวกซุ่มโจมตีที่กำลังรอโจมตีจากด้านหลังของเมือง 15 โยชูวาและพวกอิสราเอลทั้งหมดก็แสร้งปล่อยให้พวกเขาเองถูกตีพ่ายต่อหน้าพวกเขา และพวกเขาหนีไปยังถิ่นทุรกันดาร 16 ทุกคนที่อยู่ในเมืองก็ถูกล่อเพื่อให้ไล่ตามพวกเขาไป และเมื่อพวกเขาไล่ตามโยชูวาไปและพวกเขาก็ถูกดึงออกห่างไปจากเมือง
17 ไม่มีผู้ชายสักคนเหลืออยู่ในเมืองอัยและเบธเอลที่ไม่ได้ออกไปไล่ตามอิสราเอล พวกเขาทิ้งเมืองและปล่อยให้เมืองเปิดอยู่ขณะไล่ตามอิสราเอลไป 18 พระยาห์เวห์ตรัสกับโยชูวาว่า "จงยื่นหอกซึ่งอยู่ในมือของเจ้าไปยังเมืองอัย เพราะเราจะมอบเมืองอัยไว้ในมือของเจ้า" โยชูวาก็ได้ยื่นหอกที่อยู่ในมือไปยังเมืองนั้น 19 พวกทหารที่ซุ่มโจมตีอยู่ก็ออกไปอย่างรวดเร็วจากที่ของพวกเขา เมื่อโยชูวาเหยียดมือออกไป พวกเขาวิ่งและเข้าไปในเมืองและได้ยึดเมืองไว้ พวกเขาได้จุดไฟเผาเมืองอย่างรวดเร็ว 20 พวกผู้ชายชาวเมืองอัยเหลียวหลังและมองกลับมา พวกเขาเห็นควันไฟจากเมืองพลุ่งขึ้นไปยังท้องฟ้า และพวกเขาไม่สามารถหลบหนีไปทางนั้นหรือทางนี้ได้ เพราะพวกทหารอิสราเอลผู้ที่หลบหนีไปยังถิ่นทุรกันดาร บัดนี้ได้หันกลับมาเผชิญหน้าพวกเขาเหล่านั้นที่ไล่ติดตามพวกเขา
21 เมื่อโยชูวากับคนอิสราเอลทั้งหมดเห็นว่ากองซุ่มโจมตียึดเมืองได้แล้ว และควันไฟที่ไหม้เมืองได้พลุ่งขึ้น พวกเขาก็หันกลับมาฆ่าชาวเมืองอัย 22 ทหารคนอื่นๆ ของอิสราเอล พวกคนที่เข้าไปในเมือง ก็ออกมาโจมตีพวกเขา ดังนั้น พวกผู้ชายของเมืองอัย จึงอยู่ระหว่างกลางกองทัพของอิสราเอล บ้างก็อยู่ข้างนี้ บ้างก็อยู่ข้างโน้น อิสราเอลก็ได้โจมตีชาวเมืองอัย จนไม่มีสักคนหนึ่งรอดชีวิตหรือหนีไปได้ 23 พวกเขาจับกษัตริย์แห่งเมืองอัย ผู้ซึ่งถูกจับเป็น และพวกเขาได้นำตัวเขามาหาโยชูวา
24 เมื่ออิสราเอลเสร็จสิ้นการฆ่าฟันชาวเมืองอัยทุกคนในท้องทุ่งใกล้กับถิ่นทุรกันดารที่พวกเขาไล่ตามไปนั้น และเมื่อคนเหล่านั้นทั้งหมดจนกระทั่งถึงคนสุดท้ายได้ล้มตายด้วยคมดาบ พวกอิสราเอลก็กลับมาที่เมืองอัย พวกเขาเข้าโจมตีด้วยคมดาบ 25 พวกคนเหล่านั้น ผู้ที่ล้มลงในวันนั้น ทั้งผู้ชายและผู้หญิง มีจำนวนหนึ่งหมื่นสองพันคน ทั้งหมดนั้น คือชาวเมืองอัย 26 โยชูวาไม่ได้หดมือที่ถือหอกยื่นอยู่นั้นกลับ จนกว่าเขาจะได้ทำลายประชาชนของเมืองอัยให้พินาศอย่างสิ้นเชิง 27 พวกอิสราเอลเพียงแต่เอาฝูงสัตว์เลี้ยงและข้าวของของเมืองนั้นไปเป็นของพวกเขา ตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาโยชูวาไว้นั้น 28 โยชูวาจึงเผาเมืองอัยและทำให้เป็นกองซากปรักพังอยู่เป็นนิตย์ มันได้เป็นสถานที่ร้างเปล่ามาจนทุกวันนี้ 29 เขาแขวนกษัตริย์แห่งเมืองอัยไว้บนต้นไม้จนกระทั่งเวลาเย็น เมื่อดวงอาทิตย์กำลังจะตก โยชูวาออกคำสั่งและให้นำร่างของกษัตริย์ลงมาจากต้นไม้และโยนเข้าไปที่หน้าประตูเมือง ที่นั่นพวกเขาได้เอาหินจำนวนมากมาทับถมไว้เป็นกองใหญ่ กองหินนั้นยังคงอยู่ที่นั่นจนถึงทุกวันนี้
30 แล้วโยชูวาได้สร้างแท่นบูชาที่ภูเขาเอบาลถวายแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอล 31 ดังที่โมเสสผู้รับใช้ของพระยาห์เวห์ทรงบัญชาประชาชนอิสราเอล ตามที่ได้จารึกไว้ในหนังสือแห่งพระบัญญัติของโมเสสว่า "แท่นบูชาจากหินที่ไม่ตัดแต่ง ที่ไม่มีผู้ใดได้ใช้เครื่องมือเหล็กตกแต่งเลย" เขาได้ถวายเครื่องเผาบูชาบนแท่นบูชาแด่พระยาห์เวห์ และพวกเขาได้ถวายศานติบูชา 32 ที่แห่งนั้น ต่อหน้าประชาชนของอิสราเอล เขาได้จารึกสำเนาของธรรมบัญญัติของโมเสสไว้บนศิลา 33 อิสราเอลทั้งหมด พวกผู้อาวุโสของพวกเขา พวกเจ้าหน้าที่ และพวกผู้วินิจฉัยของพวกเขายืนอยู่สองข้างของหีบแห่งพันธสัญญาของพระยาห์เวห์ พวกคนต่างด้าวเช่นเดียวกับพวกท้องถิ่น ครึ่งหนึ่งของพวกเขายืนอยู่ข้างหน้าภูเขาเกริซิมและอีกครึ่งหนึ่งยืนอยู่ข้างหน้าภูเขาเอบาล พวกเขาได้อวยพรประชาชนอิสราเอล ตามที่โมเสสผู้รับใช้ของพระยาห์เวห์ทรงบัญชาไว้แต่แรก
34 หลังจากนั้น โยชูวาได้อ่านทุกถ้อยคำในพระบัญญัติเป็นคำอวยพรและคำแช่งสาป ตามที่ถ้อยคำเหล่านั้นได้จารึกไว้ในหนังสือพระบัญญัติ 35 ไม่มีสักคำเดียวจากที่โมเสสบัญชาไว้แล้วที่โยชูวาไม่ได้อ่านต่อหน้าการชุมนุมของอิสราเอล รวมทั้งผู้หญิง เด็กเล็กๆ และคนต่างด้าวที่อยู่ในหมู่พวกเขา
1 หลังจากนั้นบรรดากษัตริย์ที่อยู่ห่างออกไปจากแม่น้ำจอร์แดนในดินแดนแแถบเทือกเขาและในที่ลุ่มตามชายฝั่งทะเลใหญ่จนถึงเลบานอน คือ คนฮิตไทต์ คนอโมไรต์ คนคานาอัน คนเปริสซี คนฮีไวต์ และคนเยบุส 2 พวกเขาเหล่านี้ได้ร่วมกันภายใต้คำสั่งเดียว ที่จะทำสงครามต่อสู้กับโยชูวาและอิสราเอล 3 เมื่อพวกที่อยู่ในเมืองกิเบโอนได้ยินสิ่งที่โยชูวาได้กระทำต่อเยรีโคและเมืองอัย 4 พวกเขาจึงได้กระทำกลอุบาย พวกเขาไปดังเช่นพวกผู้สื่อสาร พวกเขานำเอากระสอบที่ขาดและบรรทุกบนหลังลา พวกเขาได้เอาถุงหนังเหล้าองุ่นเก่าที่ขาดและมีการซ่อมแซม 5 พวกเขาสวมรองเท้าแตะที่เก่าและมีรอยปะ และแต่งกายด้วยเสื้อผ้าเก่าและขาด ขนมปังที่เป็นเสบียงของเขาก็แห้งและขึ้นรา
6 พวกเขาเดินทางมาหาโยชูวาในค่ายที่กิลกาลและกล่าวกับเขาและผู้ชายทั้งหลายของอิสราเอล ว่า "พวกเราเดินทางมาจากดินแดนที่อยู่ไกลมาก ดังนั้น บัดนี้ขอทำพันธสัญญากับเราเถิด" 7 บรรดาผู้ชายของอิสราเอลกล่าวกับคนฮีไวต์เหล่านั้นว่า "บางทีพวกท่านอาจจะอาศัยอยู่ใกล้กับพวกเรานี่แหละ เราจะทำพันธสัญญากับพวกท่านได้อย่างไร?" 8 พวกเขากล่าวกับโยชูวาว่า "เราเป็นคนรับใช้ของท่าน" โยชูวาถามพวกเขาว่า "พวกท่านเป็นใคร?" พวกท่านมาจากไหน? 9 พวกเขาได้กล่าวกับเขาว่า "ผู้รับใช้ทั้งหลายของพวกท่านได้มาจากแผ่นดินที่ไกลมาก เพราะพระนามพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน พวกเราได้ยินถึงเรื่องราวของพระองค์และทุกเรื่องราวที่พระองค์ทรงกระทำในอียิปต์ 10 และทุกสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำกับกษัตริย์สองพระองค์ของคนอโมไรต์ที่อีกฟากหนึ่งของจอร์แดน คือสิโหน กษัตริย์ของเฮสโบน และโอก กษัตริย์ของบาชานผู้อยู่ที่อัชทาโรท
11 พวกผู้อาวุโสของพวกเราและประชาชนทั้งสิ้นในแผ่นดินของพวกเรากล่าวแก่เราว่า 'จงเอาเสบียงสำหรับเดินทาง จงไปหาพวกเขาและกล่าวแก่พวกเขาว่า "พวกเราเป็นผู้รับใช้ของท่าน ขอทำสนธิสัญญากับพวกเราเถิด" 12 นี่คือขนมปังของพวกเรา มันยังอุ่น ๆ อยู่เมื่อพวกเรานำออกมาจากบ้านของพวกเราในวันที่เราออกเดินทางมาหาพวกท่าน แต่บัดนี้ ดูเถิด มันแห้งและขึ้นราแล้ว 13 ถุงเหล้าองุ่นนี้ยังใหม่เมื่อเราเติมเหล้าองุ่นและนำมาด้วย และดูเถิด บัดนี้มันกำลังรั่ว เสื้อผ้าและรองเท้าแตะของพวกเราก็ขาดเนื่องจากการเดินทางที่ไกลมาก"'
14 ดังนั้นพวกอิสราเอลก็รับเสบียงของพวกเขามา แต่พวกเขาไม่ได้ทูลปรึกษากับพระยาห์เวห์เพื่อขอการทรงนำ 15 โยชูวาก็ได้ทำสันติภาพกับพวกเขาและทำพันธสัญญากับพวกเขา ให้ไว้ชีวิตพวกเขา พวกผู้นำของประชาชนได้ทำคำสาบานกับพวกเขาด้วย 16 นับเป็นเวลาสามวันหลังจากที่พวกอิสราเอลได้ทำพันธสัญญากับพวกเขา พวกเขาทั้งหลายก็รู้ว่าพวกคนเหล่านี้เป็นเพื่อนบ้านของพวกเขาและพวกเขาอาศัยอยู่ใกล้ๆ นี่เอง
17 แล้วพวกอิสราเอลก็ออกเดินทางไปเมืองต่างๆ ของพวกเขาในวันที่สาม เมืองของพวกเขาเหล่านั้นคือ เมืองกิเบโอน เคฟีราห์ เบเอโรท และคีริยาท เยอาริม 18 พวกประชาชนของอิสราเอลไม่ได้โจมพวกเขา เพราะว่าพวกผู้นำของเขาได้มีคำปฏิญาณเกี่ยวกับพวกเขาต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอลแล้ว พวกอิสราเอลทั้งหมดก็ต่อว่าพวกผู้นำของพวกเขา 19 แต่พวกผู้นำทั้งหลายกล่าวแก่ประชาชนทั้งปวงว่า "เราได้สาบานกับพวกเขาต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอลแล้ว และบัดนี้ เราไม่สามารถทำร้ายพวกเขาได้
20 นี่คือสิ่งที่พวกเราจะกระทำกับพวกเขา เพื่อไม่ให้พระพิโรธใด ๆ ลงมาเหนือเราเพราะคำสาบานซึ่งเราได้สาบานต่อพวกเขานั้น เราจะไว้ชีวิตพวกเขา" 21 พวกผู้นำจึงกล่าวกับประชาชนของพวกเขาว่า "ให้พวกเขามีชีวิตต่อไปเถอะ" ดังนั้น พวกกิเบโอนจึงเป็นพวกคนตัดฟืนและคนตักน้ำสำหรับพวกอิสราเอลทั้งมวล ตามที่พวกผู้นำได้กล่าวไว้เกี่ยวกับพวกเขา 22 โยชูวาจึงเรียกพวกเขามาและกล่าวว่า "ทำไมพวกเจ้าจึงหลอกลวงพวกเราเมื่อพวกท่านกล่าวว่า 'เราอยู่ห่างไกลมากจากพวกท่าน ในเมื่อพวกท่านก็อยู่ที่นี่ท่ามกลางพวกเรา?
23 บัดนี้ เพราะเหตุนี้ พวกท่านจึงต้องถูกสาป และบางคนในพวกท่านจะตกเป็นทาสไปตลอด คนเหล่านั้นที่ตัดฟืนและตักน้ำสำหรับพระนิเวศของพระเจ้าของเรา" 24 พวกเขาตอบโยชูวา และกล่าวว่า "เพราะเหตุว่าพวกเราผู้รับใช้ของพวกท่านได้รับการบอกเล่าว่าพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านทรงสั่งให้ผู้รับใช้ของพระองค์คือโมเสสมอบแผ่นดินทั้งหมดนี้แก่ท่าน และให้ทำลายผู้ที่อาศัยอยู่ทั้งหมดบนแผ่นดินต่อหน้าท่าน ดังนั้นพวกเราจึงกลัวมากเกี่ยวกับชีวิตของพวกเราเพราะพวกท่าน นี่คือเหตุผลว่าทำไมเราต้องทำอย่างนี้
25 บัดนี้ จงดูสิ พวกท่านได้ควบคุมพวกเราให้อยู่ในอำนาจของท่านแล้ว อะไรก็ตามที่ท่านเห็นว่าดีและถูกต้องสำหรับท่านที่จะทำกับเรา จงกระทำเถิด" 26 ดังนั้น โยชูวาจึงทำเช่นนี้ต่อพวกเขา เขาได้ย้ายพวกเขาออกจากการควบคุมของประชาชนอิสราเอล และพวกอิสราเอลไม่ได้ฆ่าพวกเขา 27 ในวันนั้นโยชูวาได้ทำให้คนกิเบโอนให้เป็นคนตัดฟืนและคนตักน้ำสำหรับชุมชน และสำหรับแท่นบูชาของพระยาห์เวห์จนถึงทุกวันนี้ ในสถานที่ซึ่งพระยาห์เวห์ทรงเลือก
1 บัดนี้ เมื่ออาโดนีเซเดก กษัตริย์แห่งเยรูซาเล็มทรงได้ยินว่าโยชูวาได้ยึดเมืองอัยและทำลายเสียอย่างสิ้นเชิงแล้ว (เช่นเดียวกับที่เขาได้ทำกับเยรีโคและกษัตริย์ของเมืองนั้น) เขาได้ยินด้วยว่าประชาชนของกิเบโอนได้ทำสันติภาพกับอิสราเอลและอยู่ท่ามกลางพวกเขา 2 ประชาชนของเยรูซาเล็มก็รู้สึกกลัวอย่างมากเพราะว่ากิเบโอนเป็นเมืองใหญ่ เหมือนกับเมืองหลวงทั้งหลาย เป็นเมืองที่ใหญ่กว่าเมืองอัย และพวกผู้ชายของเมืองทุกคนก็เป็นนักรบที่เก่งกาจ 3 ดังนั้นอาโดนีเซเดก กษัตริย์แห่งเยรูซาเล็มจึงได้ส่งสารไปหาโฮฮัม กษัตริย์แห่งเฮโบรน ถึงปิรามกษัตริย์แห่งยาร์มูท และยาเฟียกษัตริย์แห่งลาคีช และเดบีร์กษัตริย์แห่งเอกโลนว่า 4 "ขอเชิญพวกท่านมาหาข้าพเจ้า และช่วยข้าพเจ้าโจมตีกิเบโอนเถิด เพราะว่าพวกเขาได้ทำสันติภาพกับโยชูวาและกับประชาชนอิสราเอล"
5 กษัตริย์อาโมไรต์ทั้งห้าพระองค์คือ กษัตริย์แห่งเยรูซาเล็ม กษัตริย์แห่งเฮโบรน กษัตริย์แห่งยารมูท กษัตริย์แห่งลาคีช และกษัตริย์แห่งเอกโลน ก็ได้มา คือพวกเขาและกองทัพทั้งหมดของพวกเขา พวกเขาก็ได้จัดวางกำลังของตนเพื่อต่อสู้กับกิเบโอน และพวกเขาก็ได้จู่โจมกิเบโอน 6 ประชาชนของกิเบโอนได้ส่งสารถึงโยชูวาและกองทัพที่กิลกาล พวกเขากล่าวว่า "เร็วเข้าเถิด ขออย่าละมือของพวกท่านจากพวกผู้รับใช้ของท่าน จงขึ้นมาหาพวกเราโดยเร็ว และช่วยพวกเราให้รอดด้วยเถิด จงช่วยพวกเรา เพราะว่าพวกกษัตริย์แห่งอาโมไรต์ที่อยู่ในดินแดนบนภูเขาได้ร่วมกันโจมตีพวกเรา" 7 โยชูวาขึ้นไปจากกิลกาล คือ เขาและทหารทั้งหมดและนักสู้ทุกคนได้ไปกับเขา 8 พระยาห์เวห์ตรัสกับโยชูวาว่า "อย่ากลัวพวกเขาเลย เราได้มอบพวกเขาไว้ในมือเจ้าแล้ว จะไม่มีใครในพวกเขาสักคนเดียวที่จะยืนหยัดต่อสู้กับเจ้าได้"
9 โยชูวาเข้าโจมตีพวกนั้นทันที ได้ยกพลเดินทางตลอดทั้งคืนจากกิลกาล 10 พระยาห์เวห์ทรงทำให้พวกศัตรูสับสนต่อหน้าอิสราเอล และอิสราเอลได้ฆ่าพวกเขาตายอย่างมากมายที่กิลกาลและไล่ติดตามพวกเขาตามถนนที่จะขึ้นไปยังเบธ โฮโรน และพวกเขาฆ่าพวกนั้นบนถนนที่ไปอาเซคาห์และมักเคดาห์ 11 ขณะที่พวกเขาวิ่งถอยหนีจากพวกอิสราเอลไปตามทางเบธโฮโรนนั้น พระยาห์เวห์ทรงโยนก้อนหินก้อนใหญ่ๆ ลงมาจากฟ้าเหนือพวกเขาตลอดทางถึงเมืองอาเซคาห์ เขาทั้งหลายก็ตาย ผู้ที่ตายด้วยลูกเห็บหินนั้นก็มากกว่าผู้ที่ด้วยดาบของผู้ชายอิสราเอล
12 แล้วโยชูวาก็ทูลพระยาห์เวห์ในวันที่พระยาห์เวห์ทรงมอบชัยชนะให้อิสราเอลมีชัยชนะเหนือชาวอาโมไรต์ นี่คือสิ่งที่โยชูวาทูลต่อพระยาห์เวห์ต่อหน้าพวกอิสราเอลว่า " ดวงอาทิตย์ จงหยุดนิ่งอยู่ที่กิเบโอน และดวงจันทร์ ในหุบเขาอัยยาโลน" 13 ดวงอาทิตย์จึงได้หยุดนิ่ง และดวงจันทร์ก็ได้หยุดการเคลื่อนไหวจนกว่าชนชาติจะได้แก้แค้นพวกศัตรูของพวกเขา สิ่งนี้ไม่ได้ถูกบันทึกไว้ในหนังสือของยาชาร์หรอกหรือ ? ดวงอาทิตย์ก็หยุดนิ่งอยู่ที่กลางท้องฟ้า มันไม่ได้ตกไปประมาณหนึ่งวัน 14 จะไม่มีวันอื่นเหมือนเช่นนี้ก่อนหรือหลังนี้อีกแล้ว ที่พระยาห์เวห์ทรงยอมฟังเสียงของมนุษย์ เพราะพระยาห์เวห์ทรงต่อสู้ในนามของอิสราเอล 15 โยชูวากับพวกอิสราเอลทั้งหมดที่อยู่กับเขาก็ได้กลับไปที่ค่ายที่กิลกาล
16 บัดนี้ กษัตริย์ทั้งห้าพระองค์นั้นทรงหนีไปซ่อนตัวอยู่ในถ้ำมักเคดาห์ 17 มีรายงานไปถึงโยชูวาว่า "พวกเขาพบว่า! กษัตริย์ทั้งห้าพระองค์ทรงซ่อนตัวอยู่ในถ้ำที่มักเคดาห์" 18 โยชูวากล่าวว่า "จงกลิ้งก้อนหินปิดปากถ้ำและให้ทหารเฝ้าพวกเขาไว้ 19 อย่ารออยู่เลย ให้ติดตามพวกศัตรูของพวกท่านและโจมตีพวกเขาจากด้านหลัง จงอย่าให้พวกเขาได้เข้ามาในเมืองของพวกเขา เพราะว่าพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านได้ทรงมอบพวกเขาไว้ในมือของท่านแล้ว" 20 โยชูวาและบุตรแห่งอิสราเอล ได้เสร็จสิ้นจากการฆ่าพวกเขาเหล่านั้นเป็นจำนวนมาก จนพวกเขาเกือบถูกทำลายอย่างสิ้นเชิงแล้ว มีแต่เพียงผู้รอดชีวิตสองสามคนเท่านั้นที่ได้หลบหนีไปอยู่ในเมืองที่มีกำแพงล้อม
21 แล้วกองทัพทั้งหมดก็กลับมาหาโยชูวาอย่างสวัสดิภาพที่ค่ายในมักเคดาห์ ไม่มีใครกล้ากล่าวต่อต้านประชาชนอิสราเอลอีกต่อไป 22 โยชูวาจึงกล่าวว่า "จงเปิดปากถ้ำและนำกษัตริย์ทั้งห้าพระองค์นั้นออกมาหาข้าพเจ้า" 23 พวกเขาก็ทำตามที่เขาบอก พวกเขานำกษัตริย์ทั้งห้าพระองค์ออกมาจากถ้ำแล้วพามาหาท่าน มีกษัตริย์แห่งเยรูซาเล็ม กษัตริย์แห่งเฮโบรน กษัตริย์แห่งยารมูท กษัตริย์แห่งลาคีช และกษัตริย์แห่งเอกโลน
24 เมื่อพวกเขานำกษัตริย์เหล่านั้นมาหาโยชูวา เขาจึงเรียกให้คนอิสราเอลทั้งหมดมา เขากล่าวกับผู้บังคับการของทหารที่ออกไปร่วมรบพร้อมกับท่านว่า "จงเอาเท้าของพวกท่านเหยียบที่คอของพวกเขา" ดังนั้นพวกเขาก็เข้ามาและเอาเท้าของพวกเขาเหยียบคอของพวกเขา 25 แล้วเขาพูดกับพวกเขาว่า "อย่ากลัวหรือตกใจเลย จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์จะทำกับพวกศัตรูของพวกท่านทุกคนที่พวกท่านกำลังจะต่อสู้ด้วย" 26 แล้วโยชูวาได้ลงมือและฆ่าพวกกษัตริย์ เขาได้แขวนพวกเขาบนต้นไม้ห้าต้น พวกเขาถูกแขวนไว้บนต้นไม้จนกระทั่งตอนเย็น 27 เมื่อดวงอาทิตย์ตก โยชูวามีคำสั่ง และพวกเขาได้นำกษัตริย์เหล่านั้นลงมาจากต้นไม้และก็โยนเข้าไปในถ้ำที่พวกเขาได้ซ่อนตัวเองที่นั่น พวกเขาเอาหินก้อนใหญ่ปิดปากถ้ำไว้ ก้อนหินเหล่านั้นยังอยู่ที่นั่นจนกระทั่งทุกวันนี้
28 โดยวิธีนี้ โยชูวาก็ยึดเมืองมักเคดาห์ได้ในวันนั้น และฆ่าทุกคนที่นั่นด้วยดาบรวมทั้งกษัตริย์ของเมืองนั้น เขาได้ทำลายพวกเขาและสิ่งมีชีวิตทุกอย่างที่นั่นอย่างสิ้นเชิง เขาไม่ให้เหลือผู้รอดชีวิต เขากระทำต่อกษัตริย์แห่งมักเคดาห์เช่นเดียวกับที่เขาได้ทำกับกษัตริย์เยรีโค 29 โยชูวาและอิสราเอลทั้งหมดก็ออกจากมักเคดาห์มาถึงลิบนาห์ เขาไปสู้รบกับลิบนาห์ 30 พระยาห์เวห์ทรงมอบเมืองนี้ไว้ในมือของอิสราเอล เช่นเดียวกับกษัตริย์ของพวกเขา โยชูวาลงมือโจมตีทุกสิ่งที่มีชีวิตด้วยดาบ เขาไม่ได้ปล่อยให้ใครรอดชีวิตในนั้น เขาทำกับกษัตริย์เช่นเดียวกับที่เขาได้ทำกับกษัตริย์ของเยรีโค
31 แล้วโยชูวาและพวกอิสราเอลทั้งหมดก็ออกจากเมืองลิบนาห์มาถึงเมืองลาคีช เขาตั้งค่ายใกล้เมืองและก็เข้าโจมตี 32 พระยาห์เวห์ได้ประทานลาคีชให้อยู่ในมือของอิสราเอล โยชูวาก็ยึดเมืองในวันที่สอง เขาลงมือกับทุกสิ่งในเมืองนั้นด้วยดาบ เช่นเดียวกับที่เขาได้ทำกับลิบนาห์ 33 แล้วโฮรามกษัตริย์แห่งเกเซอร์ได้ขึ้นมาช่วยลาคีช โยชูวาก็จู่โจมเขาและกองทัพของเขาจนกระทั่งไม่เหลือผู้รอดชีวิตเลย 34 แล้วโยชูวาพร้อมกับพวกอิสราเอลทั้งหมดก็ออกจากเมืองลาคีชมาถึงเมืองเอกโลน พวกเขาตั้งค่ายใกล้เมืองและเข้าโจมตีเมืองนั้น 35 และยึดเมืองได้ในวันเดียวกัน พวกเขาแทงด้วยดาบและพวกเขาทำลายทุกคนที่อยู่ในเมืองนั้น อย่างเช่นที่โยชูวาได้ทำต่อเมืองลาคีช 36 แล้วโยชูวาพร้อมกับพวกอิสราเอลทั้งหมดก็ขึ้นไปจากเมืองเอกโลนมาถึงเมืองเฮโบรน พวกเขาก็เข้าล้อมและเข้าโจมตีเมืองนั้น 37 พวกเขาก็ยึดและโจมตีเมืองนั้นแล้วก็ได้ประหารกษัตริย์และหมู่บ้านโดยรอบ พวกเขาทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่มีชีวิตในเมืองนั้นอย่างราบคาบ ไม่ให้เหลือผู้ใดรอดชีวิต เช่นเดียวกันกับที่โยชูวาได้ทำกับเมืองเอกโลน เขาทำลายเมืองนั้น และสิ่งที่มีชีวิตทุกอย่างในเมืองนั้นเสียสิ้น 38 แล้วโยชูวาก็กลับ และกองทัพอิสราเอลทั้งหมดที่อยู่กับเขาก็กลับมายังเมืองเดบีร์และเข้าโจมตีเมืองนั้น
39 พวกเขาก็ได้ยึดเมืองนั้นรวมทั้งกษัตริย์และหมู่บ้านโดยรอบทั้งหมด และพวกเขาก็ลงมือฆ่าพวกนั้นด้วยดาบ และทำลายทุกสิ่งที่อยู่ในเมืองนั้นอย่างราบคาบ พวกเขาไม่ได้ให้ผู้ใดรอดชีวิต พวกเขาได้ทำต่อเมืองเดบีร์และกษัตริย์ของเมืองนั้นอย่างไร พวกเขาก็ทำกับเมืองลิบนาห์และกษัตริย์ของเมืองนั้นและเมืองเฮโบรนอย่างนั้น 40 โยชูวาได้ชัยชนะทุกเมืองบนดินแดนเทือกเขา เนเกบ ที่ลุ่มและที่เชิงเขา กษัตริย์ทั้งหมดของเมืองเหล่านั้น เขาไม่ได้เหลือให้ผู้ใดรอดชีวิต เขาทำลายทุกสิ่งที่มีชีวิต ดังที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอลทรงบัญชาไว้ 41 โยชูวาโจมตีพวกเขาตั้งแต่คาเดชบารเนียถึงกาซาและทั้งแผ่นดินโกเชนจนถึงเมืองกิเบโอน 42 โยชูวาจับพวกกษัตริย์เหล่านี้และเมืองของพวกเขาได้ในคราวเดียว เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอลทรงสู้รบเพื่ออิสราเอล 43 แล้วโยชูวาพร้อมกับอิสราเอลทั้งหมดก็ได้กลับไปยังค่ายที่กิลกาล
1 เมื่อยาบินกษัตริย์แห่งฮาโซร์ได้ยินข่าวนี้ เขาจึงได้ส่งสารไปยังโยบับกษัตริย์แห่งมาโดน ไปยังกษัตริย์แห่งชิมโรน และไปยังกษัตริย์แห่งอัคชาฟ 2 เขายังส่งสารให้บรรดากษัตริย์ซึ่งอยู่ในดินแดนเทือกเขาตอนเหนือ ในหุบเขาแม่น้ำจอร์แดนทางตอนใต้ของคินเนอเรท ในที่ลุ่ม และในดินแดนภูเขาของโดร์ทางทิศตะวันตก 3 เขาส่งสารไปหาพวกคานาอันทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตกด้วย พวกอาโมไรต์ พวกฮิตไทต์ พวกเปริสซี และพวกเยบุสในดินแดนเทือกเขา และพวกฮีไวต์ทางเชิงเขาเฮอร์โมนในแผ่นดินมิสปาห์ 4 กองทัพทั้งหมดของพวกเขาก็ออกมาพร้อมกับพวกเขา ด้วยจำนวนทหารที่มากมายดุจเม็ดทรายที่ชายหาด พวกเขามีม้าและรถรบจำนวนมากมาย
5 กษัตริย์ทั้งหมดนี้ก็ได้พบกันในเวลาที่ได้นัดหมายไว้ และมาตั้งค่ายอยู่ด้วยกันที่ลำน้ำเมโรม เพื่อทำสงครามกับอิสราเอล 6 พระยาห์เวห์ตรัสกับโยชูวาว่า "จงอย่ากลัวในการปรากฎตัวของพวกเขา เพราะว่าพรุ่งนี้ในเวลานี้ เราจะมอบพวกเขาทั้งหมดแก่อิสราเอลอย่างคนตายแล้ว เจ้าจะต้องตัดเอ็นร้อยหวายม้าของพวกเขาและพวกเจ้าจะเผารถม้าของพวกเขาเสีย" 7 โยชูวาและพลรบทั้งหมดก็มาถึงที่ลำแม่น้ำเมโรม และก็เข้าโจมตีพวกศัตรูโดยทันที
8 พระยาห์เวห์ทรงมอบศัตรูให้อยู่ในมือของอิสราเอล และพวกเขาเข้าจู่โจมพวกเขาและได้ไล่ติดตามพวกเขาไปถึงไซดอนและถึงมิสเรโฟธมาอิม และถึงหุบเขามิสปาห์ด้านตะวันออก พวกเขาได้ฆ่าเขาเหล่านั้นจนกระทั่งไม่เหลือแม้แต่คนเดียว 9 โยชูวาทำต่อพวกเขาตามที่พระยาห์เวห์ตรัสสั่งเขา เขาได้ตัดเอ็นร้อยหวายของม้าและเผารถรบเสียสิ้น 10 โยชูวาย้อนได้กลับมาเวลานั้นและยึดเมืองฮาโซร์ พวกเขาประหารกษัตริย์ของเมืองนั้นด้วยดาบ (ฮาโซร์เคยเป็นหัวหน้าของอาณาจักรเหล่านี้ทั้งหมด) 11 พวกเขาใช้ดาบฆ่าฟันสิ่งมีชีวิตทุกอย่างที่อยู่ที่นั้น และโยชูวาก็ได้แยกพวกเขาออกมาเพื่อทำลายเสีย ดังนั้น จึงไม่มีสิ่งมีชีวิตรอดเหลืออยู่ แล้วเขาก็เผาเมืองฮาโซร์
12 โยชูวายึดทุกเมืองของกษัตริย์เหล่านี้ เขาจับกษัตริย์ทั้งหมดของพวกเขาและฆ่าพวกเขาด้วยดาบ เขาทำลายพวกเขาอย่างสิ้นเชิงดังที่โมเสสผู้รับใช้ของพระยาห์เวห์ได้บัญชาไว้ 13 อิสราเอลไม่ได้เผาเมืองใดๆ ที่สร้างบนเนินซาก ยกเว้นฮาโซร์ เมืองนี้เท่านั้นที่โยชูวาได้เผา 14 กองทัพของอิสราเอลได้นำทรัพย์สินทั้งหมดจากเมืองเหล่านี้พร้อมทั้งฝูงสัตว์เลี้ยงมาเป็นของพวกเขาเอง พวกเขาฆ่ามนุษย์ทุกคนด้วยดาบกระทั่งทุกคนตายสิ้น พวกเขาไม่ให้เหลือสิ่งมีชีวิตไว้เลย
15 เช่นเดียวกันกับที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาโมเสสผู้รับใช้ของพระองค์ไว้อย่างไร โมเสสก็ได้บัญชาโยชูวาไว้อย่างนั้น และโยชูวาก็ได้ทำตาม เขาทำทุกสิ่งที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาให้กับโมเสสไว้ 16 โยชูวาก็ได้ยึดแผ่นดินนั้นทั้งหมด คือดินแดนเทือกเขา เนเกบทั้งหมด แผ่นดินแห่งโกเชนทั้งหมด ที่บรรดาเชิงเขา หุบเขาแห่งแม่น้ำจอร์แดน ดินแดนเทือกเขาของอิสราเอล และที่ลุ่ม 17 จากภูเขาฮาลักใกล้กับเอโดม ไปทางเหนือถึงบาอัลกาดในหุบเขาใกล้กับเลบานอนเชิงภูเขาเฮอร์โมน เขาจับกษัตริย์ทั้งหมดของพวกเหล่านั้นและฆ่าพวกเขาเสีย 18 โยชูวาทำสงครามอยู่เป็นเวลานานกับกษัตริย์ทั้งหมดนี้
19 ไม่มีสักเมืองหนึ่งที่ได้ทำสัญญาสันติภาพกับกองทัพของอิสราเอล นอกจากคนฮีไวต์ซึ่งอาศัยที่กิเบโอน อิสราเอลยึดเมืองที่เหลือทั้งหมดในการทำสงคราม 20 เพราะว่าพระยาห์เวห์ผู้ทรงทำให้จิตใจของพวกเขามีใจแข็ง ดังนั้นพวกเขาต้องทำสงครามกับพวกอิสราเอล ดังนั้นเขาต้องทำลายพวกเขาอย่างสิ้นเชิงโดยปราศจากความเมตตา ดังที่พระองค์ทรงบัญชาโมเสสไว้ 21 แล้วโยชูวาก็มาในเวลานั้นและเขาได้ทำลายคนอานาค เขาทำสิ่งนี้ในดินแดนเทือกเขา ที่เฮโบรน เดบีร์ อานาบ และในดินแดนเทือกเขาทุกแห่งของยูดาห์ และในดินแดนเทือกเขาของอิสราเอล โยชูวาได้ทำลายพวกเขาและเมืองของพวกเขาอย่างสิ้นซาก 22 ไม่มีคนอานาคเหลือในแผ่นดินของอิสราเอลยกเว้นที่กาซา กัทและอัชโดด
23 ดังนั้น โยชูวาได้ยึดแผ่นดินทั้งหมดตามที่พระยาห์เวห์ตรัสไว้กับโมเสสทุกประการ โยชูวาก็มอบไว้ให้เป็นมรดกแก่อิสราเอล ตามที่ได้แบ่งให้แต่ละเผ่า แล้วแผ่นดินก็สงบจากสงคราม
1 ต่อไปนี้ เหล่านี้คือบรรดากษัตริย์ของดินแดนซึ่งผู้ชายอิสราเอลได้ปราบเอาชนะ พวกอิสราเอลได้ยึดครองแผ่นดินฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดนด้านที่ดวงอาทิตย์ขึ้น จากหุบเขาลุ่มแม่น้ำอารโนนถึงภูเขาเฮอร์โมน และทั้งหมดของอาราบาห์ถึงฟากตะวันออก 2 สิโหนกษัตริย์ของคนอาโมไรต์ อยู่ที่เฮชโบน เขาปกครองจากอาโรเออร์ซึ่งอยู่ที่ริมขอบของอารโนนกอร์กีจากกลางหุบเขา และครึ่งหนึ่งของกิเลอาดลงไปถึงแม่น้ำยับบอก ติดชายแดนของคนอัมโมน 3 สิโหนได้ปกครองอาราบาห์ไปจนถึงงทะเลคินเนเรท ถึงด้านตะวันออก ถึงทะเลของอาราบาห์ (ทะเลเกลือ) ถึงด้านตะวันออก มาจนถึงเบธเยชิโมทและไปถึงตอนใต้ ไปจนชิดเชิงลาดของภูเขาปิสกาห์
4 โอก กษัตริย์แห่งบาชานซึ่งเป็นคนเผ่าเรฟาอิมที่เหลืออยู่ ผู้อยู่ที่อัชทาโรทและเอเดรอี 5 เขาได้ปกครองเหนือภูเขาเฮอร์โมน เสเลคาห์ และบาชานทั้งหมด ถึงชายแดนของประชาชนเกชูร์ และคนมาอาคาห์ และครึ่งหนึ่งของกิเลอาดถึงเขตแดนของสิโหนกษัตริย์แห่งเฮชโบน 6 โมเสสผู้รับใช้ของพระยาห์เวห์ และประชาชนอิสราเอลทำให้พวกเขาพ่ายแพ้ และโมเสสผู้รับใช้ของพระยาห์เวห์ได้มอบแผ่นดินให้เป็นกรรมสิทธิ์ของคนรูเบน คนกาด และครึ่งหนึ่งของคนเผ่ามนัสเสห์
7 เหล่านี้คือบรรดากษัตริย์ของดินแดนซึ่งโยชูวากับประชาชนอิสราเอลได้ปราบเอาชนะบนฟากตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดน ตั้งแต่บาอัลกาดในหุบเขาใกล้กับเลบานอน ถึงภูเขาฮาลักใกล้กับเอโดม โยชูวาได้มอบแผ่นดินให้เป็นกรรมสิทธิ์แก่คนเผ่าต่าง ๆ ของอิสราเอล 8 เขามอบแดนเทือกเขา ที่ลุ่ม อาราบาห์ ข้างๆ ภูเขาต่างๆ ในถิ่นทุรกันดารและที่เนเกบ แผ่นดินของคนฮิตไทต์ คนอโมไรต์ คนคานาอัน คนเปริสซี คนฮีไวต์ และคนเยบุส 9 เหล่ากษัตริย์ทั้งหลายซี่งรวมทั้งกษัตริย์ของเยรีโค กษัตริย์ของอัยซึ่งอยู่ข้าง ๆ เบธเอล
10 กษัตริย์แห่งเยรูซาเล็ม กษัตริย์แห่งเอนายิม 11 กษัตริย์แห่งยารมูท กษัตริย์แห่งลาคีช 12 กษัตริย์แห่งเอกโลน กษัตริย์แห่งเกเซอร์ 13 กษัตริย์แห่งเดบีร์ กษัตริย์แห่งเกเดอร์ 14 กษัตริย์แห่งโฮมาร์ กษัตริย์แห่งอาราด 15 กษัตริย์แห่งลิบนาห์ กษัตริย์แห่งอดุลลัม 16 กษัตริย์แห่งมักเคดาห์ กษัตริย์แห่งเบธเอล 17 กษัตริย์แห่งทัปปูวาห์ กษัตริย์แห่งเฮเฟอร์ 18 กษัตริย์แห่งอาเฟก กษัตริย์แห่งลาชาโรน 19 กษัตริย์แห่งมาโดน กษัตริย์แห่งฮาโซร์ 20 กษัตริย์แห่งชิโรนเมโรน กษัตริย์แห่งอัคชาฟ 21 กษัตริย์แห่งทาอานาค กษัตริย์แห่งเมกิดโด 22 กษัตริย์แห่งเคเดช กษัตริย์แห่งโยกเนอัมในคารเมล 23 กษัตริย์แห่งโดร์ ในนาฟาธโดร์ กษัตริย์แห่งโกยิมในกิลกาล 24 และกษัตริย์แห่งทีรซาห์ รวมจำนวนกษัตริย์ทั้งหมดคือสามสิบเอ็ดพระองค์
1 บัดนี้ โยชูวาได้ชราอย่างมากแล้วเมื่อพระยาห์เวห์ตรัสกับเขาว่า "เจ้าชรามากแล้ว แต่ยังมีแผ่นดินอีกมากที่ต้องยึดครอง 2 นี่เป็นแผ่นดินที่ยังคงเหลืออยู่ คือ ท้องถิ่นทั้งหมดของฟีลิสเตีย และท้องถิ่นทั้งหมดของคนเกชูร์ 3 นับจากชิโหร์ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของอียิปต์ และเหนือขึ้นไปถึงชายแดนของเอโครน ซึ่งนับเป็นทรัพย์สินของคนคานาอัน ผู้ปกครองของฟีลิสเตียมีห้าคน คือ ชาวกาซา ชาวอัชโดด ชาวอัชเคโลน ชาวกัท และชาวเอโครน เขตแดนของอัฟวิม 4 ทางตอนใต้ (เขตแดนของอัฟวิม) ยังมีแผ่นดินทั้งหมดของคนคานาอัน จากอาราห์ของชาวไซดอนจนถึงอาเฟค ซึ่งเป็นเขตแดนของคนอาโมไรต์ 5 แผ่นดินของชาวเกบาลและเลบานอนทั้งหมดไปทางตะวันออก จากบาอัลกาดที่อยู่เชิงภูเขาเฮอร์โมน ถึงเลโบฮามัท
6 เช่นเดียวกัน ผู้ที่อาศัยบนเทือกเขาจากเลบานอนทั้งหมดจนถึงมิสเรโฟทมาอิม รวมทั้งประชาชนทั้งหมดของไซดอน เราจะขับไล่พวกเขาออกไปต่อหน้ากองทัพของอิสราเอล จงแน่ใจว่าได้มอบดินแดนให้อิสราเอลเป็นมรดก ตามที่เราได้สั่งเจ้าแล้ว 7 จงแบ่งดินแดนนี้เป็นมรดกให้แก่เผ่าต่างๆ เก้าเผ่าและครึ่งหนึ่งของเผ่ามนัสเสห์" 8 ส่วนอีกครึ่งหนึ่งของเผ่ามนัสเสห์ เผ่ารูเบนและเผ่ากาดได้รับมรดกของพวกเขาที่โมเสสได้ให้พวกเขาทางฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน 9 จากอาโรเออร์ ซึ่งอยู่ริมลุ่มน้ำอารโนน (รวมทั้งเมืองที่อยู่ท่ามกลางลุ่มน้ำ) ถึงที่ราบสูงทั้งหมดของเมเดบาไปจนถึงดีโบน
10 เมืองทั้งหมดนี้ของสิโหนกษัตริย์คนอาโมไรต์ ผู้ซึ่งครอบครองอยู่ในเฮชโบน ไกลออกไปจนถึงเขตแดนคนอัมโมน 11 กิเลอาด และท้องถิ่นของคนเกชูร์และคนมาอาคาห์ ทั้งหมดของภูเขาเฮอร์โมน บาชานทั้งหมดถึงสาเลคาห์ 12 อาณาจักรทั้งหมดของโอกในบาชาน ผู้ซึ่งครอบครองในอัชทาโรทและเอเดรอี เหล่านี้คือสิ่งที่ถูกทิ้งไว้ให้เป็นสิ่งที่เหลืออยู่จากพวกเรฟาอิม โมเสสรบชนะพวกเขาและได้ขับไล่พวกเขาออกไป
13 แต่ประชาชนอิสราเอลไม่ได้ขับไล่คนเกชูร์หรือคนมาอาคาห์ออกไป ด้วยเหตุนี้ ชาวเกชูร์และชาวมาอาคาห์จึงยังอาศัยอยู่ท่ามกลางอิสราเอลจนถึงทุกวันนี้ 14 สำหรับเผ่าเลวีเพียงเผ่าเดียวเท่านั้นที่โมเสสไม่ได้มอบส่วนมรดกให้ เครื่องถวายแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอลที่ทำด้วยไฟนั้นเป็นมรดกของพวกเขา ตามที่พระเจ้าได้ตรัสกับโมเสส 15 โมเสสได้มอบมรดกให้เผ่ารูเบน ตระกูลต่อตระกูล 16 เขตแดนของพวกเขานับจากอาโรเออร์ บนฝั่งของลุ่มแม่น้ำอารโนน และเมืองที่อยู่ท่ามกลางหุบเขาและเขตที่ราบสูงทั้งหมดข้างเมเดบา
17 เผ่ารูเบนเช่นกันก็ได้รับเฮชโบนและเมืองทุกเมืองที่อยู่ในเขตที่ราบสูง คือ ดีโบน และบาโมทบาอัล และ เบธบาอัลเมโอน 18 และยาฮาส และเคเดโมท และเมฟาอาท 19 และคีรียาธาอิม และสิบมาห์ และเซเรทชาหาร์บนเนินเขาของหุบเขา 20 รูเบนก็เช่นกันได้รับเบธเปโอร์ ที่ลาดของปิสกาห์ เบธเยชิโมท
21 เมืองทั้งสิ้นซึ่งอยู่บนที่ราบสูงและอาณาจักรทั้งหมดของสิโหนกษัตริย์ของคนอาโมไรต์ ผู้ทรงครองราชอยู่ในเฮชโบน ผู้ซึ่งโมเสสได้ทำให้พ่ายแพ้พร้อมกับพวกผู้นำของชาวมีเดียนคือ เอวี เรเคม ศูร์ เฮอร์ และเรบา เป็นพวกเจ้าชายของสิโหนผู้ซึ่งอาศัยอยู่ในแผ่นดินนั้น 22 ประชาชนอิสราเอลได้ฆ่าบาลาอัมบุตรของเบโอร์ ผู้เป็นคนดูโชคชะตาเสียด้วยดาบ ท่ามกลางพวกที่เหลือเหล่านั้นที่พวกเขาก็ได้ฆ่าเสีย 23 อาณาเขตของเผ่ารูเบนที่อยู่มีแม่น้ำเป็นพรมแดน นี่เป็นมรดกของคนรูเบนตามตระกูลของพวกเขา รวมทั้งเมืองต่างๆ กับหมู่บ้านต่างๆ
24 นี่คือสิ่งที่โมเสสได้กล่าวไว้กับพวกกาดตามตระกูลต่อตระกูล 25 อาณาเขตของเขาคือยาเซอร์และเมืองทั้งหมดของกิเลอาดและครึ่งหนึ่งของแผ่นดินคนอัมโมนถึงอาโรเออร์ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของเมืองรับบาห์ 26 ตั้งแต่เฮชโบนถึงรามัทมิสเปห์และเบโทนิม และตั้งแต่มาหะนาอิมจนถึงเขนแดนของเดบีร์
27 ในหุบเขา โมเสสได้มอบเบธฮารัม เบธนิมราห์ สุคคท และศาโฟน อาณาจักรส่วนที่เหลือของสิโหนกษัตริย์แห่งเฮชโบนมีแม่น้ำจอร์แดนเป็นพรมแดน จดลงมาถึงทะเลคินเนอเรททางทิศตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน 28 นี่เป็นมรดกของคนเผ่ากาดตามตระกูลของเขา รวมทั้งเมืองต่างๆ กับหมู่บ้านโดยรอบของเมืองนั้นๆ ด้วย 29 โมเสสได้มอบมรดกให้กับเผ่ามนัสเสห์ครึ่งเผ่า เป็นส่วนที่ได้มอบให้แก่ครึ่งหนึ่งของคนเผ่ามนัสเสห์ ตามตระกูลของพวกเขา 30 อาณาเขตของเขาทั้งหลายเริ่มจากมาหะนาอิม บาชานทั้งหมด อาณาจักของโอกกษัตริย์ของบาชาน และเมืองทุกเมืองของยาอีร์ ซึ่งอยู่ในบาชานหกสิบเมือง 31 กิเลอาดครึ่งหนึ่ง และอัชทาโรทกับเอเดรอี ( เมืองต่างๆ ของโอกในบาชาน) เมืองเหล่านี้ได้ถูกมอบให้ตระกูลมาคีร์บุตรของมนัสเสห์คือครึ่งหนึ่งของชาวมาคีร์ ได้มอบให้แต่ละครอบครัวของพวกเขา
32 นี่คือมรดกซึ่งโมเสสได้จัดสรรให้แก่พวกเขาบนที่ราบโมอับฟากแม่น้ำจอร์แดนทางทิศตะวันออกของเมืองเยรีโค 33 โมเสสไม่ได้มอบมรดกให้แก่คนเผ่าเลวี พระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอลทรงเป็นมรดกของพวกเขา ดังที่พระองค์ได้ตรัสไว้กับพวกเขา
1 ต่อไปนี้เป็นพื้นที่ของแผ่นดินที่ประชาชนอิสราเอลได้รับมอบเป็นมรดกของพวกเขาในแผ่นดินคานาอัน ซึ่งเอเลอาซาร์ปุโรหิต และโยชูวาบุตรของนูน และผู้นำตระกูลของเผ่าต่างๆ ของอิสราเอลได้จัดสรรให้แก่พวกเขา 2 มรดกของพวกเขาได้จับสลากแบ่งกันในระหว่างคนเก้าเผ่าครึ่งตามที่พระยาห์เวห์ได้ทรงบัญชาโดยมือของโมเสส 3 เพราะโมเสสได้ให้มรดกแก่สองเผ่าครึ่งทางฟากโน้นของจอร์แดนแล้ว แต่เขาไม่ได้ให้มรดกแก่พวกเลวี 4 พงศ์พันธุ์ของโยเซฟแท้จริงแล้วมีอยู่สองเผ่า คือมนัสเสห์และเอฟราอิม พวกเลวีไม่ได้รับส่วนของมรดกในแผ่นดิน ได้แต่เพียงบางเมืองเพื่ออยู่อาศัยเท่านั้น กับแผ่นดินทุ่งหญ้าสำหรับสัตว์เลี้ยงและสำหรับเป็นแหล่งทรัพยากรของพวกเขา 5 ประชาชนอิสราเอลได้ทำตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาโมเสส ดังนั้นพวกเขาจึงได้แผ่นดิน
6 แล้วคนเผ่ายูดาห์ได้มาหาโยชูวาที่กิลกาล และคาเลบบุตรเยฟุนเนห์ชาวตระกูลเคนัส ได้กล่าวแก่เขาว่า "ท่านทราบเรื่อง ซึ่งพระยาห์เวห์ได้ตรัสกับโมเสสคนของพระเจ้าเกี่ยวกับท่านและข้าพเจ้าแล้วที่คาเดชบารเนีย 7 ข้าพเจ้ามีอายุสี่สิบปีเมื่อโมเสสผู้รับใช้ของพระเจ้าได้ให้ข้าพเจ้าจากคาเดชบารเนียเพื่อสอดแนมดูแผ่นดิน ข้าพเจ้าได้นำมารายงานให้แก่เขาตามความคิดเห็นของข้าพเจ้า 8 แต่ส่วนพี่น้องซึ่งขึ้นไปพร้อมกับข้าพเจ้าได้ทำให้ใจของประชาชนละลายไปด้วยความหวาดกลัวแต่ข้าพเจ้าได้ติดตามพระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพเจ้าอย่างสุดใจ
9 โมเสสได้ปฏิญาณในวันนั้น กล่าวว่า 'แน่นอน แผ่นดินซึ่งเท้าของท่านได้เดินเหยียบไปนั้น จะตกเป็นมรดกของท่าน และของบุตรหลานของท่านสืบไปเป็นนิตย์ เพราะว่าท่านได้ติดตามพระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพเจ้าอย่างสุดใจ' 10 บัดนี้ ดูเถิด พระยาห์เวห์ทรงทำให้ข้าพเจ้ายังมีชีวิตอยู่ตลอดสี่สิบห้าปี ดังที่พระยาห์เวห์ได้ตรัสเช่นนี้แก่โมเสส ขณะที่คนอิสราเอลเดินทางในถิ่นทุรกันดาร บัดนี้ ดูเถิด วันนี้ข้าพเจ้ามีอายุแปดสิบห้าปีแล้ว 11 ข้าพเจ้ายังแข็งแรงในวันนี้ดังที่ข้าพเจ้าได้เคยเป็นในวันที่โมเสสได้ส่งข้าพเจ้าออกไป กำลังของข้าพเจ้าในเวลานี้เป็นเหมือนกำลังของข้าพเจ้าที่เคยเป็น ไม่ว่าเพื่อสงคราม เพื่อออกไป หรือเพื่อเข้ามา 12 ดังนั้น ขอมอบดินแดนเทือกเขานี้ ซึ่งพระยาห์เวห์ทรงสัญญากับข้าพเจ้าในวันนั้น เพราะว่าท่านได้ยินในวันนั้นที่เหล่าคนอานาคอยู่ที่นั่นพร้อมด้วยเมืองใหญ่มีกำแพงล้อมอย่างมั่นคง บางทีพระยาห์เวห์จะสถิตกับข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็ขับไล่พวกเขาออกไปได้ ดังที่พระยาห์เวห์ได้ตรัสไว้แล้ว"
13 แล้วโยชูวาก็อวยพรเขาและยกเมืองเฮโบรนให้คาเลบบุตรเยฟุนเนห์เป็นมรดก 14 ดังนั้นเฮโบรนได้กลายเป็นมรดกแก่คาเลบบุตรเยฟุนเนห์ตระกูลเคนัสจนถึงทุกวันนี้ เขาได้ติดตามพระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอลอย่างสุดใจ 15 บัดนี้ ชื่อของเฮโบรนแต่เดิมมีชื่อว่าคีริยาทอารบา (อารบาเป็นคนรูปร่างใหญ่โตที่สุดท่ามกลางคนอานาค) แล้วแผ่นดินจึงได้สงบจากการศึกสงคราม
1 การจัดสรรที่ดินสำหรับประชาชนเผ่ายูดาห์ได้จัดให้ตามตระกูลพวกเขา ทางด้านใต้ขยายไปถึงเอโดม ถึงถิ่นทุรกันดารศินเป็นที่สุดปลายด้านใต้ 2 พรมแดนของพวกเขาทางทิศใต้นั้นตั้งต้นจากปลายทะเลเกลือ คือตั้งแต่อ่าวซึ่งหันไปทางทิศใต้ 3 อาณาเขตของพวกเขาได้ยื่นไปทางทิศใต้ของเนินเขาอัครับบิมและผ่านต่อไปถึงศิน และขึ้นไปทางทิศใต้ของคาเดชบารเนีย ตามทางเฮชโรนและขึ้นไปถึงอัดดาร์ ที่เลี้ยวไปถึงคารคา 4 ผ่านต่อไปถึงอัสโมน ไปตามลำธารของอียิปต์ และมาสิ้นสุดที่ทะเล นี่เป็นพรมแดนทางทิศใต้ของพวกเขา
5 พรมแดนด้านทิศตะวันออกคือทะเลเกลือไปถึงปากแม่น้ำจอร์แดน พรมแดนด้านทิศเหนือ ตั้งแต่อ่าวที่ทะเลที่ปากแม่น้ำจอร์แดน 6 ขึ้นไปถึงเบธฮกลาห์และผ่านต่อไปถึงเบธอราบาห์ แล้วขึ้นไปถึงก้อนหินของโบฮันบุตรชายของรูเบน 7 แล้วพรมแดนก็ขึ้นไปถึงเดบีร์จากหุบเขาอาโคร์ และขึ้นไปทางเหนือเลี้ยวไปทางกิลกาลซึ่งอยู่ตรงข้ามเนินเขาอดุมมิม ซึ่งอยู่ทางด้านใต้ของหุบเขา แล้วพรมแดนก็ได้ผ่านไปยังลำธารเอนเชเมชและไปถึงเอนโรเกล 8 แล้วพรมแดนได้ขึ้นทางหุบเขาเบนฮินโนมถึงด้านทิศใต้เมืองของคนเยบุส (นั่นคือ เยรูซาเล็ม) แล้วขึ้นไปถึงยอดของเนินเขาที่ทอดยอดอยู่หน้าหุบเขาฮินโนมทางทิศตะวันตก ซึ่งอยู่ทางเหนือสุดของหุบเขาเรฟาอิม
9 แล้วพรมแดนก็ยื่นไปจากยอดเนินเขาถึงน้ำพุแห่งลำน้ำเนฟโทอาห์ จากที่นั่นก็มาถึงเมืองต่างๆ ของภูเขาเอโฟรน แล้วพรมแดนก็โค้งไปยังบาอาลาห์ (เหมือนกันกับคีริยาทเยอาริม) 10 แล้วพรมแดนก็เลี้ยวไปบาอาลาห์ไปทางทิศตะวันตกถึงภูเขาเสอีร์ ผ่านไปตามไหล่เขาเยอาริมด้านเหนือ (เมืองเดียวกับเคสะโลน) ลงไปถึงเมืองเบธเชเมชผ่านเมืองทิมนาห์ 11 พรมแดนได้ยื่นออกไปข้างเนินเขาด้านเหนือของเมืองเอโครน แล้วก็โค้งไปหาเมืองชิกเคโรนและผ่านไปถึงภูเขาบาอาลาห์จากที่นั่นก็ไปถึงยับเนเอล พรมแดนก็มาสิ้นสุดที่ทะเล 12 พรมแดนด้านทิศตะวันตกคือทะเลใหญ่และฝั่งทะเล นี่คือพรมแดนล้อมรอบเผ่าคนยูดาห์ตามตระกูลต่อตระกูล
13 ในการปฎิบัติตามพระดำรัสสั่งของพระยาห์เวห์ที่ตรัสกับโยชูวา โยชูวาได้มอบที่ดินส่วนหนึ่งในเขตของคนยูดาห์ให้แก่คาเลบบุตรชายของเยฟุนเนห์ การมอบแผ่นดินท่ามกลางเผ่ายูดาห์ คือคีริยาทอารบา นั่นคือ เมืองเฮโบรน (อารบาเป็นบิดาของอานาค) 14 คาเลบได้ขับไล่บุตรสามคนของอานาคออกจากที่นั่น คือ เชชัย อาหิมานและทัลมัย วงศ์วานของอานาค 15 เขาได้ขึ้นไปจากที่นั่นเผชิญหน้ากับผู้ที่อยู่อาศัยของเดบีร์ (เดบีร์เคยได้ชื่อว่าคีริยาทเสเฟอร์)
16 คาเลบได้กล่าวว่า "ชายใดที่โจมตีเมืองคีริยาทเสเฟอร์และยึดได้ เราจะยกอัคสาห์บุตรีของเราให้เป็นภรรยา" 17 และโอทนีเอลบุตรเคนัสน้องคาเลบยึดเมืองนั้นได้ เขาจึงยกอัคสาห์บุตรีของเขาให้เป็นภรรยา 18 อยู่มาหลังจากนั้นอัคสาห์ได้มาหาโอทนีเอลและเธอได้รบเร้าเขาให้ขอที่นาจากบิดาของเธอ เมื่อเธอลงจากหลังลาของเธอ คาเลบได้กล่าวกับเธอว่า "เจ้าต้องการอะไร ?" 19 อัคสาห์ได้ตอบว่า "ขอความกรุณาเป็นพิเศษอย่างหนึ่งเถิด เพราะท่านได้ให้แผ่นดินของเนเกบแก่ข้าพเจ้า จึงขอท่านได้ให้น้ำพุแก่ข้าพเจ้าด้วย " แล้วคาเลบก็ได้มอบน้ำพุบนและน้ำพุล่างให้แก่นาง
20 ต่อไปนี้เป็นมรดกของเผ่าคนยูดาห์ที่มอบให้ตามตระกูลของพวกเขา 21 เมืองต่าง ๆ ที่เป็นของเผ่าคนยูดาห์ซึ่งอยู่ทางทิศใต้สุด ทางพรมแดนเอโดมคือเมืองขับเซเอล เอเดอร์ และยากูร 22 คีนาห์ ดีโมนาห์ อาดาดาห์ 23 เคเดช ฮาโซร์ อิทนาน 24 ศีฟ เทเลม เบอาโลท 25 ฮาโซรฮาดัทห์ เคริโอท เฮสโรส (เมืองนี้ก็ยังเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นเมืองฮาโซร์ด้วย) 26 อามัม เชมา โมลาดาห์ 27 ฮาซารกัดดาห์ เฮชโมน เบธเปเลท 28 ฮาซารชูอาล เบเอร์เชบา บิซิโอธิยาห์ 29 บาอาลาห์ อิยิม เอเซม 30 เอลโทลัด เคสีล โฮรมาห์ 31 ศิกลาก มัดมันนาห์ สันสันนาห์ 32 เลบาโอท ชิลฮิม อายินและเมืองริมโมน รวมทั้งหมดเป็นยี่สิบเก้าเมืองรวมทั้งหมู่บ้านต่าง ๆ
33 ในที่เนินเขาต่ำลงไปทางทิศตะวันตก ที่มีเมืองเอชทาโอล โศราห์ อัชนาห์ 34 ศาโนอาห์ เอนกันนิม ทัปปูวาห์ เอนาม 35 ยารมูท อดุลลัม โสโคห์ อาเซคาห์ 36 ชาอาราอิม อดีธาอิม และเกเดราห์ (นั่นคือเกเดโรทาอิม) นี่คือเมืองสิบสี่เมืองรวมทั้งหมู่บ้านของพวกเขา 37 เศนัน ฮาดาชาห์ มิกดัลกาด 38 ดิเลอัน มิสปาห์ โยกเธเอล 39 ลาคีช โบสคาท เอกโลน 40 คับโบน ลามัม คิทลิช 41 เกเดโรท เบธดาโกน นาอามาห์และเมืองมักเคดาห์ รวมเป็นสิบหกเมืองรวมทั้งหมู่บ้านต่างๆ 42 ลิบนาห์ เอเธอร์ อาชัน 43 อิฟทาห์ อัชนาห์ เนซีบ 44 เคอีลาห์ อัคซีบ มาเรชาห์ รวมเป็นเก้าเมืองรวมทั้งหมู่บ้านต่างๆ 45 จาก เอโครนกับเมืองต่างๆ และหมู่บ้านโดยรอบเมืองนั้น 46 จากเอโครนถึงทะเลใหญ่ ทุกเมืองที่อยู่ใกล้เมืองอัชโดด กับหมู่บ้านโดยรอบเมืองนั้น 47 อัชโดดกับเมืองต่างๆ และหมู่บ้านโดยรอบเมืองนั้น กาซา กับเมืองต่างๆ และหมู่บ้านโดยรอบเมืองนั้น จนถึงลำธารของอียิปต์ และทะเลใหญ่พร้อมกับชายฝั่งทะเล
48 ในดินแดนแถบเนินเขา คือ ชามีร์ ยาททีร์ โสโคห์ 49 ดานนาห์ คีริยาทสันนาห์ (คือเมืองเดบีร์) 50 อานาบ เอชเทโมห์ อานิม 51 โกเชน โฮโลน กิโลห์ รวมเป็นสิบเอ็ดเมือง กับหมู่บ้านโดยรอบ 52 อาหรับ ดูมาห์ เอชาน 53 ยานิม เบธทัปปูวาห์ อาเฟคาห์ 54 ฮุมทาห์ คีริยาทอารบา (นั่นคือเมืองเฮโบรน) และเมืองศิโยร์ รวมเป็นเก้าเมืองกับหมู่บ้านโดยรอบ 55 มาโอน คารเมล ศีฟ ยุทธาห์ 56 ยิสเรเอล โยกเดอัม ศาโนอาห์ 57 คาอิน กิเบอาห์ และทิมนาห์ รวมเป็นสิบเมืองกับหมู่บ้านโดยรอบ 58 ฮัลฮูล เบธซูร์ เกโดร์ 59 มาอาราท เบธาโนท และเมืองเอลเทโคน รวมเป็นหกเมืองกับหมู่บ้านโดยรอบ 60 คีรียาทบาอัล (คือเมืองคีริยาทเยอาริม) และรับบาห์ รวมเป็นสองเมืองกับหมู่บ้านโดยรอบ
61 ในถิ่นทุรกันดาร คือ เบธาราบาห์ มิดดีน เสคะคาห์ 62 นิบชาน เมืองเกลือและเอนเกดี รวมเป็นหกเมืองกับหมู่บ้านโดยรอบ 63 แต่คนเยบุสซึ่งเป็นชาวเมืองเยรูซาเล็มนั้น คนยูดาห์ไม่สามารถขับไล่พวกเขาออกไปได้ ดังนั้นคนเยบุสจึงอาศัยอยู่กับคนยูดาห์จนถึงทุกวันนี้
1 การจัดสรรที่ดินของเผ่าของโยเซฟนั้นได้ขยายจากแม่น้ำจอร์แดนที่เมืองเยรีโค คือทางทิศตะวันออกของน้ำพุของเยรีโคเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร ขึ้นไปจากเยรีโคเข้าไปในแดนเทือกเขาเบธเอล 2 แล้วจากนั้นก็จากเมืองเบธเอลไปยังเมืองลูส ผ่านเรื่อยไปถึงเมืองอาทาโรทในเขตของคนอารคี 3 แล้วลงไปทางทิศตะวันตกถึงเขตของคนยาเฟลที ไกลออกไปจนถึงเขตเมืองเบธโฮโรนล่าง และไปถึงเมืองเกเซอร์ไปสิ้นสุดที่ทะเล
4 โดยวิธีนี้เผ่าของโยเซฟ คือ มนัสเสห์และเอฟราอิม ได้รับมรดกของพวกเขา 5 เขตของเผ่าเอฟราอิมที่ได้จัดสรรตามตระกูลของพวกเขาเป็นดังนี้ คือพรมแดนตามมรดกของพวกเขาด้านตะวันออกเริ่มตั้งแต่เมืองอาทาโรท อัดดาร์ ไกลไปจนถึงเบธโฮโรน 6 และจากที่นั่นก็ต่อไปจนถึงทะเล จากเมืองมิคเมธัทในทิศเหนือและโค้งมาทางทิศตะวันออกถึงเมืองทาอานัท ชีโลห์แล้วผ่านไปพ้นเมืองนี้ไปทางตะวันออกถึงเมืองยาโนอาห์
7 แล้วลงไปจากเมืองยาโนอาห์ถึงเมืองอาทาโรท และเมืองนาอาราห์ และไปจนถึงเมืองเยรีโค สิ้นสุดลงที่แม่น้ำจอร์แดน 8 จากทัปปูวาห์พรมแดนด้านตะวันตกถึงลำธารคานาห์และไปสิ้นสุดที่ทะเล นี่คือที่มรดกของเผ่าเอฟราอิม ที่ได้มอบให้คนตามตระกูลของพวกเขา 9 พร้อมด้วยเมืองต่างๆ ที่ได้รับการเลือกสำหรับเผ่าเอฟราอิมตามมรดกของเผ่ามนัสเสห์ เมืองต่างๆ ทั้งหมด กับหมู่บ้านต่างๆ ทั้งหมด 10 พวกเขาไม่ได้ขับไล่พวกคนคานาอันซึ่งอาศัยอยู่ในเมืองเกเซอร์ออกไป ดังนั้นคนคานาอันจึงอาศัยอยู่ท่ามกลางคนเอฟราอิมจนถึงทุกวันนี้ แต่ประชาชนเหล่านี้ก็ถูกบังคับให้ทำงานโยธา
1 การจัดสรรที่ดินให้แก่เผ่ามนัสเสห์ (ผู้ซึ่งเป็นบุตรชายหัวปีของโยเซฟ) นั่นคือ สำหรับมาคีร์บุตรชายหัวปีของมนัสเสห์ และเขาเองเป็นบิดาของกิเลอาด ลูกหลานของมาคีร์ได้รับจัดสรรที่ดินของกิเลอาดและบาชานเป็นส่วนแบ่ง เพราะมาคีร์เคยเป็นทหาร
2 ที่ดินได้ถูกจัดสรรให้แก่คนที่เหลืออยู่ของคนเผ่ามนัสเสห์ ให้แก่ตระกูลของพวกเขา คือให้แก่อาบีเยเซอร์ เฮเลค อัสรีเอล เชเคม เฮเฟอร์และเชมีดา คนเหล่านี้เป็นลูกหลานผู้ชายของคนมนัสเสห์ บุตรชายของโยเซฟ ให้ตามตระกูลของเขา 3 บัดนี้เศโลเฟหัดบุตรชายของเฮเฟอร์ ผู้เป็นบุตรชายของกิเลอาด ผู้เป็นบุตรชายของมาคีร์ ผู้เป็นบุตรชายของมนัสเสห์ ไม่มีบุตรชาย มีแต่บุตรี ชื่อบุตรีของเขา คือมาลาห์ โนอาห์ ฮกลาห์ มิลคาห์ และทีรซาห์
4 พวกเขาได้เข้ามาหาเอเลอาซาร์ปุโรหิต โยชูวาบุตรของนูน และพวกผู้นำ และพวกเขากล่าวว่า "พระยาห์เวห์ได้ทรงบัญชาโมเสส ให้ยกมรดกให้กับเราเช่นเดียวกับพี่น้องของเรา" ดังนั้น เพื่อปฏิบัติตามพระบัญชาของพระยาห์เวห์ เขาได้ให้มรดกแก่พวกผู้หญิงเหล่านั้นท่ามกลางพวกพี่น้องของบิดาของพวกเขา 5 ที่ดินสิบส่วนจึงถูกมอบให้แก่คนมนัสเสห์ในกิเลอาดและบาชาน ซึ่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดน 6 เพราะว่าบุตรีของมนัสเสห์ก็ได้รับมรดกท่ามกลางบุตรชายของท่าน แผ่นดินกิเลอาดนั้น ได้จัดสรรให้กับเผ่ามนัสเสห์ที่เหลืออยู่
7 เขตแดนของมนัสเสห์ตั้งต้นจากอาเชอร์ไปจนถึงมิคเมธัท ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองเชเคม แล้วเขตแดนได้ออกไปด้านทิศใต้ถึงคนเหล่านั้นที่อาศัยอยู่ใกล้กับน้ำพุทับปูวาห์ 8 (แผ่นดินทัปปูวาห์เป็นของพวกมนัสเสห์ แต่เมืองทัปปูวาห์บนพรมแดนของพวกมนัสเสห์เป็นของเผ่าเอฟราอิม) 9 พรมแดนก็ลงไปถึงลำธารคานาห์ เมืองเหล่านี้ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของลำธารท่ามกลางเมืองต่างๆ ของมนัสเสห์ที่เป็นของเอฟราอิม เขตแดนของมนัสเสห์ก็ขึ้นไปด้านเหนือของลำธาร และไปสิ้นสุดที่ทะเล 10 แผ่นดินทางด้านทิศใต้เป็นของเอฟราอิม และแผ่นดินทางด้านเหนือเป็นของมนัสเสห์ มีทะเลเป็นพรมแดน ทางเหนือจดดินแดนอาเชอร์ และทางทิศตะวันออกจดอิสสาคาร์
11 ในเขตอิสสาคาร์และในอาเชอร์นั้น มนัสเสห์ยังได้ยึดครองเมืองเบธชาน และหมู่บ้านรอบๆ นั้น อิบเลอัมกับหมู่บ้านรอบๆ เมืองนั้น และชาวเมืองโดร์กับหมู่บ้าน ชาวเมืองเอนโดร์กับหมู่บ้านรอบๆ นั้น และชาวเมืองทาอานาคกับหมู่บ้านรอบๆ นั้น และชาวเมืองเมกิดโดกับหมู่บ้านรอบๆ นั้น (และเป็นเมืองที่สามคือ นาเฟท) 12 แต่เผ่ามนัสเสห์ก็ยังไม่สามารถยึดครองเมืองเหล่านั้นได้ และคนคานาอันยังคงอยู่อาศัยในแผ่นดินนั้นอย่างต่อเนื่อง
13 เมื่อประชาชนอิสราเอลเข้มแข็งขึ้นแล้ว พวกเขาก็ได้บังคับคนคานาอันให้ทำงานหนัก แต่ไม่ได้ขับไล่พวกเขาออกไปอย่างสิ้นเชิง 14 ดังนั้นลูกหลานของคนเผ่าโยเซฟได้พูดกับโยชูวา กล่าวว่า "ทำไมท่านจึงจัดสรรที่ดินให้เราได้เพียงส่วนเดียวเป็นมรดก ในเมื่อเรามีคนมากมาย และพระยาห์เวห์ก็ทรงอวยพรพวกเรามาตลอด?"
15 โยชูวาตอบพวกเขาว่า "ถ้าท่านมีคนมากมาย จงเข้าไปในป่าแผ้วถางที่ดินสำหรับพวกท่านเองในแผ่นดินของคนเปริสซีและคนเรฟาอิม จงทำอย่างนี้ได้เลย เนื่องจากดินแดนเนินเขาของเอฟราอิมนั้นเล็กเกินไปสำหรับพวกเจ้า" 16 พวกเชื้อสายของโยเซฟกล่าวว่า "แดนเทือกเขาเหล่านี้ก็ไม่เพียงพอสำหรับพวกเรา แต่คนคานาอันผู้ที่อยู่ในหุบเขามีรถรบเหล็ก และทั้งพวกที่อยู่ในเบธบาชานและหมู่บ้านรอบๆ และพวกที่อยู่ในหุบเขายิสเรเอล"
17 แล้วโยชูวาจึงได้กล่าวแก่วงศ์วานของโยเซฟ คือเอฟราอิมและมนัสเสห์ว่า "พวกท่านเป็นประชาชนที่มีจำนวนมาก และพวกท่านมีพลังมหาศาล พวกท่านจะต้องไม่ได้มีส่วนแบ่งเพียงส่วนเดียวคือดินแดนที่ได้จัดสรรให้พวกท่านแล้ว 18 ดินแดนเทือกเขาก็จะเป็นของท่าน ถึงแม้ว่าเป็นป่า ให้ท่านจงแผ้วถางและยึดครองไปสุดเขตแดน ท่านจะขับไล่พวกคานาอันให้ออกไป แม้ว่าพวกเขาจะมีรถม้าเหล็ก และถึงแม้ว่าพวกเขาจะแข็งแรงก็ตาม"
1 แล้วชุมชนของประชาชนอิสราเอลทั้งหมดก็ได้มาประชุมกันที่ชิโลห์ พวกเขาได้ตั้งเต็นท์นัดพบขึ้นที่นั่น 2 และพวกเขาได้ยึดครองแผ่นดินที่อยู่ต่อหน้าพวกเขา ยังมีอีกเจ็ดเผ่าในท่ามกลางประชาชนอิสราเอลที่ยังไม่ได้รับมอบมรดกของเขา
3 โยชูวาจึงได้กล่าวแก่ประชาชนอิสราเอลว่า "พวกท่านจะรอช้าอีกนานเท่าใดที่จะเข้าไปในแผ่นดินที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของบรรพบุรุษของพวกท่านประทานให้แก่พวกท่าน ? 4 จงแต่งตั้งผู้ชายสามคนจากแต่ละเผ่าและข้าพเจ้าจะส่งพวกเขาออกไป พวกเขาจะออกไปและสำรวจแผ่นดินโดยละเอียด พวกเขาจะเขียนคำอธิบายถึงแนวเขตที่ดินมรดกของพวกเขา และพวกเขาจะกลับมาหาข้าพเจ้า 5 พวกเขาจะแบ่งที่ดินออกเป็นเจ็ดส่วน คนยูดาห์จะยังคงอยู่ในดินแดนของเขาทางใต้ และตระกูลของโยเซฟจะยังคงให้อยู่ในดินแดนของพวกเขาทางเหนือ 6 พวกท่านเขียนแนวเขตที่ดินเป็นเจ็ดส่วนและนำมาให้ข้าพเจ้าที่นี่ข้าพเจ้าจะจับฉลากสำหรับท่านที่นี่ เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์พระเจ้าของเรา
7 คนเลวีไม่มีส่วนแบ่งในท่ามกลางพวกท่าน เพราะตำแหน่งปุโรหิตของพระยาห์เวห์เป็นมรดกของพวกเขา กาด รูเบน และครึ่งเผ่าของมนัสเสห์ก็ได้รับมรดกของเขาทางฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน นี่เป็นมรดกซึ่งโมเสสผู้รับใช้ของพระยาห์เวห์ได้มอบให้พวกเขาแล้ว" 8 ดังนั้น ผู้ชายเหล่านั้นจึงได้ลุกขึ้นออกเดินทางไป โยชูวาได้สั่งคนเหล่านั้นที่ได้เดินทางไปให้เขียนแนวเขตเมืองและกล่าวว่า "จงเดินทางไปให้ทั่วแผ่นดินและให้เขียนแนวเขตที่ดินแล้วนำกลับมาให้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะจับฉลากให้พวกท่านต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ที่ชิโลห์" 9 ผู้ชายเหล่านั้นได้จากไปและได้เดินสำรวจอย่างละเอียดและได้เขียนคำอธิบายลงในม้วนหนังสือชื่อเมืองต่างๆ ในเจ็ดส่วน ใส่รายชื่อเมืองต่างๆ ในแต่ละส่วน แล้วพวกเขาก็กลับมาหาโยชูวาในค่ายที่ชิโลห์
10 แล้วโยชูวาก็จับฉลากให้พวกเขาเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ที่ชิโลห์ ตรงที่นั้นเองที่โยชูวาได้จัดแบ่งที่ดินให้แก่ประชาชนอิสราเอล และแต่ละเผ่าก็ได้รับตามส่วนแบ่งของแผ่นดิน 11 การจัดสรรที่ดินสำหรับคนเผ่าเบนยามินก็ได้จัดแบ่งให้ตามตระกูลของพวกเขา ขอบเขตดินแดนที่เป็นส่วนของพวกเขาตั้งอยู่ระหว่างลูกหลานของยูดาห์กับลูกหลานของโยเซฟ 12 ทางด้านหนือ พรมแดนของพวกเขาเริ่มจากแม่น้ำจอร์แดน และพรมแดนก็ขึ้นไปถึงไหล่เขาตอนเหนือของเยรีโค แล้วขึ้นไปดินแดนเทือกเขาทางตะวันตก แล้วไปจนถึงถิ่นทุรกันดารเบธาเวน 13 จากที่นั่นพรมแดนได้ผ่านไปทางใต้ในทิศทางไปยังลูส (สถานที่เดียวกันกับเบธเอล) แล้วเขตแดนก็ลงไปทางใต้ถึงอาทาโรทอัดดาร์ ทางภูเขาที่ทอดยาวไปทางใต้ของเบธโฮโรน
14 แล้วพรมแดนก็ยื่นไปอีกทิศทางหนึ่งไปทางด้านตะวันตกโค้งไปทางใต้มุ่งไปทางภูเขาตรงข้ามกับเบธโฮโรน เขตแดนนี้ไปสิ้นสุดลงที่คีริยาทบาอัล (นั่นคือ คีริยาทเยอาริม) เมืองที่เป็นของเผ่ายูดาห์ นี่เป็นการแบ่งเขตแดนด้านตะวันตก 15 ส่วนด้านใต้นั้นเริ่มต้นข้างนอกเมืองคีริยาทเยอาริม พรมแดนก็เริ่มจากเอโฟรน ไปทางตะวันตกถึงน้ำพุของลำน้ำแห่งเนฟโทอาห์
16 แล้วพรมแดนก็ลงไปถึงเขตภูเขาซึ่งอยู่ตรงข้ามกับหุบเขาเบนฮินโนม ซึ่งอยู่ทางเหนือสุดของหุบเขาเรฟาอิม แล้วก็ลงไปที่หุบเขาฮินโนมทางใต้ไหล่เขาของคนเยบุส และต่อไปถึงเอนโรเกล 17 แล้วโค้งไปทางเหนือตรงไปถึงเอนเชเมช จากที่นั่นก็ตรงไปยังเกลิโลท ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับทางขึ้นเขาชื่ออดุมมิม แล้วลงไปยังหินของโบฮันบุตรชายของรูเบน 18 แล้วผ่านไปทางเหนือไปถึงไหล่เขาของเบธอาราบาห์ และลงไปถึงอาราบาห์
19 แล้วพรมแดนก็ผ่านไปทางเหนือไหล่เขาเบธฮกลาห์ พรมแดนไปสิ้นสุดลงที่อ่าวด้านเหนือของทะเลเกลือที่ปลายด้านใต้ของแม่น้ำจอร์แดน นี่เป็นพรมแดนด้านใต้ 20 แม่น้ำจอร์แดนกั้นเป็นพรมแดนทางตะวันออก นี่เป็นมรดกของลูกหลานของเผ่าเบนยามิน ที่ได้มอบให้ตามตระกูลต่อตระกูล มีพรมแดนต่อพรมแดน ล้อมรอบกันทั้งหมด 21 บัดนี้ เมืองต่างๆ ของเผ่าเบนยามินตามตระกูลต่อตระกูล คือ เยรีโค เบธฮกลาห์ เอเมคเคซีส 22 เบธอราบาห์ เศมาราอิม เบธเอล 23 อัฟวิม ปาราห์ โอฟราห์ 24 เคฟารัมโมนี่ โอฟนี และเกบา มีสิบสองเมือง รวมทั้งหมู่บ้านรอบๆ
25 ยังมีอีกหลายเมืองของกิเบโอน รามาห์ เบเอโรท 26 มิสปาห์ เคฟีราห์ โมซาห์ 27 เรเคม อิรเปเอล ทาระลาห์ 28 เศลาห์ หะเอเลฟ เยบุส (เมืองเดียวกับเยรูซาเล็ม) กิเบอาห์และคีริยาท มี 14 เมือง รวมทั้งหมู่บ้านต่างๆ ของพวกเขา นี่เป็นมรดกของเบนยามินตามตระกูลของพวกเขา
1 ฉลากที่สองได้ตกเป็นของสิเมโอนและได้ถูกจัดสรรให้ตามตระกูลของพวกเขา มรดกของพวกเขาอยู่ตรงกลางมรดกที่เป็นของเผ่ายูดาห์ 2 พวกเขามีเมืองเหล่านี้เป็นมรดก คือ เบเออร์เชบา เชบา โมลาดาห์ 3 ฮาซาร์ ชูอาล บาลาห์ เอเซม 4 เอลโทลัด เบธูล และ โฮรมาห์ 5 สิเมโอน และมี ศิกลากด้วย เบธมารคาโบท ฮาซารสูสาห์ 6 เบธเลบาโอท และชารุเฮน เหล่านี้เป็นสิบสามเมือง รวมทั้งหมู่บ้านต่างๆ ของเมืองเหล่านั้นด้วย 7 สิเมโอนมีเมือง เอน ริมโมน เอเธอร์ อาชาน รวมเป็นสี่เมืองรวมทั้งหมู่บ้านต่างๆ ของเมืองเหล่านั้นด้วย 8 เหล่านี้คือหมู่บ้านต่างๆ รอบเมืองที่ไกลออกไปถึงบาอาลัทเบเออร์ (ที่เดียวกับรามาห์ในเนเกบ) นี่เป็นมรดกของเผ่าสิเมโอนที่ได้มอบให้ตามตระกูลของพวกเขา 9 มรดกของเผ่าสิเมโอนมีส่วนหนึ่งอยู่ในเผ่าของยูดาห์ เพราะว่าแผ่นดินที่ได้จัดสรรให้เผ่ายูดาห์นั้นใหญ่มากเกินไปสำหรับพวกเขา เผ่าของสิเมโอนจึงได้รับมรดกอยู่กลางส่วนของพวกเขา
10 ฉลากที่สามได้ตกเป็นของเผ่าของเศบูลุน และได้มอบให้ตามตระกูลของพวกเขา ดินแดนที่เป็นมรดกของเขาเริ่มที่ สาริด 11 เขตแดนของพวกเขาก็ขึ้นไปทางด้านตะวันตกถึงมาราลาห์ และมาชิดดับเบเชท แล้วก็ขยายไปถึงลำธารที่อยู่ตรงข้ามกับโยกเนอัม 12 จากสาริด พรมแดนก็เลี้ยวไปทางตะวันออกและไปถึงเขตแดนของคิสโลททาโบร์ จากที่นั่นก็ผ่านไปด้านตะวันออกถึงดาเบรัทและก็ขึ้นไปถึงยาเฟีย 13 จากที่นั่นก็ไปทางตะวันออกถึงถึงกัธเฮเฟอร์และก็ถึงเอทคาซิน ต่อไปถึงริมโมนและเลี้ยวกลับมาหาเนอาห์ 14 เขตแดนก็ได้โค้งไปทางเหนือถึงฮันนาโธนและสิ้นสุดที่หุบเขาอิฟทาห์เอล 15 พื้นที่นี้รวมทั้งเมืองต่างๆ ของขัทตาท นาหะลาล ชิมโรน อิดาลาห์ และเบธเลเฮม มีเมืองต่างๆ รวมสิบสองเมืองรวมทั้งหมู่บ้านต่างๆ ของเมืองเหล่านั้น 16 นี่เป็นมรดกของเผ่าเศบูลุน ที่ได้มอบให้ตามตระกูลของพวกเขา เมืองต่างๆ รวมทั้งหมู่บ้านต่างๆ ของเมืองเหล่านั้น
17 ฉลากที่สี่ได้ตกเป็นของอิสสาคาร์ และก็ได้มอบให้ตามตระกูลของพวกเขา 18 ดินแดนของพวกเขารวม ยิสเรเอล เคสุลโลท ชูเนม 19 ฮาฟาราอิม ชิโยนและ อานาหะราท 20 รวมทั้ง รับบีท คีชิโอน เอเบส 21 เรเมท เอนกันนิม เอนหัดดาห์ และเบธปัสเซสอีกด้วย 22 ดินแดนของพวกเขายังจดเขตแดนทาโบร์ ชาหะซุมาห์ และ เบธเชเมช และสิ้นสุดที่แม่น้ำจอร์แดน รวมเป็นสิบหกเมือง รวมทั้งหมู่บ้านต่างๆ ของเหล่าเมืองนั้น 23 นี่เป็นมรดกของเผ่าคนอิสสาคาร์ ที่ได้มอบให้ลูกหลานของพวกเขา คือเมืองต่างๆ และหมู่บ้านต่างๆ ของเมืองเหล่านั้นด้วย
24 ฉลากที่ห้าได้ตกเป็นของเผ่าคนอาเชอร์ที่ได้มอบให้ตามตระกูลของพวกเขา 25 ดินแดนของพวกเขารวมเมืองเฮลขัท ฮาลี เบเทน อัคชาฟ 26 อาลัมเมเลค อามาด และมิชอาล ทางตะวันตกของเขตแดนขยายออกไปถึงคารเมลและชิโหร์ลิบนาท 27 แล้วเลี้ยวไปทางตะวันออกถึงเบธดาโกนและไปจนถึงเศบูลุน และไปถึงหุบเขาอิฟทาห์เอล ไปทางเหนือถึงเบธเอเมคและเนอีเอล แล้วไปถึงคาบูลทางด้านเหนือ 28 แล้วไปถึงอับโดน เรโหบ ฮัมโมน และคานาห์ ไปถึงไซดอนเมืองใหญ่กว่า 29 เขตแดนเลี้ยวกลับมาถึงรามาห์ และไปถึงเมืองที่มีกำแพงแห่งไทระ และเขตแดนก็อ้อมถึงโฮสะห์และสิ้นสุดลงที่ทะเล ในบริเวณอัคซีบ 30 อุมมาห์ อาเฟก และเรโหบ นี่คือยี่สิบสองเมือง รวมทั้งหมู่บ้านต่างๆ ของเมืองเหล่านั้น 31 นี่เป็นมรดกของเผ่าอาเชอร์ที่ได้มอบให้ตามตระกูลของพวกเขา เมืองต่างๆ รวมทั้งหมู่บ้านต่างๆ ของเมืองเหล่านั้นด้วย
32 ฉลากที่หกได้ตกเป็นของเผ่านัฟทาลี และได้มอบให้ตามตระกูลของพวกเขา 33 เขตแดนของพวกเขาเริ่มจากเฮเลฟ จากต้นโอ๊คที่ศานันนิมที่ อาดามีเนเขบ และยับเนเอล ไกลออกไปถึงลัคคูม และสิ้นสุดที่แม่น้ำจอร์แดน 34 เขตแดน ก็อ้อมไปทางตะวันตกถึงอัสโนททาโบร์ และไปถึงหุกกอก ไปจดเศบุลูนทางตอนใต้และไปถึงอาเชอร์ทางตะวันตกและยูดาห์ทางตะวันออกที่แม่น้ำจอร์แดน 35 เมืองต่างๆ ที่มีกำแพงล้อมรอบ คือ ศิดดิม เศอร์ ฮัมมัท รัคคัท คินเนอเรท 36 อาดามาห์ รามาห์ ฮาโซร์ 37 เคเดช เอเดรอี เอนฮาโชร์ 38 ยังมีเมืองยิโรน มิกดัลเอล โฮเรม เบธานาท และเบธเชเมช มีเมืองต่างๆ รวมสิบเก้าเมือง รวมทั้งหมู่บ้านต่างๆ ของเมืองเหล่านั้นโดยรอบ 39 นี่เป็นมรดกของเผ่านัฟทาลีที่ได้มอบให้ตามตระกูลของพวกเขา เมืองต่างๆ รวมทั้งหมู่บ้านต่างๆ ของเหล่าเมืองนั้นด้วย
40 ฉลากที่เจ็ดได้ตกเป็นของเผ่าดาน และได้มอบให้ตามตระกูลของพวกเขา 41 ดินแดนที่เป็นมรดกของพวกเขา เขา คือ โศราห์ เอชทาโอล อิรเชเมช 42 ชาอาลับบิน อัยยาโลน และยิทลาห์ 43 รวมทั้งเอโลน ทิมนาห์ เอโครน 44 เอลเทเคห์ กิบเบโธน บาอาลัท 45 เยฮุด เบเนเบราค กัทริมโมน 46 เมยารโคน และรัคโคนยาวไปกับดินแดนที่ข้ามไปจากยัฟฟา 47 เมื่อดินแดนของเผ่าดานได้หลุดมือพวกเขาไป ดานได้โจมตีเมืองเลเชม สู้กับพวกเขาและได้ยึดเมือง พวกเขาได้ฆ่าทุกคนด้วยดาบ ยึดทรัพย์สินและได้ตั้งรกราก ที่นั่น พวกเขาได้ตั้งชื่อเลเชมใหม่ว่า ดานตามบรรพบุรุษของพวกเขา 48 นี่เป็นมรดกของเผ่าดาน ที่ได้มอบให้ตามตระกูลของพวกเขา เมืองต่างๆ รวมทั้งหมู่บ้านต่างๆ ของเมืองเหล่านั้นด้วย
49 เมื่อพวกเขาได้แบ่งดินแดนส่วนต่างๆ ของแผ่นดินนั้นเป็นมรดกเสร็จสิ้นแล้ว ประชาชนอิสราเอลก็ได้มอบส่วนมรดกในหมู่ของพวกเขาให้แก่โยชูวาบุตรชายของนูน 50 ตามพระบัญชาของพระยาห์เวห์ พวกเขาก็ได้มอบเมืองที่เขาขอไว้ให้แก่เขา คือ เมืองทิมนาทเสราห์ในดินแดนเทือกเขาของเอฟราอิม เขาได้สร้างเมืองขึ้นอีกครั้งและอาศัยอยู่ที่นั่น 51 นี่เป็นมรดกที่เอเลอาซาร์ปุโรหิต โยชูวาบุตรชายของนูน และผู้นำเผ่าต่างๆ ของประชาชนอิสราเอล ได้จัดสรรกันโดยการจับฉลากที่ชิโลห์เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ ที่ทางเข้าของเต็นท์นัดพบ ดังนั้นพวกเขาจึงเสร็จสิ้นการจัดสรรที่ดิน
1 แล้วพระยาห์เวห์ตรัสกับโยชูวาว่า 2 "จงกล่าวแก่ประชาชนอิสราเอลว่า 'จงกำหนดเมืองลี้ภัยไว้ ซึ่งเราได้พูดกับพวกเจ้าทางโมเสสแล้วนั้น
3 จงทำอย่างนี้เพื่อให้คนใดที่ได้ฆ่าคนโดยไม่เจตนาสามารถไปที่นั่นได้ เมืองเหล่านี้จะได้เป็นที่ลี้ภัยจากใครก็ตามที่หาทางแก้แค้นแทนโลหิตของบุคคลนั้นที่ได้ถูกฆ่า 4 เขาจะหนีไปยังเมืองเหล่านั้นเมืองใดเมืองหนึ่ง และจะยืนอยู่ที่ทางเข้าประตูเมืองและอธิบายเรื่องของตนให้พวกผู้ใหญ่ของเมืองนั้น แล้วพวกเขาจะนำเขาเข้าไปในเมืองและให้สถานที่สำหรับเขาได้อาศัยท่ามกลางพวกเขา 5 ถ้าหนึ่งในพวกเขามาถึงและพยายามจะแก้แค้นแทนโลหิตของบุคคลผู้ได้ถูกฆ่า แล้วประชาชนของเมืองจะต้องไม่มอบคนนั้นที่ได้ฆ่าเขาแก่เจ้าหน้าที่เหล่านั้น พวกเขาจะต้องไม่ทำอย่างนี้เพราะว่าเขาได้ฆ่าเพื่อนบ้านของเขาโดยไม่เจตนา และเขาจะไม่อาฆาตแค้นเรื่องในอดีตของเขา
6 เขาจะต้องอาศัยอยู่ในเมืองนั้นจนกว่าเขาจะได้ยืนต่อหน้าการประชุมเพื่อการพิพากษา จนกว่าผู้ที่ทำหน้าที่มหาปุโรหิตในเวลานั้นจะถึงแก่ความตาย แล้วคนนั้นที่ได้ฆ่าบุคคลโดยอุบัติเหตุอาจจะกลับไปยังเมืองของตน และไปบ้านของตน ไปยังเมืองที่เขาได้จากมานั้นได้ '" 7 ดังนั้น พวกอิสราเอลจึงได้เลือกเคเดชในกาลิลีในดินแดนเทือกเขาของนัฟทาลี และเชเคม ในดินแดนเทือกเขาเอฟราอิม และคีริยาทอารบา (เมืองเดียวกับเฮโบรน) ในดินแดนเทือกเขาของยูดาห์
8 ทางฟากแม่น้ำจอร์แดนด้านตะวันออกของเยรีโค พวกเขาได้เลือกเมืองเบเซอร์ในถิ่นทุรกันดารบนที่ราบสูงจากเผ่ารูเบน คือ ราโมทกิเลอาด จากเผ่ากาด และโกลานในบาชาน จากเผ่ามนัสเสห์ 9 เมืองเหล่านี้เป็นเมืองที่ได้คัดเลือกไว้สำหรับประชาชนอิสราเอลทั้งหมด และสำหรับคนต่างด้าวที่อาศัยอยู่ท่ามกลางพวกเขา ดังนั้น ถ้าใครที่ได้ฆ่าคนโดยไม่เจตนา สามารถหนีไปที่นั่นเพื่อความปลอดภัยได้ บุคคลนี้จะไม่ต้องตายด้วยมือของคนนั้นที่ต้องการแก้แค้นแทนโลหิตตก จนกว่าคนที่ถูกกล่าวหาจะได้ยืนต่อหน้าที่ประชุมเสียก่อน
1 ขณะนั้นพวกหัวหน้าตระกูลต่างๆ ของคนเลวีได้มาหาเอเลอาซาร์ปุโรหิต โยชูวาบุตรชายของนูน และบรรดาหัวหน้าของครอบครัวของบรรพบุรุษของประชาชนอิสราเอล 2 พวกเขาได้กล่าวแก่คนเหล่านั้นที่เมืองชิโลห์ในแผ่นดินของคานาอันว่า "พระยาห์เวห์ทรงบัญชาท่านทั้งหลายโดยทางโมเสสว่า ให้มอบเมืองต่างๆ แก่พวกเราเพื่อจะได้อาศัยอยู่ พร้อมทั้งทุ่งหญ้าสำหรับฝูงสัตว์เลี้ยงของพวกเราด้วย" 3 ดังนั้นตามพระบัญชาของพระยาห์เวห์ ประชาชนอิสราเอลจึงได้มอบเมืองและทุ่งหญ้าจากมรดกของพวกเขาให้แก่คนเลวี ดังต่อไปนี้
4 การจับฉลากสำหรับตระกูลโคฮาท ได้ผลออกมาเป็นดังนี้ บรรดาปุโรหิต ซึ่งเป็นลูกหลานของอาโรนผู้ที่มาจากคนเลวี ได้รับเมืองต่างๆ สิบสามเมืองที่ได้มาจากเผ่ายูดาห์ ได้มาจากเผ่าสิเมโอน และได้มาจากเผ่าเบนยามิน 5 ลูกหลานที่เหลืออยู่ของคนโคฮาทได้รับเมืองสิบเมืองโดยการจับฉลากจากตระกูลต่าง ๆ ของเผ่าเอฟราอิม จากเผ่าดาน และจากครึ่งเผ่าของมนัสเสห์ 6 แล้วประชาชนที่สืบเชื้อสายมาจากเกอร์โชนโดยการจับฉลากก็ได้รับสิบสามเมืองจากตระกูลต่างๆ ของเผ่าอิสสาคาร์ เผ่าอาเชอร์ เผ่านัฟทาลี และจากครึ่งเผ่าของมนัสเสห์ในบาชาน 7 ประชาชนผู้ที่เป็นลูกหลานของเมรารีตามตระกูลของเขา ได้รับสิบสองเมือง จากเผ่ารูเบน เผ่ากาด และเผ่าเศบูลุน
8 ดังนั้น ประชาชนอิสราเอลได้มอบเมืองต่างๆ เหล่านี้โดยการจับฉลาก (รวมทั้งทุ่งหญ้าเหล่านี้ของพวกเขา) ให้แก่คนเลวี ตามที่พระยาห์เวห์ได้ทรงบัญชาโดยทางโมเสส 9 จากเผ่ายูดาห์ และเผ่าสิเมโอน พวกเขาได้จัดสรรแผ่นดินตามชื่อเมืองต่างๆ นี่คือรายชื่อเมือง 10 เมืองเหล่านี้ได้มอบให้แก่ลูกหลานอาโรน ผู้อยู่ท่ามกลางตระกูลของโคฮาท ตระกูลหนึ่งซึ่งเป็นคนเลวี เพราะฉลากแรกได้ตกเป็นของพวกเขาก่อน
11 พวกอิสราเอลให้เมืองคีริยาทอารบาแก่พวกเขา (อารบาเป็นบิดาของอานาค) คือที่เดียวกับเมืองเฮโบรน อยู่ในแดนเทือกเขาของยูดาห์ รวมทั้งทุ่งหญ้ารอบเมืองนั้นด้วย 12 แต่ทุ่งนาของเมืองและหมู่บ้านต่างๆ โดยรอบเมืองนี้ได้ยกให้แก่คาเลบบุตรของเยฟุนเนห์เป็นกรรมสิทธิ์แล้ว 13 พวกเขาได้ให้เมืองเฮโบรนพร้อมด้วยทุ่งหญ้าแก่ลูกหลานของอาโรนปุโรหิต ซึ่งเป็นเมืองลี้ภัยสำหรับผู้ใดก็ตามที่ได้ฆ่าผู่อื่นโดยไม่เจตนา และเมืองลิบนาห์พร้อมทุ่งหญ้า 14 เมืองยาททีร์พร้อมทุ่งหญ้า และเมืองเอชเทโมอาพร้อมทุ่งหญ้า
15 พวกเขาได้ให้เมืองโฮโลนพร้อมทุ่งหญ้า เมืองเดบีร์พร้อมทุ่งหญ้า 16 เมืองอายินพร้อมทุ่งหญ้า เมืองยุทธาห์พร้อมทุ่งหญ้า เมืองเบธเชเมชพร้อมทุ่งหญ้า รวมเป็นเก้าเมืองที่ได้มอบให้จากสองเผ่านี้ 17 จากเผ่าเบนยามินได้มอบเมืองกิเบโอนพร้อมทุ่งหญ้า เมืองเกบาพร้อมทุ่งหญ้า 18 เทืองอานาโธทพร้อมทุ่งหญ้า เมืองอัลโมนพร้อมชานเมือง รวมสี่เมือง
19 เมืองต่างๆ ที่ได้มอบให้แก่บรรดาปุโรหิตที่เป็นลูกหลานของอาโรนรวมทั้งหมดสิบสามเมืองพร้อมกับทุ่งหญ้า 20 ส่วนที่เหลือของครอบครัวของคนโคฮาท คนเลวีเหล่านั้นที่เป็นของตระกูลของโคฮาท พวกเขามีเมืองต่างๆ ที่พวกเขาได้รับมาจากเผ่าเอฟราอิมโดยการจับฉลาก 21 เมืองที่พวกเขาได้รับ คือ เมืองเชเคมพร้อมกับทุ่งหญ้าในแดนเทือกเขาของเอฟราอิม เมืองของผู้ลี้ภัยสำหรับคนที่ฆ่าบุคคลโดยไม่เจตนา เมืองเกเซอร์พร้อมทุ่งหญ้า 22 เมืองขิบซาอิมพร้อมทุ่งหญ้า เมืองเบธโฮโรนพร้อมทุ่งหญ้า รวมทั้งหมดเป็นสี่เมือง
23 จากเผ่าดาน ตระกูลของโคฮาทได้รับเมืองเอลเทเคพร้อมทุ่งหญ้า เมืองกิบเบโธนพร้อมทุ่งหญ้า 24 อัยยาโลนพร้อมทุ่งหญ้าและ กัทริมโมนพร้อมทุ่งหญ้า รวมสี่เมืองด้วยกัน 25 จากครึ่งเผ่าของมนัสเสห์ ตระกูลของโคฮาทได้รับเมืองทาอานาคพร้อมทุ่งหญ้า และกัทริมโมนพร้อมทุ่งหญ้า รวมเป็นสองเมือง 26 มีเมืองสิบเมืองในทั้งหมดสำหรับคนในตระกูลโคฮาทที่เหลืออยู่ พร้อมทุ่งหญ้าของเมืองเหล่านั้น
27 จากครึ่งเผ่าของมนัสเสห์ ให้แก่คนเกอร์โชน คนเหล่านี้เป็นตระกูลหนึ่งของคนเลวี และพวกเขาได้ให้โกลานในบาชานพร้อมทุ่งหญ้า เมืองผู้ลี้ภัยสำหรับผู้ที่ฆ่าผู้อื่นโดยไม่เจตนา และมีเมืองเบเอชเทราห์พร้อมทุ่งหญ้า รวมทั้งหมดสองเมือง 28 ตระกูลเกอร์โชน พวกเขาได้มอบคีชิโอนจากเผ่าอิสสาคาร์พร้อมทุ่งหญ้า ดาเบรัทพร้อมทั้งทุ่งหญ้า 29 ยารมูทพร้อมทุ่งหญ้า และเอนกันนิมพร้อมทุ่งหญ้า รวมสี่เมือง
30 จากเผ่าอาเชอร์ พวกเขาได้ให้เมืองมิชอาลพร้อมทุ่งหญ้า อับโดนพร้อมทุ่งหญ้า 31 เมืองเฮลขัดพร้อมทุ่งหญ้า เมืองเรโหบพร้อมทุ่งหญ้ารวมสี่เมือง 32 จากเผ่านัฟทาลีพวกเขาได้ให้ตระกูลเกอร์โชน เมืองเคเดชในกาลิลีพร้อมทุ่งหญ้า เป็นเมืองลี้ภัยสำหรับผู้ที่ได้ฆ่าผู้อื่นโดยไม่เจตนา เมืองฮัมโมทโดร์พร้อมทุ่งหญ้า และเมืองคารทานพร้อมทุ่งหญ้า รวมทั้งหมดสามเมือง
33 มีเมืองต่างๆ สิบสามเมืองที่เป็นคนเกอร์โชน รวมทั้งทุ่งหญ้าของพวกเขา 34 พวกเผ่าเลวีที่เหลือ ตระกูลเมรารี ได้รับมอบของเผ่าเศบูลุน มีเมืองโยกเนอัมพร้อมทุ่งหญ้า เมืองคารทาห์พร้อมทุ่งหญ้า 35 เมืองดิมนาห์พร้อมทุ่งหญ้า และเมืองนาหะลาลพร้อมทุ่งหญ้า รวมทั้งหมดสี่เมือง
36 ตระกูลเมรารีได้รับจากเผ่ารูเบน คือ เมืองเบเซอร์พร้อมทุ่งหญ้า เมืองยาหาสพร้อมทุ่งหญ้า 37 เมืองเคเดโมทพร้อมทุ่งหญ้า และเมืองเมฟาอาทพร้อมทุ่งหญ้า รวมสี่เมือง 38 จากเผ่ากาดมีเมืองราโมทในกิเลอาดพร้อมทุ่งหญ้า เมืองลี้ภัยสำหรับใครก็ตามที่ฆ่าผู้อื่นโดยไม่เจตนา และเมืองมาหะนาอิมพร้อมทุ่งหญ้า 39 ตระกูลของคนเมรารีได้รับเมืองเฮชโบนพร้อมทุ่งหญ้า และเมืองยาเซอร์พร้อมทุ่งหญ้า รวมทั้งหมดสี่เมือง
40 ทั้งหมดนี้ เมืองต่างๆ ที่เป็นของตระกูลหลายตระกูลของคนเมรารี ซึ่งมาจากตระกูลของเผ่าคนเลวี มีสิบสองเมืองที่ได้มอบให้พวกเขาโดยการจับฉลาก 41 เมืองต่างๆ ของคนเลวี ซึ่งอยู่ท่ามกลางกรรมสิทธิ์ของประชาชนอิสราเอลนั้น รวมทั้งหมดมีสี่สิบแปดเมือง พร้อมทุ่งหญ้าทุกเมือง 42 เมืองเหล่านี้แต่ละเมืองมีทุ่งหญ้าล้อมรอบทุกเมือง โดยวิธีนี้กับเมืองเหล่านี้ทุกเมือง
43 ดังนั้น พระยาห์เวห์ได้ประทานแผ่นดินให้อิสราเอลตามที่พระองค์ได้ทรงสัญญาว่าจะให้แก่บรรพบุรุษของพวกเขา พวกอิสราเอลได้ยึดแล้วก็เข้าไปตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นั่น 44 แล้วพระยาห์เวห์ได้ประทานให้พวกเขามีความสงบอยู่ทุกด้าน ดังที่พระองค์ทรงสัญญาไว้กับบรรพบุรุษของพวกเขา ไม่มีศัตรูของพวกเขาสักคนเดียวที่ต่อสู้พวกเขาได้ พระยาห์เวห์ได้ทรงมอบศัตรูของพวกเขาให้อยู่ในกำมือของเขาทั้งหมด 45 ไม่มีสักสิ่งท่ามกลางพระสัญญาอันประเสริฐทุกอย่างซึ่งพระยาห์เวห์ได้ทรงตรัสต่ออิสราเอลจะล้มเหลวจากความจริง ทุกสิ่งเป็นจริงทั้งสิ้น
1 ในเวลานั้นโยชูวาได้เรียกคนรูเบน คนกาด คนมนัสเสห์ครึ่งเผ่ามา 2 เขาได้กล่าวกับพวกเขาว่า "ท่านทั้งหลายได้ทำทุกอย่างซึ่งโมเสสผู้รับใช้ของพระยาห์เวห์ได้บัญชาท่านไว้ ท่านได้เชื่อฟังเสียงของข้าพเจ้าที่ได้ออกคำสั่งท่าน 3 พวกท่านไม่ได้ทอดทิ้งพี่น้องของท่านเป็นเวลานานมาแล้วจนถึงเวลานี้ และท่านทำหน้าที่สำเร็จตามที่กำหนดไว้โดยพระบัญญัติของพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน
4 บัดนี้ พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านได้โปรดให้พี่น้องของท่านหยุดพักแล้ว ดังที่พระองค์ทรงสัญญาไว้กับพวกเขา ดังนั้น พวกท่านจงกลับบ้านของท่านเถิด ซึ่งโมเสสผู้รับใช้ของพระยาห์เวห์ได้มอบให้พวกท่านที่อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดนนั้น 5 เพียงแต่จงระวังให้ดีที่จะปฏิบัติพระบัญญัติและกฎหมายที่โมเสสผู้รับใช้ของพระยาห์เวห์ได้บัญชาท่านไว้แล้ว ให้รักพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน ให้เดินในพระมรรคาของพระองค์ทุกทาง และรักษาพระบัญญัติของพระองค์ และยึดมั่นอยู่กับพระองค์ และนมัสการพระองค์ด้วยสุดใจและด้วยวิญญาณจิตทั้งสิ้นของท่าน" 6 ดังนั้น โยชูวาได้อวยพรพวกเขาและส่งพวกเขากลับไป และพวกเขาก็ได้กลับไปที่เต็นท์ของพวกเขา
7 บัดนี้ คนมนัสเสห์ครึ่งเผ่านั้น โมเสสได้มอบกรรมสิทธิ์ให้เขาในบาชาน แต่อีกครึ่งเผ่านั้นโยชูวามอบกรรมสิทธิ์ให้พวกเขามีที่ข้างเคียงกับพี่น้องของพวกเขาในแผ่นดินฟากตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดน โยชูวาส่งพวกเขากลับไปที่เต็นท์ของพวกเขา ท่านได้อวยพรพวกเขา 8 และกล่าวกับพวกเขาว่า "จงกลับไปเต็นท์ของพวกท่านพร้อมกับเงินมากมาย และฝูงปศุสัตว์มากมาย และพร้อมด้วยเงิน และทองคำ และพร้อมด้วยทองสัมฤทธิ์และเหล็ก และเสื้อผ้าอีกมากมาย จงแบ่งของที่ได้ริบมาจากศัตรูของท่านให้พี่น้องของท่าน" 9 ดังนั้น ลูกหลานของคนรูเบน ลูกหลานของคนกาด และครึ่งเผ่าของคนมนัสเสห์จึงได้กลับบ้าน ได้จากประชาชนอิสราเอลที่ชิโลห์ซึ่งอยู่ในแผ่นดินคานาอัน พวกเขาได้จากไปยังแผ่นดินกิเลอาด ไปยังแผ่นดินของพวกเขาเอง ซึ่งพวกเขาได้เป็นกรรมสิทธิ์ในการเชื่อฟังตามพระบัญชาของพระยาห์เวห์ผ่านทางโมเสส
10 เมื่อพวกเขามาถึงแม่น้ำจอร์แดนในแผ่นดินคานาอัน คนรูเบน และคนกาด และคนมนัสเสห์ครึ่งเผ่า ได้สร้างแท่นบูชาข้างแม่น้ำจอร์แดน เป็นแท่นขนาดใหญ่และดูเด่น 11 ประชาชนอิสราเอลได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้ และกล่าวว่า "จงดูเถิด พวกประชาชนคนรูเบน คนกาด และคนมนัสเสห์ครึ่งเผ่า ได้สร้างแท่นบูชาที่หน้าแผ่นดินของคานาอัน ที่เกลิโลท ในดินแดนใกล้แม่น้ำจอร์แดน บนฝั่งที่เป็นของประชาชนอิสราเอล" 12 เมื่อประชาชนอิสราเอลได้ยินเช่นนั้น ชุมนุมชนอิสราเอลทั้งหมดก็ไปรวมกันที่เมืองชิโลห์ เพื่อจะขึ้นไปทำสงครามกับพวกเขา
13 แล้วประชาชนอิสราเอลได้ส่งพวกผู้สื่อสารไปหาคนรูเบน คนกาด และคนมนัสเสห์ครึ่งเผ่าในแผ่นดินกิเลอาด พวกเขาได้ส่งฟีเนหัสบุตรชายของเอเลอาซาร์ปุโรหิต 14 และพร้อมด้วยผู้นำสิบคน หนึ่งคนจากแต่ละครอบครัวดั้งเดิมของอิสราเอล และทุกคนในพวกเขาเป็นหัวหน้าตระกูลในประชาชนอิสราเอล 15 พวกเขาได้มาหาประชาชนคนรูเบน คนกาดและครึ่งหนึ่งของเผ่ามนัสเสห์ ในแผ่นดินของกิเลอาด และพูดกับพวกเขาว่า
16 "ชุมนุมชนทั้งสิ้นของพระยาห์เวห์กล่าวดังนี้ว่า 'พวกท่านได้ทำการทรยศต่อพระเจ้าของอิสราเอลเช่นนี้ได้อย่างไร ในการที่ท่านได้หันกลับจากการติดตามพระยาห์เวห์ โดยสร้างแท่นบูชาสำหรับพวกท่านในวันนี้ในการกบฎต่อพระยาห์เวห์ ? 17 บาปซึ่งเราได้ทำที่เมืองเปโอร์นั้นยังไม่พอหรือ ? จนถึงทุกวันนี้ เรายังไม่อาจชำระตัวของเราให้สะอาดได้ เพราะบาปนั้นได้ทำให้เกิดภัยพิบัติแก่ชุมนุมชนของพระยาห์เวห์ 18 พวกท่านจะหันไปเสียจากการติดตามพระยาห์เวห์ในวันนี้อีกหรือ ? ถ้าพวกท่านกบฎต่อพระยาห์เวห์วันนี้ พระองค์จะกริ้วต่อชุมนุมชนของอิสราเอลในวันพรุ่งนี้
19 ถ้าแผ่นดินในกรรมสิทธิ์ของท่านเป็นมลทิน แล้วท่านควรข้ามไปยังแผ่นดินที่พลับพลาของพระยาห์เวห์ได้ตั้งอยู่ และถือกรรมสิทธิ์สำหรับพวกท่านท่ามกลางพวกเราเถิด ขอแต่เพียงอย่ากบฎต่อพระยาห์เวห์หรือกบฎต่อเรา โดยการสร้างแท่นบูชาสำหรับตัวท่านนอกจากแท่นบูชาของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเรา 20 อาคานบุตรชายของเศลาห์ได้ทำลายความเชื่อในเรื่องของสิ่งเหล่านั้นที่ต้องสงวนไว้สำหรับพระเจ้ามิใช่หรือ ? พระพิโรธไม่ได้ตกอยู่กับประชาชนอิสราเอลทั้งหมดหรือ ? ชายคนนั้นไม่ได้ตายคนเดียวในการทำผิดของเขา"'
21 ขณะนั้นคนรูเบน คนกาด และคนมนัสเสห์ครึ่งเผ่าตอบผู้นำของตระกูลอิสราเอลว่า 22 "พระยาห์เวห์พระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ พระยาห์เวห์พระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ พระองค์ทรงทราบ และทรงให้อิสราเอลทราบด้วยเถิด ถ้านี่เป็นการกบฎหรือทรยศต่อพระยาห์เวห์ 23 ก็อย่าไว้ชีวิตพวกเราในวันนี้เลยสำหรับการที่ได้สร้างแท่นบูชาเพื่อที่พวกเราจะได้หันไปจากการติดตามพระยาห์เวห์ ถ้าพวกเราสร้างแท่นบูชานั้นเพื่อจะถวายเครื่องเผาบูชา ธัญบูชา หรือถวายสันติบูชา ดังนั้นขอให้พระยาห์เวห์ให้พวกเรารับผิดเถิด 24 แต่เปล่าเลย พวกเราได้สร้างไว้เพราะเกรงว่าในเวลาต่อไปภายหน้า ลูกหลานของท่านอาจจะกล่าวต่อลูกหลานของพวกเราว่า 'พวกเจ้ามีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับพระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอล ?
25 เพราะว่าพระยาห์เวห์ทรงกำหนดให้แม่น้ำจอร์แดนเป็นพรมแดนระหว่างพวกเรากับพวกท่าน พวกท่านประชาชนรูเบน และประชาชนกาด พวกท่านไม่มีส่วนในพระยาห์เวห์ ' ดังนั้น ลูกหลานของพวกท่านก็อาจจะทำให้ลูกหลานของพวกเราหยุดนมัสการพระยาห์เวห์ 26 ดังนั้น เราจึงกล่าวว่า 'ให้เราสร้างแท่นบูชาตอนนี้เถิด ไม่ใช่เพื่อเครื่องเผาบูชา ไม่ใช่สำหรับการถวายเครื่องบูชาใดๆ 27 แต่เพื่อเป็นพยานระหว่างพวกเรากับพวกท่าน และระหว่างคนชั่วอายุต่อจากพวกเรา ว่าเราจะทำการปรนนิบัติพระยาห์เวห์เฉพาะพระพักตร์ของพระองค์ด้วยเครื่องเผาบูชาและด้วยการถวายบูชาและด้วยการถวายสันติบูชา เพื่อลูกหลานของพวกท่านจะไม่กล่าวแก่ลูกหลานของพวกเราในเวลาข้างหน้าว่า "พวกท่านไม่มีส่วนในพระยาห์เวห์"'
28 ดังนั้น เราได้กล่าวว่า 'ถ้ามีการพูดเช่นนี้กับเรา หรือกับลูกหลานของเราในวันข้างหน้า เราก็จะกล่าวว่า "จงดูสิ นั่นเป็นแท่นจำลองของแท่นแห่งพระยาห์เวห์ ซึ่งบรรพชนของเราทำไว้ มิใช่เพื่อถวายเครื่องเผาบูชา หรือมิใช่เพื่อถวายเครื่องสัตวบูชา แต่เพื่อเป็นพยานระหว่างเรากับพวกท่าน" 29 ขอให้เรื่องนี้ห่างจากเราเถิดที่เราจะกบฎต่อพระยาห์เวห์ และวันนี้ ที่จะหันจากการติดตามพระยาห์เวห์โดยการสร้างแท่นบูชาอื่นสำหรับเครื่องเผาบูชา ธัญบูชา หรือสัตวบูชา นอกจากแท่นบูชาของพระยาห์เวห์พระเจ้าของเราซึ่งตั้งอยู่ที่หน้าพลับพลาของพระองค์ "' 30 เมื่อฟีเนหัสปุโรหิตและพวกผู้นำของประชาชนอิสราเอล คือบรรดาหัวหน้าตระกูลต่างๆ ของอิสราเอลที่อยู่ด้วยกันกับเขานั้นได้ยินถ้อยคำที่ประชาชนเผ่ารูเบน ประชาชนเผ่ากาด และประชาชนเผ่ามนัสเสห์กล่าว ก็เห็นว่าดีในสายตาของพวกเขา 31 ฟีเนหัสบุตรของเอเลอาซาร์ปุโรหิตจึงได้กล่าวต่อประชาชนเผ่ารูเบน เผ่ากาด และเผ่ามนัสเสห์ว่า "ในวันนี้เราทราบแล้วว่าพระยาห์เวห์สถิตท่ามกลางพวกเรา เพราะว่าพวกท่านไม่ได้ทำการทรยศนี้ต่อพระองค์ บัดนี้พวกท่านได้ช่วยกู้ประชาชนอิสราเอลพ้นจากพระหัตถ์ของพระยาห์เวห์"
32 แล้วฟีเนหัสบุตรชายของเอเลอาซาร์ปุโรหิต และพวกผู้นำก็กลับจากคนรูเบนและคนกาด จากแผ่นดินกิเลอาดไปยังแผ่นดินคานาอัน ไปหาประชาชนอิสราเอลและนำคำกล่าวกลับไปยัพวกเขา 33 รายงานของพวกเขาดีในสายตาของประชาชนอิสราเอล ประชาชนอิสราเอลก็สรรเสริญพระเจ้าและไม่พูดถึงเรื่องที่จะทำสงครามกับคนรูเบนและคนกาด เพื่อทำลายแผ่นดินซึ่งพวกเขาได้อาศัยอยู่นั้น 34 คนรูเบนและคนกาดเรียกแท่นนั้นว่า "พยาน" เพราะพวกเขาได้กล่าวว่า "แท่นนั้นเป็นพยานระหว่างเราว่า พระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้า"
1 ภายหลังอีกหลายปี เมื่อพระยาห์เวห์ได้ประทานความสงบแก่อิสราเอลจากพวกศัตรูทั้งหมดของพวกเขาที่ล้อมรอบพวกเขา และโยชูวาก็แก่และมีอายุมาก 2 โยชูวาก็ได้เรียกประชาชนอิสราเอลทั้งหมด ทั้งพวกผู้ใหญ่ พวกผู้นำ พวกผู้พิพากษาและบรรดาเจ้าหน้าที่ และเขาได้กล่าวแก่เขาทั้งหลายว่า "ข้าพเจ้าแก่มากแล้ว 3 พวกท่านได้เห็นทุกสิ่งซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านได้ทรงกระทำต่อประชาชาติเหล่านี้ทั้งหมดเพื่อเห็นแก่พวกท่าน เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านได้ทรงสู้รบเพื่อพวกท่าน
4 จงดูเถิด ข้าพเจ้าได้มอบประชาชาติต่างๆ ที่เหลืออยู่เพื่อได้ยึดครองให้เป็นมรดกแก่เผ่าต่างๆ ของพวกท่าน รวมทั้งประชาชาติทั้งหลาย ซึ่งข้าพเจ้าได้ทำลายเสีย ตั้งแต่แม่น้ำจอร์แดนจนถึงทะเลใหญ่ทางทิศตะวันตก 5 พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทั้งหลายจะทรงขับไล่พวกเขาออกไป พระองค์จะทรงผลักดันพวกเขาออกไปให้พ้นสายตาของพวกท่าน พระองค์จะทรงยึดแผ่นดินของพวกเขา และพวกท่านจะได้ยึดครองแผ่นดินของพวกเขา ดังที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านได้ทรงสัญญาไว้ต่อพวกท่าน 6 ดังนั้นจงเข้มแข็งไว้ให้มาก เพื่อที่พวกท่านจะรักษาและทำตามทุกสิ่งซึ่งเขียนไว้ในหนังสือพระบัญญัติของโมเสส อย่าหันเหไปไม่ว่าไปทางขวาหรือทางซ้ายก็ตาม
7 ดังนั้นพวกท่านจะต้องไม่สมาคมกับประชาชาติเหล่านี้ที่ยังคงเหลืออยู่ท่ามกลางพวกท่านหรือออกชื่อพระต่างๆ ของพวกเขา สาบานในนามพระเหล่านั้น หรือนมัสการหรือกราบพระเหล่านั้น 8 แต่พวกท่านจงยึดมั่นอยู่กับพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน ดังที่ได้ทำอยู่จนถึงวันนี้ 9 เพราะว่าพระยาห์เวห์ได้ทรงขับไล่ประชาชาติที่ใหญ่โตและเข้มแข็งออกไปต่อหน้าพวกท่าน ส่วนพวกท่านเอง ก็ยังไม่มีใครที่จะสามารถต่อสู้พวกท่านได้จนถึงวันนี้ 10 เพียงคนเดียวในพวกท่านก็จะขับไล่พันคนให้หนีไปได้ เพราะว่าพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านคือผู้นั้นที่ทรงสู้รบเพื่อพวกท่าน ดังที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้แล้ว
11 จงให้ความสนใจเป็นพิเศษ เพื่อที่พวกท่านจะรักพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน 12 แต่ถ้าพวกท่านหันกลับและผูกพันกับคนที่มีชีวิตรอดของประชาชาติเหล่านี้ที่เหลืออยู่ท่ามกลางพวกท่าน หรือถ้าพวกท่านผูกสัมพันธ์โดยการแต่งงานกับพวกเขาหรือถ้าพวกท่านมากับพวกเขาและพวกเขามากับท่าน 13 แล้วจงทราบแน่เถิดว่าพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านจะไม่ทรงขับไล่ประชาชาติเหล่านี้ออกไปให้พ้นจากพวกท่านอีก แต่พวกเขาจะเป็นบ่วงและเป็นกับดักสำหรับพวกท่าน เป็นแส้หวดหลังพวกท่าน เป็นหนามทิ่มตาของพวกท่าน จนกว่าพวกท่านจะพินาศไปจากแผ่นดินที่ดีนี้ ซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านได้ประทานให้แก่พวกท่าน
14 บัดนี้ ข้าพเจ้ากำลังจะเป็นไปตามทางของโลกแล้วและพวกท่านได้ทราบด้วยสุดจิตและสุดใจของพวกท่านแล้วว่าไม่มีคำพูดแม้แต่คำเดียวที่ได้ล้มเหลวจากความเป็นจริงในสิ่งดีทุกสิ่งซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านได้ทรงสัญญาเกี่ยวกับพวกท่าน สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดได้สำเร็จเพื่อพวกท่าน ไม่มีสักสิ่งเดียวที่ล้มเหลว 15 แต่สิ่งดีซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านที่ได้สัญญากับพวกท่านได้สำเร็จทุกอย่าง ดังนั้นพระยาห์เวห์ก็จะทรงนำสิ่งที่ร้ายทุกอย่างมาถึงท่านจนกว่าพระองค์จะได้ทรงทำลายพวกท่านจากแผ่นดินอันดีนี้ซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านได้ประทานแก่พวกท่าน 16 ถ้าท่านทั้งหลายทำผิดพันธสัญญาแห่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน ซึ่งพระองค์ทรงทรงบัญชาท่านไว้ ถ้าพวกท่านไปนมัสการพระอื่น ๆ และกราบลงนมัสการพระเหล่านั้น แล้วพระพิโรธของพระยาห์เวห์จะพลุ่งขึ้นต่อพวกท่าน และพวกท่านจะพินาศไปอย่างรวดเร็วจากแผ่นดินที่ดีซึ่งพระองค์ได้ประทานแก่พวกท่าน"
1 แล้วโยชูวาก็ได้รวบรวมบรรดาเผ่าต่างๆ ของอิสราเอลมาที่เมืองเชเคม และได้เรียกพวกผู้ใหญ่ของอิสราเอล พวกผู้นำของพวกเขา พวกผู้พิพากษาของพวกเขาและเจ้าหน้าที่ของพวกเขา และพวกเขาก็มาแสดงตัวเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า 2 โยชูวาได้กล่าวกับประชาชนทั้งสิ้นว่า "นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอลได้ตรัส ' บรรพบุรุษของพวกเจ้านานมาแล้วได้ใช้ชีวิตอยู่ฟากโน้นของแม่น้ำยูเฟรติส คือ เท- ราห์ บิดาของอับราฮัมและบิดาของนาโฮร์ และพวกเขานมัสการพระอื่นๆ 3 แต่เราได้นำบิดาของพวกเจ้ามาจากฟากโน้นของยูเฟรติสและได้นำเขามายังแผ่นดินคานาอันและได้ให้เขามีลูกหลานมากมายโดยทางบุตรชายของเขาคืออิสอัค
4 แล้วเราได้ให้ยาโคบและเอซาวแก่อิสอัค เราได้ให้แดนเทือกเขาเสอีร์แก่เอซาวเป็นกรรมสิทธิ์ แต่ยาโคบและลูกหลานของเขาได้ลงไปอียิปต์ 5 เราได้ส่งโมเสสและอาโรน และเราได้ทรมานชาวอียิปต์ด้วยภัยพิบัติ หลังจากนั้น เราได้นำพวกเจ้าออกมา 6 เราได้นำบรรพบุรุษของพวกเจ้าออกมาจากอียิปต์ และพวกเจ้าก็ได้มาถึงทะเล พวกอียิปต์ได้ติดตามพวกเขาด้วยเหล่ารถศึกและพลม้าจนมาถึงทะเลต้นกก
7 เมื่อบรรพบุรุษของพวกเจ้าร้องทูลพระยาห์เวห์ พระองค์ก็ทรงบันดาลให้ความมืดเกิดขึ้นระหว่างพวกเจ้ากับชาวอียิปต์ พระองค์ทรงทำให้ทะเลมาเหนือพวกเขาและท่วมพวกเขา พวกเจ้าได้เห็นสิ่งที่เราได้ทำในอียิปต์ แล้วพวกเจ้าก็ได้อยู่ในถิ่นทุรกันดารเป็นเวลานาน 8 เราได้นำพวกเจ้ามาถึงแผ่นดินของคนอาโมไรต์ ผู้ที่ได้อาศัยอยู่อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดน พวกเขาสู้รบกับพวกเจ้า และเราได้มอบพวกเขาไว้ในมือของพวกเจ้า พวกเจ้าก็ยึดครองแผ่นดินของพวกเขา และเราก็ได้ทำลายพวกเขาต่อหน้าพวกเจ้า 9 แล้วบาลาคบุตรชายของศิปโปร์ กษัตริย์ของโมอับได้ลุกขึ้นและได้โจมตีอิสราเอล เขาใช้ให้ไปเรียกบาลาอัมบุตรชายของเบโอร์ให้มาแช่งพวกเจ้า
10 แต่เราไม่ได้ฟังบาลาอัม ที่จริงแล้วเขาได้อวยพรพวกเจ้า ดังนั้นเราได้ช่วยพวกเจ้าให้พ้นมือของเขา 11 พวกเจ้าได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดนมาที่เมืองเยรีโค พวกผู้นำของเยรีโคได้ต่อสู้กับพวกเจ้า รวมทั้งคนอาโมไรต์ คนเปริสซี คนคานาอัน คนฮิตไทต์ คนเกอร์กาชี คนฮีไวต์ และคนเยบุส เราได้มอบชัยชนะเหนือพวกเขาให้พวกเจ้าและให้พวกเขาอยู่ภายใต้การควบคุมของพวกเจ้า 12 เราได้ส่งฝูงต่อไปข้างหน้าพวกเจ้า ซึ่งได้ไล่พวกเขาและกษัตริย์สองพระองค์ของคนอาโมไรต์ออกไปต่อหน้าพวกเจ้า มันไม่ได้เกิดขึ้นเพราะโดยดาบหรือโดยลูกธนูของพวกเจ้าเลย 13 เราได้มอบแผ่นดินซึ่งพวกเจ้าไม่ได้เหนื่อยกายและเมืองต่างๆ ที่พวกเจ้าไม่ได้สร้าง และบัดนี้พวกเจ้าได้เข้าอาศัยอยู่ในเมืองเหล่านั้น พวกเจ้าได้กินผลไม้จากสวนองุ่นและสวนมะกอกที่พวกเจ้าไม่ได้ปลูก'
14 บัดนี้ จงยำเกรงพระยาห์เวห์และนมัสการพระองค์ด้วยความจริงใจและด้วยความซื่อสัตย์ จงละทิ้งพระเหล่านั้นซึ่งบรรพบุรุษของพวกท่านได้นมัสการที่อีกฟากหนึ่งของของแม่น้ำยูเฟรติสและอียิปต์เสีย และจงนมัสการพระยาห์เวห์ 15 และถ้าพวกท่านเห็นว่าผิดในสายตาของพวกท่านในการที่พวกท่านจะนมัสการพระยาห์เวห์ ท่านก็จงเลือกเอาในวันนี้ว่าพวกท่านจะปรนนิบัติใคร จะปรนนิบัติบรรดาพระต่างๆ ซึ่งบรรพบุรุษของท่านได้ปรนนิบัติอยู่อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำยูเฟรติส หรือบรรดาพระของคนอาโมไรต์ในแผ่นดินซึ่งท่านอาศัยอยู่ แต่ส่วนข้าพเจ้าและครอบครัวของข้าพเจ้า เราจะนมัสการพระยาห์เวห์" 16 พวกประชาชนได้ตอบและได้กล่าวว่า "พวกเราจะไม่ละทิ้งพระยาห์เวห์ไปปรนนิบัติพระอื่นๆ 17 เพราะว่าพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเราผู้ที่ได้นำเราและบรรพบุรุษของพวกเราขึ้นมาจากแผ่นดินอียิปต์ ออกมาจากเรือนทาส และผู้ได้ทรงกระทำหมายสำคัญยิ่งใหญ่ในสายตาของพวกเรา และผู้ทรงคุ้มครองเราตลอดทางที่เราได้เดินไป และท่ามกลางชนชาติทั้งหลายซึ่งเราได้ผ่านไป
18 แล้วพระยาห์เวห์ได้ทรงขับไล่ประชาชนทั้งหมดนั้นออกไปต่อหน้าพวกเรา รวมทั้งคนอาโมไรต์ ซึ่งได้อาศัยอยู่ในแผ่นดินนั้น ดังนั้นพวกเราจะนมัสการพระยาห์เวห์ด้วย เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของพวกเรา" 19 แต่โยชูวาได้กล่าวแก่ประชาชนว่า "พวกท่านไม่สามารถปรนนิบัติพระยาห์เวห์ เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงหวงแหน พระองค์จะไม่ทรงอภัยการทรยศหรือบาปของพวกท่าน 20 ถ้าท่านทั้งหลายละทิ้งพระยาห์เวห์และไปนมัสการเหล่าพระของคนต่างชาติ แล้วพระองค์จะทรงหันกลับและทำร้ายพวกท่าน พระองค์จะเผาผลาญท่าน หลังจากที่พระองค์ได้ทรงทำดีต่อท่านมาแล้ว"
21 แต่ประชาชนได้กล่าวกับโยชูวาว่า "ไม่ พวกเราจะนมัสการพระยาห์เวห์" 22 แล้วโยชูวาได้กล่าวกับประชาชนว่า "พวกท่านเป็นพยานปรักปรำตนเองว่า ท่านได้เลือกพระยาห์เวห์สำหรับตัวพวกท่านเอง เพื่อนมัสการพระองค์" พวกเขาได้กล่าวว่า "พวกเราเป็นพยาน" 23 "บัดนี้จงทิ้งพระทั้งหลายของคนต่างชาติที่อยู่กับพวกท่าน และหันใจของพวกท่านมาหาพระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอล"
24 ประชาชนได้กล่าวกับโยชูวาว่า "พวกเราจะนมัสการพระยาห์เวห์พระเจ้าของเรา" พวกเราจะเชื่อฟังพระสุรเสียงของพระองค์" 25 โยชูวาจึงได้ทำพันธสัญญากับประชาชนในวันนั้น และวางกฏเกณฑ์และกฏหมายต่างๆ ที่เมืองเชเคม 26 โยชูวาได้จารึกถ้อยคำเหล่านี้ในหนังสือธรรมบัญญัติของพระเจ้า เขาได้เอาก้อนหินใหญ่และตั้งไว้ที่ใต้ต้นโอ๊กที่อยู่ข้างสถานนมัสการของพระยาห์เวห์ 27 โยชูวาได้กล่าวกับประชาชนทั้งปวงว่า " นี่แน่ะ ก้อนหินนี้จะเป็นพยานปรักปรำพวกเรา เพราะมันได้ยินทุกถ้อยคำที่พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับพวกเรา ดังนั้นมันจะเป็นพยานปรักปรำพวกท่าน หากว่าท่านปฎิเสธพระเจ้าของพวกท่าน" 28 ดังนั้น โยชูวาได้ส่งพวกประชาชนไป ทุกคนก็กลับไปที่มรดกของเขาแต่ละคน
29 ภายหลังจากเหตุการณ์เหล่านี้ โยชูวาบุตรชายของนูนผู้รับใช้ของพระยาห์เวห์ก็สิ้นชีวิต เมื่ออายุได้ 110 ปี 30 พวกเขาก็ฝังเขาไว้ในเขตที่ดินมรดกของเขาที่เมืองทิมนาทเส-ราห์ ซึ่งอยู่ในแดนเทือกเขาแห่งเอฟราอิมทางเหนือของภูเขากาอัช
31 อิสราเอลก็ได้นมัสการพระยาห์เวห์ตลอดสมัยของโยชูวา และตลอดสมัยของพวกผู้ใหญ่ผู้มีอายุยืนยาวกว่าโยชูวา คนเหล่านั้นที่ได้มีประสบการณ์ทุกสิ่งซึ่งพระยาห์เวห์ได้ทรงกระทำเพื่ออิสราเอล 32 กระดูกของโยเซฟซึ่งประชาชนอิสราเอลได้นำออกมาจากอียิปต์ พวกเขาได้ฝังไว้ที่เมืองเชเคม ในส่วนที่ดินซึ่งยาโคบได้ซื้อไว้จากบุตรชายทั้งหลายของฮาโมร์บิดาของเชเคม เขาได้ซื้อมันมาด้วยเงินหนึ่งร้อยแผ่น และมันได้กลายเป็นมรดกสำหรับลูกหลานของโยเซฟ 33 แล้วเอเลอาซาร์บุตรชายของอาโรนก็สิ้นชีวิตด้วย พวกเขาได้ฝังเขาไว้ที่กิเบอาห์ เมืองของฟีเนหัสบุตรชายของเขาซึ่งได้มอบให้กับเขา มันอยู่ในดินแดนเทือกเขาของเอฟราอิม
1 หลังจากโยชูวาสิ้นชีวิตแล้ว คนอิสราเอลได้ทูลถามพระยาห์เวห์ว่า "ใครจะไปโจมตีกับคนคานาอันเพื่อพวกเราก่อน ใครที่จะไปสู้รบกับพวกเขา?" 2 พระยาห์เวห์ตรัสว่า "ยูดาห์จะโจมตี ดูเถิด เราได้มอบแผ่นดินนี้ให้พวกเขาควบคุมแล้ว" 3 พวกคนยูดาห์ได้พูดกับพวกคนสิเมโอนพี่น้องของพวกเขาว่า "จงขึ้นไปกับเราเข้าไปในเขตแดนของเราที่ได้มอบให้แก่เรา เพื่อที่พวกเราจะสู้รบกับคนคานาอันด้วยกัน เราก็จะไปกับท่านยังเขตแดนที่ได้มอบให้แก่พวกท่านเช่นกัน" ด้วยเหตุนี้เผ่าสิเมโอนจึงได้ไปกับพวกเขา
4 พวกคนยูดาห์ได้ต่อสู้ และพระยาห์เวห์ได้ประทานชัยชนะแก่พวกเขาเหนือคนคานาอันและคนเปริสซี พวกเขาฆ่าคนเหล่านั้นหนึ่งหมื่นคนที่เมืองเบเซก 5 พวกเขาได้พบกับอาโดนีเบเซกที่เมืองเบเซก และพวกเขาสู้รบกับท่าน และชนะคนคานาอันและคนเปริสซี 6 แต่อาโดนีเบเซกหลบหนีไปได้ และพวกเขาจึงไล่ตามท่านไปและจับท่านได้ และพวกเขาได้ตัดนิ้วหัวแม่มือและนิ้วหัวแม่เท้าของท่าน 7 อาโดนีเบเซกได้กล่าวว่า "มีกษัตริย์เจ็ดสิบองค์ที่นิ้วหัวแม่มือและนิ้วหัวแม่เท้าของพวกเขาถูกตัดออก ได้เก็บอาหารจากใต้โต๊ะของเรา เราได้ทำไว้ฉันใด พระเจ้าก็ได้ทรงทำแก่เราฉันนั้น" พวกเขาจึงพาท่านไปที่เมืองเยรูซาเล็ม และท่านก็สิ้นชีวิตที่นั่น
8 พวกคนยูดาห์โจมตีเมืองเยรูซาเล็มและยึดเมืองได้ พวกเขาโจมตีเมืองนั้นด้วยคมดาบ และพวกเขาได้เผาเมืองนั้น 9 หลังจากนั้น พวกคนยูดาห์ได้ลงมาสู้รบกับคนคานาอันที่อาศัยอยู่ในแดนเทือกเขาในเนเกบและเชิงเขาทางทิศตะวันตก 10 ยูดาห์บุกเข้าโจมตีคนคานาอันที่อาศัยอยู่ในเมืองเฮโบรน (ชื่อของเมืองเฮโบรนเมื่อก่อนนี้คือ คีริยาทอารบา) และพวกเขาเอาชนะเชชัย อาหิมาน และทัลมัย 11 จากที่นั่น พวกคนยูดาห์ได้บุกเข้าไปโจมตีชาวเมืองเดบีร์ (ชื่อของเมืองเดบีร์เมื่อก่อนนี้ คือ คีริยาทเสเฟอร์)
12 คาเลบพูดว่า "ใครก็ตามที่โจมตีคีริยาทเสเฟอร์และยึดได้ ข้าพเจ้าจะยกอัคสาห์บุตรหญิงของข้าพเจ้าให้เป็นภรรยาของเขา" 13 โอทนีเอลบุตรชายของเคนัส (น้องชายของคาเลบ) ได้ยึดเมืองเดอร์บีได้ ดังนั้น คาเลบจึงได้ยกอัคสาห์บุตรหญิงของเขาให้เป็นภรรยาของเขา 14 จากนั้นไม่นาน อัคสาห์ก็ได้มาหาโอทนีเอล และนางคะยั้นคะยอเขาให้ขอบิดาของนางให้มอบทุ่งนาแก่นาง ขณะที่นางกำลังลงจากลาของนาง คาเลบถามนางว่า "พ่อจะทำอะไรให้กับลูกได้บ้าง?" 15 นางจึงตอบเขาว่า "ขอมอบของขวัญให้แก่ลูกสักอย่างหนึ่งเถิด เนื่องจากพ่อได้ให้แผ่นดินเนเกบแก่ลูกแล้ว ขอน้ำพุให้แก่ลูกด้วย" ดังนั้น คาเลบจึงได้ยกน้ำพุบนและน้ำพุล่างให้แก่นาง
16 พงศ์พันธุ์ของพ่อตาของโมเสส คนเคไนต์ได้ขึ้นไปจากเมืองต้นอินทผาลัมพร้อมกับคนยูดาห์ เข้าไปในถิ่นทุรกันดารยูดาห์ที่อยู่ในเนเกบ เพื่ออาศัยอยู่กับคนยูดาห์ใกล้เมืองอาราด 17 พวกคนยูดาห์ไปกับพวกคนสิเมโอนพี่น้องของพวกเขา และพวกเขาได้โจมตีคนคานาอันที่อาศัยอยู่เมืองเศฟัท และพวกเขาทำลายเมืองนั้นเสียสิ้น ชื่อของเมืองนั้นจึงถูกเรียกว่าโฮร์มาห์
18 คนยูดาห์จึงได้ยึดเมืองกาซาและพื้นที่โดยรอบ เมืองอัชเคโลนและพื้นที่โดยรอบ และเมืองเอโครนและพื้นที่โดยรอบ 19 พระยาห์เวห์ได้สถิตกับคนยูดาห์และพวกเขายึดแดนเทือกเขาเป็นกรรมสิทธิ์ แต่พวกเขาไม่สามารถขับไล่คนที่อาศัยอยู่ในที่ราบนั้นออกไปได้ เพราะพวกเขามีรถรบเหล็ก 20 เมืองเฮโบรนถูกยกให้แก่คาเลบ (อย่างที่โมเสสได้กล่าวไว้) และเขาได้ขับไล่บุตรชายของอานาคทั้งสามคนออกไปจากที่นั่น
21 แต่คนเบนยามินไม่ได้ขับไล่คนเยบุสที่อาศัยอยู่ในเมืองเยรูซาเล็มออกไป ด้วยเหตุนี้คนเยบุสจึงได้อาศัยอยู่กับคนเบนยามินในเมืองเยรูซาเล็มจนถึงทุกวันนี้ 22 วงศ์วานของโยเซฟได้เตรียมการโจมตีเบธเอล และพระยาห์เวห์สถิตกับพวกเขา 23 พวกเขาได้ส่งคนออกไปสอดแนมที่เบธเอล (เมื่อก่อนเมืองนี้มีชื่อเรียกว่า ลูส) 24 พวกคนสอดแนมได้เห็นชายคนหนึ่งออกมาจากเมืองนั้น และพวกเขาจึงกล่าวกับชายคนนั้นว่า "ขอโปรดชี้ทางที่จะเข้าไปในเมืองนั้นแก่เรา และเราจะกรุณาต่อเจ้า"
25 เขาจึงบอกทางเข้าไปในเมืองนั้นแก่พวกเขา และด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงโจมตีเมืองนั้นด้วยคมดาบ แต่พวกเขาได้ปล่อยให้ชายคนนั้นและครอบครัวของเขาทุกคนไป 26 แล้วชายคนนั้นก็ได้ไปยังแผ่นดินของคนฮิตไทต์และสร้างเมืองหนึ่งและเรียกชื่อเมืองนั้นว่าลูส ที่เป็นชื่อของเมืองนั้นมาจนถึงทุกวันนี้ 27 คนมนัสเสห์ไม่ได้ขับไล่ชนชาติที่อาศัยอยู่ในเมืองเหล่านั้นของเบธชานและหมู่บ้านของเมืองนั้น หรือเมืองทาอานาคและหมู่บ้านต่างๆ ของเมืองนั้น หรือพวกคนที่อาศัยอยู่ในเมืองโดร์และหมู่บ้านต่างๆ ของเมืองนั้น หรือคนเหล่านั้นที่อาศัยอยู่ในเมืองอิบเลอัมและหมู่บ้านต่างๆ ของเมืองนั้น หรือพวกคนที่อาศัยอยู่ในเมืองเมกิดโดและหมู่บ้านต่างๆ ของเมืองนั้น เพราะคนคานาอันได้ถูกกำหนดให้อยู่ในแผ่นดินนั้น
28 เมื่อคนอิสราเอลเข้มแข็งขึ้น พวกเขาได้บังคับคนคานาอันให้รับใช้พวกเขาด้วยการทำงานหนัก แต่พวกเขาไม่เคยขับไล่คนเหล่านั้นออกไปจนหมดสิ้น 29 เอฟราอิมไม่ได้ขับไล่คนคานาอันที่อาศัยอยู่ในเมืองเกเซอร์ ดังนั้น คนคานาอันก็ยังคงได้อาศัยอยู่ในเมืองเกเซอร์ท่ามกลางพวกเขาต่อไป 30 เศบูลุนไม่ได้ขับไล่ชนชาติที่อาศัยอยู่ในเมืองคิทโรนออกไป หรือชนชาติที่อาศัยอยู่ในเมืองนาหะโลล และด้วยเหตุนี้ คนคานาอันก็ยังคงได้อาศัยอยู่ท่ามกลางพวกเขาต่อไป แต่เศบูลุนได้บังคับให้คนคานาอันรับใช้พวกเขาด้วยการทำงานหนัก
31 อาเชอร์ไม่ได้ขับไล่ชนชาติที่อาศัยอยู่ในเมืองอัคโคออกไป หรือชนชาติที่อาศัยอยู่ในเมืองไซดอน หรือพวกคนที่อาศัยอยู่ในเมืองอาห์ลาบ เมืองอัคซีบ เมืองเฮลบาห์ เมืองอาฟิก หรือเมืองเรโหบ 32 ดังนั้น เผ่าอาเชอร์จึงได้อาศัยอยู่ท่ามกลางคนคานาอัน (พวกคนที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินนั้น) เพราะพวกเขาไม่ได้ขับไล่คนเหล่านั้นออกไป 33 เผ่านัฟทาลีไม่ได้ขับไล่พวกคนที่อาศัยอยู่ในเมืองเบชเชเมชออกไป หรือพวกคนที่อาศัยอยู่ในเมืองเบธานาท ด้วยเหตุนี้ เผ่านัฟทาลีจึงได้อาศัยอยู่ท่ามกลางคนคานาอัน (พวกคนที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินนั้น) แต่อย่างไรก็ตาม พวกชาวเมืองเบชเชเมชและชาวเมืองเบธานาทก็ถูกบังคับให้ทำงานหนักให้กับนัฟทาลี
34 คนอาโมไรต์ได้บีบบังคับเผ่าดานให้อาศัยอยู่ในแดนเทือกเขา ไม่ยอมให้พวกเขาลงมายังที่ราบนั้น 35 ดังนั้น คนอาโมไรต์จึงอาศัยอยู่ที่ภูเขาเฮเรสในอัยยาโลนและในชาอัลบิม แต่อำนาจทางทหารของวงศ์วานโยเซฟได้ยึดครองพวกเขา และคนอาโมไรต์ถูกบังคับให้รับใช้พวกเขาด้วยการทำงานหนัก 36 เขตแดนของคนอาโมไรต์เริ่มตั้งแต่เนินเขาอัครับบิมที่เมืองเส-ลาขึ้นไปถึงแดนเทือกเขานั้น
1 ทูตของพระยาห์เวห์ขึ้นไปจากกิลกาลถึงโบคิม และกล่าวว่า "เราได้นำพวกเจ้าขึ้นมาจากอียิปต์ และได้นำพวกเจ้ามายังแผ่นดินที่เราปฏิญาณว่าจะมอบให้แก่บรรดาบรรพบุรุษของพวกเจ้า เรากล่าวว่า 'เราจะไม่มีวันหักพันธสัญญาของเราที่ทำกับพวกเจ้า 2 พวกเจ้าต้องไม่ทำพันธสัญญาใดๆ กับพวกคนที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินนี้ พวกเจ้าต้องรื้อแท่นบูชาต่างๆ ลง' แต่พวกเจ้าไม่ฟังเสียงของเรา นี่พวกเจ้าได้ทำอะไรลงไป?
3 ดังนั้นเราพูดในเวลานี้ว่า 'เราจะไม่ขับไล่คนคานาอันออกไปให้พ้นหน้าพวกเจ้า แต่พวกเขาจะกลายเป็นหนามยอกอกของพวกเจ้า และบรรดาพระต่างๆ ของพวกเขาจะเป็นกับดักแก่พวกเจ้า'" 4 เมื่อทูตของพระยาห์เวห์กล่าวถ้อยคำเหล่านี้ต่อคนอิสราเอลทั้งปวงแล้ว ประชาชนก็ส่งเสียงดังและร้องไห้ 5 พวกเขาได้เรียกสถานที่นั้นว่าโบคิม พวกเขาได้ถวายบรรดาเครื่องสัตวบูชาแด่พระยาห์เวห์ที่นั่น
6 เมื่อโยชูวาให้ประชาชนไปตามทางของพวกเขา คนอิสราเอลต่างก็ไปยังสถานที่ที่ได้รับมอบกรรมสิทธิ์ เพื่อยึดครองเป็นเจ้าของที่ดินของพวกเขา 7 ประชาชนได้ปรนนิบัติพระยาห์เวห์ตลอดชั่วชีวิตของโยชูวาและพวกผู้อาวุโสที่มีอายุยืนนานกว่าเขา คนเหล่านั้นที่เคยเห็นพระราชกิจอันยิ่งใหญ่ทั้งสิ้นของพระยาห์เวห์ที่พระองค์ทรงกระทำแก่อิสราเอล 8 โยชูวาบุตรชายของนูนผู้รับใช้ของพระเจ้าได้สิ้นชีวิตเมื่ออายุ 110 ปี 9 พวกเขาก็ฝังโยชูวาไว้ในเขตแดนของแผ่นดินที่เขาได้เป็นกรรมสิทธิ์ในทิมนาทเฮเรส ในแดนเทือกเขาเอฟราอิม ทางทิศเหนือของภูเขากาอัช
10 คนรุ่นนั้นทั้งหมดถูกรวมไปอยู่กับพวกบรรพบุรุษของพวกเขา คนอีกรุ่นหนึ่งที่เติบโตมาภายหลังพวกเขาไม่รู้จักพระยาห์เวห์หรือสิ่งที่พระองค์ได้ทรงกระทำแก่อิสราเอล 11 คนอิสราเอลได้ทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ และพวกเขาปรนนิบัติบรรดาพระบาอัล 12 พวกเขาได้แยกตัวออกจากพระยาห์เวห์ พระเจ้าของบรรดาบรรพบุรุษของพวกเขา ผู้ได้ทรงนำพวกเขาออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ พวกเขาไปติดตามพระอื่นๆ ที่เป็นบรรดาพระของชนชาติที่อยู่รอบๆ พวกเขา และพวกเขาก้มกราบพระเหล่านั้น พวกเขาเร้าให้พระยาห์เวห์กริ้วเพราะ 13 พวกเขาได้แยกตัวออกจากพระยาห์เวห์และนมัสการพระบาอัลและบรรดาพระอัชโทเรท
14 ความกริ้วของพระยาห์เวห์ได้พลุ่งขึ้นต่ออิสราเอล และพระองค์ทรงมอบพวกเขาให้แก่พวกปล้นผู้ที่ขโมยทรัพย์สินจากพวกเขา พระองค์ทรงขายพวกเขาเป็นทาสที่ถูกกักขังไว้โดยพวกศัตรูที่มีกำลังที่อยู่รอบๆ พวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถปกป้องตัวพวกเขาเองจากพวกศัตรูของพวกเขาได้อีกต่อไป 15 ไม่ว่าอิสราเอลจะออกไปสู้รบที่ใดก็ตาม พระหัตถ์ของพระยาห์เวห์ก็ต่อสู้พวกเขาทำให้พวกเขาพ่ายแพ้ไป ดังที่พระองค์ได้ทรงปฏิญาณต่อพวกเขา พวกเขาจึงอยู่ในความทุกข์ยากยิ่งนัก 16 แล้วพระยาห์เวห์ทรงให้มีผู้วินิจฉัยเกิดขึ้น ผู้ที่ช่วยพวกเขาจากมือของคนเหล่านั้นที่ได้ขโมยทรัพย์สินของพวกเขา
17 แต่พวกเขาก็ยังไม่ฟังผู้วินิฉัยของพวกเขา พวกเขาไม่สัตย์ซื่อต่อพระยาห์เวห์และทำตัวเองให้เป็นเหมือนพวกโสเภณีกับพระอื่นๆ และนมัสการพระเหล่านั้น ในไม่ช้าพวกเขาก็หันไปจากทางที่บรรดาบรรพบุรุษของพวกเขาได้ดำเนิน ซึ่งคนเหล่านั้นเป็นผู้ที่ได้เชื่อฟังพระบัญญัติของพระยาห์เวห์ แต่พวกเขาเองไม่ได้ทำเช่นนั้น 18 เมื่อพระยาห์เวห์ทรงทำให้มีผู้วินิจฉัยเกิดขึ้นเพื่อพวกเขา พระยาห์เวห์ทรงช่วยพวกผู้วินิจฉัยและช่วยพวกเขาให้รอดจากมือของพวกศัตรูของพวกเขาตลอดช่วงเวลาที่ผู้วินิจฉัยคนนั้นมีชีวิตอยู่ พระยาห์เวห์ทรงสงสารพวกเขาเมื่อพวกเขาคร่ำครวญเพราะคนเหล่านั้นที่ได้ข่มเหงพวกเขาและทำให้พวกเขาเป็นทุกข์ 19 แต่เมื่อผู้วินิจฉัยคนนั้นตาย พวกเขาก็จะหันไปและทำสิ่งที่ชั่วร้ายกว่าบรรดาบรรพบุรุษของพวกเขาได้ทำ พวกเขาไปติดตามพระอื่นๆ เพื่อปรนนิบัติและนมัสการพระเหล่านั้น พวกเขาไม่ยอมเลิกประพฤติชั่วใดๆ ของพวกเขา หรือทิ้งการกระทำที่ดื้อรั้นของพวกเขา
20 ความกริ้วของพระยาห์เวห์ได้พลุ่งขึ้นต่ออิสราเอล พระองค์ตรัสว่า "เพราะชนชาตินี้ได้ละเมิดเงื่อนไขของพันธสัญญาของเราที่เราได้ตั้งไว้ให้กับบรรดาบรรพบุรุษของพวกเขา เพราะพวกเขาไม่ฟังเสียงของเรา 21 ตั้งแต่นี้ไป เราจะไม่ขับไล่ชนชาติใดๆ ที่โยชูวาได้เหลือไว้เมื่อเขาตายออกไปพ้นหน้าพวกเขา 22 เราจะทำดังนี้ เพื่อที่เราจะทดสอบอิสราเอล ไม่ว่าพวกเขาจะถือรักษาทางของพระยาห์เวห์และดำเนินตามนั้น เหมือนกับที่บรรดาบรรพบุรุษของพวกเขาได้ถือรักษาหรือไม่ก็ตาม" 23 นั่นคือเหตุผลที่พระยาห์เวห์ได้ทรงเหลือชนชาติเหล่านั้นไว้และไม่ทรงขับไล่พวกเขาออกไปอย่างรวดเร็ว และไม่ได้มอบพวกเขาไว้ในมือของโยชูวา
1 พระยาห์เวห์ทรงเหลือชนชาติเหล่านี้ไว้เพื่อทดสอบอิสราเอล กล่าวได้ว่าทุกคนในอิสราเอลไม่เคยมีประสบการณ์ในการสู้รบทำสงครามใดๆ ในคานาอันเลย 2 (พระองค์ทรงทำเช่นนี้ เพื่อสอนการทำสงครามให้กับชนรุ่นใหม่ของคนอิสราเอลที่ไม่ได้รู้เรื่องนี้มาก่อน) 3 ต่อไปนี้เป็นบรรดาชนชาติเหล่านั้นคือ กษัตริย์ทั้งห้าพระองค์จากคนฟิลิสเตีย คนคานาอันทั้งหมด คนไซดอน และคนฮีไวต์ผู้ที่อาศัยอยู่ในเทือกเขาเลบานอน ตั้งแต่ภูเขาบาอัลเฮอร์โมนไปจนถึงฮามัทพาส
4 ชนชาติเหล่านี้ยังคงเหลืออยู่ ซึ่งเป็นวิธีการที่พระยาห์เวห์จะทรงใช้ทดสอบอิสราเอล เพื่อยืนยันว่าพวกเขาจะเชื่อฟังพระบัญญัติที่พระองค์ทรงมอบให้แก่บรรดาบรรพบุรุษของพวกเขาผ่านทางโมเสสหรือไม่ 5 ดังนั้นคนอิสราเอลจึงอาศัยอยู่ท่ามกลางคนคานาอัน คนฮิตไทต์ คนอาโมไรต์ คนเปริสซี คนฮีไวต์ และคนเยบุส 6 พวกเขารับพวกบุตรหญิงของคนเหล่านั้นมาเป็นภรรยาของพวกเขา และได้ยกบุตรหญิงของพวกเขาเองให้แก่บุตรชายของคนเหล่านั้น และพวกเขาได้ปรนนิบัติบรรดาพระของพวกเขา
7 คนอิสราเอลทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์และได้ลืมพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขา พวกเขานมัสการบรรดาพระบาอัลและพระอาเชราห์ 8 ด้วยเหตุนี้ พระพิโรธของพระเจ้าจึงพลุ่งขึ้นต่ออิสราเอล และพระองค์ทรงขายพวกเขาไว้ในมือของคูชันริชาธาอิมกษัตริย์แห่งอารัมนาทาราอิม คนอิสราเอลได้รับใช้คูชันริชาธาอิมเป็นเวลาแปดปี
9 เมื่อคนอิสราเอลร้องทูลต่อพระยาห์เวห์ พระยาห์เวห์ทรงให้มีบางคนที่จะมาช่วยคนอิสราเอล และผู้ที่จะช่วยพวกเขา คือโอทนีเอลบุตรชายของเคนัส (น้องชายของคาเลบ) 10 พระวิญญาณของพระยาห์เวห์ได้ทรงเสริมกำลังเขา และเขาได้วินิจฉัยอิสราเอลและออกไปทำสงคราม พระยาห์เวห์ทรงประทานชัยชนะให้แก่เขาเหนือคูชันริชาธาอิมกษัตริย์แห่งอารัม มือของโอทนีเอลก็ได้ทำให้คูชันริชาธาอิมพ่ายแพ้ไป 11 แผ่นดินนี้จึงมีความสงบสุขเป็นเวลาสี่สิบปี แล้วโอทนีเอลบุตรชายของเคนัสก็สิ้นชีวิต
12 หลังจากนั้น คนอิสราเอลก็ทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์อีก และพระยาห์เวห์ทรงเสริมกำลังให้กับกษัตริย์เอกโลนกษัตริย์แห่งโมอับให้มีอำนาจเหนือคนอิสราเอล 13 เอกโลนร่วมมือกับคนอัมโมนและคนอามาเลข และพวกเขาได้ไปและทำให้อิสราเอลพ่ายแพ้ และพวกเขาได้ยึดครองเมืองต้นอินทผาลัม 14 คนอิสราเอลรับใช้เอกโลนกษัตริย์แห่งโมอับเป็นเวลาสิบแปดปี
15 เมื่อคนอิสราเอลร้องทูลต่อพระยาห์เวห์ พระยาห์เวห์ทรงยกชูบางคนขึ้นมาที่จะช่วยพวกเขา คือ เอฮูดบุตรชายของเก-รา คนเผ่าเบนยามิน เป็นคนถนัดมือซ้าย คนอิสราเอลได้ใช้เขาไป พร้อมกับเครื่องบรรณาการของพวกเขาไปถวายเอกโลนกษัตริย์แห่งโมอับ 16 เอฮูดได้ทำดาบที่มีสองคมด้วยตัวเอง ยาวหนึ่งศอก เขาเหน็บดาบนั้นไว้ใต้เสื้อผ้าของเขาที่ต้นขาขวา 17 เขาถวายเครื่องบรรณาการแด่เอกโลนกษัตริย์แห่งโมอับ (ตอนนี้ เอกโลนเป็นคนอ้วนมาก) 18 หลังจากเอฮูดได้ถวายเครื่องบรรณาการแล้ว เขาก็ออกไปกับพวกคนที่หามเครื่องบรรณาการนั้น
19 แต่ส่วนตัวเอฮูดเอง เมื่อเขาไปถึงสถานที่ซึ่งตั้งรูปเคารพแกะสลักที่อยู่ใกล้กิลกาล เขาหันกลับและกลับไป และเขาทูลว่า "ข้าแต่กษัตริย์ของข้าพระองค์ ข้าพระองค์มีข่าวลับที่จะทูลพระองค์" เอกโลนจึงตรัสว่า "เงียบไว้" ดังนั้น ทุกคนที่รับใช้พระองค์อยู่ก็ออกไปจากห้อง 20 เอฮูดเข้ามาเฝ้าพระองค์ กษัตริย์ประทับตามลำพังแต่พระองค์เดียวในห้องที่มีอากาศเย็นชั้นบน เอฮูดจึงทูลว่า "ข้าพระองค์มีถ้อยคำจากพระเจ้ามายังท่าน" กษัตริย์จึงทรงลุกขึ้นจากพระที่นั่ง 21 เอฮูดได้ยื่นมือซ้ายชักดาบนั้นออกมาจากต้นขาขวา และเขาก็ได้แทงดาบเข้าไปในลำตัวของกษัตริย์
22 ดาบก็จมเข้าไปมิดทั้งด้ามที่ในลำตัวพระองค์จน ปลายดาบทะลุออกมาด้านหลัง และไขมันก็หุ้มดาบนั้น เพราะเอฮูดไม่ได้ดึงดาบออกมาจากท้องของพระองค์ 23 แล้วเอฮูดก็ได้ออกไปบนเฉลียงและปิดประตูของห้องชั้นบนที่อยู่ด้านหลังของเขาและปิดประตูใส่กุญแจ 24 หลังจากเอฮูดได้ไปแล้ว พวกข้าราชการของกษัตริย์ก็ได้เข้ามา พวกเขาได้เห็นประตูของห้องชั้นบนปิดใส่กุญแจอยู่ พวกเขาจึงคิดว่า "พระองค์ทรงกำลังปลดทุกข์อยู่ในห้องเย็นชั้นบนอย่างแน่นอน"
25 พวกเขาก็เริ่มกังวลมากขึ้น จนพวกเขารู้สึกว่าพวกเขากำลังละเลยการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา เมื่อกษัตริย์ยังไม่ทรงเปิดประตูไปยังห้องชั้นบน ดังนั้น พวกเขาจึงได้เอากุญแจมาและเปิดประตู และที่นั่นเจ้านายของพวกเขาล้มลงนอนสิ้นชีวิตอยู่ที่พื้น 26 ขณะที่พวกข้าราชการต่างคอยกันอยู่ ด้วยความงงงันว่าพวกเขาควรจะทำอย่างไรดี เอฮูดก็ได้หนีไปแล้ว และได้ผ่านเลยสถานที่ซึ่งมีรูปเคารพแกะสลักไปแล้ว และเขาได้หนีไปยังเสรีอาห์
27 เมื่อเขามาถึง เขาก็เป่าแตรในแดนหุบเขาเอฟราอิม แล้วคนอิสราเอลได้ลงจากหุบเขานั้นไปพร้อมกับเขา และเขาก็นำคนเหล่านั้นไป 28 เขาพูดกับคนเหล่านั้นว่า "จงตามข้าพเจ้ามา เพราะพระยาห์เวห์ทรงกำลังจะทำให้คนโมอับศัตรูของพวกท่านพ่ายแพ้ไป" พวกเขาก็ตามไป และพวกเขาได้ยึดท่าข้ามของแม่น้ำจอร์แดนมาจากคนโมอับ และพวกเขาไม่ยอมให้คนใดข้ามแม่น้ำมา 29 ในตอนนั้น พวกเขาได้ฆ่าคนโมอับประมาณหนึ่งหมื่นคน และทุกคนล้วนเป็นชายฉกรรจ์และมีความสามารถ ไม่มีใครสักคนหนีรอดไปได้เลย
30 ดังนั้น ในวันนั้นโมอับจึงพ่ายแพ้ไปโดยกำลังของอิสราเอล และแผ่นดินนั้นก็พักสงบเป็นเวลาแปดสิบปี 31 หลังจากเอฮูด ผู้วินิจฉัยคนต่อไปคือ ชัมการ์บุตรชายของอานาทผู้ที่ได้ฆ่าคนฟีลิสเตียไป 600 คนด้วยประตักที่ใช้ต้อนฝูงโค เขาได้ช่วยอิสราเอลให้พ้นจากอันตรายด้วย
1 หลังจากเอฮูดได้สิ้นชีวิตแล้ว คนอิสราเอลก็ทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์อีก 2 พระยาห์เวห์จึงทรงขายพวกเขาไว้ในมือของยาบินกษัตริย์แห่งคานาอันผู้ทรงครองราชย์ในกรุงฮาโซร์ ผู้บัญชาการกองทัพของท่านชื่อสิเสรา และเขาอาศัยอยู่ในเมืองฮาโรเชธฮาโกยิม 3 คนอิสราเอลจึงร้องทูลขอความช่วยเหลือจากพระยาห์เวห์ เพราะสิเสรามีรถรบเหล็กเก้าร้อยคัน และเขาได้ข่มเหงอิสราเอลด้วยการบีบบังคับเป็นเวลายี่สิบปี
4 ในขณะนั้น เดโบราห์ผู้เผยพระวจนะหญิง (ภรรยาของลัปปิโดท) เป็นผู้วินิจฉัยที่เป็นผู้นำในอิสราเอลในเวลานั้น 5 นางได้เคยนั่งอยู่ใต้ต้นอินทผาลัมแห่งเดโบราห์ที่อยู่ระหว่างรามาห์กับเบธเอลในแดนเทือกเขาเอฟราอิม และคนอิสราเอลก็มาหานางเพื่อตัดสินข้อพิพาทของพวกเขา 6 นางให้คนไปเรียกบาราคบุตรชายของอาบีโนอัมให้มาจากเคเดชในนัฟทาลี นางกล่าวกับเขาว่า "พระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งอิสราเอล ทรงบัญชาท่านว่า 'จงไปที่ภูเขาทาโบร์ และนำคนหนึ่งหมื่นคนจากนัฟทาลีและเศบูลุนไปพร้อมกับเจ้าด้วย 7 เราจะชักนำสิเสราผู้บัญชาการกองทัพของยาบินออกมาพร้อมกับบรรดารถรบและกองทัพของเขา ให้มาพบกับเจ้าใกล้แม่น้ำคีโชน และเราจะมอบชัยชนะแก่เจ้าเหนือเขา'"
8 บาราคจึงกล่าวกับนางว่า "ถ้าท่านไปกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็จะไป แต่ถ้าท่านไม่ไปกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็จะไม่ไป" 9 นางจึงตอบว่า "ฉันจะไปกับท่านแน่นอน แต่ว่าทางที่ท่านกำลังจะไปนั้นจะไม่ได้นำไปสู่เกียรติยศของท่าน เพราะพระยาห์เวห์จะทรงขายสิเสราไว้ในมือของผู้หญิงคนหนึ่ง" แล้วเดโบราห์ก็ลุกขึ้นและไปพร้อมกับบาราคถึงเคเดช 10 บาราคได้เรียกพวกคนจากเศบูลุนและนัฟทาลีให้เข้ามารวมกันที่เคเดช มีคนหนึ่งหมื่นคนติดตามเขาไป และเดโบราห์ก็ไปพร้อมกับเขาด้วย
11 ในขณะนั้น เฮเบอร์ (คนเคไนต์) ได้แยกตัวเองออกมาจากพวกคนเคไนต์ ซึ่งพวกเขาเป็นพงศ์พันธุ์ของโฮบับ (พ่อตาของโมเสส) และเขาปักหมุดตั้งเต็นท์ของเขาใกล้ต้นโอ๊กในศานันนิมใกล้เคเดช 12 เมื่อพวกเขาบอกสิเสราว่า บาราคบุตรชายของอาบีโนอัมได้ขึ้นไปยังภูเขาทาโบร์แล้ว 13 สิเสราจึงเรียกรถรบทั้งหมดของเขามา ซึ่งเป็นรถรบเหล็กเก้าร้อยคัน และทหารทั้งหมดที่อยู่กับเขา ยกไปจากฮาโรเชทของพวกต่างชาติไปถึงแม่น้ำคีโชน
14 เดโบราห์กล่าวกับบาราคว่า "จงไปเถิด เพราะนี่เป็นวันที่พระยาห์เวห์ได้ทรงมอบชัยชนะแก่ท่านเหนือสิเสรา พระยาห์เวห์ทรงนำหน้าท่านอยู่ไม่ใช่หรือ?" ดังนั้น บาราคจึงลงมาจากภูเขาทาโบร์พร้อมกับพวกคนที่ติดตามเขาหนึ่งหมื่นคน 15 พระยาห์เวห์ทรงทำให้กองทัพของสิเสราสับสน ทั้งรถรบทั้งหมดของเขาและกองทัพทั้งหมดของเขา พวกคนของบาราคก็โจมตีพวกเขา และสิเสราจึงลงจากรถรบของเขาและวิ่งหนีไป 16 แต่บาราคไล่ตามบรรดารถรบและกองทัพนั้นไปยังฮาโรเชทของพวกคนต่างชาติ และกองทัพของสิเสราทั้งหมดก็ถูกประหารด้วยคมดาบ และไม่มีสักคนหนึ่งที่รอดชีวิต 17 แต่สิเสราวิ่งหนีไปยังเต็นท์ของยาเอล ภรรยาของเฮเบอร์คนเคไนต์ เพราะมีสันติภาพระหว่างยาบินกษัตริย์แห่งฮาโซร์กับวงศ์วานของเฮเบอร์คนเคไนต์
18 ยาเอลได้ออกไปพบกับสิเสราและกล่าวกับเขาว่า "ขอเชิญหันมาทางนี้ เจ้านายของดิฉัน ขอเชิญมาหาดิฉัน และอย่ากลัวเลย" ดังนั้น เขาจึงหันไปหานางและเข้าไปในเต็นท์ของนาง และนางก็คลุมเขาด้วยผ้าห่ม 19 เขาจึงพูดกับนางว่า "ขอน้ำให้เราดื่มสักหน่อย เพราะเรากระหายน้ำ" นางจึงเปิดถุงหนังที่ใส่นมและให้เขาดื่ม แล้วนางก็คลุมผ้าให้เขาอีก 20 เขาจึงพูดกับนางว่า "จงยืนอยู่ที่ทางเข้าเต็นท์ ถ้าใครมาและถามเจ้าว่า "มีใครอยู่ที่นี่ไหม?" จงบอกว่า 'ไม่มี' " 21 แล้วยาเอล (ภรรยาของเฮเบอร์) ได้เอาหมุดเต็นท์และค้อนอันหนึ่งมาไว้ในมือของนาง และได้แอบย่องเข้าไปหาเขา เพราะเขาหลับสนิท และนางก็ได้ตอกหมุดเต็นท์เข้าไปที่ขมับของเขา และแทงทะลุเขาจนติดดิน และเขาก็สิ้นชีวิต
22 ขณะที่บาราคกำลังไล่ตามสิเสราอยู่นั้น ยาเอลก็ได้ออกไปพบกับเขา และกล่าวกับเขาว่า "มาเถิด ดิฉันจะชี้ให้ท่านเห็นคนที่ท่านกำลังตามหาอยู่" ดังนั้น เขาจึงเข้าไปกับนาง และสิเสราก็นอนตายอยู่ที่นั่น มีหมุดเต็นท์ในขมับของเขา 23 ดังนั้น ในวันนั้น พระเจ้าได้ทรงทำให้ยาบินกษัตริย์แห่งคานาอันพ่ายแพ้ไปต่อหน้าคนอิสราเอล 24 กำลังของคนอิสราเอลก็เข้มแข็งมากยิ่งขึ้นต่อยาบินกษัตริย์แห่งคานาอัน จนกระทั่งพวกเขาได้ทำลายท่านเสียสิ้น
1 ในวันนั้น เดโบราห์กับบาราคบุตรชายของอาบีโนอัมได้ร้องเพลงนี้ว่า 2 "เมื่อพวกผู้นำได้นำในอิสราเอล เมื่อประชาชนอาสาสมัครไปทำสงครามด้วยความยินดี เราสรรเสริญพระยาห์เวห์ 3 ท่านกษัตริย์ทั้งหลาย ขอจงฟัง ท่านผู้นำทั้งหลาย ขอจงตั้งใจฟัง ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะร้องเพลงถวายแด่พระยาห์เวห์ ข้าพเจ้าจะร้องเพลงสรรเสริญแด่พระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งอิสราเอล
4 ข้าแต่พระยาห์เวห์ เมื่อพระองค์ได้เสด็จออกจากเสอีร์ เมื่อพระองค์ได้ทรงดำเนินจากเอโดม แผ่นดินก็สั่นสะเทือน และท้องฟ้าก็สั่นสะท้าน เมฆก็ได้หลั่งน้ำลงมา 5 ภูเขาก็สั่นไหวต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ แม้แต่ภูเขาซีนายก็สั่นไหวต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งอิสราเอล 6 ในสมัยของชัมการ์ (บุตรชายของอานาท) ในสมัยของยาเอล ทางหลวงก็ร้างเปล่า และคนเหล่านั้นผู้ซึ่งได้สัญจรก็ใช้ทางที่คดเคี้ยวเท่านั้น
7 มีพวกนักรบไม่กี่คนในอิสราเอล จนกระทั่ง ข้าพเจ้า เดโบราห์ได้รับพระบัญชา ผู้เป็นมารดาคนหนึ่งได้รับพระบัญชาในอิสราเอล 8 เมื่อพวกเขาได้เลือกนับถือบรรดาพระใหม่ ได้มีการต่อสู้กันที่ประตูเมือง แต่ไม่มีโล่หรือหอกอยู่เลยท่ามกลางคนสี่หมื่นคนในอิสราเอล 9 ใจของข้าพเจ้าออกไปถึงพวกผู้บัญชาการของอิสราเอล พร้อมกับประชาชนที่อาสาสมัครด้วยความยินดี เราสรรเสริญพระยาห์เวห์สำหรับพวกเขา 10 จงคิดถึงเรื่องนี้ พวกท่านผู้ที่ขี่ลาสีขาวที่นั่งอยู่บนพรมที่ใช้เป็นอาน และพวกท่านที่เดินไปตามถนน
11 จงฟังเสียงของคนเหล่านั้นที่ร้องเพลงในสถานที่ตักน้ำ ที่นั่นพวกเขาบอกถึงพระราชกิจอันชอบธรรมของพระยาห์เวห์อีก และการกระทำอันชอบธรรมของพวกนักรบของพระองค์ในอิสราเอล แล้วประชากรของพระยาห์เวห์ก็ได้ลงไปที่ประตูเมืองนั้น 12 จงตื่นขึ้นเถิด ตื่นขึ้นเถิด เดโบราห์เอ๋ย ตื่นขึ้นเถิด ตื่นขึ้นมาร้องเพลง ลุกขึ้นเถิด บาราค และจับพวกเชลยของท่านไป ท่านบุตรชายของอาบีโนอัม 13 แล้วพวกที่รอดชีวิตก็ได้ลงมาหาพวกผู้สูงศักดิ์ ประชากรของพระยาห์เวห์ได้ลงมาหาข้าพเจ้าพร้อมกับพวกนักรบ
14 พวกเขาได้มาจากเอฟราอิม ผู้ที่รากเหง้าของพวกเขาอยู่ในอามาเลข คนเบนยามินได้ติดตามท่านไป ผู้บัญชาการได้ลงมาจากมาคีร์ และคนเหล่านั้นผู้ซึ่งถือเสาธงของนายทหารมาจากเศบูลุน 15 พวกเจ้านายของข้าพเจ้าในอิสสาคาร์ได้อยู่กับเดโบราห์ และอิสสาคาร์ได้อยู่กับบาราค ซึ่งรีบติดตามเขาเข้าไปในหุบเขาภายใต้คำสั่งของเขา มีการตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่ท่ามกลางตระกูลต่างๆ ของรูเบน
16 ทำไมพวกเจ้าจึงนั่งอยู่ระหว่างเตาผิง เพื่อฟังคนเลี้ยงแกะเป่าปี่ให้ฝูงสัตว์ของพวกเขาฟัง? ส่วนตระกูลต่างๆ ของรูเบนได้มีการตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่ 17 กิเลอาดได้อาศัยอยู่อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดน และดาน ทำไมเขาจึงได้ร่อนเร่ไปบนเรือ? อาเชอร์ยังคงอยู่ที่ริมฝั่งทะเลและได้อาศัยอยูใกล้ท่าเรือของเขา 18 เศบูลุนได้เป็นเผ่าที่เสี่ยงชีวิตของพวกเขาที่มุ่งไปสู่ความตาย และนัฟทาลี ก็เช่นกัน ที่อยู่ในสนามรบ
19 บรรดากษัตริย์ได้มากัน พวกเขาก็ได้สู้รบกัน กษัตริย์ทั้งหลายแห่งคานาอันได้สู้รบที่ทาอานาค ริมน่านน้ำเมกิดโด แต่พวกเขาไม่ได้เอาเงินไปเป็นของริบเลย 20 เหล่าดวงดาวได้สู้รบจากฟ้า จากวิถีของดาวเหล่านั้นข้ามผ่านท้องฟ้า ดาวเหล่านั้นได้สู้รบกับสิเสรา 21 แม่น้ำคีโชนได้กวาดพวกเขาไป แม่น้ำโบราณนั้น คือแม่น้ำคีโชน ใจของข้าพเจ้าเอ๋ย จงเดินหน้าไป จงเข้มแข็งเถิด
22 แล้วเสียงกีบม้าทั้งหลาย ที่กำลังควบมา การควบมาของบรรดาผู้เก่งกล้าของเขา 23 'จงสาปแช่งเมโรส' ทูตของพระยาห์เวห์ได้กล่าว 'แน่ทีเดียว จงสาปแช่งชาวเมืองนั้น เพราะพวกเขาไม่มาช่วยพระยาห์เวห์ เพื่อช่วยพระยาห์เวห์ในการทำสงครามต่อสู้กับพวกนักรบที่เก่งกล้า' 24 ยาเอลได้รับการสรรเสริญยิ่งกว่าหญิงอื่นใดทั้งหมด ยาเอล (ภรรยาของเฮเบอร์คนเคไนต์) นางได้รับการสรรเสริญยิ่งกว่าหญิงอื่นใดทั้งหมดที่อาศัยอยู่ในเต็นท์ทั้งหลาย
25 ชายคนนั้นได้ขอน้ำ และนางได้ให้นมแก่เขา นางได้ให้เนยใส่จานแก่เขาที่คู่ควรสำหรับพวกเจ้านาย 26 นางได้ถือหมุดเต็นท์ไว้ในมือของนาง และมือขวาของนางก็ได้ถือค้อนของคนงาน นางได้ประหารสิเสราด้วยค้อนอันนั้น นางได้ตอกศีรษะของเขา นางได้ทำให้กระโหลกของเขาแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เมื่อนางตอกทะลุศีรษะของเขาไปอีกข้างหนึ่ง 27 เขาได้ทรุดตัวลงระหว่างเท้าของนาง เขาได้ล้มลงและนอนอยู่ที่นั่น เขาได้ล้มลงระหว่างเท้าของนาง สถานที่ที่เขาทรุดตัวลงเป็นที่ซึ่งเขาได้ถูกฆ่าอย่างทารุณ
28 มารดาของสิเสราได้มองออกไปทางหน้าต่าง นางได้จ้องมองผ่านช่องตารางหน้าต่างออกไป และนางร้องเรียกด้วยความเศร้าใจ 'ทำไมรถรบของเขาจึงมาช้าเหลือเกิน? ทำไมเสียงกีบม้าที่ลากรถรบของเขาจึงล่าช้านัก?' 29 บรรดาเจ้าหญิงที่แสนฉลาดของนางได้ตอบ และนางก็ให้คำตอบอย่างเดียวกันกับตัวของนางเองว่า 30 'พวกเขาคงยังไม่พบและยังไม่ได้แบ่งของที่ริบมาได้หรือ?' ผู้หญิงหนึ่งคน ผู้หญิงสองคนสำหรับผู้ชายทุกคน ของที่ริบมาได้ที่เป็นผ้าย้อมสีสำหรับสิเสรา ของที่ริบมาได้ที่เป็นผ้าย้อมสีที่ปักลวดลาย ผ้าย้อมสีที่ปักลวดลายสองผืนสำหรับคอของพวกคนที่ริบมาได้หรือ? 31 ดังนั้น ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอให้ศัตรูทั้งสิ้นของพระองค์จงพินาศไป แต่บรรดาผู้ที่เป็นมิตรของพระองค์จะเป็นเหมือนดั่งตอนที่ดวงอาทิตย์ขึ้นในแสงแรงกล้า" แล้วแผ่นดินนั้นได้มีความสงบสุขเป็นเวลาสี่สิบปี
1 คนอิสราเอลได้ทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ และพระองค์ได้ทรงมอบพวกเขาไว้ในมือของคนมีเดียนเป็นเวลาเจ็ดปี 2 ผู้ที่มีอำนาจของคนมีเดียนก็ได้บีบบังคับอิสราเอล เพราะเหตุจากคนมีเดียน คนอิสราเอลจึงต้องทำที่พักอาศัยสำหรับพวกเขาเองตามที่หลบซ่อนต่างๆ ในเนินเขา ถ้ำต่างๆ และที่กำบังเข้มแข็งต่างๆ 3 เหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นก็คือ เมื่อไรก็ตามที่คนอิสราเอลได้เพาะปลูกพืชของพวกเขา คนมีเดียนและคนอามาเลขและพวกคนที่มาจากทางทิศตะวันออกก็จะเข้ามาโจมตีคนอิสราเอล
4 พวกเขาจะตั้งกองทัพของพวกเขาบนแผ่นดินนั้นและทำลายพืชผลนั้น ตลอดทางไปจนถึงเมืองกาซา พวกเขาจะไม่เหลืออาหารใดๆ ในอิสราเอลเลย และไม่มีฝูงแกะ หรือไม่มีฝูงโคหรือฝูงลา 5 เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาและฝูงสัตว์และเต็นท์ของพวกเขาขึ้นมา พวกเขาก็จะมาเหมือนกับฝูงตั๊กแตน และไม่สามารถที่จะนับจำนวนทั้งคนและอูฐของพวกเขาได้ พวกเขาได้รุกรานเพื่อที่จะทำลายแผ่นดินนั้น 6 คนมีเดียนได้ทำให้คนอิสราเอลอ่อนกำลังลงอย่างมาก คนอิสราเอลจึงได้ร้องทูลต่อพระยาห์เวห์
7 เมื่อคนอิสราเอลร้องทูลต่อพระยาห์เวห์ เหตุเพราะคนมีเดียน 8 พระยาห์เวห์ได้ทรงใช้ผู้เผยพระวจนะคนหนึ่งมาหาคนอิสราเอล ผู้เผยพระวจนะคนนั้นกล่าวกับพวกเขาว่า "นี่คือถ้อยคำพระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งอิสราเอลได้ตรัสว่า 'เราได้นำพวกเจ้าออกมาจากอียิปต์ เราได้นำพวกเจ้าออกมาจากเรือนทาส 9 เราได้ช่วยพวกเจ้าให้พ้นจากมือของชาวอียิปต์ และจากมือของบรรดาคนที่บีบบังคับพวกเจ้า เราได้ขับไล่พวกเขาออกไปพ้นหน้าพวกเจ้า และเราได้มอบแผ่นดินของพวกเขาให้แก่พวกเจ้า 10 เราบอกกับพวกเจ้าว่า "เราคือยาห์เวห์ พระเจ้าของพวกเจ้า" เราได้บัญชาพวกเจ้าไม่ให้นมัสการพระต่างๆ ของคนอาโมไรต์ ในแผ่นดินของพวกเขาที่พวกเจ้าอาศัยอยู่" แต่พวกเจ้าไม่ยอมเชื่อฟังเสียงของเรา'"
11 ในขณะนั้น ทูตของพระยาห์เวห์ได้มาและอยู่ที่ใต้ต้นโอ๊กในโอฟราห์ ซึ่งเป็นของโยอาช (คนอาบีเยเซอร์) ในขณะที่กิเดโอน บุตรชายของโยอาชกำลังนวดข้าวสาลีโดยการฟาดฟ่อนข้าวลงบนพื้นในบ่อย่ำองุ่น เพื่อซ่อนข้าวสาลีจากพวกมีเดียน 12 ทูตของพระยาห์เวห์ได้ปรากฏต่อเขา และได้กล่าวกับเขาว่า "พระยาห์เวห์สถิตกับท่าน ท่านนักรบผู้เข้มแข็ง" 13 กิเดโอนได้กล่าวกับท่านว่า "โอ เจ้านายของข้าพเจ้า ถ้าพระยาห์เวห์สถิตกับพวกเรา แล้วทำไมเหตุการณ์ทั้งหมดนี้จึงเกิดขึ้นกับพวกเรา? พระราชกิจอัศจรรย์ของพระองค์ทั้งสิ้นที่บรรพบุรุษของพวกเราได้เล่าให้พวกเราฟังอยู่ที่ไหน เมื่อพวกเขาได้พูดว่า 'พระยาห์เวห์ทรงนำพวกเราขึ้นมาจากอียิปต์ไม่ใช่หรือ?' แต่บัดนี้ พระยาห์เวห์ได้ทรงทอดทิ้งพวกเราและมอบพวกเราไว้ในมือของคนมีเดียน"
14 พระยาห์เวห์ได้ทรงมองเขาและตรัสว่า "จงไปด้วยกำลังที่เจ้ามีอยู่แล้ว จงปลดปล่อยอิสราเอลให้พ้นจากมือของคนมีเดียน เราได้ส่งเจ้าไปไม่ใช่หรือ?" 15 กิเดโอนจึงได้ทูลพระองค์ว่า "ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระกรุณา ข้าพระองค์จะปลดปล่อยอิสราเอลได้อย่างไร? ดูเถิด ครอบครัวของข้าพระองค์ก็ต่ำต้อยที่สุดในเผ่ามนัสเสห์ และข้าพระองค์ก็เป็นคนเล็กน้อยที่สุดในบ้านของบิดาของข้าพระองค์" 16 พระยาห์เวห์ได้ตรัสตอบเขาว่า "เราจะอยู่กับเจ้า และเจ้าจะชนะกองทัพคนมีเดียนทั้งหมดอย่างกับสู้รบกับคนๆเดียว"
17 กิเดโอนได้ทูลพระองค์ว่า "ถ้าหากพระองค์ทรงพอพระทัยข้าพระองค์ แล้วขอประทานหมายสำคัญว่า พระองค์ทรงเป็นผู้ที่ตรัสกับข้าพระองค์ 18 ขอทรงโปรดอย่าเสด็จไปจากที่นี่ จนกว่าข้าพระองค์จะกลับมาหาพระองค์ และนำของถวายของข้าพระองค์มา และตั้งไว้ต่อพระพักตร์พระองค์" พระยาห์เวห์ได้ตรัสว่า "เราจะรอจนกว่าเจ้าจะกลับมา" 19 กิเดโอนจึงได้ไปและจัดเตียมลูกแพะ และเขาได้ทำขนมปังไร้เชื้อจากแป้งหนึ่งเอฟาห์ เขาได้ใส่เนื้อในกระจาด และเขาได้ใส่น้ำแกงลงในหม้อและได้นำสิ่งเหล่านั้นมาหาพระองค์ใต้ต้นโอ๊กนั้น และได้ถวายสิ่งเหล่านั้น
20 ทูตของพระเจ้าได้กล่าวเขาว่า "จงเอาเนื้อกับขนมปังไร้เชื้อมาและวางบนก้อนหินนี้ และเทน้ำแกงลงไปบนของเหล่านั้น" กิเดโอนก็ทำตามนั้น 21 แล้วทูตของพระยาห์เวห์ได้ยื่นปลายไม้ในมือของท่าน แตะเนื้อและขนมปังไร้เชื้อด้วยไม้นั้น ไฟก็ลุกขึ้นจากก้อนหินและเผาไหม้เนื้อและขนมปังไร้เชื้อนั้น แล้วทูตของพระยาห์เวห์ก็ได้จากไป และกิเดโอนก็ไม่ได้เห็นท่านอีกเลย 22 กิเดโอนก็ได้เข้าใจว่านี่เป็นทูตของพระยาห์เวห์ กิเดโอนได้ทูลว่า "โอ ข้าแต่พระยาห์เวห์ องค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะข้าพระองค์ได้เห็นทูตของพระยาห์เวห์หน้าต่อหน้า" 23 พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับเขาว่า "สันติสุขจงดำรงอยู่กับเจ้า อย่ากลัวเลย เจ้าจะไม่ตาย"
24 ดังนั้น กิเดโอนจึงได้สร้างแท่นบูชาแด่พระยาห์เวห์ที่นั่น เขาเรียกแท่นนั้นว่า "พระยาห์เวห์คือสันติสุข" แท่นนั้นยังคงตั้งอยู่ที่โอฟราห์ของตระกูลอาบีเยเซอร์มาจนถึงทุกวันนี้ 25 คืนนั้น พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับเขาว่า "จงเอาโคตัวผู้ของบิดาของเจ้าไป และโคตัวผู้ตัวที่สองที่อายุเจ็ดปีอีกตัวหนึ่ง และพังแท่นบูชาของพระบาอัลที่เป็นของบิดาของเจ้า และจงโค่นเสาอาเชราห์ที่อยู่ข้างแท่นนั้นด้วย 26 จงสร้างแท่นบูชาแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าที่บนสุดของที่ลี้ภัยแห่งนี้ และก่อสร้างแท่นนั้นให้ถูกวิธี จงถวายโคตัวผู้ตัวที่สองเป็นเครื่องเผาบูชา จงใช้ฟืนจากเสาอาเชราห์ที่เจ้าได้โค่นลงมา"
27 ดังนั้น กิเดโอนจึงได้พาคนรับใช้ของเขาสิบคนไปและได้ทำตามที่พระยาห์เวห์ได้ทรงบอกเขา แต่เพราะว่าเขากลัวครอบครัวบิดาของเขาและกลัวชาวเมืองมากเกินกว่าที่จะทำในตอนกลางวัน เขาจึงได้ทำตอนกลางคืน 28 ในตอนเช้า เมื่อชาวเมืองได้ตื่นขึ้น แท่นบูชาของพระบาอัลได้พังทลายลงมา และเสาอาเชราห์ที่อยู่ข้างแท่นนั้นก็ถูกโค่นลงมา และโคตัวผู้ตัวที่สองก็ได้ถวายบนแท่นบูชาที่ได้สร้างขึ้นมา 29 ชาวเมืองนั้นก็พูดกันว่า "ใครได้ทำเช่นนี้?" เมื่อพวกเขาได้พูดคุยกับคนอื่นๆ และได้หาคำตอบเรื่องนี้ พวกเขาได้กล่าวว่า "กิเดโอนบุตรชายของโยอาชได้ทำสิ่งนี้"
30 แล้วชาวเมืองนั้นได้พูดกับโยอาชว่า "จงนำบุตรชายของเจ้าออกมา เพื่อที่เขาจะถูกลงโทษถึงตาย เพราะเขาได้พังแท่นบูชาของพระบาอัล และเพราะเขาได้โค่นเสาอาเชราห์ที่อยู่ข้างแท่นนั้น" 31 โยอาชจึงได้พูดกับคนทั้งปวงที่มาฟ้องต่อเขาว่า "พวกท่านจะสู้ความแทนพระบาอัลหรือ? พวกท่านจะช่วยพระนั้นหรือ? ใครก็ตามที่สู้ความแทนพระนั้น ก็ให้เขาถูกลงโทษถึงตายขณะที่ยังเช้าอยู่ ถ้าพระบาอัลเป็นพระจริง ก็ให้ท่านสู้ความเองเถิด เมื่อมีใครมาพังแท่นบูชาของท่าน" 32 ด้วยเหตุนี้ ในวันนั้น พวกเขาจึงได้เรียกกิเดโอนว่า "เยรุบบาอัล" เพราะเขาได้กล่าวว่า "ให้บาอัลสู้ความเอง" เพราะกิเดโอนได้พังแท่นของพระบาอัลลงมา
33 ขณะนั้น บรรดาคนมีเดียน คนอามาเลข และชาวตะวันออกได้มาชุมนุมกัน พวกเขาได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดนและได้ตั้งค่ายในหุบเขายิสเรเอล 34 แต่พระวิญญาณของพระยาห์เวห์ได้เสด็จมาเหนือกิเดโอน กิเดโอนจึงได้เป่าแตร เรียกตระกูลอาบีเยเซอร์ เพื่อให้พวกเขาติดตามเขาไป 35 เขาได้ส่งผู้สื่อสารไปทั่วเผ่ามนัสเสห์ทั้งหมด และพวกเขาก็ได้ถูกเรียกให้ออกมาติดตามเขาด้วย เขาได้ส่งผู้สื่อสารไปยังเผ่าอาเชอร์ เผ่าเศบูลุน และเผ่านัฟทาลีด้วย และพวกเขาก็ขึ้นไปพบกับเขา
36 กิเดโอนทูลต่อพระเจ้าว่า "ถ้าพระองค์ทรงประสงค์จะใช้ข้าพระองค์เพื่อช่วยกู้อิสราเอล ดังที่พระองค์ได้ตรัสแล้ว 37 ดูเถิด ข้าพระองค์วางกลุ่มขนแกะไว้บนลานนวดข้าว ถ้าหากมีน้ำค้างเฉพาะที่กลุ่มขนแกะเท่านั้น และบนพื้นดินทั้งหมดแห้ง แล้วข้าพระองค์ก็จะรู้ว่า พระองค์จะทรงใช้ข้าพระองค์ให้ช่วยกู้อิสราเอลตามที่พระองค์ได้ตรัส" 38 นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น กิเดโอนได้ลุกขึ้นแต่เช้าในวันรุ่งขึ้น เขาได้บีบกลุ่มขนแกะเข้าด้วยกัน และบิดน้ำค้างออกมาจากกลุ่มขนแกะนั้น มีน้ำมากพอจนเต็มชาม
39 แล้วกิเดโอนได้ทูลต่อพระเจ้าว่า "ขออย่ากริ้วต่อข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะขอทูลอีกครั้ง ขอทรงโปรดให้ข้าพระองค์ทดสอบด้วยกลุ่มขนแกะอีกครั้ง ครั้งนี้ขอให้กลุ่มขนแกะแห้ง และให้มีน้ำค้างอยู่บนพื้นดินโดยรอบ" 40 พระเจ้าทรงได้กระทำตามที่เขาได้ร้องขอในคืนนั้น กลุ่มขนแกะแห้ง และมีน้ำค้างอยู่บนพื้นดินโดยรอบกลุ่มขนแกะนั้น
1 แล้วเยรุบบาอัล (นั่นก็คือกิเดโอน) และประชาชนทั้งหมดที่อยู่กับเขาได้ลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ และพวกเขาได้ตั้งค่ายอยู่ข้างน้ำพุฮาโรด ค่ายของคนมีเดียนอยู่ทางเหนือของพวกเขาในหุบเขาใกล้ภูเขาโมเรห์ 2 พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับกิเดโอนว่า "มีทหารมากเกินไปสำหรับเราที่จะมอบชัยชนะเหนือคนมีเดียนให้แก่เจ้า เพื่อที่อิสราเอลจะไม่โอ้อวดต่อเราได้ โดยกล่าวว่า 'กำลังของพวกเราเองได้ช่วยกู้พวกเราไว้'
3 เพราะฉะนั้น จงประกาศให้ประชาชนได้ยินเดี๋ยวนี้ และกล่าวว่า 'คนใดที่กลัว คนใดที่ตัวสั่น ก็ให้เขากลับไป และออกไปจากภูเขากิเลอาด"' ดังนั้น มีคนสองหมื่นสองพันคนได้ออกไป คงเหลืออยู่หนึ่งหมื่นคน 4 พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับกิเดโอนว่า "ประชาชนยังมากเกินไป จงพาพวกเขาลงไปที่น้ำ และที่นั่น เราจะทำให้จำนวนของพวกเขาน้อยลงสำหรับเจ้า ถ้าเราบอกเจ้าว่า 'คนนี้จะไปกับเจ้า' เขาก็จะไปกับเจ้า แต่ถ้าเราบอกว่า 'คนนี้จะไม่ไปกับเจ้า' เขาก็จะไม่ไป"
5 ดังนั้น กิเดโอนจึงได้นำประชาชนลงไปที่น้ำ และพระยาห์เวห์ได้ตรัสกับเขาว่า "จงแยกทุกคนที่เลียน้ำเหมือนกับที่สุนัขเลียน้ำ ออกจากพวกคนที่คุกเข่าลงดื่มน้ำ" 6 มีคนสามร้อยคนที่ได้เลียน้ำ ส่วนคนที่เหลือได้คุกเข่าลงดื่มน้ำ 7 พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับกิเดโอนว่า "เราจะช่วยเจ้าและมอบชัยชนะเหนือคนมีเดียนให้แก่เจ้า ด้วยคนสามร้อยคนที่เลียน้ำ ให้คนอื่นทุกคนกลับไปยังที่ของเขา"
8 ดังนั้น คนที่ได้รับเลือกเหล่านั้นก็ได้เอาเสบียงและแตรของพวกเขาไป กิเดโอนได้ส่งพวกคนอิสราเอลทั้งหมดไป ทุกคนก็ได้ไปยังเต็นท์ของเขา แต่เขายังคงให้สามร้อยคนนั้นอยู่ ในขณะนั้น ค่ายของคนมีเดียนได้ลงมาอยู่ข้างล่างเขาในหุบเขา 9 ในคืนเดียวกันนั้น พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับเขาว่า "จงตื่นขึ้น ไปโจมตีค่ายนั้น เพราะเราจะมอบชัยชนะแก่เจ้าเหนือค่ายนั้น
10 แต่ถ้าเจ้ากลัวที่จะลงไป ก็จงลงไปที่ค่ายนั้นกับปูราห์คนรับใช้ของเจ้า 11 และฟังว่าพวกเขาพูดอะไรกัน และความกล้าหาญของเจ้าจะได้รับเสริมกำลังให้โจมตีค่ายนั้น" ดังนั้น กิเดโอนจึงได้ไปกับปูราห์คนรับใช้ของเขา ลงไปที่กองกำลังรักษาการณ์ของค่ายนั้น
12 บรรดาคนมีเดียน คนอามาเลข และพวกชาวตะวันออกได้ตั้งทัพอยู่ตามหุบเขานั้น หนาแน่นเหมือนกับฝูงของตั๊กแตน ฝูงอูฐของพวกเขาก็เกินกว่าที่จะนับได้แล้ว พวกเขามีจำนวนมากกว่าเม็ดทรายบนฝั่งทะเล 13 เมื่อกิเดโอนได้มาถึงที่นั่น ชายคนหนึ่งกำลังเล่าความฝันให้เพื่อนของเขาฟัง ชายคนนั้นได้กล่าวว่า "ดูสิ ข้าได้ฝันเรื่องหนึ่ง และข้าได้เห็นขนมปังบาร์เลย์กลมอันหนึ่งกำลังกลิ้งเข้ามาในค่ายของคนมีเดียน มันได้เข้ามาที่เต็นท์นั้น และชนเต็นท์อย่างแรงจนเต็นท์นั้นโค่นลงและพลิกหงายขึ้น แล้วเต็นท์นั้นก็ราบไป"
14 ชายอีกคนหนึ่งได้พูดว่า "นี่ไม่ใช่สิ่งอื่นใด นอกจากดาบของกิเดโอน (บุตรชายของโยอาช) คนอิสราเอล พระเจ้าได้ทรงมอบชัยชนะให้แก่เขาเหนือคนมีเดียนและกองทัพทั้งหมดของพวกเขาแล้ว" 15 เมื่อกิเดโอนได้ยินการเล่าเรื่องความฝันและการแปลความหมายความฝันนั้น เขาก็ได้ก้มกราบลงนมัสการ เขาได้กลับไปยังค่ายของอิสราเอล และได้กล่าวว่า "จงลุกขึ้นเถิด พระยาห์เวห์ได้ทรงมอบชัยชนะเหนือกองทัพมีเดียนให้แก่พวกท่านแล้ว"
16 เขาจึงได้แบ่งคนสามร้อยคนนั้นออกเป็นสามกลุ่ม และเขาได้ให้แตรทั้งหมด และหม้อเปล่าที่มีคบเพลิงอยู่ในหม้อแต่ละใบแก่พวกเขา 17 เขาได้พูดกับคนเหล่านั้นว่า "จงมองดูข้าพเจ้าและทำตามที่ข้าพเจ้าทำ จงคอยเฝ้าดู เมื่อข้าพเจ้ามาถึงค่ายด้านนอกนั้น พวกท่านต้องทำอย่างที่ข้าพเจ้าทำ 18 เมื่อข้าพเจ้าเป่าแตร ทั้งข้าพเจ้าและทุกคนที่อยู่กับข้าพเจ้า แล้วก็จงเป่าแตรของพวกท่านด้วย จากทุกๆ ด้านของค่ายทั้งหมด และร้องตะโกนว่า 'เพื่อพระยาห์เวห์และเพื่อกิเดโอน'"
19 ดังนั้น กิเดโอนกับคนหนึ่งร้อยคนที่อยู่กับเขาได้มาถึงด้านนอกค่าย ในเวลาต้นยามกลาง ขณะที่คนมีเดียนกำลังผลัดเปลี่ยนเวรยามรักษาการณ์ พวกเขาก็ได้เป่าแตรและทุบหม้อเหล่านั้นที่อยู่ในมือของพวกเขาให้แตก 20 ทั้งสามกองก็ได้เป่าแตรและทุบหม้อเหล่านั้นให้แตก พวกเขาถือคบเพลิงในมือซ้ายของพวกเขา และถือแตรในมือขวาของพวกเขาเพื่อเป่าแตรนั้น พวกเขาร้องตะโกนว่า "ดาบเพื่อพระยาห์เวห์และเพื่อกิเดโอน"
21 ทุกคนก็ยืนอยู่ในที่ของเขารอบค่ายนั้น และกองทัพคนมีเดียนทั้งหมดก็ได้วิ่งหนี พวกเขาได้ตะโกนและวิ่งหนีไป 22 เมื่อพวกเขาได้เป่าแตรสามร้อยอันนั้น พระยาห์เวห์ได้ทรงทำให้ดาบของคนมีเดียนทุกคนต่อสู้กับเพื่อนของเขา และต่อสู้กับกองทัพทั้งหมดของพวกเขา กองทัพนั้นก็ได้หนีไปไกลจนถึงเบธชิททาห์ ทางไปยังเศเรราห์ ไกลไปจนถึงเขตแดนของอาเบลเมโฮลาห์ ใกล้ทับบาท 23 คนอิสราเอลจากเผ่านัฟทาลี เผ่าอาเชอร์ และเผ่ามนัสเสห์ทั้งหมดก็ได้ถูกเรียกออกมา และพวกเขาก็ได้ไล่ตามคนมีเดียนไป
24 กิเดโอนได้ส่งผู้สื่อสารออกไปทั่วแดนเทือกเขาเอฟราอิม ได้กล่าวว่า "จงลงไปต่อสู้กับคนมีเดียน และยึดแม่น้ำจอร์แดนไว้ ไกลไปจนถึงเบธบาราห์ เพื่อหยุดยั้งพวกเขา" ดังนั้น คนเอฟราอิมทั้งหมดก็ได้มาชุมนุมกัน และยึดบรรดาลำน้ำนั้นไว้ ไปไกลจนถึงเบธบาราห์และแม่น้ำจอร์แดน 25 พวกเขาได้จับเจ้านายสองคนของมีเดียนคือ โอเรบกับเศเอบ พวกเขาได้ประหารโอเรบที่ศิลาโอเรบ และพวกเขาได้ประหารเศเอบที่บ่อย่ำองุ่นเศเอบ พวกเขาได้ไล่ตามคนมีเดียนไป และพวกเขาได้นำศีรษะของโอเรบและเศเอบมาให้กิเดโอนที่อยู่อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดน
1 คนเอฟราอิมได้พูดกับกิเดโอนว่า "ท่านได้ทำอะไรกับพวกเราเช่นนี้? ท่านไม่ได้เรียกพวกเรา ตอนที่ท่านได้ไปสู้รบกับคนมีเดียน" แล้วพวกเขาก็ได้โต้เถียงกิเดโอนอย่างรุนแรง 2 กิเดโอนจึงตอบพวกเขาว่า "บัดนี้ ข้าพเจ้าได้ทำอะไรที่จะไปเทียบกับพวกท่านได้หรือ? ผลองุ่นที่ชาวเอฟราอิมเก็บตกก็ยังดีกว่าผลองุ่นที่อาบีเยเซอร์เก็บเกี่ยวทั้งหมดไม่ใช่หรือ? 3 พระเจ้าได้ประทานชัยชนะแก่พวกท่านเหนือบรรดาเจ้านายของคนมีเดียน คือโอเรบกับเศเอบ ข้าพเจ้ามีความสามารถอะไรที่จะเทียบกับพวกท่านได้?" เมื่อกิเดโอนได้พูดดังนี้ พวกเขาก็หายโกรธ
4 กิเดโอนได้มายังแม่น้ำจอร์แดนและข้ามแม่น้ำนั้น ทั้งเขาและคนสามร้อยคนที่ได้อยู่กับเขา พวกเขาอ่อนล้า แต่พวกเขาก็คงไล่ตามไป 5 เขาได้พูดกับชาวเมืองสุคคทว่า "ขอโปรดให้ขนมปังแก่คนที่ติดตามเรามาเถิด เพราะพวกเขาอ่อนล้า และข้าพเจ้ากำลังไล่ตามเศบาห์กับศัลมุนนากษัตริย์ของมีเดียน" 6 แล้วพวกเจ้านายทั้งหลายจึงได้ตอบว่า "ตอนนี้ มือของเศบาห์กับศัลมุนนาอยู่ในมือของเจ้าแล้วหรือ? ทำไมเราจึงควรให้ขนมปังแก่กองทัพของเจ้า?" 7 กิเดโอนจึงได้ตอบว่า "เมื่อพระยาห์เวห์ได้ทรงมอบชัยชนะแก่เราเหนือเศบาห์กับศัลมุนนาแล้ว เราจะฉีกหนังของพวกท่านด้วยหนามในทะเลทรายและพุ่มหนาม"
8 เขาได้ขึ้นไปจากที่นั่นไปยังเมืองเปนูเอล และได้พูดกับชาวเมืองที่นั่นอย่างเดียวกัน แต่ชาวเมืองเปนูเอลก็ได้ตอบเขาเหมือนกับชาวเมืองสุคคทได้ตอบ 9 เขาจึงได้พูดกับชาวเมืองเปนูเอล และกล่าวว่า "เมื่อข้าพเจ้ากลับมาอีกครั้งโดยสวัสดิภาพ ข้าพเจ้าจะพังหอคอยนี้" 10 ตอนนี้เศบาห์กับศัลมุนนาได้อยู่ที่คารโคร์กับกองทัพของพระองค์ ที่มีประมาณหนึ่งหมื่นห้าพันคน คนทั้งหมดที่ยังเหลืออยู่จากกองทัพทั้งหมดของชาวตะวันออก เพราะมีคนที่ได้รับการฝึกฝนในการสู้รบด้วยดาบได้ล้มตายไป 120,000 คน
11 กิเดโอนได้ขึ้นไปตามถนนที่พวกอาศัยอยู่ในเต็นท์ยึดครอง ผ่านโนบาห์กับโยกเบฮาห์ไป เขาได้ทำให้กองทัพศัตรูนั้นพ่ายแพ้ไป เพราะพวกเขาไม่ได้คิดว่าจะถูกโจมตี 12 เศบาห์กับศัลมุนนาจึงหนีไป และขณะที่กิเดโอนไล่ตามพวกเขาไป เขาได้จับกษัตริย์มีเดียนทั้งสองพระองค์คือเศบาห์กับศัลมุนนา และทำให้กองทัพทั้งสิ้นของพวกเขาแตกตื่น 13 กิเดโอนบุตรชายของโยอาชกลับมาจากการทำสงครามโดยผ่านมาทางเฮเรส 14 เขาจึงจับตัวชายหนุ่มคนหนึ่งที่เป็นชาวสุคคท และถามคำถามเขา ชายหนุ่มคนนั้นจึงเขียนชื่อของพวกข้าราชการและพวกผู้ใหญ่เจ็ดสิบเจ็ดคนของเมืองสุคคท
15 กิเดโอนได้มาหาชาวเมืองสุคคทและกล่าวว่า "จงดูเศบาห์กับศัลมุนนา คือพวกท่านได้เยาะเย้ยข้าพเจ้า และกล่าวว่า 'เจ้าได้ชนะเศบาห์กับศัลมุนนาแล้วหรือ? เราไม่รู้ว่าเราควรจะให้ขนมปังแก่กองทัพของเจ้า'" 16 กิเดโอนจึงนำพวกผู้ใหญ่ในเมืองนั้นไป และเขาได้ลงโทษชาวเมืองสุคคทเหล่านั้นด้วยหนามในทะเลทรายและพุ่มหนาม 17 แล้วเขาก็ได้พังหอคอยของเมืองเปนูเอลลงมาและประหารชาวเมืองนั้น
18 แล้วกิเดโอนจึงกล่าวกับเศบาห์กับศัลมุนนาว่า "คนเหล่านั้นที่พวกท่านฆ่าที่ภูเขาทาโบร์เป็นคนประเภทไหน? พวกเขาตอบว่า "ท่านเป็นอย่างไร พวกเขาก็เป็นอย่างนั้น ทุกคนในพวกเขามองดูเหมือนกับโอรสของกษัตริย์" 19 กิเดโอนจึงกล่าวว่า "พวกเขาเป็นพี่น้องของข้าพเจ้า ซึ่งเป็นพวกบุตรชายของมารดาของข้าพเจ้า พระยาห์เวห์ทรงพระชนม์อยู่ฉันใด ถ้าพวกท่านช่วยพวกเขาให้มีชีวิตอยู่ ข้าพเจ้าก็จะไม่ฆ่าพวกท่าน" 20 เขาพูดกับเยเธอร์ (บุตรหัวปีของเขา) "จงลุกขึ้นและประหารพวกเขา" แต่ชายหนุ่มไม่ได้ชักดาบออกมาเพราะเขากลัว เพราะเขายังเป็นเด็กหนุ่ม
21 แล้วเศบาห์กับศัลมุนนาจึงกล่าวว่า "ท่านจงลุกขึ้นและประหารพวกเราเองซิ เพราะยิ่งหนุ่มแน่นมากเท่าใด กำลังของเขาก็มากขึ้นเท่านั้น" กิเดโอนจึงลุกขึ้นและประหารเศบาห์กับศัลมุนนา เขายังได้เอาเครื่องประดับรูปพระจันทร์เสี้ยวที่อยู่บนคอของอูฐของพวกเขามาด้วย 22 แล้วคนอิสราเอลจึงได้กล่าวกับกิเดโอนว่า "ขอจงปกครองเหนือเราเถิด ทั้งท่านและบุตรชายของท่าน และหลานชายของท่าน เพราะท่านได้ช่วยพวกเราให้พ้นจากมือของคนมีเดียน" 23 กิเดโอนจึงตอบพวกเขาว่า "ข้าพเจ้าจะไม่ปกครองพวกท่าน บุตรชายของข้าพเจ้าก็จะไม่ปกครองพวกท่านเช่นกัน พระยาห์เวห์จะทรงปกครองพวกท่าน"
24 กิเดโอนได้กล่าวกับพวกเขาว่า "ให้ข้าพเจ้าขออย่างหนึ่งจากพวกท่าน ขอให้แต่ละคนในพวกท่านให้ตุ้มหูเหล่านั้นจากของที่ริบมาของเขาให้แก่ข้าพเจ้า" (คนมีเดียนมีตุ้มหูทองคำ เพราะพวกเขาเป็นคนอิชมาเอล) 25 พวกเขาตอบว่า "พวกเรายินดีที่จะให้สิ่งเหล่านั้นแก่ท่าน" พวกเขาจึงปูเสื้อคลุมและทุกคนต่างก็โยนตุ้มหูจากของที่ริบมาของเขาได้ลงไปในนั้น 26 น้ำหนักของตุ้มหูทองคำที่เขาได้ขอมา 1,700 เชเขลทองคำ นอกจากของที่ริบมาได้นี้ยังมีเครื่องประดับรูปพระจันทร์เสี้ยว จี้ห้อยคอ และผ้าสีม่วงที่พวกกษัตริย์มีเดียนสวมใส่ และอีกทั้งสร้อยที่คล้องคอพวกอูฐของพวกเขาด้วย
27 กิเดโอนทำเอโฟดอันหนึ่งจากตุ้มหูเหล่านั้นและเก็บไว้ในเมืองของเขาในเมืองโอฟราห์ และคนอิสราเอลทั้งหมดก็เล่นชู้โดยการนมัสการเอโฟดนั้นที่นั่น ซึ่งได้กลายมาเป็นกับดักแก่กิเดโอนและพวกคนที่อยู่ในบ้านของเขา 28 ดังนั้น คนมีเดียนจึงพ่ายแพ้ไปต่อหน้าคนอิสราเอลและพวกเขาก็ไม่ได้เงยศีรษะขึ้นมาอีก ดังนั้น แผ่นดินนั้นก็มีความสงบสุขเป็นเวลาสี่สิบปีในสมัยของกิเดโอน 29 เยรุบบาอัลบุตรชายของโยอาชก็ได้ไปและอาศัยอยู่ในบ้านของตน
30 กิเดโอนได้มีบุตรชายเจ็ดสิบคนที่เป็นเชื้อสายของเขา เพราะเขามีภรรยาหลายคน 31 ภรรยาน้อยของเขาที่อยู่ในเมืองเชเคม ก็ให้กำเนิดบุตรชายให้แก่เขาด้วย กิเดโอนตั้งชื่อให้เขาว่าอาบีเมเลค 32 กิเดโอนบุตรชายของโยอาชสิ้นชีวิตเมื่อวัยชรามากแล้ว และถูกฝังไว้ในเมืองโอฟราห์ในอุโมงค์ฝังศพของโยอาชบิดาของเขา ซึ่งเป็นของตระกูลอาบีเยเซอร์
33 ต่อมาทันทีที่กิเดโอนสิ้นชีวิต คนอิสราเอลก็หันกลับไปอีกและเล่นชู้โดยการนมัสการบรรดาพระบาอัล พวกเขาได้ทำให้บาอัลเบรีทเป็นพระของพวกเขา 34 คนอิสราเอลไม่ได้ระลึกถึงการที่จะถวายพระเกียรติแด่พระยาห์เวห์ พระเจ้าของพวกเขาผู้ได้ทรงช่วยพวกเขาจากมือของศัตรูของพวกเขาจากทุกๆ ด้าน 35 พวกเขาไม่ได้รักษาสัญญาที่มีต่อวงศ์วานของเยรุบบาอัล (นั่นคือ กิเดโอน) ในการตอบแทนสำหรับการดีทั้งหมดที่เขาได้ทำในอิสราเอล
1 อาบีเมเลคบุตรชายของเยรุบบาอัลได้ไปหาบรรดาญาติของมารดาของเขาที่เมืองเชเคม และเขาพูดกับพวกเขาและกับตระกูลของครอบครัวของมารดาของเขาทั้งหมดว่า 2 "ขอโปรดพูดดังนี้ เพื่อให้พวกผู้นำในเมืองเชเคมทั้งหมดได้ยินว่า "อย่างไหนจะดีกว่ากันสำหรับพวกท่าน ที่จะมีบุตรชายของเยรุบบาอัลทั้งหมดเจ็ดสิบคนปกครองเหนือพวกท่าน หรือว่ามีแค่คนเดียวปกครองเหนือพวกท่าน? ขอให้ระลึกด้วยว่าข้าพเจ้าเป็นกระดูกและเป็นเนื้อของท่าน" 3 บรรดาญาติของมารดาของเขาได้พูดกับพวกผู้นำในเมืองเชเคมให้กับเขา และพวกเขาก็เห็นด้วยที่จะติดตามอาบีเมเลค เพราะพวกเขาได้กล่าวว่า "เขาเป็นพี่น้องของพวกเรา"
4 พวกเขาจึงให้เงินเจ็ดสิบแผ่นจากวิหารของพระบาอัลเบรีทแก่เขา และอาบีเมเลคใช้เงินนั้นไปจ้างพวกคนผู้ซึ่งติดตามเขาที่มีลักษณะเป็นนักเลงอันธพาล 5 อาบีเมเลคไปที่บ้านของบิดาของเขาที่เมืองโอฟราห์ และบนศิลาแผ่นเดียว เขาฆ่าพี่น้องของเขาทั้งเจ็ดสิบคนที่เป็นบุตรชายของเยรุบบาอัล เหลือเพียงแต่โยธามที่เป็นบุตรชายคนสุดท้องของเยรุบบาอัลเท่านั้น เพราะเขาซ่อนตัวอยู่ 6 พวกผู้นำของเมืองเชเคมกับเมืองเบธมิลโลทั้งหมดจึงได้มาชุมนุมกันและพวกเขาก็ไปและตั้งอาบีเมเลคเป็นกษัตริย์ ที่ข้างต้นโอ๊กใกล้กับเสานั้นที่อยู่ในเมืองเชเคม
7 เมื่อโยธามทราบเรื่องนี้ เขาก็ไปและยืนอยู่บนยอดภูเขาเกริซิม เขาตะโกนและพูดกับพวกเขาว่า "พวกเจ้า พวกผู้นำของเมืองเชเคม ขอจงฟังเรา เพื่อที่พระเจ้าจะทรงฟังพวกเจ้า 8 ครั้งหนึ่ง ต้นไม้ต่างๆ ได้ออกไปเพื่อเจิมตั้งกษัตริย์องค์หนึ่งให้ปกครองพวกมัน เพราะพวกมันพูดกับต้นมะกอกว่า 'ขอจงปกครองเหนือพวกเราเถิด' 9 แต่ต้นมะกอกตอบพวกมันว่า "ฉันควรจะเลิกผลิตน้ำมันของฉันที่ใช้ถวายเกียรติแด่บรรดาพระและมนุษย์ เพื่อฉันจะกลับไป และกวัดแกว่งอยู่เหนือต้นไม้ทั้งหลายหรือ?" 10 ต้นไม้เหล่านั้นจึงพูดกับต้นมะเดื่อว่า 'ขอจงมาและปกครองพวกเราเถิด' 11 แต่ต้นมะเดื่อตอบพวกมันว่า 'ฉันควรจะเลิกผลิตผลที่หวานและดีของฉัน เพื่อฉันจะกลับไป และกวัดแกว่งอยู่เหนือต้นไม้อื่นๆ หรือ?'
12 ต้นไม้เหล่านั้นจึงพูดกับเถาองุ่นว่า 'ขอจงมาและปกครองเหนือเราเถิด' 13 เถาองุ่นจึงตอบพวกมันว่า 'ฉันควรจะหยุดผลิตเหล้าองุ่นใหม่ของฉัน ที่ทำให้บรรดาพระและมนุษย์ชื่นใจ และกลับไป และกวัดแกว่งเหนือต้นไม้อื่นๆ หรือ?' 14 แล้วต้นไม้เหล่านั้นจึงพูดกับต้นพุ่มหนามว่า 'ขอจงมาและปกครองเหนือเราเถิด' 15 ต้นพุ่มหนามพูดกับต้นไม้เหล่านั้นว่า 'ถ้าพวกเจ้าต้องการเจิมฉันเป็นกษัตริย์เหนือพวกเจ้าจริงๆ แล้วจงมาและหาที่ปลอดภัยภายใต้ร่มเงาของฉันเถิด ถ้าไม่เป็นเช่นนั้น แล้วก็ขอให้ไฟออกมาจากต้นพุ่มหนามและให้ไฟนั้นเผาผลาญต้นสนสีดาร์แห่งเลบานอนเสีย'
16 เพราะฉะนั้นบัดนี้ ถ้าพวกเจ้าได้กระทำด้วยความจริงใจและซื่อสัตย์แล้ว เมื่อตอนที่พวกเจ้าได้ตั้งอาบีเมเลคเป็นกษัตริย์ และถ้าพวกเจ้าทำดีต่อเยรุบบาอัลและครอบครัวของเขา และถ้าพวกเจ้าลงโทษเขาอย่างที่เขาสมควรจะได้รับ 17 และคิดว่าบิดาของเราได้สู้รบเพื่อพวกเจ้า ได้เสี่ยงชีวิตของเขา และช่วยชีวิตของพวกเจ้าจากมือของคนมีเดียน 18 แต่วันนี้พวกเจ้าได้ลุกขึ้นทำร้ายครอบครัวบิดาของเรา และฆ่าบรรดาบุตรชายของเขาทั้งเจ็ดสิบคนบนศิลาแผ่นเดียว แล้วพวกเจ้าตั้งอาบีเมเลคบุตรชายของสาวใช้มาเป็นกษัตริย์เหนือพวกผู้นำของเชเคม เพราะว่าเขาเป็นญาติของพวกเจ้า
19 ถ้าพวกเจ้ากระทำด้วยความซื่อสัตย์และความจริงใจต่อเยรุบบาอัลและครอบครัวของเขา แล้วพวกเจ้าก็ควรจะยินดีกับอาบีเมเลค และให้เขายินดีในพวกเจ้าด้วย 20 แต่ถ้าไม่ใช่อย่างนั้น ก็ขอให้ไฟออกมาจากอาบีเมเลคและเผาผลาญชาวเชเคมและชาวเบธมิลโล และขอให้ไฟออกมาจากชาวเชเคมและชาวเบธมิลโลเผาผลาญอาบีเมเลคเถิด" 21 โยธามได้หนีไป และเขาไปยังเบเออร์ เขาอาศัยอยู่ที่นั่น เพราะเมืองนั้นอยู่ห่างไกลจากอาบีเมเลคพี่ชายของเขา
22 อาบีเมเลคปกครองเหนืออิสราเอลเป็นเวลาสามปี 23 พระเจ้าทรงปล่อยวิญญาณชั่วให้เข้ามาแทรกระหว่างอาบีเมเลคกับพวกผู้นำของเมืองเชเคม พวกผู้นำของเมืองเชเคมจึงทรยศต่อความไว้วางใจที่พวกเขามีต่ออาบีเมเลค 24 พระเจ้าทรงทำเช่นนี้ เพื่อที่จะแก้แค้นการทารุณกรรมที่ได้ทำกับบุตรชายของเยรุบบาอัลทั้งเจ็ดสิบคน และอาบีเมเลคซึ่งเป็นพี่น้องของพวกเขาก็จะต้องรับผิดชอบต่อการประหารพวกเขา และชาวเมืองเชเคมก็จะต้องรับผิดชอบ เพราะพวกเขาได้ช่วยอาบีเมเลคประหารพี่น้องของเขา
25 ดังนั้น พวกผู้นำของเมืองเชเคมจึงวางคนเพื่อซุ่มคอยบนยอดเขาที่พวกเขาสามารถซุ่มโจมตีเขาได้ และพวกเขาได้ปล้นทุกคนที่ผ่านไปมาตามถนนนั้น เรื่องนี้มีการรายงานต่ออาบีเมเลคให้ทราบ 26 กาอัลบุตรชายของเอเบดมากับบรรดาญาติของเขา และพวกเขาไปที่เมืองเชเคม พวกผู้นำของเมืองเชเคมมีความมั่นใจในตัวเขา 27 พวกเขาจึงออกไปยังทุ่งนา และเก็บผลองุ่นจากสวนองุ่น และพวกเขาย่ำผลองุ่นเหล่านั้น พวกเขาจัดงานเลี้ยงในวิหารของพระของพวกเขา ที่ซึ่งพวกเขาได้กินและดื่ม และพวกเขาก็สาปแช่งอาบีเมเลค
28 กาอัลบุตรชายของเอเบดกล่าวว่า "อาบีเมเลคเป็นใคร และเชเคมเป็นใครที่เราต้องรับใช้เขา? เขาไม่ใช่บุตรชายของเยรุบบาอัลหรือ? เศบุลไม่ใช่เจ้าเมืองของเขาหรือ? จงรับใช้คนฮาโมร์บิดาของเชเคมเถิด ทำไมเราจึงต้องรับใช้อาบีเมเลค? 29 ข้าต้องการให้ชนชาตินี่้อยู่ภายใต้คำสั่งของข้า แล้วข้าจะถอดอาบีเมเลคออก ข้าจะพูดกับอาบีเมเลคว่า "จงเรียกกองทัพของเจ้ามา"' 30 เมื่อเศบุลเจ้าเมืองนั้น ได้ยินถ้อยคำที่กาอัลบุตรชายของเอเบดได้กล่าว ความโกรธของเขาก็พลุ่งขึ้น
31 เขาส่งผู้สื่อสารไปยังอาบีเมเลคเพื่อที่จะหลอกว่า "ดูสิ กาอัลบุตรชายของเอเบดและบรรดาญาติของเขากำลังมาที่เมืองเชเคม และพวกเขากำลังยุยงให้เมืองนั้นต่อสู้กับท่าน 32 บัดนี้ ขอจงลุกขึ้นในตอนกลางคืน ท่านและพวกทหารที่ไปกับท่าน และเตรียมการซุ่มคอยโจมตีในทุ่งนา 33 พอถึงตอนเช้า ทันทีที่ดวงอาทิตย์ขึ้น ขอจงลุกขึ้นแต่เช้าตรู่และบุกเข้าโจมตีเมืองนั้น เมื่อเขาและประชาชนของเขามาต่อสู้กับท่าน ก็จงทำตามที่ท่านสามารถทำได้กับพวกเขาเถิด"
34 ดังนั้น อาบีเมเลค ทั้งเขาและพวกคนที่อยู่กับเขาจึงลุกขึ้นในตอนกลางคืน และพวกเขาแบ่งออกเป็นสี่กองซุ่มคอยโจมตีชาวเชเคมอยู่ 35 กาอัลบุตรชายของเอเบดได้ออกไปและยืนอยู่ที่ทางเข้าประตูเมืองนั้น อาบีเมเลคและพวกคนที่อยู่กับเขาก็ออกมาจากที่ซ่อนของพวกเขา 36 เมื่อกาอัลเห็นคนเหล่านั้น เขาจึงพูดกับเศบุลว่า "ดูสิ คนเหล่านั้นกำลังลงมาจากยอดเขา" เศบุลตอบเขาว่า "ท่านกำลังเห็นเงาของภูเขาเป็นเหมือนกับคน" 37 กาอัลพูดขึ้นอีกและกล่าวว่า "ดูสิ คนเหล่านั้นกำลังลงมาในตรงกลางแผ่นดินนั้น และกองหนึ่งกำลังมาทางต้นโอ๊กแห่งผู้ทำนาย"
38 แล้วเศบุลพูดกับเขาว่า "ตอนนี้ ถ้อยคำที่โอ้อวดของท่านอยู่ที่ไหน ท่านผู้ที่ได้พูดว่า 'อาบีเมเลคคือใครที่เราต้องรับใช้เขา?' คนพวกนี้ไม่ใช่พวกคนที่ท่านได้ดูหมิ่นหรือ? จงออกไปเดี๋ยวนี้และสู้รบกับพวกเขา" 39 กาอัลจึงได้ออกไปและเขาได้นำหน้าชาวเชเคมไป และเขาได้สู้รบกับอาบีเบเลค 40 อาบีเมเลคก็ไล่ตามเขามา และกาอัลก็ได้หนีไปต่อหน้าเขา คนมากมายได้บาดเจ็บล้มตายข้างหน้าทางเข้าประตูเมืองนั้น 41 อาบีเมเลคได้อยู่ในอารูมาห์ เศบุลได้ขับไล่กาอัลและพวกญาติๆ ของเขาออกไปจากเมืองเชเคม
42 วันต่อมา ชาวเชเคมจึงออกไปยังทุ่งนา และรายงานเรื่องนี้ต่ออาบีเมเลค 43 เขาจึงนำคนของเขาไปด้วยโดยแบ่งพวกเขาเป็นสามกอง และพวกเขาซุ่มคอยโจมตีอยู่ในทุ่งนา เขามองดูและเห็นคนเหล่านั้นกำลังออกมาจากเมืองและเขาก็จู่โจมและฆ่าพวกเขา 44 อาบีเมเลคและพวกกองทหารที่อยู่กับเขาเข้าโจมตีและปิดทางเข้าประตูเมืองนั้น กองทหารอีกสองกองได้โจมตีทุกคนที่อยู่ในทุ่งนานั้นและประหารพวกเขา
45 อาบีเมเลคสู้รบกับเมืองนั้นตลอดวันนั้น เขายึดเมืองนั้น และฆ่าประชาชนที่อยู่ในเมืองนั้น เขาพังกำแพงของเมืองนั้นและหว่านเกลือลงในเมืองนั้น 46 เมื่อพวกผู้นำทั้งหมดของป้อมปราการแห่งเมืองเชเคมได้ยินเรื่องนี้ พวกเขาจึงเข้าไปในที่กำบังเข้มแข็งของวิหารพระเอลเบรีท 47 อาบีเมเลครับแจ้งว่าพวกผู้นำทั้งหมดได้ไปชุมนุมกันอยู่ที่ป้อมปราการแห่งเชเคม อาบีเมเลคจึงไปยังภูเขาศัลโมน เขาและคนทั้งหมดที่อยู่กับเขา 48 อาบีเมเลคเอาขวานอันหนึ่งไปและตัดกิ่งไม้ เขาเอามันไว้ที่บ่าของเขาและสั่งพวกคนที่อยู่กับเขาว่า "เมื่อพวกเจ้าได้เห็นเราทำอะไร ก็จงรีบทำตามที่เราได้ทำ"
49 ดังนั้น ทุกคนจึงตัดกิ่งไม้และทำตามอาบีเมเลค พวกเขาได้สุมกิ่งไม้เหล่านั้นไว้ที่กำแพงของป้อมปราการ และพวกเขาก็จุดไฟ เพื่อให้คนทั้งหมดที่อยู่ในป้อมปราการแห่งเชเคมที่มีประมาณหนึ่งพันคนทั้งผูัชายและผู้หญิงตายด้วย 50 แล้วอาบีเมเลคไปที่เมืองเธเบส และตั้งค่ายสู้รบกับเมืองเธเบสและยึดเมืองนั้นได้ 51 แต่มีป้อมปราการที่แข็งแกร่งในเมืองนั้น และพวกชายและพวกผู้หญิงทั้งหมดและพวกผู้นำของเมืองก็ได้หนีไปยังป้อมปราการนั้นและปิดประตูขังตัวเองไว้ข้างใน แล้วพวกเขาจึงขึ้นไปบนหลังคาของป้อมปราการนั้น
52 อาบีเมเลคได้มาที่หอรบนั้นและโจมตีป้อมปราการนั้น และเขาขึ้นไปใกล้ประตูของป้อมปราการเพื่อจะเผาป้อมปราการนั้น 53 แต่มีผู้หญิงคนหนึ่งได้ทุ่มโม่หินลงมาบนศีรษะของอาบีเมเลค และมันก็ทำให้กะโหลกของเขาแตก 54 แล้วเขาจึงรีบเรียกชายหนุ่มที่ถืออาวุธของเขามา และได้บอกเขาว่า "จงชักดาบของเจ้าออกมาและฆ่าเราเสีย เพื่อจะไม่มีใครพูดเกี่ยวกับเราว่า 'ผู้หญิงคนหนึ่งได้ฆ่าเขา'" ดังนั้น ชายหนุ่มคนนั้นก็ได้แทงเขาจนทะลุ และเขาก็สิ้นชีวิต
55 เมื่อคนอิสราเอลเห็นว่าอาบีเมเลคได้สิ้นชีวิตแล้ว พวกเขาก็กลับบ้านไป 56 ดังนั้น พระเจ้าจึงได้ทรงแก้แค้นความชั่วร้ายของอาบีเมเลคที่เขาได้ทำกับบิดาของเขาในการฆ่าพี่น้องของเขาทั้งเจ็ดสิบคน 57 พระเจ้าทรงทำให้ความชั่วร้ายทั้งหมดของชาวเชเคมกลับไปสนองศีรษะของพวกเขาเอง และคำสาปแช่งของโยธามบุตรชายของเยรุบบาอัลก็ได้มาเหนือพวกเขา
1 ต่อจากอาบีเมเลค โทลาบุตรชายของปูอาห์ ผู้เป็นบุตรชายของโดโด ชาวอิสสาคาร์ผู้ที่ได้อาศัยอยู่ในเมืองชามีห์ ในแดนเทือกเขาเอฟราอิมได้ลุกขึ้นเพื่อปลดปล่อยคนอิสราเอล 2 เขาได้วินิจฉัยอิสราเอลเป็นเวลายี่สิบสามปี เขาสิ้นชีวิตและถูกฝังไว้ในเมืองชามีร์
3 ต่อจากเขา คือยาอีร์คนกิเลอาด เขาได้วินิจฉัยอิสราเอลยี่สิบสองปี 4 เขามีบุตรชายสามสิบคนผู้ที่ได้ขี่ลาสามสิบตัว และพวกเขามีเมืองสามสิบเมืองที่อยู่ในแผ่นดินกิเลอาด ซึ่งถูกเรียกว่าฮาวโวทยาอีร์จนถึงทุกวันนี้ 5 ยาอีร์สิ้นชีวิตและถูกฝังไว้ในเมืองคาโมน
6 คนอิสราเอลได้เพิ่มความชั่วร้ายในสิ่งที่พวกเขาทำมากขึ้นในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ และนมัสการบรรดาพระบาอัล พระอัชโทเรท พระของอารัม พระของไซดอน พระของโมอับ พระของชาวอัมโมน และพระของคนฟีลิสเตีย พวกเขาละทิ้งพระยาห์เวห์และไม่ได้นมัสการพระองค์อีกต่อไป 7 พระพิโรธของพระยาห์เวห์จึงพลุ่งขึ้นต่อคนอิสราเอล และพระองค์จึงทรงขายพวกเขาไว้ในมือของคนฟีลิสเตียและในมือของคนอัมโมน
8 พวกเขาบีบบังคับและข่มเหงคนอิสราเอลในปีนั้น และพวกเขาข่มเหงคนอิสราเอลทั้งหมดที่อยู่อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดนในแผ่นดินของคนอาโมไรต์ที่อยู่ในกิเลอาดเป็นเวลาสิบแปดปี 9 แล้วคนอัมโมนจึงข้ามมายังอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดนเพื่อสู้รบกับยูดาห์ กับเบนยามิน และกับวงศ์วานของเอฟราอิม ดังนั้น คนอิสราเอลจึงได้รับความทุกข์ยากอย่างยิ่ง
10 แล้วคนอิสราเอลได้ร้องทูลต่อพระยาห์เวห์ ทูลว่า "พวกข้าพระองค์ได้ทำบาปต่อพระองค์แล้ว เพราะพวกข้าพระองค์ได้ละทิ้งพระเจ้าของพวกข้าพระองค์และได้นมัสการบรรดาพระบาอัล" 11 พระยาห์เวห์ตรัสกับคนอิสราเอลว่า "เราไม่ได้ช่วยกู้พวกเจ้าให้รอดพ้นจากคนอียิปต์ คนอาโมไรต์ คนอัมโมน คนฟีลิสเตีย 12 และจากคนไซดอนด้วยหรือ? คนอามาเลขและคนมาโอนได้ข่มเหงพวกเจ้า พวกเจ้าร้องทูลต่อเรา และเราก็ช่วยพวกเจ้าให้พ้นจากอำนาจของพวกเขา
13 แต่พวกเจ้ากลับละทิ้งเราอีก และนมัสการพระอื่นๆ ด้วยเหตุนี้ เราจะไม่ปลดปล่อยพวกเจ้าอีกต่อไป 14 จงไปและร้องขอพระต่างๆ ที่พวกเจ้าได้นมัสการ ให้พวกเขาช่วยพวกเจ้าตอนที่พวกเจ้าได้รับความยากลำบากเถิด" 15 คนอิสราเอลทูลต่อพระยาห์เวห์ว่า "พวกข้าพระองค์ได้ทำบาปแล้ว ขอพระองค์ทรงกระทำแก่พวกข้าพระองค์ตามที่พระองค์ทรงเห็นชอบ แต่ขอทรงโปรดช่วยเราในวันนี้ด้วยเถิด"
16 พวกเขากำจัดพระต่างด้าวต่างๆ ที่อยู่ท่ามกลางพวกเขาออกไป และพวกเขานมัสการพระยาห์เวห์ แล้วพระยาห์เวห์ก็ทรงทนต่อทุกข์ยากลำบากของอิสราเอลไม่ได้อีกต่อไป 17 แล้วคนอัมโมนก็ได้มาชุมนุมกัน และตั้งค่ายในกิเลอาด คนอิสราเอลก็ได้มาชุมนุมกันและตั้งค่ายของพวกเขาที่มิสปาห์ 18 พวกผู้นำอิสราเอลของชาวกิเลอาดพูดกันว่า "ใครจะเป็นคนที่เริ่มออกไปสู้รบกับคนอัมโมนก่อน? เขาจะได้เป็นผู้นำเหนือคนทั้งหมดที่อาศัยอยู่ในกิเลอาด"
1 ในตอนนั้น เยฟธาห์คนกิเลอาดได้เป็นนักรบผู้กล้าหาญ แต่เขาเป็นบุตรชายของหญิงโสเภณี กิเลอาดเป็นบิดาของเขา 2 ภรรยาของกิเลอาดยังได้ให้กำเนิดบุตรชายของเขาอีกหลายคน เมื่อพวกบุตรชายของภรรยาของเขาเติบโตขึ้น พวกเขาก็ขับไล่เยฟธาห์ให้ออกจากบ้าน และกล่าวกับเขาว่า "เจ้าจะไม่มีส่วนในมรดกใดๆ ของครอบครัวของเรา เจ้าเป็นลูกของหญิงอื่น" 3 ดังนั้น เยฟธาห์จึงหนีไปจากพี่น้องของเขา และอาศัยอยู่ในแผ่นดินโทบ พวกนักเลงอันธพาลจึงได้เข้าร่วมกับเยฟธาห์ พวกเขามาและไปกับเขา
4 หลายวันต่อมา คนอัมโมนได้ทำสงครามกับคนอิสราเอล 5 ขณะที่คนอัมโมนทำสงครามกับคนอิสราเอลอยู่นั้น พวกผู้ใหญ่ของกิเลอาดก็ได้ไปพาเยฟธาห์กลับมาจากแผ่นดินโทบ 6 พวกเขากล่าวกับเยฟธาห์ว่า "จงกลับมาและเป็นผู้นำของพวกเราเถิด เพื่อที่พวกเราจะต่อสู้กับคนอัมโมนได้"
7 เยฟธาห์ได้กล่าวกับพวกผู้ใหญ่ของกิเลอาดว่า "พวกท่านเกลียดชังข้าพเจ้า และขับไล่ข้าพเจ้าให้ออกจากบ้านของบิดาของข้าพเจ้า บัดนี้ ทำไมพวกท่านจึงมาหาข้าพเจ้า ตอนที่พวกท่านอยู่ในความยากลำบากเล่า?" 8 พวกผู้ใหญ่ของกิเลอาดตอบเยฟธาห์ว่า "นั่นคือสาเหตุที่พวกเรากลับมาหาท่านในตอนนี้ ขอจงมากับพวกเราและสู้รบกับคนอัมโมน และท่านจะได้เป็นผู้นำเหนือทุกคนที่อาศัยอยู่ในกิเลอาด"
9 เยฟธาห์จึงกล่าวกับพวกผู้ใหญ่ของกิเลอาดว่า "ถ้าพวกท่านพาข้าพเจ้ากลับไปบ้านอีก เพื่อสู้รบกับคนอัมโมน และถ้าหากพระยาห์เวห์ประทานให้พวกเรามีชัยชนะเหนือพวกเขา ข้าพเจ้าจะเป็นผู้นำของพวกท่าน" 10 พวกผู้ใหญ่ของกิเลอาดกล่าวกับเยฟธาห์ว่า "ขอพระยาห์เวห์ทรงเป็นพยานระหว่างพวกเรา ถ้าหากพวกเราไม่ได้ทำอย่างที่พวกเราพูด" 11 ดังนั้น เยฟธาห์จึงไปกับพวกผู้ใหญ่ของกิเลอาด และประชาชนจึงได้ยกเขาให้เป็นผู้นำและผู้บัญชาการเหนือพวกเขา เยฟธาห์ได้กล่าวย้ำอีกครั้งถึงสัญญาทั้งสิ้นที่เขาได้ทำ เมื่อเขาอยู่ต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ในเมืองมิสปาห์
12 แล้วเยฟธาห์จึงส่งผู้สื่อสารไปยังกษัตริย์ของชาวอัมโมน ถามว่า "ความขัดแย้งระหว่างพวกเราครั้งนี้คืออะไร? ทำไมท่านจึงได้มาพร้อมกับกองทหาร เพื่อยึดเอาแผ่นดินของเรา?" 13 กษัตริย์ของชาวอัมโมนได้ตอบกับผู้สื่อสารของเยฟธาห์ว่า "เพราะตอนที่อิสราเอลขึ้นมาจากอียิปต์ พวกเขาได้ยึดแผ่นดินของเราไป ตั้งแต่แม่น้ำอารโนนจนถึงยับบอก ข้ามไปถึงแม่น้ำจอร์แดน บัดนี้ จงคืนแผ่นดินเหล่านั้นให้กับเราอย่างสันติ"
14 เยฟธาห์ส่งผู้สื่อสารไปยังกษัตริย์ของชาวอัมโมนอีกคร้้ง 15 และเขากล่าวว่า "นี่เป็นถ้อยคำที่เยฟธาห์พูด อิสราเอลไม่ได้ยึดแผ่นดินโมอับ และแผ่นดินของคนอัมโมน 16 แต่พวกเขาขึ้นมาจากอียิปต์ และอิสราเอลได้เดินทางผ่านถิ่นทุรกันดารไปยังทะเลแดง และไปยังคาเดช"
17 เมื่ออิสราเอลส่งผู้สื่อสารไปยังกษัตริย์แห่งเอโดม กล่าวว่า 'ขอโปรดให้เราเดินทางผ่านแผ่นดินของท่านไปเถิด' กษัตริย์แห่งเอโดมก็ไม่ฟัง พวกเขาก็ยังส่งผู้สื่อสารไปยังกษัตริย์แห่งโมอับด้วย แต่เขาปฏิเสธ ดังนั้น อิสราเอลจึงยังคงอยู่ที่คาเดช 18 แล้วพวกเขาได้เดินทางไปผ่านถิ่นทุรกันดาร และหันไปจากแผ่นดินเอโดมและแผ่นดินโมอับ และพวกเขาไปตามทางด้านทิศตะวันออกของแผ่นดินโมอับ และพวกเขาตั้งค่ายบนอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำอารโนน แต่พวกเขาไม่ได้เข้าไปในเขตแดนของโมอับ เพราะแม่น้ำอารโนนเป็นพรมแดนของโมอับ
19 คนอิสราเอลส่งผู้สื่อสารไปยังสิโหนกษัตริย์ของคนอาโมไรต์ ผู้ที่ปกครองในเมืองเฮชโบน คนอิสราเอลกล่าวกับเขาว่า 'ขอกรุณาให้พวกเราเดินทางผ่านแผ่นดินของท่านไปยังที่ซึ่งเป็นแผ่นดินของเราเถิด' 20 แต่สิโหนไม่ได้ไว้วางใจให้คนอิสราเอลเดินทางผ่านเขตแดนของเขาไป ดังนั้น สิโหนจึงระดมกองทัพของเขาทั้งหมดมารวมกัน และยกกองทัพไปยังยาฮาส และเขาสู้รบกับคนอิสราเอลที่นั่น
21 แล้วพระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งอิสราเอลทรงมอบสิโหนพร้อมกับประชาชนของเขาทั้งหมดไว้ในมือของอิสราเอล และชนะพวกเขา ดังนั้น อิสราเอลจึงได้ยึดแผ่นดินทั้งสิ้นของคนอาโมไรต์ที่อาศัยอยู่ในดินแดนนั้น 22 พวกเขายึดครองทุกสิ่งที่อยู่ในเขตแดนของคนอาโมไรต์ ตั้งแต่แม่น้ำอารโนนจนถึงยับบอก และตั้งแต่ถิ่นทุรกันดารไปจนถึงแม่น้ำจอร์แดน
23 จากนั้น พระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งอิสราเอลได้ทรงขับไล่คนอาโมไรต์ไปพ้นหน้าประชากรของพระองค์ บัดนี้ ท่านควรจะยึดครองแผ่นดินของพวกเขาหรือ? 24 ท่านจะไม่ไปยึดครองแผ่นดินที่พระเคโมช พระของท่านได้มอบให้แก่ท่านหรือ? ดังนั้น แผ่นดินใดก็ตามที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของเราได้ประทานแก่เรา เราจะยึดครอง 25 บัดนี้ ท่านดีกว่าบาลาคบุตรชายของศิปโปร์ กษัตริย์โมอับจริงหรือ? เขากล้าที่จะโกรธกับคนอิสราเอลหรือ? เขาเคยได้ทำสงครามกับคนอิสราเอลหรือ?
26 ในขณะที่คนอิสราเอลได้อาศัยอยู่ในเมืองเฮชโบนและหมู่บ้านต่างๆ ของเมืองนั้นเป็นเวลาสามร้อยปี และในเมืองอาโรเออร์และหมู่บ้านต่างๆ ของเมืองนั้น และในทุกๆ เมืองที่อยู่ตามฝั่งแม่น้ำอารโนน แล้วทำไมท่านจึงไม่ยึดเอาเมืองเหล่านั้นคืนไปในช่วงเวลานั้น? 27 ข้าพเจ้าไม่เคยทำผิดต่อท่าน แต่ท่านกำลังทำผิดต่อข้าพเจ้าที่มาโจมตีข้าพเจ้า พระยาห์เวห์ ผู้ทรงเป็นผู้พิพากษา จะทรงตัดสินความระหว่างคนอิสราเอลกับคนอัมโมนในวันนี้" 28 แต่กษัตริย์ของคนอัมโมนได้ปฏิเสธคำเตือนที่เยฟธาห์ได้ส่งมาให้เขา
29 แล้วพระวิญญาณของพระยาห์เวห์ได้เสด็จมาเหนือเยฟธาห์ และเขาก็เดินทางผ่านกิเลอาดและมนัสเสห์ และผ่านไปยังเมืองมิสปาห์ของกิเลอาด และจากเมืองมิสปาห์ของกิเลอาด เขาได้เดินทางผ่านคนอัมโมน 30 เยฟธาห์ได้ปฏิญาณต่อพระยาห์เวห์ และกล่าวว่า "ถ้าหากพระองค์ประทานชัยชนะแก่ข้าพระองค์เหนือคนอัมโมน 31 แล้วใครก็ตามที่ออกมาจากประตูของบ้านของข้าพระองค์เพื่อมาต้อนรับข้าพระองค์ เมื่อข้าพระองค์กลับมาจากคนอัมโมนโดยสวัสดิภาพ คนนั้นก็จะเป็นของพระยาห์เวห์ และข้าพระองค์จะถวายคนนั้นเป็นเครื่องเผาบูชา"
32 ดังนั้น เยฟธาห์จึงได้เดินทางไปยังคนอัมโมนเพื่อสู้รบกับพวกเขา พระยาห์เวห์ได้ทรงมอบชัยชนะแก่เขา 33 เขาได้โจมตีคนเหล่านั้น และทำให้เกิดการสังหารครั้งยิ่งใหญ่ ตั้งแต่อาโรเออร์ไปไกลถึงมินนิท คือยี่สิบเมือง และไปยังอาเบลเครามิม ดังนั้น คนอัมโมนจึงอยู่ภายใต้อำนาจของคนอิสราเอล
34 เยฟธาห์ได้กลับมาถึงบ้านของเขาที่เมืองมิสปาห์ และที่นั่น บุตรหญิงของเขาก็ได้ถือรำมะนาและเต้นรำออกมาต้อนรับเขา เธอยังเป็นเด็กอยู่ และนอกจากเธอแล้ว เขาก็ไม่มีทั้งบุตรชายหรือบุตรหญิงอีกเลย 35 ทันทีที่เขาได้เห็นเธอ เขาก็ฉีกเสื้อผ้าของเขาและได้กล่าวว่า "โอ...ลูกสาวของพ่อ เจ้าได้ทำให้พ่อโศกเศร้ายิ่งนัก เพราะเจ้าได้เป็นผู้ที่ทำให้พ่อเจ็บปวด เพราะพ่อได้ปฏิญาณต่อพระยาห์เวห์ไว้แล้ว และพ่อไม่สามารถคืนคำสัญญาของพ่อได้"
36 เธอจึงได้กล่าวว่า "พ่อของลูก เมื่อพ่อได้ปฏิญาณต่อพระยาห์เวห์แล้ว ก็จงทำทุกอย่างตามที่พ่อได้สัญญาไว้เถิด เพราะพระยาห์เวห์ทรงทำการแก้แค้นต่อคนอัมโมนศัตรูของพ่อให้กับพ่อแล้ว" 37 เธอกล่าวกับบิดาของเธอว่า "ขอให้พ่อรักษาสัญญานี้แก่ลูก ขอปล่อยให้ลูกอยู่ตามลำพังสักสองเดือน เพื่อที่ลูกจะจากไปและลงไปยังภูเขา และคร่ำครวญถึงพรหมจารีของลูก ทั้งลูกกับเพื่อนๆ ของลูก"
38 เขากล่าวว่า "จงไปเถิด" เขาได้ส่งเธอไปเป็นเวลาสองเดือน เธอได้จากเขาไป ทั้งเธอกับเพื่อนๆ ของเธอ และพวกเธอได้คร่ำครวญถึงพรหมจารีของเธอในภูเขานั้น 39 เมื่อครบสองเดือนแล้ว เธอจึงกลับมาหาบิดาของเธอ ผู้ที่ได้ทำกับเธอตามสัญญาที่เขาปฏิญาณไว้ ในเวลานั้น เธอไม่เคยหลับนอนกับชายใดเลย และเรื่องนี้จึงกลายมาเป็นธรรมเนียมในอิสราเอล 40 ที่ทุกๆ ปี พวกบุตรหญิงของอิสราเอล จะเล่าเรื่องราวของบุตรหญิงของเยฟธาห์คนกิเลอาดเป็นเวลาสี่วัน
1 มีเสียงเรียกออกไปถึงคนเอฟราอิม พวกเขาจึงได้ยกข้ามมาทางศาโฟนและกล่าวกับเยฟธาห์ว่า "ทำไมท่านจึงได้ยกข้ามไปสู้รบกับคนอัมโมน แล้วไม่ได้เรียกพวกเราไปกับท่านด้วย? พวกเราจะเผาบ้านของท่านให้พังลงมาทับท่านเสีย" 2 เยฟธาห์จึงตอบพวกเขาว่า "ข้าพเจ้ากับประชาชนของข้าพเจ้าอยู่ในการสู้รบครั้งใหญ่กับคนอัมโมน เมื่อข้าพเจ้าเรียกพวกท่าน พวกท่านก็ไม่ได้ไปช่วยข้าพเจ้าพ้นจากพวกเขา 3 เมื่อข้าพเจ้าเห็นว่าพวกท่านไม่ได้ช่วยข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงเสี่ยงชีวิตด้วยกำลังของข้าพเจ้าเอง และยกข้ามไปสู้รบกับคนอัมโมน และพระยาห์เวห์ได้ประทานชัยชนะแก่ข้าพเจ้า ทำไมพวกท่านจึงได้มาสู้รบกับข้าพเจ้าในวันนี้?"
4 เยฟธาห์จึงรวบรวมคนกิเลอาดทั้งหมด และเขาก็ได้สู้รบกับเอฟราอิม คนกิเลอาดโจมตีคนเอฟราอิม เพราะพวกเขาพูดกันว่า "เจ้าพวกคนกิเลอาดเป็นพวกคนลี้ภัยในเอฟราอิม ทั้งในเอฟราอิมและมนัสเสห์" 5 คนกิเลอาดยึดท่าข้ามแม่น้ำจอร์แดนที่ข้ามไปยังเอฟราอิมไว้ได้ เมื่อมีคนเอฟราอิมที่รอดชีวิตคนใดได้กล่าวว่า "ขอให้เราข้ามแม่น้ำไปเถิด" คนกิเลอาดก็จะถามเขาว่า "เจ้าเป็นคนเอฟราอิมหรือเปล่า?" ถ้าเขาได้ตอบว่า "ไม่ใช่" 6 แล้วพวกเขาก็จะพูดกับคนนั้นว่า "จงพูดคำว่า ชิบโบเลท" และถ้าเขาได้พูดว่า "ซิบโบเลท" (เพราะเขาไม่สามารถออกเสียงคำนั้นได้ถูกต้อง) คนกิเลอาดก็จะจับกุมและฆ่าคนนั้นที่ท่าข้ามแม่น้ำจอร์แดน ในเวลานั้น คนเอฟราอิมได้ถูกประหารสี่หมื่นสองพันคน
7 เยฟธาห์ทำหน้าที่เป็นผู้วินิจฉัยเหนืออิสราเอลหกปี แล้วเยฟธาห์ได้สิ้นชีวิตและถูกฝังไว้ที่เมืองหนึ่งในบรรดาเมืองของกิเลอาด 8 ต่อจากเยฟธาห์คือ อิบซาน ชาวเบธเลเฮมได้ทำหน้าที่เป็นผู้วินิจฉัยเหนืออิสราเอล 9 เขามีบุตรชายสามสิบคน เขาได้ยกบุตรหญิงสามสิบคนให้แต่งงานออกไป และเขาได้รับเอาบุตรหญิงสามสิบคนของคนอื่นจากนอกเผ่ามาให้กับบรรดาบุตรชายของตน เขาวินิจฉัยอิสราเอลเป็นเวลาเจ็ดปี 10 อิบซานได้สิ้นชีวิตและถูกฝังไว้ที่เบธเลเฮม
11 หลังจากอิบซาน เอโลนคนเศบูลุนได้ทำหน้าที่เป็นผู้วินิจฉัยเหนืออิสราเอล เขาวินิจฉัยอิสราเอลเป็นเวลาสิบปี 12 เอโลนคนเศบูลุนได้สิ้นชีวิตและถูกฝังไว้ในอัยยาโลนในแผ่นดินเศบูลุน 13 ต่อจากเอโลน คืออับโดนบุตรชายของฮิลเอลชาวปิราโธนได้ทำหน้าที่เป็นผู้วินิจฉัยเหนืออิสราเอล 14 เขามีบุตรชายสี่สิบคนและมีหลานชายสามสิบคน พวกเขาได้ขี่ลาเจ็ดสิบตัว และเขาวินิจฉัยเหนืออิสราเอลเป็นเวลาแปดปี 15 อับโดนบุตรชายของฮิลเอลชาวปิราโธนได้สิ้นชีวิตและถูกฝังไว้ในปิราโธนในแผ่นดินเอฟราอิมในแดนเทือกเขาของคนอามาเลข
1 คนอิสราเอลก็ได้ทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์อีก และพระองค์ทรงมอบพวกเขาไว้ในมือของคนฟีลิสเตียเป็นเวลาสี่สิบปี 2 มีชายคนหนึ่งเป็นชาวเมืองโศราห์ในตระกูลของเผ่าดาน ชื่อของเขาคือมาโนอาห์ ภรรยาของเขาไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ และดังนั้น นางจึงไม่มีบุตร
3 ทูตของพระยาเวห์ได้มาปรากฏต่อผู้หญิงคนนั้น และกล่าวกับนางว่า "ดูเถิด เจ้าไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ และเจ้าไม่ได้ให้กำเนิดบุตร แต่เจ้าจะตั้งครรภ์ และเจ้าจะให้กำเนิดบุตรชาย 4 บัดนี้ จงระวัง อย่าดื่มเหล้าองุ่นหรือของมึนเมา และอย่ากินสิ่งใดที่เป็นมลทิน 5 ดูเถิด เจ้าจะตั้งครรภ์และเจ้าให้กำเนิดบุตรชาย อย่าใช้มีดโกนบนศีรษะของเขา เพราะเด็กคนนี้จะเป็นนาศีร์แด่พระเจ้าตั้งแต่อยู่ในครรภ์ และเขาจะเริ่มต้นปลดปล่อยคนอิสราเอลให้พ้นจากมือของคนฟีลิสเตีย"
6 แล้วผู้หญิงคนนั้นจึงมาบอกกับสามีของนางว่า "คนของพระเจ้าได้มาหาฉัน และลักษณะของท่านเป็นเหมือนกับทูตของพระเจ้า น่ากลัวยิ่งนัก ฉันไม่ได้ถามท่านว่าท่านมาจากไหน และท่านก็ไม่ได้บอกชื่อของท่านแก่ฉัน 7 ท่านได้พูดกับฉันว่า 'ดูเถิด เจ้าจะตั้งครรภ์ และเจ้าจะให้กำเนิดบุตรชาย ดังนั้นแล้ว จงอย่าดื่มเหล้าองุ่นหรือของมึนเมา และอย่ากินอาหารที่กฎบัญญัติประกาศว่าเป็นมลทิน เพราะเด็กคนนี้จะเป็นนาศีร์แด่พระเจ้าตั้งแต่เวลาที่เขาอยู่ในครรภ์ของเจ้าจนถึงวันตายของเขา"'
8 แล้วมาโนอาห์ก็ได้อธิษฐานต่อพระยาห์เวห์ว่า "โอ องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงโปรดให้ผู้ชายคนที่พระองค์ทรงส่งมานั้นมาหาพวกเราอีกครั้งเถิด เพื่อที่ท่านจะสอนเราถึงสิ่งที่เราต้องทำเพื่อเด็กที่จะเกิดมาในอีกไม่นานนี้" 9 พระเจ้าได้ทรงตอบคำอธิษฐานของมาโนอาห์ และทูตของพระเจ้าได้มาหาผู้หญิงคนนั้นอีกครั้ง ในขณะที่นางกำลังนั่งอยู่ในทุ่งนา แต่มาโนอาห์สามีของนางไม่ได้อยู่กับนาง 10 ดังนั้นผู้หญิงคนนั้นจึงได้รีบวิ่งมาบอกสามีของนางว่า "ดูเถิด ผู้ชายคนนั้น คนที่มาหาฉันเมื่อวันก่อนได้ปรากฏต่อฉัน"
11 มาโนอาห์จึงได้ลุกขึ้นและตามภรรยาของเขาไป เมื่อเขาได้มาถึงผู้ชายคนนั้น เขาได้ถามว่า "ท่านเป็นผู้ชายที่ได้พูดกับภรรยาของข้าพเจ้าหรือ?" ผู้ชายคนนั้นตอบว่า "เราเป็นผู้นั้น" 12 ดังนั้น มาโนอาห์จึงได้กล่าวว่า "บัดนี้ ขอให้ถ้อยคำของท่านเป็นจริงเถิด จะมีข้อปฏิบัติอะไรบ้างสำหรับเด็กคนนี้ และเขาจะทำงานอะไร?" 13 ทูตของพระยาห์เวห์ได้ตอบมาโนอาห์ว่า "นางต้องระวังที่จะทำทุกอย่างตามที่เราได้บอกนางแล้ว 14 นางจะกินสิ่งที่มาจากเถาองุ่นไม่ได้ และอย่าให้นางกินอาหารที่กฎบัญญัติได้ประกาศว่าเป็นมลทิน นางจะต้องเชื่อฟังทุกอย่างที่เราได้สั่งนางให้ทำ"
15 มาโนอาห์จึงกล่าวกับทูตของพระยาห์เวห์ว่า "ขอท่านโปรดอยู่ที่นี่สักพักเถิด เพื่อให้เวลาแก่ข้าพเจ้าที่จะเตรียมลูกแพะสักตัวหนึ่งให้แก่ท่าน" 16 ทูตของพระยาห์เวห์กล่าวกับมาโนอาห์ว่า "ถึงแม้ว่าเราอยู่ เราก็จะไม่กินอาหารของเจ้า แต่ถ้าเจ้าเตรียมเครื่องเผาบูชา ก็จงถวายแด่พระยาห์เวห์เถิด" (มาโนอาห์ไม่รู้ว่าท่านเป็นทูตของพระยาห์เวห์) 17 มาโนอาห์ได้ถามทูตของพระยาห์เวห์ว่า "ท่านชื่ออะไร เพื่อพวกเราจะได้ให้เกียรติแก่ท่านเมื่อถ้อยคำของท่านเป็นจริง? 18 ทูตของพระยาห์เวห์ได้ตอบเขาว่า "เจ้าถามชื่อของเราทำไม? ชื่อของเราคืออัศจรรย์"
19 มาโนอาห์ได้นำลูกแพะพร้อมกับเครื่องธัญบูชามา และถวายเป็นเครื่องบูชาเหล่านั้นแด่พระยาห์เวห์บนศิลานั้น ทูตองค์นั้นได้ทำสิ่งอัศจรรย์ ในขณะที่มาโนอาห์กับภรรยาของเขากำลังเฝ้ามองอยู่ 20 เมื่อเปลวไฟพลุ่งจากแท่นบูชาขึ้นไปสู่ท้องฟ้า และทูตของพระยาห์เวห์ก็ได้ขึ้นไปในเปลวไฟของแท่นบูชานั้น มาโนอาห์กับภรรยาของเขาได้เห็นเหตุการณ์นี้และซบหน้าลงถึงพื้นดิน 21 ทูตของพระยาห์เวห์ก็ไม่ได้ปรากฏต่อมาโนอาห์หรือภรรยาของเขาอีกเลย แล้วมาโนอาห์จึงรู้ว่าท่านคือทูตของพระยาห์เวห์ 22 มาโนอาห์จึงกล่าวกับภรรยาของเขาว่า "พวกเราคงจะตายแน่ๆ เพราะพวกเราได้เห็นพระเจ้า"
23 แต่ภรรยาของเขากล่าวกับเขาว่า "ถ้าหากพระยาห์เวห์ทรงประสงค์ที่จะประหารพวกเรา พระองค์คงจะไม่ทรงรับเครื่องเผาบูชาและเครื่องธัญบูชาที่พวกเราได้ถวายแด่พระองค์ พระองค์ก็คงจะไม่ทรงสำแดงให้เราเห็นสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ หรือพระองค์ก็จะไม่ทรงให้พวกเราได้ยินสิ่งเหล่านี้ในเวลานี้" 24 หลังจากนั้น ผู้หญิงคนนั้นก็ได้ให้กำเนิดบุตรชาย และเรียกชื่อของเขาว่าแซมสัน เด็กคนนั้นก็เติบโตขึ้น และพระยาห์เวห์ได้ทรงอวยพระพรเขา 25 พระวิญญาณของพระยาห์เวห์ได้ทรงเริ่มเร้าใจเขาในมาหะเนห์ดาน ซึ่งอยู่ระหว่างเมืองโศราห์กับเมืองเอชทาโอล
1 แซมสันได้ลงไปยังเมืองทิมนาห์ และที่นั่นเขาเห็นผู้หญิงคนหนึ่งในบรรดาบุตรหญิงของคนฟีลิสเตีย 2 เมื่อเขากลับมา เขาได้บอกกับบิดาและมารดาของเขาว่า "ลูกได้เห็นผู้หญิงคนหนึ่งในบรรดาบุตรหญิงของคนฟีลิสเตียในเมืองทิมนาห์ บัดนี้ ขอเธอให้เป็นภรรยาของลูกเถิด"
3 บิดากับมารดาของเขาพูดกับเขาว่า "ไม่มีผู้หญิงสักคนหนึ่งในบรรดาบุตรหญิงของบรรดาญาติของเจ้า หรือในท่ามกลางชนชาติทั้งหมดของพวกเราแล้วหรือ? เจ้าจึงจะไปรับผู้หญิงจากคนฟีลิสเตียที่ไม่ได้เข้าสุหนัตมาเป็นภรรยา" แซมสันจึงกล่าวกับบิดาของเขาว่า "ขอเธอให้ลูกเถิด เพราะเมื่อลูกเห็นเธอ ลูกพอใจเธอมาก" 4 แต่บิดากับมารดาของเขาไม่ได้ทราบว่าเรื่องนี้ได้มาจากพระยาห์เวห์ เพราะพระองค์ทรงประสงค์ที่จะสร้างความขัดแย้งกับคนฟีลิสเตีย (เพราะในเวลานั้น คนฟีลิสเตียกำลังปกครองอิสราเอลอยู่)
5 แล้วแซมสันจึงลงไปยังเมืองทิมนาห์พร้อมกับบิดาและมารดาของเขา และพวกเขาได้มาถึงสวนองุ่นในเมืองทิมนาห์ และดูเถิด มีสิงโตหนุ่มตัวหนึ่งออกมาและคำรามใส่เขา 6 ทันใดนั้น พระวิญญาณของพระยาห์เวห์ได้มาสถิตเหนือเขา แล้วเขาได้ฉีกสิงโตตัวนั้นเหมือนอย่างฉีกลูกแพะด้วยมือเปล่า แต่เขาไม่ได้บอกบิดาและมารดาของเขาถึงสิ่งที่เขาได้ทำไป 7 เขาจึงไปและพูดกับผู้หญิงคนนั้น และเมื่อเขามองดูเธอ แซมสันก็ยิ่งพอใจเธอมาก
8 ไม่กี่วันต่อมา เมื่อเขากลับมาเพื่อแต่งงานกับเธอ เขาได้แวะไปดูซากสิงโตตัวนั้น และดูสิ มีผึ้งฝูงหนึ่งมาทำรังและมีน้ำผึ้งในซากสิงโตตัวนั้น 9 เขาได้กวาดน้ำผึ้งนั้นไว้ในมือของเขา และเดินทางต่อไป เขาเดินไปกินไป เมื่อเขามาถึงที่ซึ่งบิดาและมารดาของเขาอยู่ เขาได้แบ่งน้ำผึ้งนั้นให้แก่พวกเขา และพวกเขาก็กิน แต่เขาไม่ได้บอกบิดามารดาว่าเขาได้เอาน้ำผึ้งนั้นมาจากซากสิงโต
10 บิดาของแซมสันได้ลงไปยังที่ซึ่งผู้หญิงคนนั้นอยู่ และแซมสันได้จัดงานเลี้ยงที่นั่น เพราะนี่เป็นธรรมเนียมของพวกชายหนุ่ม 11 ทันทีที่บรรดาญาติของเธอได้เห็นแซมสัน พวกเขาก็พาเพื่อนของพวกเขาสามสิบคนมาอยู่กับแซมสัน 12 แซมสันจึงกล่าวกับพวกเขาว่า "ขอให้ข้าทายปริศนากับพวกเจ้าสักข้อหนึ่งเถิด ถ้าคนใดในพวกเจ้าบอกคำตอบแก่ข้าได้ในระหว่างงานเลี้ยงเจ็ดวันนี้ ข้าจะมอบเสื้อคลุมผ้าป่านสามสิบตัวและเสื้อผ้าสามสิบชุด
13 แต่ถ้าพวกเจ้าบอกคำตอบแก่ข้าไม่ได้ พวกเจ้าจะต้องมอบเสื้อคลุมผ้าป่านสามสิบตัวและเสื้อผ้าสามสิบชุดให้แก่ข้า" พวกเขาจึงได้กล่าวกับแซมสันว่า "จงบอกคำปริศนาของเจ้าให้พวกเราฟังเถิด" 14 แซมสันจึงกล่าวกับพวกเขาว่า "มีของที่กินได้ออกมาจากตัวของผู้ที่กิน และมีของรสหวานออกมาจากตัวของผู้ที่แข็งแรง" แต่บรรดาแขกของเขาไม่สามารถหาคำตอบได้ในสามวัน 15 ในวันที่สี่ พวกเขาจึงพูดกับภรรยาของแซมสันว่า "จงหลอกล่อผัวของเจ้า เพื่อให้เขาบอกคำตอบของคำปริศนาของเขามา มิฉะนั้น พวกเราจะเผาเจ้ากับบ้านของบิดาของเจ้าเสีย เจ้าได้เชิญพวกเรามาที่นี่ เพื่อที่จะทำให้เรายากจนหรือ?"
16 ภรรยาของแซมสันจึงร้องไห้ต่อหน้าเขา เธอกล่าวว่า "ทั้งหมดที่เธอทำเป็นการเกลียดฉัน เธอไม่ได้รักฉัน เธอได้บอกคำปริศนากับบางคนของชนชาติของฉัน แต่เธอไม่ได้บอกคำตอบนั้นแก่ฉัน" แซมสันจึงกล่าวกับเธอว่า "ดูสิ ถ้าฉันยังไม่ได้บอกพ่อหรือแม่ของฉัน แล้วฉันจะบอกเธอหรือ?" 17 เธอได้ร้องไห้ตลอดเจ็ดวันที่ซึ่งเป็นวันเลี้ยงของพวกเขา พอถึงวันที่เจ็ดเขาก็ได้บอกคำตอบกับเธอเพราะเธอคาดคั้นเขามาก เธอจึงได้บอกกับพวกญาติของเธอ
18 ก่อนถึงเวลาดวงอาทิตย์ตกดินในวันที่เจ็ด พวกผู้ชายชาวเมืองนั้นก็ได้กล่าวกับเขาว่า "มีอะไรหวานกว่าน้ำผึ้ง? มีอะไรแข็งแรงกว่าสิงโต?" แซมสันจึงได้กล่าวกับพวกเขาว่า "ถ้าพวกเจ้าไม่ได้ไถด้วยแม่โคของข้า พวกเจ้าก็คงจะหาคำตอบของคำปริศนาของข้าไม่ได้" 19 แล้วทันใดนั้น พระวิญญาณของพระยาห์เวห์ได้มาสถิตเหนือแซมสันด้วยพลัง เขาได้ลงไปยังเมืองอัชเคโลนและฆ่าชาวเมืองนั้นสามสิบคน เขาได้นำของที่ริบจากพวกเขามา และเขาให้เสื้อผ้าของคนเหล่านั้นแก่พวกคนที่ตอบคำปริศนานั้นได้ เขาจึงขึ้นไปยังบ้านบิดาของเขาด้วยความเดือดดาล 20 ภรรยาของแซมสันก็ถูกยกให้กับเพื่อนของเขา
1 หลายวันต่อมา ในช่วงฤดูเก็บเกี่ยวข้าวสาลี แซมสันได้นำลูกแพะตัวหนึ่งไปและออกไปเยี่ยมเยียนภรรยาของเขา เขาบอกกับตัวเองว่า "ข้าจะไปยังห้องของภรรยาของข้า" แต่บิดาของเธอจะไม่ยอมให้เขาเข้าไปข้างใน 2 บิดาของเธอกล่าวว่า "จริงๆ แล้ว ข้าคิดว่าเจ้าเกลียดชังเธอ ข้าจึงยกเธอให้กับเพื่อนของเจ้า น้องสาวของเธอก็สวยงามกว่าเธอไม่ใช่หรือ? จงรับเธอไปแทนเถิด" 3 แซมสันจึงกล่าวกับพวกเขาว่า "ตอนนี้ข้าก็จะไม่มีความผิดในเรื่องเกี่ยวกับคนฟีลิสเตียเมื่อข้าทำร้ายพวกเขา"
4 แซมสันจึงออกไปและจับสุนัขจิ้งจอกมาสามร้อยตัว และเขาได้ผูกหางกับหางแต่ละคู่ติดกันไว้ แล้วเขาเอาคบเพลิงมาและผูกไว้ตรงกลางของหางแต่ละคู่ 5 เมื่อเขาได้จุดไฟคบเพลิงแล้ว เขาก็ปล่อยสุนัขจิ้งจอกเหล่านั้นเข้าไปในนาข้าวที่ตั้งรวงอยู่ของคนฟีลิสเตีย และพวกมันก็ทำให้ไฟติดทั้งฟ่อนข้าวและต้นข้าวที่ตั้งรวงอยู่ในทุ่งนา รวมทั้งสวนองุ่นและสวนมะกอก
6 คนฟีลิสเตียจึงถามว่า "ใครได้ทำเช่นนี้?" มีคนบอกพวกเขาว่า "แซมสันบุตรเขยของคนทิมนาห์ได้ทำเช่นนี้ เพราะคนทิมนาห์ได้เอาภรรยาของแซมสันไป และยกเธอให้กับเพื่อนของเขา" แล้วคนฟีลิสเตียจึงได้ไปและเผาเธอและบิดาของเธอเสีย 7 แซมสันกล่าวกับพวกเขาว่า "ถ้านี่เป็นสิ่งที่พวกเจ้าทำ ข้าจะแก้แค้นพวกเจ้า และข้าจะไม่หยุดจนกว่าจะทำการแก้แค้นสำเร็จ" 8 แล้วเขาก็เฉือนคนเหล่านั้นออกเป็นชิ้นๆ ตัดส่วนสะโพกและต้นขาออกอย่างโหดเหี้ยม แล้วเขาก็ได้ลงไปและอาศัยอยู่ในถ้ำตรงหน้าผาเอตาม
9 แล้วคนฟีลิสเตียจึงขึ้นมาและพวกเขาได้เตรียมการเพื่อสู้รบในยูดาห์ และตั้งกองทัพของเขาในเลฮี 10 คนยูดาห์จึงถามว่า "ทำไมพวกท่านจึงยกมาสู้รบกับพวกเรา?" พวกเขาจึงตอบว่า "พวกเรายกมาสู้รบ เพื่อจะจับแซมสัน และทำกับเขาอย่างที่เขาได้ทำกับพวกเรา" 11 แล้วคนยูดาห์สามร้อยคนจึงลงไปยังถ้ำตรงหน้าผาเอตาม และพวกเขากล่าวกับแซมสันว่า "เจ้าไม่รู้หรือว่าคนฟีลิสเตียเป็นผู้ปกครองเหนือพวกเรา? เจ้าได้ทำอะไรกับพวกเราเช่นนี้? แซมสันจึงตอบพวกเขาว่า "พวกเขาได้ทำกับข้า และด้วยเหตุนี้ ข้าจึงได้ทำต่อพวกเขา"
12 พวกเขาจึงกล่าวกับแซมสันว่า "พวกเราลงมาเพื่อจับเจ้ามัดและมอบเจ้าไว้ในมือของคนฟีลิสเตีย" แซมสันกล่าวกับพวกเขาว่า "จงสาบานกับข้าว่าพวกท่านจะไม่ประหารข้าเสียเอง" 13 พวกเขาจึงกล่าวกับแซมสันว่า "ไม่หรอก พวกเราจะมัดเจ้าด้วยเชือกเท่านั้นและมอบเจ้าให้แก่พวกเขา เราสัญญาว่าเราจะไม่ฆ่าเจ้า" แล้วพวกเขาก็ได้จับแซมสันมัดด้วยเชือกใหม่สองเส้น และได้นำเขาขึ้นมาจากก้อนหินนั้น
14 เมื่อแซมสันมาถึงเมืองเลฮี คนฟีลิสเตียจึงร้องตะโกนเข้ามาเมื่อพวกเขาได้พบแซมสัน แล้วพระวิญญาณของพระยาห์เวห์ได้เสด็จมาสถิตเหนือเขาด้วยพลัง เชือกที่มัดแขนของเขาก็เป็นเหมือนป่านที่ไหม้ไฟ และเชือกเหล่านั้นก็หลุดจากมือของเขา 15 แซมสันพบกระดูกขากรรไกรลาที่ยังสดใหม่อันหนึ่ง และเขาได้หยิบมันขึ้นมา และได้ฆ่าคนหนึ่งพันคนด้วยขากรรไกรลาอันนั้น 16 แซมสันกล่าวว่า "ด้วยขากรรไกรลานี้ คนจำนวนมากกองซ้อนทับกัน ด้วยขากรรไกรลาอันนี้ ข้าได้ฆ่าคนหนึ่งพันคน"
17 เมื่อแซมสันกล่าวจบแล้ว เขาก็ได้โยนขากรรไกรลาทิ้งไป และเขาเรียกสถานที่นั้นว่ารามาทเลฮี 18 แซมสันรู้สึกกระหายน้ำมาก และได้ร้องทูลต่อพระยาห์เวห์ว่า "พระองค์ได้ประทานชัยชนะอันใหญ่หลวงครั้งนี้ต่อผู้รับใช้ของพระองค์ แต่บัดนี้ ข้าพระองค์จะต้องตายด้วยความกระหายน้ำ และตกอยู่ในมือของพวกคนที่ไม่ได้เข้าสุหนัตหรือ?" 19 พระเจ้าจึงทรงเปิดช่องที่อยู่ที่เมืองเลฮีและน้ำได้ไหลออกมา เมื่อเขาได้ดื่ม กำลังของเขาก็ได้กลับคืนมาและฟื้นชื่นขึ้น ดังนั้น เขาจึงเรียกชื่อสถานที่นั้นว่าเอนหักโคร์ ซึ่งอยู่ที่เมืองเลฮีจนถึงทุกวันนี้ 20 แซมสันได้วินิจฉัยอิสราเอลในสมัยของคนฟีลิสเตียเป็นเวลายี่สิบปี
1 แซมสันได้ไปยังเมืองกาซา และเห็นโสเภณีคนหนึ่งที่นั่น แล้วเขาก็ไปหลับนอนกับนาง 2 มีคนบอกชาวกาซาว่า "แซมสันได้มาที่นี่แล้ว" ชาวกาซาจึงล้อมสถานที่นั้นไว้และแอบซ่อนตัวอยู่ พวกเขาซุ่มคอยแซมสันอยู่ที่ประตูเมืองตลอดคืน พวกเขาอยู่กันเงียบๆ ตลอดทั้งคืน พวกเขาพูดกันว่า "ให้เราซุ่มคอยจนถึงรุ่งเช้า แล้วจากนั้นก็ให้พวกเราฆ่าเขาเสีย" 3 แซมสันนอนอยู่บนที่นอนจนถึงเที่ยงคืน พอถึงเที่ยงคืนเขาก็ลุกขึ้น และเขาได้ยกประตูเมืองพร้อมกับเสาประตูทั้งสองต้นไป เขาได้ถอนเสาเหล่านั้นขึ้นมาจากพื้นดินพร้อมกับดาลประตูและทั้งหมด วางไว้บนบ่าของเขาและแบกขึ้นไปจนถึงยอดเขาที่อยู่ตรงหน้าภูเขาเฮโบรน
4 หลังจากเหตุการณ์นี้ แซมสันได้รักผู้หญิงคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในหุบเขาโสเรก ชื่อของนางคือเดลิลาห์ 5 พวกผู้ปกครองฟีลิสเตียได้ขึ้นมาหานาง และกล่าวกับนางว่า "จงหลอกล่อแซมสันเพื่อให้รู้ว่ากำลังมหาศาลของเขามาจากไหน และทำอย่างไรพวกเราจึงจะเอาชนะเขาได้ เพื่อเราจะจับมัดเขาได้ เพื่อที่จะทำให้เขาอับอาย จงทำเช่นนี้ และพวกเราแต่ละคนจะให้เงินเจ้า 1,100 แผ่น"
6 แล้วเดลิลาห์จึงถามแซมสันว่า "โปรดบอกฉันเถิดว่าเธอมีกำลังมหาศาลได้อย่างไร? ทำอย่างไรถึงจะควบคุมเธอได้" 7 แซมสันตอบนางว่า "ถ้าพวกเขามัดฉันด้วยสายธนูสดที่ยังไม่แห้งเจ็ดเส้น แล้วฉันก็จะหมดแรงและเป็นเหมือนกับผู้ชายคนอื่นๆ" 8 แล้วพวกผู้ปกครองฟีลิสเตียจึงได้นำสายธนูสดที่ยังไม่แห้งเจ็ดเส้นมาให้เดลิลาห์ และนางก็ได้เอามามัดแซมสันไว้ 9 ในขณะนั้น นางได้ให้พวกผู้ชายเหล่านั้นแอบซ่อนตัวอยู่ในห้องข้างในของนาง นางได้พูดกับเขาว่า "แซมสัน คนฟีลิสเตียมาหาเธอแล้ว" แต่เขาก็ได้ทำให้สายธนูเหล่านั้นขาดออกจากกันเหมือนกับเส้นด้ายเมื่อถูกไฟ ดังนั้นความลับเกี่ยวกับกำลังของเขาจึงยังไม่ถูกเปิดเผย
10 แล้วเดลิลาห์ก็ถามแซมสันว่า "นี่เธอได้หลอกฉันและพูดโกหกกับฉัน โปรดบอกฉันเถอะว่า เธอมีกำลังมหาศาลได้อย่างไร" 11 เขาตอบนางว่า "ถ้าพวกเขามัดฉันด้วยเชือกใหม่ที่ไม่เคยใช้งานมาก่อน ฉันก็จะหมดแรงและเป็นเหมือนกับผู้ชายคนอื่นๆ" 12 ดังนั้นเดลิลาห์จึงได้เอาเชือกใหม่มามัดเขาไว้ และพูดกับเขาว่า "แซมสัน คนฟีลิสเตียขึ้นมาหาเธอแล้ว" คนเหล่านั้นกำลังซุ่มคอยอยู่ในห้องชั้นใน แต่แซมสันได้ฉีกเชือกนั้นให้ขาดออกจากแขนของเขาเป็นเหมือนฉีกเส้นด้าย
13 เดลิลาห์ถามแซมสันว่า "จนถึงเดี๋ยวนี้ เธอก็ยังหลอกลวงฉัน และพูดโกหกกับฉัน ขอจงบอกฉันว่าเธอมีกำลังมหาศาลได้อย่างไร" แซมสันได้ตอบนางว่า "ถ้าเธอเอาผมทั้งเจ็ดปอยของฉันทอเข้ากับเส้นด้ายบนหูกทอผ้า แล้วตรึงผมนั้นไว้กับหูกทอผ้านั้น ฉันก็จะเป็นเหมือนกับผู้ชายคนอื่นๆ" 14 ในขณะที่เขาได้นอนหลับอยู่นั้น เดลิลาห์ก็ได้ทอผมเจ็ดปอยของเขาเข้ากับเส้นด้ายบนหูกทอผ้าและตรึงผมนั้นไว้ในหูกทอผ้า และนางได้พูดกับเขาว่า "แซมสัน คนฟีลิสเตียขึ้นมาหาเธอแล้ว" เขาจึงได้ตื่นขึ้นจากหลับและดึงเส้นด้ายและเข็มออกมาจากหูกทอผ้านั้น
15 นางได้กล่าวกับเขาว่า "เธอพูดได้อย่างไรว่า 'ฉันรักเธอ' ในเมื่อเธอไม่ได้บอกความลับของเธอกับฉัน? เธอได้หลอกฉันสามครั้งแล้ว และไม่ได้บอกฉันว่าเธอมีกำลังมหาศาลเช่นนี้ได้อย่างไร" 16 นางได้คาดคั้นเขาอยู่ทุกวันด้วยคำพูดของนาง และบีบบังคับเขาอย่างมากจนเขาอยากจะตาย 17 ดังนั้นแซมสันจึงบอกนางทุกอย่าง และพูดกับนางว่า "ฉันไม่เคยให้มีดโกนตัดผมบนศีรษะของฉันเลย เพราะฉันเป็นนาศีร์แด่พระเจ้าตั้งแต่ในครรภ์มารดาของฉัน ถ้าศีรษะฉันถูกโกนผมออก แล้วฉันก็จะหมดแรง และเป็นเหมือนผู้ชายคนอื่นๆ ทุกคน"
18 เมื่อเดลิลาห์ได้เห็นว่า เขาได้บอกความจริงทุกอย่างกับนางแล้ว นางก็ได้ใช้คนไปเรียกพวกผู้ปกครองฟีลิสเตียมา กล่าวว่า "จงขึ้นมาอีก เพราะเขาได้บอกฉันทุกอย่างแล้ว" แล้วพวกผู้ปกครองฟีลิสเตียก็ได้ขึ้นมาหานาง นำเงินติดมือมาด้วย 19 นางทำให้เขาหลับอยู่บนตักของนาง นางได้เรียกผู้ชายคนหนึ่งให้โกนผมทั้งเจ็ดปอยบนศีรษะของเขา และนางก็เริ่มทำให้เขาหมดแรง เพราะกำลังของเขาได้หมดไปแล้ว 20 นางพูดว่า "แซมสัน คนฟีลิสเตียขึ้นมาหาเธอแล้ว" เขาจึงตื่นขึ้นจากหลับและพูดว่า "ฉันจะออกไปเหมือนอย่างครั้งก่อนๆ และสลัดตัวเองให้หลุดไปได้" แต่เขาไม่รู้ว่า พระยาห์เวห์ได้ทรงจากเขาไปแล้ว
21 คนฟีลิสเตียก็ได้จับแซมสันไป และควักดวงตาทั้งสองข้างของเขาออก พวกเขาพาแซมสันลงไปยังเมืองกาซา และล่ามเขาไว้ด้วยโซ่ทองสัมฤทธิ์ เขาได้โม่แป้งอยู่ที่เรือนจำ 22 แต่ผมของเขาก็เริ่มงอกออกมาอีก หลังจากที่ได้ถูกโกนออกไป 23 พวกผู้ปกครองฟีลิสเตียก็ได้มาชุมนุมกันเพื่อถวายเครื่องบูชาครั้งยิ่งใหญ่แด่พระดาโกน พระของพวกเขา และพากันชื่นชมยินดี พวกเขาพูดกันว่า "พระของพวกเราได้ชนะแซมสันศัตรูของเราแล้ว และได้ใส่เขาไว้ในอุ้งมือของเราแล้ว"
24 เมื่อประชาชนเห็นเขา พวกเขาก็สรรเสริญพระของพวกเขา พวกเขาพูดกันว่า "พระของพวกเราได้ชนะศัตรูของพวกเราแล้ว และมอบเขาให้แก่พวกเรา ผู้ทำลายประเทศของเรา ผู้ที่ฆ่าพวกเราไปหลายคน" 25 เมื่อพวกเขากำลังเฉลิมฉลองกันอยู่นั้น พวกเขาพูดกันว่า "จงเรียกแซมสันมา เพื่อให้เขาทำให้พวกเราหัวเราะกัน" พวกเขาจึงเรียกแซมสันออกมาจากคุก และเขาก็ทำให้คนเหล่านั้นหัวเราะกัน พวกเขาได้ให้แซมสันยืนอยู่ระหว่างเสาสองต้น 26 แซมสันพูดกับเด็กชายที่จูงมือของเขาว่า "ขอให้ข้าเกาะเสาเหล่านั้นที่รองรับตึกนี้อยู่ เพื่อที่ข้าจะพิงเสาเหล่านั้นได้"
27 ตึกนั้นเต็มไปด้วยผู้ชายและผู้หญิง พวกผู้ปกครองฟีลิสเตียทั้งหมดก็ได้อยู่ที่นั่น มีคนประมาณสามพันคนทั้งผู้ชายและผู้หญิงอยู่บนหลังคานั้น ที่กำลังมองดูขณะที่แซมสันได้ทำให้พวกเขาสนุกสนาน 28 แซมสันได้ร้องทูลพระยาห์เวห์ และทูลว่า "พระยาห์เวห์ องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงระลึกถึงข้าพระองค์ ขอทรงโปรดให้ข้าพระองค์มีกำลังครั้งนี้อีกเพียงครั้งเดียว พระเจ้า เพื่อข้าพระองค์จะแก้แค้นคนฟีลิสเตียให้กับตาทั้งสองข้างของข้าพระองค์ในครั้งเดียว"
29 แซมสันได้จับเสาตรงกลางสองต้นที่รองรับตึกนั้น และเขาได้ยันเสาทั้งสองต้นนั้น เสาหนึ่งอยู่ที่มือขวาของเขา และอีกเสาหนึ่งอยู่ที่มือซ้ายของเขา 30 แซมสันกล่าวว่า "ขอให้ข้าตายไปกับคนฟีลิสเตียเถิด" เขาก็เหยียดออกไปด้วยกำลังของเขา และตึกนั้นก็พังลงมาทับพวกผู้ปกครองฟีลิสเตียและทับประชาชนทั้งหมดที่อยู่ในตึกนั้น ดังนั้น คนที่เขาฆ่าตอนที่เขาตายนี้มีมากกว่าคนเหล่านั้นที่เขาได้ฆ่าเมื่อตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ 31 แล้วพี่น้องของเขาและครอบครัวของบิดาทั้งหมดก็ได้ลงมา พวกเขาได้นำร่างของแซมสันกลับไปและฝังเขาไว้ระหว่างเมืองโศราห์กับเมืองเอชทาโอลในที่ฝังศพของมาโนอาห์บิดาของเขา แซมสันได้วินิจฉัยอิสราเอลเป็นเวลายี่สิบปี
1 มีชายคนหนึ่งในแดนเทือกเขาเอฟราอิม เขาชื่อมีคาห์ 2 เขาพูดกับมารดาของเขาว่า "เงิน 1,100 แผ่นที่ถูกลักไปจากแม่ ซึ่งแม่ได้กล่าวคำสาปแช่งและลูกได้ยินแล้ว ดูสิ ลูกมีเงินนั้นอยู่กับลูก ลูกได้ขโมยไปเอง" มารดาของเขาจึงกล่าวว่า "ลูกของแม่ ขอพระยาห์เวห์ทรงอวยพรลูกเถิด" 3 เขาได้คืนเงิน 1,100 แผ่นให้กับมารดาของเขา และมารดาของเขาจึงกล่าวว่า "แม่ได้แยกเงินนี้ไว้แด่พระยาห์เวห์ เพื่อให้ลูกของแม่จะทำเป็นรูปแกะสลักและรูปหล่อโลหะต่างๆ ดังนั้นในเวลานี้ แม่จึงคืนเงินนี้ให้แก่ลูก"
4 เมื่อเขาได้คืนเงินให้กับมารดาของเขาแล้ว มารดาของเขาก็ได้เอาเงินไปสองร้อยแผ่น และให้เงินนั้นแก่ช่างโลหะเพื่อทำให้เงินนั้นเป็นรูปแกะสลักและรูปหล่อโลหะต่างๆ และได้ตั้งสิ่งเหล่านั้นไว้ในบ้านของมีคาห์ 5 มีคาห์คนนี้จึงมีบ้านของรูปเคารพ และเขาได้ทำเอโฟดอันหนึ่งและบรรดาพระประจำบ้าน และเขาได้จ้างบุตรชายคนหนึ่งในบรรดาบุตรชายของเขาให้เป็นปุโรหิตของเขา 6 ในสมัยนั้น ยังไม่มีกษัตริย์ในอิสราเอล และทุกคนก็ทำตามที่ตนเองเห็นชอบ
7 ในขณะนั้น มีชายหนุ่มชาวเมืองเบธเลเฮมคนหนึ่งในยูดาห์ จากตระกูลของเผ่ายูดาห์ ผู้ซึ่งเป็นคนเลวี เขาได้พักอาศัยอยู่ที่นั่นเพื่อปฏิบัติหน้าที่ของเขาให้เสร็จสิ้น 8 ชายคนนั้นได้ออกจากเมืองเบธเลเฮมในยูดาห์เพื่อไปหาที่พักอาศัย ขณะที่เขาเดินทางไป เขาก็ได้มาถึงบ้านของมีคาห์ในแดนเทือกเขาเอฟราอิม
9 มีคาห์กล่าวกับเขาว่า "ท่านมาจากไหน?" ชายคนนั้นตอบเขาว่า "ข้าพเจ้าเป็นคนเลวีจากเมืองเบธเลเฮมในยูดาห์ และข้าพเจ้ากำลังเที่ยวหาสถานที่ซึ่งข้าพเจ้าจะพักอาศัย" 10 มีคาห์จึงกล่าวกับเขาว่า "จงพักอยู่กับข้าพเจ้าเถิด มาเป็นบิดาและเป็นปุโรหิตให้กับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะให้เงินท่านปีละสิบแผ่น ให้เสื้อผ้าชุดหนึ่งกับให้อาหารแก่ท่าน" ดังนั้น คนเลวีคนนั้นจึงเข้าไปในบ้านของเขา
11 คนเลวีคนนั้นพอใจที่จะอาศัยอยู่กับชายนั้น และชายหนุ่มคนนั้นก็ได้เป็นเหมือนกับบุตรชายคนหนึ่งในบรรดาบุตรชายของมีคาห์ 12 มีคาห์ได้แยกคนเลวีคนนั้นไว้ให้ปฏิบัติพิธีการต่างๆ และชายหนุ่มคนนั้นก็ได้เป็นปุโรหิตของเขา และอยู่ในบ้านของมีคาห์ 13 แล้วมีคาห์กล่าวว่า "บัดนี้ ข้าพเจ้าทราบแล้วว่าพระยาห์เวห์จะทรงทำการดีแก่ข้าพเจ้า เพราะคนเลวีคนนี้ได้มาเป็นปุโรหิตของข้าพเจ้าแล้ว"
1 ในสมัยนั้น ยังไม่มีกษัตริย์ในอิสราเอล พงศ์พันธุ์ของเผ่าดานกำลังแสวงหาเขตแดนเพื่ออยู่อาศัย เพราะจนถึงวันนั้น พวกเขายังไม่ได้มรดกใดๆ เลยจากท่ามกลางบรรดาเผ่าของอิสราเอล 2 คนเผ่าดานได้ส่งคนห้าคนจากจำนวนคนทั้งหมดในเผ่าของพวกเขาที่เป็นนักรบที่ชำนาญการศึกจากโศราห์และจากเอชทาโอล เพื่อออกไปเดินเท้าสำรวจและตรวจดูแผ่นดินนั้น พวกเขาได้กล่าวกับคนเหล่านั้นว่า "จงไปและตรวจดูแผ่นดินนั้น" พวกเขาได้มายังแดนเทือกเขาเอฟราอิม มายังบ้านของมีคาห์ และพวกเขาได้ค้างคืนอยู่ที่นั่น
3 เมื่อพวกเขาอยู่ใกล้บ้านของมีคาห์ พวกเขาก็จำเสียงพูดของคนเลวีหนุ่มคนนั้นได้ ดังนั้น พวกเขาจึงได้หยุดแวะและถามเขาว่า "ใครพาท่านมาที่นี่? ท่านมาทำอะไรในสถานที่นี้? ทำไมท่านจึงอยู่ที่นี่?" 4 เขาจึงตอบคนเหล่านั้นว่า "มีคาห์ได้ทำดังนี้แก่ข้าพเจ้า เขาได้จ้างข้าพเจ้าให้เป็นปุโรหิตของเขา"
5 คนเหล่านั้นจึงกล่าวกับเขาว่า "ขอโปรดทูลขอคำปรึกษาจากพระเจ้า เพื่อพวกเราจะทราบว่า การเดินทางที่เรากำลังไปนี้จะสำเร็จหรือไม่" 6 ปุโรหิตคนนั้นจึงกล่าวกับพวกเขาว่า "จงไปโดยสันติเถิด พระยาห์เวห์จะทรงนำพวกท่านในทางที่พวกท่านจะไปนั้น" 7 แล้วผู้ชายทั้งห้าคนก็จากไป แล้วมายังเมืองลาอิช และพวกเขาได้เห็นว่าประชาชนในเมืองนั้นได้อาศัยกันอยู่อย่างปลอดภัย เหมือนอย่างที่คนไซดอนอยู่กัน ที่อยูู่อย่างสงบสุขและไร้กังวล ไม่มีใครมายึดครองหรือกดขี่พวกเขาเลยในแผ่นดินนั้น พวกเขาจึงอาศัยอยู่ห่างจากคนไซดอนและไม่คบค้ากับใครเลย
8 พวกเขาได้กลับไปยังเผ่าของพวกเขาในเมืองโศราห์และเมืองเอชทาโอล แล้วบรรดาญาติพี่น้องของพวกเขาก็ถามว่า "พวกเจ้าได้พบอะไรบ้าง?" 9 พวกเขาจึงกล่าวว่า "มาเถิด ให้พวกเราไปโจมตีพวกเขา พวกเราได้เห็นแผ่นดินนั้นซึ่งเป็นแผ่นดินที่ดีมาก พวกท่านจะไม่ทำอะไรเลยหรือ?" อย่ารอช้าอยู่เลยที่จะไปโจมตีและยึดครองแผ่นดินนั้น 10 เมื่อพวกท่านไป พวกท่านจะพบกับประชาชนที่คิดว่าพวกเขาปลอดภัย และแผ่นดินนั้นกว้างขวาง พระเจ้าได้ประทานแผ่นดินนั้นแก่พวกท่านแล้ว ที่ซึ่งไม่ขาดแคลนอะไรเลยในแผ่นดินนั้น"
11 คนเผ่าดานหกร้อยคนจากเผ่าดานได้ถืออาวุธสงคราม ได้ออกเดินทางไปจากเมืองโศราห์และเมืองเอชทาโอล 12 พวกเขาขึ้นไปและตั้งค่ายที่คีริยาทเยอาริมในยูดาห์ นี่คือเหตุผลที่ผู้คนเรียกสถานที่นั้นว่ามาฮาเนห์ดานจนถึงทุกวันนี้ เมืองนี้อยู่ทางด้านทิศตะวันตกของคีริยาทเยอาริม 13 พวกเขาได้ยกออกจากที่นั่นไปยังแดนเทือกเขาเอฟราอิม และมายังบ้านของมีคาห์
14 แล้วผู้ชายทั้งห้าคนที่ไปสำรวจดินแดนของเมืองลาอิชได้กล่าวกับพวกญาติพี่น้องของพวกเขาว่า "พวกท่านรู้ไหมว่า ในบ้านเหล่านี้มีเอโฟด พระประจำบ้านต่างๆ รูปแกะสลัก และรูปหล่อโลหะ? ขอให้ตัดสินใจเสียเดี๋ยวนี้ว่าพวกท่านจะทำอะไร" 15 ดังนั้น พวกเขาจึงกลับมาที่นั่น และได้มายังบ้านของคนเลวีหนุ่มคนนั้นคือที่บ้านของมีคาห์ และคนเหล่านั้นได้ทักทายเขา 16 บัดนี้ คนดานที่ถืออาวุธสงครามหกร้อยคนก็ได้ยืนอยู่ที่ประตูทางเข้านั้น
17 ผู้ชายทั้งห้าคนที่ได้ไปสำรวจแผ่นดินนั้นก็ไปที่นั่น และพวกเขาได้เอารูปแกะสลัก เอโฟด พระประจำบ้านต่างๆ และรูปหล่อโลหะไป ขณะที่ปุโรหิตคนนั้นยืนอยู่ข้างประตูที่เปิดอยู่กับคนหกร้อยคนที่ถืออาวุธสงคราม 18 ในขณะที่คนเหล่านี้ได้เข้าไปในบ้านของมีคาห์และได้เอารูปแกะสลัก เอโฟด บรรดาพระประจำบ้านต่างๆ และรูปหล่อโลหะไป ปุโรหิตคนนั้นได้กล่าวกับพวกเขาว่า "พวกท่านกำลังทำอะไร?"
19 พวกเขากล่าวกับปุโรหิตนั้นว่า "จงเงียบไว้ จงเอามือปิดปากของท่านและไปกับเรา และมาเป็นบิดาและปุโรหิตให้กับเรา การเป็นปุโรหิตให้กับบ้านของคนคนเดียว หรือการเป็นปุโรหิตของเผ่าซึ่งเป็นตระกูลหนึ่งของอิสราเอล อย่างไหนจะดีกว่ากันสำหรับท่าน?" 20 ใจของปุโรหิตคนนั้นก็ยินดี เขาจึงเอาเอโฟด บรรดาพระประจำบ้านต่างๆ และรูปแกะสลักไปและตามคนเหล่านั้นไป
21 ดังนั้น พวกเขาจึงหันกลับและออกไป พวกเขาให้พวกเด็กเล็กๆ พร้อมกับฝูงสัตว์และทรัพย์สินของพวกเขาอยู่ข้างหน้าพวกเขา 22 เมื่อไปได้ไกลจากบ้านของมีคาห์ระยะหนึ่ง บรรดาคนที่อยู่ในบ้านเรือนใกล้บ้านของมีคาห์ก็ถูกเรียกออกมารวมตัวกัน และพวกเขาติดตามไปจนทันคนเผ่าดาน
23 พวกเขาร้องตะโกนเรียกคนเผ่าดาน และคนเผ่าดานจึงหันกลับมาและพูดกับมีคาห์ว่า "เจ้าได้เรียกคนพวกนี้มากันทำไม?" 24 มีคาห์จึงได้ตอบว่า "พวกเจ้าได้ขโมยพระต่างๆ ที่ข้าได้ทำ พวกเจ้าได้เอาปุโรหิตของข้าไป และพวกเจ้าก็กำลังจากไป ข้ายังมีอะไรเหลืออยู่เล่า? พวกเจ้ายังจะถามข้าได้อย่างไรว่า 'อะไรที่ทำความยุ่งยากให้แก่เจ้า?'" 25 คนเผ่าดานจึงได้กล่าวว่า "เจ้าอย่าพูดอะไรให้พวกเราได้ยินอีก มิฉะนั้น มีบางคนที่กำลังโกรธมากก็จะทำร้ายเจ้า ทั้งเจ้าและครอบครัวของเจ้าก็จะถูกฆ่าเสีย"
26 แล้วคนเผ่าดานก็ได้ไปตามทางของพวกเขา เมื่อมีคาห์เห็นว่าคนเหล่านั้นมีกำลังมากกว่าเขายิ่งนัก เขาก็หันกลับและกลับไปยังบ้านของเขา 27 คนเผ่าดานยึดเอาสิ่งที่มีคาห์ได้ทำ พร้อมกับเอาปุโรหิตของเขาไป และพวกเขามายังเมืองลาอิช ไปยังประชาชนที่อยู่กันอย่างสงบสุขและไร้กังวล และพวกเขาฆ่าคนเหล่านั้นด้วยดาบและเผาเมืองนั้น 28 ไม่มีใครที่จะช่วยพวกเขา เพราะเมืองนั้นอยู่ไกลจากเมืองไซดอนมาก และพวกเขาก็ไม่คบค้ากับใคร เมืองนี้เป็นหุบเขาที่อยู่ใกล้เบธเรโหบ คนดานได้สร้างเมืองนี้ขึ้นมาใหม่และได้อาศัยอยู่ที่นั่น
29 พวกเขาจึงตั้งชื่อเมืองนั้นว่าดาน ตามชื่อของดานที่เป็นบรรพบุรุษของพวกเขา ผู้ซึ่งเป็นบุตรชายคนหนึ่งของอิสราเอล แต่เมืองนี้เคยมีชื่อว่าเมืองลาอิช 30 คนเผ่าดานได้ตั้งรูปแกะสลักไว้สำหรับพวกเขาเอง โยนาธานบุตรชายของเกอร์โชมบุตรของโมเสส เขาและบรรดาบุตรของเขาได้เป็นปุโรหิตให้กับเผ่าของคนเผ่าดานจนถึงสมัยที่แผ่นดินได้ตกเป็นเชลย 31 ดังนั้น พวกเขาจึงได้นมัสการรูปแกะสลักของมีคาห์ที่เขาได้ทำขึ้นมาตลอดเวลาที่พระนิเวศของพระเจ้าอยู่ที่เมืองชิโลห์
1 ในสมัยนั้น ในขณะที่ยังไม่มีกษัตริย์ในอิสราเอล มีชายคนหนึ่งเป็นคนเลวีที่ได้อาศัยอยู่ไม่นานในแดนไกลโพ้นในบริเวณเขตแดนเทือกเขาเอฟราอิม เขาได้รับผู้หญิงคนหนึ่งจากเมืองเบธเลเฮมในยูดาห์มาเป็นภรรยาน้อยของตนเอง 2 แต่ภรรยาน้อยของเขาไม่ซื่อสัตย์ต่อเขา นางได้จากเขาไปและกลับไปยังบ้านบิดาของนางที่เมืองเบธเลเฮมในยูดาห์ นางได้พักอาศัยอยู่ที่นั่นเป็นเวลาสี่เดือน
3 แล้วสามีของนางก็ลุกขึ้นและไปตามนางเพื่อจะชวนให้นางกลับมา คนรับใช้ของเขาไปกับเขาและลาคู่หนึ่ง นางพาเขาเข้าไปในบ้านของบิดาของนาง เมื่อบิดาของหญิงสาวนั้นได้เห็นเขาก็ยินดีมาก 4 พ่อตาของเขาซึ่งเป็นบิดาของหญิงสาวคนนั้น ก็เชิญชวนให้เขาพักอยู่ที่นั้นสามวัน พวกเขาได้กินและดื่ม และพวกเขาก็ค้างคืนที่นั่น
5 ในวันที่สี่ พวกเขาตื่นแต่เช้าและเขาได้เตรียมตัวที่จะไป แต่บิดาของหญิงสาวนั้นพูดกับบุตรเขยของเขาว่า "กินอาหารสักหน่อยให้มีกำลัง แล้วพวกเจ้าจึงค่อยไปกัน" 6 ดังนั้นผู้ชายทั้งสองคนจึงนั่งลงกินและดื่มด้วยกัน จากนั้นบิดาของหญิงสาวคนนั้นจึงพูดว่า "ขอให้ค้างอีกสักคืนเถิดและทำใจให้เบิกบาน" 7 เมื่อคนเลวีลุกขึ้นจะจากไป บิดาของหญิงสาวคนนั้นก็คะยั้นคะยอให้เขาอยู่ ดังนั้น เขาจึงได้เปลี่ยนแผนและค้างคืนที่นั่นอีก
8 ในวันที่ห้า เขาตื่นขึ้นแต่เช้าเพื่อจะไป แต่บิดาของหญิงสาวคนนั้นพูดว่า "พักเอาแรงอีกสักหน่อย และคอยจนกว่าจะถึงตอนบ่ายเถิด" ดังนั้น ชายทั้งสองคนจึงได้กินอาหาร 9 เมื่อคนเลวีและภรรยาน้อยของเขาและคนรับใช้ของเขาลุกขึ้นจะออกเดินทาง พ่อตาของเขาซึ่งเป็นบิดาของหญิงสาวคนนั้นได้พูดกับเขาว่า "ดูสิ ตอนนี้ วันนี้ใกล้จะเย็นแล้ว ขอจงพักที่นี่อีกสักคืน และทำใจให้เบิกบานเถิด พรุ่งนี้พวกเจ้าตื่นแต่เช้าและกลับไปบ้านก็ได้"
10 แต่คนเลวีคนนั้นไม่ยอมค้างคืน เขาจึงลุกขึ้นและจากไป เขาได้ตรงไปยังเมืองเยบุส (นั่นคือเมืองเยรูซาเล็ม) เขามีลาที่ผูกอานคู่หนึ่ง และภรรยาน้อยของเขาได้อยู่กับเขา 11 เมื่อพวกเขาอยู่ใกล้เมืองเยบุส ก็เกือบจะหมดวันแล้ว และคนรับใช้ได้พูดกับนายของเขาว่า "มาเถิด ขอให้พวกเราไปแวะที่เมืองของชาวเยบุสและค้างคืนในเมืองนั้นเถิด"
12 นายของเขาจึงพูดกับเขาว่า "พวกเราจะไม่แวะเข้าไปในเมืองของคนต่างชาติที่ไม่ใช่คนอิสราเอล พวกเราจะไปที่เมืองกิเบอาห์" 13 คนเลวีคนนั้นพูดกับคนหนุ่มของเขาว่า "มาเถิด ให้เราไปยังที่เหล่านั้นสักแห่งหนึ่ง และค้างคืนในเมืองกิเบอาห์หรือเมืองรามาห์"
14 ดังนั้น พวกเขาจึงเดินทางต่อไป และดวงอาทิตย์ตกแล้ว ในขณะที่พวกเขาใกล้มาถึงเมืองกิเบอาห์ ในเขตแดนของเบนยามิน 15 พวกเขาได้แวะที่นั่นเพื่อค้างคืนในเมืองกิเบอาห์ พวกเขาไปและนั่งลงที่ลานเมือง แต่ไม่มีใครพาพวกเขาไปค้างที่บ้านเลย
16 แต่แล้วก็มีชายชราคนหนึ่งซึ่งกำลังกลับมาจากการทำงานในทุ่งนาเวลาเย็นนั้น เขามาจากแดนเทือกเขาเอฟราอิม และเขาพักอยู่ในเมืองกิเบอาห์ได้ไม่นานนัก แต่พวกผู้ชายที่อาศัยอยู่ในที่นั้นเป็นคนเบนยามิน 17 เขาเงยหน้าขึ้นและเห็นคนเดินทางบนลานเมือง ชายชราคนนั้นจึงถามว่า "พวกท่านจะไปไหน? พวกท่านมาจากไหน?" 18 คนเลวีคนนั้นจึงตอบเขาว่า "พวกเรากำลังอยู่ระหว่างการเดินทางจากเมืองเบธเลเฮมในยูดาห์ไปยังแดนไกลโพ้นของแดนเทือกเขาเอฟราอิม ที่ซึ่งข้าพเจ้าได้มาจากที่นั่น ข้าพเจ้าได้ไปที่เมืองเบธเลเฮมในยูดาห์ และข้าพเจ้ากำลังจะไปที่พระนิเวศของพระยาห์เวห์ แต่ไม่มีใครที่จะพาข้าพเจ้าเข้าไปในบ้านของเขาเลย
19 พวกเรามีฟางและอาหารสำหรับลาของพวกเรา และมีอาหารและเหล้าองุ่นสำหรับข้าพเจ้าและสาวใช้ของท่านที่นี่ และสำหรับคนหนุ่มคนนี้กับคนรับใช้ของท่านด้วย พวกเราไม่ขาดสิ่งใดเลย" 20 ชายชราคนนั้นจึงกล่าวต้อนรับพวกเขาว่า "ขอสันติสุขจงมีแก่พวกท่านเถิด ข้าพเจ้าจะดูแลในสิ่งที่พวกท่านต้องการทั้งหมด เพียงแต่อย่าค้างคืนที่ลานเมืองนี้เลย" 21 ดังนั้นชายคนนั้นจึงพาคนเลวีเข้าไปที่บ้านของเขา และให้อาหารแก่ลาเหล่านั้น พวกเขาล้างเท้าของตน และได้กินและดื่ม
22 ขณะที่พวกเขากำลังเพลิดเพลินใจอยู่นั้น พวกผู้ชายชาวเมืองนั้นที่เป็นพวกอันธพาลก็ได้มาล้อมบ้านหลังนั้น และทุบประตู พวกเขาพูดกับชายชราคนที่เป็นเจ้าของบ้านหลังนั้นว่า "จงนำผู้ชายที่เข้าไปในบ้านของเจ้าออกมา เพื่อเราจะร่วมรักกับเขา" 23 ผู้ชายคนนั้นที่เป็นเจ้าของบ้านได้ออกไปหาพวกเขาและพูดกับพวกเขาว่า "อย่าเลย พี่น้องของข้า ขออย่าทำสิ่งชั่วร้ายนี้เลย เพราะชายคนนี้เป็นแขกในบ้านของข้า อย่าทำสิ่งที่ชั่วร้ายนี้เลย
24 นี่แน่ะ ลูกสาวพรหมจารีของข้ากับภรรยาน้อยของเขาอยู่ที่นี่ ขอให้ข้านำพวกนางออกมาในตอนนี้ จงข่มขืนพวกนางและทำกับพวกนางตามใจชอบ แต่อย่าทำสิ่งชั่วร้ายอย่างนั้นกับผู้ชายคนนี้เลย" 25 แต่ผู้ชายพวกนั้นไม่ฟังเสียงเขา คนเลวีคนนั้นจึงจับภรรยาน้อยของเขาและพานางออกมาให้พวกเขา พวกเขาก็ได้จับนางไป ข่มขืนนาง และทำทารุณกับนางตลอดทั้งคืน และพอถึงรุ่งเช้า พวกเขาก็ได้ปล่อยนางไป 26 ตอนรุ่งเช้า ผู้หญิงคนนั้นได้มาและนางได้ล้มลงที่ประตูบ้านของชายคนนั้นที่นายของนางพักอาศัยอยู่ และนางนอนอยู่ที่นั่นจนสว่าง
27 นายของนางได้ลุกขึ้นในตอนเช้า เขาเปิดประตูบ้านและออกไปเพื่อจะตามเส้นทางของเขา เขาได้เห็นภรรยาน้อยของเขานอนอยู่ที่ประตูนั้น มือของนางอยู่ที่ธรณีประตู 28 คนเลวีคนนั้นจึงพูดกับนางว่า "ลุกขึ้น ให้เราไปกันเถิด" แต่ไม่มีคำตอบใดๆ เขาจึงเอานางขึ้นบนหลังลา และชายคนนั้นก็ออกเดินทางไปบ้าน
29 เมื่อคนเลวีคนนั้นมาถึงบ้านของเขา เขาก็ได้เอามีดมา และเขาได้จับตัวภรรยาน้อยของเขา และหั่นศพของนาง ตัดแขนตัดขาออกเป็นสิบสองท่อน แล้วได้ส่งท่อนเหล่านั้นไปทั่วทุกแห่งในอิสราเอล 30 คนทั้งปวงที่ได้เห็นสิ่งนี้ได้กล่าวว่า "เรื่องอย่างนี้ไม่เคยมีใครทำกันหรือได้พบเห็นตั้งแต่วันที่คนอิสราเอลได้ขึ้นมาจากแผ่นดินอียิปต์จนถึงทุกวันนี้ จงตรึกตรองเกี่ยวกับเรื่องนี้ ขอจงให้คำแนะนำเรา ขอบอกเราว่าจะทำอย่างไร"
1 แล้วคนอิสราเอลทั้งหมดตั้งแต่ดานจนถึงเบเออร์เชบาก็ออกมาพร้อมกันเป็นใจเดียว รวมทั้งแผ่นดินกิเลอาดก็ออกมาด้วย และพวกเขาได้มาประชุมกันต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ที่เมืองมิสปาห์ 2 พวกผู้ใหญ่ของคนอิสราเอลทั้งหมด จากทุกเผ่าของอิสราเอล ก็มาปรากฏตัวในที่ประชุมของประชากรของพระเจ้าที่เป็นทหารราบ 400,000 คน ผู้ที่พร้อมที่จะสู้รบด้วยดาบ
3 ในขณะนั้น คนเบนยามินได้ยินว่าคนอิสราเอลได้ยกขึ้นไปที่เมืองมิสปาห์ คนอิสราเอลถามว่า "จงบอกเราว่าเรื่องที่ชั่วร้ายนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร" 4 คนเลวีคนนั้นที่เป็นสามีของผู้หญิงที่ได้ถูกฆ่าตอบว่า "ข้าพเจ้าได้มายังเมืองกิเบอาห์ในเขตแดนที่เป็นของเบนยามิน ทั้งข้าพเจ้ากับภรรยาน้อยของข้าพเจ้าได้ค้างคืนที่นั่น 5 ในระหว่างคืนนั้น พวกผู้นำของกิเบอาห์ได้บุกเข้ามาหาข้าพเจ้า ได้ล้อมบ้านนั้น และหมายจะฆ่าข้าพเจ้า พวกเขาได้จับตัวภรรยาน้อยของข้าพเจ้าไปและข่มขืนนาง แล้วนางก็ตาย
6 ข้าพเจ้าจึงได้นำภรรยาน้อยของข้าพเจ้าไป และหั่นศพของนางเป็นท่อนๆ แล้วส่งไปยังพวกเขาในแต่ละเขตแดนที่เป็นมรดกของอิสราเอล เพราะพวกเขาได้ทำเรื่องที่ชั่วร้ายและโหดเหี้ยมเช่นนั้นในอิสราเอล 7 บัดนี้ ท่านคนอิสราเอลทั้งปวง ขอจงให้คำแนะนำและคำปรึกษากันที่นี่เถิด" 8 พวกเขาทุกคนก็ลุกขึ้นพร้อมกันเป็นใจเดียว และพวกเขาได้กล่าวว่า "ไม่มีใครในพวกเราที่จะกลับไปยังเต็นท์ของเขา ไม่มีใครสักคนจะกลับไปบ้านของเขา
9 แต่นี่คือสิ่งที่พวกเราจะทำกับเมืองกิเบอาห์เดี๋ยวนี้ พวกเราจะสู้รบกับเมืองนั้นตามที่ฉลากได้นำเรา 10 พวกเราจะเลือกคนสิบคนจากหนึ่งร้อยคนจากทั่วทุกเผ่าของอิสราเอล และหนึ่งร้อยคนจากหนึ่งพันคน และหนึ่งพันคนจากหนึ่งหมื่นคน เพื่อไปจัดหาเสบียงสำหรับคนเหล่านี้ เพื่อตอนที่พวกเขามาถึงเมืองกิเบอาห์ในเบนยามิน พวกเขาจะลงโทษคนเหล่านั้นสำหรับความชั่วร้ายที่พวกเขาได้ทำในอิสราเอล"
11 ดังนั้น พวกทหารของอิสราเอลทั้งหมดก็ได้รวมตัวกันออกไปสู้รบกับเมืองนั้นเป็นใจเดียวกัน 12 เผ่าต่างๆ ของอิสราเอลได้ส่งคนเหล่านั้นไปทั่วเผ่าเบนยามินทั้งหมด ได้กล่าวว่า "พวกเจ้าได้ทำเรื่องที่ชั่วร้ายอะไรเช่นนี้? 13 ด้วยเหตุนี้ จงส่งพวกคนกิเบอาห์ที่ชั่วร้ายนั้นมาให้เรา เพื่อพวกเราจะประหารพวกเขาเสีย และเพื่อพวกเราจะเอาความชั่วร้ายทั้งสิ้นนี้ออกไปจากอิสราเอล" แต่คนเบนยามินไม่ฟังเสียงคนอิสราเอลพี่น้องของพวกเขา
14 แล้วคนเบนยามินได้ออกมาจากเมืองต่างๆ มารวมตัวกันที่เมืองกิเบอาห์ เพื่อเตรียมพร้อมที่จะสู้รบกับคนอิสราเอล 15 คนเบนยามินได้พากันมาจากเมืองต่างๆ ของพวกเขาเพื่อที่จะสู้รบในวันนั้นเป็นทหารจำนวนสองหมื่นหกพันคนที่ชำนาญในการสู้รบด้วยดาบ ยิ่งกว่านั้น ยังมีคนอีกเจ็ดร้อยคนที่เป็นคนที่ได้คัดเลือกมาจากชาวกิเบอาห์เพิ่มเข้ามาด้วย 16 ท่ามกลางทหารเหล่านี้มีคนเจ็ดร้อยคนที่ถูกคัดเลือกมาที่ถนัดมือซ้าย แต่ละคนสามารถเหวี่ยงก้อนหินให้ถูกเส้นผมได้โดยไม่พลาดเลย
17 คนอิสราเอล ไม่นับรวมจำนวนที่มาจากเบนยาบิน มีจำนวน 400,000 คนที่ชำนาญในการสู้รบด้วยดาบ คนทั้งหมดเหล่านี้ล้วนเป็นนักรบ 18 คนอิสราเอลได้ลุกขึ้น แล้วขึ้นไปที่เมืองเบธเอล และทูลขอคำปรึกษาจากพระเจ้า พวกเขาทูลถามว่า "ใครจะไปสู้รบกับคนเบนยามินเพื่อพวกข้าพระองค์ก่อน?" พระยาห์เวห์ได้ตรัสว่า "ยูดาห์จะไปสู้รบก่อน"
19 คนอิสราเอลตื่นขึ้นในเวลาเช้า และพวกเขาได้ย้ายค่ายของพวกเขาไปตั้งใกล้เมืองกิเบอาห์ 20 คนอิสราเอลออกไปสู้รบกับคนเบนยามิน พวกเขาจัดทัพรบต่อสู้กับคนเหล่านั้นที่เมืองกิเบอาห์ 21 คนเบนยามินออกมาจากเมืองกิเบอาห์ และพวกเขาฆ่าทหารของกองทัพอิสราเอลตายไปสองหมื่นสองพันคนในวันนั้น
22 แต่คนอิสราเอลต่างก็ได้เสริมกำลังกัน และพวกเขาจัดแนวรบในที่เดิมที่พวกเขาได้วางตำแหน่งไว้ในวันแรก 23 แล้วคนอิสราเอลได้ขึ้นไปและพวกเขาร้องไห้คร่ำครวญต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์จนถึงตอนเย็น พวกเขาแสวงหาการทรงนำจากพระยาห์เวห์ พวกเขาทูลถามว่า "พวกข้าพระองค์ควรจะออกไปสู้รบกับคนเบนยามินพี่น้องของพวกข้าพระองค์อีกหรือไม่?" พระยาห์เวห์ได้ตรัสว่า "จงไปสู้รบกับพวกเขาเถิด" 24 ดังนั้นคนอิสราเอลจึงได้ไปสู้รบกับพวกทหารของเบนยามินในวันที่สอง
25 ในวันที่สอง คนเบนยามินได้ออกไปจากเมืองกิเบอาห์เพื่อสู้รบกับคนอิสราเอลอีก และพวกเขาได้ฆ่าคนอิสราเอลไปหนึ่งหมื่นแปดพันคน ซึ่งทุกคนล้วนเป็นคนที่ชำนาญในการต่อสู้ด้วยดาบ 26 แล้วพวกทหารทั้งหมดของอิสราเอล และประชาชนทั้งหมดจึงขึ้นไปยังเมืองเบธเอลและร้องไห้คร่ำครวญ และที่นั่นพวกเขาได้นั่งลงต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ และพวกเขาอดอาหารจนถึงเวลาเย็น และถวายเครื่องเผาบูชาและเครื่องสันติบูชาต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์
27 คนอิสราเอลทูลถามพระยาห์เวห์ เพราะหีบแห่งพันธสัญญาของพระเจ้าได้อยู่ที่นั่นในสมัยนั้น 28 และฟีเนหัสบุตรชายของเอเลอาซาร์ผู้เป็นบุตรชายของอาโรนกำลังปรนนิบัติรับใช้ต่อหน้าหีบนั้นในสมัยนั้น "พวกข้าพระองค์ควรจะออกไปสู้รบกับคนเบนยามินพี่น้องของพวกข้าพระองค์อีกครั้งหรือว่าควรจะหยุด? พระยาห์เวห์ได้ตรัสว่า "จงสู้รบเถิด เพราะว่าพรุ่งนี้ เราจะช่วยพวกเจ้าให้ชนะพวกเขา" 29 ดังนั้นคนอิสราเอลจึงได้จัดคนไว้ในที่ซ่อนต่างๆ รอบเมืองกิเบอาห์
30 คนอิสราเอลได้สู้รบกับคนเบนยามินเป็นวันที่สาม พวกเขาก็จัดแนวรบสู้รบกับเมืองกิเบอาห์เหมือนกับที่พวกเขาได้ทำคราวก่อน 31 คนเบนยามินได้ออกไปและต่อสู้กับคนเหล่านั้น และพวกเขาได้ถูกล่อออกไปให้ห่างจากเมืองนั้น พวกเขาได้เริ่มฆ่าคนอิสราเอลไปบ้าง มีคนอิสราเอลประมาณสามสิบคนที่ตายในที่โล่งและตามถนน ถนนสายหนึ่งขึ้นไปยังเมืองเบธเอล และอีกสายหนึ่งไปยังเมืองกิเบอาห์
32 แล้วคนเบนยามินจึงกล่าวว่า "พวกเขาพ่ายแพ้แล้ว พวกเขากำลังหนีจากพวกเราเหมือนกับครั้งก่อน" แต่พวกทหารของอิสราเอลกล่าวกันว่า "ให้พวกเราวิ่งถอยออกมา และล่อพวกเขาให้ออกมาจากเมืองมายังถนนนั้น" 33 คนอิสราเอลทั้งหมดได้ลุกขึ้นออกมาจากที่ต่างๆ ของพวกเขาและจัดแนวรบของตนที่บาอัลทามาร์ แล้วพวกทหารอิสราเอลที่กำลังซุ่มอยู่ในที่ซ่อนต่างๆ ก็ได้วิ่งออกมาจากที่ของพวกเขาจากมาอาเรห์กิเบอาห์
34 มีคนที่ได้ถูกคัดเลือกมาจากคนอิสราเอลทั้งหมดหนึ่งหมื่นคนได้ออกมาสู้รบกับเมืองกิเบอาห์ และการต่อสู้ก็ดุเดือดมาก แต่คนเบนยามินไม่ได้รู้ว่าความพินาศได้ใกล้มาถึงพวกเขาแล้ว 35 พระยาห์เวห์ทรงทำให้คนเบนยามินพ่ายแพ้ไปต่อหน้าคนอิสราเอล ในวันนั้น พวกทหารของคนอิสราเอลได้ฆ่าคนเบนยามินไป 25,100 คน คนที่ตายไปทั้งหมดนี้ล้วนเป็นพวกคนที่ชำนาญการต่อสู้ด้วยดาบ
36 ดังนั้นพวกทหารของเบนยามินเห็นว่าพวกเขาได้พ่ายแพ้แล้ว คนอิสราเอลได้ทำเป็นล่าถอยคนเบนยามินเพราะพวกเขาได้วางพวกคนทั้งหลายซุ่มไว้นอกเมืองกิเบอาห์ 37 แล้วพวกคนที่ซุ่มอยู่ก็ได้ลุกขึ้นและรีบมา พวกเขารีบวิ่งเข้าไปในเมืองกิเบอาห์ และพวกเขาฆ่าทุกคนที่อาศัยอยู่ในเมืองนั้นด้วยดาบ
38 พวกทหารอิสราเอลกับพวกคนที่ซุ่มอยู่ในที่ซ่อนได้นัดกันด้วยการทำสัญญาณที่เป็นกลุ่มควันขนาดใหญ่ที่จะขึ้นมาจากเมืองนั้น 39 เมื่อมีการส่งสัญญาณนั้น พวกทหารอิสราเอลก็จะหันกลับจากการสู้รบ เนื่องจากคนเบนยามินได้เริ่มโจมตี และพวกเขาได้ฆ่าคนอิสราเอลไปประมาณสามสิบคน พวกเขาพูดกันว่า "แน่ทีเดียวว่าพวกเขาได้พ่ายแพ้ต่อหน้าเราแล้ว เหมือนอย่างการสู้รบครั้งก่อน" 40 แต่เมื่อควันไฟได้พลุ่งขึ้นจากเมืองนั้น คนเบนยามินก็หันมาและเห็นควันไฟได้พลุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้ามาจากทั่วทั้งเมืองนั้น
41 แล้วคนอิสราเอลก็ได้หันกลับมาสู้รบกับพวกเขา คนเบนยามินหวาดกลัวมาก เพราะพวกเขาเห็นว่าความพินาศได้มาเหนือพวกเขาแล้ว 42 ดังนั้น พวกเขาจึงวิ่งหนีไปจากคนอิสราเอลโดยหนีไปตามทางที่ไปยังถิ่นทุรกันดาร แต่การสู้รบก็ยังตามไปทันพวกเขา พวกทหารของอิสราเอลได้ออกมาจากเมืองเหล่านั้น และฆ่าพวกเขาในที่พวกเขายืนอยู่
43 พวกเขาได้ล้อมคนเบนยามินไว้ และไล่ตามพวกเขาไป และเหยียบย่ำพวกเขาที่เมืองโนฮาห์ ตลอดทางไปจนถึงด้านทิศตะวันออกของกิเบอาห์ 44 คนเบนยามินได้ตายไปหนึ่งหมื่นแปดพันคน ซึ่งทุกคนล้วนเป็นนักรบที่มีชื่อเสียงในการสู้รบ
45 พวกเขากลับมาและหนีตรงไปยังถิ่นทุรกันดารที่ศิลาแห่งริมโมน คนอิสราเอลได้ฆ่าคนเบนยามินมากกว่าห้าพันคนไปตามถนนนั้น พวกเขายังคงไล่ตามคนเบนยามิน กำลังตามพวกเขาไปอย่างกระชั้นชิดตลอดทางไปยังเมืองกิโดม และที่นั่นพวกเขาได้ฆ่าคนมากกว่าสองพันคน 46 พวกทหารของเบนยามินทั้งหมดล้มลงในวันนั้นสองหมื่นห้าพันคน ซึ่งเป็นคนที่ชำนาญการต่อสู้ด้วยดาบ พวกเขาทุกคนล้วนมีชื่อเสียงในการสู้รบ
47 แต่มีหกร้อยคนได้หันกลับไปและหนีไปยังถิ่นทุรกันดาร ตรงไปยังศิลาแห่งริมโมน พวกเขาได้อาศัยอยู่ที่ศิลาแห่งริมโมนเป็นเวลาสี่เดือน 48 พวกทหารของอิสราเอลได้กลับมาสู้รบกับคนเบนยามิน โจมตี และฆ่าพวกเขาทั่วทั้งเมือง ไม่ว่าจะเป็นฝูงสัตว์ และทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาได้พบ พวกเขาเผาทุกหัวเมืองที่อยู่ในเส้นทางของพวกเขาด้วย
1 ในตอนนั้น คนอิสราเอลได้ทำสัญญากันที่เมืองมิสปาห์ว่า "ไม่มีใครในพวกเราจะยกบุตรหญิงของเขาให้แต่งงานกับคนเบนยามิน" 2 แล้วประชาชนก็ไปยังเมืองเบธเอล และนั่งลงที่นั่นต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์จนถึงเวลาเย็น และพวกเขาร้องไห้เสียงดังอย่างขมขื่น 3 พวกเขาร้องทูลว่า "ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งอิสราเอล ทำไมเหตุการณ์นี้จึงได้เกิดขึ้นกับอิสราเอล ที่เผ่าหนึ่งของบรรดาเผ่าของพวกเราจะขาดหายไปในวันนี้?" 4 วันรุ่งขึ้น ประชาชนได้ตื่นขึ้นแต่เช้าและสร้างแท่นบูชาที่นั่น และถวายเครื่องเผาบูชากับสันติบูชา
5 คนอิสราเอลกล่าวว่า "เผ่าใดในบรรดาเผ่าของอิสราเอลที่ไม่ได้ขึ้นมาประชุมต่อพระยาห์เวห์?" เพราะพวกเขาได้ทำสัญญาที่สำคัญเกี่ยวกับคนใดก็ตามที่ไม่ได้ขึ้นมาเฝ้าพระยาห์เวห์ที่เมืองมิสปาห์ พวกเขากล่าวว่า "เขาจะถูกประหารชีวิตแน่นอน" 6 คนอิสราเอลมีความสงสารต่อเบนยามินพี่น้องของพวกเขา พวกเขากล่าวว่า "ในวันนี้ เผ่าหนึ่งได้ถูกตัดออกจากอิสราเอล 7 ใครจะจัดหาภรรยาให้กับคนเหล่านั้นที่เหลืออยู่ เนื่องจากพวกเราได้ทำสัญญาต่อพระยาห์เวห์ว่า พวกเราจะไม่ยอมให้คนใดในพวกเขาแต่งงานกับบรรดาบุตรหญิงของพวกเรา?"
8 พวกเขาถามว่า "เผ่าใดในบรรดาเผ่าของอิสราเอลที่ไม่ได้ขึ้นมาเฝ้าพระยาห์เวห์ที่เมืองมิสปาห์?" ซึ่งได้พบว่าไม่มีใครจากยาเบชกิเลอาดที่มาประชุมเลย 9 เพราะเมื่อได้จัดประชาชนให้เป็นระเบียบแล้ว ดูเถิด ไม่มีชาวเมืองยาเบชกิเลอาดอยู่ที่นั่นเลย 10 ชุมนุมชนจึงส่งพวกคนกล้าหาญที่สุดของพวกเขาออกไปหนึ่งหมื่นสองพันคน พร้อมกับคำสั่งให้ไปยังยาเบชกิเลอาด และโจมตีพวกเขาและฆ่าพวกเขา ไม่เว้นแม้แต่พวกผู้หญิงและเด็กๆ 11 "จงทำดังนี้ พวกเจ้าต้องฆ่าผู้ชายทุกคน และผู้หญิงทุกคนที่ได้หลับนอนกับผู้ชายแล้ว"
12 คนเหล่านั้นพบว่าท่ามกลางคนเหล่านั้นที่อาศัยอยู่ในยาเบชกิเลอาด มีพวกหญิงสาวที่ไม่เคยหลับนอนกับผู้ชายสี่ร้อยคน และพวกเขาจึงได้นำพวกนางกลับมายังค่ายที่เมืองชิโลห์ ในคานาอัน 13 ชุมนุมชนทั้งหมดได้ส่งสารไป และบอกคนเบนยามินที่อยู่ที่ศิลาแห่งริมโมนว่าคนอิสราเอลได้สงบศึกพวกเขาแล้ว
14 คนเบนยามินได้กลับมาในเวลานั้น และพวกเขาก็ได้รับมอบพวกผู้หญิงชาวยาเบชกิเลอาด แต่ก็มีพวกผู้หญิงไม่เพียงพอสำหรับพวกเขาทั้งหมด 15 ประชาชนจึงเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับคนเบนยามิน เพราะพระยาห์เวห์ได้ทรงทำให้เกิดการแบ่งแยกระหว่างเผ่าของอิสราเอล
16 แล้วพวกผู้นำของชุมนุมชนกล่าวว่า "พวกเราจะจัดหาภรรยาให้กับคนเบนยามินที่เหลืออยู่ได้อย่างไร เนื่องจากพวกผู้หญิงเบนยามินได้ถูกฆ่าตายหมดแล้ว?" 17 พวกเขากล่าวว่า "ต้องมีมรดกให้กับคนเบนยามินที่รอดตาย เพื่อไม่ให้เผ่าหนึ่งถูกทำลายไปจากอิสราเอล 18 พวกเราไม่สามารถยกบรรดาบุตรหญิงของพวกเราให้เป็นภรรยาของพวกเขาได้ เพราะคนอิสราเอลได้ทำสัญญาไว้แล้วว่า 'คนใดที่ยกบุตรหญิงให้เป็นภรรยาแก่คนเบนยามิน จงถูกสาปแช่ง"'
19 ดังนั้น พวกเขาจึงกล่าวว่า "พวกท่านรู้ว่ามีงานเลี้ยงฉลองแด่พระยาห์เวห์ทุกปีที่เมืองชิโลห์ (ที่อยู่ทางทิศเหนือของเมืองเบธเอล ทางทิศตะวันออกของถนนที่ขึ้นไปจากเมืองเบธเอลไปถึงเมืองเชเคม และทางทิศใต้ของเมืองเลโบนาห์)" 20 พวกเขาได้สั่งคนเบนยามินว่า "จงไปแอบซุ่มคอยอยู่ในสวนองุ่น 21 คอยเฝ้าดูอยู่ เมื่อพวกหญิงสาวชาวชิโลห์ออกมาเต้นรำ แล้วจงรีบวิ่งออกมาจากสวนองุ่น และพวกเจ้าแต่ละคนก็จงฉุดพวกหญิงสาวชาวชิโลห์มาเป็นภรรยา แล้วกลับไปยังแผ่นดินเบนยามิน
22 เมื่อพวกบิดาหรือพี่น้องของพวกนางมาประท้วงต่อพวกเรา พวกเราก็จะพูดกับพวกเขาว่า 'ขอจงแสดงความกรุณาต่อพวกเราเถิด ขอโปรดยอมให้พวกนางอยู่ เพราะพวกเราไม่ได้ให้ภรรยาแก่แต่ละคนในเวลาสงคราม เนื่องจากพวกท่านไม่ได้มอบบรรดาบุตรหญิงของพวกท่านให้แก่พวกเขา พวกท่านก็จะไม่มีความผิด'" 23 คนเบนยามินก็ได้ทำดังนั้น พวกเขาก็ได้ภรรยาไปตามจำนวนที่พวกเขาต้องการจากพวกหญิงสาวที่กำลังเต้นรำอยู่ และพวกเขาได้ฉุดพวกนางมาเป็นภรรยาของพวกเขา พวกเขาได้กลับไปยังสถานที่แห่งมรดกของพวกเขา พวกเขาสร้างเมืองต่างๆ ขึ้นมาใหม่และอาศัยอยู่ในเมืองเหล่านั้น
24 แล้วคนอิสราเอลก็ออกไปจากสถานที่นั้น แล้วกลับไปบ้าน ต่างคนก็ไปยังเผ่าและตระกูลของตน และต่างคนก็กลับไปยังที่ซึ่งเป็นมรดกของตน 25 ในสมัยนั้นยังไม่มีกษัตริย์ในอิสราเอล ทุกคนจึงได้ทำตามที่ตนเองเห็นชอบ
1 ในสมัยเมื่อผู้วินิจฉัยปกครองอยู่นั้น มีการกันดารอาหารเกิดขึ้นในแผ่นดิน และมีชายคนหนึ่งจากเบธเลเฮ็มในเขตยูดาห์ได้ไปที่แผ่นดินโมอับพร้อมกับภรรยาและบุตรชายสองคนของเขา 2 ชายคนนี้ชื่อว่าเอลีเมเลค ภรรยาของเขาชื่อว่านาโอมี และบุตรชายทั้งสองของเขาชื่อว่า มาห์โลน และคิลีโอน พวกเขาเป็นคน เอฟราธาห์จากเบธเลเฮ็มในเขตยูดาห์ พวกเขามาถึงแผ่นดินโมอับและอาศัยอยู่ที่นั่น
3 แล้วเอลีเมเลคผู้เป็นสามีของนาโอมีก็เสียชีวิต และเธอถูกทิ้งให้อยู่กับบุตรชายสองคน 4 บุตรเหล่านี้ได้หญิงโมอับมาเป็นภรรยา คนหนึ่งชื่อว่าโอรปาห์ และอีกคนหนึ่งชื่อว่ารูธ พวกเขาอาศัยอยู่ที่นั่นเป็นเวลาประมาณสิบปี 5 แล้วทั้งมาห์โลนและคิลีโอนก็เสียชีวิต เหลือไว้แต่นาโอมี โดยปราศจากสามีและบุตรชายทั้งสองคนของเธอ
6 แล้วนาโอมีจึงตัดสินใจออกจากโมอับพร้อมกับบุตรสะใภ้ทั้งหลายของเธอและกลับไปยังยูดาห์ เพราะเธอได้ยินขณะที่อยู่ในแผ่นดินโมอับว่า พระยาห์เวห์ได้ช่วยเหลือประชากรของพระองค์และประทานอาหารให้แก่พวกเขาแล้ว 7 ดังนั้นเธอจึงออกจากสถานที่ที่เธอเคยอาศัยอยู่พร้อมกับบุตรสะใภ้ทั้งสองคนของเธอ และพวกเธอจึงเดินลงไปตามถนนเพื่อกลับไปยังแผ่นดินยูดาห์
8 นาโอมีพูดกับบุตรสะใภ้ทั้งสองคนว่า "พวกเจ้าแต่ละคนจงกลับไปยังบ้านของมารดาของพวกเจ้าเถิด ขอพระยาห์เวห์สำแดงความกรุณาต่อพวกเจ้า เหมือนอย่างที่พวกเจ้าได้สำแดงความกรุณาต่อผู้ที่ล่วงลับและต่อฉัน 9 ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าประทานการพักสงบให้แก่พวกเจ้าในบ้านของสามีคนใหม่ของพวกเจ้าแต่ละคนเถิด" แล้วนาโอมีจึงจุบลาบุตรสะใภ้ทั้งสอง และพวกเธอก็พูดเสียงดังขึ้นและร้องไห้
10 พวกเขาจึงพูดกับเธอว่า อย่าเลย พวกเราทั้งสองจะกลับไปกับท่านไปถึงชนชาติของท่าน 11 แต่นาโอมีพูดว่า "ลูกสาวของฉันเอ๋ย จงกลับไปเถิด ทำไมพวกเจ้าจะไปกับฉัน? ฉันจะยังมีบุตรชายในครรภ์เพื่อจะมาเป็นสามีของพวกเจ้าได้อีกอย่างนั้นหรือ? 12 ลูกสาวของฉันเอ๋ย จงกลับไปเถิด ไปตามทางของพวกเจ้า เพราะฉันเองก็แก่เกินกว่าที่จะมีสามีได้อีก ถ้าหากฉันบอกว่า "ฉันหวังว่า ฉันจะได้สามีคนหนึ่งในคืนนี้ และให้กำเนิดบุตรชายทั้งหลาย
13 แล้วพวกเจ้าจะรอคอยจนกว่าพวกเขาจะเติบโตอย่างนั้นหรือ? พวกเจ้าจะรอคอยและไม่แต่งงานกับชายคนใหม่เวลานี้หรือ? อย่าเลย ลูกสาวของฉันเอ๋ย มันจะกลายเป็นความเศร้าโศกอย่างใหญ่หลวงสำหรับฉันมากกว่าเป็นความเศร้าโศกให้แก่พวกเธอ เพราะพระหัตถ์ของพระยาห์เวห์ได้หันมาต่อสู้ฉันแล้ว" 14 แล้วบรรดาบุตรสะใภ้ของเธอก็เปล่งเสียงร้องไห้อีกครั้งหนึ่ง โอรปาห์ได้จุบลาแม่สามีของเธอ แต่รูธยังคงกอดเธอเอาไว้แน่น
15 นาโอมีพูดว่า "ฟังนะ พี่สะใภ้ของเจ้าได้กลับไปหาชนชาติและพระทั้งหลายของเขาแล้ว เจ้าจงกลับไปพร้อมกันกับพี่สะใภ้ของเจ้าเถิด" 16 แต่รูธพูดว่า "ขอโปรดอย่าทำให้ฉันไปจากท่านเลย เพราะไม่ว่าท่านจะไปที่ไหน ฉันจะไปด้วย ท่านอยู่ที่ไหน ฉันก็จะอยู่ด้วย ชนชาติของท่าน จะเป็นชนชาติของฉัน และพระเจ้าของท่านก็จะเป็นพระเจ้าของฉัน
17 ท่านตายที่ไหน ฉันก็จะตายและถูกฝังเอาไว้ที่นั่น ขอพระยาห์เวห์ลงโทษฉัน และยิ่งกว่านั้นขอให้มีเพียงความตายเท่านั้นที่จะแยกเราออกจากกันได้ 18 เมื่อนาโอมีเห็นว่ารูธมีความตั้งใจจริงที่จะไปพร้อมกับเธอ เธอจึงไม่โต้เถียงกับรูธอีก
19 ดังนั้นทั้งสองคนจึงเดินทางมาจนถึงเบธเลเฮ็ม เมื่อพวกเขามาถึงที่เบธเลเฮ็ม ผู้คนทั้งเมืองต่างก็มีความตื่นเต้นในการกลับมาของพวกเขา พวกผู้หญิงพูดว่า "นี่คือนาโอมีใช่ไหม?" 20 แต่นาโอมีพูดกับพวกเธอว่า "อย่าเรียกฉันว่านาโอมีเลย จงเรียกฉันว่าขมขื่นเถิด เพราะองค์ผู้ทรงฤทธิ์ได้กระทำต่อฉันอย่างขมขื่นยิ่งนัก
21 ฉันออกไปฉันมีทุกอย่างบริบูรณ์ แต่พระยาห์เวห์ได้นำฉันกลับบ้านมาด้วยความว่างเปล่า แล้วทำไมพวกเจ้าจึงเรียกฉันว่านาโอมี ดูสิ พระยาห์เวห์ได้ลงโทษฉัน องค์ผู้ทรงฤทธิ์ได้กระทำให้ฉันเจ็บปวดรวดร้าว" 22 ดังนั้นนาโอมีและรูธชาวโมอับผู้เป็นบุตรสะใภ้ของเธอ ได้กลับมาจากแผ่นดินโมอับ พวกเธอมาถึงเบธเลเฮ็มในช่วงเริ่มต้นฤดูเก็บเกี่ยวข้าวบาร์เล่ย์
1 นาโอมีนั้นมีญาติฝ่ายสามีคนหนึ่งจนประเดี๋ยวนี้ เป็นคนมั่งมีคนหนึ่งแห่งตระกูลของเอลีเมเลค เขาชื่อโบอาส 2 รูธชาวโมอับพูดกับนาโอมีว่า "บัดนี้ ขอให้ดิฉันไปและเก็บสิ่งที่เหลือที่รวงข้าวในทุ่งนา ฉันจะติดตามผู้ใดก็ได้ที่ฉันเห็นความกรุณาในดวงตาของเขา" ดังนั้น นาโอมีได้พูดกับเธอว่า "จงไปเถิด บุตรสาวของฉัน" 3 รูธได้ไปและเก็บข้าวที่ตกในทุ่งนาภายหลังที่พวกเขาได้เก็บเกี่ยว เธอบังเอิญได้เข้ามาในที่นาของโบอาส คนแห่งตระกูลของเอลีเมเลค
4 ดูเถิด โบอาสมาจากเบธเลเฮม พูดกับคนเกี่ยวข้าวว่า "ขอให้พระยาห์เวห์ทรงอยู่ด้วยกับพวกท่านเถิด" พวกเขาตอบโบอาสว่า "ขอให้พระยาห์เวห์อวยพรท่าน" 5 แล้วโบอาสพูดกับคนใช้ของเขาที่ควบคุมดูแลคนเกี่ยวข้าวนั้นว่า " หญิงสาวนี้เป็นคนของใครหรือ?" 6 คนควบคุมดูแลคนเกี่ยวข้าวได้ตอบและพูดว่า "นางเป็นหญิงสาวชาวโมอับผู้ซึ่งกลับมาพร้อมกับนาโอมีจากแผ่นดินโมอับ 7 นางได้พูดกับข้าพเจ้าว่า "กรุณาอนุญาตให้ดิฉันเก็บสิ่งที่ตกในทุ่งนาหลังจากที่พวกคนงานได้เก็บเกี่ยวข้าวแล้ว" ดังนั้น นางมาที่นี่และเก็บข้าวตั้งแต่เช้าจนถึงเดี๋ยวนี้ ยกเว้นตอนที่นางพักบ้างในบ้าน" 8 แล้วโบอาสจึงพูดกับรูธว่า " เธอกำลังฟังฉันพูดไหม ? บุตรสาวของฉัน อย่าไปเก็บข้าวตกที่นาอื่น อย่าไปจากที่นาของฉัน แต่จงอยู่ที่นี่และทำงานกับพวกสาวคนทำงานของฉัน
9 ให้จับตาดูทุ่งนาที่พวกผู้ชายกำลังเก็บเกี่ยวกันอยู่ แล้วจงติดตามพวกพวกผู้หญิงคนอื่นๆไป ฉันได้สั่งพวกผู้ชาย ไม่ให้แตะต้องตัวเจ้ามิใช่หรือ ? เมื่อไรก็ตามที่เจ้ากระหายน้ำให้เจ้าไปที่หม้อน้ำ ดื่มน้ำที่พวกผู้ชายได้ตักไว้" 10 แล้วนางก้มลงต่อหน้าโบอาส เอาศีรษะซบลงที่พื้นดิน นางกล่าวกับเขาว่า "ทำไมดิฉันจึงได้รับความเมตตาจากท่าน ที่ท่านดีต่อฉันที่เป็นคนต่างด้าวเช่นนี้ ?" 11 โบอาสได้ตอบและพูดกับนางว่า "ฉันได้รับทราบ สิ่งที่เจ้าทำทั้งหมดหลังจากที่สามีของเจ้าเสียชีวิต เจ้าได้จากบิดา มารดา และแผ่นดินเกิดของเจ้าเพื่อติดตามแม่ของสามีและมาอยู่กับประชาชนที่เจ้าไม่รู้จัก 12 ขอพระยาห์เวห์ประทานรางวัลแก่การกระทำของเจ้า ขอให้เจ้าได้รับการตอบแทนอย่างบริบูรณ์จากพระยาห์เวห์ พระเจ้าของชนชาติอิสราเอล ภายใต้ร่มปีกของพระองค์เจ้าจะได้รับการคุ้มครอง "
13 ดังนั้น นางจึงพูดว่า "ขอให้ดิฉันได้รับความโปรดปรานในสายตาของท่าน เจ้านายของดิฉัน เพราะท่านได้ปลอบใจดิฉัน และท่านได้พูดด้วยความกรุณาต่อดิฉัน แม้ว่าดิฉันเองก็ไม่ได้เป็นสาวใช้คนหนึ่งของท่าน" 14 ในเวลานั้นโบอาสได้พูดกับรูธว่า "จงมาที่นี่ และและรับประทานขนมปังบ้าง และจิ้มขนมปังของเจ้าในนำ้ส้มเหล้าไวน์" นางได้นั่งข้างๆ พวกคนเกี่ยวข้าว และเขาเอาข้าวคั่วให้นาง ได้กินจนกระทั่งนางพอใจ และยังเหลือไว้ 15 เมื่อนางลุกขึ้นแล้วไปเก็บข้าวที่ตก โบอาสได้สั่งพวกผู้ชายหนุ่มของเขาว่า "จงให้นางได้เก็บข้าวแม้แต่ท่ามกลางฟ่อนข้าว และอย่าได้ได้ห้ามนางเลย 16 จงดึงรวงข้าวออกมาจากฟ่อน และทิ้งไว้ให้นางเก็บบ้าง และอย่าได้ห้ามนางเลย ดังนั้น 17 นางจึงเก็บเมล็ดข้าวในทุ่งนาจนกระทั่งเย็น แล้วนางก็ฟาดรวงข้าวที่นางได้รวบรวมมา และเมล็ดข้าวบาร์เลย์ได้ประมาณหนึ่งเอฟาห์ 18 นางยกข้าวนั้นขึ้นและเข้าไปในเมือง แล้ว แม่สามีได้เห็นข้าวที่นางได้เก็บมานั้น และนางเอาข้าวคั่วที่เหลือจากอาหารที่นางได้ประทานอิ่มแล้วนั้นให้แม่สามีด้วย
19 แม่สามีจึงพูดกับนางว่า "วันนี้เจ้าไปเก็บข้าวตกที่ไหน ?" เจ้าไปทำงานที่ไหน? ขอให้ชายที่ช่วยได้ช่วยเหลือเจ้าได้รับพระพร" แล้วรูธได้บอกแม่สามีของนางเกี่ยวกับชายที่เป็นเจ้าของทุ่งนาที่นางได้ทำงาน นางพูดว่า "ชายที่เป็นเจ้าของทุ่งนาที่ฉันที่ไปทำงานวันนี้ชื่อโบอาส" 20 นาโอมีพูดกับบุตรสะใภ้ของนางว่า "ขอให้เขาได้รับพระพรจากพระยาเวห์ พระองค์ไม่เคยละทิ้งความสัตย์ซื่อของพระองค์ต่อผู้ที่มีชีวิตและผู้ที่เสียชีวิตไปแล้ว" นาโอมีได้พูดแก่เธออีกว่า "ผู้ชายคนนั้นเป็นญาติสนิทของพวกเรา เป็นผู้ไถ่ของพวกเรา" 21 รูธชาวโมอับได้พูดว่า "อันที่จริง เขาได้พูดกับฉันว่า "เจ้าควรอยู่ใกล้ๆ กับพวกคนงานหนุ่มๆของเราจนกว่าพวกเขาจะเกี่ยวข้าวของเราเสร็จทั้งหมด" 22 นาโอมีพูดกับรูธบุตรสะใภ้ของนางว่า "ดีแล้ว ลูกเอ๋ย ที่เจ้าออกไปกับพวกคนงานหญิงของเขา เจ้าจะไม่ตกอยู่ในอันตรายจากทุ่งนาอื่นๆ" 23 ดังนั้นนางได้อยู่ใกล้ๆ คนงานหญิงของโบอาสเพื่อเก็บข้าวตกจนสิ้นฤดูเก็บเกี่ยวข้าวบาร์เลย์และข้าวสาลี นางได้อยู่กับแม่สามี
1 นาโอมี แม่สามีของนางพูดกับนางว่า "ลูกสาวของแม่เอ๋ย ไม่ควรที่แม่จะหาที่พักสำหรับเจ้า เพื่อสิ่งเหล่านั้นอาจจะไปได้ดีสำหรับเจ้า? 2 บัดนี้ โบอาส ชายผู้ซึ่งเป็นนายของพวกคนรับใช้สาวๆ ที่เจ้าไปด้วย เขาเป็นญาติสนิทของเราไม่ใช่หรือ? ดูเถิด เขาจะไปนวดข้าวบาร์เลย์ที่ลานนวดข้าวในคืนนี้
3 ฉะนั้น จงไปอาบน้ำ ชโลมตัวเจ้า สวมเสื้อผ้าที่ดีที่สุดของเจ้า แล้วไปที่ลานนวดข้าว แต่อย่าให้ชายนั้นรู้ว่าเจ้าอยู่ที่นั่นจนกว่าเขาจะกินและดื่มเสร็จแล้ว 4 เมื่อเขาไปนอน จงสังเกตว่าเขานอนที่ไหนเพื่อภายหลังเจ้าจะไปหาเขาได้ แล้วให้เปิดผ้าคลุมเท้าของเขา และเข้าไปนอนที่นั่น แล้วเขาจะบอกเจ้าว่าจะต้องทำอย่างไร"
5 รูธพูดกับนาโอมีว่า "ลูกจะทำทุกสิ่งตามที่แม่สั่ง" 6 แล้วนางก็ลงไปที่ลานนวดข้าว และนางทำตามคำแนะนำของแม่สามีที่ได้บอกนางไว้ 7 เมื่อโบอาสได้กินและดื่มเสร็จและจิตใจของเขามีความสุขแล้ว เขาก็ไปนอนที่ด้านท้ายของกองข้าว แล้วนางค่อยๆ เข้าไป เปิดผ้าคลุมเท้าของเขา และนอนที่นั่น
8 พอถึงเที่ยงคืน ชายคนนั้นก็สะดุ้ง เขาพลิกตัว และมีผู้หญิงคนหนึ่งมานอนที่ปลายเท้าของเขา 9 เขาจึงถามว่า "เจ้าเป็นใคร?" นางจึงตอบว่า "ดิฉันชื่อรูธ ผู้เป็นสาวใช้ของนายท่าน ขอโปรดให้ดิฉันผู้เป็นสาวใช้ของท่านได้อยู่ใต้ผ้าคลุมของท่านเถิด เพราะนายท่านเป็นญาติสนิท" 10 โบอาสก็กล่าวว่า "บุตรหญิงเอ๋ย ขอพระยาห์เวห์ทรงอวยพรเจ้า เพราะเจ้ามีน้ำใจในตอนหลังนี้มากกว่าตอนแรก เพราะเจ้าไม่ได้ไปตามชายหนุ่มคนไหนเลย ไม่ว่าเป็นคนอยากจนหรือคนร่ำรวย
11 บัดนี้ บุตรหญิงของข้าเอ๋ย อย่ากลัวเลย! เราจะทำเพื่อเจ้าทุกอย่างตามที่เจ้ากล่าว เพราะคนทั้งเมืองของเราก็รู้ว่าเจ้าเป็นหญิงที่น่ายกย่อง 12 จริงอยู่ที่เราเป็นญาติสนิทกัน แต่มีคนหนึ่งที่เป็นญาติสนิทมากกว่าเรา 13 จงพักอยู่ที่นี่ในคืนนี้ และในตอนเช้า ถ้าเขาจะทำตามสิทธิ์ของการเป็นญาติสนิทของเขา ก็ดีแล้ว ให้เขาทำตามสิทธิ์ของญาติสนิทนั้น แต่ถ้าเขาไม่ใช้สิทธิ์แห่งการเป็นญาติสนิทเพื่อเจ้า เราก็จะใช้สิทธิ์นั้น พระยาห์เวห์ทรงพระชนม์อยู่ฉันใด เราจะตามนั้น จงนอนพักจนกว่าจะถึงรุ่งเช้า"
14 ดังนั้นนางจึงนอนอยู่ที่เท้าของเขาจนถึงเช้า แต่นางตื่นก่อนสว่างที่คนจะจำกันได้ เพราะโบอาสบอกว่า "อย่าให้คนอื่นรู้ว่ามีผู้หญิงมาที่ลานนวดข้าว" 15 แล้วโบอาสก็บอกว่า "จงคลี่เสื้อคลุมของเจ้าออก" เมื่อนางทำตาม เขาก็ตักข้าวบาร์เลย์ให้นางหกทะนานใหญ่ใส่ลงไป และให้นางแบกกลับไป แล้วเขาก็เข้าไปในเมือง
16 เมื่อรูธกลับมาหาแม่สามี นางก็ถามว่า "ลูกสาวของแม่เอ๋ย เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?" รูธก็เล่าถึงทุกสิ่งที่ชายนั้นได้ทำเพื่อนาง 17 นางพูดว่า "ท่านได้ให้ข้าวสาลีแก่ลูกถึงหกทะนานใหญ่ เพราะท่านบอกว่า 'เจ้าอย่ากลับไปหาแม่สามีของเจ้าด้วยมือเปล่าเลย '" 18 แล้วนาโอมีจึงพูดว่า "ลูกสาวของแม่เอ๋ย จงอยู่ที่นี่ จนกว่าจะรู้เรื่องว่าเป็นอย่างไร เพราะชายนั้นจะไม่หยุดพักจนกว่าเขาจะดำเนินเรื่องให้สำเร็จในวันนี้"
1 โบอาสไปที่ประตูเมืองและนั่งอยู่ที่นั่น ไม่นานนัก ญาติสนิทที่โบอาสกล่าวถึงก็เดินผ่านมา โบอาสจึงกล่าวกับเขาว่า "เพื่อนเอ๋ย ขอเชิญเข้ามาและนั่งที่นี่เถิด" ชายคนนั้นก็เข้ามาและนั่งลง จากนั้น 2 โบอาสก็พาพวกผู้ใหญ่ของเมืองมาสิบคน และกล่าวว่า "นั่งที่นี่เถิด" พวกเขาก็นั่งลง
3 โบอาสจึงพูดกับญาติสนิทคนนั้นว่า "นาโอมีผู้ที่ได้กลับมาจากแผ่นดินโมอับกำลังขายที่ดินที่เป็นส่วนของเอลีเมเลคที่เป็นพี่น้องของเรา 4 ข้าพเจ้าคิดที่จะแจ้งให้ท่านทราบ และบอกแก่ท่านว่า 'จงซื้อที่ดินนั้นไว้ ต่อหน้าคนทั้งปวงที่นั่งอยู่ที่นี่ และต่อหน้าพวกผู้ใหญ่ของชาวเมืองของข้าพเจ้า' ถ้าท่านอยากจะไถ่ที่ดินนั้น ก็จงไถ่เถิด แต่ถ้าท่านไม่อยากไถ่ที่ดินนั้น ก็ขอบอกข้าพเจ้าให้รู้ด้วยเถิด เพราะไม่มีใครที่จะไถ่ที่ดินนี้ได้ นอกจากท่าน และข้าพเจ้าก็มีสิทธิ์ถัดไปจากท่าน" แล้วชายคนนั้นจึงกล่าวว่า "ข้าพเจ้าจะไถ่ที่ดินนี้เอง"
5 แล้วโบอาสจึงกล่าวว่า "ในวันที่ท่านซื้อที่นาจากมือของนาโอมี ท่านต้องรับรูธชาวโมอับภรรยาของผู้ตายไว้ด้วย เพื่อนามของผู้ตายจะสืบต่อไปยังมรดกของเขา" 6 แล้วชายคนนั้นจึงตอบว่า "ข้าพเจ้าไม่สามารถไถ่ที่ดินนั้นเพื่อตัวเองโดยไม่ทำให้มรดกของข้าพเจ้าเสียไปได้ ท่านจงเอาสิทธิ์การไถ่ของข้าพเจ้าไปไถ่เพื่อตัวท่านเองเถิด เพราะข้าพเจ้าไม่สามารถไถ่ที่ดินนั้นได้"
7 เนื่องจากนี่เป็นธรรมเนียมในสมัยก่อนของอิสราเอลเกี่ยวกับการไถ่และแลกเปลี่ยนสิ่งของ การยืนยันข้อตกลงทุกอย่าง คนหนึ่งต้องถอดรองเท้าข้างหนึ่งของเขา และให้รองเท้านั้นกับเพื่อนบ้าน นี่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติในการทำข้อตกลงตามกฎหมายในอิสราเอล เพราะเหตุนี้ 8 ญาติสนิทคนนั้นจึงบอกกับโบอาสว่า "จงซื้อที่ดินสำหรับตัวท่านเองเถิด" และเขาก็ถอดรองเท้าข้างหนึ่งของเขาออก 9 แล้วโบอาสจึงพูดกับพวกผู้ใหญ่และคนทั้งปวงว่า "พวกท่านได้เป็นพยานในวันนี้ว่า ข้าพเจ้าได้ซื้อทุกสิ่งที่เป็นของเอลีเมเลค และทุกสิ่งที่เป็นของคิลิโอนและของมาห์โลนจากมือของนาโอมีแล้ว
10 ยิ่งกว่านั้น รูธชาวโมอับที่เป็นภรรยาของมาห์โลน ข้าพเจ้าก็จะได้มาเป็นภรรยาของข้าพเจ้า เพื่อที่ข้าพเจ้าจะยกนามของผู้ตายเหนือมรดกของเขา เพื่อที่นามของเขาจะไม่ถูกตัดออกจากท่ามกลางพวกพี่น้องของเขา และจากประตูแห่งสถานที่ของเขา ท่านทั้งหลายได้เป็นพยานในวันนี้ !" 11 คนทั้งปวงที่อยู่ที่ประตูเมืองและพวกผู้ใหญ่จึงกล่าวว่า "เราเป็นพยาน ขอพระยาห์เวห์ทรงทำให้หญิงนั้นที่ได้เข้ามาในบ้านของท่าน เป็นเหมือนกับราเชลและเลอาห์ หญิงทั้งสองคนที่ได้สร้างพงศ์พันธุ์อิสราเอล และขอให้ท่านเจริญรุ่งเรืองในเอฟราธาห์ และมีชื่อเสียงในเบธเลเฮม 12 ขอให้พงศ์พันธุ์ของท่านเป็นเหมือนพงศ์พันธุ์ของเปเรศ ผู้ที่ทามาร์ได้ให้กำเนิดให้แก่ยูดาห์ ผ่านทางลูกหลานที่พระยาห์เวห์จะประทานแก่ท่านจากหญิงสาวคนนี้"
13 ดังนั้น โบอาสจึงรับรูธมา และนางก็ได้เป็นภรรยาของเขา และเขาก็หลับนอนกับนาง และพระยาห์เวห์ก็ทรงให้นางตั้งครรภ์ และนางก็ให้กำเนิดบุตรชาย 14 พวกผู้หญิงก็พูดกับนาโอมีว่า "สาธุการแด่พระยาห์เวห์ ผู้ทรงไม่ทอดทิ้งเจ้าให้ปราศจากญาติสนิทในเวลานี้ คือทารกคนนี้ ขอให้นามของเขามีชื่อเสียงในอิสราเอล 15 ขอให้เขาเป็นผู้ฟื้นฟูชีวิตและเป็นผู้เลี้ยงดูเจ้าในยามชรา เพราะบุตรสะใภ้ที่รักเจ้าที่ดีกว่าบุตรชายเจ็ดคนได้ให้กำเนิดเขา"
16 นาโอมีก็รับเด็กนั้นมาอุ้มไว้ในอ้อมอก และดูแลเขา 17 พวกผู้หญิงที่เป็นเพื่อนบ้านได้ตั้งชื่อให้กับเขา พูดว่า "บุตรชายคนหนึ่งได้เกิดมาให้แก่นาโอมี" พวกนางตั้งชื่อเขาว่า โอเบด เขาได้เป็นบิดาของเจสซี ผู้เป็นบิดาของดาวิด
18 ต่อไปนี้เป็นพงศ์พันธ์ุของเปเรศ เปเรศเป็นบิดาของเฮสโรน 19 เฮสโรนเป็นบิดาของราม รามเป็นบิดาของอัมมีนาดับ 20 อัมมีนาดับเป็นบิดาของนาโชน นาโชนเป็นบิดาของสัลโมน 21 สัลโมนเป็นบิดาของโบอาส โบอาสเป็นบิดาของโอเบด 22 โอเบดเป็นบิดาของเจสซี และเจสซีเป็นบิดาของดาวิด
1 มีชายคนหนึ่งเป็นชาวรามาธาอิมของเมืองศูฟของแดนเทือกเขาเอฟราอิม ชื่อของเขาคือเอลคานาห์บุตรชายเยโรฮัม บุตชายของเอลีฮู บุตรชายของโทหุ บุตรชายของศูฟ คนเผ่าเอฟราอิม 2 เขามีภรรยาสองคน ชื่อภรรยาคนที่หนึ่งคือฮันนาห์ และชื่อภรรยาคนที่สองคือเปนินนาห์ เปนินนาห์มีลูกหลายคน แต่ฮันนาห์ไม่มีเลย
3 ชายคนนี้ได้ไปจากเมืองของเขาทุกปีไปนมัสการและถวายสัตวบูชาแด่พระยาห์เวห์ผู้เป็นเจ้าของทุกสิ่งในเมืองชิโลห์ บุตรชายสองคนของเอลี คือโฮฟนีและฟีเนหัส เป็นพวกปุโรหิตของพระยาห์เวห์ได้อยู่ที่นั่น 4 เมื่อถึงวันที่เอลคานาห์จะถวายสัตวบูชาทุกปี เขาให้ส่วนแบ่งของเนื้อแก่เปนินนาห์ภรรยาของเขา และให้แก่บรรดาบุตรชายและบุตรสาวทุกคน 5 แต่เขาแบ่งให้ฮันนาห์สองส่วน เพราะเขารักฮันนาห์ แม้ว่าพระยาห์เวห์ได้ทรงปิดครรภ์ของนางไว้
6 คู่แข่งของนางก็ได้ยั่วเย้านางอย่างหนักเพื่อทำให้นางหงุดหงิด เพราะเหตุที่พระยาห์เวห์ทรงปิดครรภ์ของนาง 7 ดังนั้นปีแล้วปีเล่า เมื่อนางขึ้นไปยังพระนิเวศของพระยาห์เวห์กับครอบครัวของนาง คู่แข่งของนางก็ยั่วเย้านางเสมอ ด้วยเหตุนี้นางจึงคุ้นเคยกับการร้องไห้และไม่กินอะไรเลย 8 เอลคานาห์สามีของนางก็พูดกับนางเสมอ "ฮันนาห์ ทำไมเธอถึงร้องไห้? ทำไมเธอถึงไม่กิน? ทำไมหัวใจของเธอถึงโศกเศร้า? ฉันไม่ดีกว่าบุตรชายสิบคนสำหรับเธอหรือ?"
9 มีครั้งหนึ่งในเหตุการณ์เหล่านี้ ฮันนาห์ได้ลุกขึ้นหลังจากที่พวกเขาได้เสร็จจากการกินและดื่มในชิโลห์ ในตอนนั้นเอลีปุโรหิตได้นั่งอยู่บนที่นั่งของเขาซึ่งอยู่ด้านข้างประตูทางเข้าพระวิหารของพระยาห์เวห์ 10 นางเจ็บปวดใจมาก นางจึงได้อธิษฐานต่อพระยาห์เวห์และร้องไห้อย่างขมขื่น 11 นางได้สาบานและได้กล่าวว่า "พระยาห์เวห์จอมเจ้านาย ถ้าพระองค์จะทอดพระเนตรความเจ็บปวดรวดร้าวของผู้รับใช้ของพระองค์และทรงระลึกถึงข้าพระองค์ และไม่ทรงลืมผู้รับใช้ของพระองค์ แต่ประทานบุตรชายคนหนึ่งให้แก่ผู้รับใช้ของพระองค์ แล้วข้าพระองค์จะมอบเขาให้แด่พระยาห์เวห์ตลอดชีวิตของเขา และจะไม่มีมีดโกนแตะศีรษะของเขาเลย"
12 ขณะที่นางได้อธิษฐานอย่างต่อเนื่องต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ เอลีก็เฝ้ามองดูปากของนาง 13 ฮันนาห์พูดในใจของนาง ริมฝีปากของนางขยับ แต่ไม่มีใครได้ยินเสียงของนาง เพราะเหตุนี้เอลีจึงคิดว่านางเมาเหล้า 14 เอลีจึงพูดกับนางว่า "เธอจะเมาเหล้าไปอีกนานเท่าใด ? จงทิ้งเหล้าองุ่นของเธอไปเสีย" 15 ฮันนาห์ตอบว่า "เปล่าเลยเจ้านายของดิฉัน ดิฉันคือผู้หญิงที่มีจิตใจโศกเศร้า ดิฉันไม่ได้ดื่มเหล้าองุ่นหรือเหล้า แต่ดิฉันได้เปิดใจเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ 16 อย่าพิจารณาว่าคนรับใช้ของท่านเป็นผู้หญิงที่ไร้ยางอาย ดิฉันได้พูดออกมาด้วยความกังวลและความอัดอั้นอย่างที่สุดของดิฉัน"
17 แล้วเอลีจึงตอบและกล่าวว่า "จงกลับไปเป็นสุขเถิด ขอพระเจ้าแห่งอิสราเอลโปรดประทานตามคำขอที่เจ้าได้ทูลขอจากพระองค์" 18 นางตอบว่า "ขอหญิงรับใช้ของท่านได้รับความโปรดปรานจากท่านเถิด" แล้วผู้หญิงนั้นก็ไปตามทางของนางและได้กินอาหาร ใบหน้าของนางก็ไม่โศกเศร้าอีกต่อไป 19 พวกเขาตื่นขึ้นแต่เช้าตรู่และนมัสการต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ และพวกเขาได้กลับไปบ้านของพวกเขาที่รามาห์ เอลคานาห์ได้หลับนอนกับฮันนาห์ภรรยาของเขา และพระยาห์เวห์ทรงระลึกถึงนาง
20 ต่อมาเมื่อถึงเวลาที่กำหนด ฮันนาห์ได้ตั้งครรภ์และคลอดบุตรชายคนหนึ่ง นางเรียกชื่อเขาว่าซามูเอล กล่าวว่า "เพราะว่า ดิฉันได้ทูลขอเขามาจากพระยาห์เวห์" 21 อีกครั้งหนึ่ง เอลคานาห์และทุกคนในบ้านของเขาได้กลับขึ้นไปถวายสัตวบูชาแด่พระยาห์เวห์เป็นประจำทุกปีและแก้บนของเขา 22 แต่ฮันนาห์ไม่ได้ไป นางพูดกับสามีของนางว่า "ดิฉันจะไม่ไปจนกว่าเด็กจะหย่านมก่อน แล้วดิฉันจะนำเขาไป เพื่อว่าเขาจะได้ปรากฏตัวต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์และอยู่ที่นั่นตลอดไป"
23 เอลคานาห์สามีของนางจึงบอกนางว่า "จงทำตามที่เธอเห็นว่าดีสำหรับเธอเถิด จงรออยู่จนกระทั่งเธอให้เขาหย่านม ขอเพียงพระยาห์เวห์ทรงยืนยันพระดำรัสของพระองค์เท่านั้น" ด้วยเหตุนี้ผู้หญิงนั้นจึงได้อยู่และเลี้ยงดูบุตรของนางจนกระทั่งนางให้เขาหย่านม 24 เมื่อนางให้เขาหย่านมแล้ว นางจึงนำเขาไปกับนาง ไปยังพระนิเวศของพระยาห์เวห์ในชิโลห์ พร้อมกับวัวอายุสามปีหนึ่งตัว อาหารหนึ่งเอฟาห์ และเหล้าองุ่นหนึ่งขวด ในตอนนั้น เด็กคนนั้นยังเล็กอยู่ 25 พวกเขาได้ฆ่าวัว และพวกเขานำเด็กไปหาเอลี
26 นางกล่าวว่า "โอ เจ้านายของดิฉัน! ตราบเท่าที่ท่านมีชีวิตอยู่ เจ้านายของดิฉัน ดิฉันคือผู้หญิงที่ได้ยืนอยู่ที่นี่ต่อหน้าท่านทูลวิงวอนต่อพระยาห์เวห์ 27 เพราะว่าเด็กคนนี้ที่ดิฉันได้อธิษฐานและพระยาห์เวห์ได้ประทานตามคำร้องทูลตามที่ซึ่งดิฉันได้ทูลขอเขา 28 ดิฉันได้ถวายเขาแด่พระยาห์เวห์ ตราบเท่าที่เขาจะมีชีวิตอยู่เขาได้ถูกนำถวายแด่พระยาห์เวห์แล้ว" แล้วเขาก็นมัสการพระยาห์เวห์ที่นั่น
1 ฮันนาห์จึงอธิษฐานและกล่าวว่า “จิตใจของข้าพเจ้าปลื้มปีติในพระยาห์เวห์ เขาสัตว์ของข้าพเจ้าได้รับการยกชูขึ้นในพระยาห์เวห์ ปากของข้าพเจ้าโอ้อวดเหนือพวกศัตรูของข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้ายินดีในความรอดของพระองค์ 2 ไม่มีใครบริสุทธิ์ดังพระยาห์เวห์ เพราะว่าไม่มีใครเปรียบเหมือนพระองค์ ไม่มีศิลาใดเหมือนพระเจ้าของพวกเรา 3 อย่าโอ้อวดโอหังอีกต่อไป อย่าให้ความจองหองออกมาจากปากของพวกเจ้า เพราะพระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้าแห่งความรอบรู้ โดยพระองค์การกระทำทั้งหลายจะได้รับการประเมิน
4 คันธนูของพวกผู้ชายที่มีกำลังก็ถูกหัก แต่บรรดาคนที่ล้มคว่ำก็รับการเสริมกำลังดั่งสายพาน 5 บรรดาคนที่เคยกินอิ่มก็ต้องออกรับจ้างหาอาหารกิน บรรดาคนเหล่านั้นที่หิวก็หยุดหิว แม้แต่คนที่เป็นหมันก็คลอดบุตรเจ็ดคน แต่ผู้หญิงที่มีบุตรมากก็อิดโรยไป 6 พระยาห์เวห์ทรงประหารและทรงให้มีชีวิต พระองค์ทรงนำลงไปถึงแดนคนตายและทรงให้ฟื้นขึ้นมา 7 พระยาห์เวห์ทรงทำให้ประชาชนบางคนยากจนและทรงทำให้บางคนมั่งคั่ง ทรงทำให้ต่ำลงและทรงยกขึ้นด้วย
8 พระองค์ทรงยกคนยากจนขึ้นมาจากผงคลี พระองค์ทรงยกคนขัดสนขึ้นจากกองขี้เถ้าทรงทำให้พวกเขานั่งร่วมกับพวกเจ้านาย และได้ที่นั่งอันมีเกียรติเป็นมรดก เพราะว่าบรรดาเสาแห่งแผ่นดินเป็นของพระยาห์เวห์และพระองค์ทรงวางโลกไว้บนเสาเหล่านั้น 9 พระองค์จะทรงดูแลย่างเท้าของประชาชนที่สัตย์ซื่อของพระองค์ แต่คนชั่วร้ายจะต้องถูกทำให้เงียบในความมืด เพราะว่าไม่มีใครชนะด้วยกำลัง 10 บรรดาผู้ต่อสู้พระยาห์เวห์จะถูกทำลายเป็นชิ้นๆ พระองค์จะทรงส่งเสียงกระหึ่มต่อสู้พวกเขาจากสวรรค์ พระยาห์เวห์จะทรงพิพากษาจนสุดปลายพิภพ พระองค์จะประทานกำลังแก่กษัตริย์ของพระองค์และจะทรงเสริมกำลังของผู้ที่พระองค์ทรงเจิมไว้"
11 แล้วเอลคานาห์ก็ได้กลับรามาห์ ไปยังบ้านของเขา ส่วนเด็กน้อยก็ได้ปรนนิบัติรับใช้พระยาห์เวห์ต่อหน้าปุโรหิตเอลี 12 แล้วบุตรชายทั้งหลายของเอลีเป็นพวกผู้ชายที่ไร้ค่า พวกเขาไม่รู้จักพระยาห์เวห์ 13 ธรรมเนียมของพวกปุโรหิตต่อประชาชนเป็นอย่างนี้ เมื่อมีผู้ชายคนใดถวายเครื่องสัตวบูชา ในขณะที่เนื้อกำลังต้มอยู่ คนใช้ของปุโรหิตจะเข้ามาพร้อมกับถือเหล็กสามง่ามไว้ในมือของเขา
14 เขาจะเอาเหล็กสามง่ามนั้นแทงเข้าไปในกระทะ หรือหม้อหู หรือหม้อต้มขนาดใหญ่ หรือหม้อ ทั้งหมดที่ติดเหล็กสามง่ามนั้นขึ้นมา ปุโรหิตก็จะเอาไว้สำหรับเขา พวกเขาทำเช่นนั้นในชิโลห์ร่วมกับคนอิสราเอลทั้งหมดที่มาที่นั่น 15 ที่เลวร้ายคือ ก่อนที่พวกเขาเผาไขมันนั้น คนรับใช้ของปุโรหิตได้เข้ามา และกล่าวแก่ผู้ชายผู้ที่กำลังทำสัตวบูชาว่า “ขอเนื้อไปย่างให้ปุโรหิต เพราะว่าเขาจะไม่รับเนื้อต้มจากท่าน นอกจากเนื้อดิบเท่านั้น” 16 ถ้าผู้ชายคนนั้นกล่าวแก่เขาว่า “พวกเขาต้องเผาไขมันก่อน แล้วจึงเอาไปตามที่ท่านต้องการเถิด” แล้วเขาจะตอบว่า “ไม่ได้ เจ้าจะต้องให้ข้าพเจ้าเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่เช่นนั้น ข้าพเจ้าก็จะใช้กำลังเพื่อเอาไป”
17 บาปของคนหนุ่มเหล่านี้ก็ใหญ่หลวงยิ่งนักเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ เพราะว่าพวกเขาได้ดูหมิ่นเครื่องถวายบูชาแด่พระยาห์เวห์ 18 แต่ซามูเอลได้ปรนนิบัติอยู่เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์เช่นเด็กคนหนึ่งที่คาดเอวด้วยผ้าลินินเอโฟด 19 มารดาของเขาได้เย็บเสื้อคลุมตัวเล็กๆสำหรับเขาทุกปี เมื่อนางขึ้นไปพร้อมกับสามีของนางเพื่อถวายเครื่องสัตวบูชาประจำปี
20 เอลีได้อวยพรเอลคานาห์และภรรยาของเขาโดยกล่าวว่า “ขอพระยาห์เวห์ประทานลูกอีกหลายคนให้แก่ท่านโดยทางผู้หญิงคนนี้ เพราะว่าคนที่นางได้ทูลขอ นางได้มอบถวายให้พระยาห์เวห์แล้ว” จากนั้นพวกเขาจึงกลับไปยังบ้านของพวกเขา 21 พระยาห์เวห์ได้ทรงช่วยเหลือฮันนาห์อีกครั้ง และนางก็ตั้งครรภ์ นางได้คลอดบุตรชายสามคนบุตรหญิงสองคน ในขณะที่เด็กชายซามูเอลก็เติบโตขึ้นเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ 22 บัดนี้เอลีก็ชรามากแล้ว เขาได้ยินถึงทุกสิ่งที่บุตรทั้งสองของเขากำลังทำแก่คนอิสราเอลทั้งปวง กับการที่พวกเขาหลับนอนกับพวกผู้หญิงที่ปรนนิบัติตรงทางเข้าเต็นท์นัดพบ
23 ท่านก็ได้พูดกับพวกเขาว่า “ทำไมพวกเจ้าจึงทำสิ่งเหล่านั้น? เพราะเราได้ยินเรื่องการกระทำชั่วร้ายของพวกเจ้าจากประชาชนเหล่านี้" 24 อย่าเลยลูกเอ๋ย ที่เราได้ยินมานั้นมันเป็นคำเล่าลือที่ไม่ดีเลย พวกเจ้าทำให้ประชากรของพระยาห์เวห์ไม่เชื่อฟัง 25 "ถ้าผู้ชายคนหนึ่งทำบาปต่ออีกคนหนึ่ง พระเจ้าจะทรงวินิจฉัยเขา แต่ถ้าผู้ชายคนหนึ่งได้ทำบาปต่อพระยาห์เวห์ ใครจะทูลขอเพื่อเขาได้เล่า?” แต่พวกเขาไม่ฟังเสียงบิดาของพวกเขา เพราะว่าพระยาห์เวห์ทรงประสงค์ที่จะประหารพวกเขาแล้ว
26 เด็กชายซามูเอลก็เติบโตขึ้น และเป็นที่ชอบมากขึ้นเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์และต่อหน้าบรรดามนุษย์ด้วย 27 บัดนี้คนของพระเจ้ามาหาเอลีและได้กล่าวแก่ท่านว่า “พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า ‘เราไม่ได้เปิดเผยเราเองให้แก่พงศ์พันธุ์ของบรรพบุรุษของเจ้า เมื่อพวกเขาอยู่ในอียิปต์ภายใต้พงศ์พันธุ์ของฟาโรห์หรือ? 28 เราได้เลือกเขาออกจากเผ่าอิสราเอลทั้งหมดให้เป็นปุโรหิตของเรา เพื่อขึ้นไปที่แท่นบูชาของเรา และเผาเครื่องบูชา เพื่อสวมเสื้อเอโฟดต่อหน้าเรา เราได้มอบของถวายที่ประชาชนอิสราเอลได้ถวายบูชาด้วยไฟให้แก่พงศ์พันธุ์ของบรรพบุรุษของเจ้า 29 ถ้าเช่นนั้นเหตุใดพวกเจ้าจึงดูหมิ่นเครื่องบูชาและของถวายที่เราประสงค์ในสถานที่ที่เราประทับ? ทำไมเจ้าให้เกียรติแก่บุตรทั้งสองของเจ้าเหนือเราโดยทำให้ตัวของพวกเจ้าอ้วนพีด้วยส่วนที่ดีที่สุดจากของถวายทุกอย่างจากประชาชนอิสราเอลของเรา?’
30 เพราะฉะนั้นพระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอลตรัสว่า ‘เราได้สัญญาว่าพงศ์พันธุ์ของเจ้าและพงศ์พันธุ์ของบรรรพบุรุษของเจ้าจะดำเนินต่อหน้าเราเป็นนิตย์’ แต่บัดนี้พระยาห์เวห์ตรัสว่า ‘ขอให้การนั้นห่างไกลจากเรา เพราะว่าเราจะให้เกียรติบรรดาผู้ที่ให้เกียรติแก่เรา แต่บรรดาผู้ที่ดูหมิ่นเราจะได้รับการเหยียดหยาม 31 ดูเถิด วันเหล่านั้นจะมาถึงเมื่อเราจะตัดกำลังของเจ้าและกำลังของพงศ์พันธุ์บิดาของเจ้า เพื่อจะไม่มีใครแก่ชราในพงศ์พันธุ์ของเจ้าอีกต่อไป 32 เจ้าจะเห็นความทุกข์ร้อนในที่ประทับของเรา ถึงแม้ว่าสิ่งที่ดีจะถูกมอบให้แก่อิสราเอล แต่จะไม่มีใครแก่ชราในพงศ์พันธุ์ของเจ้าอีกต่อไป
33 คนใดในพวกเจ้าที่เราไม่ได้ตัดเสียจากแท่นบูชาของเรา เราจะทำให้สายตาของพวกเจ้าพลั้งพลาดไป และเราจะทำให้เกิดความโศกเศร้าในชีวิตของพวกเจ้า ทุกคนที่เกิดในพงศ์พันธุ์ของเจ้าจะตาย 34 สิ่งนี้จะเป็นหมายสำคัญแก่เจ้าซึ่งจะบังเกิดแก่บุตรทั้งสองของเจ้า คือโฮฟนีและฟีเนหัส พวกเขาจะสิ้นชีวิตในวันเดียวกัน 35 เราจะตั้งปุโรหิตที่สัตย์ซื่อขึ้นมาเพื่อเราเอง คือผู้ซึ่งจะทำตามสิ่งที่มีอยู่ในใจของเราและในจิตวิญญานของเรา เราจะสร้างพงศ์พันธุ์ที่มั่นคงให้เขา และเขาจะดำเนินอยู่ต่อหน้ากษัตริย์ผู้ที่เราเจิมไว้ตลอดไป 36 ทุกคนที่ยังเหลืออยู่ในพงศ์พันธุ์ของเจ้าจะมาและกราบไหว้เขา ร้องขอเศษเงินและขนมปังก้อนหนึ่ง และจะกล่าวว่า “ขอท่านกรุณาตั้งข้าพเจ้าไว้ในตำแหน่งหนึ่งของปุโรหิตเถิด เพื่อข้าพเจ้าจะได้กินเศษขนมปังบ้าง”’”
1 เด็กชายซามูเอลได้ปรนนิบัติพระยาห์เวห์ภายใต้เอลี พระดำรัสของพระยาห์เวห์ในสมัยนั้นมีมาแต่น้อย ไม่มีนิมิตเผยพระวจนะบ่อยนัก 2 ในเวลานั้น เมื่อเอลีกำลังนอนอยู่บนที่นอนของเขาเอง ตาของเขาเริ่มฝ้ามัว ท่านไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน 3 ดวงประทีปของพระเจ้ายังไม่ดับ และซามูเอลกำลังนอนหลับอยู่ในพระนิเวศของพระยาห์เวห์ ตรงที่หีบของพระเจ้าอยู่ที่นั่น
4 พระยาห์เวห์ทรงเรียกซามูเอล ผู้ซึ่งได้กล่าวว่า “ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่" 5 ซามูเอลได้วิ่งไปหาเอลีและกล่าวว่า "ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่ เพราะว่าท่านได้เรียกข้าพเจ้า” เอลีตอบว่า “เราไม่ได้เรียกเจ้า จงกลับไปนอนเถิด” เขาก็ไปนอน ดังนั้นซามูเอลจึงกลับไปและนอนลง 6 พระยาห์เวห์ได้ทรงเรียกอีกครั้งว่า “ซามูเอลเอ๋ย” ซามูเอลก็ลุกขึ้นอีกครั้งหนึ่งและไปหาเอลีกล่าวว่า “ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่ เพราะว่าท่านได้เรียกข้าพเจ้า” เอลีตอบว่า “ลูกเอ๋ย เราไม่ได้เรียกเจ้า จงกลับไปนอนเถิด”
7 ตอนนั้นซามูเอลไม่เคยมีประสบการณ์ใดๆ กับพระยาห์เวห์เลย หรือยังไม่เคยมีพระดำรัสจากพระยาห์เวห์สำแดงแก่เขา 8 พระยาห์เวห์ได้ทรงเรียกซามูเอลอีกครั้งเป็นครั้งที่สาม อีกครั้งหนึ่งซามูเอลได้ลุกขึ้นไปหาเอลีและกล่าวว่า “ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่ เพราะว่าท่านได้เรียกข้าพเจ้า” แล้วเอลีจึงตระหนักว่าพระยาห์เวห์ได้ทรงเรียกเด็กนั้น 9 แล้วเอลีจึงได้พูดกับซามูเอลว่า “จงไปและนอนเสียเถอะ ถ้าพระองค์ทรงเรียกเจ้าอีกครั้ง เจ้าจะต้องทูลว่า ‘ขอตรัสเถิด พระยาห์เวห์เจ้าข้า เพราะผู้รับใช้ของพระองค์กำลังคอยฟังอยู่’” ดังนั้น ซามูเอลจึงกลับไปและนอนในที่ของเขาอีกครั้ง
10 พระยาห์เวห์ได้เสด็จมาและทรงยืนอยู่ พระองค์ทรงเรียกอย่างครั้งก่อนๆ ว่า “ซามูเอล ซามูเอลเอ๋ย” แล้วซามูเอลได้ทูลตอบว่า “ขอตรัสเถิด เพราะผู้รับใช้ของพระองค์กำลังคอยฟังอยู่” 11 พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับซามูเอลว่า “ดูเถิด เรากำลังจะทำสิ่งหนึ่งในอิสราเอล ซึ่งหูของทุกคนที่ได้ยินจะปวดแสบ 12 ในวันนั้นเราจะทำต่อเอลีทุกสิ่งที่เราได้กล่าวไว้เกี่ยวกับพงศ์พันธุ์ของเอลี ตั้งแต่ต้นจนถึงที่สุด
13 เราได้บอกให้เขาว่าเรากำลังจะพิพากษาพงศ์พันธุ์ของเขาอีกครั้งสำหรับบาปที่เขาได้รู้เรื่องแล้ว เพราะว่าบุตรชายทั้งหลายของเขาได้นำการสาปแช่งมาเหนือพวกเขาและเอลีก็ไม่ได้หยุดยั้งพวกเขา 14 เพราะว่าสิ่งนี้ เราจึงได้สาบานต่อพงศ์พันธุ์ของเอลีว่าบาปเหล่านี้ในพงศ์พันธุ์ของเขาจะไม่ได้รับการลบล้างโดยการถวายเครื่องบูชาหรือการถวายเลย" 15 ซามูเอลนอนลงจนกระทั่งถึงตอนเช้า แล้วเขาได้เปิดประตูทั้งหลายของพระนิเวศของพระยาห์เวห์ แต่ซามูเอลกลัวที่จะบอกเอลีเกี่ยวกับนิมิตนั้น
16 แล้วเอลีจึงเรียกซามูเอลมาและได้กล่าวว่า “ซามูเอล ลูกเอ๋ย” ซามูเอลตอบว่า “ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่” 17 เขาได้กล่าวว่า “เรื่องอะไรที่พระองค์ได้ทรงบอกเจ้า? ขออย่าปิดบังไว้จากเราเลย ขอพระเจ้าทรงกระทำอย่างนั้นแก่เจ้า และให้มากยิ่งกว่า ถ้าเจ้าปิดบังสิ่งใดไว้จากเราในเรื่องทั้งสิ้นที่พระองค์ทรงบอกแก่เจ้า" 18 ซามูเอลจึงเล่าให้เขาฟังทุกอย่าง เขาไม่ได้ปิดบังอะไรไว้จากเอลี เอลีจึงกล่าวว่า “พระองค์คือพระยาห์เวห์ ขอพระองค์ทรงกระทำสิ่งที่ทรงเห็นว่าดีเถิด”
19 ซามูเอลก็ได้เติบโตขึ้น และพระยาห์เวห์สถิตกับเขาและพระองค์ไม่ทรงปล่อยให้ถ้อยคำเผยพระวจนะของพระองค์ตกลงสู่ดิน 20 ชนอิสราเอลทั้งปวงตั้งแต่ดานจนถึงเบเออร์เชบาได้รู้ว่าซามูเอลได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้เผยพระวจนะของพระยาห์เวห์ 21 พระยาห์เวห์ได้ทรงปรากฏอีกครั้งในชิโลห์ เพราะพระองค์ทรงสำแดงพระองค์แก่ซามูเอลในชิโลห์โดยพระดำรัสของพระองค์
1 ถ้อยคำของซามูเอลได้มาถึงคนอิสราเอลทั้งหมด บัดนี้คนอิสราเอลได้ยกกองทัพออกไปทำสงครามกับพวกฟีลิสเตีย พวกเขาตั้งค่ายที่เอเบนเอเซอร์ และคนฟีลิสเตียตั้งค่ายอยู่ในอาเฟก 2 พวกฟีลิสเตียจัดพลรบเป็นแนวเข้าต่อสู้กับอิสราเอล เมื่อสงครามแพร่ขยายวงออกไป อิสราเอลก็ได้พ่ายแพ้แก่พวกฟีลิสเตีย ผู้ซึ่งถูกฆ่าประมาณสี่พันคนในสนามรบ 3 เมื่อพวกประชาชนกลับมาสู่ค่าย พวกผู้ใหญ่ของอิสราเอลได้กล่าวว่า “ทำไมพระยาห์เวห์จึงทรงให้เราพ่ายแพ้ต่อหน้าพวกฟีลิสเตียในวันนี้? ให้เราไปนำหีบพันธสัญญาของพระยาห์เวห์จากเมืองชิโลห์มาที่นี่เถิด เพื่อว่าหีบพันธสัญญาจะได้อยู่กับเราที่นี่ เพื่อหีบพันธสัญญาจะช่วยเราให้ปลอดภัยจากมือของศัตรูของพวกเรา”
4 ดังนั้นประชาชนจึงได้ส่งผู้ชายหลายคนไปที่เมืองชิโลห์ จากที่นั่นพวกเขาได้นำหีบแห่งพันธสัญญาของพระยาห์เวห์จอมทัพ ผู้ประทับเหนือเครูบ บุตรทั้งสองของเอลี คือโฮฟนีและฟีเนหัส ก็ได้อยู่กับหีบพันธสัญญาของพระเจ้า 5 เมื่อหีบพันธสัญญาของพระยาห์เวห์มาถึงที่ค่าย ประชาชนอิสราเอลทั้งหมดก็โห่ร้องเสียงดัง จนแผ่นดินก้องไปด้วยเสียงนั้น 6 เมื่อคนฟีลิสเตียได้ยินเสียงโห่ร้อง พวกเขาจึงกล่าวว่า “เสียงโห่ร้องอึกทึกครึกโครมในค่ายของพวกฮีบรูนั้นหมายความว่าอะไรกัน ?” แล้วพวกเขาตระหนักว่าหีบพันธสัญญาของพระยาห์เวห์มาที่ค่ายแล้ว
7 พวกฟีลิสเตียกลัว พวกเขาได้กล่าวว่า “พระเจ้าองค์หนึ่งได้เสด็จมาที่ค่ายแล้ว” พวกเขากล่าวว่า “วิบัติแก่พวกเรา! ไม่เคยเกิดเรื่องอย่างนี้มาก่อนเลย! 8 วิบัติแก่พวกเรา! ใครจะช่วยกู้พวกเราจากพลังของพระผู้ทรงฤทธิ์เหล่านี้ได้? พระเหล่านี้เป็นผู้ที่ได้บุกโจมตีชาวอียิปต์ด้วยภัยพิบัติที่แตกต่างกันหลายชนิดในถิ่นทุรกันดาร 9 จงกล้าหาญเถิด และจงเป็นลูกผู้ชาย พวกท่านชาวฟีลิสเตียทั้งหลาย มิฉะนั้นพวกท่านจะกลายเป็นทาสของพวกฮีบรู ดังที่พวกเขาเคยเป็นทาสพวกท่าน จงเป็นลูกผู้ชายและจงต่อสู้” 10 คนฟีลิสเตียจึงได้สู้รบและอิสราเอลได้พ่ายแพ้ ทุกคนหนีไปยังบ้านของเขา มีการฆ่าฟันกันหนักมาก มีทหารราบของอิสราเอลตายไปสามหมื่นคน 11 และหีบพันธสัญญาของพระเจ้าถูกยึดไป และบุตรชายทั้งสองของเอลี คือโฮฟนีและฟีเนหัสก็ตายด้วย
12 ผู้ชายเผ่าเบนยามินคนหนึ่งได้วิ่งมาจากแนวรบและมาถึงชิโลห์ในวันเดียวกันนั้น มาถึงด้วยเสื้อผ้าขาดวิ่นและดินก็อยู่บนศีรษะของเขา 13 เมื่อเขามาถึง เอลีกำลังนั่งอยู่บนที่นั่งข้างถนนคอยเฝ้าอยู่ เพราะจิตใจของท่านหวาดกลัวเกี่ยวกับเรื่องหีบพันธสัญญาของพระเจ้า เมื่อผู้ชายคนนั้นได้เข้ามาในเมืองและบอกข่าว ชาวเมืองทั้งสิ้นก็ร้องลั่น 14 เมื่อเอลีได้ยินเสียงร้องดังลั่นเช่นนั้นจึงได้กล่าวว่า “เสียงอึกทึกครึกโครมนี้เป็นเสียงอะไรกัน?” ผู้ชายคนนั้นก็รีบเข้ามาบอกเอลี 15 บัดนี้เอลีมีอายุได้เก้าสิบแปดปี ดวงตาของเขาเห็นไม่ชัด และเขาไม่สามารถมองเห็น
16 ผู้ชายคนนั้นก็ได้กล่าวกับเอลีว่า “ข้าพเจ้าเป็นคนที่มาจากแนวรบ ข้าพเจ้าเองหนีมาจากการรบวันนี้” เอลีก็ได้กล่าวว่า “ลูกเอ๋ย เป็นอย่างไรบ้าง?” 17 ผู้ชายคนที่มาบอกข่าวก็ได้ตอบว่า “อิสราเอลได้หนีจากพวกฟีลิสเตีย เช่นเดียวกัน มีการฆ่าฟันกันอย่างหนักท่ามกลางประชาชน เช่นเดียวกันบุตรชายทั้งสองของท่าน คือโฮฟนีและฟีเนหัสก็ตายแล้ว และหีบพระบัญญัติของพระเจ้าก็ถูกยึดไปแล้ว” 18 เมื่อเขากล่าวถึงหีบพระบัญญัติของพระเจ้า เอลีก็ได้หงายหลังตกจากที่นั่งที่อยู่ข้างประตู คอของเขาก็หัก และเขาก็สิ้นชีวิต เพราะเขาชรามากและตัวก็หนัก เขาได้วินิจฉัยคนอิสราเอลอยู่สี่สิบปี
19 บัดนี้บุตรสะใภ้ของท่าน คือภรรยาของฟีเนหัสก็มีครรภ์และใกล้กำหนดคลอดแล้ว เมื่อนางได้ยินข่าวว่าหีบพันธสัญญาของพระเจ้าถูกยึดไปและพ่อสามีและสามีของนางก็ได้ตายไป นางก็ได้คุกเข่าลงและคลอดบุตร แต่ความเจ็บปวดสาหัสท่วมท้นเกิดขึ้นแก่นาง 20 เมื่อนางกำลังจะตายพวกผู้หญิงที่เฝ้านางอยู่ได้กล่าวว่า “อย่ากลัวเลย เพราะเจ้าเพิ่งจะคลอดบุตรชายคนหนึ่ง” แต่นางไม่ได้ตอบหรือใส่ใจกับเรื่องที่พวกนางได้พูดกับหัวใจ 21 นางได้ตั้งชื่อเด็กนั้นว่า อีคาโบด กล่าวว่า “พระสิริได้พรากไปจากอิสราเอลแล้ว!” เพราะหีบพันธสัญญาของพระเจ้าได้ถูกยึดไป และเพราะพ่อสามีของนางและสามีของนาง 22 นางได้กล่าวว่า “พระสิริได้พรากไปจากอิสราเอลแล้ว เพราะหีบพันธสัญญาของพระเจ้าได้ถูกยึดไปแล้ว”
1 บัดนี้คนฟีลิสเตียได้ยึดหีบพันธสัญญาของพระเจ้าไป และพวกเขาได้นำไปจากเอเบนเอเซอร์ไปยังเมืองอัชโดด 2 คนฟีลิสเตียได้นำหีบพันธสัญญาของพระเจ้าเข้าไปไว้ในวิหารของพระดาโกน และวางหีบไว้ข้างพระดาโกน 3 และเมื่อประชาชนชาวอัชโดดตื่นแต่เช้าในวันรุ่งขึ้น ดูเถิด พระดาโกนก็ได้ล้มหน้าคว่ำมายังพื้นดินตรงหน้าหีบพันธสัญญาของพระยาห์เวห์ ดังนั้นพวกเขาจึงยกพระดาโกนขึ้นตั้งไว้ในที่เดิมอีกครั้ง
4 แต่เมื่อพวกเขาตื่นแต่เช้าในวันรุ่งขึ้น ดูสิ พระดาโกนก็ได้ล้มหน้าคว่ำมายังพื้นดินตรงหน้าหีบพันธสัญญาของพระยาห์เวห์ เศียรของพระดาโกนและหัตถ์ทั้งสองข้างก็แตกหักตกอยู่ที่ธรณีประตู เหลือแต่ลำตัวพระดาโกนที่ยังคงเหลืออยู่ 5 นี่คือเหตุผลว่าทำไม แม้แต่ทุกวันนี้ พวกปุโรหิตของพระดาโกนและทุกคนที่เข้าไปในวิหารของพระดาโกน จึงไม่เหยียบธรณีประตูวิหารของพระดาโกนที่เมืองอัชโดด 6 พระหัตถ์ของพระยาห์เวห์ได้ทรงลงโทษอย่างหนักหน่วงแก่ประชาชนอัชโดด พระองค์ได้ทรงทำลายพวกเขาและทำให้พวกเขาทุกข์ทรมานด้วยฝีต่างๆ ทั้งที่ในเมืองอัชโดดและอาณาเขตทั้งหมดของเมืองนั้น
7 เมื่อชาวเมืองอัชโดดตระหนักได้ว่ามีอะไรกำลังเกิดขึ้นกับพวกเขา พวกเขากล่าวว่า “หีบพันธสัญญาของพระเจ้าของอิสราเอลจะต้องไม่อยู่กับเรา เพราะว่าพระหัตถ์ของพระองค์ทรงลงโทษพวกเราและพระดาโกนของพวกเราอย่างหนัก" 8 ดังนั้นพวกเขาจึงได้ใช้คนไปและเรียกประชุมเจ้านายทั้งหมดของคนฟีลิสเตีย พวกเขากล่าวว่า “เราจะทำอย่างไรดีกับหีบพันธสัญญาของพระเจ้าของคนอิสราเอล?” พวกเขาตอบว่า “ให้เราย้ายหีบพันธสัญญาของพระเจ้าของคนอิสราเอลไปที่เมืองกัท” ดังนั้นพวกเขาจึงย้ายหีบพันธสัญญาของพระเจ้าของคนอิสราเอลไปที่นั่น
9 แต่ภายหลังเมื่อพวกเขาย้ายหีบวนเวียนไป พระหัตถ์ของพระยาห์เวห์ก็ได้ทรงลงโทษเมืองนั้นทำให้เกิดความวุ่นวายยิ่งใหญ่นัก พระองค์ทรงทรมานชาวเมืองนั้นทั้งผู้เล็กน้อยและเจ้านายทั้งหลาย และฝีต่างๆ ก็ได้แตกเฟะบนตัวพวกเขา 10 ดังนั้นพวกเขาจึงส่งหีบของพระเจ้าไปยังเมืองเอโครน แต่ทันทีที่หีบพันธสัญญาของพระเจ้าของอิสราเอลมาถึงเมืองเอโครน ชาวเมืองเอโครนก็ร้องเสียงดังว่า “พวกเขาได้ย้ายหีบพันธสัญญาของพระเจ้าของอิสราเอลมาให้เราเพื่อจะฆ่าเราและประชาชนของเราเสีย” 11 ดังนั้นพวกเขาจึงส่งคนไปเรียกประชุมเจ้านายทั้งหมดของคนฟีลิสเตีย และพวกเขากล่าวกับคนเหล่านั้นว่า “จงส่งหีบพันธสัญญาของพระเจ้าของอิสราเอลออกไปเสีย และให้หีบนั้นกลับคืนไปยังที่เดิม เพื่อหีบนั้นจะไม่ฆ่าเราและประชาชนของเรา” เพราะว่ามีความแตกตื่นกลัวตายอยู่ทั่วทั้งเมือง พระหัตถ์ของพระเจ้าทรงลงโทษอย่างหนักหน่วงที่นั่น 12 ชาวเมืองที่ไม่ตายก็ได้ถูกทรมานด้วยฝีต่างๆ และเสียงร่ำไห้ของเมืองนั้นก็ขึ้นไปถึงฟ้าสวรรค์
1 บัดนี้หีบพันธสัญญาของพระยาห์เวห์ได้อยู่ในดินแดนของคนฟีลิสเตียเจ็ดเดือน 2 คนฟีลิสเตียได้เรียกประชุมพวกปุโรหิตและพวกโหร พวกเขากล่าวว่า “เราจะทำอย่างไรกับหีบพันธสัญญาของพระยาห์เวห์ดี? จงบอกว่าพวกเราจะส่งหีบกลับไปยังที่เดิมอย่างไรดี” 3 พวกปุโรหิตและพวกโหรได้ตอบว่า “ถ้าพวกท่านจะส่งหีบพันธสัญญาของพระเจ้าของอิสราเอลกลับไป ก็อย่าส่งไปโดยไม่มีของขวัญ ทั้งหมดนี้หมายความว่าต้องส่งไปพร้อมเครื่องบูชาลบความผิดเพื่อถวายแด่พระองค์ด้วย แล้วพวกท่านจะหายโรคและพวกท่านจะทราบว่าเหตุใดพระหัตถ์ของพระองค์จึงไม่ถูกยกออกไปจากพวกท่านจนกระทั่งเดี๋ยวนี้”
4 แล้วพวกเขาได้กล่าวว่า “เราควรจะจัดอะไรเป็นเครื่องบูชาลบความผิด ที่เราต้องถวายให้พระองค์?” พวกปุโรหิตและพวกโหรจึงตอบว่า “ลูกฝีทองคำห้าลูกกับหนูทองคำห้าตัวตามจำนวนเจ้านายของคนฟีลิสเตีย เพราะพวกท่านและพวกเจ้านายล้วนถูกภัยพิบัติเล่นงานเช่นเดียวกัน 5 ดังนั้นพวกท่านต้องทำแบบจำลองรูปฝีของพวกท่านและแบบจำลองรูปหนูของพวกท่านซึ่งทำลายแผ่นดิน และพวกท่านจงถวายพระสิริแด่พระเจ้าของอิสราเอล บางทีพระองค์จะทรงยกพระหัตถ์ของพระองค์ออกจากพวกท่าน จากบรรดาพระของพวกท่านและแผ่นดินของพวกท่าน 6 ทำไมพวกท่านทำใจแข็งกระด้างอย่างเช่นคนอียิปต์และฟาโรห์ได้ทำใจของพวกเขาให้แข็งกระด้าง? นั่นแหละเมื่อพระเจ้าของคนอิสราเอลได้ทรงลงโทษหนักต่อพวกเขา คนอียิปต์ก็ต้องปล่อยประชาชนไป แล้วพวกเขาก็จากไปมิใช่หรือ?
7 บัดนี้จงไปเตรียมเกวียนใหม่เล่มหนึ่งมาเทียมเข้ากับโคแม่ลูกอ่อนสองตัวซึ่งยังไม่เคยเข้าเทียมแอกเลย จงผูกแม่โคคู่นี้กับเกวียน แต่ให้นำลูกๆ ของมันกลับไปบ้าน ให้พ้นจากแม่โคคู่นี้ 8 แล้วจงนำหีบแห่งพันธสัญญาของพระยาห์เวห์มาวางไว้บนเกวียน ให้วางเครื่องทองคำซึ่งพวกท่านจะส่งกลับถวายพระองค์เป็นเครื่องบูชาลบความผิดไว้ในกล่องข้างหีบ แล้วก็ส่งให้มันไป และปล่อยให้ไปตามทางของมัน 9 แล้วให้คอยดู ถ้ามันไปตามทางถึงเขตแดนของมันเอง ไปถึงเมืองเบธเชเมช นั่นแหละ คือพระยาห์เวห์ผู้ที่ได้ทรงเป็นผู้ทำให้เกิดความทุกข์ยากอย่างใหญ่หลวงนี้ แต่ถ้าไม่เป็นเช่นนั้น แล้วพวกเราจะได้รู้ว่าไม่ใช่พระหัตถ์ของพระองค์ที่ทรงเฆี่ยนตีพวกเรา แต่ว่า เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแก่พวกเราโดยบังเอิญ”
10 คนเหล่านั้นก็ทำตามที่พวกเขาได้รับการบอกเล่า พวกเขาได้นำเอาโคแม่ลูกอ่อนสองตัวเทียมเข้ากับเกวียน แล้วได้ขังลูกๆ ของมันไว้ที่บ้าน 11 พวกเขาได้วางหีบแห่งพันธสัญญาของพระยาห์เวห์ไว้บนเกวียนพร้อมกับกล่องหนูทองคำและรูปฝีของพวกเขา 12 แม่โคทั้งสองก็ได้เดินตรงไปตามทางที่ไปเมืองเบธเชเมช พวกมันได้ไปตามทางหลวง เดินพลางร้องพลางไม่เลี้ยวขวาหรือเลี้ยวซ้าย บรรดาเจ้านายของคนฟีลิสเตียก็ได้ตามพวกมันไปจนถึงเขตแดนเมืองเบธเชเมช
13 บัดนี้ชาวเมืองเบธเชเมชกำลังเกี่ยวข้าวสาลีอยู่ที่หุบเขา เมื่อพวกเขาได้เงยหน้าขึ้นและได้เห็นหีบ พวกเขาก็ได้ชื่นชมยินดี 14 เกวียนได้เข้ามาในทุ่งนาของโยชูวาจากเมืองเบธเชเมชและได้หยุดอยู่ที่นั่น มีหินใหญ่ก้อนหนึ่งอยู่ที่นั่น และพวกเขาจึงได้ผ่าไม้จากเกวียน และได้ถวายแม่โคสองตัวนั้นเป็นเครื่องเผาบูชาแด่พระยาห์เวห์ 15 คนเลวีก็ได้นำหีบพันธสัญญาของพระยาห์เวห์ และกล่องบรรจุรูปหล่อทองต่างๆ ที่อยู่ข้างในนั้นลง และได้วางของเหล่านี้ไว้บนก้อนหินใหญ่ คนเบธเชเมชก็ได้ถวายเครื่องเผาบูชา และถวายเครื่องสัตวบูชาแด่พระยาห์เวห์ในวันเดียวกัน
16 เมื่อเจ้านายทั้งห้าของคนฟีลิสเตียได้เห็นแล้ว พวกเขาก็กลับไปยังเมืองเอโครนในวันนั้น 17 เหล่านี้เป็นรูปฝีทองคำซึ่งคนฟีลิสเตียส่งกลับไปเป็นเครื่องบูชาลบความผิดแด่พระยาห์เวห์ รูปหนึ่งสำหรับเมืองอัชโดด รูปหนึ่งสำหรับเมืองกาซา รูปหนึ่งสำหรับเมืองอัชเคโลน รูปหนึ่งสำหรับเมืองกัท รูปหนึ่งสำหรับเมืองเอโครน 18 รูปหนูทองคำก็เช่นเดียวกัน ตามจำนวนเมืองทั้งหมดของคนฟีลิสเตียที่เป็นเมืองของเจ้านายทั้งห้า ทั้งเมืองที่มีป้อมปราการ และหมู่บ้านต่างๆ หินก้อนใหญ่ซึ่งอยู่ข้างหีบพันธสัญญาของพระยาห์เวห์ซึ่งพวกเขาได้วางไว้นั้น ซึ่งยังคงเป็นหลักฐานอยู่จนทุกวันนี้ที่ในทุ่งนาของโยชูวาชาวเบธเชเมช
19 พระยาห์เวห์ได้ทรงประหารชาวเบธเชเมชบางส่วน เพราะว่าพวกเขาได้มองดูข้างในหีบพันธสัญญาของพระยาห์เวห์ พระองค์ทรงได้ประหารเสีย 50,070 คน ประชาชนก็โศกเศร้า เพราะพระยาห์เวห์ได้ทรงพิโรธต่อประชาชนอย่างรุนแรง 20 แล้วชาวเบธเชเมชจึงกล่าวว่า “ใครจะสามารถยืนอยู่เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์พระเจ้าผู้บริสุทธิ์องค์นี้ได้? หีบจะไปหาผู้ใดเมื่อจากพวกเราไปแล้ว?” 21 พวกเขาจึงด้ส่งพวกผู้สื่อสารไปยังชาวเมืองคีริยาทเยอาริมกล่าวว่า “คนฟีลิสเตียได้คืนหีบพันธสัญญาของพระยาห์เวห์มาแล้ว ขอลงมาและนำหีบกลับไปอยู่กับพวกท่านเถิด”
1 ชาวเมืองคีริยาทเยอาริมได้มานำหีบพันธสัญญาของพระยาห์เวห์ขึ้นไปถึงบ้านของอาบีนาดับซึ่งอยู่บนเนินเขา พวกเขาได้แยกเอเลอาซาร์บุตรของเขาไว้เพื่อให้ดูแลหีบพันธสัญญาของพระยาห์เวห์ 2 นับแต่วันที่หีบนั้นได้อยู่ที่คีริยาทเยอาริม เวลาผ่านไปนานถึงยี่สิบปี บรรดาพงศ์พันธุ์อิสราเอลทั้งหมดก็ได้คร่ำครวญถึงพระยาห์เวห์ และปรารถนาที่จะกลับมาหาพระยาห์เวห์ 3 ซามูเอลได้พูดกับพงศ์พันธุ์อิสราเอลทั้งสิ้นว่า “ถ้าพวกท่านจะกลับมาหาพระยาห์เวห์ด้วยสิ้นสุดใจของพวกท่าน จงทิ้งพวกพระต่างด้าวและพระอัชทาโรทเสียจากท่ามกลางพวกท่าน และจงกลับใจของพวกท่านต่อพระยาห์เวห์ และปรนนิบัติพระองค์เท่านั้น แล้วพระองค์จะทรงช่วยกู้พวกท่านให้พ้นจากมือของคนฟีลิสเตีย”
4 แล้วประชาชนอิสราเอลจึงได้ทิ้งพระบาอัลและพระอัชทาโรท และเขาทั้งหลายก็ได้นมัสการเพียงแต่พระยาห์เวห์เท่านั้น 5 แล้วซามูเอลจึงพูดว่า “จงนำคนอิสราเอลทั้งสิ้นไปที่เมืองมิสปาห์ และข้าพเจ้าจะอธิษฐานต่อพระยาห์เวห์เพื่อท่าน” 6 พวกเขาจึงประชุมกันที่เมืองมิสปาห์ และได้ตักน้ำมาเทออกเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ พวกเขาถืออดอาหารในวันนั้น และพูดว่า “พวกเราได้ทำบาปต่อพระยาห์เวห์” ที่นั่นเอง ซามูเอลได้ตัดสินข้อพิพาทของประชาชนอิสราเอลและได้นำประชาชน 7 ต่อมาคนฟีลิสเตียได้ยินประชาชนอิสราเอลมาประชุมกันที่เมืองมิสปาห์ พวกเจ้านายของฟีลิสเตียจึงได้ยกขึ้นไปโจมตีกับอิสราเอล เมื่อประชาชนอิสราเอลได้ยินเช่นนั้น พวกเขาก็กลัวคนฟีลิสเตีย
8 แล้วประชาชนอิสราเอลพูดต่อซามูเอลว่า “อย่าหยุดร้องทูลพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเราเพื่อพวกเรา เพื่อที่พระองค์จะทรงช่วยเราให้พ้นจากมือของคนฟีลิสเตีย” 9 ซามูเอลจึงเอาลูกแกะอ่อนที่ยังไม่หย่านมตัวหนึ่งมาถวายเป็นเครื่องบูชาเผาทั้งตัวแด่พระยาห์เวห์ แล้วซามูเอลได้ร้องทูลต่อพระยาห์เวห์เพื่ออิสราเอล และพระยาห์เวห์ทรงตอบเขา 10 ขณะที่ซามูเอลกำลังถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัวอยู่นั้น คนฟีลิสเตียก็ได้เข้ามาใกล้เพื่อโจมตีอิสราเอล แต่พระยาห์เวห์ทรงให้ฟ้าร้องเสียงดังยิ่งนักในวันนั้นต่อคนฟีลิสเตีย และทรงทำให้พวกเขาสับสน และพวกเขาอลหม่านต่อหน้าอิสราเอล 11 พวกผู้ชายของอิสราเอลได้ออกจากเมืองมิสปาห์ และพวกเขาไล่กวดพวกฟีลิสเตียและฆ่าฟันพวกเขาไปจนถึงใต้ของเมืองเบธคาร์
12 แล้วซามูเอลก็เอาหินก้อนหนึ่งและตั้งไว้ระหว่างเมืองมิสปาห์และเมืองเชน เขาได้ให้ชื่อหินนั้นว่า เอเบนเอเซอร์ เขาพูดว่า “พระยาห์เวห์ได้ทรงช่วยพวกเรามาจนบัดนี้” 13 ดังนั้นคนฟีลิสเตียจึงพ่ายแพ้ไม่ได้เข้ามาในเขตแดนของอิสราเอลอีก พระหัตถ์ของพระยาห์เวห์ได้ต่อสู้คนฟีลิสเตียตลอดชีวิตของซามูเอล 14 บรรดาเมืองที่คนฟีลิสเตียได้ยึดไปจากอิสราเอลนั้น ก็ได้กลับคืนสู่อิสราเอล ตั้งแต่เมืองเอโครนถึงเมืองกัท และอิสราเอลได้ยึดแถบชายแดนคืนมาจากมือของคนฟีลิสเตีย แล้วก็มีสันติภาพระหว่างอิสราเอลและคนอาโมไรต์
15 ซามูเอลวินิจฉัยประชาชนอิสราเอลตลอดชีวิตของเขา 16 ทุกปีเขาได้เวียนไปเมืองเบธเอล ไปเมืองกิลกาล และเมืองมิสปาห์ เขาได้ตัดสินข้อพิพาทสำหรับอิสราเอลในบรรดาเมืองเหล่านั้น 17 แล้วเขาจึงได้กลับมาที่เมืองรามาห์ เพราะว่าบ้านของเขาอยู่ที่นั่น และที่นั่นเขาได้ตัดสินข้อพิพาทสำหรับอิสราเอลด้วย เขาได้สร้างแท่นบูชาถวายแด่พระยาห์เวห์ที่นั่นด้วย
1 เมื่อซามูเอลแก่แล้ว เขาได้ตั้งพวกบุตรชายของเขาให้เป็นผู้วินิจฉัยอิสราเอล 2 ชื่อของบุตรชายหัวปีของเขาคือโยเอล และชื่อของบุตรชายคนที่สองคืออาบียาห์ พวกเขาได้เป็นผู้วินิจฉัยในเมืองเบเออร์เชบา 3 พวกบุตรชายของเขาไม่ได้ดำเนินชีวิตตามอย่างของเขา พวกเขาได้เสาะหารายได้ที่ไม่สัตย์ซื่อ พวกเขาได้รับสินบน และได้บิดเบือนความยุติธรรม
4 พวกผู้ใหญ่ทั้งหมดของอิสราเอลได้มารวมกันและได้มาหาซามูเอลที่เมืองรามาห์ 5 พวกเขาได้พูดกับซามูเอลว่า “ดูเถิด ท่านชราแล้วและพวกบุตรของท่านไม่ได้ดำเนินชีวิตตามอย่างของท่าน บัดนี้ขอท่านได้ตั้งกษัตริย์ให้วินิจฉัยพวกเราอย่างประชาชาติทั้งปวงเถิด” 6 แต่ซามูเอลไม่พอใจเมื่อพวกเขาพูดว่า “ขอตั้งกษัตริย์ให้วินิจฉัยพวกเรา” ดังนั้นซามูเอลจึงได้ทูลอธิษฐานต่อพระยาห์เวห์ 7 พระยาห์เวห์ทรงตอบซามูเอลว่า “จงฟังเสียงประชาชนในทุกเรื่องที่พวกเขาพูดกับเจ้า เพราะว่าพวกเขาไม่ได้ปฏิเสธเจ้า แต่พวกเขาปฏิเสธเรา ไม่ให้เราเป็นกษัตริย์เหนือพวกเขา 8 ที่พวกเขากำลังกระทำขณะนี้ก็เหมือนกับที่พวกเขาได้เคยทำนับตั้งแต่เราได้นำพวกเขาออกมาจากอียิปต์ คือได้ละทิ้งเราและปรนนิบัติพระอื่นๆ และดังนั้นพวกเขากำลังทำกับเจ้าด้วยเช่นกัน 9 บัดนี้จงฟังเสียงของพวกเขา แต่ตักเตือนพวกเขาอย่างจริงจัง และสำแดงให้พวกเขาทราบถึงวิถีทางที่กษัตริย์จะปกครองพวกเขา”
10 ดังนั้นซามูเอลจึงได้บอกถึงพระดำรัสทั้งสิ้นของพระยาห์เวห์ให้แก่ประชาชนที่ขอให้มีกษัตริย์ 11 เขากล่าวว่า “นี่เป็นสิ่งที่กษัตริย์ผู้ที่จะทรงครอบครองเหนือพวกเจ้าจะทรงกระทำ คือพระองค์จะทรงเกณฑ์บุตรชายทั้งหลายของเจ้า และทรงกำหนดให้พวกเขาประจำรถม้าศึก และให้เป็นพวกพลม้า และให้วิ่งหน้ารถม้าศึกของพระองค์ 12 พระองค์จะทรงแต่งตั้งผู้บัญชาการของทหารพันนาย ผู้บังคับหมู่ของทหารห้าสิบนายของพระองค์ พระองค์จะทรงให้บางคนไถพรวนที่ดินของพระองค์ ให้บางคนเกี่ยวข้าวของพระองค์ และให้บางคนทำอาวุธและเครื่องใช้ของรถม้าศึกของพระองค์ 13 พระองค์จะทรงนำบุตรหญิงทั้งหลายของพวกเจ้าไปเป็นผู้ปรุงเครื่องหอม ทำครัว และอบขนม 14 พระองค์จะทรงเอาที่นาส่วนที่ดีที่สุดของพวกเจ้า สวนองุ่นของพวกเจ้า และสวนมะกอกของพวกเจ้า และทรงมอบให้แก่พวกข้าราชการของพระองค์ 15 พระองค์จะทรงเอาไปหนึ่งในสิบส่วนของข้าวและของไร่องุ่นหลายสวนของพวกเจ้าไปให้แก่พวกข้าราชการและข้าราชบริพารของพระองค์
16 พระองค์จะเอาพวกข้าราชบริพารชายหญิง และส่วนที่ดีที่สุดของพวกคนหนุ่มกับลาหลายตัวของพวกเจ้าไป พระองค์จะทรงให้พวกเขาทำงานทั้งหมดให้พระองค์ 17 พระองค์จะทรงหักหนึ่งในสิบส่วนของฝูงสัตว์ของพวกเจ้า และพวกเจ้าจะเป็นทาสของพระองค์ 18 แล้วในวันนั้นพวกเจ้าจะร้องทุกข์เพราะกษัตริย์ของพวกเจ้าผู้ซึ่งพวกเจ้าได้เลือกสำหรับพวกเจ้า แต่พระยาห์เวห์จะไม่ทรงตอบพวกเจ้าในวันนั้น”
19 แต่ประชาชนได้ปฏิเสธที่จะฟังซามูเอล พวกเขากล่าวว่า “ไม่ได้ ยังไงจะต้องมีกษัตริย์ปกครองเรา 20 เพื่อที่พวกเราจะเป็นเหมือนเหล่าประชาชาติอื่นทั้งหมด และเพื่อที่กษัตริย์ของเราจะวินิจฉัยพวกเราและทรงนำหน้าพวกเราไป และต่อสู้ในสงครามเพื่อพวกเรา” 21 เมื่อซามูเอลได้ยินถ้อยคำทั้งสิ้นของประชาชน เขาก็นำถ้อยคำเหล่านี้กลับไปทูลพระยาห์เวห์ให้ทรงทราบอีกครั้ง 22 พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับซามูเอลว่า “จงฟังเสียงพวกเขาเถิด และทำใหห้บางคนได้เป็นกษัตริย์สำหรับพวกเขา” ดังนั้นซามูเอลจึงได้กล่าวแก่คนอิสราเอลว่า “ให้ทุกคนกลับไปยังเมืองของตน”
1 มีผู้ชายคนเบนยามินคนหนึ่ง เป็นคนที่น่านับถือ เขามีชื่อว่าคีช บุตรชายของอาบีเอล ผู้เป็นบุตรชายของเศโรร์ บุตรชายของเบโครัท บุตรชายของอาฟียาห์ บุตรชายของคนเผ่าเบนยามิน 2 เขามีบุตรชายคนหนึ่งชื่อซาอูล เป็นชายหนุ่มรูปงาม ไม่มีผู้ชายคนใดในท่ามกลางประชาชนอิสราเอลที่จะงามกว่าเขา เขาสูงกว่าคนอื่นใดในประชาชนจากไหล่ของเขาขึ้นไปนับจากไหล่ของเขา 3 บัดนี้ฝูงลาของคีชบิดาของซาอูลหายไป ดังนั้นคีชจึงได้พูดกับซาอูลบุตรชายของตนว่า “จงเอาคนใช้คนหนึ่งไปกับเจ้า ลุกขึ้นและไปตามหาฝูงลา” 4 ดังนั้นซาอูลจึงได้เดินทางผ่านแดนเทือกเขาเอฟราอิม และเดินทางผ่านเข้าดินแดนชาลิชาห์ แต่พวกเขาหาฝูงลาไม่พบ แล้วพวกเขาก็ได้ผ่านข้ามดินแดนชาอาลิม แต่ฝูงลาไม่ได้อยู่ที่นั่น แล้วเขาได้ผ่านเข้าดินแดนของเบนยามิน แต่พวกเขาก็ไม่ได้พบฝูงลา
5 เมื่อพวกเขาได้มาถึงดินแดนศูฟ ซาอูลจึงพูดกับคนใช้ของเขาที่อยู่กับเขาว่า “มาเถอะ ให้เรากลับไป มิฉะนั้นบิดาของเราอาจจะเลิกกังวลเรื่องฝูงลา และเริ่มร้อนใจด้วยเรื่องของเรา” 6 แต่คนใช้ได้พูดกับเขาว่า “ขอจงฟังเถิด มีคนของพระเจ้าคนหนึ่งในเมืองนี้ เขาเป็นคนที่ได้รับความนับถือมาก ทุกสิ่งที่เขาพูดจะเป็นจริง ให้เราไปที่นั่นกันเถอะ บางทีเขาอาจจะบอกเราถึงทางไหนที่เราควรไปในการเดินทางของเรา” 7 แล้วซาอูลได้พูดกับคนใช้ของเขาว่า “แต่ ถ้าเราไป เราจะเอาอะไรไปให้ชายผู้นั้น ? เพราะขนมปังในย่ามของเราก็หมดแล้ว และเราไม่มีของขวัญที่จะนำไปให้แก่คนของพระเจ้า เรามีอะไรบ้าง?” 8 คนใช้ได้ตอบซาอูลและกล่าวว่า “นี่แหละ ในมือข้าพเจ้ามีเงินอยู่หนึ่งส่วนสี่เชเขลที่ข้าพเจ้าจะให้แก่คนของพระเจ้า เพื่อเขาจะได้บอกพวกเราว่าทางไหนที่พวกเราควรไป” 9 (ในอิสราเอลสมัยก่อน เมื่อคนหนึ่งคนใดได้ไปแสวงหาความรู้ถึงพระประสงค์ของพระเจ้า เขาได้พูดว่า “มาเถอะ ให้เราไปหาผู้ทำนายกัน” เพราะผู้เผยพระวจนะในสมัยนั้นเรียกว่าผู้ทำนาย) 10 แล้วซาอูลได้พูดกับคนใช้ของเขาว่า “พูดได้ดีนี่ มาเถิด ให้เราไปกัน” ดังนั้นพวกเขาจึงไปยังเมืองที่คนของพระเจ้าอยู่นั้น
11 ขณะเมื่อพวกเขาขึ้นภูเขาไปยังเมืองนั้น พวกเขาก็ได้พบพวกหญิงสาวออกมาตักน้ำ ซาอูลและคนใช้จึงถามพวกเธอว่า “ผู้ทำนายอยู่ที่นี่หรือ?” 12 พวกเธอได้กล่าวและตอบว่า “เขาอยู่ ดูนี่ เขาอยู่ข้างหน้าพวกท่าน รีบเถอะ เพราะเขากำลังเข้ามาที่เมืองวันนี้ เพราะว่าประชาชนจะมีการถวายสัตวบูชาที่สถานที่สูงวันนี้ 13 ทันทีที่พวกท่านเข้าไปถึงในเมือง พวกท่านจะพบเขา ก่อนที่เขาจะขึ้นไปรับประทานอาหารที่สถานที่สูง ประชาชนจะไม่รับประทานจนกว่าเขาจะมา เพราะเขาจะต้องมาอวยพรเครื่องสัตวบูชา หลังจากนั้นพวกผู้ที่ได้รับเชิญจึงจะรับประทาน บัดนี้ ขึ้นไปเถิด เพราะพวกท่านจะได้พบเขาทันที” 14 ดังนั้นเขาทั้งสองก็ขึ้นไปยังเมืองนั้น ขณะเมื่อเขาทั้งสองเข้าไปในเมือง นี่แน่ะ ซามูเอลกำลังเดินออกมาทางพวกเขาเพื่อขึ้นไปยังสถานที่สูงนั้น
15 บัดนี้วันก่อนที่ซาอูลจะมา พระยาห์เวห์ได้ทรงสำแดงแก่ซามูเอลแล้วว่า 16 “พรุ่งนี้เวลาประมาณเวลานี้ เราจะส่งผู้ชายคนหนึ่งจากดินแดนเบนยามิน และเจ้าจะเจิมเขาให้เป็นเจ้าชายเหนือประชาชนอิสราเอลของเรา เขาจะช่วยประชาชนของเราให้พ้นจากมือของคนฟีลิสเตีย เพราะว่าเราได้เห็นประชาชนของเราแล้วด้วยความสงสาร เพราะเสียงร้องขอความช่วยเหลือของพวกเขามาถึงเรา” 17 เมื่อซามูเอลเห็นซาอูล พระยาห์เวห์ได้ทรงบอกเขาว่า “นี่เป็นผู้ชายคนที่เราได้บอกกับเจ้าแล้ว เขาคือคนที่จะปกครองเหนือประชาชนของเรา” 18 แล้วซาอูลก็ได้เข้ามาใกล้ซามูเอลที่ประตูและพูดว่า “ขอบอกข้าพเจ้าหน่อยว่า บ้านของผู้ทำนายอยู่ที่ไหน?” 19 ซามูเอลได้ตอบซาอูลและพูดว่า “ข้าพเจ้าเป็นผู้ทำนายนั้น จงนำหน้าข้าพเจ้าขึ้นไปยังสถานที่สูง เพราะในวันนี้ท่านจะรับประทานอาหารกับข้าพเจ้า และพรุ่งนี้เช้าข้าพเจ้าจึงจะให้ท่านไปและข้าพเจ้าจะบอกทุกอย่างที่อยู่ในใจของท่านแก่ท่าน 20 ส่วนเรื่องฝูงลาของท่านที่หายไปสามวันแล้วนั้น อย่าวิตกเกี่ยวกับพวกมันเลย เพราะมีคนพบพวกมันแล้ว แล้วความปรารถนาทั้งหมดของคนอิสราเอลนั้นอยู่ที่ใครหรือ ? ไม่ใช่ตัวท่านและพงศ์พันธุ์ของบิดาท่านหรือ?” 21 ซาอูลได้ตอบและพูดว่า ข้าพเจ้าไม่ใช่คนเผ่าเบนยามิน ที่เป็นเผ่าเล็กน้อยที่สุดในบรรดาเผ่าของอิสราเอลหรือ? เป็นเผ่าเล็กน้อยที่สุดในเผ่าต่างๆ ของอิสราเอล และตระกูลของข้าพเจ้าไม่ใช่ตระกูลที่ด้อยที่สุดในบรรดาตระกูลของเผ่าเบนยามินหรือ? ทำไมท่านจึงบอกถ้อยคำเหล่านี้กับข้าพเจ้าด้วยท่าทางอย่างนี้เล่า?”
22 ดังนั้นซามูเอลจึงพาซาอูลกับคนใช้ของเขาโดยนำพวกเขาเข้าไปในห้องโถง และให้พวกเขานั่งในที่นั่งด้านหน้าสำหรับคนเหล่านั้นที่ได้รับเชิญ ซึ่งมีประมาณสามสิบคน 23 ซามูเอลพูดกับคนครัวว่า “จงนำส่วนที่เรามอบให้เจ้า ซึ่งเราได้บอกเจ้าว่า ‘เก็บไว้ต่างหาก’ นั้นมา”' 24 ดังนั้นคนครัวจึงนำส่วนต้นขาและสิ่งที่วางบนนั้นมาและวางไว้ต่อหน้าซาอูล แล้วซามูเอลจึงพูดว่า “จงดู ส่วนที่ได้เก็บไว้ที่วางอยู่ต่อหน้าท่าน จงรับประทานเถอะ เพราะว่ามันได้ถูกเก็บไว้ให้แก่ท่านจนกระทั่งถึงเวลากำหนด นับจากเวลาที่ข้าพเจ้าได้พูดว่า 'ข้าพเจ้าได้เชิญประชาชนมาแล้ว”' ดังนั้นซาอูลจึงรับประทานกับซามูเอลในวันนั้น 25 เมื่อพวกเขาได้ลงมาจากสถานสูงเข้ามาในเมือง ซามูเอลได้สนทนากับซาอูลบนดาดฟ้า
26 แล้วในตอนเช้าตรู่ ซามูเอลได้เรียกซาอูลบนดาดฟ้าและพูดว่า “จงลุกขึ้นเถิด เพื่อข้าพเจ้าจะส่งท่านไปตามทางของท่าน” ดังนั้นซาอูลจึงได้ลุกขึ้น และทั้งสองคนก็ได้ออกไปที่ถนน 27 ขณะที่พวกเขากำลังตรงไปที่ชานเมือง ซามูเอลได้พูดกับซาอูลว่า “จงบอกคนใช้ให้เดินนำหน้าเราไป" และเขาเดินพ้นไปแล้ว "แต่ท่านจงอยู่ที่นี่สักครู่ เพื่อที่ข้าพเจ้าจะได้ประกาศพระดำรัสของพระเจ้าให้ท่านทราบ”
1 แล้วซามูเอลจึงหยิบขวดน้ำมัน เทลงบนศีรษะของซาอูล และได้จูบเขาแล้วกล่าวว่า “พระยาห์เวห์ทรงเจิมท่านไว้ให้เป็นผู้นำเหนือมรดกของพระองค์แล้วไม่ใช่หรือ? 2 เมื่อท่านไปจากข้าพเจ้าวันนี้ ท่านจะพบชายสองคนใกล้ที่ฝังศพของราเชลในเขตแดนเบนยามินที่เศลซาห์และเขาทั้งสองจะบอกท่านว่า ‘ฝูงลาซึ่งท่านได้หาอยู่นั้นได้พบแล้ว บัดนี้ บิดาของท่านเลิกกังวลเรื่องฝูงลาแล้ว และร้อนใจเรื่องของพวกท่าน กล่าวว่า “เราจะทำอย่างไรเรื่องบุตรชายของเราดี?”’ 3 จากนั้นท่านจะผ่านที่นั่นไปและท่านจะไปถึงต้นโอ๊กแห่งทาโบร์ ผู้ชายสามคนซึ่งกำลังขึ้นไปเฝ้าพระเจ้าที่เบธเอลจะพบท่านที่นั่น คนหนึ่งแบกลูกแพะสามตัวอีกคนหนึ่งถือขนมปังสามก้อน และอีกคนหนึ่งถือถุงหนังเหล้าองุ่นถุงหนึ่ง
4 พวกเขาจะทักทายท่านและมอบขนมปังให้ท่านสองก้อน ซึ่งท่านจะรับจากมือของพวกเขา 5 ต่อจากนั้นท่านจะมาถึงเนินเขาของพระเจ้า ซึ่งกองทหารรักษาการของพวกฟีลิสเตียอยู่ เมื่อท่านมาถึงเมือง ท่านจะพบกลุ่มผู้เผยพระวจนะกำลังลงมาจากสถานสูงพร้อมด้วยพิณใหญ่ รำมะนา ปี่ พิณเขาคู่ นำหน้าพวกเขา พวกเขากำลังจะเผยพระวจนะ 6 พระวิญญาณของพระยาห์เวห์จะทรงสวมทับท่าน และท่านจะเผยพระวจนะร่วมกับคนเหล่านั้น และท่านจะถูกเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
7 บัดนี้เมื่อหมายสำคัญเหล่านี้เกิดแก่ท่าน จงทำอะไรตามที่มือของท่านทำเถิด เพราะพระเจ้าสถิตกับท่าน 8 ท่านจงลงไปที่กิลกาลก่อนข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าจะลงมาหาท่านเพื่อถวายเครื่องเผาบูชา และถวายเครื่องสันติบูชา จงคอยเจ็ดวันจนกว่าข้าพเจ้ามาหาท่านและบอกให้ท่านรู้ว่า ท่านจะต้องทำอะไร” 9 เมื่อซาอูลได้หันหลังไปเพื่อจากซามูเอล พระเจ้าได้ทรงเปลี่ยนจิตใจของซาอูลเป็นอีกแบบ แล้วหมายสำคัญเหล่านี้ทั้งหมดเกิดขึ้นในวันนั้น 10 เมื่อพวกเขาได้มาที่เนินเขา กลุ่มของผู้เผยพระวจนะได้พบกับเขา และพระวิญญาณของพระเจ้าได้ทรงสวมทับเขา ดังนั้นเขาก็เผยพระวจนะอยู่ในหมู่คนเหล่านั้น 11 เมื่อทุกคนที่รู้จักเขามาก่อนเห็นเขาเผยพระวจนะอยู่กับพวกผู้เผยพระวจนะ ประชาชนเหล่านั้นจึงพูดต่อกันว่า “อะไรหนอเกิดขึ้นแก่บุตรชายของคีช? ตอนนี้ซาอูลอยู่ในจำพวกผู้เผยพระวจนะด้วยหรือ?”
12 ผู้ชายคนหนึ่งที่มาจากที่นั่นเหมือนกันได้ตอบว่า “แล้วบิดาของพวกเขาคือใคร?” ด้วยเหตุนี้จึงกลายเป็นคำกล่าวว่า “ซาอูลเป็นผู้เผยพระวจนะด้วยคนหนึ่งหรือ?” 13 เมื่อเขาได้เผยพระวจนะเสร็จแล้วเขาก็ได้มายังสถานสูง 14 แล้วลุงของซาอูลจึงได้ถามซาอูลกับคนใช้ของเขาว่า “พวกเจ้าไปไหนมา?” เขาตอบว่า “ไปเสาะหาฝูงลา เมื่อพวกเราเห็นว่าพวกเราไม่สามารถหาฝูงลานั้นแล้ว เราจึงได้ไปหาซามูเอล” 15 ลุงของซาอูลกล่าวว่า “โปรดบอกเราว่าซามูเอลได้บอกอะไรแก่เจ้าบ้าง " 16 ซาอูลตอบลุงของเขาว่า “เขาได้บอกเราชัดเจนว่าพบฝูงลาแล้ว” แต่เขาไม่ได้บอกลุงเรื่องราวที่เกี่ยวกับราชอาณาจักร ซึ่งซามูเอลได้พูด
17 บัดนี้ซามูเอลได้เรียกประชาชนมาชุมนุมต่อพระยาห์เวห์ที่มิสปาห์ 18 เขากล่าวแก่คนอิสราเอลว่า “นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งอิสราเอลได้ตรัสดังนี้ว่า ‘เราได้นำอิสราเอลออกจากอียิปต์ และเราได้ช่วยกู้พวกเจ้าจากมือของชาวอียิปต์ และจากมือของอาณาจักรทั้งหลายที่ได้ข่มเหงพวกเจ้า’ 19 แต่วันนี้พวกเจ้าได้ละทิ้งพระเจ้าของพวกเจ้า ผู้ซึ่งช่วยพวกเจ้าให้พ้นจากความยากลำบากและความทุกข์ร้อน และพวกเจ้าได้กล่าวต่อพระองค์ว่า ‘ขอตั้งกษัตริย์ไว้เหนือเรา’ บัดนี้จงเข้าเฝ้าต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ตามเผ่าของพวกเจ้าและตามตระกูลของพวกเจ้า” 20 ดังนั้นซามูเอลจึงนำเผ่าอิสราเอลทุกเผ่าเข้ามาใกล้ และเผ่าเบนยามินได้รับเลือก
21 จากนั้นเขาจึงนำเผ่าเบนยามินเข้ามาใกล้ตามตระกูลของพวกเขา และตระกูลมัตรีได้รับเลือก และซาอูลบุตรชายของคีชก็ได้รับเลือก แต่เมื่อพวกเขาออกไปหาซาอูลก็หาไม่พบ 22 จากนั้นประชาชนต้องการที่จะทูลถามพระเจ้าอีกหลายคำถามว่า “ยังจะมีผู้ชายอีกคนมาที่นี่ไหม?” พระยาห์เวห์ตรัสว่า “ เขาได้ซ่อนตัวอยู่ในกองสัมภาระ” 23 เขาทั้งหลายจึงวิ่งไปและพาซาอูลมาจากที่นั่น เมื่อเขาได้ยืนอยู่ท่ามกลางประชาชน เขาก็สูงกว่าประชาชนทุกคนจากบ่าของเขาขึ้นไป
24 ซามูเอลจึงได้กล่าวแก่ประชาชนว่า “พวกเจ้าเห็นผู้ที่พระยาห์เวห์ทรงเลือกไว้แล้วหรือไม่? ไม่มีใครเหมือนเขาในท่ามกลางประชาชน” ประชาชนทั้งปวงจึงได้ร้องเสียงดังว่า “ขอพระมหากษัตริย์จงทรงพระเจริญ!” 25 แล้วซามูเอลจึงได้บอกกับประชาชนให้ทราบถึงธรรมเนียมปฎิบัติและกฎต่างๆ ของตำแหน่งกษัตริย์ ได้บันทึกไว้ในหนังสือ และได้วางไว้ต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ แล้วซามูเอลก็ได้ให้ประชาชนกลับไปยังบ้านของตนเอง 26 ซาอูลก็ได้กลับไปยังบ้านของเขาที่กิเบอาห์ด้วย และมีเหล่านักรบซึ่งพระเจ้าได้ทรงดลจิตใจไปกับเขาด้วย 27 แต่มีคนอันธพาลบางคนกล่าวว่า “ผู้ชายคนนี้จะช่วยเราได้อย่างไร?” พวกประชาชนเหล่านี้ได้ดูหมิ่นซาอูล และไม่ได้นำเครื่องของขวัญอันใดมาให้เขา แต่ซาอูลก็ได้นิ่งเงียบไว้
1 แล้วนาหาชคนอัมโมนได้ไปและตั้งล้อมเมืองยาเบชกิเลอาด ชาวเมืองยาเบชทั้งหมดจึงพูดกับนาหาชว่า “จงทำพันธสัญญากับพวกเราและพวกเราจะยอมปรนนิบัติพวกท่าน” 2 นาหาชคนอัมโมนได้ตอบพวกเขาว่า “ตามเงื่อนไขนี้เราจะทำพันธสัญญากับพวกท่าน คือเราจะทะลวงตาขวาของพวกเจ้าทุกคน และโดยวิธีนี้จะเป็นที่อัปยศแก่คนอิสราเอลทั้งปวง” 3 ส่วนพวกผู้ใหญ่แห่งเมืองยาเบชได้ตอบพวกเขาว่า “ขอผ่อนผันให้พวกเราสักเจ็ดวัน เพื่อพวกเราจะส่งพวกผู้สื่อสารไปให้ทั่วเขตแดนอิสราเอล แล้วถ้าไม่มีคนใดช่วยกู้พวกเราได้ พวกเราจะยอมมอบตัวกับพวกท่าน”
4 พวกผู้สื่อสารมาถึงกิเบอาห์ เมืองที่ซาอูลอาศัยอยู่ และบอกประชาชนว่ามีอะไรเกิดขึ้น ประชาชนทั้งปวงก็ร้องไห้ด้วยเสียงดัง 5 ขณะนั้นซาอูลกำลังต้อนฝูงโคกลับมาจากทุ่งนา ซาอูลกล่าวว่า “มีอะไรเกิดขึ้นกับประชาชนที่พวกเขากำลังร้องไห้?” พวกเขาจึงเล่าให้ซาอูลทราบถึงเรื่องที่คนยาเบชได้พูดไว้ 6 เมื่อซาอูลได้ยินที่พวกเขาได้พูด พระวิญญาณของพระเจ้าก็ทรงสวมทับซาอูลและเขาก็โกรธจัด 7 เขาจึงเอาแอกของโคมาอันหนึ่งฟันออกเป็นท่อนๆ และได้ให้พวกผู้สื่อสารส่งไปทั่วเขตแดนทั้งสิ้นของอิสราเอล เขากล่าวว่า “ใครที่ไม่ออกมาตามซาอูลและตามซามูเอล นี่คือสิ่งที่จะเกิดกับโคของเขา” แล้วความเกรงกลัวพระยาห์เวห์ก็ได้แผ่มาเหนือประชาชน และพวกเขาก็ได้ออกมาร่วมเป็นใจเดียวกัน
8 เมื่อเขาได้รวมพลอยู่ที่เบเซก ประชาชนอิสราเอลมีสามแสนคน และผู้ชายเผ่ายูดาห์มีสามหมื่นคน 9 พวกเขาจึงพูดกับพวกผู้สื่อสารที่มานั้นว่า “พวกเจ้าจงบอกแก่คนยาเบชกิเลอาดว่า ‘พรุ่งนี้ในเวลาแดดร้อนพวกท่านจะได้รับการช่วยกู้'" ดังนั้นพวกผู้สื่อสารจึงกลับไปและบอกคนยาเบช และพวกเขาก็ดีใจ 10 แล้วคนยาเบชจึงพูดกับนาฮาชว่า "พรุ่งนี้พวกเราจะยอมมอบตัวกับพวกท่าน และพวกท่านสามารถทำอะไรกับพวกเราที่พวกท่านเห็นว่าดีสำหรับพวกท่านได้เลย" 11 พอวันรุ่งขึ้นซาอูลก็ได้จัดแบ่งประชาชนออกเป็นสามกลุ่ม พวกเขายกเข้ามากลางค่ายตอนเช้ามืดและฆ่าฟันคนอัมโมนเสียจนเวลาแดดจัด พวกที่รอดชีวิตก็กระจัดกระจายไป ดังนั้น ไม่มีสองคนไหนที่ถูกทิ้งไว้ให้อยู่ด้วยกันเลย
12 แล้วประชาชนจึงพูดกับซามูเอลว่า “ใครกันที่พูดว่า ‘ซาอูลหรือที่จะมาปกครองเหนือพวกเราหรือ?' จงนำคนเหล่านั้นออกมา พวกเราจะฆ่าพวกเขาเสีย” 13 แต่ซาอูลได้กล่าวว่า “ในวันนี้อย่าให้ผู้ใดถูกประหารชีวิตเลย เพราะว่าวันนี้เป็นวันที่พระยาห์เวห์ได้ทรงช่วยกู้อิสราเอล” 14 แล้วซามูเอลจึงได้กล่าวกับประชาชนว่า “มาเถิด ให้เราไปยังกิลกาลและรื้อฟื้นเรื่องราชวงศ์ที่นั่น” 15 ดังนั้นประชาชนทั้งปวงจึงได้ไปยังกิลกาล และได้ตั้งซาอูลเป็นกษัตริย์เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ที่กิลกาล ที่นั่นพวกเขาถวายสันติบูชาเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ และซาอูลกับประชาชนอิสราเอลทั้งปวงก็ปีติยินดีอย่างยิ่งที่นั่น
1 ซามูเอลจึงกล่าวกับคนอิสราเอลทั้งปวงว่า “ ข้าพเจ้าได้ฟังทุกเรื่องที่พวกท่านบอกข้าพเจ้า และข้าพเจ้าได้ตั้งกษัตริย์เหนือพวกท่านแล้ว 2 และนี่คือกษัตริย์ที่ทรงดำเนินอยู่ต่อหน้าพวกท่าน และข้าพเจ้าก็ชราผมหงอกแล้ว และ พวกบุตรชายของข้าพเจ้าก็อยู่กับพวกท่านและข้าพเจ้าเองก็ได้ดำเนินอยู่ต่อหน้าพวกท่านตั้งแต่หนุ่มจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ 3 ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่ ขอพวกท่านจงเป็นพยานปรักปรำข้าพเจ้าเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ และต่อหน้าผู้ที่พระองค์ได้ทรงเจิมไว้ โคของใครบ้างที่ข้าพเจ้าริบเอาไว้? ลาของใครบ้างที่ข้าพเจ้าริบเอาไว้? มีใครบ้างที่ข้าพเจ้าได้เคยฉ้อโกง? มีใครบ้างที่ข้าพเจ้าได้เคยบีบบังคับ? ข้าพเจ้าได้รับสินบนจากมือของใครบ้างที่ทำให้ข้าพเจ้าปิดตาของข้าพเจ้า? จงเป็นพยานปรักปรำข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะคืนให้แก่พวกท่าน”
4 พวกเขาได้พูดว่า “ท่านไม่เคยได้หลอกลวงพวกเรา ไม่เคยได้บีบบังคับพวกเรา หรือได้เคยขโมยสิ่งใดไปจากมือของผู้ใดเลย” 5 ซามูเอลกล่าวแก่พวกเขาว่า “พระยาห์เวห์ทรงเป็นพยานต่อพวกท่าน และผู้ที่พระองค์ทรงเจิมไว้ก็เป็นพยานในวันนี้ว่าพวกท่านไม่พบสิ่งใดในมือของข้าพเจ้า” พวกเขาตอบว่า “พระยาห์เวห์ทรงเป็นพยาน” 6 ซามูเอลกล่าวกับประชาชนว่า “พระยาห์เวห์ผู้ที่ได้ทรงแต่งตั้งโมเสสกับอาโรน และผู้ได้ทรงนำบรรพบุรุษของพวกท่านขึ้นมาจากแผ่นดินอียิปต์ 7 ฉะนั้นขอพวกท่านจงสำแดงตัว เพื่อที่ข้าพเจ้าจะร้องขอพวกท่านเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์เกี่ยวกับพระราชกิจอันชอบธรรมทั้งปวงของพระยาห์เวห์ที่พระองค์ได้ทรงกระทำต่อพวกท่านและต่อบรรพบุรุษของพวกท่าน
8 เมื่อยาโคบเข้าไปในอียิปต์ และบรรพบุรุษของพวกท่านร้องทูลต่อพระยาห์เวห์ แล้วพระยาห์เวห์ก็ทรงใช้โมเสสกับอาโรน ผู้ซึ่งได้นำบรรพบุรุษของพวกท่านออกจากอียิปต์และพวกเขาได้มาอาศัยอยู่ในสถานที่นี้ 9 แต่พวกเขาหลงลืมพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขา พระองค์จึงทรงขายพวกเขาไว้ในมือของสิเสรา แม่ทัพของกองทัพแห่งเมืองฮาโซร์ ในมือของคนฟีลิสเตีย และในมือของกษัตริย์แห่งโมอับ และเขาเหล่านี้ได้ต่อสู้กับบรรพบุรุษของพวกท่าน 10 พวกเขาได้ร้องทูลต่อพระยาห์เวห์ และกล่าวว่า ‘พวกข้าพระองค์ได้ทำบาปแล้ว เพราะว่าพวกข้าพระองค์ละทิ้งพระยาห์เวห์และไปปรนนิบัติบรรดาพระบาอัลและบรรดาพระอัชทาโรท แต่บัดนี้ขอทรงช่วยกู้พวกข้าพระองค์ให้พ้นมือของพวกศัตรูของพวกข้าพระองค์ และพวกข้าพระองค์จะปรนนิบัติพระองค์’ 11 ดังนั้นพระยาห์เวห์จึงทรงส่งเยรุบบาอัล และเบดาน เยฟธาห์ และซามูเอล และให้พวกท่านได้รับชัยชนะเหนือพวกศัตรูที่อยู่รอบพวกท่าน ดังนั้นพวกท่านจึงอาศัยอยู่อย่างปลอดภัย
12 เมื่อพวกท่านเห็นนาหาชกษัตริย์ของประชาชนแห่งอัมโมนมาต่อสู้พวกท่าน พวกท่านจึงพูดกับข้าพเจ้าว่า ‘ไม่ได้ กษัตริย์จะต้องมาปกครองเหนือพวกเราแทน’ แม้ว่าพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านทรงเป็นพระมหากษัตริย์ของพวกท่าน 13 เอาล่ะ นี่คือกษัตริย์ที่พวกท่านได้เลือกแล้ว ผู้ซึ่งพวกท่านได้ร้องขอ ผู้ซึ่งพระยาห์เวห์ได้ทรงตั้งให้เป็นกษัตริย์ไว้เหนือพวกท่านแล้ว 14 ถ้าพวกท่านยำเกรงพระยาห์เวห์และปรนนิบัติพระองค์ ฟังพระสุรเสียงของพระองค์ และไม่กบฏต่อพระบัญชาของพระยาห์เวห์ แล้วทั้งพวกท่านและกษัตริย์ผู้ปกครองเหนือพวกท่าน จะเป็นผู้ติดตามพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน 15 ถ้าพวกท่านไม่ฟังพระสุรเสียงของพระยาห์เวห์ แต่กบฏต่อพระบัญชาของพระยาห์เวห์ แล้วพระหัตถ์ของพระยาห์เวห์จะทรงต่อต้านพวกท่าน เช่นเดียวกับที่ได้ทรงต่อต้านกับบรรพบุรุษของพวกท่าน
16 แม้แต่บัดนี้พวกท่านจงสำแดงตัวของพวกท่าน และดูสิ่งที่ยิ่งใหญ่นี้ ซึ่งพระยาห์เวห์จะทรงกระทำต่อหน้าต่อตาของพวกท่าน 17 วันนี้ไม่ใช่เป็นฤดูเกี่ยวข้าวสาลีมิใช่หรือ ? ข้าพเจ้าจะร้องทูลต่อพระยาห์เวห์ ขอพระองค์ทรงให้มีฟ้าร้องและฝน แล้วพวกท่านจะได้รู้และได้เห็นว่าความชั่วร้ายของพวกท่านมากมายเพียงใด ซึ่งพวกท่านได้กระทำในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ ในการที่ได้ทูลขอให้มีกษัตริย์สำหรับพวกท่านเอง” 18 ดังนั้นซามูเอลจึงได้ร้องทูลต่อพระยาห์เวห์ และในวันเดียวกันนั้นพระยาห์เวห์ทรงให้มีฟ้าร้องและฝนมา แล้วประชาชนทั้งปวงก็ได้เกรงกลัวพระยาห์เวห์และซามูเอลยิ่งนัก
19 แล้วประชาชนทั้งปวงได้พูดกับซามูเอลว่า “ขอท่านได้อธิษฐานเผื่อผู้รับใช้ของท่านต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน เพื่อพวกเราจะไม่ถึงตาย เพราะเราได้เพิ่มความชั่วร้ายนี้เข้ากับบาปทั้งมวลของพวกเราในการขอให้มีกษัตริย์สำหรับพวกเรา” 20 ซามูเอลตอบว่า “อย่ากลัวเลย พวกท่านได้ทำความชั่วร้ายทั้งปวงนี้ แต่พวกท่านไม่ได้หันไปเสียจากการติดตามพระยาห์เวห์ แต่ได้ปรนนิบัติพระยาห์เวห์ด้วยสิ้นสุดใจของพวกท่าน 21 อย่าหันไปติดตามสิ่งไร้สาระซึ่งไม่เป็นประโยชน์หรือช่วยกู้พวกเจ้าไม่ได้ เพราะพวกนั้นเป็นสิ่งไร้ค่า
22 เพราะด้วยเห็นแก่พระนามอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ พระยาห์เวห์จะไม่ทรงละทิ้งประชาชนของพระองค์ เพราะว่านี่เป็นสิ่งที่พอพระทัยพระยาห์เวห์ที่จะทำให้พวกท่านเป็นประชาชนของพระองค์ 23 ส่วนข้าพเจ้าเอง ขอให้ห่างไกลจากข้าพเจ้าที่จะทำบาปต่อพระยาห์เวห์ด้วยการหยุดอธิษฐานเพื่อพวกท่าน แต่ข้าพเจ้าจะสอนถึงทางที่ดีและถูกต้องให้พวกท่าน 24 เพียงแต่ว่าจงยำเกรงพระยาห์เวห์ และปรนนิบัติพระองค์ด้วยความจริงอสุดใจของพวกท่าน จงพิจารณาถึงสิ่งที่ยิ่งใหญ่หลายสิ่งซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำแก่พวกท่าน 25 แต่ถ้าพวกท่านยังดื้อแพ่งทำชั่วอีก ทั้งพวกท่านและกษัตริย์ของพวกท่านจะถูกทำลายไป”
1 ซาอูลทรงมีพระชนม์สามสิบพรรษาเมื่อพระองค์ได้ทรงขึ้นครองราชย์ เมื่อพระองค์ได้ทรงครองราชย์สี่สิบปีเหนืออิสราเอล 2 พระองค์ได้ทรงคัดเลือกผู้ชายอิสราเอลสามพันคน สองพันคนให้อยู่กับพระองค์ที่มิคมาช และที่แดนเทือกเขาเบธเอล อีกหนึ่งพันคนนั้นให้อยู่กับโยนาธานที่เมืองกิเบอาห์แห่งเผ่าเบนยามิน ทหารที่เหลือนั้นพระองค์ก็ได้ทรงปล่อยให้กลับบ้านของตน แต่ละคนก็ได้กลับไปยังเต็นท์ของตน 3 โยนาธานได้ปราบกองทหารรักษาการของพวกฟีลิสเตียซึ่งอยู่ที่เกบาพ่ายแพ้ไป และคนฟีลิสเตียได้ทราบเรื่อง แล้วซาอูลก็ได้ทรงเป่าแตรทั่วแผ่นดิน และได้กล่าวว่า “ขอให้คนฮีบรูทั้งหลายได้ยิน”
4 คนอิสราเอลทั้งปวงได้ยินเขากล่าวว่า ซาอูลได้ปราบกองทหารรักษาการของฟีลิสเตียพ่ายแพ้ไป แล้วคนอิสราเอลก็ได้กลายเป็นที่เกลียดชังของคนฟีลิสเตียยิ่งนัก แล้วเหล่าทหารก็ได้ถูกเรียกออกมาให้สมทบกับซาอูลที่กิลกาล 5 คนฟีลิสเตียก็ได้รวมพลเพื่อต่อสู้คนอิสราเอล มีรถม้าศึกสามพันคัน และมีคนที่จะขับรถม้าศึกหกพันคน และกองทหารก็มีมากมายเหมือนทรายที่ชายฝั่งทะเล พวกเขาก็ยกกำลังขึ้นมาตั้งค่ายอยู่ที่มิคมาชทางตะวันออกของเบธอาเวน 6 เมื่อคนอิสราเอลได้เห็นว่าตกอยู่ในความยุ่งยาก เพราะพวกประชาชนได้ถูกกดดัน แล้วประชาชนก็ได้ซ่อนตัวอยู่ในถ้ำ ในพุ่มไม้ ในกองหิน ในบ่อ และในหลุมต่างๆ
7 คนฮีบรูบางคนได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปยังดินแดนกาดและกิเลอาด แต่ซาอูลก็ยังประทับอยู่ที่กิลกาลและประชาชนทั้งหมดได้ติดตามพระองค์ไปอย่างหวาดกลัว 8 พระองค์ได้ทรงคอยอยู่เจ็ดวัน ตามเวลาที่ซามูเอลได้กำหนดไว้ แต่ซามูเอลไม่ได้มาที่กิลกาล พวกประชาชนก็กระจัดกระจายไปจากซาอูล 9 ซาอูลจึงได้ตรัสว่า “จงนำเครื่องบูชาเผาทั้งตัวและเครื่องสันติบูชามาให้เรา” แล้วพระองค์ก็ถวายเครื่องบูชาเผา 10 ทันทีที่พระองค์ได้ทรงถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัวนั้นเสร็จซามูเอลก็ได้มาถึง ซาอูลก็เสด็จออกไปต้อนรับเขาและทรงทักทายเขา
11 แล้วซามูเอลได้ทูลว่า “พระองค์ได้ทรงทำอะไรไปแล้วหรือนี่?” ซาอูลได้ตรัสตอบว่า “เมื่อข้าพเจ้าได้เห็นประชาชนกำลังจากข้าพเจ้าไป และท่านก็ไม่ได้มาภายในวันที่กำหนดไว้ และคนฟีลิสเตียก็ได้ชุมนุมกันที่มิคมาช 12 ข้าพเจ้าได้พูดว่า ‘บัดนี้ คนฟีลิสเตียจะยกมารบกับข้าพเจ้าที่กิลกาล และข้าพเจ้ายังไม่ได้ทูลวิงวอนขอพระกรุณาต่อพระยาห์เวห์’ ดังนั้นข้าพเจ้าจึงฝืนใจตัวเองให้ขึ้นไปถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัว” 13 แล้วซามูเอลได้ทูลซาอูลว่า “พระองค์ได้ทรงกระทำสิ่งที่โง่เขลา พระองค์ไม่ได้ทรงรักษาพระบัญชาของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพระองค์ ซึ่งพระองค์ได้ทรงบัญชาพระองค์ไว้ เพื่อว่าพระยาห์เวห์จะได้ทรงสถาปนาการครองราชย์ของพระองค์เหนืออิสราเอลตลอดไป
14 แต่บัดนี้การครองราชย์ของพระองค์จะไม่ต่อเนื่อง พระยาห์เวห์ได้ทรงเสาะหาผู้ชายอีกคนหนึ่งตามชอบพระทัยพระองค์แล้ว และพระยาห์เวห์ได้ทรงแต่งตั้งผู้ชายคนนั้นให้เป็นเจ้าชายเหนือประชาชนของเขา เพราะว่าพระองค์ไม่ได้ทรงเชื่อฟังในสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงบัญชาพระองค์ไว้” 15 แล้วซามูเอลก็ได้ลุกขึ้นไปจากกิลกาลถึงกิเบอาห์แห่งเผ่าเบนยามิน แล้วซาอูลก็ได้ทรงนับประชาชนที่อยู่กับพระองค์ได้ประมาณหกร้อยคน 16 ซาอูลกับโยนาธานพระราชโอรสของพระองค์ และประชาชนที่ได้อยู่กับทั้งสองพระองค์ ก็อยู่ในเกบาแห่งเผ่าเบนยามิน แต่พวกฟีลิสเตียได้ตั้งค่ายอยู่ที่มิคมาช 17 มีหน่วยจู่โจมออกมาจากค่ายพวกฟีลิสเตียสามหน่วย หน่วยหนึ่งหันไปทางโอฟราห์สู่แผ่นดินชูอัล
18 อีกหน่วยหนึ่งหันไปทางเบธโฮโรน และอีกหน่วยหนึ่งหันไปทางพรมแดนซึ่งอยู่เหนือหุบเขาเศโบยิมตรงไปถิ่นทุรกันดาร 19 ทั่วแผ่นดินอิสราเอลไม่สามารถจะหาช่างเหล็กได้ เพราะพวกฟีลิสเตียได้กล่าวว่า “เกรงว่าพวกฮีบรูจะทำดาบหรือหอกสำหรับพวกเขา” 20 แต่คนอิสราเอลทั้งปวงได้เคยลงไปหาพวกฟีลิสเตียแต่ละคนเพื่อลับผานของเขา พลั่วของเขา ขวานของเขาและเคียวของเขา 21 ค่าจ้างลับนั้นสองส่วนสามเชเขลสำหรับลับผานและพลั่ว และหนึ่งส่วนสามเชเขลสำหรับการลับสามง่าม ขวานและติดประตัก 22 ดังนั้นเมื่อถึงวันทำศึกไม่มีดาบหรือหอกในมือของทหารที่ได้อยู่กับซาอูลและโยนาธาน มีเพียงซาอูลกับโยนาธานพระราชโอรสของพระองค์เท่านั้นที่ทรงมีอาวุธเหล่านั้น 23 กองทหารรักษาการของพวกฟีลิสเตียก็ได้ยกไปถึงทางข้ามของเมืองมิคมาช
1 วันหนึ่งโยนาธานพระราชโอรสของซาอูลได้ตรัสกับคนหนุ่มที่ถือเครื่องอาวุธของพระองค์ว่า “มาเถอะ ให้เราข้ามไปที่กองทหารฟีลิสเตียที่ฝั่งโน้น” แต่พระองค์ไม่ได้กราบทูลพระบิดาให้ทรงทราบ 2 ซาอูลได้ทรงพำนักอยู่ที่ชานเมืองกิเบอาห์ใต้ต้นทับทิมซึ่งอยู่ที่มิโกรน มีทหารประมาณหกร้อยนายได้อยู่กับพระองค์ 3 รวมทั้งอาหิยาห์บุตรชายของอาหิทูบ (พี่ชายของอีคาโบด) ผู้เป็นบุตรชายของฟีเนหัส ผู้เป็นบุตรชายของเอลีปุโรหิตของพระยาห์เวห์ที่เมืองชิโลห์ ผู้ที่ได้สวมเสื้อเอโฟด พวกประชาชนไม่ได้ทราบว่าโยนาธานได้ไปแล้ว 4 ตามทางข้ามเขาแต่ละที่ที่โยนาธานได้ต้องการที่จะข้ามไปยังกองทหารรักษาการณ์ของฟีลิสเตียนั้น มีหน้าผาหินอยู่ฟากหนึ่ง และมีหน้าผาหินที่อีกฟากหนึ่งที่มีชื่อว่าโบเซส และมีหน้าผาหินอีกยอดหนึ่งชื่อเสเนห์ 5 หน้าผาหินยอดหนึ่งอยู่ทางเหนือหน้ามิคมาช และอีกยอดหนึ่งอยู่ทางใต้หน้าเกบา
6 โยนาธานได้ตรัสกับคนหนุ่มที่ถือเครื่องอาวุธของพระองค์ว่า “มาเถิด ให้เราข้ามไปยังกองทหารรักษาการณ์พวกนี้ที่ไม่ได้เข้าสุหนัต บางทีพระยาห์เวห์จะทรงกระทำในนามพวกเรา เพราะว่าไม่มีสิ่งใดที่จะหยุดยั้งพระยาห์เวห์ได้จากการทรงช่วยกู้ ไม่ว่าโดยคนมากหรือน้อย” 7 ผู้ถือเครื่องอาวุธของพระองค์ได้ทูลว่า “ขอทรงทำทุกสิ่งตามพระทัยของพระองค์มีพระประสงค์ ทรงมุ่งไปเถิด ข้าพระองค์อยู่กับพระองค์พร้อมที่จะทำตามพระบัญชาของพระองค์ ” 8 แล้วโยนาธานได้ตรัสว่า “นี่แน่ะ พวกเราจะข้ามไปหาพวกทหารและพวกเราจะแสดงตัวพวกเราให้พวกเขา 9 ถ้าพวกเขาพูดกับพวกเราว่า ‘จงรออยู่ที่นั่นจนกว่าพวกเราจะมาถึงตัวพวกเจ้า’ แล้วเราจะยืนในที่ของพวกเรา และจะไม่ขึ้นไปหาพวกเขา 10 แต่ถ้าพวกเขาตอบว่า ‘จงขึ้นมาหาพวกเรา’ แล้วพวกเราจะขึ้นไปเพราะว่าพระยาห์เวห์ได้ทรงมอบพวกเขาไว้ในมือเรา นี่จะเป็นสัญญาณแก่เรา”
11 ดังนั้นทั้งสองจึงได้แสดงตัวแก่ให้กองทหารรักษาการณ์คนฟีลิสเตีย คนฟีลิสเตียได้กล่าวว่า “นี่แน่ะ พวกฮีบรูได้ออกมาจากรูที่พวกเขาซ่อนตัวแล้ว” 12 แล้วกองทหารรักษาการณ์จึงได้ร้องบอกโยนาธานและผู้ถือเครื่องอาวุธของพระองค์ว่า “จงขึ้นมาหาพวกเรา แล้วพวกเราจะแสดงบางสิ่งให้พวกเจ้า” โยนาธานจึงได้ทรงบอกผู้ถือเครื่องอาวุธของพระองค์ว่า “จงตามข้ามา เพราะว่าพระยาห์เวห์ได้ทรงมอบพวกเขาไว้ในมืออิสราเอลแล้ว” 13 โยนาธานก็ทรงปีนขึ้นไปด้วยพระหัตถ์และพระบาทของพระองค์และผู้ถือเครื่องอาวุธของพระองค์ก็ตามหลังพระองค์ไปด้วย พวกฟีลิสเตียนก็ได้ถูกฆ่าตายต่อพระพักตร์โยนาธาน และผู้ถือเครื่องอาวุธของพระองค์ก็ได้ฆ่าพวกเขาตามหลังพระองค์ไป 14 การจู่โจมครั้งแรกที่โยนาธานและผู้ถือเครื่องอาวุธของพระองค์ได้ฆ่านั้นประมาณยี่สิบคนในพื้นที่ประมาณครึ่งเอเคอร์ 15 และเกิดความหวาดกลัวในค่ายในทุ่งนาและในพวกประชาชนทั้งหมด แม้แต่กองทหารรักษาการณ์และแม้แต่หน่วยจู่โจมก็ได้หวาดกลัว ได้เกิดแผ่นดินไหว และมีการหวาดกลัวอย่างยิ่ง
16 แล้วพวกยามของซาอูลที่อยู่กิเบอาห์แห่งเผ่าเบนยามินก็ได้มองดูอยู่ ฝูงทหารของฟีลิสเตียก็แตกกระจายไป และพวกเขาก็ได้วิ่งวุ่นไปมา 17 แล้วซาอูลจึงได้รับสั่งแก่ประชาชนที่อยู่กับพระองค์ว่า “จงนับและดูว่าใครไปจากพวกเราบ้าง” เมื่อพวกเขาได้นับดูแล้ว โยนาธานและผู้ถือเครื่องอาวุธของพระองค์ได้ขาดหายไป 18 ซาอูลได้รับสั่งกับอาหิยาห์ว่า “จงนำหีบพระบัญญัติของพระเจ้ามาที่นี่” เพราะในเวลานั้นหีบพระบัญญัติยังอยู่กับประชาชนอิสราเอล 19 ในขณะที่ซาอูลกำลังตรัสกับปุโรหิตความวุ่นวายในค่ายของคนฟีลิสเตียก็ยังคงดำเนินอยู่ต่อไปและเพิ่มมากขึ้น แล้วซาอูลได้ตรัสกับปุโรหิตว่า "จงหดมือของท่านไว้ก่อน” 20 ซาอูลและประชาชนทั้งหมดที่อยู่ด้วยกับพระองค์ก็ได้มารวมกันและได้เข้าไปสนามรบ ดาบของพวกฟีลิสเตียทุกคนก็ต่อสู้เพื่อนชาวเมืองของเขา และมีความสับสนอลหม่านอย่างยิ่ง
21 บัดนี้พวกฮีบรูเหล่านั้นผู้ที่เคยอยู่กับพวกฟีลิสเตียก่อนหน้านั้น และคนที่ไปในค่ายกับพวกเขา แม้กระนั้นพวกเขาก็กลับมาเข้ากับคนอิสราเอลที่อยู่ฝ่ายซาอูลและโยนาธาน 22 เมื่อคนอิสราเอลทั้งปวงที่ได้ซ่อนตัวอยู่ในแดนเทือกเขาเอฟราอิมได้ยินว่า คนฟีลิสเตียกำลังหนี แม้แต่พวกเหล่านี้ก็ได้ไล่ติดตามพวกเขาในการต่อสู้ 23 ดังนั้นพระยาห์เวห์จึงได้ทรงช่วยกู้อิสราเอลในวันนั้น และสงครามก็ผ่านตลอดเมืองเบธอาเวนจนเลยไป 24 ในวันนั้นคนอิสราเอลต้องทุกข์ยาก เพราะซาอูลทรงให้พวกประชาชนได้สาบานไว้ว่า “ถ้าใครรับประทานอาหารก่อนเวลาเย็นวันนี้ ก่อนที่เราจะได้แก้แค้นพวกศัตรูของเรา ผู้นั้นจะถูกสาปแช่ง” ดังนั้นไม่มีใครในกองทัพได้รับประทานอาหารเลย 25 แล้วพวกประชาชนทั้งหมดก็ได้เข้ามาในป่า และที่นั่นมีน้ำผึ้งอยู่ตามพื้นดิน
26 เมื่อพวกประชาชนเข้าไปในป่า น้ำผึ้งก็กำลังไหลอยู่ แต่ไม่มีคนใดเอามือใส่ปาก เพราะประชาชนได้กลัวคำสาบาน 27 แต่โยนาธานไม่ได้ยินคำสาบานของพระราชบิดา ที่ทรงให้พวกประชาชนได้สาบานไว้ พระองค์จึงทรงแหย่ปลายไม้ที่อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์และจิ้มที่รังผึ้ง พระองค์ก็ทรงเอาพระหัตถ์ของพระองค์ใส่พระโอษฐ์ของพระองค์ พระเนตรของพระองค์ก็สว่างขึ้น 28 แล้วมีผู้ชายคนหนึ่งในพวกประชาชนทูลตอบว่า “พระราชบิดาของพระองค์ได้ทรงให้พวกทหารสาบานว่า ‘ให้ผู้ที่รับประทานอาหารในวันนี้ถูกสาปแช่ง’ ถึงแม้ว่าพวกประชาชนจะอ่อนแรงจากความหิว” 29 แล้วโยนาธานจึงได้กล่าวว่า “พระบิดาของข้าได้ทรงทำให้เกิดปัญหาแก่แผ่นดิน ดูซิว่าดวงตาของข้าสว่างเพราะข้าได้รับประทานน้ำผึ้งนี้เพียงนิดเดียว 30 จะดียิ่งกว่านี้อีกเท่าใด ถ้าพวกประชาชนได้กินของที่ริบมาจากพวกศัตรูซึ่งพวกเขาหามาได้อย่างอิสระในวันนี้? เพราะว่าตอนนี้การฆ่าฟันคนฟีลิสเตียนั้นไม่มากมายเลย”
31 พวกเขาได้ฆ่าคนฟีลิสเตียในวันนั้นจากมิคมาช ถึงอัยยาโลน พวกประชาชนก็อ่อนเพลียยิ่งนัก 32 พวกประชาชนได้วิ่งอย่างละโมบเข้าหาของที่ริบได้ และได้เอาแกะวัวและลูกวัว และได้ฆ่าพวกมันบนพื้นดินและพวกประชาชนก็ได้กินพร้อมกับเลือด 33 แล้วพวกเขาก็ไปทูลซาอูลว่า “ดูเถิด พวกประชาชนกำลังทำบาปต่อพระยาห์เวห์ โดยได้รับประทานพร้อมกับเลือด” ซาอูลได้ทรงรับสั่งว่า “พวกเจ้าได้ประพฤติอย่างไม่สัตย์ซื่อแล้ว บัดนี้ จงกลิ้งก้อนหินใหญ่มาให้เราวันนี้” 34 ซาอูลได้ตรัสว่า “จงออกไปท่ามกลางพวกประชาชนและบอกพวกเขาว่า ‘จงให้ทุกคนนำวัวของเขาหรือแกะของเขามาฆ่าเสียที่นี่แล้วรับประทาน อย่าทำบาปต่อพระยาห์เวห์ โดยการรับประทานพร้อมกับเลือด’” ดังนั้นพวกประชาชนแต่ละคนก็ได้นำวัวของตนมาพร้อมพวกเขาในคืนนั้นและได้ฆ่าเสียที่นั่น 35 ซาอูลก็สร้างแท่นบูชาถวายแด่พระยาห์เวห์ ซึ่งเป็นแท่นบูชาแท่นแรกซึ่งพระองค์ได้สร้างถวายแด่พระยาห์เวห์
36 แล้วซาอูลได้รับสั่งว่า “ให้เราลงไปไล่ตามพวกฟีลิสเตียในตอนกลางคืน แล้วปล้นพวกเขาจนกระทั่งรุ่งเช้า อย่าให้พวกเขาเหลือรอดชีวิตแม้แต่คนเดียว” พวกเขาได้ตอบว่า “ขอทรงทำตามที่พระองค์ทรงเห็นชอบเถิด” แต่ปุโรหิตได้กล่าวว่า “ให้เราเข้าเฝ้าพระเจ้าที่นี่เถิด” 37 ซาอูลก็ทูลถามพระเจ้าว่า “สมควรที่ข้าพระองค์จะไล่ติดตามพวกฟีลิสเตียหรือไม่? พระองค์จะทรงมอบพวกเขาไว้ในมือของอิสราเอลหรือ?” แต่พระเจ้าไม่ได้ทรงตอบพระองค์ในวันนั้น 38 แล้วซาอูลจึงได้ตรัสว่า “จงมาที่นี่ พวกท่านทั้งหมดที่เป็นผู้นำของพวกประชาชนจงเรียนรู้และดูว่าความบาปนี้ได้เกิดขึ้นได้อย่างไรในวันนี้ 39 เพราะว่าพระยาห์เวห์ผู้ทรงพระชนม์ผู้ทรงได้ช่วยกู้อิสราเอล ถึงแม้ว่าเป็นโยนาธานบุตรชายของเรา เขาก็จะต้องตายแน่นอน” แต่ไม่มีสักคนหนึ่งในพวกประชาชนทั้งสิ้นได้ทูลตอบพระองค์ 40 แล้วพระองค์จึงตรัสกับอิสราเอลทั้งปวงว่า “พวกท่านจะต้องอยู่ฝ่ายหนึ่ง และเราและโยนาธานบุตรชายของเราจะอยู่อีกฝ่ายหนึ่ง” และพวกประชาชนได้ทูลซาอูลว่า “ขอทรงทำตามที่พระองค์ทรงเห็นชอบเถิด”
41 ซาอูลทูลว่า "พระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งอิสราเอล ถ้าหากข้าพระองค์หรือโยนาธานโอรสของข้าพระองค์ได้ทำบาปนี้ ขอทรงสำแดงอูริม แต่ถ้าหากเป็นประชาชนอิสราเอลของพระองค์ที่ได้ทำบาป ขอทรงสำแดงทูมมิม” แล้วโยนาธานกับซาอูลจึงได้จับฉลาก แต่กองทัพได้รอดพ้นจากความผิด 42 แล้วซาอูลจึงรับสั่งว่า “ให้จับฉลากระหว่างเรากับโยนาธานโอรสของเรา” แล้วโยนาธานก็จับได้ฉลาก 43 ซาอูลจึงตรัสกับโยนาธานว่า “จงบอกเราว่าเจ้าได้ทำอะไร” โยนาธานทูลพระองค์ว่า “ข้าพระบาทได้ชิมน้ำผึ้งที่ติดปลายไม้เท้า ซึ่งอยู่ในมือของข้าพระบาทเล็กน้อยเท่านั้น ข้าพระบาทอยู่ที่นี่ ข้าพระบาทยอมตาย” 44 ซาอูลตรัสว่า “พระเจ้าทรงลงโทษและเราจะเพิ่มโทษนั้น ถ้าเจ้าไม่ตาย โยนาธานเอ๋ย” 45 แล้วพวกประชาชนจึงทูลซาอูลว่า “โยนาธานสมควรตายหรือ ผู้ที่ได้นำความสำเร็จในชัยชนะอย่างยิ่งใหญ่สำหรับอิสราเอล? อย่าให้เป็นอย่างนั้นเลย พระยาห์เวห์ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด เส้นผมของพระองค์สักเส้นหนึ่งจะไม่ตกถึงดิน เพราะในวันนี้พระองค์ได้ทำศึกด้วยกันกับพระเจ้า” ดังนั้นพวกประชาชนได้ทรงช่วยชีวิตของโยนาธานไว้ ดังนั้นพระองค์จึงไม่ตาย
46 แล้วซาอูลก็ได้หยุดไล่ตามพวกฟีลิสเตีย และพวกฟีลิสเตียได้กลับไปยังที่อยู่ของพวกเขา 47 เมื่อซาอูลได้ทรงเริ่มปกครองเหนืออิสราเอลนั้น พระองค์ได้ทรงต่อสู้ศัตรูของพระองค์ทั้งหมดทุกด้าน พระองค์ได้ทรงต่อสู้กับโมอับ กับพงศ์พันธุ์อัมโมน กับเอโดม กับบรรดากษัตริย์แห่งโศบาห์ และกับคนฟีลิสเตีย ไม่ว่าพระองค์จะทรงหันไปทางไหน พระองค์ทรงลงโทษพวกเขาอย่างเจ็บปวด 48 พระองค์ทรงสู้รบอย่างกล้าหาญยิ่งและได้ทรงปราบปรามพวกอามาเลข พระองค์ได้ทรงช่วยกู้อิสราเอลให้พ้นจากมือของพวกที่ปล้นพวกเขา 49 พระราชโอรสของซาอูลคือ โยนาธาน อิชวี มัลคีชูวา และพระราชธิดาทั้งสองของพระองค์คือเมราบผู้เป็นบุตรีหัวปี และคนน้องคือมีคาล 50 พระนามพระมเหสีของซาอูลคืออาหิโนอัม บุตรีของอาหิมาอัส ชื่อแม่ทัพของพระองค์คืออับเนอร์บุตรชายของเนอร์ พระปิตุลาของซาอูล 51 คีชเป็นพระราชบิดาของซาอูล และเนอร์ผู้เป็นบิดาของอับเนอร์เป็นบุตรชายของอาบีเอล 52 ตลอดรัชกาลของซาอูลมีสงครามอย่างรุนแรงกับคนฟีลิสเตียอยู่เสมอ เมื่อซาอูลได้ทรงเห็นผู้ชายคนไหนเป็นนักรบเก่งกล้า หรือเป็นคนแกล้วกล้าก็จะได้ทรงนำมารับใช้พระองค์
1 ซามูเอลได้ทูลซาอูลว่า “พระยาห์เวห์ทรงใช้ข้าพเจ้ามาเจิมท่านเป็นกษัตริย์เหนือประชาชนอิสราเอลของพระองค์ บัดนี้จงฟังพระดำรัสของพระยาห์เวห์ 2 นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์จอมทัพได้ตรัสว่า ‘เราได้มองเห็นสิ่งที่อามาเลขได้ทำต่ออิสราเอลในการสกัดอิสราเอลระหว่างทาง เมื่อพวกเขาออกจากอียิปต์ 3 บัดนี้จงไปและโจมตีอามาเลข และทำลายทุกอย่างที่เขามีทั้งหมด อย่าได้ปรานีพวกเขา แต่จงฆ่าทั้งผู้ชายผู้หญิง เด็ก และเด็กทารก โค แกะ อูฐ และลา’”
4 ซาอูลจึงทรงเกณฑ์ประชาชนและตรวจพลที่เมืองเทลาอิม มีทหารราบ สองแสนคน และคนเผ่ายูดาห์หนึ่งหมื่นคน 5 แล้วซาอูลได้ทรงยกกองทัพมายังเมืองอามาเลข และคอยอยู่ในหุบเขา 6 แล้วซาอูลตรัสกับคนเคไนต์ว่า “จงไป จงแยกไปเสีย ให้ออกไปจากคนอามาเลข เพื่อเราจะไม่ทำลายพวกท่านไปพร้อมกับพวกเขา เพราะพวกท่านได้แสดงความเมตตาต่อพงศ์พันธุ์อิสราเอลทั้งหมดเมื่อพวกเขาขึ้นมาจากอียิปต์” ดังนั้นคนเคไนต์จึงแยกออกไปจากคนอามาเลข 7 แล้วซาอูลจึงทรงโจมตีคนอามาเลขตั้งแต่ฮาวิลาห์ไปจนถึงชูร์ ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของอียิปต์ 8 แล้วพระองค์ทรงจับอากักกษัตริย์ของคนอามาเลขได้ทั้งเป็น และพระองค์ทรงทำลายประชาชนทั้งหมดด้วยคมดาบ
9 แต่ซาอูลและพวกประชาชนได้ไว้ชีวิตอากัก และส่วนที่ดีที่สุดของฝูงแกะฝูงโค เหล่าลูกวัวอ้วนพี และบรรดาแกะ สิ่งที่ดีๆ ทั้งหมดพวกเขาไม่ได้ทำลาย แต่พวกเขาทำลายอย่างสิ้นเชิงเฉพาะสิ่งที่พวกเขาดูถูกและเห็นว่าไร้ค่า 10 แล้วพระวจนะของพระยาห์เวห์มายังซามูเอลว่า 11 “เราเสียใจแล้วที่เราได้ตั้งซาอูลเป็นกษัตริย์ เพราะเขาได้หันจากการตามเรา และไม่ได้ทำตามพระบัญญัติของเรา” ซามูเอลก็โกรธเขาจึงได้ร้องทูลต่อพระยาห์เวห์ตลอดคืน 12 และซามูเอลก็ได้ลุกขึ้นแต่เช้าตรู่เพื่อไปเฝ้าซาอูลในตอนเช้านั้น ซามูเอลได้รับทราบว่า “ซาอูลเสด็จมาที่ภูเขาคารเมล และพระองค์ได้ทรงมาสร้างอนุสาวรีย์ของพระองค์แล้วก็ได้หันกลับไปและได้มุ่งผ่านลงไปจนถึงกิลกาล”
13 แล้วซามูเอลก็ได้มาหาซาอูล และซาอูลได้ตรัสกับเขาว่า “ขอพระยาห์เวห์ทรงอวยพรท่านเถิด ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติตามพระบัญชาของพระยาห์เวห์แล้ว” 14 ซามูเอลทูลว่า “ถ้าอย่างนั้นเสียงแกะนี้ที่ร้องเข้าหูข้าพเจ้ากับเสียงวัวที่ข้าพเจ้าได้ยินคืออะไรกัน?” 15 ซาอูลทรงตอบว่า “พวกเขาได้นำพวกมันมาจากคนอามาเลข เพราะว่าพวกประชาชนได้ไว้ชีวิตบรรดาแกะและโคที่ดีที่สุด เพื่อให้เป็นเครื่องสัตวบูชาแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน นอกจากนั้นพวกเราได้ทำลายเสียสิ้น” 16 แล้วซามูเอลจึงทูลซาอูลว่า “เดี๋ยวก่อน ข้าพเจ้าจะขอเรียนท่านว่าพระยาห์เวห์ได้ตรัสกับข้าพเจ้าอย่างไรเมื่อคืนนี้” และซาอูลได้กล่าวว่า “จงกล่าวเถิด”
17 ซามูเอลทูลว่า “แม้ท่านเป็นแต่เพียงผู้เล็กน้อยในสายตาของท่าน ท่านไม่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าของบรรดาเผ่าอิสราเอลหรือ? แล้วพระยาห์เวห์ได้ทรงเจิมท่านไว้เป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอล 18 และพระยาห์เวห์ได้ทรงใช้ให้ท่านออกไปตามทางของท่าน พระองค์ตรัสว่า ‘จงไป จงทำลายคนอามาเลขพวกคนบาปให้หมดสิ้น และให้ต่อสู้กับพวกเขาจนกว่าพวกเขาจะหมดสิ้นไป’ 19 ทำไมท่านจึงไม่เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระยาห์เวห์ แต่ไปยึดของริบต่างๆ และได้ทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์หรือ?” 20 แล้วซาอูลได้ตรัสกับซามูเอลว่า “ข้าพเจ้าได้เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระยาห์เวห์แล้วจริงๆ ข้าพเจ้าได้ไปตามที่พระยาห์เวห์ได้ทรงใช้ข้าพเจ้าไป ข้าพเจ้าได้จับตัวอากักกษัตริย์แห่งคนอามาเลขมา และข้าพเจ้าก็ได้ทำลายคนอามาเลขหมดสิ้น
21 แต่พวกประชาชนได้เก็บของริบบางส่วน บรรดาแกะและโคที่ดีที่สุดจากสิ่งที่ต้องทำลายถวายนั้น เพื่อนำมาเป็นเครื่องสัตวบูชา แด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านที่ในเมืองกิลกาล” 22 ซามูเอลทูลว่า “พระยาห์เวห์พอพระทัยในเครื่องเผาบูชาและเครื่องสัตวบูชามาก เท่ากับการเชื่อฟังพระสุรเสียงของพระยาห์เวห์หรือ? การเชื่อฟังก็ดีกว่าเครื่องสัตวบูชา และที่จะฟังก็ดีกว่าไขมันของบรรดาแกะผู้ 23 เพราะการกบฏก็เป็นเหมือนบาปแห่งการถือฤกษ์ถือยาม และความดื้อดึงก็เป็นเหมือนบาปชั่วและการไหว้รูปเคารพ เพราะเหตุที่ท่านทอดทิ้งพระวจนะของพระยาห์เวห์ พระองค์จึงทรงถอดท่านออกจากตำแหน่งกษัตริย์”
24 และซาอูลตรัสกับซามูเอลว่า “ข้าพเจ้าได้ทำบาปแล้ว เพราะข้าพเจ้าฝ่าฝืนพระบัญญัติของพระยาห์เวห์และถ้อยคำของท่าน เพราะข้าพเจ้ากลัวพวกทหารและฟังเสียงของพวกเขา 25 เพราะฉะนั้นขอท่านโปรดอภัยบาปของข้าพเจ้าและกลับไปกับข้าพเจ้าเพื่อข้าพเจ้าจะได้นมัสการพระยาห์เวห์” 26 ซามูเอลทูลซาอูลว่า “ข้าพเจ้าจะไม่กลับไปกับท่าน เพราะท่านทอดทิ้งพระวจนะของพระยาห์เวห์ และพระยาห์เวห์ได้ทรงถอดท่านจากเป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอลแล้ว” 27 ขณะที่ซามูเอลหันจากไป ซาอูลก็ยึดชายเสื้อของท่านไว้ และเสื้อนั้นก็ขาด
28 ซามูเอลได้ทูลท่านว่า “ในวันนี้พระยาห์เวห์ได้ทรงฉีกราชอาณาจักรอิสราเอลจากท่านเสียแล้ว และทรงมอบให้แก่ผู้อื่นที่ดีกว่าท่าน 29 ยิ่งกว่านั้นองค์ผู้ทรงพลังของอิสราเอลจะไม่ทรงมุสาหรือทรงเปลี่ยนพระทัย เพราะว่าพระองค์ไม่ได้ทรงเป็นมนุษย์ที่เปลี่ยนใจ” 30 แล้วซาอูลได้ตรัสว่า “ข้าพเจ้าทำบาปแล้ว แต่ตอนนี้ขอท่านได้โปรดให้เกียรติแก่ข้าพเจ้าต่อหน้าพวกผู้ใหญ่ของประชาชนของข้าพเจ้าและต่อหน้าอิสราเอล ขอกลับไปกับข้าพเจ้าเพื่อข้าพเจ้าจะได้นมัสการพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน” 31 ดังนั้นซามูเอลจึงได้กลับตามซาอูลไป และซาอูลก็ได้นมัสการพระยาห์เวห์
32 แล้วซามูเอลได้กล่าวว่า “พวกท่านจงนำอากักกษัตริย์ของคนอามาเลขมาให้ข้าพเจ้า” และอากักก็เข้ามาหาท่านถูกล่ามด้วยโซ่ และได้กล่าวว่า “อันที่จริง ความขมขื่นแห่งความตายก็ผ่านพ้นไปแล้ว” 33 ซามูเอลได้กล่าวว่า “ดาบของท่านได้ทำให้พวกผู้หญิงไร้บุตรฉันใด มารดาของท่านจะไร้บุตรในหมู่พวกผู้หญิงฉันนั้น” และซามูเอลก็ฟันอากักเสียเป็นท่อนๆ เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ที่กิลกาล 34 ซามูเอลก็ไปรามาห์และซาอูลก็เสด็จขึ้นไปยังวังของพระองค์ที่กิเบอาห์แห่งซาอูล 35 ซามูเอลไม่ได้มาพบซาอูลอีกจนวันสิ้นชีพของเขา เพราะเขาได้โศกเศร้าเกี่ยวกับซาอูล พระยาห์เวห์ได้ทรงเสียพระทัยที่ได้ทรงตั้งซาอูลเป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอล
1 พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับซามูเอลว่า “อีกนานเท่าใดที่เจ้าจะเป็นทุกข์เรื่องซาอูล เราได้ละทิ้งเขาจากการเป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอลแล้ว? จงเติมน้ำมันให้เต็มเขาสัตว์ของเจ้าและจงไป เราจะส่งเจ้าไปหาเจสซีชาวเบธเลเฮม เพราะว่าเราได้เลือกกษัตริย์องค์หนึ่งแล้วสำหรับเราในท่ามกลางบุตรทั้งหลายของเขา" 2 ซามูเอลก็ได้ทูลว่า “ข้าพระองค์จะไปอย่างไรได้? ถ้าซาอูลได้ยินเรื่องนี้ เขาจะฆ่าข้าพระองค์เสีย” พระยาห์เวห์ได้ตรัสว่า “จงนำโคตัวเมียหนึ่งตัวไปกับเจ้าและกล่าวว่า ‘ข้าพเจ้ามาเพื่อถวายสัตวบูชาแด่พระยาห์เวห์’ 3 จงเรียกเจสซีมาที่การถวายสัตวบูชา และเราจะแสดงให้เจ้ารู้ว่าเจ้าจะต้องทำอะไร เจ้าจะเจิมผู้ซึ่งเราจะบอกเจ้าเพื่อเรา"
4 ซามูเอลได้ทำตามที่พระยาห์เวห์ตรัสและไปที่เบธเลเฮม พวกผู้ใหญ่ของเมืองนั้นก็ตัวสั่นขณะที่ออกมาพบเขาและกล่าวว่า “ท่านมาอย่างสันติหรือ?” 5 เขาจึงตอบว่า “อย่างสันติ ข้าพเจ้ามาถวายสัตวบูชาแด่พระยาห์เวห์ จงเตรียมชำระตัวของพวกท่านให้บริสุทธิ์และมากับข้าพเจ้าไปที่การถวายสัตวบูชา” แล้วซามูเอลจึงได้ชำระตัวเจสซีและบรรดาบุตรของเขาให้บริสุทธิ์ และเชิญพวกเขาไปยังการถวายสัตวบูชา 6 เมื่อพวกเขาได้มาแล้ว เขาก็มองเห็นเอลีอับ และกล่าวกับตัวเองว่าผู้ที่พระยาห์เวห์ทรงให้เจิมไว้ได้ยืนอยู่ข้างหน้าเขาแล้วแน่นอน
7 แต่พระยาห์เวห์ตรัสกับซามูเอลว่า “อย่ามองดูที่รูปร่างภายนอกของเขา หรือที่ความสูงแห่งร่างกายของเขา เพราะว่าเราไม่ยอมรับเขา เพราะพระยาห์เวห์ไม่ได้ทอดพระเนตรเหมือนที่มนุษย์ดู มนุษย์ดูที่รูปร่างภายนอก แต่พระยาห์เวห์ทอดพระเนตรจิตใจ” 8 แล้วเจสซีจึงเรียกอาบีนาดับและให้เขาเดินผ่านหน้าซามูเอล แล้วซามูเอลได้กล่าวว่า “พระยาห์เวห์ไม่ได้ทรงเลือกผู้นี้เหมือนกัน” 9 แล้วเจสซีได้ให้ชัมมาห์เดินผ่านไป และซามูเอลกล่าวว่า “พระยาห์เวห์ก็ไม่ได้ทรงเลือกผู้นี้เหมือนกัน” 10 แล้วเจสซีได้ให้บุตรทั้งเจ็ดคนเดินผ่านหน้าซามูเอล แล้วซามูเอลบอกกับเจสซีว่า “พระยาห์เวห์ไม่ได้ทรงเลือกคนใดเลยจากคนเหล่านี้”
11 แล้วซามูเอลกล่าวกับเจสซีว่า “พวกนี้เป็นบุตรชายทั้งหมดของท่านหรือ?” เขาตอบว่า “ยังมีคนสุดท้องเหลืออยู่ แต่เขากำลังเลี้ยงแกะอยู่” ซามูเอลกล่าวกับเจสซีว่า “จงใช้คนไปและนำเขามา เพราะพวกเราจะไม่ยอมนั่งจนกว่าเขาจะมาที่นี่” 12 เจสซีได้ใช้คนไปและนำเขามา บัดนี้บุตรชายของเขาเป็นคนผิวแดงมีดวงตาสวยและรูปร่างงาม พระยาห์เวห์ตรัสว่า “จงลุกขึ้น เจิมเขา เพราะเขาคือคนนั้น” 13 แล้วซามูเอลจึงนำเขาสัตว์ที่มีน้ำมันและเจิมเขาไว้ท่ามกลางพวกพี่ชายของเขา พระวิญญาณของพระยาห์เวห์ทรงสวมทับดาวิดนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา แล้วซามูเอลก็ได้ลุกขึ้นและกลับไปรามาห์ 14 บัดนี้พระวิญญาณของพระยาห์เวห์ทรงละจากซาอูล และวิญญาณที่มุ่งร้ายจากพระยาห์เวห์ก็ได้รบกวนเขาแทน 15 พวกมหาดเล็กของซาอูลได้ทูลว่า “ดูเถิด วิญญาณที่มุ่งร้ายจากพระเจ้ากำลังรบกวนพระองค์อยู่
16 ขอเจ้านายของพวกข้าพระบาทจงบัญชาพวกผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทที่อยู่เฉพาะพระพักตร์ฝ่าพระบาท ให้หาคนที่มีความชำนาญในการดีดพิณ แล้วเมื่อวิญญาณที่มุ่งร้ายจากพระเจ้ามาเหนือฝ่าพระบาท เขาก็จะดีดพิณแล้วฝ่าพระบาทจะดีขึ้น” 17 ซาอูลจึงรับสั่งพวกผู้รับใช้ของพระองค์ว่า “จงไปหาผู้ชายคนหนึ่งที่ดีดพิณได้ดีและนำเขามาหาเรา” 18 แล้วคนหนึ่งในพวกชายหนุ่มได้ตอบและทูลว่า “ข้าพระบาทเห็นบุตรชายคนหนึ่งของเจสซีชาวเบธเลเฮม ผู้ซึ่งมีฝีมือในการดีดพิณ เป็นคนแข็งแรง เป็นคนกล้าหาญ เป็นนักรบ เป็นคนสุขุมในการพูด และเป็นคนมีหน้าตาดี และพระยาห์เวห์สถิตกับเขา” 19 ดังนั้นซาอูลจึงทรงส่งพวกผู้สื่อสารไปยังเจสซีและกล่าวว่า “จงส่งดาวิดบุตรชายของท่านที่อยู่กับแกะนั้นมาหาเรา” 20 เจสซีได้จัดลาหนึ่งตัวบรรทุกขนมปัง และถุงหนังใส่เหล้าองุ่นถุงหนึ่ง และลูกแพะหนึ่งตัว และส่งไปกับดาวิดบุตรชายของท่านให้ถวายซาอูล 21 แล้วดาวิดได้มาเฝ้าซาอูลและเข้ารับหน้าที่ ซาอูลก็ทรงรักดาวิดมาก ดาวิดได้เป็นคนถือเครื่องอาวุธของซาอูล 22 ซาอูลได้ส่งข่าวไปยังเจสซีว่า “ขอให้ดาวิดอยู่กับเรา เพราะเขาเป็นที่ชื่นชอบในสายตาของเรา” 23 เมื่อใดก็ตามที่วิญญาณที่มุ่งร้ายจากพระเจ้ามาเหนือซาอูล ดาวิดก็ได้หยิบพิณและเล่น ดังนั้นซาอูลก็ทรงรู้สึกสดชื่นและดีขึ้น และวิญญาณที่มุ่งร้ายนั้นก็จากพระองค์ไป
1 บัดนี้คนฟีลิสเตียได้รวบรวมกองทัพของพวกเขาเพื่อทำสงคราม พวกเขามารวมกันอยู่ที่ตำบลโสโคห์ ซึ่งเป็นของยูดาห์ พวกเขาตั้งค่ายอยู่ระหว่างตำบลโสโคห์กับอาเซคาห์ ในเอเฟสดัมมิม 2 ซาอูลและคนอิสราเอลก็ได้รวมกันและตั้งค่ายอยู่ที่หุบเขาเอลาห์ และวางแนวรบเพื่อต่อสู้กับคนฟีลิสเตีย 3 คนฟีลิสเตียยืนอยู่ที่ภูเขาข้างหนึ่ง และอิสราเอลยืนอยู่ที่ภูเขาอีกข้างหนึ่ง มีหุบเขาคั่นระหว่างพวกเขาทั้งสอง
4 มีผู้ชายแข็งแรงคนหนึ่งออกมาจากค่ายคนฟีลิสเตีย ผู้ชายคนนี้ชื่อโกลิอัทแห่งกัท ผู้ซึ่งสูงหกศอกกับหนึ่งคืบ 5 เขาสวมหมวกสัมฤทธิ์ที่ศีรษะของเขา และสวมเสื้อเกราะที่ทำเป็นวงร้อยกัน เสื้อเกราะนั้นหนักประมาณห้าพันเชเขลเป็นทองสัมฤทธิ์ 6 เขาสวมสนับแข้งทองสัมฤทธิ์ และมีหอกซัดทองสัมฤทธิ์อยู่ที่บ่าทั้งสองข้างของเขา 7 ด้ามหอกของเขานั้นใหญ่ พร้อมด้วยเชือกร้อยสำหรับการพุ่งมันเหมือนกับสายบนไม้หูกทอผ้า ปลายหอกเป็นเหล็กหนักประมาณหกร้อยเชเขล คนถือโล่ของเขาก็เดินนำหน้าเขา
8 เขายืนและตะโกนมาทางแนวรบของอิสราเอลว่า “ทำไมพวกเจ้าออกมาเพื่อเตรียมทำสงครามเล่า? ข้าเป็นคนฟีลิสเตียไม่ใช่หรือ? พวกเจ้าก็เป็นข้ารับใช้ของซาอูลไม่ใช่หรือ? จงเลือกชายคนหนึ่งแทนพวกเจ้า ให้เขาลงมาหาข้า 9 ถ้าเขาชนะในการต่อสู้กับข้าและฆ่าข้าได้ แล้วพวกเราจะเป็นข้ารับใช้ของพวกเจ้า แต่ถ้าข้าชนะเขาและฆ่าเขาตาย แล้วพวกเจ้าจะเป็นข้ารับใช้ของพวกเราและรับใช้พวกเรา” 10 อีกครั้งหนึ่งคนฟีลิสเตียกล่าวว่า “ข้าขอท้ากองทัพอิสราเอลในวันนี้ จงส่งชายคนหนึ่งมาต่อสู้กัน” 11 เมื่อซาอูลและอิสราเอลทั้งหมดได้ยินสิ่งที่คนฟีลิสเตียนั้นได้กล่าว พวกเขาก็ตกใจและหวาดกลัวยิ่งนัก
12 บัดนี้ดาวิดเป็นบุตรของชาวเอฟราธาห์คนหนึ่งแห่งเมืองเบธเลเฮมในยูดาห์ ชื่อเจสซี ผู้มีบุตรชายแปดคน เจสซีเป็นคนมีอายุมากแล้วในรัชสมัยของซาอูล 13 บุตรชายใหญ่สามคนของเจสซีก็ได้ตามซาอูลไปทำสงคราม ชื่อของบุตรชายสามคนที่ไปทำสงครามนั้นคือ เอลีอับ บุตรหัวปี คนที่สองอาบีนาดับ และคนที่สามชัมมาห์ 14 ดาวิดเป็นบุตรคนสุดท้อง พี่ชายทั้งสามคนได้ตามซาอูลไป 15 ดาวิดได้ไปกลับระหว่างกองทัพของซาอูลและการเลี้ยงแกะของบิดาที่เบธเลเฮมเพื่อที่จะเลี้ยงดูพวกมัน 16 เป็นเวลานานถึงสี่สิบวันที่คนฟีลิสเตียที่แข็งแรงคนนั้น ได้เข้ามาใกล้ทั้งตอนเช้าและตอนเย็นเพื่อท้าให้คนออกไปสู้กับเขา
17 แล้วเจสซีพูดกับดาวิดบุตรของตนว่า “จงนำข้าวคั่วหนึ่งเอฟาห์นี้ และขนมปังสิบก้อนนี้ และนำไปให้พวกพี่ชายของเจ้าที่ค่ายอย่างรวดเร็ว 18 และจงนำเนยแข็งสิบชิ้นนี้ไปให้ผู้บังคับกองพันของพวกเขาด้วยเช่นกัน จงดูว่าพวกพี่ชายของเจ้าทุกข์สุขอย่างไร แล้วนำหลักฐานที่แสดงว่าพวกเขาสบายดีกลับมาด้วย 19 พวกพี่ของเจ้าอยู่กับซาอูลกับคนอิสราเอลทั้งปวงที่หุบเขาเอลาห์ สู้รบกับคนฟีลิสเตีย" 20 ดาวิดจึงลุกขึ้นแต่เช้ามืด และทิ้งฝูงสัตว์ให้อยู่ในความดูแลของคนเลี้ยงแกะ เขาได้เอาเสบียงอาหารและจากไปตามที่เจสซีได้สั่งเขา เขาได้มาถึงค่าย ขณะเมื่อกองทัพกำลังจะยกออกไปแนวรบ กองทัพได้โห่ร้องเพื่อทำสงคราม 21 แล้วอิสราเอลกับคนฟีลิสเตียต่างก็ได้ตั้งแนวรบเผชิญหน้ากัน 22 ดาวิดทิ้งสัมภาระไว้กับผู้ดูแลกองสัมภาระ เขาวิ่งไปที่กองทัพและทักทายพวกพี่ชายของเขา
23 เมื่อเขากำลังพูดกับพวกพี่ชาย คนฟีลิสเตียที่แข็งแรงชาวกัท ชื่อโกลิอัท ได้ออกมาจากแนวรบของคนฟีลิสเตีย และกล่าวถ้อยคำอย่างที่เคยกล่าวมา และดาวิดก็ได้ยิน 24 เมื่อคนอิสราเอลทั้งปวงเห็นผู้ชายคนนั้นก็วิ่งหนีเขาไปและหวาดกลัวเขามาก 25 คนอิสราเอลพูดว่า “พวกเจ้าเคยเห็นชายที่ออกมานั้นหรือไม่? เขาได้ออกมาท้าทายอิสราเอล กษัตริย์จะประทานความร่ำรวยอย่างยิ่งให้แก่ผู้ชายผู้ที่ฆ่าเขาได้ และพระองค์จะประทานราชธิดาของพระองค์แต่งงานด้วย และทำให้ครอบครัวของบิดาของเขารับการยกเว้นภาษีในอิสราเอล” 26 ดาวิดกล่าวแก่พวกผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างเขาว่า “เขาจะทำอย่างไรแก่ผู้ชายที่ฆ่าคนฟีลิสเตียคนนี้ได้ และนำเอาความเหยียดหยามไปจากอิสราเอล? คนฟีลิสเตียผู้ไม่ได้เข้าสุหนัตคนนี้เป็นใคร ถึงได้มาท้าทายกองทัพของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่?” 27 แล้วพวกประชาชนได้กล่าวซ้ำในสิ่งที่พวกเขาได้เคยพูดและบอกเขาว่า “ดังที่ได้กล่าวมาแล้วสำหรับผู้ชายที่ฆ่าเขาได้ก็จะได้รับตามนั้น"
28 เอลีอับพี่ชายคนโตได้ยินดาวิดพูดกับพวกผู้ชาย เอลีอับก็โกรธดาวิด และเขากล่าวว่า “เจ้าลงมาที่นี่ทำไม? เจ้าได้ทิ้งแกะไม่กี่ตัวไว้กับผู้ใดในที่ถิ่นทุรกันดาร? ข้าเองรู้ถึงความอวดดีของเจ้า และความคิดชั่วในใจของเจ้า เพราะเจ้าได้ลงมาเพื่อที่เจ้าจะมาดูสงคราม” 29 ดาวิดจึงตอบว่า “ตอนนี้ข้าได้ทำอะไรไปหรือยัง? ข้าก็แค่ถามไม่ใช่หรือ?" 30 เขาจึงหันไปหาคนอื่นเสีย และพูดอย่างเดียวกัน พวกประชาชนก็ตอบเขาเหมือนอย่างคราวก่อน 31 เมื่อถ้อยคำที่ดาวิดพูดนั้นได้ยินกันทั่ว พวกเขาจึงทูลให้ซาอูลทรงทราบ พระองค์จึงทรงให้นำดาวิดมา 32 แล้วดาวิดจึงทูลซาอูลว่า “อย่าให้จิตใจของใครฝ่อไปเพราะชายคนฟีลิสเตียคนนั้นเลย ผู้รับใช้ของพระองค์จะไปสู้รบกับคนฟีลิสเตียคนนี้” 33 ซาอูลตรัสกับดาวิดว่า “เจ้าไม่สามารถไปต้านคนฟีลิสเตียนี้เพื่อสู้รบกับเขา เพราะเจ้าเป็นเพียงเด็กหนุ่ม และเขาเป็นนักรบมาตั้งแต่วัยหนุ่มของเขา"
34 แต่ดาวิดทูลซาอูลว่า “ผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทเคยเลี้ยงฝูงแกะของบิดา เมื่อสิงโตหรือหมีได้มาเอาลูกแกะตัวหนึ่งไปจากฝูง 35 ข้าพระองค์ก็ไล่ตามมันไปและจู่โจมมัน และช่วยกู้ลูกแกะนั้นมาจากปากของมัน เมื่อมันลุกขึ้นต่อสู้ข้าพระองค์ ข้าพระองค์ก็จับคางของมัน ทุบตีมัน และฆ่ามัน 36 ผู้รับใช้ของพระองค์เคยฆ่าสิงโตและหมีมาแล้ว คนฟีลิสเตียผู้ไม่ได้เข้าสุหนัตนี้ก็เป็นเหมือนสัตว์เหล่านั้นตัวหนึ่ง ด้วยเขาได้ท้าทายกองทัพของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่” 37 ดาวิดทูลว่า “พระยาห์เวห์ผู้ทรงช่วยกู้ข้าพระองค์จากอุ้งเท้าของสิงโต และจากอุ้งเท้าของหมี พระองค์จะทรงช่วยกู้ข้าพระบาทจากมือของคนฟีลิสเตียนี้” แล้วซาอูลจึงตรัสกับดาวิดว่า “จงไปเถอะ และขอพระยาห์เวห์สถิตอยู่กับเจ้า”
38 ซาอูลจึงทรงสวมเครื่องทรงของพระองค์ให้ดาวิด พระองค์ได้ทรงสวมหมวกทองสัมฤทธิ์บนศีรษะของเขา และทรงสวมเสื้อเกราะที่ทำเป็นวงร้อยด้วยโซ่ให้เขา 39 ดาวิดได้คาดดาบทับเครื่องอาวุธของเขา แต่เขาไม่สามารถจะเดินได้ เพราะว่าเขาไม่รับการฝึกกับสิ่งเหล่านั้น แล้วดาวิดจึงทูลซาอูลว่า “ข้าพระองค์ไม่สามารถสวมเครื่องเหล่านี้ออกไปได้ เพราะว่าข้าพระองค์ไม่เคยได้ฝึกฝนกับพวกนี้มาก่อน” ดังนั้นดาวิดจึงถอดเครื่องทรงทั้งหมดออกจากเขา 40 เขาถือไม้เท้าไว้ในมือ และเลือกก้อนหินเกลี้ยงห้าก้อนจากลำธารใส่ไว้ในย่ามผู้เลี้ยงแกะของเขา สลิงก็อยู่ในมือของเขาเมื่อเขาออกไปหาคนฟีลิสเตีย
41 คนฟีลิสเตียนั้นได้ออกมาใกล้ดาวิด พร้อมกับคนถือโล่เดินนำหน้า 42 เมื่อคนฟีลิสเตียมองดูรอบๆ และเห็นดาวิด คนฟิลิสเตียก็ดูถูกเขา เพราะเขาเป็นแต่เพียงเด็ก ผิวแดงๆ รูปร่างงามน่าดู 43 แล้วคนฟีลิสเตียจึงพูดกับดาวิดว่า “ข้าเป็นหมาหรือ เจ้าจึงมาหาข้าด้วยไม้เท้า?” และคนฟีลิสเตียก็สาปแช่งดาวิด โดยใช้นามของพวกพระของเขา 44 คนฟีลิสเตียพูดกับดาวิดว่า “จงมาหาข้า และข้าจะเอาเนื้อของเจ้าให้นกในท้องฟ้าและให้สัตว์ในป่า” 45 ดาวิดตอบคนฟีลิสเตียคนนั้นว่า “ท่านมาหาข้าด้วยดาบ ด้วยหอกและด้วยหอกซัด แต่ข้ามาหาท่านในพระนามแห่งพระยาห์เวห์จอมทัพ พระเจ้าแห่งกองทัพอิสราเอล ผู้ซึ่งท่านได้ท้าทาย
46 วันนี้พระยาห์เวห์จะทรงมอบชัยชนะเหนือท่านให้ข้า และข้าจะฆ่าท่านและตัดศีรษะจากลำตัวของท่าน วันนี้ข้าจะให้ศพของกองทัพฟีลิสเตียแก่นกในอากาศและแก่สัตว์ป่าแห่งแผ่นดิน เพื่อทั้งโลกจะรู้ว่ามีพระเจ้าองค์หนึ่งในอิสราเอล 47 และชุมนุมนี้ทั้งสิ้นจะรู้ว่า พระยาห์เวห์ไม่ได้ประทานชัยชนะด้วยดาบหรือหอก เพราะว่าการรบครั้งนี้เป็นของพระยาห์เวห์ พระองค์จะทรงมอบพวกท่านไว้ในมือของพวกเรา” 48 เมื่อคนฟีลิสเตียนั้นลุกขึ้นและเข้ามาใกล้ดาวิด แล้วดาวิดก็วิ่งอย่างรวดเร็วเข้าหากองทัพข้าศึกเพื่อปะทะกับเขา 49 ดาวิดเอามือล้วงเข้าไปในย่าม หยิบหินก้อนหนึ่งออกมา เหวี่ยงด้วยสลิง และถูกหน้าผากของคนฟีลิสเตีย ก้อนหินจมฝังเข้าไปในหน้าผากของคนฟีลิสเตีย เขาก็ล้มหน้าคว่ำลงที่ดิน 50 ดาวิดเอาชนะคนฟีลิสเตียได้ด้วยสลิงและก้อนหินหนึ่งก้อน เขาตีคนฟีลิสเตียและฆ่าเสีย ไม่มีดาบอยู่ในมือของดาวิดเลย 51 จากนั้นดาวิดจึงวิ่งไปและยืนอยู่เหนือคนฟีลิสเตีย และหยิบดาบของคนฟิลิสเตียนั้นโดยชักออกจากฝัก ดาวิดฆ่าเขาและตัดศีรษะของเขาออกเสียด้วยดาบนั้น เมื่อพวกฟีลิสเตียเห็นว่าผู้ชายที่แข็งแรงของเขาได้ตายเสียแล้ว พวกเขาก็ได้หนีไป
52 แล้วคนอิสราเอลกับคนยูดาห์ก็ลุกขึ้นโห่ร้องและไล่ตามพวกฟีลิสเตียไปไกลจนถึงหุบเขาและถึงประตูของเอโครน คนฟีลิสเตียได้ตายกลาดเกลื่อนตามทางถึงชาอาราอิม ตลอดทางไปถึงกัทและเอโครน 53 ประชาชนอิสราเอลได้กลับมาจากการไล่ติดตามคนฟีลิสเตีย พวกเขาได้ปล้นค่ายของคนเหล่านั้น 54 ดาวิดได้นำศีรษะของคนฟีลิสเตียคนนั้นมาที่เยรูซาเล็ม แต่เขาได้วางเครื่องอาวุธของเขาไว้ในเต็นท์ของเขา 55 เมื่อซาอูลทรงเห็นดาวิดออกไปต่อสู้กับคนฟีลิสเตีย พระองค์จึงตรัสถามอับเนอร์แม่ทัพของพระองค์ว่า “อับเนอร์ ชายหนุ่มคนนี้เป็นลูกของใคร?” และอับเนอร์ทูลว่า “ข้าแต่กษัตริย์ พระองค์ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ข้าพระองค์ไม่ทราบ” 56 ซาอูลจึงรับสั่งว่า “ไปสืบถามดูว่าเจ้าหนุ่มคนนี้เป็นลูกของใคร” 57 เมื่อดาวิดกลับมาจากการฆ่าพวกฟีลิสเตีย อับเนอร์ได้มาพาตัวเขาและนำไปเข้าเฝ้าซาอูล พร้อมด้วยศีรษะของคนฟีลิสเตียในมือของเขา 58 ซาอูลจึงตรัสถามเขาว่า “เจ้าหนุ่มเอ๋ย เจ้าเป็นลูกของใคร?” และดาวิดทูลว่า “ข้าพระองค์เป็นบุตรของเจสซีชาวเบธเลเฮมผู้รับใช้ของพระองค์”
1 เมื่อดาวิดทูลซาอูลเสร็จแล้ว พระทัยของโยนาธานก็ผูกพันกับจิตใจของดาวิด และโยนาธานทรงรักดาวิดอย่างรักชีวิตของพระองค์ 2 ซาอูลทรงให้ดาวิดได้ทำหน้าที่ของเขาตั้งแต่วันนั้น พระองค์ไม่ทรงยอมให้เขากลับไปบ้านบิดาของเขา 3 แล้วโยนาธานกับดาวิดก็ได้ทำพันธสัญญาแห่งมิตรภาพ เพราะพระองค์ทรงรักเขาอย่างกับรักชีวิตของพระองค์ 4 โยนาธานได้ทรงถอดฉลองพระองค์ที่พระองค์ทรงสวมอยู่ และทรงมอบให้แก่ดาวิดพร้อมทั้งเครื่องอาวุธ เช่นเดียวกันดาบของพระองค์ คันธนู และเข็มขัด 5 ไม่ว่าดาวิดจะออกไปที่ใดตามที่ซาอูลทรงใช้ไป เขาก็ประสบความสำเร็จ ซาอูลจึงทรงตั้งเขาให้อยู่เหนือพวกนักรบ สิ่งนี้เป็นที่ชื่นชอบในสายตาของประชาชนทั้งปวงและในสายตาของพวกข้าราชการของซาอูลด้วย
6 เมื่อพวกเขากลับจากการมีชัยชนะเหนือคนฟีลิสเตีย พวกผู้หญิงได้ออกมาจากเมืองทั้งหมดของอิสราเอล ร้องเพลงและเต้นรำ ถวายการต้อนรับกษัตริย์ซาอูลด้วยรำมะนา ด้วยใจยินดี และด้วยเครื่องดนตรี 7 พวกผู้หญิงได้ร้องเพลงหลายบทเพลงในขณะที่พวกเขาเล่นดนตรี พวกเธอร้องว่า “ซาอูลได้ฆ่าคนเป็นพันๆ และดาวิดฆ่าคนเป็นหมื่นๆ” 8 ซาอูลกริ้วยิ่งนัก คำที่ร้องนี้ไม่เป็นที่พอพระทัยพระองค์ พระองค์ตรัสว่า “พวกเขาได้ยกย่องดาวิดว่าฆ่าคนเป็นหมื่นๆ แต่พวกเขายกย่องเราว่าฆ่าแต่เพียงเป็นพันๆ เขาจะมีอะไรมากกว่านี้ได้อีกนอกจากการเป็นกษัตริย์?” 9 ซาอูลทรงจับตาดูดาวิดด้วยความสงสัยตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา 10 ในวันต่อมาวิญญาณที่มุ่งร้ายจากพระเจ้าก็ได้เข้าสิงซาอูล พระองค์ทรงเพ้ออยู่ในวังของพระองค์ ดังนั้นดาวิดจึงได้เล่นเครื่องดนตรีอย่างที่เขาเคยทำในแต่ละวัน ซาอูลทรงถือหอกอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ 11 ซาอูลได้ทรงพุ่งหอก เพราะทรงคิดว่า “ข้าจะปักดาวิดให้ติดกับผนังเสีย” แต่ดาวิดได้หนีจากพระพักต์ของซาอูลสองครั้งในสถานการณ์แบบนี้
12 ซาอูลได้ทรงกลัวดาวิด เพราะว่าพระยาห์เวห์สถิตกับเขา แต่ไม่ได้สถิตกับซาอูลอีกแล้ว 13 ดังนั้นซาอูลจึงรับสั่งให้ย้ายดาวิดไปจากพระองค์และแต่งตั้งเขาให้เป็นผู้บังคับการกองพัน โดยวิธีนี้ดาวิดจึงได้ออกไปและอยู่ต่อหน้าประชาชน 14 ดาวิดประสบความสำเร็จในทุกทาง เพราะพระยาห์เวห์ทรงสถิตกับเขา 15 เมื่อซาอูลทรงเห็นเขาประสบความสำเร็จมากขึ้น พระองค์ทรงกลัวเขา 16 แต่คนอิสราเอลและคนยูดาห์ทั้งสิ้นรักดาวิด เพราะเขาได้ออกไปและกลับมาต่อหน้าพวกเขา 17 แล้วซาอูลจึงรับสั่งกับดาวิดว่า “นี่คือบุตรสาวคนโตของเราชื่อเมราบ เราจะมอบนางให้เจ้าไว้เป็นภรรยา ขอเพียงแต่เจ้าจงเป็นคนกล้าหาญสำหรับเราและจงสู้ในสงครามของพระยาห์เวห์” เพราะซาอูลทรงดำริว่า “อย่าให้มือของเราต่อสู้เขา แต่ให้มือคนฟีลิสเตียต่อสู้เขา” 18 ดาวิดจึงทูลซาอูลว่า “ข้าพระบาทเป็นใคร และใครเป็นวงศ์ญาติของข้าพระบาท หรือตระกูลบิดาของข้าพระบาทในอิสราเอล ที่ข้าพระบาทจะเป็นราชบุตรเขยของกษัตริย์?” 19 แต่เมื่อถึงเวลาที่เมื่อเมราบราชธิดาของซาอูลควรจะยกให้ดาวิด นางได้ถูกยกให้เป็นภรรยาของอาดรีเอลชาวเมโหลาห์
20 แต่มีคาลราชธิดาของซาอูลได้หลงรักดาวิด พวกเขาทูลซาอูล และเรื่องนี้ได้เป็นที่พอพระทัยพระองค์ 21 แล้วซาอูลทรงดำริว่า “เราจะยกนางให้แก่เขา เพื่อนางจะเป็นกับดักเขาและมือของพวกฟีลิสเตียจะได้ต่อสู้เขา” ดังนั้นซาอูลจึงรับสั่งแก่ดาวิดครั้งที่สองว่า “เจ้าจะเป็นบุตรเขยของเรา” 22 ซาอูลทรงบัญชามหาดเล็กว่า “จงพูดเป็นส่วนตัวกับดาวิดว่า ‘นี่แน่ะ กษัตริย์ทรงพอพระทัยในเจ้า และบรรดามหาดเล็กของพระองค์ก็รักเจ้า และบัดนี้จงเป็นบุตรเขยของกษัตริย์เถิด’” 23 ดังนั้นพวกมหาดเล็กของซาอูลได้พูดถ้อยคำเหล่านี้ให้ดาวิด แล้วดาวิดได้กล่าวว่า “เป็นเรื่องเล็กน้อยอยู่หรือที่จะเป็นบุตรเขยของกษัตริย์ ด้วยข้าพเจ้าเป็นคนยากจน และไม่ได้เป็นที่นับถือแต่อย่างใด?” 24 พวกมหาดเล็กของซาอูลจึงได้รายงานต่อพระองค์ถึงถ้อยคำของดาวิด 25 แล้วซาอูลจึงรับสั่งว่า “พวกเจ้าจงพูดดังนี้แก่ดาวิด ‘กษัตริย์ไม่ทรงปรารถนาสินสอดใดๆ นอกจากหนังปลายองคชาตหนึ่งร้อยอันของพวกฟีลิสเตีย เพื่อจะได้ทรงแก้แค้นพวกศัตรูของกษัตริย์’” บัดนี้ซาอูลได้ทรงคิดที่จะให้ดาวิดล้มลงด้วยมือของพวกฟีลิสเตีย
26 เมื่อพวกมหาดเล็กบอกถ้อยคำเหล่านั้นให้ดาวิด เรื่องนี้ก็เป็นที่พอใจของดาวิดที่จะเป็นบุตรเขยของกษัตริย์ 27 ก่อนเวลาที่กำหนดไว้จะหมดไป ดาวิดได้ไปพร้อมกับคนทั้งหลายของเขาและฆ่าพวกฟีลิสเตียสองร้อยคน ดาวิดได้นำหนังปลายองคชาตของพวกเขา และได้ถวายเต็มจำนวนให้แก่กษัตริย์ เพื่อที่เขาจะได้เป็นบุตรเขยของกษัตริย์ ดังนั้นซาอูลจึงยกมีคาลพระราชธิดาของพระองค์ให้เป็นภรรยาของดาวิด 28 เมื่อซาอูลทรงเห็นและทราบว่า พระยาห์เวห์สถิตกับดาวิด และมีคาลพระราชธิดาของซาอูลทรงรักเขา 29 ซาอูลทรงกลัวดาวิดมากยิ่งขึ้น ซาอูลจึงทรงเป็นศัตรูของดาวิดตลอดมา 30 แล้วบรรดาเจ้าชายของคนฟีลิสเตียก็ออกมาเพื่อทำสงคราม และไม่ว่าพวกเขาจะออกมาสักกี่ครั้ง ดาวิดก็ประสบความสำเร็จมากยิ่งกว่าบรรดาข้าราชการทั้งสิ้นของซาอูล ดังนั้นชื่อของเขาจึงเป็นที่นับถืออย่างมาก
1 ซาอูลตรัสกับโยนาธานราชบุตรของพระองค์และกับบรรดาข้าราชการทั้งหมดของพระองค์ว่า พวกเขาควรฆ่าดาวิดเสีย แต่โยนาธานราชบุตรของซาอูลได้พอพระทัยในดาวิดอย่างยิ่ง 2 ดังนั้นโยนาธานทรงบอกกับดาวิดว่า “ซาอูลเสด็จพ่อของฉันหาช่องจะฆ่าท่าน เพราะฉะนั้นจงระวังให้ดีในตอนเช้าพรุ่งนี้และซ่อนตัวไว้ในสถานที่ลับ 3 ฉันจะออกไปยืนอยู่ข้างๆ เสด็จพ่อในทุ่งนาที่ท่านอยู่ และฉันจะทูลเสด็จพ่อเกี่ยวกับเรื่องของท่าน ถ้าฉันรู้เรื่องอะไร ฉันจะบอกให้ท่านทราบ” 4 โยนาธานทรงกล่าวชมดาวิดต่อซาอูลราชบิดาและทูลว่า “ขออย่าให้กษัตริย์ทรงทำบาปต่อดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์เลย เพราะดาวิดไม่ได้ทำบาปต่อฝ่าพระบาท และการงานของเขาเพื่อฝ่าพระบาทก็ดียิ่งนัก 5 เพราะเขาได้เสี่ยงชีวิตของเขา และฆ่าคนฟีลิสเตียนั้น พระยาห์เวห์ได้ประทานชัยชนะที่ยิ่งใหญ่สำหรับอิสราเอลทั้งปวง ฝ่าพระบาทได้ทรงเห็นแล้ว และทรงชื่นชมยินดี ทำไมฝ่าพระบาทจะทรงทำบาปต่อโลหิตที่ไร้ความผิด โดยฆ่าดาวิดเสียอย่างไม่มีเหตุผล?”
6 ซาอูลทรงฟังโยนาธาน ซาอูลทรงปฏิญาณว่า “พระยาห์เวห์ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด เขาจะไม่ถูกฆ่า” 7 แล้วโยนาธานได้ทรงเรียกดาวิด และโยนาธานทรงบอกเขาทุกสิ่ง โยนาธานทรงนำดาวิดเข้าเฝ้าซาอูล และเขาก็ได้เข้าเฝ้าพระองค์อย่างแต่ก่อน 8 สงครามเกิดขึ้นอีกครั้ง ดาวิดได้ออกไปต่อสู้กับพวกฟีลิสเตียและปราบปรามพวกเขาด้วยการฆ่าอย่างมากมาย พวกเขาจึงหนีไปต่อหน้าดาวิด 9 ต่อมาวิญญาณที่มุ่งร้ายจากพระยาห์เวห์ก็มาเหนือซาอูลเมื่อพระองค์ประทับในวังของพระองค์พร้อมด้วยหอกอยู่ในพระหัตถ์ และขณะที่ดาวิดกำลังเล่นเครื่องดนตรีของเขา 10 ซาอูลได้ทรงพยายามพุ่งหอกหมายเสียบดาวิดให้ติดฝาผนัง แต่ดาวิดหลบหอกของซาอูลได้ ดังนั้นซาอูลจึงทรงพุ่งหอกติดผนัง ดาวิดก็หลบหนีไปได้ในคืนนั้น
11 ซาอูลทรงใช้พวกผู้สื่อสารไปที่บ้านของดาวิดเพื่อเฝ้าดูเขาเพื่อจะฆ่าเขาเสียในเวลาเช้า แต่มีคาลภรรยาของดาวิดบอกเขาว่า “ถ้าคืนนี้เธอไม่หนีเอาตัวรอด พรุ่งนี้เธอจะถูกฆ่าตาย” 12 ดังนั้นมีคาลจึงหย่อนดาวิดลงทางหน้าต่าง เขาก็ได้ไปและหนีรอดได้ 13 มีคาลได้เอารูปเคารพของครัวเรือนมาและได้วางไว้บนเตียงนอน แล้วนางก็ได้วางหมอนขนแพะไว้ที่หัวของมัน แล้วได้เอาผ้าห่มคลุมไว้ 14 เมื่อซาอูลได้ส่งพวกผู้สื่อสารไปจับดาวิด นางได้ตอบว่า “เขาไม่สบาย” 15 แล้วซาอูลได้ส่งพวกผู้สื่อสารนั้นไปดูดาวิด ได้บัญชาว่า “จงนำเขามาหาเราทั้งเตียง เพื่อเราจะได้ฆ่าเขาเสีย” 16 เมื่อพวกผู้สื่อสารเข้ามา ดูเถิด รูปเคารพของครัวเรือนก็อยู่ในเตียงพร้อมกับหมอนขนแพะอยู่ที่หัวของมัน 17 ซาอูลรับสั่งถามมีคาลว่า “ทำไมเจ้าจึงได้หลอกลวงข้าอย่างนี้และปล่อยศัตรูของข้าไปเสีย ดังนั้นเขาจึงได้หนีไป?” มีคาลทูลตอบซาอูลว่า “เขาพูดกับหม่อมฉันว่า ‘ปล่อยฉันไป ควรหรือที่ฉันจะต้องฆ่าเธอ?’”
18 บัดนี้ดาวิดก็ได้หนีรอดไป เขาไปหาซามูเอลที่รามาห์ และเล่าให้เขาฟังทุกสิ่งที่ซาอูลได้ทรงกระทำต่อเขา แล้วซามูเอลก็ไปและอยู่ที่นาโยท 19 มีคนได้ไปทูลซาอูลกล่าวว่า “ดูเถิด ดาวิดอยู่ที่นาโยทในรามาห์” 20 ซาอูลจึงทรงส่งพวกผู้สื่อสารไปจับดาวิด เมื่อพวกเขาเห็นหมู่ผู้เผยพระวจนะกำลังเผยพระวจนะอยู่ และซามูเอลยืนเป็นหัวหน้าพวกเขา พระวิญญาณของพระเจ้าได้สวมทับพวกผู้สื่อสารของซาอูล และพวกเขาก็เผยพระวจนะด้วย 21 เมื่อซาอูลทรงทราบเรื่องนี้ พระองค์จึงทรงส่งพวกผู้สื่อสารอื่นไป และคนเหล่านั้นได้เผยพระวจนะด้วย ดังนั้นซาอูลจึงทรงส่งพวกผู้สื่อสารไปเป็นครั้งที่สาม พวกเขาก็เผยพระวจนะด้วย 22 แล้วพระองค์ได้เสด็จไปที่รามาห์เอง และมาถึงบ่อน้ำลึกที่ในเมืองเสคู พระองค์ทรงถามว่า “ซามูเอลกับดาวิดอยู่ที่ไหน?” มีบางคนทูลว่า “ดูเถิด พวกเขาอยู่ที่นาโยทในรามาห์” 23 ซาอูลจึงเสด็จไปนาโยทในรามาห์ แล้วพระวิญญาณของพระเจ้าได้เสด็จมาเหนือพระองค์ และขณะที่พระองค์ทรงไป พระองค์ได้ทรงเผยพระวจนะจนกระทั่งเสด็จถึงนาโยทที่รามาห์ 24 พระองค์ทรงถอดฉลองพระองค์ออก และทรงเผยพระวจนะด้วยต่อหน้าซามูเอล พระองค์ด้ทรงเปลือยพระวรกายอยู่ตลอดวันนั้นและตลอดคืนนั้น นี่คือเหตุผลที่ทำไมพวกเขาจึงได้ถามว่า “ซาอูลอยู่ในท่ามกลางพวกผู้เผยพระวจนะด้วยหรือ?”
1 แล้วดาวิดก็ได้หนีจากนาโยทในเมืองรามาห์ และได้มากล่าวต่อโยนาธานว่า “ข้าพเจ้าได้ทำสิ่งใดหรือ? อะไรเป็นความผิดของข้าพเจ้าหรือ? ข้าพเจ้าได้ทำบาปอะไรต่อเสด็จพ่อของท่าน พระองค์จึงทรงต้องการเอาชีวิตของข้าพเจ้า?” 2 โยนาธานกล่าวตอบดาวิดว่า “ไม่ใช่อย่างนั้นแน่ ท่านจะไม่ตาย เสด็จพ่อไม่ได้ทรงทำเรื่องใหญ่หรือเรื่องเล็กโดยไม่ทรงบอกให้ฉันรู้ ทำไมเสด็จพ่อจะปิดบังเรื่องนี้จากฉันเล่า? ไม่เป็นดังนั้นแน่” 3 แต่ดาวิดได้สาบานอีกครั้งและกล่าวว่า “เสด็จพ่อของท่านทรงทราบแน่ว่า ข้าพเจ้าเป็นที่โปรดปรานในสายตาของท่าน พระองค์ทรงกล่าวว่า ‘อย่าให้โยนาธานรู้เรื่องนี้ เกรงว่าเขาจะเศร้าใจ’ แต่ที่จริงก็คือ พระยาห์เวห์ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด และท่านมีชีวิตแน่ฉันใด ยังเหลืออีกเพียงก้าวเดียวระหว่างข้าพเจ้ากับความตาย”
4 แล้วโยนาธานจึงกล่าวกับดาวิดว่า “ไม่ว่าท่านจะบอกอะไรก็ตาม ฉันจะทำตามเพื่อท่าน” 5 ดาวิดจึงกล่าวกับโยนาธานว่า “พรุ่งนี้เป็นวันขึ้นค่ำ และข้าพเจ้าควรจะต้องนั่งรับประทานอาหารกับกษัตริย์ แต่ขอได้ปล่อยให้ข้าพเจ้าไป เพื่อที่ข้าพเจ้าจะซ่อนตัวอยู่ที่ในทุ่งนาจนถึงวันที่สามตอนเย็น 6 ถ้าเสด็จพ่อของท่านทรงระลึกถึงข้าพเจ้าแล้ว ก็ขอทูลพระองค์ว่า ‘ดาวิดได้วิงวอนขอลาข้าพระบาทรีบกลับไปเบธเลเฮมเมืองของเขา เพราะว่าเป็นเวลาถวายสัตวบูชาประจำปีของตระกูลทั้งหมดที่นั่น’ 7 ถ้าพระองค์รับสั่งว่า ‘ดีแล้ว’ ผู้รับใช้ของท่านก็จะมีสันติสุข แต่ถ้าพระองค์กริ้วมาก ก็จงรู้ว่า พระองค์ทรงตัดสินในทางชั่วร้ายแล้ว
8 ดังนั้นขอท่านกระทำอย่างกรุณาแก่ผู้รับใช้ของท่าน เพราะท่านได้นำผู้รับใช้ของท่านเข้าสู่ในพันธสัญญาแห่งพระยาห์เวห์กับท่าน แต่ถ้ามีความบาปในตัวข้าพเจ้า จงฆ่าข้าพเจ้าด้วยตัวท่านเอง ทำไมท่านจะนำข้าพเจ้าไปให้เสด็จพ่อของท่านเล่า?” 9 โยนาธานจึงกล่าวว่า “อย่าเป็นอย่างนั้นสำหรับท่านเลย ถ้าฉันได้ทราบว่าเสด็จพ่อทรงตัดสินพระทัยที่จะนำอันตรายมาถึงท่าน ฉันจะไม่บอกท่านหรือ?” 10 แล้วดาวิดได้กล่าวกับโยนาธานว่า “ใครจะบอกข้าพเจ้าถ้าเสด็จพ่อของท่านตอบท่านอย่างดุดัน?” 11 โยนาธานกล่าวกับดาวิดว่า “มาเถิดให้เราออกไปที่ทุ่งนา” ดังนั้นทั้งสองจึงได้ออกไปที่ทุ่งนา
12 โยนาธานพูดกับดาวิดว่า “ขอพระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งอิสราเอลทรงเป็นพยาน เมื่อฉันได้ถามคำถามเสด็จพ่อของฉันประมาณเวลานี้ ในวันพรุ่งนี้ หรือในวันที่สาม ดูเถิด ถ้ามีอะไรดีต่อดาวิดแล้ว ฉันจะไม่ใช้คนไปแจ้งท่านทีเดียวหรือ? 13 ถ้าเสด็จพ่อทรงพอพระทัยที่จะทำร้ายท่าน ขอพระยาห์เวห์ทรงลงโทษแก่โยนาธาน และทรงเพิ่มโทษให้ด้วย ถ้าฉันไม่แจ้งให้ท่านทราบและส่งท่านหนีไปอย่างปลอดภัย ขอพระยาห์เวห์สถิตกับท่าน อย่างที่พระองค์สถิตกับเสด็จพ่อของฉัน 14 ถ้าฉันยังมีชีวิตอยู่ต่อไป ขอท่านสำแดงพันธสัญญาของความสัตย์ซื่อแห่งพระยาห์เวห์ต่อฉันที่ฉันจะไม่ตาย? 15 ขออย่าตัดพันธสัญญาแห่งความสัตย์ซื่อของท่านที่มีต่อพงศ์พันธุ์ของฉันตลอดไป แม้เมื่อพระยาห์เวห์ทรงกำจัดศัตรูทั้งสิ้นของดาวิดจากพื้นดินแล้วก็ตาม” 16 ดังนั้นโยนาธานจึงทำพันธสัญญากับพงศ์พันธุ์ของดาวิด และกล่าวว่า “ขอพระยาห์เวห์ทรงแก้แค้นพวกศัตรูของดาวิด” 17 และโยนาธานก็ให้ดาวิดปฏิญาณอีกครั้งหนึ่งโดยความรักของท่านที่มีต่อเขา เพราะว่าท่านได้รักเขาอย่างที่ท่านได้รักชีวิตของตัวท่านเอง
18 แล้วโยนาธานกล่าวกับเขาว่า “พรุ่งนี้เป็นวันขึ้นค่ำ ท่านจะต้องขาดไปเพราะที่นั่งของท่านจะว่างอยู่ 19 เมื่อท่านได้อยู่สามวันแล้ว ให้ท่านลงไปโดยเร็ว ให้มาที่ที่ท่านได้เคยซ่อนตัวเมื่อถึงวันนั้น และคอยอยู่ข้างหินเอเซล 20 ฉันจะยิงลูกธนูสามดอกไปข้างๆ ที่นั่น เหมือนกับว่าฉันยิงเป้า 21 แล้วฉันจะใช้เด็กหนุ่มของฉันไปและพูดกับเขาว่า ‘จงไปหาพวกลูกธนู’ ถ้าฉันพูดกับเด็กหนุ่มว่า ‘นี่แน่ะ พวกลูกธนูนั้นอยู่ทางข้างนี้ของเจ้า จงไปเอามา’ แล้วท่านจงมาเพราะพระยาห์เวห์ทรงพระชนม์แน่ฉันใด ท่านก็ปลอดภัยแล้ว ไม่มีอันตรายอะไร 22 แต่ถ้าฉันพูดกับเด็กหนุ่มนั้นว่า ‘นี่แน่ะ พวกลูกธนูอยู่ข้างหน้าเจ้าโน้น’ ท่านจงไปตามทางของท่าน เพราะว่าพระยาห์เวห์ได้ทรงส่งท่านหนีไป 23 ส่วนข้อตกลงที่ท่านกับฉันได้พูดกันนั้น ดูเถิด พระยาห์เวห์ประทับอยู่ระหว่างท่านและฉันตลอดไป” 24 ดาวิดจึงได้ซ่อนตัวอยู่ในทุ่งนา เมื่อถึงวันขึ้นค่ำ กษัตริย์ก็ได้ประทับเพื่อเสวยพระกระยาหาร
25 กษัตริย์ได้ประทับบนพระที่นั่งของพระองค์บนพระที่นั่งข้างฝาผนังอย่างที่เคย โยนาธานได้ยืนและอับเนอร์ได้นั่งข้างซาอูล แต่ที่ของดาวิดว่างอยู่ 26 ซาอูลยังไม่ได้ตรัสอะไรในวันนั้น เพราะทรงคิดว่า “มีเหตุบางอย่างได้เกิดขึ้นกับเขา เขามีมลทิน แน่นอนเขามีมลทิน” 27 แต่ในวันที่สอง วันรุ่งขึ้นจากวันขึ้นค่ำ ที่นั่งของดาวิดก็ว่างอยู่ และซาอูลก็ได้ตรัสกับโยนาธานราชบุตรของพระองค์ว่า “ทำไมบุตรเจสซีไม่ได้มารับประทานอาหาร ทั้งวานนี้และวันนี้” 28 โยนาธานได้ทูลตอบซาอูลว่า “ดาวิดวิงวอนขอลาข้าพระบาทไปยังบ้านเบธเลเฮม 29 เขาบอกว่า ‘ขอปล่อยข้าพเจ้าไป เพราะตระกูลของข้าพเจ้ามีการถวายสัตวบูชาในเมือง และพี่ชายของข้าพเจ้าได้สั่งข้าพเจ้าให้ไป ดังนั้นถ้าข้าพเจ้าได้รับความโปรดปรานจากท่าน ก็ขอให้ข้าพเจ้าได้ไปและเยี่ยมพวกพี่ชายของข้าพเจ้า’ ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่ได้มาร่วมโต๊ะของกษัตริย์” 30 แล้วความกริ้วของซาอูลก็พลุ่งขึ้นต่อโยนาธาน ได้ตรัสว่า “เจ้าลูกของหญิงกบฏและวิปลาส ข้าไม่รู้หรือว่าเจ้าเลือกบุตรเจสซีมาเป็นความอับอายแก่เจ้า และแก่แม่ผู้ให้กำเนิดเจ้า? 31 ตราบใดที่บุตรเจสซีมีชีวิตอยู่ในแผ่นดิน ตัวเจ้าหรือราชอาณาจักรของเจ้าก็จะตั้งมั่นไม่ได้ เพราะฉะนั้นจงใช้คนไปจับเขามาให้ข้า เพราะเขาจะต้องตายแน่”
32 โยนาธานจึงทูลตอบซาอูลพระราชบิดาของท่านว่า “ทำไมเขาจะต้องถูกฆ่า? เขาได้ทำอะไร?” 33 แต่ซาอูลทรงพุ่งหอกใส่ท่านเพื่อจะฆ่าท่าน ดังนั้นโยนาธานจึงทราบว่าพระราชบิดาของท่านทรงตั้งพระทัยฆ่าดาวิด 34 โยนาธานจึงลุกขึ้นจากโต๊ะด้วยความโกรธยิ่งนัก ไม่ได้รับประทานอาหารในวันที่สองของเดือนนั้น เพราะเศร้าใจด้วยเรื่องดาวิด เพราะว่าพระราชบิดาของท่านทรงเหยียดหยามเขา 35 พอรุ่งเช้าโยนาธานได้ทรงออกไปที่ทุ่งนาตามที่นัดหมายไว้กับดาวิด มีเด็กหนุ่มไปด้วยคนหนึ่ง 36 พระองค์ทรงรับสั่งเด็กหนุ่มนั้นว่า “จงวิ่งไปและหาพวกลูกธนูที่ฉันยิงไป” เมื่อเด็กหนุ่มนั้นวิ่งไป โยนาธานได้ทรงยิงธนูดอกหนึ่งไปข้างหน้าเด็กนั้น 37 เมื่อเด็กหนุ่มนั้นมาถึงที่ที่ลูกธนูซึ่งโยนาธานได้ทรงยิงไปตกนั้น โยนาธานก็ร้องไล่หลังเด็กหนุ่มนั้นและกล่าวว่า “ลูกธนูอยู่ข้างหน้าโน้นไม่ใช่หรือ?” 38 แล้วโยนาธานได้ร้องไล่หลังเด็กหนุ่มนั้นว่า “เร็วเข้า จงรีบไปโดยเร็ว อย่าอยู่ช้า” ดังนั้นเด็กหนุ่มของโยนาธานก็ไปเก็บลูกธนูและได้กลับมาหานายของเขา 39 แต่เด็กหนุ่มนั้นไม่รู้เรื่องใดทั้งสิ้น มีเพียงโยนาธานและดาวิดเท่านั้นที่รู้ว่าเรื่องอะไร 40 โยนาธานได้มอบเครื่องอาวุธของท่านให้เด็กหนุ่มนั้นและกล่าวกับเขาว่า “จงไป จงนำม้นเข้าไปในเมือง” 41 ทันทีที่เด็กหนุ่มนั้นไปแล้ว ดาวิดได้ลุกขึ้นมาจากทางด้านหลังของกองหินซบหน้าลงถึงดิน และโค้งคำนับลงสามครั้ง พวกเขาได้จูบซึ่งกันและกัน และร้องไห้ด้วยกัน แต่ดาวิดร้องไห้มากกว่า 42 โยนาธานจึงกล่าวกับดาวิดว่า “จงไปโดยสันติเถิด เพราะว่าเราทั้งสองได้ปฏิญาณไว้แล้วในพระนามแห่งพระยาห์เวห์ว่า ‘ขอให้พระยาห์เวห์ประทับระหว่างฉันกับท่าน และระหว่างพงศ์พันธุ์ของฉันกับพงศ์พันธุ์ของท่านสืบไปเป็นนิตย์’ ” แล้วดาวิดจึงได้ลุกขึ้นและจากไป และโยนาธานจึงกลับเข้าไปในเมือง
1 แล้วดาวิดก็ได้มาที่เมืองโนบไปหาอาหิเมเลคปุโรหิต อาหิเมเลคตัวสั่นเทิ้มมาหาดาวิด และพูดกับเขาว่า “ทำไมท่านจึงมาคนเดียว และไม่มีใครมากับท่านหรือ?” 2 ดาวิดจึงพูดกับอาหิเมเลคปุโรหิตว่า “กษัตริย์ได้ทรงส่งข้าพเจ้าให้มาทำงานอย่างหนึ่ง และทรงรับสั่งแก่ข้าพเจ้าว่า ‘อย่าให้ใครรู้อะไรถึงเรื่องที่เราใช้เจ้าไปทำนั้น และเรื่องที่เราได้บัญชาเจ้านั้น’ ข้าพเจ้าได้นัดหมายไว้กับพวกคนหนุ่มในสถานที่แห่งหนึ่ง 3 บัดนี้ท่านมีอะไรอยู่ในมือบ้าง? ให้ขนมปังข้าพเจ้าสักห้าก้อน หรืออะไรก็ได้ที่ท่านมีอยู่ที่นี่”
4 ปุโรหิตนั้นตอบดาวิดและกล่าวว่า “ไม่มีขนมปังธรรมดาเลย มีแต่ขนมปังบริสุทธิ์ เพียงแต่ให้พวกคนหนุ่มที่ได้อยู่ห่างจากผู้หญิงมาก็แล้วกัน” 5 ดาวิดตอบปุโรหิตว่า “ที่จริงพวกผู้หญิงก็ได้ถูกกันไว้ให้ห่างจากเราสามวันแล้วเหมือนครั้งก่อนๆ ที่ข้าพเจ้าได้ออกไป สิ่งต่างๆที่เป็นของผู้ชายก็ได้ถูกทำให้บริสุทธิ์ แม้แต่เป็นการทำงานตามปกติ แล้วยิ่งวันนี้พวกเขาก็ยิ่งบริสุทธิ์กว่า” 6 ดังนั้นปุโรหิตจึงได้มอบขนมปังบริสุทธิ์ให้แก่เขา เพราะว่าที่นั่นไม่มีขนมปังอื่นนอกจากขนมปังเฉพาะพระพักตร์ ซึ่งได้เก็บมาจากเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ เพื่อที่จะวางขนมปังใหม่แทนที่ในวันที่เก็บเอาขนมปังเก่านั้นออกไป
7 ผู้รับใช้คนหนึ่งของซาอูลได้อยู่ที่นั่นในวันนั้น เขาถูกกักขังไว้จำเพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ เขาชื่อโดเอกคนเอโดม หัวหน้าคนเลี้ยงสัตว์ของซาอูล 8 ดาวิดได้พูดกับอาหิเมเลคว่า “ตอนนี้ที่นี่ไม่มีหอกหรือดาบในมืออยู่สักเล่มหนึ่งหรือ? เพราะว่าข้าพเจ้าไม่ได้นำดาบหรือเครื่องอาวุธติดมาเลย เพราะว่าราชการของกษัตริย์นั้นเร่งด่วน” 9 ปุโรหิตนั้นจึงกล่าวว่า “ดาบของโกลิอัทคนฟีลิสเตีย ซึ่งท่านได้ฆ่าที่หุบเขาเอลาห์นั้น ยังถูกผ้าห่ออยู่ที่ข้างหลังเสื้อเอโฟด ถ้าท่านต้องการดาบเล่มนั้น จงเอาไปเถิด เพราะว่าไม่มีอาวุธอื่นใดที่นี่อีกแล้ว” ดาวิดพูดว่า “ไม่มีดาบอื่นเหมือนดาบเล่มนั้นแล้ว เอาให้ข้าพเจ้าเถิด”
10 ดาวิดจึงลุกขึ้นและหนีจากซาอูลไปหาอาคีชกษัตริย์แห่งเมืองกัท 11 พวกมหาดเล็กของอาคีชได้กล่าวกับเขาว่า “ดาวิดคนนี้ไม่ใช่หรือที่เป็นกษัตริย์ของแผ่นดิน? พวกเขาไม่ได้ร้องเพลงให้กันและกันเกี่ยวกับเขาในการเต้นรำหรือ ที่ว่า ‘ซาอูลได้ฆ่าคนเป็นพันๆ และดาวิดได้ฆ่าคนเป็นหมื่นๆ?'” 12 ดาวิดได้เก็บถ้อยคำเหล่านี้ไว้ในใจและกลัวอาคีชกษัตริย์แห่งเมืองกัทยิ่งนัก 13 เขาจึงได้เปลี่ยนอากัปกิริยาต่อหน้าพวกเขา และได้แสร้งทำตนเป็นคนบ้าในหมู่พวกเขา เขาได้ทำเครื่องหมายไว้ที่ประตูต่างๆ ของประตูเมือง และปล่อยให้น้ำลายไหลลงเปรอะเครา 14 แล้วอาคีชจึงรับสั่งกับพวกมหาดเล็กของพระองค์ว่า “จงดูนั่นสิ พวกเจ้าเห็นว่าคนนั้นบ้า แล้วพวกเจ้าพาเขามาหาเราทำไม? 15 เราขาดคนบ้าหรือ? เจ้าจึงได้พาคนนี้มาทำบ้าต่อหน้าเรา? คนอย่างนี้ควรเข้ามาในวังของเราหรือ?”
1 ดังนั้นดาวิดก็ได้ไปจากที่นั่นและได้หนีไปอยู่ที่ถ้ำอดุลลัม เมื่อพวกพี่ชายของเขาและพงศ์พันธุ์ของบิดาของเขาทั้งสิ้นได้ยินเรื่อง พวกเขาก็ได้ลงไปหาดาวิดที่นั่น 2 ทุกคนที่อยู่ในความทุกข์ยาก ทุกคนที่มีหนี้สิน และทุกคนที่ไม่พอใจ ก็ได้รวมกันมาหาเขา ดาวิดก็เป็นหัวหน้าของพวกเขา มีคนมาอยู่กับเขาประมาณสี่ร้อยคน 3 แล้วดาวิดก็ได้ออกจากที่นั่นไปยังเมืองมิสปาห์ในโมอับ เขาได้ทูลกษัตริย์แห่งโมอับว่า “ขอโปรดให้บิดามารดาของข้าพเจ้าไปอยู่กับพระองค์เถิด จนกว่าข้าพเจ้าจะทราบว่าพระเจ้าจะทรงกระทำประการใดเพื่อข้าพเจ้า”
4 ดาวิดก็ได้ละพวกเขาไว้กับกษัตริย์แห่งโมอับ บิดาและมารดาของเขาก็ได้อาศัยอยู่กับพระองค์ตลอดเวลาที่ดาวิดอยู่ในที่กำบังเข้มแข็งของเขา 5 แล้วผู้เผยพระวจนะกาดพูดกับดาวิดว่า “อย่าอยู่ในที่กำบังเข้มแข็งของท่าน จงจากไปเสียและเข้าไปในแผ่นดินยูดาห์เถิด” ดังนั้นดาวิดจึงจากที่นั่นและไปอยู่ในป่าเฮเรท 6 ซาอูลทรงทราบว่ามีผู้พบดาวิดและเหล่าคนที่อยู่กับเขา ขณะนั้นซาอูลประทับที่เมืองกิเบอาห์ใต้ต้นสนหมอกในเมืองรามาห์ พร้อมด้วยหอกของพระองค์ และพวกมหาดเล็กทั้งปวงของพระองค์ก็ได้ยืนอยู่รอบพระองค์
7 ซาอูลตรัสกับพวกมหาดเล็กที่ยืนอยู่รอบพระองค์ว่า “บัดนี้จงฟังให้ดี พวกเจ้าพงศ์พันธุ์เบนยามิน บุตรชายของเจสซีจะให้นาและสวนองุ่นแก่พวกเจ้าทั้งหลายหรือ? เขาจะตั้งพวกเจ้าให้เป็นผู้บังคับการกองพันกองร้อยหรือ 8 เพื่อแลกเปลี่ยนสำหรับที่พวกเจ้าทั้งหมดคิดกบฏต่อเราหรือ? ไม่มีใครสักคนแจ้งแก่เราเลยเมื่อบุตรชายของเราทำพันธสัญญากับบุตรชายของเจสซี ไม่มีใครในพวกเจ้ากำลังเสียใจกับเรา ไม่มีใครสักคนในพวกเจ้าแจ้งแก่เราว่าบุตรชายของเราได้ปลุกปั่นดาวิดผู้รับใช้ของเราให้ต่อสู้เรา วันนี้เขาก็ซ่อนตัวและคอยเราเพื่อเขาจะโจมตีเรา" 9 แล้วโดเอกคนเอโดมผู้ที่เป็นหัวหน้าพวกมหาดเล็กของซาอูลจึงได้ทูลตอบว่า “ข้าพระองค์ได้เห็นบุตรชายของเจสซีมาที่เมืองโนบ มาหาอาหิเมเลคบุตรชายของอาหิทูบ
10 เขาได้ภาวนาต่อพระยาห์เวห์ขอให้ทรงช่วยดาวิด และเขาได้ให้เสบียงอาหารแก่ดาวิด และให้ดาบของโกลิอัทคนฟีลิสเตียแก่เขาไป” 11 แล้วกษัตริย์จึงส่งคนให้ไปเรียกอาหิเมเลคปุโรหิต บุตรชายของอาหิทูบ และพงศ์พันธุ์บิดาของท่านทั้งหมด ที่เป็นพวกปุโรหิตที่ได้อยู่ในเมืองโนบ ทุกคนก็ได้มาหากษัตริย์ 12 ซาอูลตรัสว่า “บัดนี้จงฟัง บุตรชายของอาหิทูบ” เขาทูลตอบว่า “ ข้าพระองค์อยู่ที่นี่แล้ว เจ้านายของข้าพระองค์”
13 ซาอูลตรัสกับเขาว่า “ทำไมพวกเจ้าจึงร่วมกันกบฏต่อเรา ทั้งพวกเจ้าและบุตรชายของเจสซี ในการที่เจ้าได้ให้ขนมปังและดาบแก่เขา และทูลถามพระเจ้าให้เขาเพื่อที่พระองค์จะทรงช่วยเขา ดังนั้นเขาจึงได้ลุกขึ้นต่อสู้เรา และคอยซุ่มดักเราอยู่ อย่างเช่นทุกวันนี้?” 14 แล้วอาหิเมเลคได้ทูลตอบกษัตริย์ และกล่าวว่า “ในบรรดาข้าราชการของพระองค์ มีใครเล่าที่จะซื่อสัตย์อย่างดาวิด ผู้ที่เป็นราชบุตรเขยของกษัตริย์และเป็นผู้บังคับบัญชาทหารราชองครักษ์ของพระองค์ และเป็นผู้มีเกียรติในพระราชสำนักของพระองค์? 15 วันนี้เป็นครั้งแรกที่ข้าพระองค์ได้ทูลขอต่อพระเจ้าให้ทรงช่วยเขาจริงหรือ? ข้าพระองค์ไม่เป็นเช่นนั้นแน่ ขอกษัตริย์อย่าได้ทรงกล่าวโทษอย่างหนึ่งอย่างใดต่อผู้รับใช้ของพระองค์ หรือต่อพงศ์พันธุ์ทั้งสิ้นของบิดาของข้าพระองค์ เพราะผู้รับใช้ของพระองค์ไม่ทราบเรื่องทั้งหมดนี้เลย”
16 กษัตริย์ตรัสตอบว่า “อาหิเมเลคเอ๋ย เจ้าจะต้องตายแน่นอน ทั้งเจ้าและพงศ์พันธุ์ทั้งสิ้นของบิดาเจ้าด้วย” 17 กษัตริย์จึงรับสั่งแก่ราชองครักษ์ผู้ยืนเฝ้าอยู่ว่า “จงหันมาและฆ่าพวกปุโรหิตของพระยาห์เวห์เสีย เพราะว่ามือของพวกเขาอยู่กับดาวิด และเพราะพวกเขารู้ว่าเขาหนีไป แต่ไม่แจ้งให้เรารู้” แต่พวกข้าราชการของกษัตริย์ไม่ได้ลงมือฆ่าพวกปุโรหิตของพระยาห์เวห์ 18 แล้วกษัตริย์จึงตรัสกับโดเอกว่า “เจ้าจงหันไปฆ่าปุโรหิตเหล่านั้น” ดังนั้นโดเอกคนเอโดมก็ได้หันไปและฆ่าฟันบรรดาปุโรหิต เขาฆ่าบุคคลที่สวมเสื้อผ้าป่านเอโฟดแปดสิบห้าคนในวันนั้น
19 เขาได้ใช้คมดาบประหารชาวเมืองโนบ เมืองของพวกปุโรหิต ฆ่าทั้งผู้ชาย ผู้หญิง เด็ก และเด็กกินนม และบรรดาโค และพวกลาและบรรดาแกะทั้งหลาย เขาได้ฆ่าคนเหล่านั้นทั้งหมดด้วยคมดาบ 20 แต่บุตรชายคนหนึ่งของอาหิเมเลคบุตรอาหิทูบ ที่ชื่ออาบียาธาร์ได้หลุดรอดและหนีตามดาวิดไป 21 อาบียาธาร์ได้บอกดาวิดว่าซาอูลได้ทรงประหารพวกปุโรหิตของพระยาห์เวห์ 22 ดาวิดจึงพูดกับอาบียาธาร์ว่า “เราได้รู้ในวันนั้นเองว่า เมื่อโดเอกคนเอโดมอยู่ที่นั่น เขาจะต้องทูลซาอูลแน่นอน เราเองต้องรับผิดชอบสำหรับความตายของทุกคนในพงศ์พันธุ์บิดาท่าน 23 จงอยู่กับเราเถิด และอย่ากลัวเลย เพราะว่าผู้ที่แสวงหาชีวิตของท่านราก็แสวงหาชีวิตของเราด้วย แต่ท่านจะปลอดภัยเมื่ออยู่กับเรา”
1 พวกเขาได้บอกดาวิดว่า “ดูสิ คนฟีลิสเตียกำลังรบกับเมืองเคอีลาห์อยู่และกำลังปล้นลานนวดข้าว” 2 ดังนั้นดาวิดจึงได้ทูลต่อพระยาห์เวห์เพื่อขอความช่วยเหลือและทูลถามว่า “ควรที่ข้าพระองค์จะไปต่อสู้กับคนฟีลิสเตียเหล่านี้หรือไม่?” พระยาห์เวห์ตรัสกับดาวิดว่า “จงไปเถิดและต่อสู้คนฟีลิสเตียและจงช่วยกู้เมืองเคอีลาห์ไว้” 3 พวกของดาวิดได้กล่าวกับเขาว่า “ดูสิ พวกเรากลัวเมื่อยังอยู่ที่นี่ในยูดาห์ เราจะกลัวมากขนาดไหน ถ้าพวกเราขึ้นไปยังเคอีลาห์สู้รบกับเหล่ากองทัพของคนฟีลิสเตีย?”
4 แล้วดาวิดก็ทูลพระยาห์เวห์อีกครั้งหนึ่งเพื่อขอความช่วยเหลือ พระยาห์เวห์ได้ตรัสตอบเขาว่า “จงลุกขึ้น ลงไปยังเคอีลาห์เถิด เพราะเราจะมอบคนฟีลิสเตียไว้ในมือของเจ้า” 5 ดาวิดกับพวกของเขาก็ได้ไปยังเคอีลาห์ต่อสู้กับคนฟีลิสเตีย เขาได้นำเอาฝูงปศุสัตว์ของพวกเขาไป และโจมตีพวกเขา ด้วยการฆ่าอย่างมากมาย ดังนั้นดาวิดก็ได้ช่วยกู้ชาวเมืองเคอีลาห์ไว้ 6 เมื่ออาบียาธาร์บุตรชายของอาหิเมเลคหนีไปหาดาวิดที่เมืองเคอีลาห์นั้น เขาได้ถือเสื้อเอโฟดติดมือไปด้วย 7 มีคนไปทูลซาอูลว่า ดาวิดไปที่เคอีลาห์แล้ว ซาอูลจึงตรัสว่า “พระเจ้าทรงมอบเขาไว้ในมือเราแล้ว เพราะเขาได้ขังตัวเอง เมื่อเขาเข้าไปในเมืองที่มีประตูหลายบานและลูกกรงหลายอัน”
8 ซาอูลทรงให้เรียกทหารทั้งหมดให้เข้าสงคราม ให้ลงไปยังเคอีลาห์ เพื่อล้อมดาวิดกับพวกผู้ชายของเขา 9 ดาวิดทราบว่าซาอูลทรงวางแผนทำร้ายเขา เขาจึงได้พูดกับอาบียาธาร์ปุโรหิตว่า “จงนำเสื้อเอโฟดมาที่นี่เถิด” 10 แล้วดาวิดทูลว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ผู้รับใช้ของพระองค์ได้ยินแน่นอนว่าซาอูลทรงหาช่องทางที่จะมายังเคอีลาห์ เพื่อทำลายเมืองนี้เพราะข้าพระองค์เป็นเหตุ 11 พวกคนเคอีลาห์จะมอบข้าพระองค์ไว้ในมือซาอูลหรือ? ซาอูลจะเสด็จลงมาดังที่ผู้รับใช้ของพระองค์ได้ยินมานั้นอย่างนั้นหรือ? ข้าแต่พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ขอพระองค์ทรงบอกผู้รับใช้ของพระองค์เถิด" พระยาห์เวห์ตรัสว่า “เขาจะลงมา” 12 แล้วดาวิดทูลว่า “พวกคนเคอีลาห์จะมอบข้าพระองค์และพวกของข้าพระองค์ไว้ในมือของซาอูลหรือ?” พระยาห์เวห์ตรัสว่า “พวกเขาจะมอบเจ้า”
13 แล้วดาวิดกับพวกของเขาซึ่งมีประมาณหกร้อยคนจึงได้ลุกขึ้น และไปจากเคอีลาห์ พวกเขาไปจากที่หนึ่งเพื่อไปยังอีกที่หนึ่ง เมื่อมีคนทูลซาอูลว่าดาวิดได้หนีจากเคอีลาห์แล้ว และพระองค์ก็ทรงเลิกการติดตาม 14 ดาวิดอยู่ตามที่กำบังเข้มแข็งในถิ่นทุรกันดาร ในแดนเทือกเขาแห่งถิ่นทุรกันดารของศิฟ ซาอูลได้ทรงตามล่าชีวิตเขาทุกวัน แต่พระเจ้าไม่ได้ทรงมอบเขาไว้ในมือของซาอูล 15 ดาวิดเห็นว่าซาอูลเสด็จออกมาเพื่อเสาะหาชีวิตของเขา บัดนี้ดาวิดก็อยู่ในถิ่นทุรกันดารของศิฟที่โฮเรช 16 แล้วโยนาธานราชบุตรของซาอูลได้ลุกขึ้นและไปหาดาวิดที่โฮเรช และเสริมกำลังมือของเขาให้เข้มแข็งขึ้นในพระเจ้า 17 โยนาธานพูดกับเขาว่า “อย่ากลัวเลย เพราะว่าพระหัตถ์ของซาอูลเสด็จพ่อของฉันจะหาท่านไม่พบ ท่านจะได้เป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอล และฉันจะเป็นที่สองรองจากท่าน ซาอูลเสด็จพ่อของฉันก็ทรงรู้เรื่องนี้ด้วย”
18 พวกเขาจึงทำพันธสัญญาเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ ดาวิดยังอยู่ที่โฮเรช และโยนาธานก็กลับไปวัง 19 ชาวศิฟได้ขึ้นไปหาซาอูลที่กิเบอาห์และทูลว่า “ดาวิดได้ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางพวกข้าพระบาท ในที่กำบังเข้มแข็งที่โฮเรช บนเนินเขาฮาคีลาห์ซึ่งอยู่ใต้เยชิโมนไม่ใช่หรือ? 20 บัดนี้ขอโปรดเสด็จลงมาเถิด ข้าแต่กษัตริย์ สุดแต่พระองค์จะทรงพระประสงค์ ขอเสด็จลงไป ส่วนพวกข้าพระองค์จะมอบเขาไว้ในพระหัตถ์ของกษัตริย์” 21 ซาอูลตรัสว่า “ขอพระยาห์เวห์ทรงอวยพรแก่พวกท่าน เพราะพวกท่านได้เอื้ออาทรเรา 22 จงไปดูและหาดูว่าสถานที่เขาซ่อนตัวนั้นอยู่ที่ไหน และใครเห็นเขาที่นั่นบ้าง มีคนบอกข้าว่า เขาเจ้าเล่ห์จริงๆ 23 ดังนั้นจงดูให้รู้ที่ซุ่มทั้งหมดที่เขาได้ซ่อนตัว จงกลับมาหาเราด้วยข่าวที่แน่นอน แล้วเราจะไปกับพวกเจ้า ถ้าเขาอยู่ในเขตแดนนั้น เราจะค้นหาเขาในทั้งหลายพันคนของตระกูลยูดาห์” 24 แล้วพวกเขาก็ได้ลุกขึ้นและได้ไปยังศิฟก่อนซาอูล บัดนี้ดาวิดกับพวกของเขาอยู่ในถิ่นทุรกันดารมาโอนในอาราบาห์ตอนใต้ของเยชิโมน
25 ซาอูลและเหล่าทหารของพระองค์ก็ได้ค้นหาเขา แต่มีคนบอกดาวิด เขาจึงได้ลงไปยังเนินเขาหินและอาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดารมาโอน เมื่อซาอูลทรงทราบก็ทรงติดตามดาวิดไปในถิ่นทุรกันดารมาโอน 26 ซาอูลเสด็จไปฟากภูเขาข้างหนึ่ง และดาวิดกับพวกของเขาก็ไปอยู่ที่ภูเขาอีกฟากหนึ่ง ดาวิดได้รีบหนีไปจากซาอูล เพราะซาอูลกับเหล่าทหารของพระองค์ล้อมดาวิดกับพวกของเขาเพื่อจะจับพวกเขา 27 ผู้สื่อสารคนหนึ่งมาทูลซาอูลและกล่าวว่า “ขอรีบเสด็จและกลับ เพราะคนฟีลิสเตียมาปล้นแผ่นดิน” 28 ซาอูลจึงเสด็จกลับจากการไล่ตามดาวิดและไปรบกับคนฟีลิสเตีย ดังนั้นสถานที่นั้นจึงถูกเรียกว่าศิลาพ้นภัย 29 ดาวิดก็ขึ้นไปจากที่นั่นและอาศัยในที่กำบังเข้มแข็งแห่งเอนเกดี
1 เมื่อซาอูลได้เสด็จกลับจากการไล่ตามคนฟีลิสเตียแล้ว ได้มีคนมาทูลว่า “ดาวิดอยู่ในถิ่นทุรกันดารเอนเกดี” 2 แล้วซาอูลก็ได้ทรงนำกำลังคนสามพันคนที่คัดเลือกจากคนอิสราเอลทั้งหมดและได้ไปค้นหาดาวิดกับพวกของเขาที่เหล่าหินเลียงผา 3 พระองค์ได้เสด็จมาที่คอกแกะระหว่างทาง ที่นั่นมีถ้ำแห่งหนึ่ง ซาอูลก็ได้เสด็จเข้าไปปลดทุกข์ ตอนนั้นดาวิดกับพวกของเขาก็ได้นั่งอยู่ที่ส่วนลึกของถ้ำ
4 พวกผู้ชายของดาวิดได้กล่าวแก่เขาว่า “ดูเถิด วันนี้เป็นวันที่พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับท่านว่า ‘เราจะมอบศัตรูของเจ้าไว้ในมือของเจ้า เพื่อเจ้าจะทำกับเขาตามที่เจ้าประสงค์’” แล้วดาวิดได้ลุกขึ้นและคลานอย่างเงียบๆ เข้าไปและตัดชายฉลองพระองค์ของซาอูล 5 หลังจากนั้นจิตใจของดาวิดก็รู้สึกผิด เพราะเขาได้ตัดชายฉลองพระองค์ของซาอูล 6 เขาได้พูดกับพวกผู้ชายของเขาว่า “ขอพระยาห์เวห์ทรงห้ามข้าพเจ้าไม่ให้ทำสิ่งนี้ต่อเจ้านายของข้าพเจ้า ผู้ที่พระยาห์เวห์ทรงเจิมไว้ คือที่จะเหยียดมือออกต่อสู้กับพระองค์ ดูเถิด พระองค์ทรงเป็นผู้ที่พระยาห์เวห์ทรงเจิมไว้”
7 ดังนั้นดาวิดได้ตำหนิพวกผู้ชายของเขาด้วยถ้อยคำเหล่านี้ และไม่ยอมให้พวกเขาทำร้ายซาอูล ซาอูลก็ทรงลุกขึ้น ทรงออกจากถ้ำและเสด็จไปตามทางของพระองค์ 8 หลังจากนั้นดาวิดก็ได้ลุกขึ้นด้วย และออกไปจากถ้ำร้องทูลซาอูลว่า “ข้าแต่กษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์” เมื่อซาอูลทรงเหลียวดูด้านหลัง ดาวิดก็โน้มตัวซบหน้าถึงดินและแสดงความเคารพซาอูล 9 ดาวิดทูลซาอูลว่า “ทำไมพระองค์ทรงฟังถ้อยคำของคนที่กล่าวว่า ‘ดูเถิด ดาวิดแสวงหาทางที่จะมุ่งร้ายพระองค์?’
10 วันนี้พระเนตรของพระองค์ได้ประจักษ์แล้วว่า พระยาห์เวห์ทรงมอบพระองค์ไว้ในมือของข้าพระองค์เมื่อพวกเราอยู่ในถ้ำ และบางคนขอให้ข้าพระองค์ประหารพระองค์เสีย แต่ข้าพระองค์ก็ไว้พระชนม์ของพระองค์ ข้าพระองค์พูดว่า ‘เราจะไม่ยื่นมือออกทำร้ายเจ้านายของเรา เพราะพระองค์เป็นผู้ที่พระยาห์เวห์ทรงเจิมไว้’ 11 ทอดพระเนตรเถิด เสด็จพ่อของข้าพระองค์ ขอทอดพระเนตรชายฉลองพระองค์ในมือของข้าพระองค์ เพราะข้าพระองค์ได้ตัดชายฉลองพระองค์ออก และไม่ได้ประหารพระองค์เสีย ขอพระองค์ทรงทราบและทอดพระเนตรเถิดว่า ในมือของข้าพระองค์ไม่มีความผิดหรือการกบฏ ข้าพระองค์ไม่ได้ทำบาปต่อพระองค์ ถึงแม้ว่าพระองค์กำลังทรงล่าชีวิตของข้าพระองค์เพื่อทำลายเสีย 12 ขอพระยาห์เวห์ทรงพิจารณาตัดสินระหว่างข้าพระองค์กับพระองค์ แต่มือของข้าพระองค์จะไม่ทำอะไรต่อพระองค์
13 ดังสุภาษิตโบราณว่า ‘ความอธรรมก็ออกมาจากคนอธรรม’ แต่มือของข้าพระองค์จะไม่ทำอะไรต่อพระองค์ 14 กษัตริย์แห่งอิสราเอลทรงออกมาตามใคร? พระองค์ทรงไล่ตามจับใคร? ทรงไล่ตามสุนัขที่ตายแล้วหรือ? ทรงไล่ตามตัวหมัดตัวหนึ่งหรือ 15 ขอพระยาห์เวห์ทรงเป็นผู้พิพากษาและทรงพิจารณาตัดสินระหว่างข้าพระองค์กับพระองค์ ขอพระองค์ทรงแก้แค้นแทนข้าพระองค์ต่อพระองค์ ขอทรงทอดพระเนตร ขอทรงว่าความฝ่ายข้าพระองค์ และขอทรงช่วยกู้ข้าพระองค์จากหัตถ์ของพระองค์” 16 เมื่อดาวิดจบการทูลถ้อยคำนี้ต่อซาอูลแล้ว ซาอูลตรัสว่า “นั่นเป็นเสียงของเจ้าหรือ ดาวิดบุตรของข้า?” ซาอูลทรงส่งเสียงและทรงกันแสง
17 พระองค์ตรัสกับดาวิดว่า “เจ้าชอบธรรมยิ่งกว่าข้า เพราะเจ้าตอบแทนข้าด้วยความดี ในเมื่อข้าเองตอบแทนเจ้าด้วยความชั่วร้าย 18 เจ้าได้แสดงในวันนี้แล้วว่าเจ้าทำความดีต่อข้าอย่างไร ในการที่เจ้าไม่ได้ประหารข้าเสียนั้น เมื่อพระยาห์เวห์ทรงมอบข้าไว้ในความเมตตาของเจ้า 19 เพราะว่าผู้ชายคนใดพบศัตรูของตน เขาจะปล่อยเขาไปอย่างปลอดภัยหรือ? ขอพระยาห์เวห์ประทานรางวัลแก่เจ้า สำหรับการดีที่เจ้าได้ทำแก่ข้าในวันนี้
20 บัดนี้ ข้ารู้แล้วว่า เจ้าจะเป็นกษัตริย์แน่ และราชอาณาจักรอิสราเอลจะตั้งมั่นอยู่ในมือของเจ้า 21 จงปฏิญาณต่อข้าในพระนามของพระยาห์เวห์ว่าเจ้าจะไม่ตัดพงศ์พันธุ์ของข้าเมื่อข้าตายไป และจะไม่ทำลายชื่อของข้าจากพงศ์พันธุ์บิดาข้า” 22 ดังนั้นดาวิดจึงได้ปฏิญาณต่อซาอูล แล้วซาอูลก็ได้เสด็จกลับวัง แต่ดาวิดกับพวกของเขาได้ขึ้นไปที่กำบังเข้มแข็ง
1 บัดนี้ ซามูเอลได้สิ้นชีวิต คนอิสราเอลทั้งปวงได้ประชุมร่วมกันและได้ไว้ทุกข์ให้เขา และพวกเขาได้ฝังศพเขาไว้ที่บ้านของเขาในรามาห์ แล้วดาวิดก็ได้ลุกขึ้นไปยังถิ่นทุรกันดารปาราน 2 มีชายคนหนึ่งในมาโอน ได้มีทรัพย์สินทั้งหลายอยู่ในคารเมล ผู้ชายผู้นั้นมั่งมีมาก เขามีแกะสามพันตัว และแพะหนึ่งพันตัว เขาได้กำลังตัดขนแกะของเขาอยู่ที่คารเมล 3 ผู้ชายคนนั้นชื่อนาบาล และชื่อภรรยาของเขาชื่ออาบีกายิล ผู้หญิงเป็นคนฉลาดและรูปลักษณ์สวยงาม แต่ผู้ชายคนนั้นเป็นคนหัวแข็งและชั่วร้ายในการกระทำของเขา เขาเป็นลูกหลานของวงศ์วานของคาเลบ
4 ดาวิดได้ยินจากถิ่นทุรกันดารว่านาบาลกำลังตัดขนแกะของเขาอยู่ 5 ดังนั้นดาวิดจึงใช้ชายหนุ่มสิบคน ดาวิดได้พูดกับชายหนุ่มเหล่านั้นว่า “จงขึ้นไปที่คารเมลไปหานาบาล และทักทายเขาในนามของเรา 6 ให้พวกท่านพูดกับเขาว่า ‘ขอให้ชีวิตที่รุ่งเรืองจงมีแก่ท่าน สันติสุขจงมีแก่ท่านและสันติสุขจงมีแด่ครอบครัวของท่าน และสวัสดิภาพจงมีแก่ทุกสิ่งที่ท่านมี
7 ข้าพเจ้าได้ยินว่าท่านมีคนตัดขนแกะอยู่หลายคน เมื่อพวกผู้เลี้ยงแกะของท่านได้อยู่กับพวกเรา พวกเราไม่ได้ทำอันตรายพวกเขาเลย และพวกเขาก็ไม่ขาดอะไรไปตลอดเวลาที่พวกเขาอยู่ในคารเมล 8 จงถามพวกคนหนุ่มของท่าน และพวกเขาจะบอกท่าน บัดนี้ขอให้พวกคนหนุ่มของข้าพเจ้าได้รับความโปรดปรานจากท่าน เพราะพวกเรามาในวันมีการเลี้ยง โปรดให้สิ่งที่พอหาได้ในตอนนี้แก่พวกผู้รับใช้ของท่านและแก่ดาวิดบุตรชายของท่าน’” 9 เมื่อพวกคนหนุ่มของดาวิดมาถึง พวกเขาก็ได้กล่าวคำเหล่านั้นแก่นาบาลในนามของดาวิด และหลังจากนั้นพวกเขาก็คอยอยู่
10 นาบาลตอบพวกคนรับใช้ของดาวิดว่า “ดาวิดคือใคร? บุตรชายของเจสซีคือใคร? สมัยนี้มีคนใช้เป็นอันมากที่หนีไปจากนายของพวกเขา 11 ควรหรือที่ข้าจะนำขนมปังของข้า และน้ำของข้า และเนื้อของข้า ซึ่งข้าได้ฆ่าไว้สำหรับพวกคนตัดขนแกะของข้า และมอบให้แก่พวกซึ่งมาจากที่ไหนข้าก็ไม่รู้?” 12 ดังนั้นพวกคนหนุ่มของดาวิดก็หันกลับไป และกลับมาบอกดาวิดถึงทุกสิ่งที่เขาได้พูด
13 ดาวิดพูดกับพวกของเขาว่า “ทุกคนจงเอาดาบคาดเอวไว้” ดังนั้นทุกคนก็ได้เอาดาบคาดเอวของตน ดาวิดก็เอาดาบของเขาคาดเอวด้วย มีคนประมาณสี่ร้อยคนตามดาวิดขึ้นไป และสองร้อยคนอยู่เฝ้ากองสัมภาระ 14 แต่มีคนหนึ่งในพวกคนหนุ่มบอกนางอาบีกายิลภรรยาของนาบาล เขากล่าวว่า “ดาวิดส่งพวกผู้สื่อสารมาจากถิ่นทุรกันดารเพื่ออวยพรนายของพวกเรา แต่เขากลับด่าว่าคนเหล่านั้น 15 แต่ชายเหล่านั้นดีต่อเรามาก เราไม่ถูกทำร้าย และไม่ได้ขาดสิ่งใดตลอดเวลาที่เราได้ไปกับพวกเขาเมื่อเราอยู่ในทุ่งนา
16 พวกเขาเป็นเหมือนกำแพงสำหรับพวกเราทั้งกลางวันและกลางคืน ตลอดเวลาที่เราเลี้ยงแกะอยู่กับพวกเขา 17 ด้วยเหตุนี้จงรับทราบเรื่องนี้และพิจารณาว่าท่านควรจะทำประการใด เพราะความชั่วร้ายได้ถูกกำหนดต่อนายของเราแล้ว และต่อครัวเรือนทั้งสิ้นของเขา เขาเป็นคนพาลที่ใครจะใช้เหตุผลกับเขาไม่ได้” 18 แล้วอาบีกายิลก็ได้รีบจัดขนมปังสองร้อยก้อน และเหล้าองุ่นสองขวด แกะที่ได้ปรุงเสร็จแล้วห้าตัว และข้าวคั่วห้าถัง และลูกเกดหนึ่งร้อยถุงและขนมมะเดื่อสองร้อยก้อนและบรรทุกสิ่งของเหล่านั้นบนหลังลา
19 นางก็สั่งพวกคนหนุ่มของนางว่า “จงรีบไปก่อนเรา และเราจะตามเจ้าไป” แต่นางไม่ได้บอกนาบาลสามีของนาง 20 เมื่อนางได้ขี่ลาและลงมาตามสันเขา ดาวิดกับพวกของเขาได้ลงมาทางนาง และนางก็พบพวกเขา 21 บัดนี้ดาวิดกล่าวว่า “เปล่าประโยชน์เสียจริงๆ ที่เราเฝ้าทุกสิ่งที่ชายคนนี้มีอยู่ในถิ่นทุรกันดาร ดังนั้นไม่มีสิ่งใดของเขาขาดหายไปเลยจากทุกสิ่งที่เป็นของเขา และเขาตอบแทนความดีของข้าด้วยความชั่ว
22 ขอพระเจ้าจะทรงกระทำอย่างนั้นกับเราเองคือดาวิด และขอทรงเพิ่มโทษนั้นด้วย ถ้าพรุ่งนี้เช้า เราได้ปล่อยให้ผู้ชายเพียงหนึ่งคนในจำนวนคนทั้งหมดที่เป็นของเขายังมีชีวิตเหลืออยู่” 23 เมื่อนางอาบีกายิลได้เห็นดาวิด นางก็ได้รีบลงจากหลังลาของนางและได้ทรุดตัวลงต่อหน้าดาวิด และได้คำนับซบหน้าถึงพื้นดิน 24 นางทรุดตัวลงที่เท้าของเขาและพูดว่า “เจ้านายของดิฉัน ดิฉันแต่เพียงผู้เดียวที่เป็นผู้ผิด ขอความกรุณาให้สาวใช้ของท่านพูดให้ท่านฟัง และโปรดฟังถ้อยคำของสาวใช้ของท่าน
25 ขอเจ้านายของดิฉันโปรดอย่าได้เอาความกับนาบาลผู้ชายไร้ค่าคนนี้เลย นาบาล เพราะเขาเป็นอย่างชื่อของเขา ชื่อของเขาคือนาบาล และความโง่เขลาก็อยู่กับเขา ส่วนดิฉันสาวใช้ของท่านไม่ได้เห็นพวกคนหนุ่มของเจ้านายซึ่งท่านใช้ไป 26 แล้วบัดนี้ เจ้านายของดิฉัน พระยาห์เวห์ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด และท่านมีชีวิตอยู่แน่ฉันใด เพราะว่าพระยาห์เวห์ทรงยับยั้งท่านเสียจากความผิดที่ทำให้โลหิตตก และจากการแก้แค้นด้วยมือของท่านเอง บัดนี้ขอให้พวกศัตรูของท่าน และพวกที่จะปองร้ายต่อเจ้านายของดิฉันเป็นอย่างนาบาล 27 บัดนี้ ขอให้ของกำนัลนี้ซึ่งสาวใช้ของท่านได้นำมาให้เจ้านายของดิฉัน ขอมอบแก่พวกคนหนุ่มผู้ติดตามเจ้านายของดิฉัน
28 โปรดอภัยความผิดของสาวใช้ของท่านเถิด เพราะพระยาห์เวห์จะทรงทำให้เจ้านายของดิฉันเป็นพงศ์พันธุ์ที่มั่นคงแน่ เพราะว่าเจ้านายของดิฉันกำลังได้ต่อสู้ทำสงครามอยู่ฝ่ายพระยาห์เวห์ และจะไม่พบความชั่วในตัวท่านตลอดชีวิตของท่าน 29 แม้มีคนได้ลุกขึ้นไล่ตามท่านหมายเอาชีวิตของท่าน แต่ชีวิตของเจ้านายของดิฉันจะผูกมัดอยู่กับความสัมพันธ์ในกลุ่มของการมีชีวิตโดยพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน และพระองค์จะทรงเหวี่ยงชีวิตของศัตรูของท่านออกไปเช่นเดียวกับออกไปจากรังสลิง 30 พระยาห์เวห์จะทรงทำทุกอย่างให้สำเร็จแก่เจ้านายของดิฉันตามที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้กับท่าน และทรงแต่งตั้งท่านเป็นผู้นำเหนืออิสราเอล
31 สิ่งนี้จะไม่เป็นภาระให้สะดุดสำหรับเจ้านายของดิฉัน ที่ท่านจะทำให้เลือดผู้บริสุทธิ์ได้หลั่ง หรือเพราะเจ้านายของดิฉันได้พยายามช่วยเหลือด้วยตนเอง เพราะว่าเมื่อพระยาห์เวห์ทรงทำสิ่งดีแก่เจ้านายของดิฉันแล้ว ก็ขอระลึกถึงสาวใช้ของท่าน” 32 ดาวิดได้พูดกับนางอาบีกายิลว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ขอสาธุการแด่พระองค์ ผู้ทรงใช้เจ้าให้มาพบเราในวันนี้ 33 ปัญญาของเจ้าจะได้รับพระพร และตัวเจ้าก็ได้รับพระพร เพราะเจ้าได้ป้องกันเราในวันนี้ให้พ้นจากการทำให้โลหิตตกและจากการแก้แค้นด้วยมือของเราเอง
34 เพราะในความจริง พระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอล ผู้ทรงพระชนม์อยู่ คือผู้ได้ทรงระงับเราเสียจากการทำร้ายเจ้า ถ้าเจ้าไม่ได้รีบมาพบเรา จะไม่มีอะไรเหลือแก่นาบาล แม้แต่เด็กทารกชายสักคนในวันรุ่งเช้า” 35 ดังนั้นดาวิดก็ได้รับบรรดาสิ่งที่นางให้เขาจากมือของนาง และเขาได้พูดกับนางว่า “จงกลับไปบ้านของเจ้าด้วยสันติสุข ดูสิ เราได้ฟังเสียงของเจ้าแล้ว และเราได้รับคำขอร้องของเจ้า” 36 อาบีกายิลก็ได้กลับไปหานาบาล นี่แน่ะ เขากำลังจัดงานเลี้ยงในบ้านของเขาราวกับงานเลี้ยงของกษัตริย์ และจิตใจของนาบาลก็เบิกบาน เพราะเขาได้มึนเมามาก ดังนั้นนางจึงไม่ได้บอกอะไรให้เขาทราบจนเวลารุ่งเช้า
37 เมื่อถึงเวลาเวลาเช้า เมื่อเหล้าองุ่นสร่างจากนาบาลไปแล้ว ภรรยาของเขาก็ได้เล่าเรื่องราวเหล่านี้ให้ฟัง ใจของเขาก็ตายข้างใน และเขาได้กลายเป็นดังก้อนหิน 38 ต่อมาอีกประมาณสิบวันพระยาห์เวห์ก็ได้ทรงประหารนาบาลและเขาก็ตาย 39 เมื่อดาวิดได้ยินว่านาบาลสิ้นชีวิตแล้ว เขาจึงพูดว่า “สาธุการแด่พระยาห์เวห์ผู้ทรงแก้แค้นการเหยียดหยามที่ข้าพระองค์ได้รับจากมือของนาบาล และทรงป้องกันผู้รับใช้ของพระองค์จากความชั่ว พระยาห์เวห์ทรงตอบแทนความชั่วของนาบาลให้ตกบนศีรษะของเขาเอง” แล้วดาวิดก็ได้ส่งคนไปและได้พูดกับอาบีกายิลให้มาเป็นภรรยาของเขา
40 เมื่อผู้รับใช้ของดาวิดมาถึงอาบีกายิลที่คารเมล พวกเขาได้พูดกับนางว่า “ดาวิดได้ส่งพวกเรามาหาท่านเพื่อนำท่านไปเป็นภรรยาของเขา” 41 นางก็ได้ลุกขึ้นซบหน้าลงถึงดิน และพูดว่า “ดูเถิด สาวใช้ของท่านเป็นทาสที่จะล้างเท้าให้พวกผู้รับใช้ของเจ้านายของดิฉัน” 42 อาบีกายิลก็รีบและลุกขึ้นขี่ลาไปพร้อมกับสาวใช้ของนางอีกห้าคน และนางก็ไตามพวกผู้สื่อสารของดาวิดไป และได้เป็นภรรยาของเขา 43 บัดนี้ดาวิดยังได้รับนางอาหิโนอัม ชาวยิสเรเอลเป็นภรรยาด้วย ทั้งสองก็เป็นภรรยาของเขา 44 ซาอูลได้ทรงยกมีคาลราชธิดาของพระองค์ ซึ่งเป็นภรรยาของดาวิด ให้แก่ปัลทีบุตรลาอิชชาวกัลลิมด้วย
1 ชาวศิฟมาหาซาอูลที่เมืองกิเบอาห์และได้ทูลว่า “ดาวิดซ่อนตัวอยู่บนเนินเขาฮาคีลาห์ ซึ่งอยู่ด้านหน้าของเยชิโมนไม่ใช่หรือ?” 2 แล้วซาอูลจึงได้ทรงลุกขึ้นและได้ลงไปที่ถิ่นทุรกันดารศิฟ พร้อมกับผู้ชายอิสราเอลที่ได้รับการคัดเลือกแล้วสามพันคน เพื่อค้นหาดาวิดในถิ่นทุรกันดารศิฟ 3 ซาอูลได้ทรงตั้งค่ายอยู่ที่เขาฮาคีลาห์ซึ่งอยู่ถนนด้านหน้าของเยชิโมน แต่ดาวิดยังคงอยู่ในถิ่นทุรกันดาร และเขาได้เห็นว่าซาอูลกำลังเสด็จมาตามหาเขาที่ในถิ่นทุรกันดาร
4 ดังนั้นดาวิดก็ได้ส่งพวกผู้สอดแนมออกไป จึงได้รู้ว่าซาอูลเสด็จมาแน่นอน 5 แล้วดาวิดก็ได้ลุกขึ้นและได้มายังที่ซึ่งซาอูลได้ทรงตั้งค่ายนั้น เขาก็ได้เห็นที่ที่ซาอูลบรรทมพร้อมกับอับเนอร์บุตรเนอร์แม่ทัพของกองทัพของพระองค์ ซาอูลได้บรรทมอยู่กลางเขตค่าย และพวกทหารก็ตั้งค่ายรอบพระองค์ ทุกคนหลับกันหมด 6 แล้วดาวิดก็ได้พูดกับอาหิเมเลคคนฮิตไทต์ และกับอาบีชัยบุตรชายของนางเศรุยาห์ น้องชายของโยอาบว่า “ใครจะลงไปในค่ายของซาอูลกับเราบ้าง?” อาบีชัยได้ตอบว่า “ข้าพเจ้าเอง ข้าพเจ้าจะลงไปกับท่าน”
7 ดังนั้นดาวิดและอาบีชัยจึงได้ลงไปที่กองทัพนั้นในเวลากลางคืน ซาอูลได้บรรทมหลับอยู่กลางเขตค่าย มีหอกปักอยู่ที่ดินตรงพระเศียรของพระองค์ อับเนอร์กับพวกทหารก็ได้นอนล้อมพระองค์อยู่ 8 แล้วอาบีชัยได้พูดกับดาวิดว่า “วันนี้พระเจ้าได้ทรงมอบศัตรูของท่านไว้ในมือของท่านแล้ว บัดนี้ขอให้ข้าพเจ้าแทงเขาด้วยหอกให้ติดดิน ครั้งเดียวก็พอ และข้าพเจ้าไม่ต้องแทงเขาครั้งที่สอง” 9 ดาวิดบอกอาบีชัยว่า “ขออย่าทำลายพระองค์เลย เพราะใครจะเหยียดมือออกต่อสู้ผู้ซึ่งพระยาห์เวห์ทรงเจิมไว้ แล้วจะไม่มีความผิด?”
10 ดาวิดได้พูดว่า “พระยาห์เวห์ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด พระยาห์เวห์จะทรงฆ่าพระองค์เอง หรือจะถึงวันกำหนดที่พระองค์ต้องสิ้นพระชนม์ หรือพระองค์จะเสด็จเข้าสงครามและถูกปลงพระชนม์ 11 ขอพระยาห์เวห์ทรงห้ามปรามข้าพเจ้าไม่ให้เหยียดมือออกต่อสู้ผู้ที่พระยาห์เวห์ทรงเจิมไว้ แต่บัดนี้จงเอาหอกที่อยู่ตรงพระเศียรกับเหยือกน้ำ และให้เราไปกันเถิด” 12 ดังนั้นดาวิดจึงได้เอาหอกและเหยือกน้ำจากที่พระเศียรของซาอูล และพวกเขาก็ออกไป ไม่มีใครได้เห็นไม่มีใครได้รู้ และไม่มีใครตื่นเพราะทั้งหมดได้นอนหลับ เพราะพระยาห์เวห์ทรงได้ทำให้พวกเขาหลับสนิท
13 แล้วดาวิดก็ได้ข้ามไปอีกฟากหนึ่งไปยืนอยู่บนยอดเขาไกลออกไป มีที่ว่างกว้างใหญ่ระหว่างพวกเขาทั้งสองฝ่าย 14 ดาวิดก็ได้ตะโกนเรียกพวกทหารและอับเนอร์บุตรเนอร์ว่า “อับเนอร์ ท่านไม่ตอบหรือ?” แล้วอับเนอร์ตอบว่า “เจ้าเป็นใคร มาร้องเรียกกษัตริย์?” 15 ดาวิดได้ตอบอับเนอร์ว่า “ท่านไม่ใช่ผู้ชายที่กล้าหาญดอกหรือ? ในอิสราเอลมีใครเสมอเหมือนท่านแล้ว? ทำไมท่านไม่ได้เฝ้ากษัตริย์เจ้านายของท่านไว้? เพราะได้มีคนหนึ่งได้เข้าไปจะปลงพระชนม์กษัตริย์เจ้านายของท่าน
16 ที่ท่านทำเช่นนี้ไม่ดี พระยาห์เวห์ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด พวกท่านควรตายเพราะพวกท่านไม่ได้เฝ้าระวังเจ้านายของพวกท่าน ผู้ที่พระยาห์เวห์ได้ทรงเจิมไว้ บัดนี้ดูซิว่า หอกของกษัตริย์อยู่ที่ไหน? และเหยือกน้ำที่ตรงพระเศียรนั้นอยู่ที่ไหน” 17 ซาอูลทรงจำเสียงของดาวิดได้จึงได้ตรัสว่า “ดาวิดบุตรชายของข้า นี่เป็นเสียงของเจ้าหรือ?” และดาวิดได้ทูลว่า “ข้าแต่กษัตริย์ เจ้านายของข้าพระองค์ เป็นเสียงข้าพระองค์เอง” 18 ดาวิดได้ทูลต่อไปว่า “ทำไมเจ้านายของข้าพระองค์จึงได้ไล่ตามผู้รับใช้ของพระองค์? ข้าพระองค์ได้ทำอะไรไป มือข้าพระองค์ได้ทำชั่วอะไร?
19 ดังนั้นบัดนี้ ขอกษัตริย์ของข้าพระองค์ได้ทรงฟังถ้อยคำของผู้รับใช้ของพระองค์ ถ้าพระยาห์เวห์ได้ทรงปลุกปั่นพระองค์ให้ต่อสู้ข้าพระองค์ ขอพระเจ้าทรงได้รับเครื่องถวาย ถ้าเป็นมนุษย์ที่ได้ยุยง ก็ขอให้พวกเขาเป็นที่สาปแช่งเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ เพราะพวกเขาได้ขับไล่ข้าพระองค์ออกไปในวันนี้จากส่วนแบ่งในมรดกของพระยาห์เวห์ โดยได้กล่าวว่า ‘จงไปปรนนิบัติพวกพระอื่นๆ เสีย’ 20 บัดนี้ ขออย่าให้โลหิตของข้าพระองค์ตกถึงดินไกลจากพระพักตร์พระยาห์เวห์ เพราะกษัตริย์แห่งอิสราเอลได้เสด็จออกมาเพื่อค้นหาหมัดตัวเดียว ดังผู้ไล่ตามนกกระทาอยู่บนภูเขา” 21 แล้วซาอูลได้ตรัสว่า “ข้าทำผิดแล้ว ดาวิดบุตรชายของข้า จงกลับไปเถิด เราจะไม่ทำร้ายเจ้าอีกต่อไป เพราะในวันนี้ชีวิตของเราก็ประเสริฐในสายตาของเจ้า ดูเถิด เราสำแดงตัวเป็นคนเขลาและทำผิดมากมาย”
22 ดาวิดได้ทูลว่า “ข้าแต่กษัตริย์ ขอทรงทอดพระเนตรหอกของพระองค์อยู่ที่นี่ ขอทรงให้คนหนุ่มคนหนึ่งข้ามมารับไปถวายพระองค์ 23 พระยาห์เวห์ทรงได้ตอบแทนแก่ทุกคนตามความชอบธรรมและความซื่อสัตย์ของเขา เพราะในวันนี้พระยาห์เวห์ได้ทรงมอบพระองค์ไว้ในมือของข้าพระองค์แล้ว แต่ข้าพระองค์ไม่ปรารถนาจะเหยียดมือออกต่อสู้ผู้ที่พระยาห์เวห์ทรงเจิมไว้ 24 ดูเถิด ในสายตาของข้าพระองค์ พระชนม์ของพระองค์นั้นมีค่าฉันใด ขอให้ชีวิตของข้าพระองค์มีค่าในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ฉันนั้น และขอพระองค์ทรงช่วยกู้ข้าพระองค์ให้พ้นจากความทุกข์ยากลำบากทั้งสิ้น” 25 แล้วซาอูลจึงได้ตรัสกับดาวิดว่า “ดาวิดบุตรชายเราเอ๋ย ขอให้เจ้าได้รับพร เจ้าจะได้ทำสิ่งต่างๆ แน่และจะมีชัยเป็นแน่” ดาวิดจึงได้ไปตามทางของเขา และซาอูลก็เสด็จกลับสู่วังของพระองค์
1 ดาวิดได้รำพึงในใจว่า “เราคงจะตายสักวันหนึ่งด้วยพระหัตถ์ของซาอูล ไม่มีสิ่งใดดีกว่าที่เราจะหนีไปอยู่ในดินแดนของคนฟีลิสเตีย ซาอูลก็จะทรงเลิกที่จะตามหาเราอีกต่อไปภายในพรมแดนอิสราเอล วิธีนี้แหละที่เราจะหลบหนีพระหัตถ์ของพระองค์" 2 ดาวิดจึงได้ลุกขึ้นและได้ข้ามไป เขาและผู้ชายที่อยู่กับเขาหกร้อยคน ได้ไปหาอาคีชบุตรชายของมาโอค กษัตริย์แห่งเมืองกัท 3 ดาวิดก็ได้อาศัยอยู่กับอาคีชที่เมืองกัท ทั้งเขาและคนของเขา และครอบครัวของแต่ละคน และดาวิดพร้อมกับภรรยาสองคนของเขา คืออาหิโนอัมคนยิสเรเอล และอาบีกายิลคนคารเมลภรรยาของนาบาล 4 มีคนได้ไปทูลซาอูลว่า ดาวิดได้หนีไปเมืองกัทแล้ว ดังนั้นพระองค์ก็ไม่ได้ทรงเสาะหาเขาอีกต่อไป
5 ดาวิดจึงได้ทูลอาคีชว่า “ถ้าข้าพระองค์เป็นที่โปรดปรานของพระองค์แล้ว ขอทรงให้พวกเขามอบที่สักแห่งในเมืองทั้งหลายของพระองค์ที่ในชนบทแก่ข้าพระองค์ ที่ข้าพระองค์จะได้อาศัยอยู่ที่นั่น เพราะไม่มีเหตุผลที่ผู้รับใช้ของข้าพระองค์จะต้องอยู่ในกรุงกับพระองค์?” 6 ดังนั้นอาคีชก็ได้ทรงมอบศิกลากให้เขาในวันนั้นเอง นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมศิกลากจึงเป็นของบรรดากษัตริย์แห่งยูดาห์จนถึงทุกวันนี้ 7 ระยะเวลาที่ดาวิดเข้าไปอยู่ในดินแดนฟีลิสเตียนั้น เป็นหนึ่งปีเต็มกับอีกสี่เดือน 8 ดาวิดและคนของเขา ก็ได้ไปโจมตีคนเกชูร์ คนเกเซอร์ และคนอามาเลข เพราะชนชาติเหล่านี้ได้อาศัยอยู่ในดินแดนนั้น ไกลไปจนถึงเมืองชูร์ถึงแผ่นดินอียิปต์ พวกเขาได้อาศัยอยู่ในดินแดนนั้นมาตั้งแต่โบราณแล้ว
9 ดาวิดก็ได้โจมตีแผ่นดินและไม่ไว้ชีวิตผู้ชายหรือผู้หญิง เขาได้ริบเอาฝูงแกะ ฝูงโค ฝูงลา พวกอูฐ และเสื้อผ้า เขาได้กลับและมาหาอาคีชอีกครั้ง 10 อาคีชมักจะได้ตรัสถามว่า “วันนี้พวกเจ้าไปโจมตีที่ไหนมา?” ดาวิดก็มักจะทูลว่า “ไปโจมตีทางตอนใต้ของยูดาห์” หรือ “ได้โจมตีทางตอนใต้ของตระกูลเยราเมเอล” หรือ “ไปโจมตีทางตอนใต้ของคนเคไนต์” 11 ดาวิดไม่ได้ไว้ชีวิตผู้ชายหรือผู้หญิง ที่จะนำมาที่เมืองกัท กล่าวว่า “ดังนั้นแหละ พวกเขาจะไม่สามารถบอกเรื่องของพวกเรา ‘ดาวิดได้ทำเช่นนั้นเช่นนี้’” นี่เป็นสิ่งที่เขาได้ทำทั้งหมดขณะที่เขาอาศัยอยู่ในดินแดนฟีลิสเตีย 12 อาคีชก็ได้วางพระทัยในดาวิด ทรงรำพึงว่า “เขาได้ทำให้ประชาชนอิสราเอลของเขาเกลียดเขาจริงๆ เพราะฉะนั้นเขาจึงเป็นผู้รับใช้ของเราตลอดไป”
1 สิ่งนี้ได้เกิดขึ้น ในครั้งนั้น คนฟีลิสเตียได้รวบรวมกองทัพ เพื่อทำสงครามสู้รบกับอิสราเอล อาคีชได้ตรัสกับดาวิดว่า “จงรู้แน่ว่า เจ้าจะออกไปกับเราในกองทัพ เจ้าและคนของเจ้า” 2 ดาวิดได้ทูลอาคีชว่า “สุดแล้วแต่จะเห็นควร พระองค์จะได้ทรงทราบว่าผู้รับใช้ของพระองค์จะทำอะไรได้บ้าง” อาคีชได้ทรงรับสั่งกับดาวิดว่า “ดังนั้น เราจะตั้งเจ้าเป็นองครักษ์ของเราอย่างถาวรเลย” 3 บัดนี้ ซามูเอลได้ตายแล้ว คนอิสราเอลทั้งปวงก็ได้ไว้ทุกข์ให้เขา และได้ฝังศพเขาไว้ที่เมืองรามาห์ ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเขาเอง ซาอูลก็ได้ทรงกำจัดพวกคนที่สื่อสารกับคนตายหรือพวกวิญญาณทั้งหลายเสียจากแผ่นดิน
4 แล้วคนฟีลิสเตียก็ได้ชุมนุมกันและได้มาตั้งค่ายอยู่ที่ชูเนม และซาอูลได้ทรงรวบรวมอิสราเอลทั้งสิ้นและพวกเขาได้ตั้งค่ายอยู่ที่กิลโบอา 5 เมื่อซาอูลได้ทอดพระเนตรกองทัพของคนฟีลิสเตียพระองค์ก็ทรงกลัว และพระทัยของพระองค์ก็สั่นสะท้านอย่างมาก 6 ซาอูลได้ทรงทูลถามพระยาห์เวห์ แต่พระยาห์เวห์ก็ไม่ได้ทรงตอบพระองค์ ไม่ว่าด้วยความฝัน หรือด้วยอูริม หรือโดยทางเหล่าผู้เผยพระวจนะ
7 แล้วซาอูลจึงได้รับสั่งกับพวกมหาดเล็กของพระองค์ว่า “จงไปค้นหาหญิงคนทรงให้เรา เพื่อเราอาจจะได้ไปหานางและเสาะหาคำแนะนำของนาง” มหาดเล็กของพระองค์ก็ได้ทูลว่า “ดูเถิด มีผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ที่บ้านเอนโดร์ที่ประกาศตัวว่าพูดกับคนตายได้” 8 ซาอูลจึงได้ปลอมพระองค์และได้ทรงฉลองพระองค์อย่างอื่น และได้เสด็จออกไป พระองค์พร้อมกับผู้ชายสองคน พวกเขาได้ไปหาผู้หญิงคนทรงในเวลากลางคืน พระองค์ได้ตรัสว่า “ขอทำนายให้เรา เราขอร้องเจ้าโดยการเข้าทรง และจงเรียกใครก็ตามที่เราได้บอกชื่อให้เจ้า” 9 ผู้หญิงคนนั้นจึงได้ทูลตอบพระองค์ว่า “นี่แน่ะ ท่านเองรู้แล้วว่าซาอูลได้ทรงทำอะไร ที่ได้ทรงกำจัดพวกคนทรงและพวกที่พูดกับคนตายหรือวิญญาณ ดังนั้น ทำไมท่านจึงได้มาวางกับดักชีวิตของข้าพเจ้า เพื่อให้ข้าพเจ้าตายเล่า?”
10 ซาอูลได้ทรงปฏิญาณในพระนามของพระยาห์เวห์กับผู้หญิงนั้นว่า “พระยาห์เวห์ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด เจ้าจะไม่โดนทำโทษเพราะเรื่องนี้” 11 แล้วผู้หญิงนั้นจึงได้ทูลถามว่า “ท่านจะให้ข้าพเจ้าเรียกใครขึ้นมาให้ท่าน?” ซาอูลได้ตรัสว่า “จงเรียกซามูเอลขึ้นมาให้เรา” 12 เมื่อผู้หญิงคนนั้นได้เห็นซามูเอล นางจึงได้ร้องเสียงดังและได้ทูลซาอูล กล่าวว่า “ไฉนพระองค์จึงทรงหลอกลวงหม่อมฉัน? เพราะว่าพระองค์คือซาอูล”
13 กษัตริย์ได้ตรัสแก่นางว่า “จงอย่ากลัวเลย เจ้าได้เห็นอะไรหรือ?” ผู้หญิงนั้นได้ทูลซาอูลว่า “หม่อมฉันเห็นพระหนึ่งองค์ขึ้นมาจากแผ่นดิน” 14 พระองค์ได้ตรัสถามนางว่า “รูปร่างหน้าตาของเขาเป็นอย่างไร?” นางได้ทูลว่า “เป็นผู้ชายแก่กำลังขึ้นมา เขาแต่งกายด้วยเสื้อคลุม” ซาอูลก็ได้ทรงรับรู้ว่านั่นเป็นซามูเอล พระองค์จึงได้โน้มพระกายลงซบพระพักตร์ลงถึงดินและแสดงการคารวะ 15 ซามูเอลได้พูดกับซาอูลว่า “ทำไมท่านจึงรบกวนเราและเรียกเราขึ้นมา?” ซาอูลได้ทรงตอบว่า “ข้าพเจ้ามีความทุกข์หนัก เพราะคนฟีลิสเตียกำลังมาทำสงครามกับข้าพเจ้า และพระเจ้าได้ทรงละจากข้าพเจ้าไปเสียแล้ว และไม่ได้ทรงตอบข้าพเจ้าอีกเลย ไม่ว่าโดยพวกผู้เผยพระวจนะหรือโดยความฝัน เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงได้เรียกท่านขึ้นมา เพื่อท่านจะได้แจ้งข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้าจะทำประการใดดี”
16 ซามูเอลได้กล่าวว่า “แล้วทำไมท่านต้องมาถามข้าพเจ้า ในเมื่อพระยาห์เวห์ก็ได้ทรงละจากท่านไปแล้ว และได้ทรงกลายเป็นศัตรูของท่าน? 17 พระยาห์เวห์ได้ทรงกระทำแก่ท่านดังที่พระองค์ได้ตรัสแล้วนั้น พระยาห์เวห์ได้ทรงยึดเอาอาณาจักรนั้นจากพระหัตถ์ของท่านและได้ทรงมอบให้แก่คนอื่น คือดาวิด 18 เพราะท่านไม่ได้เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระยาห์เวห์ และไม่ได้ทำตามพระพิโรธของพระองค์ที่ทรงมีต่ออามาเลข พระองค์จึงได้ทรงกระทำสิ่งนี้แก่ท่านในวันนี้
19 ยิ่งไปกว่านั้น พระยาห์เวห์จะทรงมอบอิสราเอลพร้อมกับตัวท่านไว้ในมือของคนฟีลิสเตีย พรุ่งนี้ตัวท่านพร้อมกับบุตรชายทั้งหลายของท่านจะอยู่กับเรา พระยาห์เวห์จะทรงมอบกองทัพอิสราเอลไว้ในมือของคนฟีลิสเตียด้วย” 20 แล้วซาอูลก็ได้ทรงล้มลงเหยียดยาวบนพื้นดินทันทีและได้กลัวยิ่งนักเพราะถ้อยคำของซามูเอล ไม่มีกำลังเหลืออยู่ในพระองค์ เพราะพระองค์ไม่ได้เสวยพระกระยาหารตลอดวันนั้น ตลอดคืนนั้นทั้งคืน 21 ผู้หญิงก็ได้เข้ามาหาซาอูล เมื่อนางเห็นว่าพระองค์ทรงยุ่งยากพระทัยมาก จึงได้ทูลว่า “ดูเถิด สาวใช้ของพระองค์ได้ฟังเสียงของพระองค์ หม่อมฉันได้ยอมเสี่ยงชีวิตและยอมฟังพระดำรัสที่พระองค์ได้ตรัสสั่งต่อหม่อมฉัน
22 เพราะฉะนั้น บัดนี้ หม่อมฉันขอพระองค์ได้สดับเสียงสาวใช้ของพระองค์บ้าง ขอหม่อมฉันถวายพระกระยาหารเล็กน้อยต่อหน้าพระพักตร์พระองค์ ขอให้เสวย เพื่อจะมีพระกำลังเมื่อเสด็จกลับตามทางของพระองค์” 23 แต่ซาอูลได้ทรงปฏิเสธ และได้รับสั่งว่า “เราจะไม่กิน” แต่พวกมหาดเล็กกับผู้หญิงนั้นได้ทูลอ้อนวอนพระองค์ พระองค์ก็ได้ทรงฟังเสียงของพวกเขา พระองค์ได้ทรงลุกขึ้นจากพื้นดินและได้ประทับบนพระแท่น 24 ผู้หญิงนั้นมีลูกโคอ้วนอยู่ในบ้านหนึ่งตัว นางก็ได้รีบฆ่าเสีย นางได้เอาแป้งมานวดและได้ปิ้งทำขนมปังไร้เชื้อ 25 นางก็ได้นำมาถวายให้ซาอูลและพวกมหาดเล็ก และซาอูลก็ได้เสวยและมหาดเล็กก็ได้รับประทาน แล้วซาอูลและพวกมหาดเล็กก็ได้ลุกขึ้นกลับไปในคืนนั้น
1 บัดนี้พวกฟีลิสเตียได้ชุมนุมกองทัพทั้งสิ้นของพวกเขาอยู่ที่อาเฟก คนอิสราเอลก็ได้ตั้งค่ายอยู่ที่น้ำพุซึ่งอยู่ในยิสเรเอล 2 บรรดาเจ้าชายของคนฟีลิสเตียได้เดินผ่านไปตามกองร้อยและกองพัน ดาวิดกับคนของเขาก็ผ่านไปกองระวังหลังกับอาคีช 3 แล้วบรรดาเจ้าชายของคนฟีลิสเตียได้กล่าวว่า “พวกฮีบรูเหล่านี้มาทำอะไรที่นี่?” อาคีชก็ได้รับสั่งแก่พวกเจ้าชายคนฟีลิสเตียว่า “นี่ไม่ใช่ดาวิดมหาดเล็กของซาอูลกษัตริย์อิสราเอลหรือ เขาอยู่กับเรามาหลายวันหรือหลายปีแล้วมากกว่า เรายังไม่เคยพบความผิดในตัวเขาเลย นับตั้งแต่วันที่เขาหนีมาหาเราจนถึงวันนี้ ?”
4 แต่พวกเจ้าชายของคนฟีลิสเตียก็ได้โกรธพระองค์ และได้ทูลพระองค์ว่า “ขอส่งผู้ชายคนนั้นไปให้พ้น เพื่อให้เขากลับไปอยู่ที่ที่พระองค์ได้ประทานให้เขา อย่าให้เขาลงไปสนามรบกับเรา เพื่อที่เขาจะไม่ได้กลายเป็นศัตรูของพวกเราในสนามรบ เพราะว่าชายคนนี้จะคืนดีกับเจ้านายของเขาได้อย่างไร? ไม่ใช่ด้วยศีรษะของคนของเราหรือ? 5 คนนี้ไม่ใช่ดาวิดผู้ซึ่งพวกเขาร้องเพลงเต้นรำกัน กล่าวว่า ‘ซาอูลได้ฆ่าคนเป็นพันๆ และดาวิดได้ฆ่าคนเป็นหมื่นๆ’?” 6 แล้วอาคีชจึงได้ทรงเรียกดาวิดมา และรับสั่งแก่เขาว่า “พระยาห์เวห์ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด เจ้าได้ปฏิบัติตนเป็นคนดีมาแล้ว และการที่เจ้าออกไปและกับการเข้ามาของเจ้ากับเราในกองทัพนั้นดีในสายตาของเรา เราไม่พบความผิดในเจ้าตั้งแต่วันที่เจ้าได้มาอยู่กับเราจนถึงวันนี้ อย่างไรก็ตามพวกเจ้าชายทั้งหลายไม่ได้ชื่นชอบเจ้าเลย
7 ดังนั้น บัดนี้จงกลับไปอย่างสันติเถิด เพื่อที่เจ้าจะไม่เป็นที่ขัดใจพวกเจ้าชายของคนฟีลิสเตีย” 8 ดาวิดก็ได้ทูลอาคีชว่า “แต่ข้าพระองค์ได้ทำสิ่งใดหรือ? พระองค์ได้ทรงพบสิ่งใดในตัวของผู้รับใช้พระองค์ ตั้งแต่วันที่ข้าพระองค์ได้มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์จนถึงวันนี้ ที่ข้าพระองค์อาจจะไม่ไปรบกับพวกศัตรูของเจ้านายของข้าพระองค์คือกษัตริย์หรือ?” 9 อาคีชก็ได้กล่าวตอบดาวิดว่า “เรารู้แล้วว่าเจ้าไม่มีข้อตำหนิในสายตาของเราเช่นเดียวกับทูตสวรรค์ของพระเจ้า อย่างไรก็ตาม พวกบรรดาเจ้าชายของคนฟีลิสเตียได้กล่าวว่า ‘เขาจะต้องไม่ขึ้นไปกับพวกเราในสงคราม’
10 ดังนั้น บัดนี้ จงลุกขึ้นแต่เช้าในวันพรุ่งนี้เช้าพร้อมกับพวกคนรับใช้แห่งนายของผู้ที่ได้มากับเจ้า ทันทีที่พวกเจ้าลุกขึ้นในเวลาเช้าตรู่และพอมีแสง ก็จงไปเลย” 11 ดังนั้นดาวิดจึงได้ลุกขึ้นตั้งแต่เช้ามืด ตัวเขาพร้อมกับพวกของเขา เพื่อออกเดินทางในตอนเช้า กลับไปยังแผ่นดินของคนฟีลิสเตีย แต่คนฟีลิสเตียได้ขึ้นไปยังยิสเรเอล
1 แล้วสิ่งนี้ก็ได้เกิดขึ้น เมื่อดาวิดและคนของเขาได้มาถึงศิกลากในวันที่สาม คนอามาเลขได้มาปล้นเนเกบกับศิกลากแล้ว พวกเขาได้โจมตีศิกลากและได้เผาศิกลากเสีย 2 และได้จับพวกผู้หญิงกับทุกคนที่อยู่ในนั้นทั้งเด็กและผู้ใหญ่ พวกเขาไม่ได้ฆ่าใคร แต่ได้กวาดต้อนไปตามทางของพวกเขา 3 เมื่อดาวิดกับพวกของเขามาถึงเมืองนั้น เมืองก็ได้ถูกเผาไปแล้ว และภรรยาของพวกเขากับบุตรชายบุตรหญิงของพวกเขาได้ถูกจับไปเป็นเชลย
4 แล้วดาวิดกับพวกประชาชนที่ได้อยู่กับเขาได้หวีดร้องและได้ร้องไห้จนเขาไม่มีกำลังจะร้องไห้อีก 5 ภรรยาทั้งสองของดาวิดก็ได้ถูกจับไปเป็นเชลย คืออาหิโนอัมคนยิสเรเอล และอาบีกายิลภรรยาของนาบาลคนคารเมล 6 ดาวิดก็ได้เป็นทุกข์หนักเพราะพวกประชาชนได้พูดกันว่าจะขว้างเขาให้ตายด้วยก้อนหิน เพราะจิตใจของประชาชนทุกคนขมขื่น เรื่องพวกบุตรชายและบุตรหญิงของพวกเขาแต่ละคน แต่ดาวิดก็ได้เข้มแข็งขึ้นในพระยาห์เวห์พระเจ้าของเขา
7 ดาวิดจึงได้พูดกับอาบียาธาร์ ปุโรหิตบุตรชายของอาหิเมเลคว่า “ข้าพเจ้าขอวิงวอนท่าน โปรดนำเสื้อเอโฟดมาที่นี่ มาให้ข้าพเจ้า” อาบียาธาร์ก็ได้นำเอโฟดมาให้ดาวิด 8 และดาวิดได้ทูลถามพระยาห์เวห์เพื่อขอการทรงนำว่า “ถ้าข้าพระองค์จะไล่ตามกองทหารนี้ไป ข้าพระองค์จะไปทันพวกเขาหรือไม่?” พระยาห์เวห์ได้ทรงตอบเขาว่า “จงไล่ตามเถิด เพราะเจ้าจะไปทันพวกเขาแน่ และจะช่วยกู้ทุกสิ่งได้แน่นอน” 9 ดังนั้นดาวิดก็ได้ออกไปพร้อมกับผู้ชายที่อยู่กับเขาหกร้อยคนนั้น พวกเขาได้มาถึงลำธารเบโสร์ ที่คนเหล่านั้นที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังได้หยุดอยู่ที่นั่น
10 แต่ดาวิดก็ได้ไล่ตามต่อไป ทั้งตัวเขาและผู้ชายสี่ร้อยคน ส่วนผู้ชายสองร้อยคนพวกที่อ่อนเพลียเกินที่จะข้ามลำธารเบโสร์ก็หยุดพักอยู่ 11 พวกเขาพบคนอียิปต์คนหนึ่งอยู่ในทุ่งนา และได้นำเขามาหาดาวิด พวกเขาได้ให้ขนมปังแก่เขา และเขาก็รับประทานพวกเขาก็ได้ให้น้ำเขาดื่ม 12 และพวกเขาได้ให้ขนมมะเดื่อชิ้นหนึ่งกับลูกเกดสองถุง เมื่อเขาได้รับประทานแล้ว เขาก็ฟื้นกำลังขึ้นมา เพราะว่าเขาไม่ได้รับประทานขนมปังหรือดื่มน้ำมาสามวันสามคืนแล้ว
13 ดาวิดได้ถามเขาว่า “เจ้าเป็นคนของใคร? และเจ้ามาจากไหน?” เขาได้ตอบว่า “ข้าพเจ้าเป็นคนหนุ่มแห่งอียิปต์ เป็นคนใช้ของคนอามาเลขคนหนึ่ง เมื่อสามวันมาแล้วนายของข้าพเจ้าได้ทิ้งข้าพเจ้าเพราะข้าพเจ้าได้ป่วยมาสามวันแล้ว 14 พวกเราได้มาปล้นที่เนเกบของคนเคเรธี และปล้นของที่เป็นของยูดาห์ และที่เนเกบของคาเลบ และพวกเราได้เผาเมืองศิกลาก” 15 ดาวิดได้กล่าวกับเขาว่า “เจ้าจะพาเราลงไปถึงหน่วยปล้นนี้หรือไม่?” คนอียิปต์ได้ตอบว่า “ขอปฏิญาณแก่ข้าพเจ้าในพระนามของพระเจ้าว่าจะไม่ฆ่าข้าพเจ้า และท่านจะไม่ทรยศมอบข้าพเจ้าไว้ในมือนายของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงจะพาท่านไปที่หน่วยปล้นนั้น”
16 เมื่อคนอียิปต์ได้พาดาวิดลงไปแล้ว ก็พบพวกปล้นก็ได้กระจายกันอยู่เต็มทั่วพื้นที่ ต่างกินและดื่มและเต้นรำเพราะของที่ปล้นได้มากมายซึ่งพวกเขาเอามาจากแผ่นดินฟีลิสเตียและจากแผ่นดินยูดาห์ 17 ดาวิดก็ได้ฆ่าฟันพวกเขาตั้งแต่โพล้เพล้จนถึงเวลาเย็นของวันรุ่งขึ้น ไม่มีผู้ชายคนใดหนีรอดจากพวกเขาไปได้สักคน ยกเว้นพวกคนหนุ่มสี่ร้อยคนซึ่งได้ขี่อูฐหนีไป 18 ดาวิดได้กู้สิ่งของที่คนอามาเลขได้นำไปคืนมาได้ทั้งหมด และดาวิดก็ได้ช่วยกู้ภรรยาทั้งสองของเขามาได้
19 ไม่มีสิ่งใดของพวกเขาที่ขาดไปเลย ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ ไม่ว่าพวกบุตรชายหรือพวกบุตรหญิง ไม่ว่าของที่ยึดมา หรือสิ่งที่ถูกปล้นไปหรือทุกสิ่งที่พวกเขาเหล่านั้นเอาไปเป็นของพวกเขา ดาวิดได้คืนมาทุกสิ่ง 20 ดาวิดยังได้ยึดฝูงสัตว์เลี้ยงทั้งหมด และฝูงสัตว์ต่างๆ ซึ่งพวกเขาไล่ต้อนไปข้างหน้าฝูงสัตว์ฝูงอื่น พวกเขากล่าวว่า “นี่เป็นสิ่งที่ดาวิดยึดมา” 21 แล้วดาวิดก็ได้กลับมายังผู้ชายสองร้อยคนผู้ที่อ่อนเพลียเกินที่จะตามเขาไป พวกเหล่านี้ที่พวกเขาได้ให้พักอยู่ที่ลำธารเบโสร์ พวกเขาได้ออกไปพบดาวิดและพวกประชาชนที่อยู่กับเขา เมื่อดาวิดได้เข้ามาใกล้ประชาชนเหล่านี้เขาก็ได้ทักทายพวกเขา
22 แล้วคนอธรรมและคนไร้ค่าทั้งหมดที่อยู่ท่ามกลางคนเหล่านั้นที่ได้ติดตามดาวิดไปได้กล่าวว่า “เพราะพวกเขาไม่ไปกับเรา เราจะไม่ให้สิ่งที่เรายึดมาได้แก่พวกเขา นอกจากผู้ชายแต่ละคนก็ให้เอาภรรยาของเขาและพวกบุตรทั้งหลายของเขา ให้พวกเขาเอาไปได้ และไปเสีย” 23 แล้วดาวิดกล่าวว่า “พวกพี่น้องของข้าพเจ้า พวกท่านอย่าทำอย่างนั้นกับสิ่งซึ่งพระยาห์เวห์ได้ทรงมอบแก่พวกเรา พระองค์ผู้ได้ทรงพิทักษ์รักษาพวกเราไว้และทรงมอบหน่วยปล้นซึ่งมาต่อสู้กับพวกเราไว้ในมือของพวกเรา 24 ใครเล่าที่จะฟังพวกท่านในเรื่องนี้ ? เพราะคนที่ลงไปในสงครามได้ส่วนแบ่งของพวกเขาอย่างไร คนที่อยู่กับกองสัมภาระ พวกเขาก็จะได้รับส่วนแบ่งและได้รับเหมือนกัน”
25 ตั้งแต่นั้นเป็นต้นไปจนถึงทุกวันนี้ สิ่งที่ดาวิดได้ตั้งข้อนี้ให้เป็นกฎและหลักปฏิบัติสำหรับอิสราเอล 26 เมื่อดาวิดได้มาถึงเมืองศิกลากแล้ว เขาก็ได้ส่งของที่ยึดได้นั้นส่วนหนึ่งไปให้พวกผู้อาวุโสของยูดาห์ และให้แก่พวกเพื่อนของเขา กล่าวว่า “จงดูเถิด นี่เป็นของสำหรับพวกท่านจากของที่ยึดมาจากพวกศัตรูของพระยาห์เวห์” 27 เขาได้ส่งบางส่วนให้แก่ผู้อาวุโสทั้งหลายที่ได้อยู่ในเบธูเอล และคนเหล่านั้นที่ได้อยู่ในราโมทตอนใต้ และให้แก่คนเหล่านั้นที่ได้อยู่ในยาททีร์
28 และให้แก่คนเหล่านั้นที่ได้อยู่ในอาโรเออร์ และให้แก่คนเหล่านั้นที่ได้อยู่ในสิฟโมท และให้แก่คนเหล่านั้นที่ได้อยู่ในเอชเทโมอา 29 เขาได้ส่งบางส่วนให้แก่พวกผู้อาวุโสที่ได้อยู่ในราคาล และให้แก่คนเหล่านั้นที่อยู่ในบรรดาเมืองของคนเยราเมเอล และให้แก่คนเหล่านั้นผู้ที่ได้อยู่ในบรรดาเมืองของคนเคไนต์ 30 และให้แก่คนเหล่านั้นที่ได้อยู่ในโฮเรมาห์ และให้แก่คนเหล่านั้นที่ได้อยู่ในโบราชาน และให้แก่คนเหล่านั้นที่ได้อยู่ในอาธาค 31 และให้แก่คนเหล่านั้นที่ได้อยู่ในเฮโบรน และให้แก่ทุกที่ที่ดาวิดเองกับพวกของเขาได้เคยไป
1 บัดนี้คนฟีลิสเตียก็ได้ต่อสู้กับอิสราเอล และคนอิสราเอลก็ได้หนีไปต่อหน้าคนฟีลิสเตีย และได้ล้มตายอยู่ที่บนภูเขากิลโบอา 2 คนฟีลิสเตียก็ได้ไล่ทันซาอูลกับพวกราชโอรสของพระองค์ คนฟีลิสเตียก็ได้ฆ่าบรรดาบุตรชายของซาอูล คือโยนาธาน อาบีนาดับ และมัลคีชูวา 3 การรบก็หนักหน่วงต่อซาอูล และพวกนักธนูก็ได้โจมตีซาอูลอย่างฉับพลัน พระองค์ทรงได้รับบาดเจ็บสาหัสเพราะพวกเขา
4 แล้วซาอูลได้รับสั่งคนถืออาวุธของพระองค์ว่า “จงชักดาบของเจ้าและแทงเราเสียให้ทะลุ มิเช่นนั้นเกรงว่าพวกที่ไม่ได้เข้าสุหนัตเหล่านี้จะมาและทำป่าเถื่อนต่อเรา” แต่ผู้ถืออาวุธของพระองค์ไม่ได้ทำตาม เพราะเขาได้กลัวมาก ดังนั้นซาอูลจึงได้ทรงหยิบดาบของพระองค์และทรงล้มทับดาบนั้น 5 เมื่อผู้ถืออาวุธของพระองค์ได้เห็นว่าซาอูลได้เสด็จสวรรคตแล้ว เขาก็ได้ล้มทับดาบของเขาตายด้วยกันกับพระองค์ 6 ดังนั้น ซาอูลก็ได้เสด็จสวรรคต ราชโอรสทั้งสามพระองค์ และผู้ถืออาวุธของพระองค์ คนเหล่านี้ทั้งหมดก็ได้เสด็จสวรรคตและตายด้วยกันในวันเดียวกันนั้น
7 เมื่อประชาชนอิสราเอลซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของหุบเขา และคนเหล่านั้นที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำจอร์แดนได้เห็นว่าพวกคนอิสราเอลได้หนีไป และได้เห็นว่าซาอูลกับราชโอรสของพระองค์ได้เสด็จสวรรคตแล้ว พวกเขาก็ได้ทิ้งบรรดาเมืองต่างๆ ของพวกเขาและได้หลบหนีไป คนฟีลิสเตียก็ได้เข้ามาและได้อาศัยอยู่ในเมืองเหล่านั้น 8 แล้วสิ่งนี้ก็ได้เกิดขึ้นในวันต่อมา เมื่อคนฟีลิสเตียได้มาปลดสิ่งของจากคนที่ถูกฆ่าตาย ก็ได้พบพระศพซาอูลและราชโอรสทั้งสามอยู่บนภูเขากิลโบอา 9 พวกเขาจึงได้ตัดพระเศียรของซาอูล และได้ถอดเครื่องอาวุธของพระองค์ออก และได้ส่งผู้แจ้งข่าวไปทั่วแผ่นดินฟีลิสเตีย และได้แจ้งข่าวไปยังวิหารรูปเคารพของพวกเขา และยังประชาชน
10 พวกเขาได้เอาเครื่องอาวุธของพระองค์ไปไว้ที่วิหารของพระอัชโทเรท และพวกเขาได้มัดพระศพของพระองค์ไว้กับกำแพงเมืองเบธชาน 11 เมื่อคนที่อาศัยอยู่ที่เมืองยาเบชกิเลอาดได้ยินว่าคนฟีลิสเตียทำอย่างนั้นกับซาอูล 12 ผู้ชายที่เป็นนักรบทุกคนก็ได้ลุกขึ้นและเดินตลอดคืน และได้ปลดพระศพของซาอูล และพระศพของราชโอรสทั้งสามจากกำแพงเมืองเบธชาน พวกเขาได้นำมาที่เมืองยาเบช และได้ถวายพระเพลิงพระศพที่นั่น 13 แล้วพวกเขาได้เก็บพระอัฐิและได้ไปฝังพระศพซาอูลและราชโอรสของพระองค์ไว้ที่ใต้ต้นสนหมอกในยาเบช และได้อดอาหารเป็นเวลาเจ็ดวัน
1 หลังจากการเสด็จสวรรคตของซาอูลแล้ว ดาวิดก็ได้กลับจากการโจมตีคนอามาเลขและพักอยู่ที่ศิกลากได้สองวัน 2 ในวันที่สาม มีผู้ชายคนหนึ่งได้มาจากค่ายของซาอูล สวมเสื้อผ้าขาดวิ่นและมีดินเปื้อนที่บนศีรษะของเขา เมื่อเขามาถึงดาวิด จึงหมอบลงซบหน้าถึงดิน 3 ดาวิดถามเขาว่า “เจ้ามาจากไหน?” เขาตอบว่า “ข้าพเจ้าหนีมาจากค่ายของคนอิสราเอล"
4 ดาวิดถามเขาว่า “ขอบอกข้าหน่อยว่า เหตุการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?” เขาตอบว่า “พวกประชาชนหนีจากการสู้รบ มีหลายคนล้มลงและมีคนตายแล้วมากมาย ซาอูลและโยนาธานราชโอรสของพระองค์ก็สิ้นพระชนม์ด้วย” 5 ดาวิดจึงถามชายหนุ่มนั้นว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่า ซาอูลและโยนาธานราชโอรสของพระองค์สิ้นพระชนม์?” 6 ชายหนุ่มนั้นตอบว่า “บังเอิญข้าพเจ้ามาที่ภูเขากิลโบอา และที่นั่นซาอูลได้ทรงยืนพิงหอกของพระองค์อยู่ และรถม้าศึกและทหารม้าก็กำลังมาใกล้พระองค์
7 ซาอูลทรงเหลียวมาและทอดพระเนตรเห็นข้าพเจ้าและได้ตรัสเรียกข้าพเจ้า ข้าพเจ้าทูลตอบว่า ‘ข้าพระองค์อยู่ที่นี่’ 8 พระองค์ตรัสถามข้าพเจ้าว่า ‘เจ้าเป็นใครหรือ?’ ข้าพเจ้าทูลตอบพระองค์ว่า ‘ข้าพระองค์เป็นคนอามาเลข’ 9 พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘จงมายืนเหนือเราและฆ่าเราเสีย เพราะเรากำลังเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส แต่เรายังมีชีวิตอยู่’
10 ข้าพเจ้าจึงเข้าไปยืนเหนือพระองค์และประหารพระองค์เสีย เพราะข้าพเจ้ารู้ว่าพระองค์จะไม่สามารถดำรงพระชนม์ชีพอยู่ได้อีกหลังจากที่พระองค์ทรงล้มลงแล้ว แล้วข้าพเจ้าได้ถอดมงกุฎบนพระเศียรของพระองค์และกำไลที่พระกรของพระองค์ และได้นำสิ่งเหล่านั้นมาให้ท่าน เจ้านายของข้าพเจ้า” 11 แล้วดาวิดจึงได้ฉีกเสื้อของเขา และคนทั้งปวงที่อยู่กับเขาก็ได้ทำเหมือนกัน 12 พวกเขาได้คร่ำครวญ ร้องไห้ และอดอาหารจนถึงเวลาเย็นเพื่อซาอูล เพื่อโยนาธานราชโอรสของพระองค์ และเพื่อประชาชนของพระยาห์เวห์ และเพื่อพงศ์พันธุ์อิสราเอล เพราะว่าพวกเขาได้ล้มตายด้วยดาบ
13 ดาวิดถามชายหนุ่มว่า “เจ้ามาจากไหน?” เขาตอบว่า “ข้าพเจ้าเป็นบุตรชายของคนต่างด้าวในดินแดนของคนอามาเลข” 14 ดาวิดถามเขาว่า “ทำไมเจ้าไม่เกรงกลัวในการฆ่ากษัตริย์ผู้ที่พระยาห์เวห์ได้ทรงเจิมไว้ด้วยมือของเจ้าเอง?” 15 ดาวิดได้เรียกชายหนุ่มคนหนึ่งและกล่าวว่า “จงไปและฆ่าเขาเสีย” แล้วผู้ชายคนนั้นจึงไปและฆ่าเขา และคนอามาเลขนั้นก็ตาย
16 แล้วดาวิดกล่าวแก่ศพของคนอามาเลขว่า "โลหิตของเจ้าก็ตกบนหัวของเจ้า เพราะว่าปากของเจ้าปรักปรำตัวเจ้าและกล่าวว่า ‘ข้าพเจ้าได้ฆ่ากษัตริย์ผู้ที่พระยาห์เวห์ทรงเจิมไว้’” 17 แล้วดาวิดก็ได้ร้องบทเพลงคร่ำครวญเกี่ยวกับซาอูลและโยนาธานราชโอรสของพระองค์ 18 เขาออกคำสั่งให้ประชาชนสอนบทเพลงแห่งคันธนูให้แก่พงศ์พันธุ์ยูดาห์ ซึ่งบันทึกไว้ในหนังสือยาชาร์ว่า
19 “ศักดิ์ศรีของท่าน อิสราเอลเอ๋ย ได้ถูกประหารเสียแล้วบนที่สูงของท่าน วีรบุรุษล้มลงได้อย่างไร 20 อย่าบอกเรื่องนี้ในเมืองกัท อย่าประกาศเรื่องนี้ในถนนเมืองอัชเคโลน เพื่อที่พวกบุตรีคนฟีลิสเตียจะไม่ร่าเริง เพื่อที่พวกบุตรีของพวกที่ไม่ได้เข้าสุหนัตจะไม่เฉลิมฉลองกัน 21 เทือกเขากิลโบอาเอ๋ย ขออย่ามีน้ำค้างหรือน้ำฝนบนเจ้า อย่าให้ท้องทุ่งออกรวง เพราะว่าที่นั่นโล่ของวีรบุรุษได้มีมลทินแล้ว โล่ของซาอูลไม่ได้ถูกเจิมด้วยน้ำมันอีกต่อไป
22 จากโลหิตของคนเหล่านั้นที่ได้ถูกฆ่าไปแล้ว จากร่างของเหล่านักรบ คันธนูขอโยนาธานไม่ได้หันกลับมา และดาบของซาอูลก็ไม่ได้กลับมาว่างเปล่า 23 ซาอูลและโยนาธานได้เป็นที่รักและน่ายินดีในชีวิต และในความตายของพวกเขา พวกเขาจะไม่แยกจากกัน พวกเขาก็ว่องไวกว่านกอินทรีทั้งหลาย พวกเขาก็แข็งแรงกว่าเหล่าสิงห์ 24 บุตรีของอิสราเอลเอ๋ย จงร้องไห้เพื่อซาอูล ผู้ทรงประดับพวกเจ้าอย่างโอ่อ่าด้วยผ้าสีแดงเข้ม เช่นเดียวกับเครื่องเพชรพลอย และผู้ทรงประดับอาภรณ์ทองคำบนเครื่องแต่งกายของพวกเจ้า
25 วีรบุรุษได้ล้มลงเสียแล้วในท่ามกลางศึกสงคราม โยนาธานได้ถูกสังหารอยู่บนที่สูงของท่าน 26 ข้าเป็นทุกข์เพื่อท่าน โยนาธานพี่ชายของข้าเอ๋ย ท่านเป็นที่ชื่นใจของข้ามาก ความรักของท่านที่มีต่อข้านั้นอัศจรรย์ เหนือกว่าความรักของสตรี 27 วีรบุรุษได้ล้มลงเสียแ และเครื่องยุทโธปกรณ์ก็พินาศไป”
1 หลังจากเหตุการณ์นี้ ดาวิดได้ทูลถามพระยาห์เวห์ และทูลว่า “ข้าพระองค์ควรขึ้นไปยังเมืองหนึ่งในจำนวนเมืองต่างๆ ของยูดาห์หรือไม่?” พระยาห์เวห์ตรัสตอบเขาว่า “จงขึ้นไปเถิด” ดาวิดทูลว่า “ข้าพระองค์ควรขึ้นไปที่ไหน?” พระยาห์เวห์ตรัสว่า “ที่เมืองเฮโบรน” 2 ดาวิดจึงขึ้นไปที่นั่นพร้อมกับภรรยาทั้งสองของเขาด้วยคือ อาหิโนอัมคนยิสเรเอลและอาบีกายิลคนคารเมลภรรยาม่ายของนาบาล 3 ดาวิดได้นำคนที่อยู่กับเขาขึ้นไปทุกคน ซึ่งแต่ละคนก็ได้พาครอบครัวไปด้วย ไปยังเมืองต่างๆ ของเฮโบรน สถานที่ซึ่งพวกเขาก็ได้เริ่มอาศัยอยู่
4 แล้วผู้คนจากยูดาห์ได้มาและเจิมดาวิดให้เป็นกษัตริย์เหนือพงศ์พันธุ์ยูดาห์ พวกเขามาทูลดาวิดว่า “ชาวยาเบชกิเลอาดเป็นผู้ฝังพระศพซาอูล” 5 ดังนั้นดาวิดจึงได้ส่งพวกผู้สื่อสารไปหาชาวยาเบชกิเลอาดนั้น ตรัสกับพวกเขาว่า “ขอพวกท่านรับพระพรจากพระยาห์เวห์ ที่ท่านแสดงความจงรักภักดีนี้ต่อซาอูลเจ้านายของพวกท่าน และได้ฝังพระศพของพระองค์ 6 บัดนี้ขอพระยาห์เวห์ทรงสำแดงความรักมั่นคงและความซื่อสัตย์ต่อพวกท่าน และเราจะทำความดีนี้ต่อพวกท่านเพราะสิ่งนี้ที่ท่านได้ทำ
7 บัดนี้ เพราะฉะนั้น ขอให้มือของพวกท่านเข้มแข็ง และขอให้พวกท่านกล้าหาญเถิด เพราะว่าซาอูลเจ้านายของพวกท่านเสด็จสวรรคตแล้ว และพงศ์พันธุ์ยูดาห์ได้เจิมตั้งเราไว้เป็นกษัตริย์เหนือพวกเขา” 8 แต่อับเนอร์บุตรชายของเนอร์แม่ทัพของกองทัพซาอูลได้พาอิชโบเชทราชโอรสของซาอูลข้ามไปที่เมืองมาหะนาอิม 9 และได้สถาปนาอิชโบเชทให้เป็นกษัตริย์เหนือเมืองกิเลอาด คนอาชูร์ คนยิสเรเอล คนเอฟราอิม คนเบนยามิน และคนอิสราเอลทั้งหมด
10 เมื่ออิชโบเชทราชโอรสของซาอูลได้ทรงเริ่มครองราชย์เหนืออิสราเอลนั้น ทรงมีพระชนมายุได้สี่สิบพรรษา และทรงครองราชย์อยู่สองปี แต่พงศ์พันธุ์ยูดาห์ได้ติดตามดาวิด 11 เวลาที่ดาวิดทรงเป็นกษัตริย์เหนือพงศ์พันธุ์ยูดาห์ในเฮโบรนนั้นเป็นเวลาเจ็ดปีกับหกเดือน 12 อับเนอร์บุตรเนอร์และทหารของอิชโบเชทราชโอรสของซาอูล ได้ออกจากมาหะนาอิมไปยังเมืองกิเบโอน
13 โยอาบบุตรชายของนางเศรุยาห์และทหารของดาวิด ได้ออกไปพบกับพวกเขาที่สระเมืองกิเบโอน พวกเขาได้นั่งที่ขอบสระ พวกหนึ่งอยู่ฝั่งหนึ่งของสระและอีกพวกหนึ่งอยู่อีกด้านหนึ่ง 14 อับเนอร์จึงพูดกับโยอาบว่า “ขอให้พวกคนหนุ่มลุกขึ้นและแข่งขันกันต่อหน้าพวกเราสิ” แล้วโยอาบจึงตอบว่า “ให้พวกเขาลุกขึ้น” 15 แล้วพวกคนหนุ่มจึงลุกขึ้นและรวมตัวกัน สิบสองคนสำหรับฝ่ายเบนยามิน และฝ่ายอิชโบเชทราชโอรสของซาอูล และฝ่ายพวกมหาดเล็กของดาวิดจำนวนสิบสองคน
16 ต่างก็ได้จับศีรษะของคู่ต่อสู้ และแทงดาบเข้าที่สีข้างของคู่ต่อสู้ และพวกเขาต่างก็ล้มลงด้วยกัน ดังนั้นเขาจึงเรียกที่นั่นเป็นภาษาฮีบรูว่า "เฮลขัทฮัสซูริม" หรือ "สนามแห่งดาบ" ซึ่งอยู่ในกิเบโอน 17 การสู้รบในวันนั้นดุเดือดยิ่งนัก และอับเนอร์และพวกคนอิสราเอลก็แพ้พรรคพวกของดาวิด 18 บุตรชายทั้งสามของนางเศรุยาห์ก็ได้อยู่ที่นั่นคือ โยอาบ และอาบีชัย และอาสาเฮล อาสาเฮลนั้นมีฝีเท้าเร็วเหมือนกับละมั่งป่า
19 อาสาเฮลจึงไล่ตามอับเนอร์ไป และติดตามเขาไปโดยไม่ได้เลี้ยวไปทางไหน 20 อับเนอร์ได้เหลียวหลังมาและพูดว่า “นั่นอาสาเฮลหรือ?” เขาตอบว่า “ข้าเอง” 21 อับเนอร์จึงบอกเขาว่า “จงเลี้ยวไปทางขวาของเจ้าหรือทางซ้ายของเจ้า และจับเอาคนหนุ่มคนหนึ่ง แล้วก็ริบเอาเครื่องอาวุธของเขาไป” แต่อาสาเฮลไม่ยอมละจากการไล่ตาม
22 ดังนั้นอับเนอร์จึงได้บอกอาสาเฮลอีกครั้งหนึ่งว่า “จงหยุดตามข้า จะให้ข้าฟาดเจ้าล้มลงดินทำไมเล่า? แล้วข้าจะเงยหน้าดูโยอาบพี่ของเจ้าได้อย่างไร?” 23 แต่อาสาเฮลได้ปฏิเสธที่จะหันกลับ และดังนั้น อับเนอร์จึงได้แทงที่ร่างของเขาด้วยด้ามหอกของเขา ดังนั้นหอกก็ทะลุออกอีกด้านหนึ่ง อาสาเฮลได้ล้มลงตายอยู่ที่นั่น ดังนั้นต่อมา ใครก็ตามที่มาถึงสถานที่แห่งนั้นที่อาสาเฮลล้มลงและตาย เขาจะหยุดที่นั่นและยืนนิ่ง 24 แต่โยอาบกับอาบีชัยได้ไล่ตามอับเนอร์ไป เมื่อดวงอาทิตย์กำลังจะตกเขาทั้งสองได้มาถึงเนินเขาอัมมาห์ ซึ่งอยู่ใกล้กียาห์ตามทางไปถิ่นทุรกันดารเมืองกิเบโอน
25 คนเบนยามินได้รวมตัวกันหลังอับเนอร์และยืนอยู่บนยอดของเนินเขา 26 แล้วอับเนอร์ร้องถามโยอาบ และกล่าวว่า “จะให้ดาบทำลายท่านเรื่อยไปหรือ? ท่านไม่ทราบหรือที่สุดจะกลายเป็นความขมขื่น? อีกนานสักเท่าใดท่านจึงจะสั่งพวกทหารของท่านให้หันกลับจากการไล่ตามพี่น้องของพวกเขา?” 27 โยอาบจึงตอบว่า “พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ถ้าท่านไม่พูดขึ้น พวกทหารก็จะไล่ตามพวกพี่น้องของเขาจนกระทั่งถึงพรุ่งนี้เช้า”
28 ดังนั้น โยอาบจึงเป่าแตร และพวกทหารทั้งปวงก็หยุดและไม่ได้ไล่ตามอิสราเอล และไม่ได้สู้รบกันอีกต่อไป 29 อับเนอร์และพวกของเขาได้เดินทางตลอดคืนนั้นในอาราบาห์ พวกเขาข้ามแม่น้ำจอร์แดน ได้เดินทัพตลอดช่วงเช้า และได้มาถึงมาหะนาอิม 30 โยอาบได้กลับมาจากการไล่ตามอับเนอร์ เขารวบรวมทหารทั้งหมดของเขา ที่ขาดหายไปคืออาสาเฮล และทหารของดาวิดสิบเก้าคน
31 แต่คนของดาวิดได้ฆ่าคนเบนยามินและคนของอับเนอร์ตายไป 360 คน 32 แล้วพวกเขาได้ยกศพอาสาเฮลและไปฝังไว้ในอุโมงค์ฝังศพของบิดาของเขา ซึ่งอยู่ที่เมืองเบธเลเฮม โยอาบและพวกคนของเขาได้เดินทางตลอดคืนและในตอนเช้ามืดจึงมาถึงเมืองเฮโบรน
1 บัดนี้ ได้มีสงครามอันยาวนานระหว่างฝ่ายของซาอูลกับฝ่ายของดาวิด ฝ่ายดาวิดเข้มแข็งยิ่งขึ้นและมากยิ่งขึ้น แต่ฝ่ายของซาอูลได้อ่อนกำลังลงทุกที 2 มีพระราชโอรสหลายองค์ของดาวิดได้ประสูติที่เมืองเฮโบรน พระราชโอรสหัวปีของพระองค์คืออัมโนน โอรสพระนางอาหิโนอัมชาวยิสเรเอล 3 พระราชโอรสองค์ที่สองของพระองค์คือคิเลอาบ โอรสพระนางอาบีกายิลภรรยาม่ายของนาบาลชาวคารเมล และองค์ที่สามคืออับซาโลม โอรสพระนางมาอาคาห์พระราชธิดาของทัลมัยกษัตริย์เมืองเกชูร์
4 พระราชโอรสองค์ที่สี่ของดาวิดคืออาโดนียาห์ โอรสพระนางฮักกีท พระราชโอรสองค์ที่ห้าของพระองค์คือเชฟาทิยาห์ โอรสพระนางอาบีทัล 5 และพระราชโอรสองค์ที่หกคืออิทเรอัม โอรสพระนางเอกลาห์พระมเหสีของดาวิด พระราชโอรสเหล่านี้ของดาวิดได้ประสูติที่เมืองเฮโบรน 6 สิ่งนี้เกิดขึ้นในช่วงสงครามระหว่างฝ่ายของซาอูลกับฝ่ายของดาวิด ที่อับเนอร์ได้ทำตัวให้เข้มแข็งขึ้นในฝ่ายของซาอูล
7 ซาอูลนั้นมีนางสนมคนหนึ่งชื่อริสปาห์บุตรีของอัยยาห์ อิชโบเชทจึงตรัสกับอับเนอร์ว่า “ทำไมท่านจึงเข้าหานางสนมของเสด็จพ่อของเรา?” 8 อับเนอร์ก็โกรธมากในถ้อยคำของอิชโบเชท และทูลว่า “ข้าพระองค์เป็นหัวสุนัขของยูดาห์หรือ? ทุกวันนี้ข้าพระองค์สำแดงความจงรักภักดีต่อพงศ์พันธุ์ของซาอูลเสด็จพ่อของพระองค์ และต่อพี่น้อง และต่อมิตรสหายของเสด็จพ่อของพระองค์ ไม่ได้มอบพระองค์ไว้ในมือของดาวิด แต่บัดนี้พระองค์ยังทรงกล่าวหาข้าพระองค์ด้วยเรื่องผู้หญิงคนนี้หรือ? 9 ขอพระเจ้าทรงลงโทษข้าพระองค์ คืออับเนอร์และขอทรงเพิ่มโทษนั้นด้วย ถ้าข้าพระองค์จะไม่ทำเพื่อดาวิดดังที่พระยาห์เวห์ได้ทรงปฏิญาณไว้ต่อเขาแล้ว
10 คือย้ายราชอาณาจักรจากพงศ์พันธุ์ของซาอูล และสถาปนาบัลลังก์ของดาวิดเหนืออิสราเอลและเหนือยูดาห์ ตั้งแต่ดานถึงเบเออร์เชบา” 11 อิชโบเชทไม่ทรงสามารถตอบกลับอับเนอร์แม้แต่คำเดียว เพราะพระองค์ทรงเกรงกลัวเขา 12 แล้วอับเนอร์ได้ส่งพวกผู้สื่อสารไปยังดาวิดเพื่อพูดแทนตัวเขาเองว่า “แผ่นดินนี้เป็นของใคร? ขอทรงทำพันธสัญญากับข้าพระองค์ และ พระองค์จะทรงเห็นว่า มือของข้าพระองค์อยู่ฝ่ายพระองค์เพื่อจะนำอิสราเอลทั้งสิ้นมาอยู่ฝ่ายพระองค์”
13 ดาวิดตรัสตอบว่า “ดีแล้ว เราจะทำพันธสัญญากับเจ้า แต่มีสิ่งหนึ่งที่เราจะให้เจ้าทำคือว่า เจ้าไม่อาจมาพบหน้าเราได้ เว้นแต่ว่าเจ้าจะนำมีคาลราชธิดาของซาอูลมาด้วยเมื่อเจ้ามาพบเรา” 14 แล้วดาวิดได้ส่งพวกผู้สื่อสารไปยังอิชโบเชทราชโอรสของซาอูล กล่าวว่า “จงมอบมีคาลภรรยาของข้าพเจ้า ผู้ซึ่งข้าพเจ้าได้หมั้นไว้ด้วยหนังปลายองคชาตของพวกฟีลิสเตียหนึ่งร้อยชิ้น” 15 ดังนั้น อิชโบเชทจึงส่งคนไปพามีคาลมาจากสามีของเธอ คือปัลทีเอลบุตรชายของลาอิช
16 สามีของเธอได้ไปกับเธอ ร้องไห้ตามเธอไปจนถึงบาฮูริม แล้วอับเนอร์จึงบอกเขาว่า “จงกลับไปบ้านเดี๋ยวนี้เลย” แล้วเขาก็กลับไป 17 อับเนอร์จึงกล่าวกับพวกผู้อาวุโสของอิสราเอลว่า “ในอดีตพวกท่านได้พยายามให้ดาวิดเป็นกษัตริย์เหนือพวกท่าน 18 บัดนี้จงทำดังนั้น เพราะพระยาห์เวห์ได้ตรัสกับดาวิด ทรงกล่าวว่า ‘ด้วยมือของดาวิดผู้รับใช้ของเรา เราจะช่วยกู้อิสราเอลประชากรของเราจากมือของพวกฟีลิสเตีย และจากมือศัตรูทั้งสิ้นของพวกเขา’”
19 อับเนอร์ได้พูดเป็นส่วนตัวกับคนเบนยามินด้วย แล้วอับเนอร์ได้ไปทูลดาวิดที่เมืองเฮโบรนด้วยเช่นกัน เพื่ออธิบายถึงทุกสิ่งที่อิสราเอลและพงศ์พันธุ์ทั้งสิ้นของเบนยามินได้ปรารถนาที่จะทำให้สำเร็จ 20 เมื่ออับเนอร์พร้อมกันคนของเขาจำนวนยี่สิบคนได้มาถึงเฮโบรนเพื่อเข้าเฝ้าดาวิด ดาวิดได้ทรงจัดเตรียมงานเลี้ยงสำหรับพวกเขา 21 อับเนอร์ได้ทูลดาวิดว่า “ข้าพระองค์จะลุกขึ้นและจะรวบรวมคนอิสราเอลทั้งสิ้นมายังพระองค์ กษัตริย์ผู้เป็นเจ้านายของข้าพระองค์ ดังนั้น เพื่อที่พวกเขาจะทำพันธสัญญากับพระองค์ และเพื่อที่พระองค์จะทรงครอบครองทุกอย่างตามชอบพระทัยของพระองค์” ดังนั้นดาวิดได้ทรงส่งอับเนอร์กลับไป และอับเนอร์ได้จากไปโดยสันติ
22 แล้วเหล่าทหารของดาวิดและโยอาบได้กลับมาจากการไปปล้น และนำสิ่งของที่ยึดได้มากมายมาด้วยกับพวกเขา แต่อับเนอร์ไม่ได้อยู่กับดาวิดที่เฮโบรนแล้ว ดาวิดได้ทรงส่งเขากลับไปแล้ว และเขาก็จากไปโดยสันติ 23 เมื่อโยอาบกับกองทัพทั้งสิ้นที่อยู่กับเขาได้มาถึง พวกเขาบอกโยอาบว่า “อับเนอร์บุตรชายของเนอร์ได้มาเฝ้ากษัตริย์ และพระองค์ทรงส่งเขากลับไป และอับเนอร์ได้กลับไปโดยสันติ” 24 แล้วโยอาบได้เข้าไปเฝ้ากษัตริย์และทูลว่า “พระองค์ทรงทำอะไรไปแล้ว? ดูเถิด อับเนอร์ได้มาเข้าเฝ้าพระองค์! ทำไมพระองค์จึงส่งเขาไปอย่างนี้ และเขาก็จากไปแล้ว?
25 พระองค์ไม่ทรงทราบหรือว่าอับเนอร์บุตรชายของเนอร์มาเพื่อล่อลวงพระองค์ และเพื่อทราบถึงแผนการณ์ของพระองค์ และเพื่อทราบทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์กำลังทรงกระทำ?” 26 เมื่อโยอาบเข้าเฝ้าดาวิดเสร็จแล้ว เขาส่งพวกผู้สื่อสารตามอับเนอร์ไป และพวกเขาได้นำอับเนอร์กลับมาจากบ่อน้ำแห่งสีราห์ แต่ดาวิดไม่ได้ทรงทราบเรื่องนี้ 27 เมื่ออับเนอร์ได้กลับมาถึงเฮโบรนแล้ว โยอาบนำเขาหลบเข้าไปที่กลางประตูเมืองเพื่อจะพูดกับเขาตามลำพัง ที่นั่นเองโยอาบได้แทงท้องของเขาและฆ่าเขาตาย โยอาบได้แก้แค้นโลหิตของอาสาเฮลน้องชายของเขา
28 เมื่อดาวิดได้ทรงทราบถึงเรื่องนี้ พระองค์ตรัสว่า “ตัวเราและราชอาณาจักรของเรา ปราศจากความผิดสืบไปเป็นนิตย์เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ด้วยเรื่องโลหิตของอับเนอร์บุตรชายของเนอร์ 29 ขอให้ความผิดของการตายของอับเนอร์ตกเหนือศีรษะของโยอาบ และเหนือพงศ์พันธุ์ทั้งสิ้นของบิดาเขา ขออย่าให้คนที่มีแผลเยิ้มหรือโรคผิวหนัง หรือคนที่พิการและต้องเดินโดยใช้ไม้เท้า หรือถูกฆ่าด้วยดาบ หรือคนที่ขาดแคลนอาหาร ขาดไปจากวงศ์วานของโยอาบ" 30 ดังนั้นโยอาบและอาบีชัยน้องชายของเขาได้ฆ่าอับเนอร์ เพราะอับเนอร์ได้ฆ่าอาสาเฮลน้องชายของพวกเขาในการรบที่กิเบโอน
31 ดาวิดจึงตรัสกับโยอาบ และประชาชนทุกคนที่อยู่กับพระองค์ว่า “จงฉีกเสื้อผ้าของพวกท่าน และเอาผ้ากระสอบคาดเอวไว้และจงไว้ทุกข์ต่อหน้าร่างของอับเนอร์” บัดนี้กษัตริย์ดาวิดได้เสด็จตามขบวนศพไป 32 พวกเขาจึงฝังศพอับเนอร์ไว้ที่เฮโบรน กษัตริย์ทรงกันแสงและทรงร้องเสียงดังที่อุโมงค์ฝังศพของอับเนอร์ และประชาชนทั้งปวงก็ร้องไห้เช่นเดียวกัน 33 กษัตริย์ทรงคร่ำครวญถึงอับเนอร์และร้องเพลงว่า “ควรหรือที่อับเนอร์จะตายอย่างคนเขลา?
34 มือของเจ้าก็ไม่ได้ถูกมัด เท้าของเจ้าก็ไม่ได้ติดโซ่ตรวน เหมือนอย่างคนล้มลงต่อหน้าเหล่าบุตรชายของความไม่ยุติธรรม ดังนั้นเจ้าก็ได้ล้มลง" อีกครั้งหนึ่งที่ประชาชนทั้งปวงก็ร้องไห้ถึงเขา 35 แล้วประชาชนทั้งปวงได้มาทูลดาวิดให้เสวยอาหารเมื่อเวลายังวันอยู่ แต่ดาวิดทรงปฏิญาณว่า “ขอพระเจ้าทรงลงโทษเราและทรงเพิ่มโทษนั้นด้วย ถ้าเราได้ลิ้มรสขนมปังหรือสิ่งอื่นใดก่อนดวงอาทิตย์ตก” 36 ประชาชนทั้งปวงสังเกตเห็นการโศกเศร้าของดาวิดเช่นนั้นก็พอใจ ไม่ว่าสิ่งใดก็ตามที่กษัตริย์ได้ทรงกระทำก็สร้างความพอใจให้พวกเขา
37 ดังนั้นประชาชนทั้งสิ้นและอิสราเอลทั้งปวงจึงเข้าใจในวันนั้นว่า กษัตริย์ไม่ได้ทรงมีความปรารถนาในการฆ่าอับเนอร์บุตรชายของเนอร์ 38 กษัตริย์ตรัสกับพวกมหาดเล็กของพระองค์ว่า “พวกท่านไม่ทราบหรือว่า วันนี้เจ้าชายและคนที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่งได้ล้มลงในอิสราเอล? 39 บัดนี้ เราก็อ่อนกำลังในวันนี้ ถึงแม้ว่าเราได้รับการเจิมเป็นกษัตริย์แล้ว ผู้ชายเหล่านี้ซึ่งเป็นบุตรชายของนางเศรุยาห์ก็แข็งกร้าวเกินไปสำหรับเรา ขอพระยาห์เวห์ทรงตอบสนองผู้ทำชั่วโดยการลงโทษเขาตามความชั่ว ที่เขาสมควรได้รับเถิด”
1 เมื่ออิชโบเชทโอรสของซาอูลทรงทราบว่าอับเนอร์ได้สิ้นชีวิตที่เฮโบรนแล้ว พระหัตถ์ของพระองค์ได้อ่อนลง และอิสราเอลทั้งปวงก็ท้อใจ 2 บัดนี้โอรสของซาอูลได้มีผู้ชายสองคนเป็นหัวหน้าหน่วยทหาร ชื่อของเขาคือบาอานาห์ และอีกคนหนึ่งชื่อเรคาบ ทั้งสองคนเป็นบุตรชายของริมโมน ชาวเมืองเบเอโรท คนเผ่าเบนยามิน (เพราะว่าเบเอโรทถูกนับเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเผ่าเบนยามินด้วย 3 และชาวเบเอโรทได้หนีไปยังกิททาอิม และได้อาศัยอยู่ที่นั่นจนทุกวันนี้)
4 บัดนี้ โยนาธานราชโอรสของซาอูล มีบุตรชายคนหนึ่งที่เท้าของเขาเป็นง่อย เมื่อเด็กคนนี้มีอายุห้าขวบ มีข่าวเรื่องซาอูลกับโยนาธานมาจากยิสเรเอล พี่เลี้ยงจึงอุ้มเขาลุกขึ้นหนี แต่เมื่อเธอกำลังรีบหนีไปนั้น บุตรชายของโยนาธานได้ตกลงมา และกลายเป็นง่อย เขาชื่อเมฟีโบเชท 5 ดังนั้นบุตรชายทั้งสองของริมโมนชาวเบเอโรท ที่ชื่อเรคาบและบาอานาห์นั้นได้เดินทางในช่วงที่ร้อนของกลางวัน ไปถึงวังของอิชโบเชท ขณะที่พระองค์กำลังทรงพักในตอนเที่ยง 6 ผู้หญิงที่เฝ้ายามที่ประตูได้หลับขณะฝัดร่อนข้าวสาลี และ เรคาบและบาอานาห์จึงเดินย่องเข้าไปอย่างเงียบๆ และผ่านเธอเข้าไปได้
7 ดังนั้น หลังจากที่พวกเขาทั้งสองได้เข้าไปในวังนั้น พวกเขาได้จู่โจมพระองค์และฆ่าพระองค์ในขณะที่พระองค์กำลังทรงบรรทมหลับอยู่บนพระแท่นในห้องบรรทมของพระองค์ แล้วพวกเขาตัดพระเศียรของพระองค์และนำพระเศียรนั้นไป พวกเขาได้เดินทางไปตามถนนตลอดคืนจนถึงอาราบาห์ 8 พวกเขานำพระเศียรของอิชโบเชทไปถวายดาวิดที่เมืองเฮโบรน และพวกเขาทูลกษัตริย์ว่า “ขอทรงทอดพระเนตรเถิด นี่คือพระเศียรของอิชโบเชทโอรสของซาอูลศัตรูของพระองค์ ผู้ที่ต้องการพระชนม์ชีพของพระองค์ ในวันนี้พระยาห์เวห์ทรงแก้แค้นแทนกษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์ต่อซาอูลและพงศ์พันธุ์ของซาอูล” 9 ดาวิดตรัสตอบเรคาบและบาอานาห์พี่ชายของเขาบุตรชายของริมโมนชาวเบเอโรท พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “พระยาห์เวห์ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ผู้ทรงช่วยกู้ชีวิตของเราจากความทุกข์ยากทั้งมวลฉันนั้น
10 เมื่อมีผู้ได้บอกเราว่า ‘ดูเถิด ซาอูลสิ้นพระชนม์แล้ว’ และคิดว่าเขาเป็นผู้นำข่าวดีมา เราได้จับเขาและฆ่าเสียที่ศิกลาก นั่นเป็นรางวัลที่เราให้แก่เขาสำหรับข่าวของเขานั้น 11 ยิ่งกว่านั้นเท่าใด เมื่อเหล่าคนชั่วได้ฆ่าคนชอบธรรมที่ในบ้านและบนที่นอนของเขานั้น ควรที่เราจะไม่เรียกเอาโลหิตของเขาจากมือของพวกเจ้า และขจัดพวกเจ้าเสียจากแผ่นดินหรือ?” 12 แล้วดาวิดได้ทรงบัญชาพวกคนหนุ่ม และพวกเขาฆ่าพวกเขาทั้งสอง และตัดมือและตัดเท้าของพวกเขาออก และแขวนศพพวกเขาไว้ที่ข้างสระน้ำที่เมืองเฮโบรน แต่พวกเขานำพระเศียรของอิชโบเชทไปฝังไว้ในที่ฝังศพของอับเนอร์ในเมืองเฮโบรน
1 แล้วอิสราเอลทุกเผ่าได้มาหาดาวิดที่เมืองเฮโบรน และทูลว่า “ดูเถิด พวกข้าพระองค์เป็นกระดูกและเนื้อของพระองค์ 2 ในอดีตเมื่อไม่นานมานี้เมื่อซาอูลทรงเป็นกษัตริย์เหนือเหล่าข้าพระองค์ คือเป็นพระองค์นั่นแหละที่ทรงเป็นผู้นำกองทัพของอิสราเอล พระยาห์เวห์ได้ตรัสแก่พระองค์ว่า ‘เจ้าจะนำประชาชนอิสราเอลของเราอย่างดูแลแกะ และเจ้าจะเป็นผู้ปกครองเหนืออิสราเอล’” 3 ดังนั้นพวกผู้อาวุโสทั้งหมดของอิสราเอลจึงมาเฝ้ากษัตริย์ที่เมืองเฮโบรน และกษัตริย์ดาวิดทรงทำพันธสัญญากับพวกเขาเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ พวกเขาจึงได้เจิมดาวิดให้เป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอล
4 ดาวิดทรงมีพระชนมายุได้สามสิบพรรษาเมื่อทรงเริ่มครองราชย์ และพระองค์ได้ทรงครองราชย์อยู่สี่สิบปี 5 ทรงครองราชย์เหนือยูดาห์ที่เมืองเฮโบรนเป็นเวลาเจ็ดปีหกเดือน และที่กรุงเยรูซาเล็มพระองค์ได้ทรงครองราชย์สามสิบสามปีเหนืออิสราเอลและยูดาห์ทั้งหมด 6 กษัตริย์และพวกคนของพระองค์ไปกรุงเยรูซาเล็ม ต่อสู้กับคนเยบุสพวกที่อาศัยในแผ่นดินนั้น พวกเขาได้กล่าวกับดาวิดว่า “เจ้าจะไม่เข้ามาที่นี่ เว้นแต่ว่าคนตาบอดและคนง่อยจะหันหลังให้ ดาวิดไม่สามารถเข้ามาที่นี่ได้”
7 อย่างไรก็ตาม ดาวิดทรงยึดที่กำบังเข้มแข็งของศิโยนได้ ซึ่งบัดนี้ก็คือนครของดาวิด 8 ในวันนั้นดาวิดตรัสว่า “ใครจะโจมตีคนเยบุส ก็ให้ผู้นั้นไปตามรางน้ำ ไปสู้ 'คนง่อยและคนตาบอด' ผู้เป็นพวกศัตรูของดาวิด” นั่นคือที่พวกเขาพูดว่า “อย่าให้ 'คนตาบอดและคนง่อย' เข้ามาในพระราชวัง” 9 ดังนั้น ดาวิดประทับอยู่ในที่กำบังเข้มแข็ง และเรียกที่นั้นว่านครของดาวิด พระองค์ทรงเสริมสร้างรอบเมืองจากด้านหน้าไปจนถึงข้างใน
10 ดาวิดทรงมีพลังเข้มแข็งมากขึ้น เพราะว่าพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งจอมทัพได้สถิตกับพระองค์ 11 แล้วฮีรามกษัตริย์เมืองไทระทรงส่งพวกผู้สื่อสารมาหาดาวิด และทรงส่งไม้สนสีดาร์ พวกช่างไม้ และพวกช่างก่อสร้าง พวกเขามาสร้างวังสำหรับดาวิด 12 ดาวิดทรงทราบว่า พระยาห์เวห์ทรงสถาปนาพระองค์ให้เป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอล และพระองค์ทรงยกย่องราชอาณาจักรของพระองค์ ด้วยเห็นแก่อิสราเอลประชาชนของพระองค์
13 ภายหลังที่พระองค์เสด็จจากเฮโบรนและเสด็จมาที่กรุงเยรูซาเล็ม ดาวิดทรงมีเหล่านางสนมและพวกมเหสีในเยรูซาเล็มเพิ่มขึ้นอีก และมีราชโอรสและราชธิดาประสูติใหเกับพระองค์อีก 14 ต่อไปนี้เป็นรายชื่อราชโอรสของพระองค์ที่ประสูติในเยรูซาเล็มคือ ชัมมุอา โชบับ นาธัน ซาโลมอน 15 อิบฮาร์ เอลีชูอา เนเฟก ยาเฟีย
16 เอลีชามา เอลียาดา และเอลีเฟเลท 17 บัดนี้ เมื่อคนฟีลิสเตียได้ยินว่าดาวิดทรงรับการเจิมเป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอล พวกเขาทั้งปวงก็ขึ้นไปแสวงหาดาวิด แต่ดาวิดทรงทราบเรื่องนี้และลงไปยังที่กำบังเข้มแข็ง 18 บัดนี้ คนฟีลิสเตียได้มาและขยายแนวออกที่หุบเขาเรฟาอิม
19 แล้วดาวิดทูลขอการทรงช่วยเหลือจากพระยาห์เวห์ พระองค์ได้ทูลว่า “ควรที่ข้าพระองค์จะยกขึ้นไปสู้รบกับคนฟีลิสเตียหรือไม่? พระองค์จะทรงมอบชัยชนะเหนือพวกเขาหรือไม่?” พระยาห์เวห์ตรัสกับดาวิดว่า "จงออกไปสู้รบ เพราะแน่นอนเราจะมอบชัยชนะให้แก่เจ้าเหนือพวกฟีลิสเตีย" 20 ดังนั้น ดาวิดจึงทรงโจมตีที่ บาอัลเป-ราซิม และที่นั่นเองพระองค์ทรงชนะพวกเขา พระองค์ได้ตรัสว่า “พระยาห์เวห์ทรงทะลวงเหล่าข้าศึกของข้าพระองค์ต่อหน้าข้าพระองค์ดังกระแสน้ำที่พุ่งใส่” ดังนั้น ชื่อของสถานที่นั้นจึงได้เปลี่ยนเป็น บาอัลเป-ราซิม 21 คนฟีลิสเตียได้ทิ้งรูปเคารพที่นั่น และดาวิดกับคนของพระองค์ก็ขนเอาไปเสีย
22 แล้วคนฟีลิสเตียได้ยกขึ้นมาอีก และขยายแนวอีกครั้งในหุบเขาเรฟาอิม 23 ดังนั้นดาวิดทรงเสาะแสวงหาการทรงช่วยจากพระยาห์เวห์ อีกครั้ง และพระยาห์เวห์ตรัสกับพระองค์ว่า “เจ้าอย่าขึ้นไปโจมตีด้านหน้าของพวกเขา แต่จงอ้อมไปข้างหลังของพวกเขา และเข้าถึงพวกเขาตรงหน้าหมู่ต้นยาง 24 เมื่อเจ้าได้ยินเสียงขบวนทัพในสายลมพัดผ่านยอดของต้นยาง แล้วจงรุกเข้าไปด้วยกองกำลัง จงกระทำอย่างนี้เพราะพระยาห์เวห์จะเสด็จไปข้างหน้าเจ้า เพื่อโจมตีกองทัพของคนฟีลิสเตีย” 25 ดังนั้นดาวิดได้ทรงทำตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชาไว้ พระองค์ทรงสังหารคนฟีลิสเตียจากเกบาตลอดทางมาจนถึงถึงเกเซอร์
1 บัดนี้ ดาวิดทรงรวบรวมคนอิสราเอลที่เลือกสรรแล้วทั้งหมดอีกครั้งหนึ่ง ได้สามหมื่นคน 2 ดาวิดจึงลุกขึ้นไปกับประชาชนทั้งสิ้นของพระองค์ที่อยู่กับพระองค์ที่ได้มาจากบาอาลาห์ในยูดาห์ เพื่อนำหีบของพระเจ้าขึ้นมาจากที่นั่น ซึ่งได้เรียกตามพระนาม คือพระนามของพระยาห์เวห์จอมทัพ ผู้ประทับเหนือพวกเครูบ 3 พวกเขาเอาเกวียนเล่มใหม่บรรทุกหีบของพระเจ้า พวกเขาได้นำออกมาจากบ้านของอาบีนาดับซึ่งอยู่บนเนินเขา อุสซาห์และอาหิโยพวกบุตรชายของเขาจึงขับเกวียนเล่มใหม่นั้น
4 พวกเขานำเกวียนที่ได้บรรทุกหีบของพระเจ้าออกจากบ้านของอาบีนาดับซึ่งอยู่บนเนินเขา อาหิโยได้เดินข้างหน้าหีบนั้น 5 แล้วดาวิดและพงศ์พันธุ์ทั้งสิ้นของอิสราเอลได้เริ่มสนุกสนานกันเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ เฉลิมฉลองกันด้วยเครื่องดนตรีไม้ ด้วยพิณ ด้วยพิณใหญ่ ด้วยรำมะนา ด้วยกรับ และด้วยฉาบ 6 เมื่อพวกเขามาถึงลานนวดข้าวของนาโคน เหล่าโคนั้นก็สะดุด และอุสซาห์จึงเหยียดมือของเขาออกไปจับหีบของพระเจ้าไว้ และเขาได้คว้าทั้งหีบไว้
7 แล้วพระพิโรธของพระยาห์เวห์จึงพลุ่งขึ้นต่ออุสซาห์ พระเจ้าได้ทรงประหารเขาที่นั่นเพราะความผิดของเขา อุสซาห์ได้ตายที่ข้างหีบของพระเจ้า 8 ดาวิดจึงกริ้วเพราะพระยาห์เวห์ทรงประหารอุสซาห์ และพระองค์ทรงเรียกที่ตรงนั้นว่า เปเรศอุสซาห์ สถานที่นั้นได้ชื่อว่าเปเรศอุสซาห์มาจนถึงทุกวันนี้ 9 ในวันนั้นดาวิดทรงกลัวพระยาห์เวห์ พระองค์ตรัสว่า “หีบของพระยาห์เวห์จะมาถึงข้าพระองค์ได้อย่างไรกัน?”
10 ดังนั้นดาวิดจึงไม่ทรงยอมนำหีบของพระยาห์เวห์เข้าไปกับพระองค์ในนครของดาวิด แต่พระองค์ทรงให้เลี้ยวไปที่บ้านของโอเบดเอโดมชาวกัทแทน 11 หีบของพระยาห์เวห์อยู่ที่บ้านของโอเบดเอโดมชาวกัทเป็นเวลาสามเดือน ดังนั้นพระยาห์เวห์จึงทรงอวยพรเขาและครอบครัวของเขาทุกคน 12 มีคนไปทูลกษัตริย์ดาวิดว่า “พระยาห์เวห์ทรงอวยพรครอบครัวของโอเบดเอโดม และทุกสิ่งที่เป็นของเขาเนื่องด้วยหีบของพระเจ้า” ดังนั้นดาวิดจึงเสด็จขึ้นไปนำหีบของพระเจ้าจากบ้านของโอเบดเอโดมถึงนครของดาวิดด้วยความชื่นชมยินดี
13 เมื่อพวกเขาเหล่านั้นที่กำลังหามหีบของพระยาห์เวห์เดินไปได้หกก้าว พระองค์ทรงถวายโคตัวหนึ่งกับลูกโคอ้วนตัวหนึ่ง 14 ดาวิดทรงเต้นรำเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ ด้วยสุดกำลังของพระองค์ พระองค์ทรงสวมเพียงเสื้อเอโฟดผ้าป่านเท่านั้น 15 ดังนั้นดาวิดและพงศ์พันธุ์ทั้งสิ้นของอิสราเอล ได้นำหีบของพระยาห์เวห์ขึ้นมา ด้วยเสียงโห่ร้องและด้วยเสียงแตรทั้งหลาย
16 บัดนี้ ขณะที่หีบของพระยาห์เวห์เข้ามาถึงนครของดาวิด มีคาลราชธิดาของซาอูลได้มองออกไปที่หน้าต่าง นางทรงเห็นกษัตริย์ดาวิดทรงกำลังกระโดดและทรงกำลังเต้นรำเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ แล้วนางดูหมิ่นดาวิดในใจ 17 พวกเขานำหีบของพระยาห์เวห์เข้ามาตั้งไว้ในที่กำหนด ตรงกลางเต็นท์ซึ่งดาวิดทรงกำหนดไว้ แล้วดาวิดทรงถวายเครื่องเผาบูชาและเครื่องสันติบูชาเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ 18 เมื่อดาวิดทรงเสร็จสิ้นการถวายเครื่องเผาบูชาและเครื่องสันติบูชาแล้ว พระองค์ก็ทรงอวยพรประชาชนในพระนามของพระยาห์เวห์จอมทัพ
19 แล้วพระองค์ทรงแจกขนมปังให้แก่ประชาชนทุกคน คือประชาชนอิสราเอลทั้งปวงทั้งผู้ชายและผู้หญิง ได้แก่ขนมปังคนละก้อน เนื้อหนึ่งส่วน และขนมปังลูกเกดคนละก้อน แล้วประชาชนทั้งปวงต่างก็กลับไปยังบ้านของตน 20 แล้วดาวิดทรงกลับไปอวยพรแก่ราชตระกูลของพระองค์ แต่มีคาลราชธิดาของซาอูลออกมาพบดาวิดและทูลว่า “วันนี้กษัตริย์แห่งอิสราเอลได้เกียรติยศนักหนาทีเดียวเลย ทรงถอดฉลองพระองค์วันนี้ต่อหน้าพวกสาวใช้ของเหล่าข้าราชการของพระองค์ อย่างกับไพร่คนหนึ่งแก้ผ้าไร้ยางอาย!” 21 ดาวิดทรงกล่าวตอบมีคาลว่า “เรากระทำสิ่งนั้นเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ ผู้ได้ทรงเลือกเราไว้เหนือเสด็จพ่อของเจ้า และเหนือราชวงศ์ทั้งสิ้นของพระองค์ ผู้ได้ทรงแต่งตั้งให้เราเป็นผู้นำเหนือประชาชนของพระยาห์เวห์ เหนืออิสราเอล เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์เราจึงจะเปรมปรีดิ์!
22 เราจะยอมถูกดูหมิ่นยิ่งกว่านี้ และเราจะเป็นคนต่ำต้อยในสายตาเรา แต่พวกสาวใช้ที่เจ้าได้พูดถึงนั้น สำหรับพวกเขา เราจะเป็นผู้ที่ได้รับเกียรติ” 23 ดังนั้นมีคาลราชธิดาของซาอูลจึงไม่มีบุตรจนถึงวันสิ้นชีพของนาง
1 สิ่งนี้ได้เกิดขึ้น หลังจากที่กษัตริย์ประทับในวังของพระองค์ และหลังจากที่พระยาห์เวห์ทรงให้พระองค์พักสงบจากเหล่าศัตรูรอบด้านของพระองค์ 2 กษัตริย์ได้ตรัสกับนาธันผู้เผยพระวจนะว่า “จงดูเถิด เราอยู่ในวังที่ทำด้วยไม้สนซีดาร์ แต่หีบของพระเจ้าทรงอยู่ในเต็นท์” 3 แล้วนาธันทูลกษัตริย์ว่า “ขอทรงทำทุกสิ่งตามพระทัยของพระองค์เพราะพระยาห์เวห์ทรงสถิตกับพระองค์”
4 แต่ในคืนเดียวกันนั้น พระดำรัสของพระยาห์เวห์ได้มาถึงนาธันว่า 5 “จงไปและบอกดาวิดผู้รับใช้ของเราว่า 'พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า เจ้าจะสร้างนิเวศน์ให้เราอยู่หรือ? 6 เพราะเราไม่เคยอยู่ในนิเวศน์นับแต่วันที่เรานำพงศ์พันธุ์อิสราเอลขึ้นมาจากอียิปต์จนถึงวันนี้ แต่เราเองก็ไปกับเต็นท์และกับพลับพลา
7 ในที่ต่างๆ ที่เราไปกับประชาชนอิสราเอลทั้งหมด เราเคยพูดสักคำกับผู้นำคนไหนของคนอิสราเอล ผู้ที่เราแต่งตั้งให้เขาเลี้ยงดูอิสราเอลประชาชนของเราไหมว่า "ทำไมพวกเจ้าไม่สร้างนิเวศน์ไม้สนซีดาร์ให้เรา?'"" 8 ฉะนั้น บัดนี้ จงไปบอกดาวิดผู้รับใช้ของเราว่า "นี่คือที่พระยาห์เวห์จอมทัพได้ตรัสดังนี้ว่า 'เราได้นำเจ้ามาจากทุ่งหญ้า จากการตามฝูงแกะ เพื่อให้เจ้าเป็นผู้นำเหนืออิสราเอลประชาชนของเรา 9 เราอยู่กับเจ้าทุกแห่งที่เจ้าไป เราได้กำจัดศัตรูของเจ้าทั้งหมดให้พ้นหน้าเจ้า และเราจะทำให้เจ้ามีชื่อเสียงโด่งดัง เช่นเดียวกับชื่อเสียงของพวกผู้ยิ่งใหญ่ในโลก
10 เราจะกำหนดที่หนึ่งให้อิสราเอลประชาชนของเรา และเราจะก่อตั้งพวกเขาไว้ เพื่อพวกเขาจะอยู่ในที่ของพวกเขาเองและไม่ถูกรบกวนอีกต่อไป พวกประชาชนอธรรมจะไม่ข่มเหงพวกเขาอีกดังที่พวกเขาได้กระทำในเวลาที่ผ่านมา 11 ดังที่พวกเขากระทำตั้งแต่สมัยเมื่อเราบัญชาให้พวกผู้วินิจฉัยทำเหนืออิสราเอลประชาชนของเรา บัดนี้ เราจะให้เจ้าหยุดพักสงบจากบรรดาศัตรูของเจ้า ยิ่งไปกว่านั้น เราเอง พระยาห์เวห์ประกาศกับพวกเจ้าว่าเราจะสร้างราชวงศ์ให้เจ้า 12 เมื่อวันของเจ้าครบบริบูรณ์แล้ว และเจ้าล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของเจ้า เราจะยกพงศ์พันธุ์ของเจ้าคนหนึ่งสืบต่อจากเจ้า ผู้ซึ่งเกิดมาจากตัวเจ้าเอง และเราจะสถาปนาอาณาจักรของเขา
13 เขาจะเป็นผู้สร้างนิเวศน์เพื่อนามของเรา และเราจะสถาปนาบัลลังก์แห่งอาณาจักรของเขาให้อยู่เป็นนิตย์ 14 เราจะเป็นบิดาเขา และเขาจะเป็นบุตรชายของเรา ถ้าเขาทำบาป เราจะตีสอนเขาด้วยไม้เรียวของมนุษย์และ ด้วยการเฆี่ยนอย่างบุตรของมนุษย์ทั้งหลาย 15 แต่พันธสัญญาความสัตย์ซื่อมั่นคงของเราจะไม่ละไปจากเขา ดังที่เราได้ถอดออกจากซาอูล ผู้ซึ่งเราได้ถอดออกต่อหน้าเจ้า
16 ราชวงศ์ของเจ้าและอาณาจักรของเจ้าจะตั้งมั่นอยู่ต่อหน้าเจ้านิรันดร์ และบัลลังก์ของเจ้าจะมั่นคงนิรันดร์'" 17 นาธันได้ทูลดาวิดตามถ้อยคำเหล่านี้ทั้งสิ้นและเขาทูลดาวิดตามนิมิตนี้ทั้งหมด 18 แล้วกษัตริย์ดาวิดจึงเสด็จไปประทับเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ และทูลว่า “ข้าแต่พระเจ้า พระยาห์เวห์ ข้าพระองค์เป็นใครเล่าและพงศ์พันธุ์ของข้าพระองค์เป็นใคร พระองค์จึงทรงนำข้าพระองค์มาถึงจุดนี้?
19 บัดนี้สิ่งนี้ก็ยังเป็นสิ่งเล็กน้อยในสายพระเนตรของพระองค์ พระยาห์เวห์องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ยังตรัสถึงราชวงศ์ของผู้รับใช้ของพระองค์ในอนาคต และให้ข้าพระองค์ได้รับทราบถึงชนในรุ่นต่อไปในอนาคต ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระยาห์เวห์ 20 ข้าพระองค์ ดาวิดจะทูลสิ่งใดอีกต่อพระองค์ได้อีกเล่า? พระองค์ทรงรู้จักผู้รับใช้ของพระองค์ ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์พระผู้เป็นเจ้า 21 เพื่อเห็นแก่พระดำรัสของพระองค์และเพื่อให้สำเร็จตามพระประสงค์ของพระองค์ พระองค์ทรงทำสิ่งใหญ่โตนี้ทั้งสิ้น และทรงเปิดเผยให้แก่ผู้รับใช้ของพระองค์
22 ฉะนั้น พระองค์ทรงยิ่งใหญ่ พระยาห์เวห์องค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่มีใครเสมอเหมือนพระองค์ และไม่มีพระเจ้านอกเหนือพระองค์ ตามที่หูของพวกข้าพระองค์ได้ยินมา 23 ชนชาติใดจะเหมือนอิสราเอลประชาชนของพระองค์ ชนชาติเดียวในโลกที่พระองค์ พระเจ้าเสด็จไป และทรงช่วยกู้ให้เป็นประชาชนของพระองค์? เพื่อให้พระนามของพระองค์รับเกียรติ เพื่อทรงทำสิ่งยิ่งใหญ่และพระกรณียกิจที่น่าครั่นคร้ามสำหรับแผ่นดินของพระองค์ พระองค์ได้ทรงขับไล่ชนชาติต่างๆ และบรรดาพระต่างๆ ของพวกเขาให้พ้นหน้าประชาชนของพระองค์ ซึ่งพระองค์ได้ทรงช่วยกู้ออกจากอียิปต์ 24 พระองค์ทรงตั้งอิสราเอลประชาชนของพระองค์ให้เป็นประชาชนของพระองค์ตลอดนิรันดร์ และพระองค์เองพระยาห์เวห์ได้ทรงเป็นพระเจ้าของพวกเขา
25 บัดนี้ ข้าแต่พระยาห์เวห์พระเจ้า ขอให้พระสัญญาที่พระองค์ได้ตรัสไว้เกี่ยวกับผู้รับใช้ของพระองค์ และเกี่ยวกับราชวงศ์ของเขานั้นมั่นคงอยู่เป็นนิตย์ ขอทรงทำดังที่พระองค์ได้ตรัสไว้นั้น 26 ขอพระนามของพระองค์ยิ่งใหญ่ตลอดนิรันดร์ เพื่อประชาชนจะกล่าวว่า ‘พระยาห์เวห์จอมทัพทรงเป็นพระเจ้าของอิสราเอล’ ขณะที่ราชวงศ์ดาวิด ผู้รับใช้ของพระองค์จะตั้งมั่นคงอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์ 27 เพราะพระองค์ พระยาห์เวห์จอมทัพ พระเจ้าของอิสราเอล ทรงสำแดงแก่ผู้รับใช้ของพระองค์ว่าพระองค์จะสร้างราชวงศ์ให้เขา นั้นเป็นเหตุว่า ข้าพระองค์ ผู้รับใช้ของพระองค์จึงมีใจกล้าอธิษฐานต่อพระองค์
28 บัดนี้ ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า และพระดำรัสของพระองค์ทรงวางใจได้ และพระองค์ทรงกระทำสัญญาที่ดีนี้แก่ผู้รับใช้ของพระองค์ 29 ฉะนั้น บัดนี้ ขอทรงอวยพรราชวงศ์ของผู้รับใช้ของพระองค์ เพื่อให้ดำเนินอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์เป็นนิตย์ เพราะข้าแต่พระยาห์เวห์องค์พระผู้เป็นเจ้า ได้ตรัสสิ่งเหล่านี้แล้ว และด้วยพระพรของพระองค์ ก็ขอให้ราชวงศ์ผู้รับใช้ของพระองค์ได้รับพระพรเป็นนิตย์”
1 ต่อมาเหตุการณ์นี้ได้เกิดขึ้น ดาวิดทรงโจมตีคนฟีลิสเตียและทรงปราบปรามพวกเขา ดังนั้นดาวิดจึงทรงยึดเมืองกัทและหมู่บ้านต่างๆ จากการควบคุมของคนฟีลิสเตีย 2 แล้วพระองค์ได้ทรงปราบปรามคนโมอับและทรงประเมินคนของพวกเขาโดยการให้เป็นแถว ให้เป็นแถวโดยให้พวกเขานอนลงที่พื้นดิน พระองค์ทรงประเมินให้ประหารชีวิตสองแถว และอีกแถวหนึ่งที่ทรงให้ไว้ชีวิต ดังนั้นคนโมอับก็ได้กลายเป็นข้ารับใช้ของดาวิด และเริ่มนำเครื่องบรรณาการมาถวายพระองค์ 3 แล้วดาวิดทรงโจมตีฮาดัดเอเซอร์บุตรชายของเรโหบ กษัตริย์เมืองโศบาห์ ที่กษัตริย์ฮาดัดเอเซอร์เสด็จไปฟื้นฟูอำนาจของพระองค์ที่ริมแม่น้ำยูเฟรติส
4 ดาวิดทรงยึดรถม้าศึก 1,700 คัน และทหารราบสองหมื่นคนจากเขา ดาวิดทรงตัดเอ็นขาม้ารถศึกทั้งหมด แต่ได้เหลือไว้ให้พอแก่รถม้าศึกหนึ่งร้อยคัน 5 เมื่อคนอารัม ชาวเมืองดามัสกัสมาช่วยฮาดัดเอเซอร์ กษัตริย์เมืองโศบาห์ ดาวิดทรงประหารคนอารัมเสียสองหมื่นสองพันคน 6 แล้วดาวิดได้ทรงตั้งกองทหารรักษาการณ์ไว้ท่ามกลางคนอารัมเมืองดามัสกัส และคนอารัมได้เป็นข้ารับใช้ของพระองค์ และพวกเขานำเครื่องบรรณาการมาถวาย พระยาห์เวห์ได้ประทานชัยชนะแก่ดาวิดในทุกแห่งที่ดาวิดเสด็จไป
7 ดาวิดทรงยึดพวกโล่ทองคำที่ทหารของฮาดัดเอเซอร์ถือนั้น และทรงนำไปยังกรุงเยรูซาเล็ม 8 จากเมืองเบทาห์และเมืองเบโรธัย เมืองต่างๆ ของฮาดัดเอเซอร์ กษัตริย์ดาวิดทรงยึดทองสัมฤทธิ์จำนวนมาก 9 เมื่อโทอิกษัตริย์เมืองฮามัททรงทราบว่า ดาวิดรบชนะกองทัพทั้งสิ้นของฮาดัดเอเซอร์
10 โทอิก็ทรงส่งฮาโดรัมพระโอรสของพระองค์ไปเฝ้ากษัตริย์ดาวิด เพื่อถวายคำนับและถวายพระพรพระองค์ที่ดาวิดทรงรบกับฮาดัดเอเซอร์และปราบปรามเขาลงได้ และเพราะว่าฮาดัดเอเซอร์เคยทำสงครามกับโทอิ ฮาโดรัมได้นำเครื่องเงิน เครื่องทองคำ และเครื่องทองสัมฤทธิ์ไปถวายพระองค์ด้วย 11 กษัตริย์ดาวิดทรงมอบถวายสิ่งเหล่านี้แด่พระยาห์เวห์ พร้อมกับเงินและทองคำจากประชาชาติทั้งสิ้นที่พระองค์ทรงรับชัยชนะ 12 นับตั้งแต่อารัม โมอับ พวกประชาชนของอัมโมน คนฟีลิสเตีย และอามาเลข และจากของทั้งหมดที่ยึดมาจากฮาดัดเอเซอร์โอรสของเรโหบ กษัตริย์แห่งเมืองโศบาห์
13 พระนามของดาวิดได้เลื่องลือไปเมื่อพระองค์ทรงมีชัยชนะเหนือพวกอารัมในหุบเขาแห่งเกลือ ที่มีทหารจำนวนถึงหนึ่งหมื่นแปดพันคน 14 พระองค์ทรงตั้งกองทหารรักษาการณ์ตลอดทั่วเมืองเอโดม และคนเอโดมทั้งสิ้นก็เป็นข้ารับใช้ของดาวิด พระยาห์เวห์ประทานชัยชนะให้แก่ดาวิดในทุกแห่งที่พระองค์ได้เสด็จไป 15 ดาวิดจึงทรงปกครองอิสราเอลทั้งสิ้น และพระองค์ทรงทำความยุติธรรมและความเที่ยงธรรมแก่ชนชาติของพระองค์ทั้งสิ้น
16 โยอาบบุตรชายของนางเศรุยาห์ได้เป็นแม่ทัพ และเยโฮชาฟัทบุตรชายของอาหิลูดได้เป็นเจ้าหน้าที่ผู้จดบันทึก 17 ศาโดกบุตรชายของอาหิทูบและอาหิเมเลคบุตรชายของอาบียาธาร์ได้เป็นปุโรหิต และเสไรยาห์ได้เป็นอาลักษณ์ 18 เบไนยาห์บุตรชายของเยโฮยาดาได้เป็นผู้บังคับบัญชาคนเคเรธีและคนเปเลท และบรรดาราชโอรสของดาวิดก็ได้เป็นบรรดาหัวหน้าที่ปรึกษาของกษัตริย์
1 ดาวิดได้ตรัสว่า “ยังมีพงศ์พันธุ์ของซาอูลเหลืออยู่เพื่อที่เราจะแสดงความรักมั่นคงแก่ผู้นั้นโดยเห็นแก่โยนาธานหรือไม่?” 2 มีคนรับใช้ในพงศ์พันธุ์ซาอูลคนหนึ่งชื่อศิบา และพวกเขาได้เรียกเขาให้มาเฝ้าดาวิด กษัตริย์ตรัสกับเขาว่า “เจ้าคือศิบาหรือ?” เขาทูลตอบว่า “ใช่ ข้าพระองค์คือผู้รับใช้ของพระองค์” 3 ดังนั้นกษัตริย์จึงตรัสว่า “ไม่มีใครในพงศ์พันธุ์ซาอูลเหลืออยู่แล้วหรือ ผู้ที่เราจะแสดงความรักมั่นคงของพระเจ้าต่อเขา?” ศิบาทูลกษัตริย์ว่า “โยนาธานยังทรงมีราชโอรสเหลืออยู่พระองค์หนึ่ง เท้าของเขาพิการ”
4 กษัตริย์ตรัสถามเขาว่า “เขาอยู่ที่ไหนหรือ?” ศิบาจึงทูลกษัตริย์ว่า “ดูเถิดพระเจ้าข้า เขาอยู่ในบ้านของมาคีร์บุตรชายของอัมมีเอล ในเมืองโลเดบาร์” 5 แล้วกษัตริย์ดาวิดได้ทรงส่งคนไปนำเขามาจากบ้านของมาคีร์บุตรชายของอัมมีเอล ที่โลเดบาร์ 6 ดังนั้นฟีโบเชทโอรสของโยนาธานราชโอรสของซาอูลได้มาเฝ้าดาวิดและคุกเข่าซบหน้าลงกับพื้นเพื่อคารวะแด่ดาวิด ดาวิดตรัสว่า “เมฟีโบเชทหรือนี่” เขาทูลตอบว่า “ดูเถิดพระเจ้าข้า ข้าพระองค์เป็นผู้รับใช้ของพระองค์”
7 ดาวิดตรัสกับเขาว่า “อย่ากลัวเลย เพราะเราจะแสดงความรักมั่นคงต่อเจ้าแน่นอน เพื่อเห็นแก่โยนาธานราชบิดาของเจ้า และเราจะคืนที่ดินทั้งหมดของซาอูลปู่ของเจ้าแก่เจ้า และเจ้าจะรับประทานอาหารอยู่ที่โต๊ะของเราเสมอไป” 8 เมฟีโบเชทได้คุกเข่าลงคำนับและทูลว่า “ผู้รับใช้ของพระองค์เป็นใครเล่า ซึ่งพระองค์จะทรงทอดพระเนตรด้วยความชื่นชมกับสุนัขที่ตายแล้วอย่างข้าพระองค์นี้?” 9 แล้วกษัตริย์ตรัสเรียกศิบาคนรับใช้ของซาอูล และตรัสกับเขาว่า “สิ่งของทั้งสิ้นที่เป็นของซาอูลและของพงศ์พันธุ์ของพระองค์ เราได้มอบให้แก่หลานเจ้านายของเจ้าแล้ว
10 ตัวเจ้าและบรรดาบุตรชายของเจ้าและเหล่าคนใช้ของเจ้าจะต้องทำไร่ไถนาให้เขา และเจ้าจะต้องเก็บเกี่ยวผลนั้นมาเพื่อโอรสแห่งเจ้านายเจ้าจะได้มีอาหารรับประทาน สำหรับเมฟีโบเชทหลานเจ้านายของเจ้านั้น จะต้องรับประทานอาหารที่โต๊ะของเราเสมอไป” บัดนี้ศิบามีบุตรชายสิบห้าคนและคนรับใช้ยี่สิบคน 11 แล้วศิบาจึงทูลกษัตริย์ว่า “ผู้รับใช้ของพระองค์จะทำทุกสิ่งที่กษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์ได้ทรงมีพระบัญชาแก่ผู้รับใช้ของพระองค์" กษัตริย์ตรัสต่อไปอีกว่า "สำหรับเมฟีโบเชท เขาจะรับประทานที่โต๊ะเสวยของเรา เช่นเดียวกับโอรสของกษัตริย์องค์หนึ่ง" 12 เมฟีโบเชทมีบุตรชายเล็กคนหนึ่งชื่อมีคา ทุกคนที่อาศัยอยู่ในบ้านของศิบาจึงได้เป็นคนรับใช้ของเมฟีโบเชท 13 ดังนั้นเมฟีโบเชทจึงอาศัยในเยรูซาเล็ม และเขารับประทานที่โต๊ะของกษัตริย์เสมอ แม้ว่าเท้าทั้งสองของเขาจะพิการ
1 สิ่งนี้ได้เกิดขึ้นหลังจากที่กษัตริย์แห่งคนอัมโมนได้เสด็จสวรรคต และแล้วฮานูนโอรสของพระองค์ได้ทรงขึ้นเป็นกษัตริย์แทนพระองค์ 2 ดาวิดจึงตรัสว่า “เราจะแสดงน้ำใจต่อฮานูนโอรสของนาหาช ดังที่พระบิดาของเขาทรงแสดงความกรุณาต่อเรา” ดาวิดจึงส่งพวกข้าราชการของพระองค์ไปปลอบโยนฮานูน เกี่ยวด้วยเรื่องพระบิดาของเขา พวกคนรับใช้ของดาวิดก็เข้ามาในแผ่นดินของประชาชนอัมโมน 3 แต่พวกผู้นำของคนอัมโมนได้ทูลฮานูนเจ้านายของพวกเขาว่า “พระองค์ทรงคิดว่าดาวิดทรงให้เกียรติพระบิดาของพระองค์จริงๆ หรือ ที่เขาส่งพวกคนเหล่านั้นมาเพื่อทรงปลอบโยนพระองค์? ดาวิดไม่ได้ส่งพวกข้าราชการของเขามาหาพระองค์เพื่อตรวจเมือง เพื่อสอดแนม และเพื่อจะคว่ำเมืองนี้หรือ?”
4 ดังนั้นฮานูนจึงจับพวกคนรับใช้ของดาวิดมาโกนเคราออกเสียครึ่งหนึ่ง และตัดเครื่องแต่งกายพวกเขาออกจนถึงสะโพกของพวกเขา และปล่อยไป 5 เมื่อพวกเขาทูลเรื่องนี้ให้ดาวิดทรงทราบ พระองค์ก็ส่งคนไปพบพวกเขาเหล่านั้น เพราะว่าพวกเขาได้รับความอับอายมาก และกษัตริย์ตรัสว่า “จงพักที่เมืองเยรีโคจนกว่าเคราของพวกเจ้าได้ขึ้นแล้ว จึงค่อยกลับมา” 6 เมื่อประชาชนอัมโมนเห็นว่า พวกเขาเป็นที่เกลียดชังของดาวิด ประชาชนอัมโมนจึงส่งผู้สื่อสารไปจ้างคนอารัมมาจากเมืองเบธเรโหบ และโศบาห์ เป็นทหารราบจำนวนสองหมื่นคน และกษัตริย์เมืองมาอาคาห์พร้อมด้วยกำลังคนหนึ่งพันคน และกำลังคนเมืองโทบหนึ่งหมื่นสองพันคน
7 เมื่อดาวิดทรงทราบเรื่องนี้ พระองค์จึงส่งโยอาบและกองทัพเหล่านักรบทั้งหมดไป 8 พวกคนอัมโมนก็ยกทัพออกมาและจัดแนวรบไว้ที่ทางเข้าประตูเมืองของพวกเขา ขณะที่คนอารัมจากเมืองโศบาห์และจากเมืองเรโหบ และชาวเมืองโทบและชาวเมืองมาอาคาห์ อยู่ที่พื้นที่โล่งเฉพาะพวกเขา 9 เมื่อโยอาบเห็นว่า การสู้รบนั้นขนาบเขาอยู่ทั้งข้างหน้าและข้างหลัง เขาจึงเลือกจากคนอิสราเอลทั้งหมดที่เก่งในการรบและจัดพวกเขาไว้แล้วเพื่อต่อสู้คนคนอารัม
10 สำหรับพวกทหารที่เหลืออยู่ในกองทัพ เขาจัดไว้ให้อยู่ในบังคับบัญชาของอาบีชัยน้องชายของเขาเอง และเขาได้จัดคนเหล่านั้นเข้าต่อสู้กับกองทัพของคนอัมโมน 11 โยอาบได้กล่าวว่า “อาบีชัยถ้ากำลังคนอารัมแข็งกว่ากำลังของเราก็ให้เจ้าไปช่วยเรา แต่ถ้ากำลังคนอัมโมนแข็งกว่ากำลังของเจ้า เราจะมาช่วยเจ้า 12 จงเข้มแข็งไว้ และจงให้เราแสดงความกล้าหาญทำตนให้เข้มแข็งเพื่อประชาชนของเรา และเพื่อบรรดาเมืองต่างๆ ของพระเจ้าของเรา เพื่อพระยาห์เวห์จะทรงทำตามที่พระองค์ทรงเห็นชอบตามพระประสงค์ของพระองค์”
13 ดังนั้น โยอาบกับพวกทหารของกองทัพของเขาได้บุกเข้าไปสู้รบกับคนอารัมที่ถูกกดดันให้หนีไปต่อหน้ากองทัพของอิสราเอล 14 เมื่อกองทัพของคนอัมโมนได้เห็นว่าคนอารัมหนีไปแล้ว พวกเขาก็หนีไปจากอาบีชัยด้วย และกลับเข้าไปในเมือง แล้วโยอาบจึงกลับจากการสู้รบกับประชาชนอัมโมนและกลับไปยังกรุงเยรูซาเล็ม 15 เมื่อคนอารัมได้เห็นว่า พวกเขาได้พ่ายแพ้ต่อคนอิสราเอลแล้ว พวกเขาจึงรวมตัวเข้าด้วยกันอีกครั้งหนึ่ง
16 แล้วฮาดัดเอเซอร์ส่งคนไปนำกองทหารอารัมจากอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำยูเฟรติส พวกเขาได้มายังตำบลเฮลาม โดยมีโชบัคแม่ทัพของฮาดัดเอเซอร์นำหน้าพวกเขา 17 เมื่อมีผู้ทูลดาวิดให้ทรงทราบ พระองค์ทรงรวบรวมอิสราเอลทั้งหมด ข้ามแม่น้ำจอร์แดน และมาถึงเฮลาม คนอารัมได้จัดแนวรบของพวกเขาเข้าต่อสู้ดาวิดและสู้รบกับพระองค์ 18 คนอารัมหนีไปจากคนอิสราเอล ดาวิดทรงประหารคนอารัมซึ่งเป็นทหารรถม้าศึกเจ็ดร้อยคน และทหารม้าสี่หมื่นคน และโชบัคแม่ทัพของพวกเขาได้รับบาดเจ็บและตายที่นั่น 19 เมื่อบรรดากษัตริย์พวกผู้รับใช้ของฮาดัดเอเซอร์เห็นว่า พวกเขาพ่ายแพ้ต่ออิสราเอล พวกเขาได้ทำสัญญายอมสงบศึกกับอิสราเอล และยอมรับใช้พวกเขา ดังนั้นคนอารัมจึงกลัวที่จะช่วยประชาชนของคนอัมโมนอีกต่อไป
1 แล้วสิ่งนี้ได้เกิดขึ้นในฤดูใบไม้ผลิ ในเวลาที่บรรดากษัตริย์โดยปกติก็ทรงออกไปรบ ที่ดาวิดทรงส่งโยอาบพร้อมกับพวกทหาร และกองทัพของอิสราเอลทั้งหมด พวกเขาไปทำลายกองทัพของคนอัมโมนและล้อมเมืองรับบาห์ไว้ แต่ดาวิดประทับที่กรุงเยรูซาเล็ม 2 ดังนั้นมันเกิดขึ้นในเวลาเย็นวันหนึ่ง เมื่อดาวิดทรงลุกขึ้นจากพระแท่นของพระองค์ และเดินอยู่บนดาดฟ้าหลังคาพระราชวังของพระองค์ จากที่นั่นพระองค์ทอดพระเนตรผู้หญิงคนหนึ่งกำลังอาบน้ำอยู่ และผู้หญิงคนนั้นสวยงามน่าดูมาก 3 ดังนั้นดาวิดทรงส่งคนไปและถามคนทั้งหลายที่รู้เรื่องเกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้น บางคนทูลว่า “ผู้หญิงนี้คือบัทเชบา บุตรีของเอลีอัม และนางเป็นภรรยาของอุรียาห์คนฮิตไทต์ไม่ใช่หรือ?”
4 ดาวิดจึงส่งพวกผู้สื่อสารไป และได้นำนางมา นางมาเฝ้าพระองค์ แล้วพระองค์ได้ทรงหลับนอนกับนาง (เพราะว่านางชำระตัวจากมลทินของนางแล้ว) แล้วนางก็กลับไปบ้านของนาง 5 ผู้หญิงนั้นได้ตั้งครรภ์ และนางจึงส่งคนไปและทูลดาวิด นางได้ทูลว่า “หม่อมฉันตั้งครรภ์แล้ว” 6 ดาวิดจส่งคนไปหาโยอาบบอกว่า “จงส่งอุรียาห์คนฮิตไทต์มาให้เรา” ดังนั้นโยอาบจึงส่งอุรียาห์ไปให้ดาวิด
7 เมื่ออุรียาห์มาเฝ้าพระองค์ ดาวิดได้รับสั่งถามว่าโยอาบเป็นอย่างไรบ้าง กองทัพเป็นอย่างไรบ้าง และสงครามเป็นอย่างไรบ้าง 8 ดาวิดรับสั่งกับอุรียาห์ว่า “จงลงไปบ้านของเจ้า และให้ล้างเท้าของเจ้าเสีย” ดังนั้นอุรียาห์ก็ออกไปจากพระราชวังของกษัตริย์ และกษัตริย์ส่งของประทานไปให้อุรียาห์หลังจากที่เขาจากไปแล้ว 9 แต่อุรียาห์นอนที่ประตูพระราชวังของกษัตริย์ พร้อมกับมหาดเล็กทั้งหมดของนายของเขา และเขาไม่ได้ลงไปที่บ้านของเขา
10 เมื่อพวกเขาทูลดาวิดว่า “อุรียาห์ไม่ได้ลงไปที่บ้านของเขา” ดาวิดได้รับสั่งแก่อุรียาห์ว่า “เจ้าเดินทางมาไม่ใช่หรือ? ทำไมเจ้าไม่ลงไปบ้านของเจ้า?” 11 อุรียาห์ทูลตอบดาวิดว่า “หีบพันธสัญญาและอิสราเอลและยูดาห์อยู่ในเต็นท์ และโยอาบนายของข้าพระองค์ กับบรรดาข้าราชการของเจ้านายของข้าพระองค์ตั้งค่ายอยู่ที่พื้นที่โล่ง แล้วข้าพระองค์เองจะไปที่บ้านของข้าพระองค์เพื่อกิน ดื่มและนอนกับภรรยาของข้าพระองค์ได้อย่างไร? พระองค์ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ข้าพระองค์จะไม่ทำอย่างนี้เลย” 12 ดังนั้นดาวิดจึงรับสั่งแก่อุรียาห์ว่า “วันนี้ก็ให้ค้างเสียที่นี่เถิด และพรุ่งนี้เราจะให้เจ้าไป” ดังนั้นอุรียาห์จึงค้างอยู่ในกรุงเยรูซาเล็มในวันนั้นและวันต่อมา
13 เมื่อดาวิดได้ทรงเรียกเขามา เขาก็ได้มารับประทานและดื่มเฉพาะพระพักตร์พระองค์ และดาวิดทรงทำให้เขามึนเมา ในตอนเย็นอุรียาห์ก็ได้ออกไปนอนในที่นอนกับพวกข้าราชการของเจ้านายของเขา เขาไม่ได้ลงไปบ้านของเขา 14 ดังนั้นพอรุ่งเช้าดาวิดทรงเขียนพระราชสารถึงโยอาบ และส่งไปกับมืออุรียาห์ 15 ดาวิดทรงเขียนในพระราชสารนั้นว่า “จงตั้งอุรียาห์ให้อยู่แนวหน้าของการรบที่ดุเดือดที่สุด แล้วให้พวกเจ้าถอยไปจากเขา เพื่อให้เขาถูกตีและถูกฆ่าตาย”
16 ดังนั้นขณะเมื่อโยอาบเฝ้าล้อมเมืองอยู่ เขาจึงกำหนดให้อุรียาห์ไปที่ที่เขาได้ทราบว่ามีพวกทหารของพวกศัตรูที่เข้มแข็งที่สุดที่กำลังสู้รบอยู่ 17 เมื่อคนของเมืองนั้นออกมาสู้รบกับกองทัพของโยอาบ มีทหารบางคนของดาวิดล้มตาย และอุรียาห์คนฮิตไทต์ก็ถูกฆ่าตายที่นั่นด้วย 18 เมื่อโยอาบส่งถ้อยคำไปทูลดาวิดเรื่องการรบทั้งสิ้นให้ทรงทราบเกี่ยวกับสงคราม
19 เขาได้สั่งผู้สื่อสารนั้นว่า “เมื่อเจ้าทูลเรื่องราวการรบทั้งสิ้นต่อกษัตริย์เสร็จแล้ว 20 อาจจะเกิดขึ้นได้ว่ากษัตริย์กริ้วขึ้นมาและพระองค์ตรัสถามเจ้าว่า ‘ทำไมพวกเจ้าจึงเข้าสู้รบใกล้เมืองนั้น? พวกเจ้าไม่รู้หรือว่าพวกเขาจะยิงจากกำแพง? 21 ใครฆ่าอาบีเมเลคบุตรเยรุบเบเชท? ไม่ใช่ผู้หญิงคนหนึ่งเอาหินโม่ทุ่มเขาจากกำแพงเมือง ดังนั้นเขาได้ตายที่เมืองเธเบศหรือ? ทำไมพวกเจ้าจึงเข้าไปใกล้กำแพง?’ แล้วให้เจ้าทูลว่า ‘อุรียาห์คนฮิตไทต์ผู้รับใช้ของพระองค์ก็ได้ตายด้วย’”
22 ดังนั้นผู้สื่อสารได้จากไป เขามาเฝ้าดาวิดและทูลพระองค์ให้ทรงทราบทุกอย่างตามที่โยอาบได้สั่งเขามา 23 แล้วผู้สื่อสารนั้นได้ทูลดาวิดว่า “พวกศัตรูมีกำลังเหนือเราในตอนแรก พวกเขาได้ออกมาสู้กับเราที่กลางทุ่งนา แต่เราไล่พวกเขาให้กลับไปถึงทางเข้าประตูเมือง 24 แล้วพลธนูของพวกเขาก็ได้ยิงเหล่าทหารของพระองค์จากกำแพง และทหารของกษัตริย์บางคนได้สิ้นชีวิต และอุรียาห์คนฮิตไทต์ผู้รับใช้ของพระองค์ได้สิ้นชีวิตด้วย”
25 แล้วดาวิดรับสั่งผู้สื่อสารนั้นว่า “จงกล่าวกับโยอาบว่า ‘อย่าให้เรื่องนี้ทำให้เจ้าทุกข์ใจ เพราะดาบย่อมสังหารไม่ว่าคนนั้นหรือคนนี้ จงสู้รบให้เข้มแข็งและให้เข้มแข็งยิ่งขึ้นเพื่อต่อสู้เมืองนั้น และทำลายเสียให้ได้’ และให้กำลังใจเขา” 26 ดังนั้นเมื่อภรรยาของอุรียาห์ทราบว่า อุรียาห์สามีของนางสิ้นชีวิตแล้ว นางก็ได้คร่ำครวญอย่างหนักเรื่องสามีของนาง 27 เมื่อการไว้ทุกข์ของนางได้ผ่านไปแล้ว ดาวิดส่งคนไปให้รับนางมาที่พระราชวังของพระองค์ และนางได้เป็นมเหสีของพระองค์ และประสูติโอรสองค์หนึ่งให้พระองค์ แต่สิ่งซึ่งดาวิดได้ทรงกระทำนั้นไม่เป็นที่พอพระทัยของพระยาห์เวห์
1 แล้วพระยาห์เวห์ทรงใช้นาธันไปหาดาวิด นาธันได้ไปเข้าเฝ้าและทูลพระองค์ว่า "ยังมีผู้ชายสองคน อาศัยอยู่ในเมืองหนึ่ง ผู้ชายคนหนึ่งมั่งมี และอีกคนหนึ่งยากจน 2 ผู้ชายคนมั่งมีนั้นมีแพะ แกะ และโคมากมาย 3 แต่ผู้ชายคนยากจนนั้นไม่มีอะไรเลย เว้นแต่ลูกแกะตัวเมียตัวเล็กๆ ตัวเดียวที่ได้เขาซื้อมา และเลี้ยงไว้ และเติบโตขึ้นมากับเขาและบรรดาบุตรทั้งหลายของเขา ลูกแกะนั้นกินอาหารร่วมกับเขาด้วย และได้ดื่มจากถ้วยเดียวกับเขา และมันได้นอนในอ้อมแขนของเขา และเป็นเหมือนบุตรสาวของเขา
4 วันหนึ่งมีแขกคนหนึ่งได้เดินทางมาหาคนมั่งมี แต่คนมั่งมีไม่เต็มใจที่จะเอาสัตว์จากฝูงวัวและแกะของเขามาทำอาหารสำหรับเลี้ยงแขก เขาจึงเอาลูกแกะตัวเมียของคนจนนั้นและเตรียมเป็นอาหารให้แก่แขกของเขา” 5 ดาวิดได้กริ้วผู้ชายที่มั่งมีคนนั้นมาก และรับสั่งแก่นาธันว่า “พระยาห์เวห์ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ผู้ชายคนที่ทำเช่นนั้นสมควรตาย 6 เขาจะต้องชดใช้คืนลูกแกะให้สี่เท่าเพราะเขาทำสิ่งนี้ และเพราะว่าเขาไม่มีความเมตตาต่อผู้ชายที่ยากจน”
7 นาธันจึงทูลดาวิดว่า “พระองค์นั่นแหละคือผู้ชายคนนั้น พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสว่า ‘เราได้เจิมตั้งเจ้าไว้ให้เป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอล และเราได้ช่วยกู้เจ้าให้พ้นจากมือของซาอูล 8 เราได้มอบราชวงศ์เจ้านายของเจ้าให้เจ้า และได้มอบเหล่ามเหสีของเจ้านายของเจ้าไว้ในอ้อมแขนของเจ้า เราได้มอบวงศ์วานของอิสราเอลและยูดาห์ให้แก่เจ้าด้วยเช่นกัน แต่ถ้าเท่านี้ยังน้อยเกินไป เราจะเพิ่มให้มากมายกว่านี้ 9 ดังนั้นทำไมเจ้าถึงได้ดูหมิ่นพระบัญชาของพระยาห์เวห์ ทำสิ่งที่ชั่วในสายพระเนตรของพระองค์? เจ้าประหารอุรียาห์คนฮิตไทต์ด้วยดาบ และเอาภรรยาของเขามาเป็นภรรยาของเจ้า เจ้าฆ่าเขาเสียด้วยดาบของกองทัพของคนอัมโมน
10 ดังนั้น บัดนี้ดาบนั้นจะไม่คลาดไปจากราชวงศ์ของเจ้า เพราะเจ้าได้ดูหมิ่นเรา และเอาภรรยาของอุรียาห์คนฮิตไทต์มาเป็นภรรยาของเจ้า’ 11 พระยาห์เวห์ตรัสว่า 'นี่แน่ะ เราจะให้เหตุร้ายเกิดขึ้นกับเจ้า จากครอบครัวของเจ้าเอง ต่อหน้าต่อตาเจ้า เราจะเอาบรรดาภรรยาของเจ้าไปให้เพื่อนของเจ้า และเขาจะนอนร่วมกับบรรดาภรรยาของเจ้าอย่างเปิดเผย 12 เพราะเจ้าได้ทำบาปของเจ้านั้นอย่างลับๆ แต่เราจะทำการนี้ต่อหน้าอิสราเอลทั้งสิ้นอย่างเปิดเผย’”
13 แล้วดาวิดจึงตรัสกับนาธันว่า “เราได้กระทำบาปต่อพระยาห์เวห์แล้ว” นาธันทูลดาวิดว่า “พระยาห์เวห์ทรงให้อภัยบาปของพระองค์แล้วเช่นกัน พระองค์เองจะไม่ถูกปลงพระชนม์ 14 อย่างไรก็ตาม เพราะพระองค์ทรงหมิ่นประมาทพระยาห์เวห์แล้ว ด้วยการกระทำครั้งนี้ ราชโอรสที่ประสูติมานั้นจะสิ้นพระชนม์แน่นอน” 15 แล้วนาธันก็จากไป กลับไปยังบ้านของเขา แล้วพระยาห์เวห์ทรงทำให้ราชโอรส ซึ่งภรรยาของอุรียาห์ประสูติให้แก่ดาวิดนั้นป่วย และพระราชโอรสนั้นได้ประชวรหนัก
16 ดาวิดได้ทรงอ้อนวอนต่อพระเจ้าเพื่อพระกุมารนั้น ดาวิดทรงอดอาหารและเสด็จเข้าไปข้างในและบรรทมบนพื้นตลอดคืน 17 พวกผู้อาวุโสในวังของพระองค์ก็ลุกขึ้นและมายืนอยู่ข้างพระองค์ เพื่อจะยกพระองค์ขึ้นจากพื้น แต่พระองค์ไม่ทรงยอมลุกขึ้นและพระองค์ไม่เสวยกับพวกเขา 18 แล้วเหตุการณ์นี้ได้เกิดขึ้น พอวันที่เจ็ดพระกุมารนั้นก็สิ้นพระชนม์ ส่วนข้าราชการของดาวิดก็กลัว ไม่กล้าทูลพระองค์ว่าพระกุมารนั้นสิ้นพระชนม์แล้ว เพราะพวกเขาพูดกันว่า “ดูสิ ขณะที่พระกุมารยังทรงพระชนม์อยู่ พวกเราทูลต่อพระองค์ แต่พระองค์ก็ไม่ได้ทรงฟังเสียงของพวกเราเลย พระองค์ก็อาจทำอะไรต่อตัวพระองค์เองหรือไม่ ถ้าพวกเราทูลพระองค์ว่าพระกุมารนั้นสิ้นพระชนม์แล้ว?”
19 แต่เมื่อดาวิดได้ทอดพระเนตรเหล่าข้าราชการกำลังกระซิบกระซาบกันอยู่ ดาวิดก็เข้าพระทัยว่าพระกุมารนั้นได้สิ้นพระชนม์แล้ว พระองค์จึงรับสั่งกับข้าราชการของพระองค์ว่า “เด็กนั้นสิ้นชีวิตแล้วหรือ?” พวกเขาทูลตอบว่า “สิ้นพระชนม์แล้ว ใช่” 20 แล้วดาวิดก็ทรงลุกขึ้นจากพื้นและชำระพระกายของพระองค์ ชโลมพระองค์ เปลี่ยนฉลองพระองค์ พระองค์ดำเนินเข้าไปในพระนิเวศของพระยาห์เวห์และได้นมัสการที่นั่น และหลังจากนั้นแล้วพระองค์ได้เสด็จกลับพระราชวังของพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงรับสั่งให้จัดอาหารมา พวกเขาก็จัดพระกระยาหารต่อหน้าพระพักตร์พระองค์ และพระองค์ได้เสวย 21 แล้วเหล่าข้าราชการของพระองค์จึงทูลถามพระองค์ว่า “ทำไมพระองค์ทรงทำเช่นนี้? พระองค์ทรงอดอาหารและทรงกันแสงเพื่อพระกุมารนั้นในขณะที่พระองค์ทรงพระชนม์อยู่ แต่เมื่อพระกุมารนั้นสิ้นพระชนม์แล้ว พระองค์ก็ทรงลุกขึ้นเสวยอาหาร”
22 ดาวิดตรัสตอบว่า “เมื่อเด็กนั้นมีชีวิตอยู่ เราได้อดอาหารและร้องไห้ เพราะเราว่า ‘ใครจะทราบได้ว่าพระยาห์เวห์จะทรงเมตตาต่อเราหรือไม่ ที่จะทรงโปรดให้เด็กนั้นมีชีวิตต่อได้?’ 23 แต่เดี๋ยวนี้เขาได้สิ้นชีวิตแล้ว เราจะอดอาหารทำไม? เราจะทำเด็กให้ฟื้นขึ้นมาได้หรือ? เราจะตามเด็กนั้นไป แต่เขาจะไม่กลับมาหาเรา” 24 ดาวิดทรงปลอบโยนบัทเชบามเหสีของพระองค์ และทรงเข้าไปหาพระนาง และทรงหลับนอนกับพระนาง พระนางก็ประสูติโอรสองค์หนึ่งชื่อซาโลมอน พระยาห์เวห์ทรงรักพระองค์
25 และพระองค์ทรงใช้นาธันผู้เผยพระวจนะไป ตั้งชื่อพระราชโอรสนั้นว่า เยดีดิยาห์ เพราะพระยาห์เวห์ทรงรักพระองค์ 26 บัดนี้โยอาบสู้รบกับเมืองรับบาห์ของคนอัมโมน และเขายึดเมืองหลวงนั้นได้ 27 ดังนั้นโยอาบจึงส่งผู้สื่อสารไปเฝ้าดาวิด และทูลว่า “ข้าพระองค์ได้สู้รบกับเมืองรับบาห์ และข้าพระองค์ยึดแหล่งน้ำของเมืองนั้นได้แล้ว
28 บัดนี้ขอพระองค์ทรงรวบรวมทหารที่เหลือ และตั้งค่ายตีเมืองนั้นและยึดให้ได้ เพราะเกรงว่าถ้าข้าพระองค์ตีได้ ก็จะเรียกชื่อเมืองนั้นตามชื่อของข้าพระองค์” 29 ดังนั้นดาวิดจึงทรงรวบรวมทหารทั้งหมดและยกไปยังเมืองรับบาห์ พระองค์ทรงต่อสู้และยึดเมืองนั้นได้ 30 ดาวิดทรงริบมงกุฎจากเศียรของกษัตริย์ของพวกเขา มงกุฎนั้นเป็นทองคำหนักหนึ่งตะลันต์ ประดับด้วยเพชรพลอย เขาก็สวมบนพระเศียรของดาวิด แล้วพระองค์ทรงริบทรัพย์สมบัติของเมืองนั้นออกไปอย่างมากมาย 31 พระองค์ทรงนำประชาชนที่อยู่ในเมืองนั้นออกมา และทรงบังคับให้ทำงานด้วยเลื่อยต่างๆ คราดเหล็กต่างๆ และขวานเหล็กต่างๆ พระองค์ทรงให้พวกเขาทำงานที่เตาเผาอิฐ ดาวิดทรงให้เมืองทั้งหมดของคนอัมโมนทำงานใช้แรงงานนี้ แล้วดาวิดก็เสด็จกลับไปกรุงเยรูซาเล็มพร้อมกับทหารทั้งสิ้น
1 เหตุการณ์เหล่านี้ได้เกิดขึ้นหลังจากที่ อัมโนนพระราชโอรสของดาวิด ทรงหลงรักทามาร์พระขนิษฐาต่างพระมารดาของพระองค์ที่งดงาม ชื่อทามาร์ ผู้ซึ่งเป็นพระขนิษฐาจริงๆ ของอับซาโลม ราชบุตรอีกพระองค์หนึ่งของดาวิด 2 อัมโนนทรงคับอกคับใจจนล้มป่วยเนื่องด้วยพระขนิษฐาทามาร์ เธอเป็นสาวพรหมจารี และดูเหมือนว่าจะเป็นไปไม่ได้สำหรับอัมโนนที่จะทำอะไรกับเธอได้ 3 แต่อัมโนนมีสหายคนหนึ่งชื่อเยโฮนาดับบุตรชายของชิเมอาห์พระเชษฐาของดาวิด เยโฮนาดับนั้นเป็นคนเจ้าปัญญา
4 เยโฮนาดับจึงทูลอัมโนนว่า “ทำไมราชโอรสของกษัตริย์จึงทรงซึมเศร้าเช่นนี้ทุกเช้า? พระองค์จะไม่ทรงบอกให้ข้าพระองค์ทราบบ้างหรือ?” ดังนั้นอัมโนนจึงตอบเขาว่า “เรารักทามาร์น้องหญิงของอับซาโลมน้องชายของเรา” 5 แล้ว เยโฮนาดับจึงทูลพระองค์ว่า “ขอเชิญบรรทมบนพระแท่น และแสร้งทำเป็นประชวร เมื่อเสด็จพ่อของพระองค์เสด็จมาเยี่ยม ก็ให้ทูลว่า ‘ขอโปรดให้ทามาร์น้องหญิงของข้าพระองค์มาให้อาหารแก่ข้าพระองค์ และมาเตรียมอาหารต่อหน้าข้าพระองค์ เพื่อข้าพระองค์จะได้เห็น และรับประทานจากมือของเธอ?’” 6 ดังนั้น อัมโนนจึงบรรทม และแสร้งทำเป็นประชวร เมื่อกษัตริย์เสด็จมาเยี่ยม อัมโนนก็ทูลกษัตริย์ว่า “ขอโปรดให้ทามาร์น้องหญิงมาทำอาหารต่อหน้าข้าพระองค์ เพื่อที่ข้าพระองค์จะได้รับประทานจากมือของเธอ”
7 แล้วดาวิดก็ทรงใช้คนไปแจ้งทามาร์ที่วังของพระองค์ว่า “จงไปที่วังของอัมโนนพี่ของเจ้า และทำอาหารให้เขา” 8 ดังนั้นทามาร์ก็ไปยังวังของอัมโนนพระเชษฐาของเธอ ที่เขากำลังได้บรรทมอยู่ เธอได้หยิบแป้งมาและได้นวด และทำขนมต่อหน้าพระพักตร์ของพระองค์ 9 เธอได้ปิ้งขนม เธอก็ได้ยกกระทะมาและให้ขนมนั้นต่อพระเชษฐา แต่อัมโนนได้ทรงปฏิเสธที่จะเสวย แล้วอัมโนนได้ตรัสกับคนอื่นๆ ที่อยู่ในนั้นว่า “ให้ทุกคนออกไป ออกไปจากเรา” ดังนั้นทุกคนก็ออกไปจากพระองค์
10 ดังนั้นอัมโนนได้รับสั่งกับทามาร์ว่า “จงเอาอาหารเข้ามาในห้องของพี่ เพื่อพี่จะรับประทานจากมือของน้อง” ดังนั้นทามาร์ได้นำขนมที่เธอทำนั้นและนำเข้าไปในห้องให้อัมโนนพระเชษฐาของเธอ 11 เมื่อเธอนำขนมมาใกล้พระองค์ อัมโนนก็ทรงจับเธอไว้ และตรัสว่า “มาเถิด เข้ามาหลับนอนกับพี่” 12 เธอจึงตอบพระองค์ว่า “อย่าเลย พระเชษฐาของหม่อมฉัน อย่าบังคับหม่อมฉันเลย สิ่งอย่างนี้เขาไม่ทำกันในอิสราเอล อย่าทำเรื่องที่น่ากลัวอย่างนี้เลย
13 หม่อมฉันจะขจัดความอายนี้ไปได้อย่างไร? ส่วนพระเชษฐาเล่า? พระองค์ก็จะเป็นคนโฉดเขลาคนหนึ่งในอิสราเอล บัดนี้ขอทูลกษัตริย์เถิด พระองค์จะไม่หวงหม่อมฉันไว้จากพระองค์” 14 อย่างไรก็ตามอัมโนนไม่ยอมฟังเสียงเธอ เพราะพระองค์ทรงมีกำลังมากกว่าทามาร์ พระองค์จึงทรงบังคับเธอและนอนกับเธอ 15 แล้วอัมโนนก็ทรงเกลียดเธอด้วยความเกลียดชังที่สุด พระองค์ทรงเกลียดชังเธอมากยิ่งกว่าความปรารถนาซึ่งพระองค์ทรงเคยมีต่อเธอ อัมโนนตรัสกับเธอว่า “จงลุกขึ้นไปให้พ้น”
16 แต่เธอตอบพระองค์ว่า “ไม่ เพราะความผิดใหญ่หลวงนี้ ที่จะทรงขับไล่หม่อมฉันไปก็มากกว่าสิ่งที่พระองค์ได้ทรงกระทำกับหม่อมฉัน” แต่อัมโนนไม่ทรงยอมฟังเธอ 17 แต่ทรงเรียกมหาดเล็กส่วนพระองค์และตรัสว่า “จงเอาผู้หญิงคนนี้ออกไปให้พ้นเรา แล้วปิดประตูใส่กลอนหลังจากเธอออกไป” 18 และมหาดเล็กของพระองค์ก็นำเธอออกไปและปิดประตูใส่กลอนหลังเธอ ทามาร์สวมเสื้อคลุมยาวที่ได้ประดับประดา เพราะเหล่าพระราชธิดาของกษัตริย์ที่ยังเป็นหญิงพรหมจารีสวมกันเช่นนั้น
19 ทามาร์ก็เอาขี้เถ้าใส่ที่ศีรษะของเธอและฉีกเสื้อคลุมยาวของเธอ เธอเอามือทั้งสองข้างของเธอกุมศีรษะและเดินไป ร้องไห้เสียงดังขณะที่เธอได้เดินไป 20 อับซาโลมพระเชษฐาของเธอก็ตรัสกับเธอว่า “อัมโนนพระเชษฐาของน้องได้อยู่กับน้องหรือ? แต่ บัดนี้ จงนิ่งเสีย น้องของพี่ เขาเป็นพี่ของเจ้า อย่าทุกข์ใจเพราะเรื่องนี้เลย” ดังนั้นทามาร์ได้อยู่เดียวดายในวังของอับซาโลมพระเชษฐา 21 แต่เมื่อกษัตริย์ดาวิดทรงทราบเรื่องเหล่านี้ทั้งสิ้น พระองค์ก็กริ้วยิ่งนัก
22 อับซาโลมไม่ได้พูดกับอัมโนนเลย เพราะอับซาโลมเกลียดชังพระองค์มากในสิ่งที่พระองค์ทำกับทามาร์น้องหญิงของพระองค์ได้อับอาย 23 แล้วสิ่งนี้ก็เกิดขึ้น ต่อมาอีกสองปีเต็ม ที่อับซาโลมจัดงานตัดขนแกะที่ตำบลบาอัลฮาโซร์ ซึ่งอยู่ใกล้เอฟราอิม และอับซาโลมเชิญพระราชโอรสทั้งสิ้นของกษัตริย์ไปในงานนั้น 24 อับซาโลมไปเฝ้ากษัตริย์ และทูลว่า “ดูเถิด ผู้รับใช้ของพระองค์มีงานตัดขนแกะ ขอทูลเชิญกษัตริย์พร้อมด้วยมหาดเล็กของพระองค์ไปในงานนั้นไปกับข้าพระองค์ผู้รับใช้ของพระองค์”
25 กษัตริย์ตรัสกับอับซาโลมว่า “ไม่ ลูกเอ๋ย อย่าเลย พวกเราทุกคนไม่ควรไปกันหมดเลย เพราะว่าพวกเราจะเป็นภาระแก่เจ้า” อับซาโลมได้ทรงคะยั้นคะยอกษัตริย์ แต่พระองค์ไม่ยอมเสด็จไป แต่พระองค์ทรงอวยพรให้อับซาโลม 26 แล้วอับซาโลมจึงทูลว่า “ถ้าไม่โปรดเสด็จ ก็ขอทรงโปรดอนุญาตให้อัมโนนพระเชษฐาของข้าพระองค์ไปด้วยกันกับพวกเราเถิด” ดังนั้นกษัตริย์ได้ตรัสว่า “ทำไมจะให้อัมโนนไปกับเจ้าด้วย?” 27 อับซาโลมได้ทูลคะยั้นคะยอดาวิด และดังนั้นพระองค์จึงทรงให้อัมโนนและพระราชโอรสของกษัตริย์ทั้งสิ้นไปด้วยกันกับพระองค์
28 อับซาโลมทรงบัญชาพวกมหาดเล็กของพระองค์ว่า “จงคอยดูอย่างใกล้ชิด เมื่ออัมโนนเริ่มเมาเหล้าองุ่นเมื่อไร และเมื่อเราสั่งพวกเจ้าว่า ‘จงประหารอัมโนน’ แล้วจงฆ่าเขาเสีย อย่ากลัวเลย เราเองสั่งพวกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือ? จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด” 29 ดังนั้นพวกมหาดเล็กของอับซาโลมได้ทำกับอัมโนนตามที่อับซาโลมได้ทรงบัญชาไว้ แล้วพระราชโอรสทั้งหมดของกษัตริย์ได้ลุกขึ้น และทุกพระองค์ได้ทรงล่อของแต่ละพระองค์และหนีไป 30 ดังนั้น สิ่งนี้ได้เกิดขึ้น ขณะเมื่อเหล่าราชโอรสทรงดำเนินอยู่ตามทาง มีข่าวไปถึงดาวิดว่า “อับซาโลมทรงประหารพระราชโอรสของพระราชาทั้งหมดแล้ว และไม่เหลือรอดอยู่สักพระองค์เดียว”
31 แล้วกษัตริย์ทรงลุกขึ้นและฉีกฉลองพระองค์ และบรรทมบนพื้น ข้าราชการทั้งสิ้นได้สวมเสื้อผ้าฉีกขาดยืนเฝ้าอยู่ 32 เยโฮนาดับบุตรชายของชิเมอาห์พระเชษฐาของดาวิด ได้ทรงตอบและทูลว่า “ขออย่าให้เจ้านายของข้าพระองค์สำคัญผิดไปว่า พวกเขาได้ประหารคนหนุ่มแน่นทั้งหมดที่เป็นพระราชโอรสของกษัตริย์ เพราะว่าอัมโนนสิ้นพระชนม์แต่ผู้เดียว อับซาโลมทรงวางแผนการณ์นี้ตั้งแต่วันที่อัมโนนทรงกระทำรุนแรงต่อทามาร์น้องหญิงของท่าน 33 เพราะฉะนั้น ขอกษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์อย่าทุกข์พระทัย ด้วยทรงเชื่อว่า พระราชโอรสทั้งหมดของพระองค์สิ้นพระชนม์ เพราะอัมโนนสิ้นพระชนม์แต่พระองค์เดียว”
34 อับซาโลมได้หนีไป ทหารยามได้เงยหน้าขึ้นมองและเห็นคนจำนวนมากกำลังมาจากถนนตามเชิงเขาทางด้านตะวันตกของเขา 35 แล้วเยโฮนาดับจึงทูลกษัตริย์ว่า “ดูเถิด บรรดาพระราชโอรสกำลังเสด็จมาแล้ว สิ่งนี้เป็นจริงตามถ้อยคำที่ผู้รับใช้ของพระองค์ได้ทูลแล้ว” 36 ดังนั้น สิ่งนี้ได้เกิดขึ้น เมื่อเขาได้พูดจบลง บรรดาพระราชโอรสของกษัตริย์ก็ได้เสด็จมาถึง และทรงร้องเสียงดังและทรงกันแสง กษัตริย์ก็ทรงกันแสง และบรรดาข้าราชการก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยเช่นกัน
37 แต่อับซาโลมได้เสด็จหนีไปและเข้าเฝ้าทัลมัย พระราชโอรสของอัมมีฮูด กษัตริย์เมืองเกชูร์ ดาวิดทรงไว้ทุกข์ให้พระราชโอรสของพระองค์ทุกวัน 38 ดังนั้น อับซาโลมได้เสด็จหนีไปยังเมืองเกชูร์ และทรงอยู่ที่นั่นสามปี 39 พระทัยของกษัตริย์ดาวิดก็ทรงอาลัยถึงอับซาโลม เพราะพระองค์ทรงรับการเล้าโลมเรื่องของอัมโนนและการสิ้นพระชนม์ของพระองค์
1 บัดนี้โยอาบบุตรชายของนางเศรุยาห์ทราบว่าจิตใจของกษัตริย์ทรงปรารถนาจะได้พบอับซาโลม 2 ดังนั้นโยอาบจึงได้ใช้คนไปยังเมืองเทโคอา และพาผู้หญิงฉลาดคนหนึ่งมาพบเขา เขาบอกนางว่า “จงแสร้งทำเป็นคนไว้ทุกข์ และสวมเสื้อของคนไว้ทุกข์ กรุณาอย่าทาน้ำมัน แต่แสร้งทำเหมือนผู้หญิงไว้ทุกข์ให้ผู้ตายมาหลายวัน 3 แล้วจงเข้าไปเฝ้ากษัตริย์ และทูลข้อความแก่พระองค์เกี่ยวกับสิ่งที่เราจะอธิบายให้เจ้า” ดังนั้นโยอาบได้บอกถ้อยคำให้หญิงนั้นที่จะไปทูลแก่กษัตริย์
4 เมื่อผู้หญิงชาวเทโคอามาทูลต่อกษัตริย์ นางก็ได้นอนราบซบหน้าลงถึงพื้น และทูลว่า “ข้าแต่กษัตริย์ ขอทรงช่วยข้าพระองค์ด้วยเถิด” 5 กษัตริย์ตรัสกับผู้หญิงนั้นว่า “เจ้ามีเรื่องอะไรหรือ?” นางทูลว่า “ความจริงเป็นดังนี้ ข้าพระองค์เป็นหญิงม่าย สามีของข้าพระองค์ได้ตายแล้ว 6 ข้าพระองค์สาวใช้ของพระองค์มีบุตรชายสองคน และพวกเขาได้วิวาทกันที่ทุ่งนา และไม่มีใครแยกพวกเขาออก บุตรชายคนหนึ่งจึงได้ฆ่าอีกคนหนึ่งตาย
7 บัดนี้ บรรดาญาติทั้งหมดก็ได้รุมกันมาหาสาวใช้ของพระองค์บอกว่า ‘จงมอบผู้ที่ฆ่าพี่ชายของเขา เพื่อเราจะฆ่าเขาให้ตาย ชดใช้ชีวิตของพี่ชายของเขาที่ถูกฆ่านั้น' ดังนั้นพวกเขาจะทำลายผู้รับมรดกเสียด้วย’ ดังนี้พวกเขาจะดับถ่านที่คุเหลืออยู่ของข้าพระองค์เสีย และพวกเขาจะไม่เหลือให้แม้แต่ชื่อหรือเชื้อสายของสามีของข้าพระองค์บนพื้นแผ่นดินโลกนี้เลย” 8 ดังนั้นกษัตริย์จึงตรัสกับหญิงคนนั้นว่า “ไปบ้านของเจ้าเถิด และเราเองจะสั่งการบางสิ่งเพื่อเจ้า” 9 ผู้หญิงชาวเทโคอาจึงทูลกษัตริย์ว่า “ข้าแต่กษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์ ขอให้โทษตกอยู่กับข้าพระองค์ และกับพงศ์พันธุ์บิดาของข้าพระองค์เถิด กษัตริย์และราชบัลลังก์ของพระองค์อย่าให้มีโทษเลย”
10 กษัตริย์ตรัสตอบว่า “ถ้ามีใครกล่าวอะไรแก่เจ้า จงพาเขามาหาเรา และเขาจะไม่แตะต้องเจ้าอีกเลย” 11 แล้วนางได้ทูลว่า “ขอกษัตริย์ทรงกล่าวในพระนามพระยาห์เวห์พระเจ้าของพระองค์ เพื่อผู้อาฆาตแห่งโลหิตจะไม่ทำลายผู้ใดอีกต่อไป ดังนั้นพวกเขาจะไม่ทำลายบุตรชายของข้าพระองค์” กษัตริย์ตรัสว่า “พระยาห์เวห์ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด เส้นผมของบุตรชายของเจ้าสักเส้นเดียวจะไม่ตกลงถึงดิน” 12 แล้วผู้หญิงได้ทูลว่า “ขอสาวใช้ของพระองค์ทูลอีกสักคำหนึ่งแก่กษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์” พระองค์ตรัสว่า “จงพูดไป”
13 ดังนั้นผู้หญิงนั้นจึงทูลว่า “เหตุใดพระองค์ทรงดำริอย่างนี้ต่อประชาชนของพระเจ้า? สำหรับในการตรัสเช่นนี้ กษัตริย์ทรงเป็นเหมือนบางคนที่มีความผิด เพราะว่ากษัตริย์ยังไม่ได้ทรงนำพระราชบุตรผู้ถูกเนรเทศกลับมาที่วังเลย 14 ดังนั้นพวกเราจะต้องตายแน่ และพวกเราเป็นเหมือนน้ำที่หกบนพื้นดิน ที่ไม่สามารถจะเก็บรวมกลับคืนมาอีกไม่ได้ แต่พระเจ้าไม่ทรงทำลายชีวิต แต่ทรงดำริวิธีสำหรับคนเหล่านั้นที่ถูกเนรเทศได้กลับคืนมาอีก 15 บัดนี้ แล้ว ที่ข้าพระองค์มาทูลเรื่องนี้ต่อกษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์ ก็เพราะว่าพวกประชาชนทำให้ข้าพระองค์กลัว ดังนั้นสาวใช้ของพระองค์คิดว่า ‘บัดนี้ฉันจะทูลกษัตริย์ บางทีกษัตริย์จะทรงทำตามคำขอของสาวใช้ของพระองค์
16 เพราะว่ากษัตริย์จะทรงสดับฟังเรา เพื่อที่จะทรงช่วยกู้สาวใช้ของพระองค์จากมือของผู้จะทำลายทั้งตัวฉันและลูกชายของฉันเสียจากมรดกของพระเจ้า’ 17 แล้วสาวใช้ของพระองค์ได้อธิษฐานว่า ‘ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอให้พระดำรัสของกษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์เป็นที่พักพิงเปรียบประดุจทูตสวรรค์ของพระเจ้า เพราะกษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์ผู้ทรงทราบความดีและความชั่ว' ขอพระยาห์เวห์พระเจ้าของพระองค์สถิตกับพระองค์เถิด” 18 แล้วกษัตริย์ทรงกล่าวกับหญิงนั้นว่า “จงอย่าปิดบังสิ่งใดจากเราที่เราเองจะถามเจ้า ” ผู้หญิงนั้นทูลว่า “ขอกษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์ตรัสเถิด”
19 กษัตริย์จึงตรัสถามว่า “มือของโยอาบเกี่ยวข้องกับเจ้าด้วยในเรื่องทั้งหมดนี้หรือเปล่า?” ผู้หญิงนั้นทูลตอบ และกล่าวว่า “ข้าแต่กษัตริย์ เจ้านายของข้าพระองค์ พระองค์ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ไม่มีใครสามารถหนีพันไปทางขวามือหรือทางซ้ายมือจากสิ่งใดๆที่กษัตริย์ผู้เป็นเจ้านายของข้าพระองค์ได้ตรัสไว้ คือโยอาบผู้รับใช้ของพระองค์ที่ได้สั่งข้าพเจ้าและบอกให้ข้าพเจ้ากล่าวสิ่งต่างๆเหล่านี้ตามที่ผู้รับใช้ของพระองค์ได้กล่าวแล้วนั้น 20 เขานั่นแหละโยอาบผู้รับใช้ของพระองค์ที่ได้ทำสิ่งนี้ก็เพื่อจะแก้ไขสถานการณ์ที่กำลังเป็นอยู่นี้ เจ้านายของข้าพระองค์ทรงมีพระสติปัญญา เหมือนดังสติปัญญาของทูตสวรรค์ของพระเจ้า และทรงทราบทุกสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในแผ่นดิน” 21 ดังนั้นกษัตริย์จึงตรัสสั่งโยอาบว่า “ดูเถิด เราจะทำสิ่งนี้ ดังนั้นจงไป และนำอับซาโลมชายหนุ่มคนนั้นกลับมา”
22 ดังนั้นโยอาบได้นอนลงซบหน้าลงถึงพื้น และถวายความจงรักภักดีต่อกษัตริย์ โยอาบทูลว่า “วันนี้ผู้รับใช้ของพระองค์ทราบว่า ข้าพระองค์ได้รับความโปรดปรานจากกษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์ ในการที่กษัตริย์ทรงอนุมัติ ตามคำทูลขอของผู้รับใช้ของพระองค์” 23 ดังนั้นโยอาบจึงลุกขึ้นไปยังเมืองเกชูร์ และพาอับซาโลมมายังกรุงเยรูซาเล็ม 24 กษัตริย์ได้ตรัสว่า “ให้เขากลับไปวังของเขาเถิด แต่อย่าให้เข้าเฝ้าเรา” ดังนั้นอับซาโลมได้กลับไปอยู่วังของพระองค์ แต่ไม่ได้เข้าเฝ้าเฉพาะพระพักตร์กษัตริย์
25 บัดนี้ทั่วอิสราเอลไม่มีผู้ใดได้รับการยกย่องในเรื่องความสง่างามมากเท่ากับอับซาโลม นับตั้งแต่พระบาทจนถึงศีรษะของพระองค์ พระองค์ไม่ทรงมีตำหนิเลย 26 เมื่อพระองค์ทรงปลงพระเกศาในสิ้นปีของทุกปี เพราะว่าพระเกศาบนพระเศียรของพระองค์มีนำหนักมาก พระองค์ทรงชั่งพระเกศา ได้น้ำหนักประมาณถึงสองร้อยเชเขล ซึ่งได้ชั่งตามน้ำหนักมาตรฐานของกษัตริย์ 27 อับซาโลมมีบุตรชายสามคน และบุตรีคนหนึ่งชื่อทามาร์ เธอเป็นหญิงที่สวยงาม
28 อับซาโลมประทับในกรุงเยรูซาเล็มถึงสองปีเต็ม โดยไม่ได้เข้าเฝ้าเฉพาะพระพักตร์กษัตริย์ 29 แล้วอับซาโลมได้ส่งคนไปตามโยอาบให้นำพระองค์เข้าไปเฝ้ากษัตริย์ แต่โยอาบไม่ได้มาหาพระองค์ ดังนั้นพระองค์ได้ทรงส่งคนไปครั้งที่สอง แต่โยอาบก็ไม่ได้มาอีก 30 ดังนั้น พระองค์จึงทรงสั่งพวกมหาดเล็กของพระองค์ว่า “ดูสิ นาของโยอาบอยู่ถัดนาของเรา เขามีข้าวบาร์เลย์ที่นั่น จงไปเอาไฟเผาเสีย” พวกมหาดเล็กของอับซาโลมได้เอาไฟเผานา
31 แล้วโยอาบได้ลุกขึ้นไปหาอับซาโลมที่วังของพระองค์ และทูลถามพระองค์ว่า “ทำไมพวกมหาดเล็กของพระองค์จึงเอาไฟเผานาของข้าพระองค์?” 32 อับซาโลมตรัสตอบโยอาบว่า “ดูเถิด เราส่งคนไปบอกท่านว่า ‘มานี่เถิด เราจะส่งท่านไปหากษัตริย์ทูลว่า “ให้ข้าพระองค์มาจากเกชูร์ทำไม? ข้าพระองค์อยู่ที่นั่นก็ดีกว่า” ดังนั้นบัดนี้ขอให้เราเข้าเฝ้าเฉพาะพระพักตร์กษัตริย์ และถ้าเรามีความผิด ก็ให้พระองค์ทรงประหารเราเสีย’"" 33 ดังนั้นโยอาบจึงเข้าเฝ้ากษัตริย์และทูลพระองค์ให้ทรงทราบ เมื่อกษัตริย์ทรงเรียกหาอับซาโลม พระองค์จึงเข้าไปเฝ้ากษัตริย์โน้มตัวลงซบหน้าลงถึงพื้นดินเฉพาะพระพักตร์กษัตริย์ และกษัตริย์ได้ทรงจูบอับซาโลม
1 แล้วสิ่งนี้ได้เกิดขึ้นหลังจากนั้น อับซาโลมจัดเตรียมรถศึกและม้าหลายตัวสำหรับพระองค์เองกับทหารวิ่งนำหน้าพระองค์จำนวนห้าสิบคน 2 อับซาโลมทรงตื่นบรรทมแต่เช้าตรู่ ทรงยืนริมทางเข้าประตูเมือง ถ้าใครมีเรื่องถวายกษัตริย์ให้ทรงตัดสิน อับซาโลมก็ได้เรียกผู้นั้นและถามว่า “เจ้ามาจากเมืองไหน?” แล้วเมื่อเขาทูลตอบว่า “ผู้รับใช้ของท่านเป็นคนเผ่าหนึ่งในอิสราเอล” 3 ดังนั้น อับซาโลมก็ได้ทรงบอกเขาว่า “ดูสิ คำร้องของเจ้าก็ดีและถูกต้อง แต่กษัตริย์ไม่ได้ทรงตั้งใครไว้ให้ฟังเรื่องของเจ้า”
4 อับซาโลมได้กล่าวเสริมว่า “ข้าปรารถนาว่าข้าได้รับแต่งตั้งเป็นผู้พิพากษาในแผ่นดินนี้ ดังนั้น เมื่อใครมีข้อขัดแย้งหรือต้องการคำตัดสินจะมาหาข้า และข้าจะให้ความยุติธรรมแก่เขา” 5 ดังนั้น เรื่องนี้ได้เกิดขึ้นเมื่อมีใครเข้ามาหาอับซาโลมเพื่อคำนับพระองค์ อับซาโลมได้ยื่นมือพยุงคนนั้นไว้และจูบเขา 6 อับซาโลมทำอย่างนี้แก่คนอิสราเอลทั้งหมด ที่มาเฝ้ากษัตริย์เพื่อขอคำวินิจฉัย ดังนั้นอับซาโลมได้ชนะใจของบรรดาคนอิสราเอล
7 เมื่อล่วงมาจนถึงสิ้นปีที่สี่ที่อับซาโลมทูลกษัตริย์ว่า “ขอทรงอนุญาตให้ข้าพระองค์ไปและแก้บน ซึ่งข้าพระองค์ได้บนไว้ต่อพระยาห์เวห์ที่เมืองเฮโบรน 8 เพราะว่าผู้รับใช้ของพระองค์ได้บนไว้ เมื่อครั้งยังอยู่ในเมืองเกชูร์ในอารัมว่า ‘ถ้าพระยาห์เวห์ทรงนำข้าพระองค์กลับมายังกรุงเยรูซาเล็มอีกครั้งหนึ่งจริงแล้ว ข้าพระองค์จะถวายนมัสการพระยาห์เวห์’” 9 ดังนั้นกษัตริย์ได้ตรัสตอบพระองค์ว่า “จงไปเป็นสุขเถิด” ดังนั้นอับซาโลมก็ลุกขึ้นและไปยังเมืองเฮโบรน
10 แต่แล้วอับซาโลมได้ส่งผู้สอดแนมไปทั่วอิสราเอลทุกเผ่า กล่าวว่า “ทันทีที่พวกท่านได้ยินเสียงแตรดังขึ้นเมื่อไร แล้วพวกท่านจงกล่าวว่า ‘อับซาโลมเป็นกษัตริย์ที่เฮโบรน’” 11 มีผู้ชายจำนวนสองร้อยคนจากกรุงเยรูซาเล็มได้ไปกับอับซาโลม เป็นคนที่ได้รับเชิญ คนเหล่านี้ไปด้วยความบริสุทธิ์ใจของพวกเขา ไม่รู้เรื่องทั้งสิ้นที่อับซาโลมวางแผนไว้ 12 ขณะเมื่ออับซาโลมถวายสัตวบูชาอยู่นั้น พระองค์ส่งคนไปเชิญอาหิโธเฟลมาจากกิโลห์เมืองของเขา เขาเป็นที่ปรึกษาของดาวิด การคบคิดกันของอับซาโลมก็เข้มแข็งขึ้น เพราะประชาชนที่มาติดตามอับซาโลมได้เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
13 ผู้สื่อสารคนหนึ่งได้มาเฝ้าดาวิด ทูลว่า “ใจของคนอิสราเอลคล้อยตามอับซาโลมไปแล้ว” 14 ดังนั้นดาวิดทรงรับสั่งแก่บรรดาข้าราชการที่อยู่กับพระองค์ที่กรุงเยรูซาเล็มว่า “จงลุกขึ้น และให้เราหนีไปเถอะ มิเช่นนั้นจะไม่มีใครในพวกเราหนีจากอับซาโลม จงเตรียมหนีไปทันที มิฉะนั้น เขาจะตามพวกเราทันและนำเหตุร้ายมาถึงพวกเรา และเขาจะทำลายเมืองนี้เสียด้วยคมดาบ” 15 เหล่าข้าราชการของกษัตริย์จึงทูลกษัตริย์ว่า “ดูเถิด บรรดาผู้รับใช้ของพระองค์พร้อมจะทำตามซึ่งกษัตริย์เจ้านายของพวกข้าพระองค์ตัดสินพระทัยทุกประการ”
16 กษัตริย์ได้ทรงจากไปและคนทั้งหมดในราชสำนักของพระองค์ก็ตามพระองค์ไป แต่กษัตริย์ทรงทิ้งผู้หญิงที่เป็นนางสนมไว้สิบคนให้เฝ้าพระราชวัง 17 หลังจากนั้นกษัตริย์ได้เสด็จออกไป ประชาชนทั้งสิ้นก็ตามพระองค์ไป และประทับที่บ้านที่อยู่หลังสุดท้าย 18 กองทัพทั้งสิ้นได้เดินทัพไปกับพระองค์ และต่อพระพักตร์ของพระองค์ บรรดาคนเคเรธีทั้งสิ้นและคนเปเลททั้งสิ้นกับคนกัททั้งสิ้น หกร้อยคนที่ได้ติดตามพระองค์มาจากเมืองกัท
19 แล้วกษัตริย์จึงตรัสกับอิททัยคนกัทว่า “ทำไมเจ้าจะไปกับพวกเราด้วย? จงกลับไปและอยู่กับกษัตริย์เพราะพวกเจ้าเป็นคนต่างด้าวและถูกเนรเทศมาด้วย จงกลับไปบ้านเมืองของพวกเจ้าเถิด 20 เนื่องจากพวกเจ้าเพิ่งมาถึงเมื่อวานนี้ ทำไมเราจะให้พวกเจ้าเดินทางไปกับพวกเราด้วย? เราเองก็ยังไม่ทราบว่าเรากำลังจะไปที่ไหน ดังนั้นจงกลับไปเถิด และพาพวกพี่น้องของเจ้ากลับไปด้วย ขอความรักมั่นคงและความสัตย์จริงจงอยู่กับเจ้าเถิด” 21 แต่อิททัยทูลตอบกษัตริย์ว่า “พระยาห์เวห์ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด และกษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด แน่นอนทีเดียว ไม่ว่าเจ้านายของข้าพระองค์เสด็จไปที่ไหน ผู้รับใช้ของพระองค์ก็ขอไปอยู่ที่นั่นด้วย ไม่ว่าจะเป็นเหตุให้มีชีวิตอยู่หรือตายก็ตาม”
22 ดังนั้นดาวิดได้ตรัสกับอิททัยว่า “จงไปและอยู่กับพวกเราต่อไป” ดังนั้นอิททัยชาวเมืองกัทจึงเดินทัพไปกับกษัตริย์พร้อมกับคนของเขาและครอบครัวของเขาทั้งหมดที่ได้อยู่กับเขา 23 ชาวเมืองทั้งหมดก็ร้องไห้เสียงดังเมื่อประชาชนทั้งสิ้นผ่านข้ามไปหุบเขาขิดโรน และที่กษัตริย์เองได้ข้ามผ่านไปเช่นกัน ประชาชนทั้งหมดเดินทางตามเส้นทางไปยังถิ่นทุรกันดาร 24 แม้แต่ศาโดกพร้อมด้วยคนเลวีทั้งสิ้น ที่หามหีบพันธสัญญาของพระเจ้าก็มาด้วย พวกเขาวางหีบของพระเจ้าลง และแล้วอาบียาธาร์ก็มาร่วมกับพวกเขาด้วย พวกเขารอจนประชาชนทั้งหมดได้ผ่านออกจากเมืองไป
25 กษัตริย์ได้ตรัสกับศาโดกว่า “จงหามหีบของพระเจ้ากลับเข้าไปในเมืองเถิด หากว่าพระยาห์เวห์ทรงโปรดปรานเรา พระองค์จะทรงนำเรากลับ และให้เราเห็นทั้งหีบนั้นกับที่ประทับของพระองค์ 26 แต่ถ้าพระองค์ตรัสว่า ‘เราไม่พอใจเจ้า’ ดูเถิด เราอยู่ที่นี่ ขอพระองค์ทรงทำกับเราตามที่พระองค์ทรงเห็นชอบเถิด” 27 กษัตริย์ตรัสกับศาโดกปุโรหิตว่า “ท่านเป็นผู้ทำนายไม่ใช่หรือ? จงกลับเข้าไปในเมืองโดยสวัสดิภาพ พร้อมกับบุตรชายทั้งสองของท่าน คืออาหิมาอัสบุตรชายของท่าน และโยนาธานบุตรชายของอาบียาธาร์
28 ดูเถิด เราจะคอยอยู่ที่ท่าข้ามของอาราบาห์ จนกว่าจะมีข่าวมาจากพวกท่านให้เราทราบ” 29 ดังนั้นศาโดกกับอาบียาธาร์จึงหามหีบของพระเจ้ากลับไปยังกรุงเยรูซาเล็มและพวกเขาพักอยู่ที่นั่น 30 แต่ดาวิดได้เสด็จโดยพระบาทเปล่าและทรงกันแสงขึ้นไปบนภูเขามะกอกเทศ และพระองค์ทรงคลุมพระเศียร ประชาชนทั้งหมดที่อยู่กับพระองค์ก็คลุมศีรษะ และพวกเขาได้เดินขึ้นไปโดยร้องไห้พลางเดินไปพลาง
31 มีคนทูลดาวิดว่า “อาหิโธเฟลอยู่ในพวกสมคบคิดกับอับซาโลมด้วย” ดังนั้นดาวิดจึงอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอทรงเปลี่ยนให้คำปรึกษาของอาหิโธเฟลโง่เขลาไป” 32 เรื่องนี้ได้เกิดขึ้นเมื่อดาวิดมาถึงสุดถนนซึ่งเป็นที่นมัสการพระเจ้า หุชัยตระกูลอารคีได้เข้ามาเฝ้าพระองค์ ด้วยเสื้อคลุมที่ฉีกขาดและดินอยู่บนศีรษะของเขา 33 ดาวิดตรัสกับเขาว่า “ถ้าเจ้าข้ามไปกับเรา เจ้าจะเป็นภาระแก่เรา
34 แต่ถ้าเจ้ากลับเข้าไปในเมือง และกล่าวกับอับซาโลมว่า ‘ข้าแต่กษัตริย์ ข้าพระองค์ขอถวายตัวเป็นข้าของพระองค์ ดังที่ข้าพระบาทเป็นข้าของพระราชบิดาของพระองค์มาแต่กาลก่อนฉันใด ข้าพระองค์ก็ขอเป็นข้าของพระองค์ฉันนั้น’ แล้วเจ้าจะทำให้คำปรึกษาของอาหิโธเฟลสับสนเพื่อเรา 35 ศาโดกกับอาบียาธาร์พวกปุโรหิตก็อยู่กับเจ้าไม่ใช่หรือ? ดังนั้นสิ่งใดก็ตามที่เจ้าได้ยินในพระราชวัง เจ้าจะต้องบอกให้ศาโดกกับอาบียาธาร์พวกปุโรหิตทราบ 36 ดูเถิด พวกเขามีบุตรชายสองคนของเขาอยู่ด้วย คืออาหิมาอัสบุตรชายของศาโดก และโยนาธานบุตรชายของอาบียาธาร์ ท่านจงใช้ให้พวกเขามาบอกเราทุกเรื่องที่ท่านได้ยิน” 37 ดังนั้นหุชัย สหายของดาวิดจึงกลับเข้าไปในเมือง พอดีกับอับซาโลมได้มาถึงและเสด็จเข้าสู่กรุงเยรูซาเล็ม
1 เมื่อดาวิดเสด็จเลยยอดเขาไปหน่อยหนึ่ง ศิบามหาดเล็กของเมฟีโบเชทได้เข้ามาเฝ้าพระองค์ มีลาคู่หนึ่งผูกอานพร้อมกับบรรทุกขนมปังสองร้อยก้อน ลูกเกดหนึ่งร้อยพวง และผลมะเดื่อเทศอีกหนึ่งร้อยพวง กับเหล้าองุ่นหนึ่งถุงหนัง 2 กษัตริย์ตรัสกับศิบาว่า “เจ้านำสิ่งเหล่านี้มาทำไม?” ศิบาทูลตอบว่า “ลาคู่นั้นเพื่อราชวงศ์ของกษัตริย์จะได้ทรงขี่ ขนมปังและผลมะเดื่อเทศสำหรับพวกคนหนุ่มจะได้รับประทาน และเหล้าองุ่นเพื่อผู้ที่อ่อนเปลี้ยในถิ่นทุรกันดารจะได้ดื่ม” 3 กษัตริย์ตรัสว่า “หลานของเจ้านายของเจ้าอยู่ที่ไหน?” ศิบาทูลกษัตริย์ว่า “ดูเถิด พระองค์ทรงพำนักอยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม เพราะพระองค์ตรัสว่า ‘วันนี้พงศ์พันธุ์อิสราเอลจะคืนราชอาณาจักรของพระราชบิดาของเราให้แก่เรา’”
4 แล้วกษัตริย์ตรัสกับศิบาว่า “นี่แน่ะ บัดนี้ทรัพย์สมบัติของเมฟีโบเชทก็ตกเป็นของเจ้า” ศิบาทูลว่า “ ข้าแต่กษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ขอถวายบังคมด้วยใจถ่อม ขอให้ข้าพระองค์เป็นที่โปรดปรานในสายพระเนตรของพระองค์" 5 เมื่อกษัตริย์ดาวิดเสด็จมายังตำบลบาฮูริม มีผู้ชายคนหนึ่งอยู่ในตระกูลวงศ์วานซาอูล เขาออกมาที่นั่น ผู้ชายคนนี้มีชื่อว่า ชิเมอีบุตรชายของเกรา เขาเดินพลางสาปแช่งพลาง 6 เขาได้เอาหินขว้างดาวิด และได้ขว้างข้าราชการทั้งหมดของกษัตริย์ดาวิด ทหารทั้งหมดและนักรบทั้งหมดก็ได้อยู่ข้างขวาและข้างซ้ายของกษัตริย์
7 ชิเมอีได้สาปแช่งเสียงดังว่า “ไปให้พ้น ออกไปจากที่นี่ เจ้าวายร้าย เจ้าคนกระหายโลหิต 8 พระยาห์เวห์ทรงตอบสนองพวกเจ้าทุกคนในเรื่องที่เจ้าทำให้โลหิตหลั่งในพงศ์พันธุ์ของซาอูล ผู้ซึ่งเจ้าปกครองแทนอยู่นั้น พระยาห์เวห์ทรงมอบราชอาณาจักรไว้ในพระหัตถ์ของอับซาโลมราชบุตรชายของเจ้า เจ้าได้มาถึงการพังพินาศแล้ว เพราะเจ้าเป็นคนกระหายโลหิต” 9 แล้วอาบีชัยบุตรชายของนางเศรุยาห์จึงทูลกษัตริย์ว่า “ทำไมปล่อยให้สุนัขตายตัวนี้มาสาปแช่งกษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์? ขอให้ข้าพระองค์ข้ามไปและตัดหัวของมัน”
10 แต่กษัตริย์ตรัสว่า “พวกบุตรชายของนางเศรุยาห์เอ๋ย เรามีธุระอะไรกับเจ้า? บางทีเขากำลังสาปแช่งเราเพราะพระยาห์เวห์ตรัสสั่งเขาว่า ‘จงสาปแช่งดาวิด’ แล้วใครจะสามารถพูดกับเขาว่า ‘ทำไมเจ้าจึงกำลังสาปแช่งกษัตริย์?’” 11 ดังนั้นดาวิดตรัสกับอาบีชัยและข้าราชการทั้งสิ้นของพระองค์ว่า “ดูเถิด ลูกของเรา ผู้ที่ได้เกิดจากร่างของเรา ยังแสวงหาชีวิตของเรา ยิ่งกว่านั้น ทำไมคนเบนยามินคนนี้จะไม่ปรารถนาให้เราพินาศหรือ? ปล่อยเขาเถิด ให้เขาสาปแช่งไป เพราะพระยาห์เวห์ทรงสั่งให้เขาทำ 12 บางทีพระยาห์เวห์จะทอดพระเนตรความทุกข์ใจของเรา และพระยาห์เวห์จะทรงปลดปล่อยเราและชดเชยเราด้วยการดีแทนคำสาปแช่งของเขาในวันนี้”
13 ดังนั้นดาวิดจึงทรงดำเนินไปตามทางพร้อมกับคนของพระองค์ ขณะที่ชิเมอีได้เดินข้างพระองค์ไปตามเนินเขา สาปแช่งและเอาฝุ่นซัดใส่และเอาหินขว้างพระองค์ขณะที่เดินไป 14 แล้วกษัตริย์กับทหารทั้งปวงที่อยู่กับพระองค์ก็เหนื่อยอ่อน และพระองค์ทรงพักผ่อนเมื่อพวกเขาหยุดพักในคืนนั้น 15 ขณะที่อับซาโลมและประชาชนอิสราเอลที่อยู่กับพระองค์ได้มาถึงกรุงเยรูซาเล็ม และอาหิโธเฟลได้มากับพระองค์ด้วย
16 เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อหุชัยชาวอารคี สหายของดาวิดได้เข้าเฝ้าอับซาโลม หุชัยทูลอับซาโลมว่า “ขอกษัตริย์จงทรงพระเจริญ ขอกษัตริย์จงทรงพระเจริญ” 17 และอับซาโลมตรัสกับหุชัยว่า “นี่คือความจงรักภักดีต่อสหายของท่านหรือ? ทำไมท่านไม่ไปกับเขาเล่า?” 18 หุชัยทูลอับซาโลมว่า “ข้าพระองค์ไม่ไป ผู้ที่พระยาห์เวห์กับประชาชนเหล่านี้กับคนอิสราเอลทั้งสิ้นได้เลือกตั้งใครไว้ ข้าพระองค์ก็จะอยู่กับผู้นั้น
19 ยิ่งไปกว่านั้น ข้าพระองค์ควรจะปรนนิบัติใคร? ข้าพระองค์ไม่ควรปรนนิบัติพระโอรสของพระองค์หรือ? ข้าพระองค์ได้ปรนนิบัติพระราชบิดาของพระองค์มาแล้วฉันใด ข้าพระองค์ก็จะปรนนิบัติพระองค์ฉันนั้น” 20 แล้วอับซาโลมตรัสถามอาหิโธเฟลว่า “จงให้คำปรึกษาแก่เราว่าพวกเราจะทำอะไรดี ” 21 อาหิโธเฟลทูลอับซาโลมว่า “จงหลับนอนกับพวกนางสนมของพระราชบิดาของพระองค์ ซึ่งพระองค์ทรงทิ้งไว้ให้เฝ้าพระราชวัง และคนอิสราเอลทั้งสิ้นจะได้ยินว่าพระองค์ได้ทำให้ตนเป็นที่เกลียดชังของพระราชบิดาของพระองค์แล้ว แล้วบรรดามือของคนทั้งหมดที่อยู่ฝ่ายพระองค์ก็จะเข้มแข็งขึ้น”
22 ดังนั้นพวกเขาจึงกางเต็นท์ให้อับซาโลมไว้บนดาดฟ้าหลังคาของพระราชวัง และอับซาโลมได้ทรงหลับนอนกับพวกนางสนมของพระราชบิดาของพระองค์ต่อหน้าอิสราเอลทั้งสิ้น 23 บัดนี้ คำปรึกษาของอาหิโธเฟลที่ได้ทูลถวายในสมัยนั้น เหมือนกับว่าเขาได้รับพระดำรัสของพระเจ้าด้วยตัวเขาเอง นั่นคือคำปรึกษาทั้งหมดของอาหิโธเฟลได้รับพิจารณาทั้งดาวิดและอับซาโลม
1 แล้วอาหิโธเฟลได้ทูลอับซาโลมว่า “บัดนี้ขอโปรดให้ข้าพระองค์เลือกทหารหนึ่งหมื่นสองพันคน และข้าพระองค์จะยกทัพไล่ตามดาวิดในคืนนี้ 2 ข้าพระองค์จะไปทันพระองค์ท่าน เมื่อพระองค์ยังเหน็ดเหนื่อยและอ่อนกำลัง และจะทำให้พระองค์ท่านประหลาดใจด้วยความกลัว ทหารทั้งปวงที่อยู่กับพระองค์ท่านก็จะหนีไป ข้าพระองค์ก็จะฆ่าฟันกษัตริย์เท่านั้น 3 ข้าพระองค์จะนำทหารทั้งปวงกลับมาเข้าฝ่ายพระองค์ เหมือนกับเจ้าสาวกำลังมาหาสามีของเธอ และ ประชาชนทั้งปวงก็จะสงบสุขภายใต้การปกครองของพระองค์”
4 สิ่งที่อาหิโธเฟลได้ทูลได้เป็นที่พอพระทัยอับซาโลม และเป็นที่พอใจแก่บรรดาผู้ใหญ่แห่งอิสราเอล 5 แล้วอับซาโลมตรัสว่า “บัดนี้จงเรียกหุชัยคนอารคีเข้ามา และให้เราฟังว่าเขาจะพูดอย่างไร” 6 เมื่อหุชัยเข้ามาเฝ้าอับซาโลมแล้ว อับซาโลมจึงทรงอธิบายให้เขาฟังถึงสิ่งที่อาหิโธเฟลได้กล่าวไว้และตรัสถามหุชัยว่า "ควรที่เราจะทำตามคำแนะนำของอาหิโธเฟลหรือไม่? ถ้าไม่ ท่านจงบอกเราว่าท่านแนะนำอย่างไร”
7 ดังนั้นหุชัยจึงทูลอับซาโลมว่า “คำปรึกษาซึ่งอาหิโธเฟลแนะนำในครั้งนี้ไม่ดี” 8 หุชัยทูลต่อไปว่า “พระองค์เองทรงทราบแล้วว่า พระราชบิดาของพระองค์และพวกของพระองค์เป็นเหล่านักรบ และจิตใจของพวกเขากำลังโกรธและพวกเขาเป็นเหมือนหมีที่ลูกถูกลักเอาไปในทุ่ง พระราชบิดาของพระองค์ทรงชำนาญศึก พระองค์จะไม่ทรงพักอยู่กับกองทัพในคืนนี้ 9 ดูเถิด ถึงขณะนี้พระองค์ได้ทรงซ่อนอยู่ในหลุมบางแห่งหรือในอีกที่หนึ่ง แล้วสิ่งนี้จะเกิดขึ้นเมื่อทหารของพระองค์ได้ล้มตายในการเริ่มจู่โจม ใครก็ตามที่ได้ยินเรื่องนี้ก็จะกล่าวว่า ‘พวกทหารที่ติดตามอับซาโลมได้ถูกฆ่าตาย’
10 จากนั้น แม้แต่ทหารที่กล้าหาญที่สุด ที่จิตใจเหมือนอย่างใจสิงห์ก็จะกล้ว เพราะอิสราเอลทั้งสิ้นทราบว่า พระราชบิดาทรงเป็นทหารที่กล้าแกร่ง และเหล่าทหารที่อยู่กับพระองค์เข้มแข็งมาก 11 ดังนั้น ข้าพระองค์ขอทูลให้คำปรึกษาว่าพระองค์ควรที่จะทรงรวบรวมอิสราเอลทั้งหมด ตั้งแต่ดานถึงเบเออร์เชบา ให้มากมายดั่งทรายที่ทะเล และพระองค์ก็เสด็จไปรบด้วยพระองค์เอง 12 แล้วพวกเราจะเข้ารบกับเขาในที่ที่พวกเราพบเขา และพวกเราจะเข้าโจมตีเหมือนน้ำค้างตกเหนือพื้นดิน เราจะไม่ให้มีใครเหลือรอดแม้แต่คนเดียว หรือแม้แต่ตัวดาวิดเอง
13 ถ้าเขาถอยไปรวมกันในเมือง แล้วคนอิสราเอลทั้งสิ้นก็จะเอาเชือกเข้าไปในเมืองและเราจะลากมันลงไปในแม่น้ำ จนกระทั่งไม่มีใครหาก้อนกรวดสักก้อนหนึ่งเจอที่นั่น” 14 แล้วอับซาโลมและคนอิสราเอลทั้งปวงได้กล่าวว่า “คำปรึกษาของหุชัยคนอารคีดีกว่าคำปรึกษาของอาหิโธเฟล” พระยาห์เวห์ทรงหนุนนำคำปฏิเสธต่อคำปรึกษาอันดีของอาหิโธเฟล เพื่อจะทรงนำหายนะมายังอับซาโลม 15 แล้วหุชัยจึงกล่าวกับศาโดกและอาบียาธาร์ปุโรหิตทั้งสองว่า “อาหิโธเฟลได้ให้คำปรึกษาอย่างนั้นอย่างนี้แก่อับซาโลมและพวกผู้ใหญ่ของอิสราเอล แต่ข้าพเจ้าให้คำปรึกษาอย่างอื่น
16 บัดนี้จงรีบส่งคนไปทูลดาวิดให้ทรงทราบว่า ‘คืนนี้อย่าทรงพักแรมในท่าข้ามของแม่น้ำอาราบาห์ แต่ให้เสด็จข้ามไปให้ได้ มิฉะนั้นกษัตริย์จะทรงถูกกลืนไปพร้อมกับประชาชนทั้งสิ้นที่อยู่กับพระองค์'" 17 บัดนี้โยนาธานและอาหิมาอัสกำลังคอยอยู่ที่เอนโรเกลแล้ว มีสาวใช้คนหนึ่งเคยไปและบอกให้ทั้งสองทราบ เพราะเขาทั้งสองไม่สามารถจะเสี่ยงให้คนเห็นในเมือง เมื่อผู้สื่อสารมาถึง แล้วพวกเขาก็ไปและทูลกษัตริย์ดาวิดให้ทรงทราบ 18 แต่มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเห็นพวกเขาในครั้งนี้ และไปทูลอับซาโลมให้ทรงทราบ ดังนั้นโยนาธานและอาหิมาอัสก็รีบไปอย่างรวดเร็ว และมาถึงบ้านของผู้ชายคนหนึ่งที่บาฮูริม ที่มีบ่อน้ำอยู่ที่ลานบ้าน ที่พวกเขาได้ลงไปอยู่ในบ่อนั้น
19 ภรรยาของผู้ชายคนนั้นได้เอาผ้ามาปูปิดปากบ่อ และได้เกลี่ยปลายข้าวตากอยู่บนนั้น ดังนั้นไม่มีใครทราบว่าโยนาธานและอาหิมาอัสอยู่ในบ่อน้ำ 20 ทหารของอับซาโลมได้มาหาผู้หญิงเจ้าของบ้าน และกล่าวว่า "อาหิมาอัสและโยนาธานอยู่ที่ไหน?" ผู้หญิงนั้นก็บอกพวกเขาว่า “พวกเขาได้ข้ามลำธารไปแล้ว” ดังนั้นเมื่อพวกเขาหาดูรอบๆ และค้นหาไม่พบพวกเขา พวกเขาก็กลับไปยังกรุงเยรูซาเล็ม 21 เรื่องนี้ได้เกิดขึ้น หลังจากที่พวกเขาเหล่านั้นไปแล้ว โยนาธานและอาหิมาอัสได้ขึ้นมาจากบ่อ พวกเขาไปทูลกษัตริย์ดาวิดให้ทรงทราบ เขาทั้งสองทูลดาวิดว่า “ขอทรงลุกขึ้นและรีบข้ามแม่น้ำไป เพราะว่าอาหิโธเฟลให้คำปรึกษาอย่างนั้นอย่างนี้เกี่ยวกับพระองค์”
22 แล้วดาวิดก็ทรงลุกขึ้น และทหารทั้งหมดที่อยู่กับพระองค์ และพวกเขาก็ข้ามแม่น้ำจอร์แดน พอรุ่งเช้าก็ไม่มีเหลือสักคนหนึ่งที่ยังไม่ได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดน 23 เมื่ออาหิโธเฟลเห็นว่าไม่มีใครทำตามคำปรึกษาของเขา เขาก็ผูกอานลาและจากไปยังเมืองของเขา จัดการเรื่องครอบครัวของเขาเข้าที่เข้าทางและได้แขวนคอตัวเอง เขาก็ตายและฝังไว้ที่อุโมงค์บิดาของเขา 24 แล้วดาวิดเสด็จมายังเมืองมาหะนาอิม ส่วนอับซาโลมเองก็ข้ามแม่น้ำจอร์แดน พระองค์รวมทั้งคนอิสราเอลทั้งสิ้นที่อยู่กับพระองค์ด้วย
25 อับซาโลมทรงตั้งอามาสาเป็นแม่ทัพแทนโยอาบ อามาสาเป็นบุตรชายของเยเธอร์คนอิชมาเอลที่ได้นอนกับอาบีกัล ผู้ที่เป็นบุตรีของนาหาช น้องสาวของนางเศรุยาห์มารดาของโยอาบ 26 แล้วคนอิสราเอลและอับซาโลม ได้ตั้งค่ายอยู่ในแผ่นดินกิเลอาด 27 เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อดาวิดไเสด็จมาถึงมาหะนาอิม ที่โชบีบุตรชายของนาหาชจากเมืองรับบาห์แห่งคนอัมโมน และมาคีร์บุตรชายของอัมมีเอลชาวโลเดบาร์ และบารซิลลัยชาวกิเลอาดจากเมืองโรเกลิม
28 ได้ขนที่นอน และผ้าห่ม ชามและหม้อ และข้าวสาลี และแป้งบาร์เลย์ ข้าวคั่ว ถั่ว ถั่วแดง และเมล็ดถั่ว 29 น้ำผึ้ง เนย แกะ และเนยแข็งที่ได้มาจากฝูงสัตว์ ดังนั้นดาวิด และให้พวกทหารที่อยู่กับพระองค์ได้รับประทาน พวกเขาพูดว่า “พวกทหารหิวและอ่อนเพลีย และกระหายอยู่ในถิ่นทุรกันดาร”
1 ดาวิดตรวจนับเหล่าทหารที่ได้อยู่กับพระองค์ และทรงแต่งตั้งผู้บังคับบัญชาระดับนายพันและนายร้อยให้พวกเขา 2 แล้วดาวิดทรงส่งกองทัพออกไป หนึ่งในสามให้อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของโยอาบ และอีกหนึ่งในสามให้อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของอาบีชัย บุตรชายของนางเศรุยาห์ น้องชายของโยอาบ และอีกหนึ่งในสามให้อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของอิททัยคนกัท กษัตริย์ตรัสกับกองทัพว่า “เราเองจะออกไปกับพวกท่านแน่นอนด้วยตัวเราเองเช่นกัน” 3 แต่พวกทหารเหล่านั้นทูลว่า “ขอพระองค์อย่าเสด็จไปในการต่อสู้เลย เพราะว่าถ้าพวกข้าพระองค์จะหนีไป พวกเขาก็ไม่สนใจพวกข้าพระองค์ หรือถ้าพวกข้าพระองค์ตายเสียสักครึ่งหนึ่ง พวกเขาก็ไม่สนใจพวกข้าพระองค์ แต่พระองค์ทรงมีค่าเท่ากับพวกข้าพระองค์หนึ่งหมื่นคน เพราะฉะนั้นขอพระองค์ทรงเตรียมพร้อมที่จะช่วยพวกข้าพระองค์จากในเมืองจะดีกว่า”
4 ดังนั้นกษัตริย์จึงตรัสกับพวกเขาว่า “เราจะทำอะไรก็ตามที่พวกท่านเห็นว่าดีที่สุด" กษัตริย์จึงทรงยืนที่ข้างประตูเมืองขณะที่ทหารทั้งหมดเดินออกไปเป็นกองร้อยและเป็นกองพัน 5 กษัตริย์ทรงบัญชาโยอาบ อาบีชัย และอิททัยกล่าวว่า “จงเบามือกับชายหนุ่มนั้น กับอับซาโลม เพื่อเห็นแก่เราเถิด” เหล่าคนทั้งปวงได้ยินคำบัญชาซึ่งกษัตริย์ตรัสสั่งแก่ผู้บังคับบัญชาทั้งหลายด้วยเรื่องเกี่ยวกับอับซาโลม 6 ดังนั้น กองทัพจึงออกไปแถบชนบทเพื่อสู้รบกับคนอิสราเอล การสงครามนั้นขยายเข้าไปในป่าเอฟราอิม
7 กองทัพของอิสราเอลพ่ายแพ้แก่พวกทหารของดาวิดที่นั่น ได้มีการฆ่าฟันกันอย่างหนักที่นั่น ในวันนั้นมีทหารตายสองหมื่นคน 8 สงครามกระจายไปทั่วชนบท และมีคนที่ตายเพราะป่ามากกว่าตายเพราะดาบ 9 อับซาโลมไปพบพวกทหารของดาวิดเข้า อับซาโลมกำลังทรงล่ออยู่ และล่อนั้นได้วิ่งเข้าไปใต้กิ่งใหญ่ของต้นโอ๊กขนาดใหญ่ พระเศียรของพระองค์ก็ทรงติดกิ่งต้นโอ๊กแน่น พระองค์ได้ถูกแขวนอยู่ระหว่างฟ้าและดิน ขณะที่ล่อที่พระองค์ทรงมานั้นวิ่งเลยไป
10 มีบางคนมาเห็นสิ่งนี้และไปแจ้งให้โยอาบทราบว่า “นี่แน่ะ ข้าพเจ้าเห็นอับซาโลมแขวนอยู่ที่ต้นโอ๊ก” 11 โยอาบพูดกับผู้ชายที่แจ้งให้เขาเกี่ยวกับอับซาโลม “ดูเถิด เจ้าเห็นพระองค์แล้ว ทำไมเจ้าจึงไม่ได้ฟันพระองค์ให้ตกพื้นดินเล่า? เราก็จะได้ให้เงินสิบเชเขลกับเข็มขัดหนึ่งเส้นแก่เจ้า” 12 ผู้ชายคนนั้นตอบโยอาบว่า “ถึงแม้ว่าถ้าข้าพเจ้าได้รับเงินหนึ่งพันเชเขล ข้าพเจ้าจะไม่ยื่นมือออกทำร้ายพระราชโอรสของกษัตริย์ เพราะว่าพวกเราได้ยินกษัตริย์ทรงบัญชาท่าน อาบีชัยและอิททัยว่า ‘จะไม่มีใครแตะต้องอับซาโลมชายหนุ่มนั้น’
13 ถ้าข้าพเจ้าจะเสี่ยงชีวิตของของข้าพเจ้าโดยไม่ถูกต้อง (และไม่มีอะไรปิดบังให้พ้นกษัตริย์) ท่านเองก็จะทอดทิ้งข้าพเจ้า” 14 แล้วโยอาบจึงกล่าวว่า “เราไม่ควรเสียเวลากับเจ้าเช่นนี้” ดังนั้นเขาได้จับหลาวสามอันไว้ในมือแทงเข้าไปในหัวใจของอับซาโลมขณะที่พระองค์ยังทรงมีชีวิตอยู่และและกำลังแขวนติดอยู่บนต้นโอ๊ก 15 แล้วทหารหนุ่มสิบคนที่ถือเครื่องรบของโยอาบได้ล้อมอับซาโลมไว้ ได้จู่โจมพระองค์และได้ประหารพระองค์
16 แล้วโยอาบก็เป่าแตร และกองทัพได้กลับจากการไล่ตามอิสราเอล เพราะโยอาบได้ยับยั้งกองทัพไว้ 17 พวกเขาได้นำอับซาโลมลงมาและโยนลงไปในบ่อใหญ่ในป่า พวกเขาฝังร่างของพระองค์ภายใต้หินกองใหญ่มหึมา ขณะที่คนอิสราเอลทั้งสิ้นต่างก็หนีกลับไปที่อยู่ของตน 18 บัดนี้อับซาโลมในขณะที่ยังทรงมีชีวิตอยู่นั้น ได้ทรงตั้งเสาไว้สำหรับพระองค์เองที่หุบเขาของกษัตริย์ เพราะพระองค์ทรงกล่าวว่า “เราไม่มีบุตรชายที่จะสืบความทรงจำของชื่อของเรา” ดังนั้นมีการเรียกเสานั้นตามชื่อของพระองค์ เขาเรียกกันว่า อนุสรณ์อับซาโลม จนทุกวันนี้
19 แล้วอาหิมาอัสบุตรชายของศาโดกกล่าวว่า “ขอให้ข้าพเจ้าวิ่งนำข่าวดีไปทูลกษัตริย์ ถึงการที่พระยาห์เวห์ทรงช่วยกู้พระองค์ให้พ้นจากมือศัตรูของพระองค์” 20 โยอาบได้พูดกับเขาว่า “ท่านอย่าเป็นคนนำข่าวไปในวันนี้เลย ท่านจงนำข่าวในวันอื่นเถิด วันนี้ท่านอย่านำข่าวเลย เพราะว่าพระราชโอรสของกษัตริย์ทรงสิ้นพระชนม์แล้ว” 21 แล้วโยอาบก็สั่งชาวคูชคนหนึ่งว่า “จงไปทูลกษัตริย์ให้ทรงทราบ ตามสิ่งที่เจ้าได้เห็น” ชาวคูชคนนั้นได้ย่อตัวลงคำนับโยอาบ แล้วก็วิ่งไป
22 แล้วอาหิมาอัสบุตรชายของศาโดกจึงกล่าวกับโยอาบอีกว่า “ขออย่าได้คำนึงถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นเลย ขอให้ข้าพเจ้าวิ่งตามชาวคูชคนนั้นไปด้วย” โยอาบตอบว่า “ ทำไมเจ้าจึงอยากจะวิ่ง บุตรชายของเราเอ๋ย เพราะว่าเจ้าจะไม่ได้รับรางวัลอะไรเลยจากการส่งข่าวนี้มิใช่หรือ?” 23 อาหิมาอัสตอบว่า “ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นก็ตาม ข้าพเจ้าก็จะขอวิ่งไป” ดังนั้นโยอาบจึงบอกเขาว่า “จงวิ่งไปเถิด” แล้วอาหิมาอัสก็วิ่งไปตามทางที่ราบ และวิ่งขึ้นหน้าชาวคูชไป 24 ขณะนั้นดาวิดประทับอยู่ระหว่างข้างในและข้างนอกประตูเมือง มีทหารยามขึ้นไปอยู่บนหลังคาประตูกำแพงเมือง เมื่อเขามองดู เขาก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งกำลังวิ่งใกล้เข้ามาตามลำพัง
25 ทหารยามคนนั้นก็ร้องตะโกนและทูลกษัตริย์และกษัตริย์ตรัสว่า “ถ้าเขามาลำพัง ก็มีข่าวในปากของเขา” ผู้ชายก็เข้ามาใกล้และใกล้กับเมือง 26 แล้วทหารยามสังเกตเห็นชายอีกคนหนึ่งกำลังวิ่งมา และทหารยามได้ร้องบอกไปที่นายประตูเมือง เขาพูดว่า “ดูสิ มีผู้ชายอีกคนหนึ่งวิ่งมาแต่ลำพัง” กษัตริย์ตรัสว่า “เขาก็เป็นคนนำข่าวมาด้วย” 27 ดังนั้นทหารยามนั้นทูลว่า “ข้าพระองค์คิดว่าคนที่วิ่งมาก่อน วิ่งเหมือนอาหิมาอัสบุตรชายของศาโดก” กษัตริย์ตรัสว่า “เขาเป็นคนดี เขากำลังมาพร้อมกับข่าวดี”
28 แล้วอาหิมาอัสร้องเรียกและทูลกษัตริย์ว่า “ขอสวัสดิภาพมีแด่ทุกคน” เขาได้ย่อตัวลงเฉพาะพระพักตร์กษัตริย์ ซบหน้าลงถึงพื้นและทูลว่า “สาธุการแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพระองค์ พระองค์ทรงมอบบรรดาผู้ที่ยกมือของพวกเขาต่อสู้กับกษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์แล้ว” 29 ดังนั้นกษัตริย์ตรัสถามว่า “อับซาโลม ชายหนุ่มคนนั้นสบายดีไหม?” อาหิมาอัสทูลตอบว่า “ข้าแต่กษัตริย์ เมื่อโยอาบใช้ข้าพระองค์ผู้รับใช้ของกษัตริย์มา ข้าพระองค์เห็นการสับสนอย่างยิ่งยวด แต่ข้าพระองค์ไม่ทราบเรื่องนั้นเลย ” 30 กษัตริย์ตรัสว่า “จงหลีกมาข้างๆ และมายืนตรงนี้” ดังนั้นอาหิมาอัสจึงหลีกมา และยืนนิ่งอยู่
31 ทันใดนั้น ชาวคูชนั้นก็มาถึงและทูลว่า “มีข่าวดีถวายแด่กษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์ เพราะในวันนี้พระยาห์เวห์ทรงแก้แค้นให้พระองค์ทรงพ้นจากมือของบรรดาผู้ที่ลุกขึ้นต่อสู้พระองค์” 32 แล้วกษัตริย์ตรัสถามชาวคูชนั้นว่า “อับซาโลม ชายหนุ่มนั้นสบายดีไหม?” ชาวคูชนั้นทูลตอบว่า “ขอให้บรรดาศัตรูของกษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์และคนทั้งปวงที่ลุกขึ้นทำร้ายพระองค์ให้เป็นเหมือนชายหนุ่มคนนั้นเถิด” 33 แล้วกษัตริย์ทรงโทมนัสนัก และพระองค์เสด็จขึ้นไปบนห้องที่อยู่เหนือประตู และทรงกันแสง ขณะที่พระองค์เสด็จไปพระองค์ทรงเสียพระทัยได้ตรัสว่า “โอ อับซาโลมลูกพ่อ ลูกพ่อ อับซาโลมลูกพ่อ พ่อเองอยากจะตายแทนเจ้า โอ อับซาโลมลูกพ่อ ลูกพ่อ”
1 โยอาบได้รับการบอกกล่าวว่า “ดูเถิด กษัตริย์ทรงกันแสงและไว้ทุกข์เพื่ออับซาโลม” 2 เพราะฉะนั้น ชัยชนะในวันนั้นได้กลายเป็นการไว้ทุกข์ของทหารทั้งปวง เพราะในวันนั้นพวกทหารได้ยินว่า “กษัตริย์ทรงโทมนัสเพราะโอรสของพระองค์” 3 ในวันนั้นพวกทหารแอบเข้ามาในเมืองอย่างเงียบๆ เหมือนกับพวกทหารที่แอบหนีมาอย่างน่าละอาย เมื่อพวกเขาหนีศึกกลับมา
4 กษัตริย์ทรงคลุมพระพักตร์และทรงกันแสงและทรงรำพันเสียงดังว่า “โอ อับซาโลมลูกเอ๋ย โอ อับซาโลม ลูกพ่อ ลูกพ่อ” 5 แล้วโยอาบก็เข้ามาในวังเพื่อเข้าเฝ้ากษัตริย์และทูลว่า “วันนี้พระองค์ทรงทำให้ข้าราชการทหารทั้งสิ้นของพระองค์ได้รับความละอาย พวกเขาได้ช่วยชีวิตของพระองค์ในวันนี้ ทั้งชีวิตของบรรดาราชโอรสและราชธิดาและชีวิตของบรรดามเหสีและชีวิตของบรรดาสนมของพระองค์ 6 เพราะว่าพระองค์ทรงรักผู้ที่เกลียดชังพระองค์ และทรงเกลียดชังผู้ที่รักพระองค์ เพราะในวันนี้ พระองค์ทรงทำให้เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า บรรดานายทหารและทหารทั้งหลายไม่มีค่าสำหรับพระองค์ ในวันนี้ข้าพระองค์เชื่อว่า ถ้าอับซาโลมยังมีชีวิตอยู่ และพวกข้าพระองค์ทั้งหลายได้ตายสิ้น แล้วนั่นแหละที่พระองค์จะทรงพอพระทัย
7 บัดนี้ขอพระองค์ทรงลุกขึ้นและขอเสด็จออกไปตรัสให้กำลังใจแก่เหล่าทหารของพระองค์ เพราะข้าพระองค์ปฏิญาณในพระนามพระยาห์เวห์ว่า ถ้าพระองค์ไม่เสด็จไป จะไม่มีชายสักคนหนึ่งค้างอยู่กับพระองค์ในคืนนี้ นั่นก็จะร้ายแรงยิ่งกว่าเหตุร้ายอื่นๆ ทั้งสิ้นซึ่งบังเกิดแก่พระองค์ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์มาจนถึงบัดนี้” 8 ดังนั้นกษัตริย์จึงทรงลุกขึ้น และประทับที่ประตูเมือง และประชาชนทั้งปวงได้รับการบอกเล่าว่า “ดูสิ กษัตริย์ประทับอยู่ที่ประตูเมือง” ประชาชนทั้งหลายได้มาเข้าเฝ้าเฉพาะพระพักตร์ของกษัตริย์ ฝ่ายอิสราเอลนั้นต่างคนต่างก็หนีไปยังที่อาศัยของตนหมดแล้ว 9 ประชาชนทั้งสิ้นก็โต้แย้งกันไปทั่วอิสราเอลทุกเผ่า กล่าวว่า “กษัตริย์เคยทรงช่วยกู้เราให้พ้นจากมือบรรดาศัตรูของเรา และทรงช่วยพวกเราให้พ้นจากมือพวกฟีลิสเตีย แต่บัดนี้พระองค์ทรงหนีออกจากแผ่นดินเพราะเหตุแห่งอับซาโลม
10 อับซาโลมผู้ที่เราได้เจิมตั้งไว้เหนือเรานั้นได้สิ้นพระชนม์แล้วในสงคราม ดังนั้น ทำไมพวกเจ้าไม่พูดอะไรบ้างเลยในเรื่องที่จะทูลเชิญกษัตริย์ให้เสด็จกลับเล่า?” 11 กษัตริย์ดาวิดทรงส่งคนไปหาศาโดกและอาบียาธาร์ปุโรหิตทั้งสอง รับสั่งว่า “จงพูดกับพวกผู้อาวุโสของคนยูดาห์ว่า ‘ทำไมพวกท่านจึงเป็นคนสุดท้ายที่จะทูลเชิญกษัตริย์เสด็จกลับพระราชวังของพระองค์ ในเมื่อมีถ้อยคำมาจากอิสราเอลทั้งปวงชื่นชมถึงกษัตริย์ ให้เสด็จกลับพระราชวังของพระองค์เล่า? 12 พวกท่านเป็นญาติของเรา เป็นกระดูกและเนื้อของเรา ทำไมพวกท่านจึงจะเป็นคนสุดท้ายที่จะทูลเชิญกษัตริย์กลับ?’
13 แล้วจงบอกอามาสาว่า ‘ท่านไม่ได้เป็นกระดูกและเนื้อของเราหรือ? ขอพระเจ้าทรงลงโทษเรา และทรงเพิ่มโทษนั้น ถ้าท่านมิได้เป็นผู้บังคับบัญชากองทัพต่อหน้าเราแทนโยอาบตั้งแต่บัดนี้ไป’” 14 ดังนั้นพระองค์ทรงชนะใจของคนยูดาห์ทั้งปวงราวกับจิตใจของผู้ชายคนเดียว พวกเขาจึงส่งคนไปทูลกษัตริย์ว่า “ขอพระองค์เสด็จกลับพร้อมกับข้าราชการทั้งหมด” 15 ดังนั้นกษัตริย์จึงเสด็จกลับและมายังแม่น้ำจอร์แดน บัดนี้คนยูดาห์ได้พากันมาที่กิลกาลเพื่อรับเสด็จกษัตริย์และนำกษัตริย์เสด็จข้ามแม่น้ำจอร์แดน
16 ชิเมอี บุตรชายของเกรา คนเบนยามินผู้มาจากบาฮูริม ได้รีบลงมาพร้อมกับคนยูดาห์เพื่อจะรับเสด็จกษัตริย์ดาวิด 17 มีคนจากเผ่าเบนยามินพร้อมกับเขาหนึ่งพันคน และศิบามหาดเล็กของซาอูล พร้อมกับบุตรชายสิบห้าคน และคนใช้อีกยี่สิบคน พวกเขาได้รีบข้ามแม่น้ำจอร์แดนเฉพาะพระพักตร์กษัตริย์ 18 พวกเขาได้ข้ามมาเพื่อนำราชวงศ์ของกษัตริย์และคอยทำสิ่งที่พระองค์ทรงเห็นชอบ ชิเมอีบุตรชายของเกรา ได้โน้มตัวลงเฉพาะพระพักตร์กษัตริย์ก่อนที่พระองค์จะเสด็จข้ามแม่น้ำจอร์แดน
19 ชิเมอีทูลกษัตริย์ว่า “ขออย่าทรงถือโทษการล่วงละเมิดของข้าพระองค์ และขออย่าทรงจดจำความผิดที่ผู้รับใช้ของพระองค์ได้ทำอย่างดื้อรั้นในวันที่กษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์เสด็จออกจากกรุงเยรูซาเล็ม ขอกษัตริย์อย่าทรงจดจำไว้ในพระทัย 20 ด้วยผู้รับใช้ของพระองค์ทราบแล้วว่าข้าพระองค์เองได้ทำบาป ดูเถิด นี่เห็นเหตุผลว่าทำไมในวันนี้ข้าพระองค์มาเป็นคนแรกในพงศ์พันธุ์โยเซฟทั้งหมด ที่ลงมารับเสด็จกษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์” 21 แต่อาบีชัยบุตรชายของนางเศรุยาห์ตอบว่า “ชิเมอีไม่สมควรตายเพราะสิ่งนี้ดอกหรือ เพราะเขาได้แช่งด่าผู้ที่รับการเจิมของพระยาห์เวห์?”
22 แล้วดาวิดตรัสว่า “บุตรชายทั้งสองของนางเศรุยาห์เอ๋ย เรามีธุระอะไรกับท่าน ซึ่งในวันนี้ท่านจะมาเป็นปฏิปักษ์กับเรา? ในวันนี้ควรที่จะให้ใครในอิสราเอลมีโทษถึงตายหรือ? เพราะเราจะไม่ทราบหรือว่าเราเองเป็นกษัตริย์ครอบครองอิสราเอล?” 23 ดังนั้นกษัตริย์ตรัสกับชิเมอีว่า “เจ้าจะไม่ตาย” แล้วกษัตริย์ก็ทรงให้คำสัญญาด้วยคำปฏิญาณ 24 แล้วเมฟีโบเชท พระราชโอรสของซาอูลก็ลงมารับเสด็จกษัตริย์ พระองค์ไม่ได้ทรงแต่งพระบาทหรือขลิบเคราของพระองค์ หรือทรงซักฉลองพระองค์ของพระองค์ตั้งแต่วันที่กษัตริย์เสด็จจากไปจนวันที่พระองค์เสด็จกลับมาโดยสวัสดิภาพ
25 ดังนั้นเมื่อพระองค์ได้เสด็จมายังกรุงเยรูซาเล็มเพื่อจะรับเสด็จ กษัตริย์ตรัสถามว่า “เมฟีโบเชท ทำไมท่านไม่ได้ไปกับเรา?” 26 พระองค์ทูลตอบว่า “ข้าแต่กษัตริย์ เจ้านายของข้าพระองค์ มหาดเล็กของข้าพระองค์ได้หลอกลวงข้าพระองค์ เพราะผู้รับใช้ของพระองค์บอกเขาว่า ‘ข้าจะผูกอานลาตัวหนึ่งเพื่อข้าจะได้ขี่ไปตามเสด็จกษัตริย์ เพราะว่าผู้รับใช้ของพระองค์พิการ' 27 เขากลับไปทูลกษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์ ใส่ร้ายผู้รับใช้ของพระองค์ แต่กษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์เหมือนทูตสวรรค์ของพระเจ้า ดังนั้น ขอทรงทำในสิ่งที่พระองค์ทรงเห็นว่าดีในสายพระเนตรของพระองค์เถิด
28 เพราะว่าเชื้อวงศ์ราชบิดาของข้าพระองค์ทั้งสิ้นนั้นเป็นแต่คนที่สมควรตาย เฉพาะพระพักตร์กษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์ แต่พระองค์ได้ทรงแต่งตั้งผู้รับใช้ของพระองค์ไว้ในหมู่ผู้ที่รับประทานร่วมโต๊ะเสวยของพระองค์ ข้าพระองค์จะสมควรหรือที่จะยังคงร้องทูลต่อกษัตริย์อีก?” 29 แล้วกษัตริย์จึงตรัสกับเขาว่า “ท่านจะพูดเรื่องราวของท่านต่อไปทำไม? เราได้ตัดสินใจแล้วว่าท่านกับศิบาจงแบ่งที่ดินกัน” 30 ดังนั้นเมฟีโบเชททูลกษัตริย์ว่า “เมื่อกษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์เสด็จกลับสู่พระราชวังโดยสวัสดิภาพเช่นนี้แล้ว ก็ให้ศิบารับไปหมดเถิด”
31 แล้วบารซิลลัย ชาวกิเลอาดได้ลงมาจากโรเกลิม เพื่อข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปกับกษัตริย์ และเขาส่งกษัตริย์ข้ามแม่น้ำจอร์แดนไป 32 บัดนี้บารซิลลัยเป็นคนชรามากแล้ว อายุแปดสิบปี เขาได้นำเสบียงอาหารมาถวายกษัตริย์ขณะพระองค์ประทับที่มาหะนาอิมเพราะเขาเป็นคนมั่งมีมาก 33 กษัตริย์จึงตรัสกับบารซิลลัยว่า “จงข้ามมาอยู่กับเรา และเราจะเลี้ยงดูเจ้าให้อยู่กับเราที่กรุงเยรูซาเล็ม”
34 บารซิลลัยทูลกษัตริย์ว่า “ข้าพระองค์จะอยู่ต่อไปได้อีกกี่ปี ที่ข้าพระองค์จะขึ้นไปอยู่กับกษัตริย์ที่กรุงเยรูซาเล็ม? 35 ข้าพระองค์มีอายุแปดสิบปีแล้ว ข้าพระองค์จะสามารถแยกว่าอะไรดีอะไรชั่วได้หรือ? ผู้รับใช้ของพระองค์จะลิ้มรสอร่อยของสิ่งที่กินและดื่มได้หรือ? ข้าพระองค์จะฟังเสียงนักร้องชายและหญิงร้องเพลงได้อีกหรือ? ทำไมจะให้ผู้รับใช้ของพระองค์เป็นภาระเพิ่มแก่กษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์อีกเล่า? 36 ผู้รับใช้ของพระองค์ประสงค์จะตามเสด็จข้ามแม่น้ำจอร์แดนกับกษัตริย์เท่านั้น ไฉนกษัตริย์จะทรงตอบแทนด้วยรางวัลเช่นนี้เล่า?
37 ขอให้ผู้รับใช้ของพระองค์ได้กลับไปเพื่อจะตายในเมืองของข้าพระองค์ ใกล้ที่ฝังศพบิดามารดาของข้าพระองค์ แต่ขอจงทรงทอดพระเนตรเถิด นี่คือคิมฮามผู้รับใช้ของพระองค์ โปรดให้เขาตามเสด็จกษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์ไป ขอทรงทำต่อเขาตามที่ทรงเห็นควร” 38 กษัตริย์ตรัสตอบว่า “คิมฮามจะข้ามไปกับเรา เราจะทำคุณแก่เขาตามที่เจ้าเห็นควร สิ่งใดก็ตามที่เจ้าปรารถนาจากเรา เรายินดีทำให้เจ้า” 39 แล้วประชาชนทั้งสิ้นก็ข้ามแม่น้ำจอร์แดน และกษัตริย์ก็เสด็จข้ามไป กษัตริย์ทรงจูบบารซิลลัย และได้อวยพรเขา แล้วบารซิลลัยก็กลับไปยังที่อยู่ของเขา
40 ดังนั้นกษัตริย์ได้เสด็จข้ามไปยังกิลกาล และคิมฮามก็ข้ามตามพระองค์ กองทัพของยูดาห์ทั้งหมดก็นำกษัตริย์ข้ามมา และครึ่งหนึ่งของกองทัพอิสราเอลด้วย 41 ในไม่ช้าอิสราเอลทั้งหมดก็เริ่มมาเฝ้ากษัตริย์และทูลกษัตริย์ว่า “ไฉนพี่น้องของเราคนยูดาห์จึงได้ลักพาพระองค์ไปเสียและนำกษัตริย์และราชวงศ์ของพระองค์ข้ามแม่น้ำจอร์แดนไป และพร้อมกับคนของดาวิดทั้งหมด?” 42 ดังนั้น คนยูดาห์ทั้งปวงจึงตอบคนอิสราเอลว่า “เพราะว่ากษัตริย์ทรงเป็นญาติสนิทกับเรา ท่านทั้งหลายจะโกรธด้วยเรื่องนี้ทำไมเล่า? พวกเราได้กินสิ่งใดที่กษัตริย์ต้องจ่ายให้หรือไม่? พระองค์ให้รางวัลอะไรแก่เราหรือ?” 43 คนอิสราเอลได้ตอบคนยูดาห์ว่า “เรามีสิบเผ่าที่มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับกษัตริย์ ดังนั้นเรามีสิทธิ์ในดาวิดมากกว่าพวกท่าน ทำไมพวกท่านจึงดูถูกเราเช่นนี้? ไม่ใช่พวกเราที่เป็นพวกแรกหรือที่เสนอให้นำกษัตริย์ของพวกเรากลับมา?" แต่ถ้อยคำของคนยูดาห์ก็รุนแรงกว่าถ้อยคำของคนอิสราเอล
1 ที่เดียวกันนั้นมีคนก่อกวนคนหนึ่งชื่อเชบาบุตรชายของบิครีคนเบนยามิน เขาเป่าแตรและกล่าวว่า “เราไม่มีส่วนในดาวิด เราก็ไม่ได้มีมรดกในบุตรชายของเจสซี อิสราเอลเอ๋ย ให้ทุกคนกลับบ้านของตนเอง" 2 ดังนั้น คนอิสราเอลทั้งปวงก็ละจากดาวิดและติดตามเชบาบุตรชายของบิครี แต่คนยูดาห์ยังติดตามกษัตริย์ของพวกเขาอย่างใกล้ชิด จากแม่น้ำจอร์แดนตลอดทางไปถึงเยรูซาเล็ม 3 เมื่อดาวิดเสด็จกลับมาที่พระราชวังที่เยรูซาเล็ม พระองค์นำนางสนมทั้งสิบคน ที่พระองค์ทรงละไว้ให้เฝ้าพระราชวังนั้นไปไว้ในบ้านหลังหนึ่งที่มียามเฝ้า พระองค์ได้ทรงเลี้ยงดูแต่พระองค์ไม่ได้ทรงหลับนอนกับพวกนางอีกต่อไป ดังนั้นพวกนางจึงถูกกักไว้ ให้มีชีวิตอยู่อย่างแม่ม่ายจนถึงวันตาย
4 แล้วกษัตริย์ตรัสกับอามาสาว่า “จงระดมคนยูดาห์ให้พร้อมภายในสามวัน ตัวท่านจงมาที่นี่ด้วย” 5 ดังนั้นอามาสาได้ออกไประดมคนยูดาห์ แต่เขาได้ทำงานล่าช้าเกินเวลาที่กษัตริย์กำหนดให้เขาทำ 6 ดังนั้นดาวิดตรัสกับอาบีชัยว่า “บัดนี้เชบาบุตรชายของบิครีจะทำร้ายเรามากกว่าอับซาโลมได้ทำ ท่านจงนำบรรดาข้าราชการของเจ้านายของท่าน เหล่าทหารของเรา ไล่ตามเขาไป มิฉะนั้น เขาจะหาบรรดาเมืองที่มีป้อม และหนีพ้นสายตาเรา”
7 แล้วพวกของโยอาบออกไปไล่ตามเขา พร้อมกับคนเคเรธีกับคนเปเลทกับนักรบทั้งหมด พวกเขาออกจากเยรูซาเล็มเพื่อไล่ตามเชบาบุตรชายของบิครี 8 เมื่อพวกเขาได้มาถึงศิลาใหญ่ที่อยู่ในเมืองกิเบโอน อามาสาก็มาพบพวกเขา โยอาบสวมเครื่องแต่งกายทหารอย่างที่เขาเคยสวม ซึ่งคาดเข็มขัดรอบเอวที่ติดดาบที่อยู่ในฝัก เมื่อเขาเดินไปดาบก็หลุดตกลง 9 ดังนั้นโยอาบจึงถามอามาสาว่า “ญาติของข้า สบายดีหรือ?” โยอาบก็เอามือขวาจับเคราอามาสาด้วยความรักและจูบเขา
10 อามาสาไม่ได้สังเกตดาบที่อยู่ในมือซ้ายของโยอาบ โยอาบจึงแทงท้องอามาสาไส้ทะลักถึงดิน โยอาบไม่แทงเขาอีกครั้ง และอามาสาก็ตาย ดังนั้นโยอาบและอาบีชัยน้องชายของเขาก็ไล่ตามเชบาบุตรชายของบิครีไป 11 แล้วทหารคนหนึ่งของโยอาบได้ยืนอยู่ใกล้อามาสาพูดว่า “ใครเห็นด้วยกับโยอาบและใครอยู่ฝ่ายดาวิดให้ผู้นั้นติดตามโยอาบไป” 12 อามาสาก็นอนจมกองเลือดของตัวเองอยู่ที่ในถนน เมื่อชายคนนั้นเห็นพวกทหารทั้งสิ้นได้ยืนนิ่งอยู่ เขาก็ย้ายอามาสาจากถนนไปทิ้งในทุ่งนา เขาได้โยนเสื้อผ้าปิดร่างเขาไว้ เพราะว่าเขาเห็นว่าทุกคนที่ผ่านมาก็ยืนนิ่งอยู่
13 หลังจากที่ศพของอามาสาถูกนำออกจากถนนแล้ว ทหารทั้งปวงก็ตามโยอาบเพื่อไล่ตามเชบาบุตรชายของบิครี 14 เชบาได้ผ่านคนอิสราเอลทุกเผ่าไปจนถึงตำบลอาเบลแขวงเมืองเบธมาอาคาห์ และผ่านทะลุไปทุกดินแดนของคนเบรีทั้งหมด ที่ได้มารวมกันและไล่ติดตามเชบาไป 15 พวกเขาได้ตามมาทันเขาและได้ล้อมเขาไว้ในตำบลอาเบล แขวงเมืองเบธมาอาคาห์ พวกเขาก่อทางลาดเนินขึ้นตรงกำแพง ทหารทั้งหมดที่อยู่กับโยอาบก็ทะลวงกำแพงเพื่อพังกำแพงลง
16 แล้วมีผู้หญิงฉลาดคนหนึ่งร้องออกมาจากในเมืองว่า “จงฟัง ขอฟังหน่อย โยอาบ เข้ามาใกล้ฉันหน่อย เพื่อฉันจะพูดกับท่าน” 17 ดังนั้นโยอาบก็เข้ามาใกล้นาง และผู้หญิงนั้นก็พูดว่า “ท่านคือโยอาบหรือ?” เขาตอบว่า “ใช่แล้วเราคือโยอาบ” นางจึงกล่าวกับเขาว่า “ขอท่านฟังถ้อยคำของสาวใช้ของท่านสักหน่อย” เขาก็ตอบว่า “เรากำลังฟังอยู่แล้ว” 18 แล้วนางก็พูดว่า “สมัยโบราณพวกเขาได้พูดกันว่า 'ให้ขอคำปรึกษาที่อาเบลให้แน่นอนเถิด’ และคำปรึกษานั้นจะทำให้เรื่องนั้นจบลง
19 พวกเราเป็นเมืองหนึ่งที่เต็มด้วยความสงบสุขที่สุดและสัตย์ซื่อในอิสราเอล ท่านกำลังจะทำลายเมือง อันเป็นเมืองแม่ของอิสราเอล ทำไมท่านจึงจะกลืนมรดกของพระยาห์เวห์เสีย?” 20 ดังนั้นโยอาบจึงตอบว่า “ ขอให้ห่างไกล ขอให้ห่างไกลจากเราซึ่งเราจะกลืนหรือทำลายนั้น 21 เรื่องนี้ไม่เป็นความจริง แต่มีผู้ชายคนหนึ่งจากแดนเทือกเขาเอฟราอิมชื่อเชบาบุตรชายของบิครี ได้ยกมือของเขาขึ้นต่อสู้กษัตริย์ ต่อสู้ดาวิด จงมอบเขามาคนเดียว และเราจะถอนทัพจากเมืองนี้” ผู้หญิงนั้นจึงกล่าวกับโยอาบว่า “ ศีรษะของเขาจะถูกโยนข้ามกำแพงมาให้ท่าน”
22 แล้วผู้หญิงนั้นก็ไปหาประชาชนทั้งหมดด้วยปัญญาของนาง พวกเขาได้ตัดศีรษะของเชบาบุตรชายของบิครี และโยนให้โยอาบ แล้วเขาก็เป่าแตรและทหารของโยอาบก็แยกกันไปจากเมือง ทุกคนก็กลับไปยังที่อยู่ของตน แล้วโยอาบก็กลับไปเฝ้ากษัตริย์ที่เยรูซาเล็ม 23 บัดนี้โยอาบได้เป็นผู้บังคับบัญชากองทัพทั้งหมดของอิสราเอล และเบไนยาห์บุตรชายของเยโฮยาดาได้เป็นผู้บังคับบัญชาของคนเคเรธีและคนเปเลท 24 อาโดรัมได้ดูแลคนงานโยธา และเยโฮชาฟัทบุตรชายของอาหิลูดได้เป็นพนักงานทะเบียน
25 เชวาได้เป็นอาลักษณ์ ศาโดกและอาบียาธาร์ได้เป็นปุโรหิต 26 อิราตระกูลยาอีร์เป็นหัวหน้าข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของดาวิดด้วย
1 มีการกันดารอาหารในสมัยของดาวิดอยู่สามปีติดต่อกัน และดาวิดก็แสวงหาพระพักตร์พระยาห์เวห์ ดังนั้นพระยาห์เวห์จึงตรัสว่า “การกันดารอาหารที่เกิดขึ้นกับพวกเจ้านี้เพราะว่าซาอูลและพงศ์พันธุ์ของเขาได้แปดเปื้อนโลหิต พวกเขาได้ฆ่าคนกิเบโอน” 2 บัดนี้คนกิเบโอนนั้นไม่ใช่พงศ์พันธุ์อิสราเอล พวกเขาเป็นคนอาโมไรต์ที่ยังเหลืออยู่ ถึงแม้ว่าประชาชนอิสราเอลได้ปฏิญาณต่อพวกเขาว่าจะไม่ฆ่าพวกเขา แต่ซาอูลก็ทรงพยายามที่จะสังหารพวกเขาทั้งหมดเสีย เพราะความกระตือรือล้นเพื่อพงศ์พันธุ์อิสราเอลและยูดาห์ 3 ดังนั้น กษัตริย์ดาวิดทรงเรียกประชุมพวกกิเบโอนและตรัสถามพวกเขาว่า “เราจะทำอะไรให้แก่พวกท่านได้? เราจะทำอย่างไรจึงจะลบมลทินบาปเสีย เพื่อพวกท่านจะได้อวยพรแก่ประชาชนของพระยาห์เวห์ ผู้ได้รับมรดกของความดีและพระสัญญาของพระองค์?”
4 คนกิเบโอนทูลตอบพระองค์ว่า “มันไม่ใช่เรื่องเงินหรือทองระหว่างพวกข้าพระองค์กับซาอูลหรือพงศ์พันธุ์ของพระองค์ ในทำนองเดียวกัน มันไม่ใช่เรื่องของพวกข้าพระองค์ที่จะประหารชีวิตใครในอิสราเอล” ดาวิดจึงตรัสว่า “พวกท่านพูดว่าอย่างไร ที่เราควรจะทำให้พวกท่าน?” 5 พวกเขาทูลกษัตริย์ว่า “สำหรับผู้ชายผู้ที่ได้พยายามฆ่าพวกข้าพระองค์ และวางแผนทำลายพวกข้าพระองค์ ดังนั้นพวกข้าพระองค์ได้ถูกทำลายและไม่มีที่อยู่ในเขตแดนของอิสราเอล 6 ขอให้มอบเจ็ดคนจากพงศ์พันธุ์ของเขาให้พวกข้าพระองค์ และพวกข้าพระองค์จะได้แขวนคอพวกเขาเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ ที่กิเบอาห์ของซาอูลผู้ที่ได้รับการเลือกสรรของพระยาห์เวห์ ดังนั้นกษัตริย์ตรัสว่า “เราจะมอบพวกเขาให้แก่เจ้า”
7 แต่กษัตริยทรงไว้ชีวิตเมฟีโบเชทบุตรชายของโยนาธานโอรสของซาอูล เพราะคำปฏิญาณของพระยาห์เวห์ที่ทั้งสองได้ทำ คือระหว่างดาวิดกับโยนาธานโอรสของซาอูล 8 แต่กษัตริย์ได้นำเอาบุตรชายสองคนของนางริสปาห์บุตรีของอัยยาห์ บุตรชายทั้งสองคนของนางที่เกิดกับซาอูล ชื่อของบุตรชายทั้งสองคนคือ อารโมนีและเมฟีโบเชท และดาวิดก็นำบุตรชายทั้งห้าคนของเมราบราชธิดาของซาอูล ผู้ที่พระนางได้ให้กำเนิดกับอาดรีเอลบุตรชายของบารซิลลัยชาวเมโหลาห์ 9 พระองค์ทรงมอบคนเหล่านี้ไว้ในมือของคนกิเบโอน พวกเขาจึงได้แขวนคอพวกเขาบนภูเขาเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ และพวกเขาทั้งเจ็ดคนก็ตายไปด้วยกัน พวกเขาถูกฆ่าตายในช่วงฤดูเกี่ยวข้าว ระหว่างวันแรกของวันเริ่มต้นเกี่ยวข้าวบาร์เลย์
10 แล้วนางริสปาห์บุตรีของอัยยาห์ก็เอาผ้ากระสอบปูไว้บนก้อนหินสำหรับตนเอง บนภูเขาข้างๆ ร่างทั้งหลายของคนตาย ตั้งแต่ต้นฤดูเกี่ยวจนถึงเวลาที่ฝนจากท้องฟ้าตกบนพวกเขา นางไม่ยอมให้เหล่าฝูงนกแห่งท้องฟ้ามารบกวนร่างทั้งหลายในเวลากลางวันหรือไม่ให้สัตว์ป่ามารบกวนในเวลากลางคืน 11 เมื่อเขาทูลดาวิดให้ทรงทราบในสิ่งที่นางริสปาห์บุตรีของอัยยาห์นางสนมของซาอูลได้ทำแล้ว 12 ดังนั้นดาวิดได้เสด็จไปนำอัฐิของซาอูลและอัฐิของโยนาธานโอรสของพระองค์มาจากพวกคนของเมืองยาเบชกิเลอาดผู้ที่ได้ลักลอบเอาไปจากลานเมืองเบธชาน ที่พวกฟีลิสเตียได้แขวนทั้งสองพระองค์ไว้ หลังจากที่พวกฟีลิสเตียได้ประหารซาอูลในกิลโบอา
13 ดาวิดทรงนำอัฐิของซาอูลและอัฐิของโยนาธานโอรสของพระองค์ขึ้นมาจากที่นั่น และพวกเขาได้รวบรวมกระดูกของคนทั้งเจ็ดคนที่ถูกแขวนคอตายด้วยเช่นกัน 14 พวกเขาได้ฝังอัฐิของซาอูลและของโยนาธานโอรสของพระองค์ไว้ในแผ่นดินของเบนยามินในเมืองเศลา ในอุโมงค์ของคีชบิดาของพระองค์พวกเขาได้ทำตามทุกอย่างที่กษัตริย์ทรงบัญชาไว้ หลังจากนั้นพระเจ้าก็ได้ทรงตอบคำอธิษฐานเพื่อแผ่นดินนั้น 15 แล้วพวกฟีลิสเตียลงมาทำสงครามกับคนอิสราเอลอีกครั้ง ดังนั้นดาวิดก็เสด็จลงไปพร้อมกับกองทัพของพระองค์ และทรงสู้รบกับคนฟีลิสเตีย ดาวิดก็ทรงรับชัยชนะด้วยการเหนื่อยล้าจากสงคราม
16 อิชบีเบโนบ คนหนึ่งในพงศ์พันธุ์ของคนยักษ์ ผู้ที่มีหอกทองสัมฤทธิ์หนักสามร้อยเชเขล และเป็นผู้ที่มีดาบใหม่คาดเอว คิดจะฆ่าดาวิดเสีย 17 แต่อาบีชัยบุตรชายของนางเศรุยาห์ได้เข้ามาช่วยดาวิดไว้ และสู้รบกับคนฟีลิสเตีย และฆ่าเขาเสีย แล้วเหล่าทหารของดาวิดได้ทูลปฏิญาณต่อพระองค์ว่า “ขอพระองค์อย่าเสด็จไปทำศึกพร้อมกับพวกข้าพระองค์อีกต่อไปเลย เพื่อพระองค์จะไม่ดับประทีปของอิสราเอล” 18 เรื่องนี้ได้เกิดขึ้นภายหลังที่มีการรบกับพวกฟีลิสเตียอีกที่เมืองโกบ คราวนั้นสิบเบคัยตระกูลหุชาห์ได้ฆ่าสัฟผู้เป็นคนหนึ่งในพงศ์พันธุ์ของคนเรฟาอิม
19 เรื่องนี้เกิดขึ้นอีกครั้งในการรบกับพวกฟีลิสเตียที่เมืองโกบอีก ที่เอลฮานันบุตรชายของยารี ชาวเบธเลเฮมได้ฆ่าโกลิอัทชาวกัทผู้มีหอกที่มีด้ามโตเท่าไม้กระพั่นทอผ้า 20 เรื่องนี้ได้เกิดขึ้นมีการรบกันอีกที่เมืองกัท อันเป็นเมืองที่มีชายคนหนึ่งรูปร่างใหญ่โต ผู้ที่มีนิ้วมือข้างละหกนิ้ว และนิ้วเท้าข้างละหกนิ้ว รวมกันยี่สิบสี่นิ้ว เขาก็ได้สืบเชื้อสายมาจากพวกเรฟาอิมด้วย 21 เมื่อเขาท้าทายอิสราเอล โยนาธานบุตรชายของชัมมาห์เชษฐาของดาวิดได้ฆ่าเขาเสีย 22 คนเหล่านี้สืบเชื้อสายคนเรฟาอิมของเมืองกัท และพวกเขาถูกฆ่าตายด้วยพระหัตถ์ของดาวิด และด้วยมือของเหล่าทหารของพระองค์
1 ดาวิดทรงร้องบทเพลงนี้แด่พระยาห์เวห์ ในวันที่พระยาห์เวห์ทรงช่วยกู้พระองค์ให้พ้นจากมือเหล่าศัตรูทั้งสิ้นของพระองค์ และจากเงื้อมพระหัตถ์ของซาอูล 2 พระองค์ทรงอธิษฐานว่า “พระยาห์เวห์ทรงเป็นศิลาของข้าพระองค์ เป็นป้อมปราการของข้าพระองค์ และเป็นผู้ช่วยกู้ของข้าพระองค์ 3 พระเจ้าทรงเป็นศิลาของข้าพระองค์ ข้าพระองค์เข้าลี้ภัยอยู่ในพระองค์ พระองค์ทรงเป็นโล่ของข้าพระองค์ ทรงเป็นพลังแห่งความรอดของข้าพระองค์ ทรงเป็นที่กำบังอันแข็งแกร่งของข้าพระองค์ และที่ลี้ภัยของข้าพระองค์ พระองค์ผู้ทรงช่วยข้าพระองค์ให้รอดจากความรุนแรง
4 ข้าพระองค์ร้องทูลพระยาห์เวห์ ผู้ทรงสมควรแก่การสรรเสริญ และข้าพระองค์ได้รับการทรงช่วยให้พ้นจากบรรดาศัตรูของข้าพระองค์ 5 เพราะเหล่าคลื่นแห่งความมรณะได้ล้อมรอบข้าพระองค์ กระแสแห่งความหายนะก็ได้ท่วมท้นเหนือข้าพระองค์ 6 สายใยของแดนคนตายพันตัวข้าพระองค์ บ่วงแห่งความตายได้พันรอบข้าพระองค์อยู่
7 ในความทุกข์ลำบากของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ได้ร้องทูลพระยาห์เวห์ ข้าพระองค์ร้องทูลพระเจ้าของข้าพระองค์ พระองค์ทรงยินเสียงของข้าพระองค์จากพระนิเวศของพระองค์ และเสียงร้องทูลขอความช่วยเหลือของข้าพระองค์ได้ไปถึงพระกรรณของพระองค์ 8 แล้วแผ่นดินก็สั่นสะเทือนและโคลงเคลง รากฐานของฟ้าก็หวั่นไหว และสั่นสะเทือน เพราะพระเจ้ากริ้ว 9 ควันไฟก็ขึ้นไปตามช่องพระนาสิกของพระองค์ และเพลิงผลาญได้ออกมาจากพระโอษฐ์ของพระองค์ ถ่านเหล่านั้นก็ติดเปลวไฟ
10 พระองค์ทรงเปิดท้องฟ้าและเสด็จลงมา และความมืดก็อยู่ใต้พระบาทของพระองค์ 11 พระองค์ทรงเครูบตนหนึ่ง แล้วทรงบินไป พระองค์ทรงปรากฏบนปีกของลม 12 พระองค์ทรงทำให้ความมืดปกคลุมอยู่รอบพระองค์ รวมรวมเหล่าเมฆฝนหนาทึบในท้องฟ้าทั้งมวล
13 จากความสว่างตรงหน้าพระพักตร์พระองค์ถ่านเพลิงได้ตกลงมา 14 พระยาห์เวห์ทรงส่งเสียงดังดุจฟ้าร้องจากท้องฟ้า องค์ผู้สูงสุดก็ทรงเปล่งพระสุรเสียง 15 พระองค์ทรงแผลงศร และทรงทำให้พวกศัตรูของพระองค์กระจัดกระจาย ทรงทำให้เกิดฟ้าแลบ และทรงทำให้พวกเขาแตกหนีไป
16 แล้วช่องน้ำทั้งหลายได้ปรากฏ รากฐานของโลกก็เผยโฉม ตามพระสิงหนาทของพระยาห์เวห์ ตามลมที่พวยพุ่งจากช่องพระนาสิกของพระองค์ 17 พระองค์ทรงเอื้อมลงมาจากเบื้องบน ทรงจับข้าพระองค์ พระองค์ทรงดึงข้าพระองค์ออกมาจากน้ำที่ซัดไปมา 18 พระองค์ทรงช่วยกู้ข้าพระองค์จากศัตรูเข้มแข็ง จากบรรดาผู้ที่เกลียดชังข้าพระองค์ เพราะพวกเขาแข็งแรงกว่าข้าพระองค์ยิ่งนัก
19 พวกเขามาต่อสู้กับข้าพระองค์ในวันที่ข้าพระองค์ประสบภัยพิบัติ แต่พระยาห์เวห์ทรงเป็นที่พึ่งของข้าพระองค์ 20 พระองค์ทรงนำข้าพระองค์ออกมายังที่กว้างใหญ่ พระองค์ทรงช่วยกู้ข้าพระองค์ไว้เพราะพระองค์ทรงพอพระทัยข้าพระองค์ 21 พระยาห์เวห์ประทานรางวัลแก่ข้าพระองค์ตามความชอบธรรมของข้าพระองค์ พระองค์ทรงช่วยฟื้นฟูข้าพระองค์ตามความสะอาดของมือทั้งสองของข้าพระองค์
22 เพราะข้าพระองค์ได้รักษาทางของพระยาห์เวห์และไม่ได้ทำสิ่งที่ชั่วร้ายโดยการหันจากพระเจ้าของข้าพระองค์ 23 เพราะกฎหมายแห่งความชอบธรรมทั้งสิ้นของพระองค์อยู่ต่อหน้าข้าพระองค์ ข้าพระองค์ไม่ได้หันไปจากสิ่งเหล่านั้น 24 ข้าพระองค์ไร้ตำหนิต่อพระองค์ และข้าพระองค์รักษาตัวไว้จากความบาป
25 เพราะฉะนั้น พระยาห์เวห์ทรงตอบแทนข้าพระองค์ตามความชอบธรรมของข้าพระองค์ ตามอัตราความสะอาดของข้าพระองค์ในสายพระเนตรของพระองค์ 26 พระองค์ทรงสำแดงพระองค์ว่าทรงซื่อสัตย์ต่อผู้ที่ซื่อสัตย์ พระองค์ทรงสำแดงพระองค์ว่าทรงไร้ตำหนิต่อผู้ที่ไร้ตำหนิ 27 พระองค์ทรงสำแดงพระองค์ว่าบริสุทธิ์ต่อผู้ที่บริสุทธิ์ แต่พระองค์ทรงสำแดงเป็นปฏิปักษ์ต่อผู้ที่ได้คดโกง
28 พระองค์ทรงช่วยประชาชนที่ทุกข์ยากลำบากให้รอด แต่พระเนตรของพระองค์ต่อสู้กับดวงตาที่หยิ่งยโส และพระองค์ทรงทำให้คนเหล่านั้นต่ำลง 29 ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระองค์ทรงเป็นประทีปของข้าพระองค์ พระยาห์เวห์ทรงทำให้เกิดความสว่างในความมืดของข้าพระองค์ 30 เพราะโดยพระองค์ ข้าพระองค์สามารถตะลุยฝ่าเครื่องกีดขวางได้ และโดยพระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์สามารถกระโดดข้ามกำแพงได้
31 สำหรับพระเจ้า พระมรรคาของพระองค์สมบูรณ์ พระดำรัสของพระยาห์เวห์ไร้ตำหนิ พระองค์ทรงเป็นโล่ของทุกคนที่ลี้ภัยอยู่ในพระองค์ 32 เพราะผู้ใดจะเป็นพระเจ้าอีก นอกจากพระยาห์เวห์ และผู้ใดเล่าเป็นพระศิลาเว้นแต่พระเจ้าของเรา? 33 พระเจ้าผู้ทรงเป็นที่ลี้ภัยของข้าพระองค์ และพระองค์ได้ทรงนำบุคคลที่ไร้ตำหนิในทางของพระองค์
34 พระองค์ทรงทำให้เท้าของข้าพระองค์เป็นเหมือนอย่างตีนกวางตัวเมียและทรงวางข้าพระองค์ไว้บนเนินเขาที่สูง 35 พระองค์ทรงฝึกมือข้าพระองค์ให้ทำสงคราม แขนข้าพระองค์ให้โก่งคันธนูทองสัมฤทธิ์ได้ 36 พระองค์ได้ประทานโล่แห่งความรอดของพระองค์แก่ข้าพระองค์ และความโปรดปรานของพระองค์ก็ทำให้ข้าพระองค์เป็นใหญ่ขึ้น
37 พระองค์ได้ประทานที่กว้างขวางสำหรับย่างเท้าของข้าพระองค์ ดังนั้นเท้าของข้าพระองค์จึงไม่พลาด 38 ข้าพระองค์ได้ไล่ตามพวกศัตรูของข้าพระองค์และทำลายพวกเขาเสีย ข้าพระองค์ไม่ได้หันกลับจนกว่าพวกเขาได้ถูกผลาญเสียสิ้น 39 ข้าพระองค์ทำลายพวกเขาและแทงพวกเขาทะลุ พวกเขาจึงไม่สามารถลุกขึ้นอีก พวกเขาล้มลงใต้เท้าของข้าพระองค์
40 พระองค์ได้ประทานกำลังแก่ข้าพระองค์เหมือนเข็มขัดเพื่อต่อสู้ในสงคราม พระองค์ทรงทำให้บรรดาผู้ที่ลุกขึ้นสู้ข้าพระองค์สยบลง 41 พระองค์ทรงทำให้บรรดาศัตรูของข้าพระองค์หันหลังให้ข้าพระองค์ บรรดาผู้ที่เกลียดชังข้าพระองค์ ข้าพระองค์ก็ทำลายเสียสิ้น 42 พวกเขาร้องหาความช่วยเหลือ แต่ไม่มีใครช่วยพวกเขาได้ พวกได้เขาร้องทูลพระยาห์เวห์ แต่พระองค์มิได้ทรงตอบพวกเขา
43 ข้าพระองค์จึงทุบเขาแหลกละเอียดอย่างผงคลีดิน ข้าพระองค์ได้ขยี้พวกเขาเหมือนโคลนตามถนน 44 พระองค์ทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากการทะเลาะวิวาทกับประชาชนของข้าพระองค์ พระองค์ทรงรักษาข้าพระองค์ไว้ให้เป็นหัวหน้าของบรรดาประชาชาติ ประชาชนที่ข้าพระองค์ไม่เคยรู้จักก็จะปรนนิบัติข้าพระองค์ 45 พวกคนต่างด้าวจะถูกบังคับให้หมอบราบต่อข้าพระองค์ พอพวกเขาได้ยินถึงข้าพระองค์ พวกเขาก็จะเชื่อฟังข้าพระองค์
46 พวกคนต่างด้าวก็เสียขวัญตัวสั่นออกมาจากที่กำบังแข็งแกร่งของเขา 47 พระยาห์เวห์ทรงพระชนม์อยู่ ขอให้พระศิลาของข้าพระองค์เป็นที่ควรสรรเสริญ ขอให้พระเจ้าได้รับการยกย่อง พระศิลาแห่งความรอดของข้าพระองค์ 48 นี่คือพระเจ้าผู้ทรงแก้แค้นให้ข้าพระองค์ พระองค์เป็นผู้ที่นำชนชาติทั้งหลายลงให้อยู่ใต้ข้าพระองค์
49 ผู้ทรงนำข้าพระองค์ออกมาจากบรรดาศัตรูของข้าพระองค์ แท้ที่จริง พระองค์ทรงยกข้าพระองค์อยู่เหนือบรรดาผู้ลุกขึ้นสู้ข้าพระองค์ พระองค์ทรงช่วยกู้ข้าพระองค์จากคนโหดร้าย 50 เพราะฉะนั้น ข้าแต่พระยาห์เวห์ ข้าพระองค์จึงขอบพระคุณพระองค์ท่ามกลางบรรดาประชาชาติ ข้าพระองค์จะร้องเพลงสดุดีพระนามของพระองค์ 51 พระเจ้าประทานชัยชนะยิ่งใหญ่แก่กษัตริย์ของพระองค์ และพระองค์ทรงสำแดงพันธสัญญาอย่างซื่อสัตย์ต่อผู้ที่พระองค์ได้ทรงเจิม แก่ดาวิดและบรรดาลูกหลานของพระองค์เป็นนิตย์"
1 บัดนี้ นี่เป็นถ้อยคำสุดท้ายของดาวิด ดาวิดบุตรชายของเจสซี ผู้ชายที่ได้รับเกียรติอย่างสูง ผู้ที่รับการเจิมโดยพระเจ้าของยาโคบ นักแต่งบทเพลงสดุดีที่ไพเราะของอิสราเอล 2 “พระวิญญาณของพระยาห์เวห์ได้ตรัสทางข้าพระองค์ และพระดำรัสของพระองค์อยู่ที่ลิ้นของข้าพระองค์ 3 พระเจ้าแห่งอิสราเอลทรงได้กล่าว พระศิลาแห่งอิสราเอลได้ตรัสกับข้าพระองค์ว่า 'เมื่อผู้หนึ่งปกครองมนุษย์โดยชอบธรรม ผู้ทรงปกครองด้วยความยำเกรงพระเจ้า
4 เขาจะเป็นเหมือนแสงอรุณเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น ในเวลารุ่งเช้าที่ไม่มีเมฆ เมื่อหญ้าอ่อนงอกออกจากดินเมื่อมีแสงจ้าของดวงอาทิตย์ภายหลังฝน 5 แน่ทีเดียว พงศ์พันธุ์ของข้าพระองค์ไม่เป็นเช่นนั้นต่อพระพักตร์ของพระเจ้าหรือ? เพราะพระองค์ไม่ได้ทรงทำพันธสัญญานิรันดร์กับข้าพระองค์ อันเป็นระเบียบและมั่นคงในทุกทางอย่างนั้นหรือ? พระองค์จะไม่ทรงเพิ่มพูนความรอดของข้าพระองค์และเติมเต็มความปรารถนาทุกอย่างของข้าพระองค์หรือ? 6 แต่คนอธรรมทั้งหมดก็เหมือนหนามที่ถูกถอนทิ้งไป เพราะว่าพวกเขาไม่สามารถถูกรวบรวมได้ด้วยมือของใคร
7 คนที่แตะต้องพวกเขา จะต้องถืออาวุธที่ทำด้วยเหล็กหรือด้ามของหอก พวกเขาจะต้องถูกเผาจนหมดสิ้นในที่ที่พวกเขาอยู่นั้น”' 8 ต่อไปนี้เป็นรายชื่อของนักรบผู้เก่งกล้าของดาวิด คือเยชบาอัล ตระกูลทัคโมนี เป็นผู้นำของเหล่านักรบผู้เก่งกล้า เขาได้ฆ่าคนแปดร้อยคนในครั้งเดียว 9 คนที่รองลงมาคือเอเลอาซาร์บุตรชายของโดโด ผู้เป็นบุตรชายของอาโหอาห์ ผู้ที่เป็นหนึ่งในสามของนักรบผู้เก่งกล้าของดาวิด เขาได้อยู่เมื่อพวกเขาพูดหยามพวกฟีลิสเตียซึ่งชุมนุมกันที่นั่นเพื่อทำสงคราม และเมื่อคนอิสราเอลได้ถอยทัพ
10 เอเลอาซาร์ได้ลุกขึ้นและได้ต่อสู้พวกฟีลิสเตีย จนกระทั่งมือของเขาอ่อนล้าและมือของเขาแข็งทื่อติดอยู่กับดาบของเขา พระยาห์เวห์ได้ทรงทำให้ได้ชัยชนะอย่างใหญ่หลวงในวันนั้น กองทัพจึงได้กลับไปกับเอเลอาซาร์ เพื่อปลดข้าวของจากผู้ที่ถูกฆ่าตายเท่านั้น 11 รองจากเขาลงมาคือชัมมาห์บุตรชายของอาเกชาวฮาราร์ พวกฟีลิสเตียได้มาชุมนุมกันอยู่ที่ทุ่งหญ้าเลฮี เป็นที่ที่มีพื้นดินผืนหนึ่งมีถั่วแดงเต็มไปหมด และกองทัพก็หนีไปจากพวกเขา 12 แต่ชามาห์ได้ยืนมั่นอยู่ท่ามกลางผืนดินนั้น และป้องกันผืนดินนั้นไว้ เขาได้ฆ่าพวกฟีลิสเตีย และพระยาห์เวห์ทรงทำให้มีชัยชนะอย่างใหญ่หลวง
13 ทหารสามนายในพวกทหารสามสิบคนนั้น ได้ลงมาหาดาวิดในฤดูเกี่ยวข้าวที่ถ้ำอดุลลัม กองทัพของฟีลิสเตียได้ตั้งค่ายอยู่ในหุบเขาเรฟาอิม 14 ในคราวนั้นดาวิดได้ประทับในที่กำบังเข้มแข็งคือที่ถ้าแห่งหนึ่ง ขณะที่พวกฟีลิสเตียก็ได้ตั้งหลักแหล่งอยู่ที่เบธเลเฮม 15 ดาวิดทรงกระหายน้ำและตรัสว่า “ถ้าเพียงบางคนจะให้น้ำแก่เราดื่มจากบ่อที่เบธเลเฮม บ่อที่อยู่ข้างประตูเมือง”
16 ดังนั้นวีรบุรุษสามคนที่ได้กล่าวถึงนั้นก็ได้แหกค่ายของกองทัพของคนฟีลิสเตียเข้าไป และได้ตักน้ำจากบ่อเบธเลเฮม บ่อที่อยู่ข้างประตูเมือง พวกเขาได้นำน้ำมาและได้มาถวายแก่ดาวิด แต่พระองค์ได้ทรงปฏิเสธที่จะทรงดื่มน้ำนั้น แต่พระองค์ได้ทรงเทน้ำนั้นถวายแด่พระยาห์เวห์ 17 แล้วพระองค์ได้ตรัสว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์ ซึ่งข้าพระองค์จะทำเช่นนี้ ก็ขอให้ห่างไกลจากข้าพระองค์ ข้าพระองค์ควรจะดื่มโลหิตของบรรดาผู้ได้ไปเสี่ยงชีวิตของพวกเขาหรือ?” ดังนั้นพระองค์จึงไม่ทรงยอมดื่ม นักรบทั้งสามได้ทำสิ่งเหล่านี้ 18 อาบีชัยน้องชายของโยอาบและบุตรชายของนางเศรุยาห์ ได้เป็นหัวหน้าของทั้งสามคนนั้น ครั้งหนึ่งเขาได้ต่อสู้ด้วยหอกต่อทหารสามร้อยคน และได้ฆ่าพวกเขา เขาก็ได้มีชื่อเสียงร่วมกับวีรบุรุษสามคนที่กล่าวถึงนั้น
19 เขาเป็นผู้ได้รับเกียรติมากกว่าสามคนนั้นไม่ใช่หรือ? เขาได้เป็นผู้บังคับบัญชาของพวกเขา อย่างไรก็ตามชื่อเสียงของเขาไม่เท่ากับชื่อเสียงของทหารที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดสามคนนั้น 20 เบไนยาห์แห่งเมืองขับเซเอลบุตรชายของเยโฮยาดา เขาเป็นผู้ชายแข็งแรง ที่ได้ทำความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่หลายอย่าง เขาได้ฆ่าบุตรทั้งสองของอารีเอลแห่งโมอับ เขาได้ลงไปฆ่าสิงโตในบ่อในวันที่หิมะตกด้วย 21 แล้วเขาได้ฆ่าคนอียิปต์คนหนึ่งเป็นผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ คนอียิปต์นั้นถือหอกอยู่ในมือ แต่เบไนยาห์ได้ต่อสู้กับเขาด้วยเพียงไม้เท้า เขาได้ยึดเอาหอกมาจากมือของคนอียิปต์คนนั้น และได้ฆ่าเขาตายด้วยหอกของเขาเอง
22 เบไนยาห์บุตรชายของเยโฮยาดาทำกิจเหล่านี้จึงมีชื่อเสียงเหมือนนักรบสามคนนั้น 23 เขามีชื่อเสียงโด่งดังกว่าทหารสามสิบคนนั้นโดยทั่วไป แต่เขาไม่ได้รับการนับถือมากเช่นเดียวกับวีรบุรุษสามคนนั้น แม้กระนั้น ดาวิดก็ได้ทรงตั้งเขาให้เป็นทหารรักษาพระองค์ 24 ในสามสิบคนนั้นรวมผู้ชายต่อไปนี้ คือ อาสาเฮลน้องชายของโยอาบ เอลฮานันบุตรชายของโดโดชาวเบธเลเฮม
25 ชัมมาห์ชาวเมืองฮาโรด เอลีคาชาวเมืองฮาโรด 26 เฮเลสตระกูลเปเลท อิราบุตรชายของอิกเขชชาวเมืองเทโคอา 27 อาบีเยเซอร์ชาวเมืองอานาโธท เมบุนนัยตระกูลหุชาห์
28 ศัลโมนชาวอาโหอาห์ มาหะรัยชาวเนโทฟาห์ 29 เฮเลบบุตรชายของบาอานาห์ชาวเนโทฟาห์ อิททัยบุตรชายของชาวกิเบอาห์แห่งคนเบนยามิน 30 เบไนยาห์ชาวปิราโธน ฮิดดัยชาวหุบเขากาอัช
31 อาบีอัลโบนชาวอารบาห์ อัสมาเวทชาวบาฮูริม 32 เอลียาบาชาวชาอัลโบน บรรดาบุตรชายของยาเชน โยนาธาน ชัมมาห์ชาวฮาราร์ 33 อาหิอัมบุตรชายของชาราร์ชาวฮาราร์
34 เอลีเฟเลทบุตรชายของอาหัสบัยชาวมาอาคาห์ เอลีอัมบุตรชายของอาหิโธเฟลชาวกิโลห์ 35 เฮสโรชาวคารเมล ปารัยชาวอารบี 36 อิกาลบุตรของนาธันชาวโศบาห์ บานีคนเผ่ากาด
37 เศเลกคนอัมโมน นาหะรัยชาวเบเอโรท คนถือเครื่องอาวุธของโยอาบบุตรชายของนางเศรุยาห์ 38 อิราตระกูลอิทรี กาเรบตระกูลอิทรี 39 อุรียาห์คนฮิตไทต์ รวมทั้งหมดสามสิบเจ็ดคน
1 อีกครั้งหนึ่งที่พระพิโรธของพระยาห์เวห์เกิดขึ้นต่ออิสราเอล และพระองค์ได้ทรงทำให้ดาวิดต่อสู้พวกเขาโดยตรัสว่า “จงไปนับคนอิสราเอลและคนยูดาห์” 2 กษัตริย์จึงได้ทรงรับสั่งกับโยอาบ แม่ทัพซึ่งอยู่กับพระองค์ว่า “จงไปให้ทั่วอิสราเอลทุกเผ่า ตั้งแต่เมืองดานถึงเบเออร์เชบา และจงนับจำนวนประชาชน เพื่อเราจะได้ทราบจำนวนรวมของประชาชนเพื่อทำสงคราม” 3 โยอาบได้ทูลกษัตริย์ว่า “ขอพระยาห์เวห์พระเจ้าของพระองค์ทรงเพิ่มประชาชนที่มีอยู่อีกร้อยเท่า ขอพระเนตรของกษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์ได้ทรงเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เหตุใดกษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์จึงทรงพระประสงค์สิ่งนี้?”
4 อย่างไรก็ตามพระดำรัสของกษัตริย์นั้นก็เด็ดขาดต่อโยอาบและต่อบรรดาผู้บังคับบัญชาของกองทัพ ดังนั้นโยอาบกับบรรดาผู้บังคับบัญชาของกองทัพจึงได้ออกไปจากพระพักตร์กษัตริย์เพื่อนับประชาชนอิสราเอล 5 พวกเขาได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปและได้ตั้งค่ายในเมืองอาโรเออร์ ทางทิศใต้ของเมืองในหุบเขา แล้วพวกเขาก็ได้เดินทางผ่านกาดไปจนถึงยาเซอร์ 6 พวกเขาก็ได้มายังกิเลอาดและมาถึงในดินแดนของทาห์ทิมฮอดชี แล้วต่อไปถึงเมืองดานยาอัน อ้อมไปถึงไซดอน
7 พวกเขาได้มาถึงป้อมของไทระ และเมืองทั้งหมดของคนฮีไวต์ และของคนคานาอัน แล้วพวกเขาได้ออกไปยังเนเกบในยูดาห์ที่เมืองเบเออร์เชบา 8 เมื่อพวกเขาได้ไปทั่วแผ่นดินนั้นแล้ว พวกเขาจึงได้กลับมายังกรุงเยรูซาเล็มเมื่อสิ้นเก้าเดือนและยี่สิบวัน 9 แล้วโยอาบก็ได้ถวายจำนวนทหารที่นับได้ทั้งสิ้นแก่กษัตริย์ มีทหารหาญในอิสราเอลจำนวน 800,000 คน ผู้พร้อมทำศึก และคนยูดาห์มี 500,000 คน
10 แล้วพระทัยของดาวิดก็ได้ทรงสำนึกผิดหลังจากที่พระองค์ได้ทรงนับจำนวนประชาชนเสร็จแล้ว ดังนั้นดาวิดจึงทูลต่อพระยาห์เวห์ว่า “ข้าพระองค์ได้ทำบาปใหญ่หลวงในการที่ทำสิ่งนี้ บัดนี้ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอพระองค์ทรงลบความบาปชั่วของผู้รับใช้ของพระองค์ออกไป เพราะข้าพระองค์ทำอย่างโง่เขลายิ่งนัก” 11 เมื่อดาวิดทรงลุกขึ้นในตอนเช้า พระวจนะของพระยาห์เวห์จึงได้มายังผู้เผยพระวจนะกาด ผู้ทำนายของดาวิดว่า 12 “จงไปบอกดาวิดว่า 'พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า "เราจะให้เจ้ามีทางเลือกสามอย่าง จงเลือกเอาหนึ่งอย่าง"'"
13 ดังนั้นกาดจึงได้เข้าเฝ้าดาวิดและทูลพระองค์ว่า “จะให้เกิดกันดารอาหารเป็นเวลาสามปีในแผ่นดินของพระองค์หรือไม่? หรือพระองค์จะยอมหนีต่อหน้าศัตรูของพระองค์เป็นเวลาสามเดือนขณะที่พวกเขาไล่ตามพระองค์หรือไม่? หรือจะให้โรคระบาดเกิดขึ้นในแผ่นดินของพระองค์เป็นเวลาสามวันหรือไม่? บัดนี้ขอพระองค์ทรงตรึกตรองว่าจะให้ข้าพระองค์กลับไปทูลสิ่งใดต่อพระองค์ผู้ทรงใช้ข้าพระองค์มา” 14 แล้วดาวิดจึงตรัสกับกาดว่า “เราเป็นทุกข์มาก ขอให้พวกเราตกเข้าไปอยู่ในพระหัตถ์ของพระยาห์เวห์มากกว่าให้เราตกเข้าไปในมือของมนุษย์ เพราะการกระทำอันเต็มไปด้วยพระกรุณาของพระองค์ใหญ่ยิ่งนัก" 15 ดังนั้นพระยาห์เวห์จึงได้ทรงให้โรคระบาดเกิดขึ้นในอิสราเอล ตั้งแต่เวลาเช้าจนสิ้นเวลากำหนด และมีประชาชนตายจำนวนเจ็ดหมื่นคนนับตั้งแต่เมืองดานถึงเบเออร์เชบา
16 เมื่อทูตสวรรค์ยื่นมือออกเหนือกรุงเยรูซาเล็มเพื่อทำลายเมืองนั้น พระยาห์เวห์ได้ทรงเปลี่ยนพระทัยเพราะเรื่องเหตุร้ายที่จะเกิดขึ้นนั้นและพระองค์ได้ทรงบัญชาทูตสวรรค์ผู้กำลังทำลายประชาชนว่า “พอแล้ว บัดนี้จงยั้งมือของเจ้า” ในเวลานั้นทูตของพระยาห์เวห์ก็อยู่ที่ลานนวดข้าวของอาราวนาห์คนเยบุส 17 แล้วดาวิดได้ทูลต่อพระยาห์เวห์ขณะที่พระองค์ทอดพระเนตรทูตสวรรค์ผู้ที่ได้ประหารประชาชนนั้น และทรงทูลว่า “ข้าพระองค์เองได้ทำบาป และข้าพระองค์ได้กระทำโดยเอาแต่ใจตนเอง แต่บรรดาแกะเหล่านี้ พวกเขาได้ทำอะไร? ขอพระหัตถ์ของพระองค์ทำโทษข้าพระองค์และพงศ์พันธุ์บิดาของข้าพระองค์เถิด” 18 แล้วกาดก็ได้เข้ามาเฝ้าดาวิด และทูลพระองค์ว่า “ขอเสด็จขึ้นไปสร้างแท่นบูชาถวายแด่พระยาห์เวห์บนลานนวดข้าวของอาราวนาห์คนเยบุสเถิด”
19 ดังนั้นดาวิดจึงได้เสด็จขึ้นไปตามคำของกาดตามที่พระยาห์เวห์ทรงบัญชา 20 เมื่ออาราวนาห์ได้มองออกไปและเห็นกษัตริย์และบรรดาข้าราชการกำลังเข้ามาหาเขา ดังนั้นอาราวนาห์จึงออกไปและย่อตัวลงซบหน้าถึงดินต่อกษัตริย์ 21 แล้วอาราวนาห์ได้ทูลว่า “เหตุใดกษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์ จึงเสด็จมาหาผู้รับใช้ของพระองค์?” ดาวิดตรัสว่า “มาซื้อลานนวดข้าวของเจ้า เพื่อเราจะสร้างแท่นบูชาถวายแด่พระยาห์เวห์ เพื่อที่โรคร้ายจะหมดสิ้นไปจากประชาชน”
22 อาราวนาห์จึงได้ทูลดาวิดว่า “ขอกษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์ ขอทรงทำตามที่สายพระเนตรของพระองค์เห็นชอบเถิด ดูเถิด ที่นี่มีวัวสำหรับเครื่องบูชาเผาทั้งตัว และเลื่อนนวดข้าวกับแอกสำหรับวัวเป็นฟืน 23 ข้าแต่กษัตริย์ ของทั้งสิ้นนี้ ข้าพระองค์ อาราวนาห์ขอถวายแด่พระองค์” แล้วเขาได้ทูลกษัตริย์อีกว่า “ขอพระยาห์เวห์พระเจ้าของพระองค์ทรงโปรดปรานพระองค์” 24 กษัตริย์ได้ตรัสกับอาราวนาห์ว่า “ไม่ได้ เรายืนยันที่จะซื้อจากเจ้าตามราคานั้น เราจะไม่ถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัวแด่พระยาห์เวห์ โดยที่เราไม่เสียอะไรเลย” ดังนั้นดาวิดจึงได้ทรงซื้อลานนวดข้าวและวัวเป็นเงินห้าสิบเชเขล 25 ดาวิดก็ได้ทรงสร้างแท่นบูชาถวายแด่พระยาห์เวห์ที่นั่น และทรงได้ถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัวกับเครื่องสันติบูชา ดังนั้นพวกเขาได้ทูลอ้อนวอนต่อพระยาห์เวห์ในนามของแผ่นดิน และพระองค์ก็ได้ทรงระงับโรคร้ายทั่วอิสราเอล
1 เมื่อกษัตริย์ดาวิดทรงชรามากแล้ว ถึงแม้พวกเขาจะห่มผ้าหลายชิ้นให้พระองค์ แต่พระองค์ก็ทรงยังไม่อบอุ่น 2 ฉะนั้นบรรดาข้าราชบริพารของพระองค์จึงกราบทูลพระองค์ว่า “ขอโปรดให้เราไปเที่ยวหาหญิงสาวพรหมจารีมาถวายกษัตริย์ เจ้านายของพวกข้าพระองค์ และให้นางถวายการปรนนิบัติกษัตริย์และคอยดูแลพระองค์ และให้นางนอนในอ้อมกอดของพระองค์ เพื่อกษัตริย์เจ้านายของพวกข้าพระองค์จะได้ทรงอบอุ่น”
3 ดังนั้นพวกเขาจึงได้ตามหาหญิงงามทั่วเขตแดนของอิสราเอล พวกเขาก็ได้พบอาบีชากหญิงชาวชูเนม และได้นำตัวนางมาเฝ้ากษัตริย์ 4 หญิงสาวคนนั้นงดงามมาก นางได้ถวายการรับใช้และคอยดูแลพระองค์ แต่กษัตริย์หาทรงร่วมกับนางไม่
5 ในเวลานั้น อาโดนียาห์พระโอรสของพระนางฮักกีทได้ยกตัวเองขึ้น กล่าวว่า “เราจะเป็นกษัตริย์” ดังนั้นท่านจึงได้เตรียมบรรดารถม้าศึก และกองทหารม้าสำหรับท่านเองกับคนห้าสิบคนไว้วิ่งนำหน้าท่าน 6 พระบิดาของท่านก็ไม่เคยขัดแย้ง หรือมาถามว่า “เหตุใดเจ้าจึงทำเช่นนี้หรือเช่นนั้น?” อาโดนียาห์เป็นชายงามมากด้วย ท่านเกิดมาถัดจากอับซาโลม
7 ท่านได้สมคบกับโยอาบกรุตรชายของนางเศรุยาห์ และอาบียาธาร์ปุโรหิต พวกเขาได้ติดตามอาโดนียาห์และช่วยเหลือท่าน 8 แต่ศาโดก ปุโรหิต เบไนยาห์กรุตรชายของเยโฮยาดา นาธันผู้เผยพระวจนะ ชิเมอี เรอี และพวกทหารกล้าของดาวิดไม่ได้ติดตามอาโดนียาห์
9 อาโดนียาห์ได้ถวายสัตวบูชาแกะ โค และลูกโคอ้วนพี ณ หินแห่งโศเฮเลท ซึ่งอยู่ด้านด้าน เอนโรเกล ท่านได้เชิญพี่น้องทั้งหมดของท่าน คือบรรดาพระโอรสของกษัตริย์ และประชาชนทั้งหมดแห่งยูดาห์ ที่เป็นพวกข้าราชบริพารของกษัตริย์ 10 แต่ไม่ได้เชิญนาธันผู้เผยพระวจนะ เบไนยาห์ พวกทหารกล้า หรือแม้แต่ซาโลมอนพระอนุชาของท่าน
11 จากนั้นนาธันก็ได้ทูลถามพระนางบัทเชบาพระมารดาของซาโลมอนว่า “พระนางไม่ทรงทราบหรือว่า อาโดนียาห์โอรสของพระนางฮักกีททรงตั้งตนเป็นกษัตริย์แล้ว และดาวิดเจ้านายของพวกข้าพระองค์ก็ไม่ทรงทราบเรื่องหรือ? 12 บัดนี้โปรดให้ข้าพระองค์ถวายคำปรึกษาเพื่อพระนางจะได้ทรงช่วยชีวิตของพระนางเอง และชีวิตของซาโลมอนพระโอรสของพระนางด้วย
13 โปรดเสด็จเข้าพบกษัตริย์ดาวิด และทูลถามพระองค์ว่า ‘กษัตริย์เจ้านายของหม่อมฉัน พระองค์ได้ทรงปฏิญาณกับสาวใช้ของพระองค์มิใช่หรือว่า “ซาโลมอนกรุตรชายของเจ้าจะปกครองต่อจากเราแน่นอน และเขาจะนั่งบนบัลลังก์ของเราไม่ใช่?” แล้วทำไมจึงให้อาโดนียาห์ปกครองเล่า?’ 14 ขณะที่พระนางกราบทูลกษัตริย์อยู่ ข้าพระองค์จะตามไปเข้าพบ และเสริมพระเสาวนีย์ของพระนาง”
15 ดังนั้นพระนางบัทเชบาก็เข้าไปที่ห้องของกษัตริย์ กษัตริย์ทรงชรามาก และอาบีชากชาวชูเนมก็กำลังถวายการรับใช้กษัตริย์อยู่ 16 พระนางบัทเชบาได้กราบถวายบังคมกษัตริย์ แล้วกษัตริย์ก็ตรัสถามว่า “เจ้าประสงค์สิ่งใดหรือ?” 17 พระนางได้ทูลพระองค์ว่า “เจ้านายของหม่อมฉัน พระองค์ได้ทรงปฏิญาณในพระนามของพระยาห์เวห์ พระเจ้าของพระองค์ต่อสาวใช้ของพระองค์ว่า ‘แน่นอน ซาโลมอนกรุตรชายของเจ้าจะปกครองต่อจากเรา และเขาจะนั่งบัลลังก์ของเรา’
18 ดูเถิด ตอนนี้อาโดนียาห์เป็นกษัตริย์แล้ว แต่พระองค์ กษัตริย์เจ้านายของหม่อมฉัน ก็ไม่รู้ 19 เขาได้ถวายสัตวบูชาโค ลูกโคอ้วนพี และแกะจำนวนมาก และได้เชิญบรรดาพระโอรสของกษัตริย์ อาบียาธาร์ปุโรหิต กับโยอาบผู้บัญชาการกองทัพ แต่เขาไม่ได้เชิญซาโลมอนผู้รับใช้ของพระองค์
20 เพราะพระองค์คือกษัตริย์เจ้านายของหม่อมฉัน สายตาของอิสราเอลทั้งหมดก็เพ่งดูพระองค์ รอพระองค์ตรัสแก่พวกเขาว่า จะทรงให้ผู้ใดนั่งบัลลังก์ของเจ้านายของหม่อมฉันต่อจากพระองค์ 21 แต่จะเหตุการณ์จะเกิดดังนี้ เมื่อกษัตริย์เจ้านายของหม่อมฉันล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์แล้ว หม่อมฉันและซาโลมอนบุตรชายของหม่อมฉันก็จะตกเป็นฝ่ายผิด”
22 ขณะที่พระนางกำลังกราบทูลกษัตริย์อยู่ นาธันผู้เผยพระวจนะก็ได้เข้ามา 23 ข้าราชบริพารทั้งหลายจึงทูลกษัตริย์ว่า “นาธันผู้เผยพระวจนะอยู่ที่นี่แล้ว” เมื่อนาธันเข้ามาต่อพระพักตร์กษัตริย์ เขาก็ก้มหน้าลงถึงพื้น ถวายบังคมกษัตริย์
24 นาธันได้กราบทูลว่า “ข้าแต่กษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์ พระองค์ทรงรับสั่งไว้หรือว่า ‘อาโดนียาห์จะปกครองต่อจากเรา และเขาจะนั่งบัลลังก์ของเราหรือ?’ 25 เพราะวันนี้ท่านได้ลงไปถวายบูชาโค ลูกโคอ้วนพีและแกะจำนวนมาก และได้เชิญบรรดาพระโอรสของกษัตริย์ ทั้งผู้บัญชาการกองทัพ และอาบียาธาร์ปุโรหิต เขาทั้งหลายกำลังกินดื่มต่อหน้าท่าน และกล่าวว่า ‘ขอกษัตริย์อาโดนียาห์ทรงพระเจริญ’
26 แต่ข้าพระองค์ผู้รับใช้ของพระองค์ ศาโดกปุโรหิต เบไนยาห์กรุตรชายของเยโฮยาดา และซาโลมอนผู้รับใช้ของพระองค์ ท่านหาได้เชิญพวกเราไม่ 27 เรื่องนี้เกิดขึ้นโดยกษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์ และพระองค์ไม่ได้ตรัสแก่พวกผู้รับใช้ของพระองค์ว่า จะทรงให้ใครนั่งบัลลังก์ต่อจากพระองค์หรือ?”
28 แล้วกษัตริย์ดาวิดได้ตรัสตอบว่า “จงเรียกบัทเชบากลับมาหาเรา” พระนางก็เสด็จเข้ามาเฝ้าเฉพาะพระพักตร์กษัตริย์ และทรงประทับยืนอยู่ต่อพระพักตร์กษัตริย์ 29 กษัตริย์ทรงปฏิญาณว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์ผู้ทรงพระชนม์อยู่ ผู้ทรงไถ่ชีวิตของเราจากความทุกข์ยาก 30 วันนี้เราได้ปฏิญาณต่อเจ้าในพระนามพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลว่า ‘ซาโลมอนบุตรชายของเจ้าจะปกครองต่อจากเราอย่างแน่นอน และเขาจะนั่งบนบัลลังก์ของเราแทนเรา’ เราจะทำในวันนี้” 31 แล้วพระนางบัทเชบาก็ได้ทรงก้มพระพักตร์ลงถึงพื้น ถวายบังคมกษัตริย์ และทูลว่า “ขอกษัตริย์ดาวิดเจ้านายของหม่อมฉันทรงพระเจริญตลอดไป”
32 กษัตริย์ดาวิดมีรับสั่งว่า “จงเรียกศาโดกปุโรหิต นาธันผู้เผยพระวจนะ กับเบไนยาห์บุตรชายของเยโฮยาดามาหาเรา” ดังนั้นเขาทั้งหลายจึงเข้ามาเฝ้าต่อพระพักตร์กษัตริย์ 33 กษัตริย์ตรัสสั่งเขาทั้งหลายว่า “จงพาข้าราชบริพารของเจ้านายพวกเจ้าไปกับเจ้า ให้ซาโลมอนพระโอรสของเราขี่ล่อของเรา และนำเขาลงไปที่กีโฮน 34 ให้ศาโดกปุโรหิต และนาธันผู้เผยพระวจนะเจิมตั้งเขาเป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอลที่นั่น แล้วจงเป่าแตร และประกาศว่า ‘ขอกษัตริย์ซาโลมอนทรงพระเจริญ’
35 แล้วพวกเจ้าจงติดตามเขาขึ้นมา และเขาจะมานั่งบนบัลลังก์ของเรา เพราะเขาจะเป็นกษัตริย์แทนเรา เราได้ตั้งเขาให้เป็นผู้ปกครองเหนืออิสราเอลและยูดาห์” 36 เบไนยาห์บุตรชายของเยโฮยาดาได้กราบทูลตอบกษัตริย์ว่า “ขอให้เป็นดังนั้นเถิด ขอพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งกษัตริย์ เจ้านายของข้าพระองค์ได้ทรงยืนยันดังนั้น 37 พระยาห์เวห์ได้ทรงสถิตกับกษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์มาแล้วอย่างไร ก็ขอให้สถิตกับซาโลมอนอย่างนั้น และขอทรงทำให้บัลลังก์ของซาโลมอนใหญ่มากกว่าบัลลังก์ของกษัตริย์ดาวิดเจ้านายของข้าพระองค์”
38 ดังนั้นศาโดกปุโรหิต นาธันผู้เผยพระวจนะ และเบไนยาห์บุตรชายของเยโฮยาดา และคนเคเรธีกับคนเปเลท ได้ลงไปจัดให้ซาโลมอนประทับบนล่อของกษัตริย์ดาวิด และพวกเขาได้นำท่านมาถึงกีโฮน 39 ศาโดกปุโรหิตได้นำเขาสัตว์ที่บรรจุน้ำมันมาจากเต็นท์ และเจิมตั้งซาโลมอนไว้ แล้วเขาทั้งหลายก็ได้เป่าแตร และประชาชนทั้งปวงได้กล่าวว่า “ขอกษัตริย์ซาโลมอนทรงพระเจริญ”“ขอกษัตริย์ซาโลมอนทรงพระเจริญ” 40 แล้วประชาชนทั้งปวงก็ได้ตามเสด็จพระองค์ขึ้นไป ทั้งเป่าขลุ่ยและยินดียิ่งนัก จนแผ่นดินสะเทือนเพราะเสียงของพวกเขา
41 เมื่ออาโดนียาห์และบรรดาแขกที่อยู่กับพวกเขาได้รับประทานอาหารเรียบร้อยแล้วพวกเขาได้ยินเสียง และเมื่อโยอาบได้ยินเสียงแตร เขาได้พูดว่า “ทำไมจึงมีเสียงอึกทึกครึกโครมในเมืองนั้น?” 42 ขณะที่เขากำลังพูดอยู่ โยนาธานบุตรชายของอาบียาธาร์ปุโรหิตก็ได้มาถึง และอาโดนียาห์ก็ได้กล่าวว่า “เข้ามาสิ เพราะเจ้าเป็นคนดี และคงนำข่าวดีมา”
43 โยนาธานได้ตอบอาโดนียาห์ว่า “กษัตริย์ดาวิดเจ้านายของพวกเราได้ทรงทำให้ซาโลมอนเป็นกษัตริย์แล้ว 44 และกษัตริย์ทรงมีรับสั่งส่งศาโดกปุโรหิต นาธันผู้เผยพระวจนะ เบไนยาห์บุตรชายของเยโฮยาดา กับคนเคเรธีและคนเปเลทไปกับท่าน เขาทั้งหลายก็จัดให้ซาโลมอนประทับบนล่อทรงของกษัตริย์ 45 ศาโดกปุโรหิตกับนาธันผู้เผยพระวจนะได้เจิมตั้งซาโลมอนเป็นกษัตริย์ที่กีโฮน และเขาทั้งหลายก็ขึ้นมาจากที่นั่นด้วยความยินดี เพราะฉะนั้นในเมืองจึงอึกทึกครึกโครม นี่เป็นเสียงที่ท่านทั้งหลายได้ยิน
46 นอกจากนี้ซาโลมอนได้ประทับบนบัลลังก์ของราชอาณาจักรด้วย 47 มากไปกว่านั้นอีก พวกข้าราชบริพารของกษัตริย์ก็ได้เข้าไปถวายพระพรแด่กษัตริย์ดาวิดเจ้านายของพวกเราว่า ‘ขอพระเจ้าของพระองค์ทรงทำให้พระนามของซาโลมอนเลื่องลือไปมากกว่าพระนามของพระองค์ และขอทรงทำให้บัลลังก์ของซาโลมอนยิ่งใหญ่กว่าบัลลังก์ของพระองค์’ แล้วกษัตริย์ก็โน้มพระกายลงที่แท่นบรรทม 48 กษัตริย์ก็ตรัสด้วยว่า ‘สรรเสริญแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งงอิสราเอล ผู้ประทานคนหนึ่งให้นั่งบัลลังก์ของเราในวันนี้ ด้วยตาของเราเองได้เห็นแล้ว’”
49 แล้วแขกทั้งปวงของอาโดนียาห์ก็กลัว พวกเขาได้ยืนขึ้นและต่างไปตามทางของตัวเอง 50 ส่วนอาโดนียาห์ก็กลัวซาโลมอน จึงยืนขึ้น และได้ไปจับเชิงงอนของแท่นบูชา 51 แล้วมีคนไปกราบทูลซาโลมอนว่า “ดูเถิด อาโดนียาห์กลัวกษัตริย์ซาโลมอน เพราะท่านจับเชิงงอนที่แท่นบูชาอยู่ กล่าวว่า ‘ขอกษัตริย์ซาโลมอนได้ปฏิญาณแก่ข้าพเจ้าก่อนว่า จะไม่ทรงสังหารผู้รับใช้ของพระองค์ด้วยดาบ’”
52 ซาโลมอนได้ตรัสว่า “หากแม้เขาสำแดงตัวได้ว่าเป็นคนดี ผมสักเส้นเดียวของเขาจะไม่ตกลงยังพื้นดิน แต่หากพบความชั่วอยู่ในตัวเขา เขาจะต้องถึงแก่ความตาย” 53 กษัตริย์ซาโลมอนได้ทรงใช้คนไปนำอาโดนียาห์ลงมาจากแท่นบูชา และท่านก็มากราบลงต่อกษัตริย์ซาโลมอน และซาโลมอนตรัสกับท่านว่า “จงกลับวังของท่าน”
1 เมื่อใกล้เวลาที่ดาวิดจะสวรรคต พระองค์ได้ทรงกำชับซาโลมอนพระโอรสของพระองค์ว่า 2 “เรากำลังจะตายแล้ว จงเด็ดเดี่ยว ดังนั้นจงสำแดงตัวของเจ้าให้เป็นลูกผู้ชาย 3 จงรักษาพระบัญชาของพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า ที่จะดำเนินในทางของพระองค์ ที่จะเชื่อฟังกฎเกณฑ์ พระบัญญัติ พระดำรัส และกฎแห่งพันธสัญญาของพระองค์ จงระมัดระวังที่จะถือปฏิบัติดังที่ได้จารึกไว้ในกฎหมายของโมเสส เพื่อเจ้าจะได้งอกงามในทุกสิ่งที่เจ้าทำ และในทุกแห่งที่เจ้าไป 4 เพื่อที่พระยาห์เวห์จะได้ทำให้พระวจนะของพระองค์ ซึ่งพระองค์ได้ตรัสเกี่ยวกับเราว่า ‘ถ้าบรรดาบุตรชายของเจ้าระมัดระวังที่จะดำเนินในทางของเขาต่อหน้าเรา ด้วยความเที่ยงธรรม ด้วยหมดทั้งใจของพวกเขาแล้ว ทายาทที่จะนั่งบนบัลลังก์ของอิสราเอลจะไม่ขาดเลย’
5 เจ้าเองก็รู้ว่า โยอาบบุตรชายของนางเศรุยาห์ได้ทำอันใดกับเรา และเขาได้ทำอันใดกับผู้บัญชาการทั้งสองของกองทัพอิสราเอล คือทำแก่อับเนอร์บุตรชายของเนอร์ และอามาสาบุตรชายของเยเธอร์ผู้ที่เขาได้สังหาร เขาได้ทำให้เลือดแห่งสงครามไหลในยามสงบสุข และทำให้เลือดแห่งสงครามตกลงบนเข็มขัดที่เอวของเขา และลงบนรองเท้าที่อยู่ที่เท้าของเขา 6 จงจัดการกับโยอาบด้วยปัญญาของเจ้าที่ได้เรียนรู้มา แต่อย่าปล่อยให้ศีรษะหงอกของเขาตกลงไปสู่หลุมฝังศพอย่างเป็นสุข
7 อย่างไรก็ดีจงแสดงความปราณีแก่บุตรชายทั้งหลายของบารซิลลัยชาวกิเลอาด และจงให้พวกเขาอยู่ในหมู่คนที่รับประทานอาหารที่โต๊ะของเจ้า เพราะเมื่อเราหนีอับซาโลมพี่ชายของเจ้านั้น พวกเขาได้ช่วยเราไว้
8 ดูเถิด ยังมีชิเมอีบุตรชายของเกรา ชาวเบนยามิน จากบ้านบาฮูริมก็อยู่กับเจ้าด้วย เขาเป็นผู้ที่ด่าเราด้วยถ้อยคำรุนแรงในวันที่เราได้เดินทางไปยังมาหะนาอิม ชิเมอีได้ลงมาต้อนรับเราที่แม่น้ำจอร์แดน และเราจึงปฏิญาณต่อเขาในพระนามพระยาห์เวห์ว่า ‘เราจะไม่สังหารชีวิตเจ้าด้วยดาบ’ 9 บัดนี้เจ้าอย่าถือว่าเขาไม่มีโทษ เจ้าเป็นคนมีปัญญา และเจ้าจะรู้ว่าควรจะทำอะไรกับเขา เจ้าจงนำศีรษะหงอกของเขาลงไปสู่หลุมฝังศพทั้งเลือดเถิด”
10 แล้วดาวิดได้ทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และได้ฝังพระศพไว้ในเมืองดาวิด 11 เวลาที่ดาวิดได้ทรงครองอิสราเอลคือสี่สิบปี พระองค์ได้ทรงปกครองในเฮโบรนเจ็ดปี และในกรุงเยรูซาเล็มอีกสามสิบสามปี 12 จากนั้นซาโลมอนจึงได้ประทับบนบัลลังก์ของดาวิดพระบิดาของพระองค์ และการครองบัลลังก์ของพระองค์ก็ตั้งอย่างมั่นคง
13 แล้วอาโดนียาห์พระโอรสของพระนางฮักกีท ได้เข้าพบพระนางบัทเชบา พระมารดาของซาโลมอน พระนางได้มีพระราชเสาวนีย์ว่า “เจ้ามาอย่างสันติหรือ?” ท่านได้ทูลว่า “มาอย่างสันติ” 14 แล้วท่านได้ทูลว่า “กระหม่อมมีเรื่องที่จะทูลพระนาง” พระนางได้มีพระราชเสาวนีย์ว่า “จงพูดเถิด” 15 อาโดนียาห์ได้ทูลว่า “พระนางทรงทราบแล้วว่าอาณาจักรเป็นของกระหม่อม และคนอิสราเอลทั้งหมดก็หมายใจว่ากระหม่อมจะได้เป็นกษัตริย์ แต่กลายมาเป็นของพระอนุชากระหม่อม เพราะพระยาห์เวห์ประทานแก่พระองค์
16 ตอนนี้กระหม่อมทูลขอแต่ประการเดียว และขอพระนางอย่าได้ปฏิเสธเลย” พระนางบัทเชบาได้มีพระราชเสาวนีย์ต่อท่านว่า “จงพูดเถิด” 17 ท่านได้ทูลว่า “ขอพระนางทูลกษัตริย์ซาโลมอน เพราะกษัตริย์คงไม่ทรงปฏิเสธพระนาง เพื่อที่ว่าพระองค์จะได้ประทานอาบีชากชาวชูเนมให้เป็นชายาของกระหม่อม” 18 พระนางบัทเชบาได้มีพระราชเสาวนีย์ว่า “ดีแล้ว เราจะทูลกษัตริย์ให้เจ้า”
19 พระนางบัทเชบาจึงได้เข้าพบกษัตริย์ซาโลมอน เพื่อทูลพระองค์แทนอาโดนียาห์ กษัตริย์ได้ทรงยืนขึ้นต้อนรับพระนาง และทรงถวายคำนับพระนาง แล้วพระองค์ก็ได้ประทับบัลลังก์ของพระองค์ และรับสั่งให้นำพระเก้าอี้มาถวายพระมารดา พระนางก็ได้ประทับที่เบื้องขวาของพระองค์ 20 แล้วพระนางได้ทูลว่า “แม่จะขอสิ่งเล็กน้อยสิ่งหนึ่ง จงอย่าปฏิเสธแม่” กษัตริย์ได้ทูลพระนางว่า “ขอมาเถิดเสด็จแม่ หม่อมฉันจะไม่ปฏิเสธ” 21 พระนางได้ทูลว่า “ขอยกอาบีชากชาวชูเนมให้เป็นชายาของอาโดนียาห์พระเชษฐาของลูกเถิด”
22 กษัตริย์ซาโลมอนได้ตรัสตอบพระมารดาของพระองค์ว่า “ทำไมเสด็จแม่จึงขออาบีชากชาวชูเนมให้อาโดนียาห์? ทำไมพระองค์ไม่ขอราชอาณาจักรให้เขาเสียด้วยเลย เพราะเขาเป็นพระเชษฐาของลูก อีกทั้งขออาบียาธาร์ปุโรหิตและขอโยอาบบุตรชายของนางเศรุยาห์ให้ด้วยเล่า?” 23 แล้วกษัตริย์ซาโลมอนจึงได้ทรงปฏิญาณในพระนามของพระยาห์เวห์ว่า “ถ้าคำกล่าวนี้ไม่เป็นเหตุให้อาโดนียาห์สิ้นชีวิต ก็ขอให้พระเจ้าทรงลงโทษเราและลงโทษให้หนักมากขึ้น
24 ดังนั้น บัดนี้พระยาห์เวห์ทรงพระชนม์อยู่ ผู้ทรงแต่งตั้งและตั้งเราไว้บนบัลลังก์ของดาวิดพระบิดาของเรา และเป็นผู้ทรงให้เรามีราชวงศ์ดังที่พระองค์ทรงสัญญาไว้อย่างแน่นอนฉันใด อาโดนียาห์จะถูกสังหารในวันนี้ฉันนั้น” 25 ดังนั้นกษัตริย์ซาโลมอนจึงได้ทรงส่งเบไนยาห์บุตรชายของเยโฮยาดา และเบไนยาห์จึงได้ไปหาอาโดนียาห์และสังหารท่าน
26 ส่วนอาบียาธาร์ปุโรหิตนั้น กษัตริย์ได้รับสั่งว่า “จงไปอยู่ที่อานาโธท ไปสู่ไร่นาของเจ้า เหตุที่เจ้าสมควรตาย แต่ในเวลานี้เราจะไม่สังหารเจ้า เพราะว่าเจ้าได้หามหีบของพระยาห์เวห์องค์เจ้านายไปด้านหน้าดาวิดพระบิดาของเรา และเพราะเจ้าได้ร่วมทุกข์ทั้งสิ้นกับของพระบิดาของเรา” 27 ดังนั้นซาโลมอนได้จึงทรงขับไล่อาบียาธาร์เสียจากหน้าที่ปุโรหิตของพระยาห์เวห์ จึงทำให้สำเร็จตามพระวจนะของพระยาห์เวห์ ซึ่งพระองค์ได้ตรัสเกี่ยวกับลูกหลานของเอลีที่เมืองชีโลห์
28 เมื่อข่าวนี้ไปถึงโยอาบ แม้โยอาบไม่ได้เข้าด้านอับซาโลม แต่ท่านได้เข้าด้านอาโดนียาห์ ดังนั้นโยอาบจึงได้หนีไปที่เต็นท์ของพระยาห์เวห์และจับเชิงงอนของแท่นบูชาไว้ 29 มีคนได้ไปกราบทูลกษัตริย์ซาโลมอนว่า โยอาบได้หนีไปยังเต็นท์ของพระยาห์เวห์ และตอนนี้เขาได้อยู่ด้านแท่นบูชา” แล้วซาโลมอนได้ทรงส่งเบไนยาห์บุตรชายของเยโฮยาดไป ได้ตรัสว่า “จงไปสังหารเขาเถิด”
30 ดังนั้นเบไนยาห์ก็ได้มายังเต็นท์ของพระยาห์เวห์ และได้พูดกับเขาว่า “กษัตริย์มีรับสั่งว่า ‘จงออกมาเถิด’” โยอาบได้ตอบว่า “ไม่ออก ข้าพเจ้าจะตายที่นี่” แล้วเบไนยาห์ก็ได้กลับเฝ้ากษัตริย์ และกราบทูลว่า “โยอาบได้พูดว่าเขาต้องการที่จะตายที่แท่นบูชา พ่ะย่ะค่ะ” 31 กษัตริย์ได้ตรัสตอบเขาว่า “จงทำตามที่เขาพูด สังหารเขาเสียและฝังเขาไว้ ทั้งนี้เจ้าจะได้เอาโทษของความผิด ซึ่งโยอาบได้สังหารคนที่ไม่มีความผิดนั้นไปเสียจากเรา และจากเชื้อสายพระบิดาของเรา
32 ขอพระยาห์เวห์ทรงนำเลือดของเขากลับมาตกบนศีรษะของเขาเอง เพราะว่าเขาได้ทำร้ายชายสองคนที่เที่ยงธรรมกว่า ดีกว่าตัวเขาและได้สังหารพวกเขาด้วยดาบ คืออับเนอร์บุตรชายของเนอร์ผู้บัญชาการกองทัพของอิสราเอล และอามาสาบุตรชายของเยเธอร์ผู้บัญชาการกองทัพของยูดาห์ โดยที่ดาวิดพระบิดาของเราไม่ทรงทราบ 33 เหตุฉะนั้นขอให้เลือดของพวกเขาได้ตกลงบนศีรษะของโยอาบและพงศ์พันธุ์ของเขาต้องรับผิดชอบตลอดไป แต่ดาวิดและพงศ์พันธุ์ของพระองค์และราชวงศ์ของพระองค์ และราชบัลลังก์ของพระองค์จะมีสวัสดิภาพจากพระยาห์เวห์อยู่ตลอดไป”
34 แล้วเบไนยาห์บุตรชายของเยโฮยาดาก็ได้กรุกเข้าไปทำร้ายและได้สังหารชีวิตโยอาบ เขาได้ฝังศพไว้ในบ้านของโยอาบเองซึ่งอยู่ในแดนทุรกันดาร 35 กษัตริย์ได้ทรงแต่งตั้งเบไนยาห์บุตรชายของเยโฮยาดาให้บัญชาการกองทัพแทนโยอาบ และกษัตริย์ก็ได้ทรงแต่งตั้งศาโดกเป็นปุโรหิตแทนที่อาบียาธาร์
36 แล้วกษัตริย์ได้ทรงใช้คนไปและเรียกชิเมอีให้มาเข้าพบ และได้ตรัสกับเขาว่า “จงสร้างบ้านอยู่ในกรุงเยรูซาเล็มและอาศัยอยู่ที่นั่น และอย่าออกจากที่นั่นไปที่ใดๆ 37 เพราะในวันที่เจ้าออกไป และข้ามลำธารขิดโรนนั้น เจ้าจงรู้แน่เถิดว่า เจ้าจะต้องตาย แล้วเลือดของเจ้าจะต้องตกบนศีรษะของเจ้าเอง” 38 ดังนั้นชิเมอีจึงได้กราบทูลกษัตริย์ว่า “ที่พระองค์ตรัสนั้นดีแล้ว ผู้รับใช้จะทำตามที่กษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์ตรัสนั้น” ดังนั้นชิเมอีจึงได้อาศัยอยู่ในกรุงเยรูซาเล็มเป็นเวลานาน
39 แต่เมื่อหมดปีที่สาม ทาสสองคนของชิเมอีได้หลบหนีไปหาอาคีชพระโอรสของมาอาคาห์กษัตริย์เมืองกัท ดังนั้นพวกเขาได้มาบอกชิเมอี และพูดว่า “ดูเถิด ทาสของท่านอยู่ในเมืองกัท” 40 แล้วชิเมอีได้ยืนขึ้นผูกอานขี่ลา และไปเฝ้าอาคีชที่เมืองกัท เพื่อตามหาทาสของเขา เขาได้ไปนำทาสของเขามาจากเมืองกัท
41 เมื่อมีผู้ได้กราบทูลซาโลมอนว่า ชิเมอีได้ออกจากกรุงเยรูซาเล็มไปยังเมืองกัท และได้กลับมาแล้ว 42 กษัตริย์จึงได้ทรงใช้คนไปเรียกชิเมอีมาเฝ้าและได้ตรัสกับเขาว่า “เราได้ให้เจ้าสาบานในพระนามของพระยาห์เวห์ไม่ใช่หรือ และแจ้งแก่เจ้าแล้ว ว่า ‘จงรู้แน่ว่า ในวันที่เจ้าออกไป ไม่ว่าไปที่ไหน เจ้าจะต้องตายแน่’? และเจ้าก็ได้ตอบเราว่า ‘ที่พระองค์ตรัสนั้นก็ดีแล้ว’
43 ทำไมเจ้าจึงไม่ได้รักษาคำสาบานที่ให้ไว้ต่อพระยาห์เวห์ และไม่รักษาคำบัญชาซึ่งเราได้กำชับเจ้า? 44 กษัตริย์ยังได้ตรัสกับชิเมอีว่า “ในใจของเจ้าเองรู้เรื่องเหตุร้ายทั้งหมด ซึ่งเจ้าได้ทำต่อดาวิดพระบิดาของเรา เพราะฉะนั้นพระยาห์เวห์จะทรงนำเหตุร้ายมาสนองเหนือศีรษะของเจ้าเอง
45 แต่กษัตริย์ซาโลมอนจะได้รับพระพร และบัลลังก์ของดาวิดจะตั้งมั่นคงต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ตลอดไป” 46 แล้วกษัตริย์ได้ทรงบัญชาเบไนยาห์บุตรชายของเยโฮยาดา เขาก็ได้ออกไปสังหารชีวิตชิเมอีเสีย ดังนั้นการปกครองก็ได้จัดตั้งอย่างดีในพระหัตถ์ของซาโลมอน
1 ซาโลมอนได้ทรงทำให้เป็นทองแผ่นเดียวกันกับฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์ พระองค์ได้ทรงรับพระธิดาของฟาโรห์ และได้ทรงนำพระนางมาไว้ในเมืองดาวิด จนกระทั่งพระองค์ได้ทรงสร้างพระราชวังของพระองค์ พระนิเวศของพระยาห์เวห์ และกำแพงรอบกรุงเยรูซาเล็มเสร็จ 2 ประชาชนได้ถวายสัตวบูชาที่สถานสูง เพราะยังไม่ได้สร้างพระนิเวศในพระนามของพระยาห์เวห์ 3 ซาโลมอนได้แสดงออกถึงความรักของพระองค์ต่อพระยาห์เวห์ ทรงดำเนินตามกฎเกณฑ์ของดาวิดพระบิดาของพระองค์ มากกว่านั้นพระองค์ยังได้ทรงถวายสัตวบูชาและทรงเผาเครื่องหอมที่สถานสูง
4 กษัตริย์ได้เสด็จไปที่เมืองกิเบโอนเพื่อถวายเครื่องสัตวบูชาที่นั่น เพราะที่นั่นเป็นสถานสูงที่สำคัญยิ่ง ซาโลมอนได้ทรงถวายเครื่องเผาบูชาจำนวนพันตัวบนแท่นบูชา 5 พระยาห์เวห์ได้ทรงปรากฏแก่ซาโลมอนที่เมืองกิเบโอนเป็นพระสุบินในกลางคืน และพระองค์ได้ตรัสว่า “เจ้าอยากให้เราให้อะไรเจ้าจงขอ?”
6 ดังนั้นซาโลมอนได้ทูลว่า “พระองค์ทรงแสดงความมั่นคงในพันธสัญญาอันยิ่งใหญ่แก่ดาวิดพระบิดาของข้าพระองค์ ผู้ซึ่งเป็นผู้รับใช้ของพระองค์ เพราะว่าท่านได้ดำเนินต่อพระพักตร์พระองค์ด้วยความซื่อสัตย์ ความเที่ยงธรรม และด้วยจิตใจซื่อตรงต่อพระองค์ พระองค์ได้ทรงรักษาความมั่นคงในพันธสัญญาอันยิ่งใหญ่นี้ไว้เพื่อท่าน และได้ประทานบุตรชายคนหนึ่งแก่ท่านให้นั่งบนบัลลังก์ของท่านในวันนี้
7 บัดนี้ข้าแต่พระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพระองค์ พระองค์ได้ทรงทำให้ผู้รับใช้ของพระองค์เป็นกษัตริย์แทนที่ดาวิดพระบิดาของข้าพระองค์ แม้ข้าพระองค์เป็นเพียงเด็ก ข้าพระองค์ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรดี 8 ผู้รับใช้ของพระองค์ก็อยู่ท่ามกลางประชาชนของพระองค์ ผู้ซึ่งพระองค์ทรงเลือกไว้เป็นชนชาติใหญ่ ซึ่งไม่สามารถจะนับคำนวณหรือประมาณได้ 9 ดังนั้นขอพระองค์ประทานจิตใจที่เข้าใจแก่ผู้รับใช้ของพระองค์ เพื่อที่จะวินิจฉัยประชาชนของพระองค์ เพื่อจะแยกแยะความแตกต่างระหว่างความดีกับความชั่ว เพราะใครจะสามารถวินิจฉัยประชาชนมากมายนี้ของพระองค์ได้?”
10 ที่ซาโลมอนได้ทูลขอเช่นนี้ก็เป็นที่พอพระทัยองค์พระผู้เป็นเจ้า 11 ดังนั้นพระเจ้าจึงได้ตรัสกับพระองค์ว่า “เพราะเจ้าได้ขอสิ่งนี้และไม่ได้ขอชีวิตยืนยาว หรือความมั่งคั่งให้ตัวเอง หรือขอชีวิตศัตรูของเจ้า แต่เจ้าเองได้ขอความสามารถแยกแยะเพื่อจะเข้าใจความยุติธรรม 12 ดูเถิด บัดนี้เราจะทำตามคำที่เจ้าได้ขอเรา เราจะให้ใจที่ประกอบด้วยปัญญาและความเข้าใจ เพื่อว่าจะไม่มีใครที่ก่อนเจ้าเหมือนเจ้า และจะไม่มีใครที่ขึ้นมาหลังเจ้าเหมือนเจ้า
13 เราจะให้สิ่งที่เจ้าไม่ได้ขอแก่เจ้าด้วยทั้งความร่ำรวยและลาภยศ เพื่อจะไม่มีกษัตริย์องค์ใดเปรียบเทียบกับเจ้าได้ตลอดวันเวลาทั้งหมดของเจ้า 14 ถ้าเจ้าจะดำเนินตามทางของเรา รักษากฎระเบียบและพระบัญญัติของเรา เหมือนดาวิดบิดาของเจ้าได้ดำเนินนั้น เราก็จะให้อายุของเจ้ายั่งยืนนาน”
15 แล้วซาโลมอนก็ได้ทรงตื่นจากบรรทม และดูเถิด เป็นพระสุบิน พระองค์ก็ได้เสด็จมายังกรุงเยรูซาเล็ม และทรงได้ยืนด้านหน้าหีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ได้ถวายเครื่องเผาบูชาและเครื่องสันติบูชา และได้ทรงจัดงานเลี้ยงแก่ข้าราชบริพารทั้งหมดของพระองค์
16 แล้วหญิงโสเภณีสองคนได้มาเข้าพบกษัตริย์ และได้ยืนอยู่ต่อพระพักตร์พระองค์ 17 หญิงคนหนึ่งได้กราบทูลว่า “เจ้านายของข้าพระองค์ ผู้หญิงคนนี้และข้าพระองค์อาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน และข้าพระองค์ก็คลอดบุตรชายของคนหนึ่งขณะที่นางอยู่ในบ้าน
18 เรื่องนี้เกิดขึ้นในวันที่สามเมื่อข้าพระองค์คลอดกรุตรแล้วและหญิงคนนี้ก็ได้คลอดกรุตรด้วย ข้าพระองค์ทั้งสองอยู่ด้วยกัน ไม่มีใครอยู่กับพวกข้าพระองค์ในบ้านนั้นเลย ข้าพระองค์ทั้งสองเท่านั้นอยู่ในบ้านนั้น 19 แล้วบุตรชายของหญิงคนนี้ได้ตายในเวลากลางคืน เพราะนางนอนทับเขา 20 ดังนั้นพอเที่ยงคืนนางได้ลุกขึ้น และได้เอาบุตรชายของข้าพระองค์ไปจากด้านกายข้าพระองค์ ขณะที่สาวใช้ของพระองค์ได้นอนหลับอยู่ และได้วางเขาไว้ในอกของนาง และนางได้เอาบุตรชายของของนางที่ตายแล้วนั้นไว้ในอกของข้าพระองค์
21 เมื่อข้าพระองค์ได้ตื่นขึ้นในเวลาเช้า เพื่อให้บุตรของข้าพระองค์กินนม เขาได้ตายแล้ว แต่เมื่อข้าพระองค์ได้พินิจดูในเวลาเช้า เด็กนั้นไม่ใช่บุตรชายของข้าพระองค์ที่ได้คลอดออกมา” 22 แต่แล้วหญิงอีกคนหนึ่งได้พูดว่า “ไม่ใช่ เด็กที่มีชีวิตเป็นบุตรชายของข้า ส่วนเด็กที่ตายเป็นบุตรชายของเจ้า” หญิงคนที่หนึ่งได้พูดว่า “ไม่ใช่ เด็กที่ตายเป็นบุตรชายของเจ้า และเด็กที่มีชีวิตเป็นบุตรชายของข้า” นี่เป็นวิธีที่พวกนางได้โต้เถียงกันต่อพระพักตร์กษัตริย์
23 แล้วกษัตริย์ได้ตรัสว่า “คนหนึ่งพูดว่า ‘เด็กที่มีชีวิตอยู่นี้เป็นบุตรชายของข้า ส่วนบุตรชายของเจ้าตายเสียแล้ว’ และอีกคนหนึ่งพูดว่า ‘ไม่ใช่ บุตรชายของเจ้าตายเสียแล้ว และบุตรชายของข้ายังมีชีวิตอยู่’” 24 กษัตริย์ได้ตรัสว่า “จงเอาดาบมาให้เราเล่มหนึ่ง” พวกเขาจึงได้นำดาบมาไว้ต่อพระพักตร์กษัตริย์ 25 แล้วกษัตริย์ได้ตรัสว่า “จงแบ่งเด็กที่มีชีวิตนั้นออกเป็นสองท่อน และให้หญิงคนหนึ่งครึ่งหนึ่ง และอีกคนหนึ่งครึ่งหนึ่ง”
26 แล้วหญิงคนที่บุตรชายของตนยังมีชีวิตอยู่นั้นได้ทูลกษัตริย์ เพราะว่าจิตใจเต็มไปด้วยความสงสารบุตรชายของนาง และนางจึงได้กราบทูลว่า “เจ้านายของข้าพระองค์ โปรดมอบเด็กที่มีชีวิตนั้นให้นางอีกคนไป และอย่าสังหารเขาเลย” แต่หญิงอีกคนหนึ่งได้กราบทูลว่า “อย่าให้เด็กนั้นเป็นของข้าหรือของเจ้า ขอทรงแบ่งเถิดเพคะ” 27 แล้วกษัตริย์ตรัสได้ตอบว่า “จงให้เด็กที่มีชีวิตนั้นแก่หญิงคนแรก และอย่าสังหารเด็กเลย นางเป็นแม่ของเด็กนั้น” 28 เมื่อคนอิสราเอลทั้งหมดได้ทราบเรื่องการพิพากษา ซึ่งกษัตริย์ได้ทรงวินิจฉัยนั้น เขาทั้งหลายก็เกรงกลัวกษัตริย์ เพราะเขาได้เห็นว่าพระปัญญาของพระเจ้าอยู่ในพระองค์ที่จะทรงวินิจฉัยนั้น
1 กษัตริย์ซาโลมอนได้เป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอลทั้งหมด 2 ต่อไปนี้เป็นบรรดาข้าราชบริพารของพระองค์ คือ อาซาริยาห์บุตรชายของศาโดกได้เป็นปุโรหิต 3 เอลีโฮเรฟและอาหิยาห์บรรดาบุตรชายของชิชาได้เป็นราชเลขา เยโฮชาฟัทบุตรชายของอาหิลูดได้เป็นเจ้ากรมสารบรรณ 4 เบไนยาห์บุตรชายของเยโฮยาดาได้เป็นผู้บัญชาการกองทัพ ศาโดกและอาบียาธาร์ได้เป็นปุโรหิต
5 อาซาริยาห์บุตรชายของนาธันได้เป็นหัวหน้าข้าราชบริพาร ศากรุดบุตรชายของนาธันได้เป็นปุโรหิตและได้เป็นพระสหายของกษัตริย์ 6 อาหิชาร์ได้เป็นเจ้ากรมวัง และอาโดนีรัมบุตรชายของอับดาได้เป็นผู้ดูแลคนงานผู้ซึ่งเป็นคนงานโยธา
7 ซาโลมอนได้ทรงมีข้าราชบริพารสิบสองคนอยู่เหนืออิสราเอลทั้งหมด ได้เป็นผู้จัดหาเสบียงอาหารสำหรับกษัตริย์และสำหรับพระราชสำนัก ข้าราชบริพารแต่ละคนได้จัดหาเสบียงอาหารเพื่อช่วงเวลาเดือนหนึ่งในหนึ่งปี 8 ต่อไปนี้เป็นชื่อของพวกเขาคือ เบนเฮอร์ หน้าที่ดูแลแดนเทือกเขาเอฟราอิม 9 เบนเดเคอร์ หน้าที่ดูแลที่มาคาส ชาอัลบิม เบธเชเมช และเอโลนเบธฮานัน 10 เบนเฮเสด รักษาการที่อารุบโบท (ที่ขึ้นกับเขามีโสโคห์และแผ่นดินทั้งหมดของเฮเฟอร์)
11 เบนอาบีนาดับ รักษาการที่เขตนาฟาทโดร์ทั้งหมด (ท่านได้ทาฟัทพระราชธิดาของซาโลมอนเป็นชายา) 12 บาอานาบุตรชายของอาหิลูดรักษาการที่ทาอานาคและเมกิดโด และเบธชานทั้งหมดซึ่งอยู่ด้านศาเรธานที่อยู่ใต้ลงไปจากเมืองยิสเรเอล จากเบธชานจนถึงอาเบลเมโฮลาห์จนถึงอีกด้านหนึ่งของเมืองโยกเมอัม 13 เบนเกเบอร์ รักษาการที่ราโมทกิเลอาด (ที่ขึ้นกับเขามีหมู่บ้านต่างๆ ของยาอีร์บุตรชายของมนัสเสห์ ซึ่งอยู่ในกิเลอาดและเขาได้มีท้องที่อารโกบขึ้นกับเขา ซึ่งอยู่ในบาชาน คือเมืองใหญ่หกสิบเมืองซึ่งมีกำแพงเมือง และสลักกลอนประตูเมืองเป็นทองสัมฤทธิ์) 14 อาหินาดับบุตรชายของอิดโด รักษาการที่มาหะนาอิม
15 อาหิมาอัส รักษาการที่นัฟทาลี (ท่านได้สมรสกับบาเสมัทพระราชธิดาของซาโลมอนเป็นชายา) 16 บาอานาบุตรชายของหุซัย รักษาการที่อาเชอร์และเบอาโลท 17 เยโฮชาฟัทบุตรชายของปารูอาห์ รักษาการที่อิสสาคาร์
18 ชิเมอีบุตรชายของเอลา รักษาการที่เบนยามิน 19 และเกเบอร์บุตรชายของอุรี รักษาการที่แผ่นดินกิเลอาด เมืองของสิโหนกษัตริย์ของคนอาโมไรต์ และของโอกกษัตริย์แห่งบาชาน มีข้าราชบริพารคนเดียวที่รักษาการที่แผ่นดินนั้น
20 ชาวยูดาห์และชาวอิสราเอลนั้นได้มีจำนวนมากเหมือนเม็ดทรายชายทะเล เขาทั้งหลายได้กินดื่มและมีจิตใจเปรมปรีดิ์ 21 กษัตริย์ซาโลมอนได้ทรงปกครองเหนือทุกอาณาจักร จากแม่น้ำไปจนถึงแผ่นดินฟีลิสเตีย และไปถึงพรมแดนอียิปต์ เขาทั้งหลายได้ถวายบรรณาการ และได้รับใช้ซาโลมอนจนตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ 22 เสบียงอาหารสำหรับซาโลมอนในวันหนึ่งนั้น คือแป้งอย่างดี สามสิบโคระและอาหารหกสิบโคระ 23 วัวอ้วนสิบตัว วัวจากทุ่งหญ้ายี่สิบตัว แกะหนึ่งร้อยตัว นอกจากนี้มีกวางตัวผู้ เนื้อสมัน อีเก้ง และไก่อ้วน
24 เพราะพระองค์ได้ทรงปกครองเหนือท้องถิ่นทั้งหมดทางฟากนี้ของแม่น้ำ จากทิฟสาห์ไปจนถึงเมืองกาซา และได้ทรงปกครองเหนือบรรดากษัตริย์ที่อยู่ฟากนี้ของแม่น้ำ และพระองค์ได้ทรงมีสันติสุขอยู่ล้อมรอบของพระองค์ 25 ยูดาห์และอิสราเอลก็ได้อยู่อย่างปลอดภัย ทุกคนนั่งอยู่ใต้ซุ้มองุ่น และใต้ต้นมะเดื่อของตน ตั้งแต่เมืองดานกระทั่งถึงเมืองเบเออร์เชบา ตลอดช่วงสมัยของซาโลมอน
26 ซาโลมอนได้มีคอกม้าสี่หมื่นคอกสำหรับรถม้าศึกของพระองค์ และมีทหารม้าหนึ่งหมื่นสองพันคน 27 ข้าราชบริพารเหล่านั้นก็ได้จัดเสบียงอาหารแด่กษัตริย์ซาโลมอน และทุกคนที่มายังโต๊ะเสวยของกษัตริย์ซาโลมอนก็ได้ถวายสิ่งของตามเดือน พวกเขาไม่ปล่อยให้สิ่งใดขาดไป 28 พวกเขาได้นำทั้งข้าวบาร์เลย์ไปยังสถานที่ที่สมควร และฟางข้าวพันธุ์ดี สำหรับม้าศึกและม้าขี่ แต่ละคนได้นำมาตามที่เขาสามารถทำได้
29 พระเจ้าได้ทรงประทานปัญญาและความเข้าใจแก่ซาโลมอนมาก อีกทั้งความรู้รอบดั่งทรายที่ชายฝั่งทะเล 30 พระปัญญาของซาโลมอนก็เหนือกว่าปัญญาทั้งหมดของชาวตะวันออกและปัญญาทั้งหมดของอียิปต์ 31 พระองค์ได้ทรงมีพระปัญญามากกว่าทุกคน มากกว่าเอธานตระกูลเอศราค เฮมาน คาลโคล์ และดารดา บุตรชายทั้งหลายของมาโฮล และพระนามของพระองค์ก็เลื่องลือไปทั่วชนทุกชาติที่อยู่ล้อมรอบ
32 พระองค์ได้ตรัสสามพันข้อสุภาษิตและบทเพลงของพระองค์มีหนึ่งพันห้าบท 33 พระองค์ได้ทรงบรรยายถึงต้นไม้ตั้งแต่ต้นสนสีดาร์ซึ่งอยู่ในเลบานอน จนถึงต้นหุสบ ซึ่งงอกออกมาจากกำแพง พระองค์ได้ทรงอธิบายถึงสัตว์ต่างๆ ทั้งบรรดานก สัตว์เลื้อยคลาน และปลา 34 ประชาชนจากชนชาติทั้งหมดก็ได้มาเพื่อฟังพระปัญญาของกษัตริย์ซาโลมอน พวกเขามาจากบรรดากษัตริย์ทั่วแผ่นดินโลกคนที่เคยได้ยินถึงพระปัญญาของพระองค์
1 ฮีรามกษัตริย์เมืองไทระได้ทรงส่งข้าราชบริพารของท่านมาเฝ้ากษัตริย์ซาโลมอน เมื่อท่านได้ยินว่าพวกเขาได้เจิมตั้งพระองค์เป็นกษัตริย์แทนพระบิดาของพระองค์ เพราะฮีรามได้เป็นสหายรักของดาวิดตลอดมา 2 กษัตริย์ซาโลมอนได้ทรงส่งพระดำรัสไปยังกษัตริย์ฮีรามว่า 3 “ท่านรู้ว่า ดาวิดพระบิดาของข้าพเจ้าไม่อาจสร้างพระนิเวศสำหรับพระนามของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพระองค์ได้ เพราะสงครามรายล้อมพระองค์อยู่ จนกว่าพระยาห์เวห์จะได้ทรงปราบศัตรูให้อยู่ใต้ฝ่าพระบาทของพระองค์
4 แต่ตอนนี้ พระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพเจ้าทรงให้ข้าพเจ้าได้พักในทุกด้าน ศัตรูหรือความหายนะใดๆ ก็ไม่มี 5 ดังนั้นข้าพเจ้าจึงประสงค์จะสร้างพระนิเวศสำหรับพระนามของพระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพเจ้า ดังที่พระยาห์เวห์ได้ตรัสไว้กับดาวิดพระบิดาของข้าพเจ้าว่า ‘บุตรชายของเจ้า ผู้ที่เราจะตั้งไว้บนบัลลังก์ของเจ้าแทนเจ้า จะสร้างพระนิเวศเพื่อนามของเรา’
6 เหตุฉะนั้น ตอนนี้ขอท่านทรงสั่งให้ตัดไม้สนสีดาร์จากเลบานอนเพื่อข้าพเจ้า ข้าราชบริพารของข้าพเจ้าจะร่วมกับข้าราชบริพารของท่าน เพื่อที่ข้าพเจ้าจะมอบเงินค่าจ้างข้าราชบริพารของท่านแก่ท่านตามที่ท่านทรงเห็นดีด้วย เพราะอย่างที่ท่านรู้ว่า ในพวกเรานี้ไม่มีใครรู้จักการตัดไม้เหมือนชาวไซดอน”
7 เมื่อกษัตริย์ฮีรามทรงได้ยินถ้อยคำทั้งหลายของซาโลมอน พระองค์ก็ได้ทรงชื่นชมยินดีมากยิ่งและว่า “ขอสรรเสริญแด่พระยาห์เวห์ในวันนี้ ผู้ทรงประทานบุตรชายที่มีปัญญาคนหนึ่งแก่ดาวิดให้อยู่เหนือชนชาติใหญ่นี้” 8 กษัตริย์ฮีรามได้ทรงส่งคนไปยังกษัตริย์ซาโลมอนทูลว่า “ข้าพเจ้าได้ทราบข่าวท่านทรงส่งมายังข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจัดทำตามที่ท่านประสงค์ในเรื่องไม้สนสีดาร์ และไม้สนสามใบ
9 พวกข้าราชบริพารของข้าพเจ้าจะนำบรรดาไม้ลงมาจากเลบานอนไปถึงทะเล และข้าพเจ้าจะผูกไม้เป็นแพมาตามทะเลถึงที่ที่ท่านจะกำหนดให้ ข้าพเจ้าจะให้พวกเขาแกะแพที่นั่น และขอท่านจงมารับเอา และขอท่านที่จะทำตามความประสสงค์ของข้าพเจ้า คือ ขอท่านทรงส่งเสบียงอาหารแก่วังของข้าพเจ้า”
10 ดังนั้นกษัตริย์ฮีรามจึงได้ให้ไม้สนสีดาร์และไม้สนสามใบให้แก่กษัตริย์ซาโลมอนตามพระประสงค์ทุกอย่าง 11 แล้วกษัตริย์ซาโลมอนได้ประทานข้าวสาลีให้กษัตริย์ฮีรามสองหมื่นโคเรเพื่อเป็นอาหารแก่วังของพระองค์ และน้ำมันบริสุทธิ์ยี่สิบโคเร กษัตริย์ซาโลมอนทรงได้ประทานอย่างนี้แก่กษัตริย์ฮีรามทุกปี 12 พระยาห์เวห์ได้ทรงประทานพระปัญญาแก่กษัตริย์ซาโลมอน ดังที่ได้ทรงสัญญาไว้ และมีสันติภาพระหว่างกษัตริย์ฮีรามกับกษัตริย์ซาโลมอน และทั้งสองก็ทำสนธิสัญญากัน
13 กษัตริย์ซาโลมอนได้ทรงระดมแรงงานจากทั่วอิสราเอล คนงานโยธามีสามหมื่นคน 14 พระองค์ได้ทรงส่งพวกเขาไปยังเลบานอนผลัดละหนึ่งหมื่นคนต่อเดือน หนึ่งเดือนพวกเขาจะอยู่ที่เลบานอนและสองเดือนอยู่บ้าน และอาโดนีรัมได้เป็นผู้ดูแลคนงานโยธา
15 กษัตริย์ซาโลมอนได้มีคนงานขนของเจ็ดหมื่นคน และคนตัดหินในภูเขาแปดหมื่นคน 16 นอกจากนี้ยังมีหัวหน้าข้าราชบริพารของกษัตริย์ซาโลมอนอีก 3,300 คน เป็นผู้ดูแลการทำงาน และเป็นหัวหน้าดูแลประชาชนคนงาน
17 กษัตริย์ได้ทรงสั่งพวกเขาให้ตัดหินใหญ่มีมูลค่าออกมา เพื่อเป็นฐานรากของพระวิหาร 18 ดังนั้นคนงานก่อสร้างของกษัตริย์ซาโลมอน และคนงานก่อสร้างของกษัตริย์ฮีราม และชาวเกบาลก็ได้ตัดและเตรียมท่อนไม้และหินเพื่อสร้างพระวิหาร
1 ดังนั้นกษัตริย์ซาโลมอนทรงเริ่มสร้างพระวิหารของพระยาห์เวห์ สิ่งนี้ได้เกิดขึ้นในปีที่ 480 หลังจากที่ประชาชนอิสราเอลได้ออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ นับเป็นปีที่สี่ที่ของการปกครองอิสราเอลของกษัตริย์ซาโลมอน ในเดือนศิฟ ซึ่งเป็นเดือนที่สอง 2 พระวิหารซึ่งกษัตริย์ซาโลมอนได้ทรงสร้างถวายพระยาห์เวห์นั้นยาวหกสิบศอก กว้างยี่สิบศอก และสูงสามสิบศอก
3 เฉลียงด้านหน้าห้องโถงของพระวิหารยาวยี่สิบศอก เท่ากับด้านกว้างของพระวิหาร และลึกเข้าไปสิบศอกทางด้านหน้าของพระวิหาร 4 สำหรับพระวิหารพระองค์ทรงสร้างหน้าต่างด้วยวงกบโดยได้ทำให้ข้างนอกแคบกว่าข้างใน
5 ติดผนังของห้องโถงพระองค์ทรงสร้างห้องรอบๆ ทั้งห้องด้านนอกและด้านในโดยรอบ พระองค์ทรงสร้างห้องล้อมรอบทุกด้าน 6 ห้องชั้นล่างสุดกว้างห้าศอก ชั้นกลางกว้างหกศอก และชั้นที่สามกว้างเจ็ดศอก สำหรับส่วนด้านนอก พระองค์ทรงสร้างขอบยื่นออกมาจากผนังของพระวิหารโดยรอบทั้งหมด เพื่อคานหนุนจะไม่ได้สอดเข้าไปในผนังของพระวิหาร
7 พระวิหารนั้นก็สร้างด้วยหิน ซึ่งเตรียมมาจากบ่อหิน ในระหว่างการก่อสร้างจึงไม่ได้ยินเสียงค้อนหรือขวาน หรือเครื่องมือเหล็กใดๆ ในพระวิหาร 8 ทางด้านทิศใต้ของพระวิหารคือ ทางเข้าที่พื้นชั้นล่างสุด แล้วคนได้ขึ้นโดยบันไดไปยังระดับกลางและจากระดับกลางไปยังระดับที่สาม
9 ดังนั้นซาโลมอนได้ทรงสร้างพระวิหารและสร้างจนเสร็จ พระองค์ทรงมุงพระวิหารด้วยไม้ท่อนและกระดานไม้สนสีดาร์ 10 พระองค์ทรงสร้างห้องรอบพระวิหาร แต่ละด้านสูงห้าศอก โดยได้เชื่อมติดกับตัวพระวิหารโดยใช้คานไม้สนสีดาร์
11 พระวจนะของพระยาห์เวห์มาถึงซาโลมอนว่า 12 “เกี่ยวเนื่องกับพระวิหารนี้ซึ่งเจ้ากำลังสร้างอยู่ ถ้าเจ้าปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของเรา และเชื่อฟังกฎของเราและกระทำความยุติธรรม และรักษาพระบัญญัติทั้งหมดของเรา โดยปฏิบัติตาม แล้วเราก็ยืนยันคำสัญญาของเรากับเจ้าซึ่งเราได้ทำไว้กับดาวิดบิดาของเจ้า 13 เราจะอยู่ท่ามกลางประชาชนอิสราเอล และจะไม่ละทิ้งพวกเขาเลย”
14 ดังนั้นกษัตริย์ซาโลมอนจึงทรงสร้างพระวิหารจนแล้วเสร็จ 15 แล้วพระองค์ทรงกรุผนังด้านในด้วยบรรดากระดานไม้สนสีดาร์ จากพื้นพระวิหารจนถึงไม้เพดาน พระองค์ทรงกรุด้านในด้วยไม้ และพระองค์ทรงปูทับพื้นพระวิหารด้วยบรรดาไม้สนสามใบ
16 พระองค์ทรงสร้างด้านหลังของพระวิหารตั้งแต่พื้นจนถึงไม้เพดานด้วยบรรดากระดานไม้สนสีดาร์สูงยี่สิบศอก พระองค์ทรงสร้างห้องนี้ภายในนี้เป็นห้องด้านในสุด คืออภิสุทธิสถาน 17 ห้องโถงหลักอยู่ด้านหน้าของอภิสุทธิสถาน ยาวสี่สิบศอก 18 ส่วนด้านในพระวิหารที่เป็นไม้สนสีดาร์นั้นแกะสลักเป็นรูปน้ำเต้า และดอกไม้บาน ด้านในทั้งหมดทำจากไม้สนสีดาร์ ไม่มีงานที่ใช้หินให้เห็นเลยทางด้านใน
19 กษัตริย์ซาโลมอนได้ทรงจัดเตรียมห้องชั้นในสุดไว้ด้านในพระวิหาร เพื่อตั้งหีบพันธสัญญาของพระยาห์เวห์ไว้ 20 ห้องชั้นในสุดนั้นยาวยี่สิบศอก กว้างยี่สิบศอก และสูงยี่สิบศอก กษัตริย์ซาโลมอนทรงกรุผนังด้วยทำจากทองคำบริสุทธิ์และได้ทรงกรุแท่นบูชาด้วยไม้สนสีดาร์
21 กษัตริย์ซาโลมอนทรงกรุด้านในพระวิหารด้วยทำจากทองคำบริสุทธิ์ และพระองค์ทรงร้อยโซ่ทำจากทองคำหน้าห้องชั้นในสุด และกรุด้านหน้าด้วยทำจากทองคำ 22 พระองค์ทรงกรุพระวิหารด้านในทั้งหลังด้วยทำจากทองคำ จนพระวิหารนั้นสำเร็จทั้งหมด พระองค์ทรงกรุแท่นบูชาทั้งแท่นที่เป็นของห้องชั้นในสุดด้วยทำจากทองคำ
23 กษัตริย์ซาโลมอนทรงสร้างเครูบสองตนด้วยไม้มะกอก แต่ละองค์สูงสิบศอกในห้องชั้นในสุด 24 ปีกด้านหนึ่งของเครูบยาวห้าศอก และปีกอีกด้านหนึ่งของเครูบยาวห้าศอก จากปลายปีกด้านหนึ่งไปถึงปลายปีกอีกด้านหนึ่งเป็นห่างกันสิบศอก 25 เครูบอีกตนหนึ่งมีระยะช่วงปีกเป็นสิบศอก เครูบทั้งสองตนมีขนาดเท่ากัน และรูปร่างอย่างเดียวกัน 26 ความสูงของเครูบตนหนึ่งเป็น สิบศอก และเครูบอีกตนหนึ่งก็เหมือนกัน
27 กษัตริย์ซาโลมอนทรงวางเครูบไว้ในส่วนชั้นในที่สุดของพระวิหาร ปีกของเครูบนั้นกางออกเพื่ออีกปีกหนึ่งจะจรดผนังด้านหนึ่ง และปีกของเครูบอีกตนหนึ่งจรดผนังอีกด้านหนึ่ง ปีกของเครูปทั้งสองตนต่างก็มาจรดกันตรงกลางของอภิวิสุทธิสถาน 28 กษัตริย์ซาโลมอนทรงหุ้มเครูบด้วยทำจากทองคำ
29 พระองค์ทรงแกะสลักผนังของพระวิหารนั้นโดยรอบ ด้วยรูปแกะสลักเป็นรูปเครูบ ต้นอินทผลัม และดอกไม้บานทั้งห้องด้านในและห้องด้านนอก 30 กษัตริย์ซาโลมอนทรงกรุพื้นของพระวิหารนั้น ด้วยทำจากทองคำทั้งด้านนอกและด้านใน
31 กษัตริย์ซาโลมอนทรงทำบานประตูคู่จากไม้มะกอกสำหรับทางเข้าสู่ห้องชั้นในสุด ทับหลังและวงกบประตูได้ทำเป็นรูปห้าเหลี่ยม 32 ดังนั้นพระองค์ได้ทรงทำประตูด้วยไม้มะกอก และพระองค์จึงทรงแกะสลักบานประตูทั้งคู่เป็นรูปเครูบ ต้นอินทผลัม และดอกไม้บาน พระองค์ทรงกรุบานประตูด้วยทำจากทองคำ และพระองค์ทรงแผ่ทองคำติดเครูบและบรรดาต้นอินทผลัม
33 ด้วยวิธีนี้กษัตริย์ซาโลมอนจึงทรงทำวงกบประตูทางเข้าพระวิหารด้วยไม้มะกอกเป็นรูปสี่เหลี่ยม 34 และทรงทำประตูสองประตูด้วยไม้สนสามใบ บานประตูสองบานของประตูหนึ่งพับหากันได้ และอีกสองบานของอีกประตูหนึ่งก็พับได้เช่นกัน 35 พระองค์ทรงแกะสลักเครูบ ต้นอินทผลัม และดอกไม้บานบนบานประตู และพระองค์ทรงกรุด้วยทำจากทองคำอย่างทั่วกันบนงานแกะสลักนั้น
36 พระองค์ทรงสร้างลานชั้นในด้วยกำแพงหินตัดสามชั้น และด้วยไม้สนสีดาร์หนึ่งชั้น
37 ฐานรากของพระวิหารของพระยาห์เวห์ทรงถูกวางในปีที่สี่ของเดือนศิฟ 38 ในปีที่สิบเอ็ดในเดือนบูล ซึ่งเป็นเดือนที่แปด พระวิหารนั้นก็ได้สำเร็จหมดทุกส่วน และตามที่กำหนดไว้ทั้งสิ้น กษัตริย์ซาโลมอนได้ทรงสร้างพระวิหารนั้นเจ็ดปี
1 กษัตริย์ซาโลมอนทรงใช้เวลาสิบสามปีเพื่อสร้างพระราชวังของพระองค์ 2 พระองค์ทรงสร้างพระตำหนักชื่อ ป่าแห่งเลบานอน ยาวหนึ่งร้อยศอก กว้างห้าสิบศอก และสูงสามสิบศอก พระตำหนักได้สร้างบนไม้สนสีดาร์สี่ชุด มีคานไม้สนสีดาร์บนเสา
3 พระตำหนักถูกมุงด้วยไม้สนสีดาร์บนคาน คานเหล่านั้นได้พยุงเสา มีคานสี่สิบห้าต้น แถวละสิบห้าต้น 4 มีคานสามแถว และหน้าต่างแต่ละบานอยู่ตรงข้ามกันทั้งสามชุด 5 ประตูและเสาทั้งหมดเป็นรูปสี่เหลี่ยมพร้อมคาน และหน้าต่างอยู่ตรงข้ามกันทั้งสามชุด
6 มีระเบียงใหญ่ยาวห้าสิบศอก และกว้างสามสิบศอก มีมุขบันไดด้านหน้า พร้อมเสาและหลังคา
7 กษัตริย์ซาโลมอนได้ทรงสร้างท้องพระโรงพระที่นั่ง เป็นที่ซึ่งพระองค์ทรงพิพากษา คือท้องพระโรงวินิจฉัย ซึ่งกรุด้วยไม้สนสีดาร์จากพื้นถึงพื้น
8 พระราชวังของกษัตริย์ซาโลมอนที่ซึ่งพระองค์จะได้ประทับนั้น อยู่ที่ลานอีกแห่งหนึ่งหลังท้องพระโรง ก็เป็นการออกแบบที่คล้ายคลึงกัน พระองค์ยังทรงสร้างพระราชวังเหมือนท้องพระโรงนี้เพื่อพระธิดาของฟาโรห์ ผู้ซึ่งพระองค์รับมาเป็นมเหสี
9 อาคารเหล่านี้ได้สร้างด้วยหินอันมีค่าที่ตัดออกมาตามขนาด และตัดด้วยเลื่อยและขัดเรียบทั้งด้านในและด้านนอก หินเหล่านี้ใช้ตั้งแต่ฐานรากถึงด้านบนสุด และมีตั้งแต่ด้านนอกถึงลานใหญ่ 10 ฐานรากนั้นได้ทำด้วยหิน ขนาดใหญ่อันมีมูลค่า ยาวแปดศอกและสิบศอก
11 ส่วนบนก็เป็นหินอันมีมูลค่าตัดออกมาตามขนาด และไม้สนสีดาร์ 12 โถงใหญ่รอบพระราชวังมีหินตัดสามชั้นและคานไม้สนสีดาร์หนึ่งชั้น อย่างโถงชั้นในพระวิหารของพระยาห์เวห์ และมุขบันไดของพระวิหาร
13 กษัตริย์ซาโลมอนได้ทรงใช้คนไปตามฮูราม และนำเขามาจากเมืองไทระ 14 ฮูรามเป็นบุตรชายของหญิงม่ายเผ่านัฟทาลี บิดาของเขาเป็นชาวเมืองไทระ และเป็นช่างทองสัมฤทธิ์ ฮูรามได้เต็มเปี่ยมด้วยปัญญา ความเข้าใจ และฝีมือเชี่ยวชาญที่จะทำงานกับทองสัมฤทธิ์ทั้งสิ้น เขาได้มาเฝ้ากษัตริย์ซาโลมอนและทำงานด้วยทองสัมฤทธิ์เพื่อกษัตริย์
15 ฮูรามได้ตกแต่งเสาทองสัมฤทธิ์สองเสา แต่ละเสาสูง สิบแปดศอก และสิบสองศอกในเส้นรอบวง 16 เขาได้ทำบัวหัวเสาสองอันด้วยทองสัมฤทธิ์ขัดมัน เพื่อจะวางไว้บนยอดเสา บัวหัวเสาแต่ละอันสูงห้าศอก 17 รางตาข่ายเป็นตาหมากรุกและมาลัยโซ่สำหรับตกแต่งบัวที่อยู่บนหัวเสา เจ็ดอันสำหรับเสาแต่ละอัน
18 ดังนั้นฮูรามจึงทำลูกทับทิมสองแถวล้อมบนยอดแต่ละเสาเพื่อตกแต่งเสาเหล่านั้น 19 ส่วนบัวซึ่งอยู่บนยอดเสาที่อยู่ในมุขบันไดนั้นได้ตกแต่งด้วยดอกพลับพลึง สูงสี่ศอก
20 บัวหัวบนเสาสองต้นนั้น อยู่รวมใกล้กับส่วนบนมาก มีลูกทับทิมสองร้อยลูกอยู่รายล้อม 21 เขาได้ตั้งเสาไว้ที่มุขบันไดพระวิหาร เสาด้านขวามีชื่อว่ายาคีน และเสาด้านซ้ายมีชื่อว่าโบอัส 22 บนยอดเสาเหล่านั้นตกแต่งคล้ายดอกพลับพลึง การแต่งเสาจึงทำเสร็จด้วยวิธีนี้
23 ฮูรามได้ทำอ่างทะเลกลมจากโลหะหล่อ วัดจากขอบหนึ่งไปถึงอีกขอบหนึ่งได้สิบศอก สูงห้าศอก และวัดอ่างทะเลโดยรอบได้สามสิบศอก 24 ด้านใต้ขอบรอบอ่างทะเลนั้นได้หล่อเป็นรูปน้ำเต้า สิบลูกทุกระยะหนึ่งศอก ทำเป็นชิ้นเดียวกันกับอ่างทะเลเวลาเดียวกันกับหล่ออ่าง
25 อ่างทะเลนั้นตั้งอยู่บนวัวสิบสองตัว โดยสามตัวหันหน้าไปทางเหนือ สามตัวหันหน้าไปทางตะวันตก สามตัวหันหน้าไปทางใต้ และสามตัวหันหน้าไปทางตะวันออก อ่างทะเลวางบนพวกวัว และโดยให้ส่วนหลังของวัวทุกตัวอยู่ด้านใน 26 อ่างหนาเท่ากับหนึ่งฝ่ามือ และที่ขอบอ่างได้ทำคล้ายขอบถ้วย คล้ายดอกพลับพลึงกำลังบาน อ่างมีความจุสองพันบัท
27 ฮูรามได้ทำแท่นทองสัมฤทธิ์สิบแท่น แต่ละแท่นนั้นยาวแปดศอก และกว้างสี่ศอก และสูงสามศอก 28 งานของแท่นได้เป็นอย่างนี้ แท่นได้มีแผงซึ่งตั้งระหว่างกรอบ 29 และบนแผงและกรอบมีรูปสิงโต โค และพวกเครูบ เหนือกรอบที่อยู่ข้างบนและข้างล่างสิงโตและโคมีพวงมาลัยย้อย เป็นงานของช่างตี
30 ทุกแท่นได้มีล้อทองสัมฤทธิ์สี่ล้อกับเพลาทองสัมฤทธิ์ และที่มุมทั้งสี่มีที่รองรับอ่าง ที่รองรับนั้นได้หล่อโดยมีมาลัยห้อยแต่ละด้าน 31 ช่องเปิดเป็นทรงกลมอย่างที่เขาทำฐาน กว้างหนึ่งศอกครึ่ง และช่องเปิดด้านในคล้ายมงกุฎตั้งขึ้นมาหนึ่งศอก ตรงช่องเปิดมีลายสลัก และแผงนั้นเป็นสี่เหลี่ยมไม่กลม
32 ล้อทั้งสี่อยู่ใต้แผง และเพลาล้อนั้นติดกับล้อและแท่นล้อ ความสูงของล้อเป็นหนึ่งศอกครึ่ง 33 บรรดาล้อนั้นได้ตีเหล็กเหมือนล้อรถม้าศึก ทั้งเพลา ขอบล้อ ซี่ล้อ และดุมล้อก็หล่อจากโลหะทั้งหมด
34 แต่ละแท่นมีที่รองรับอยู่ที่มุมทั้งสี่ แท่นที่รองรับนั้นตีเหล็กรวมเป็นชิ้นเดียวกัน 35 บนยอดแท่นมีแถบกลมสูงหนึ่งศอกครึ่ง และบนอดแท่นนั้นมีกรอบและแผงเชื่อมเป็นอันเดียวกันกับแท่น
36 ที่บนพื้นกรอบและบนแผง ฮูรามได้สลักเป็นรูปเครูบ สิงโต และต้นอินทผลัมตามที่ว่าง และแต่ละสิ่งก็มีมาลัยล้อมรอบ 37 เขาได้ทำแท่นทั้งสิบชิ้นตามอย่างนี้ หล่อเหมือนกันหมดทุกชิ้น ขนาดเดียวกัน และรูปร่างเหมือนกัน
38 ฮูรามได้ทำอ่างด้วยทองสัมฤทธิ์สิบใบ อ่างหนึ่งใบสามารถจุน้ำได้สี่สิบบัท อ่างแต่ละใบขนาดสี่ศอก และมีอ่างหนึ่งใบอยู่บนแท่นทั้งสิบแท่น 39 เขาได้ทำแท่นห้าแท่นหันหน้าไปทางด้านใต้ของพระวิหาร และห้าแท่นหันหน้าไปทางด้านเหนือของพระวิหาร เขาได้วาง"อ่างทะเล"ไว้ที่มุมทางทิศตะวันออก หันหน้าไปทางทิศใต้ของพระวิหาร
40 ฮูรามได้ทำอ่าง ทัพพี และชามด้วย แล้วเขาก็ได้เสร็จงานทั้งหมด ที่เขาได้ทำถวายกษัตริย์ซาโลมอน สำหรับพระวิหารของพระยาห์เวห์ 41 เสาสองต้น และคิ้วบัวได้อยู่บนทั้งสอง หัวเสา และผ้าตาข่ายสองหลัง ซึ่งหุ้มคิ้วบัวทั้งสองที่อยู่บนหัวเสา
42 เขาได้ทำลูกทับทิมสี่ร้อยลูกสำหรับผ้าตาข่ายสองหลัง (ผ้าตาข่ายหลังหนึ่งมีลูกทับทิมสองแถว เพื่อคลุมคิ้วทั้งสองของบัวซึ่งอยู่บนเสา) 43 แท่นทั้งสิบชิ้นและอ่างสิบใบซึ่งอยู่บนแท่นเหล่านั้น
44 เขาได้ทำอ่างใหญ่ที่เรียกว่า "ทะเล" ทั้งวัวสิบสองตัวที่อยู่ด้านใต้ 45 นอกจากนี้ยังมี หม้อ ทัพพี อ่าง และภาชนะทั้งหมด ฮูรามได้ทำสิ่งเหล่านี้ด้วยทองสัมฤทธิ์ขัดมันถวายกษัตริย์ซาโลมอน สำหรับพระวิหารของพระยาห์เวห์
46 กษัตริย์ได้ทรงทำทั้งหมดนี้ในที่ราบลุ่มของแม่น้ำจอร์แดน และในที่เป็นดินเหนียวกลางทางไปเมืองสุคคท และเมืองศาเรธาน 47 กษัตริย์ซาโลมอนไม่ได้ทรงวัดเครื่องใช้ทุกอย่างนี้ เพราะมีมากมาย จึงไม่ได้หาน้ำหนักของทองสัมฤทธิ์
48 กษัตริย์ซาโลมอนได้ทรงทำเครื่องใช้ทั้งหมดซึ่งอยู่ในพระวิหารของพระยาห์เวห์ทำจากทองคำ คือแท่นบูชาทำจากทองคำ และโต๊ะทำจากทองคำที่ใช้วางขนมปังเฉพาะพระพักตร์ 49 คันประทีป ด้านขวาห้าอัน ด้านซ้ายห้าอัน อยู่หน้าห้องชั้นในสุด ทำจากทองคำบริสุทธิ์ และดอกไม้ ตะเกียง และคีมทำทำจากทองคำ
50 ถ้วย กรรไกรตัดไส้ตะเกียง อ่าง ช้อน และกระถางธูปทั้งหมดล้วนทำจากทองคำบริสุทธิ์ ยังมีบานพับทำจากทองคำสำหรับประตูของส่วนชั้นในห้องซึ่งคืออภิสุทธิสถานและสำหรับประตูห้องโถงของพระวิหาร ทั้งหมดล้วนทำจากทองคำ
51 ด้วยวิธีนี้งานทั้งสิ้นที่กษัตริย์ซาโลมอนทรงทำเกี่ยวกับพระวิหารของพระยาห์เวห์ก็ได้สำเร็จลง ดังนั้นกษัตริย์ซาโลมอนได้ทรงนำสิ่งของซึ่งดาวิดพระบิดาได้ทรงแยกไว้คือเครื่องเงิน เครื่องทอง และเครื่องใช้ต่างๆมา และทรงเก็บไว้ในคลังพระวิหารของพระยาห์เวห์
1 แล้วกษัตริย์ซาโลมอนทรงเรียกประชุมพวกผู้อาวุโสของอิสราเอลและพวกหัวหน้าของเผ่าต่างๆ และหัวหน้าครอบครัวของคนอิสราเอลทั้งหมดต่อพระพักตร์พระองค์ในกรุงเยรูซาเล็มเพื่อจะนำหีบพันธสัญญาของพระยาห์เวห์เมืองของดาวิดมานั่นคือศิโยน 2 ผู้ชายทั้งหมดของอิสราเอลจึงมาประชุมกันต่อพระพักตร์กษัตริย์ซาโลมอนที่งานเลี้ยงในเดือนเอธานิมซึ่งเป็นเดือนที่เจ็ด
3 พวกผู้อาวุโสทั้งหมดของอิสราเอลได้มาและพวกปุโรหิตจึงได้ยกหีบมา 4 พวกเขาได้นำหีบของพระยาห์เวห์ เต็นท์นัดพบ อีกทั้งข้าวของเครื่องใช้ที่บริสุทธิ์ทั้งสิ้นซึ่งอยู่ในเต็นท์ขึ้นมา พวกปุโรหิตและพวกเลวีได้นำของเหล่านี้ขึ้นมา 5 กษัตริย์ซาโลมอนทรงมาประชุมทั้งบรรดาที่ชุมนุมทั้งหมดของอิสราเอลต่อหน้าหีบพันธสัญญา และได้ถวายแกะและวัวจนมากมายจนไม่อาจนับได้
6 ปุโรหิตได้ไปเอาหีบพันธสัญญาของพระยาห์เวห์มายังที่วางหีบ ในห้องชั้นในสุดของพระวิหาร คือในอภิสุทธิสถาน ภายใต้ปีกของเครูบ 7 เพราะเครูบนั้นกางปีกทั้งคู่ออกเหนือที่ตั้งของหีบ พวกเครูบจึงได้กางเหนือหีบ และไม้คานซึ่งใช้หามหีบ 8 ไม้คานหามนั้นยาวมาก จึงเห็นปลายคานหามได้จากวิสุทธิสถาน ซึ่งอยู่ด้านหน้าห้องชั้นในสุด แต่ไม่อาจมองเห็นจากภายนอก คานหามก็ยังอยู่ที่นั่นจนถึงวันนี้
9 ไม่มีสิ่งใดในหีบนอกจากหินสองแผ่น ซึ่งโมเสสใส่ไว้ที่ภูเขาโฮเรบ เมื่อพระยาห์เวห์ได้ทรงทำพันธสัญญากับประชาชนอิสราเอล เมื่อพวกเขาได้ออกมาจากดินแดนอียิปต์ 10 ต่อมาเมื่อพวกปุโรหิตได้ออกมาจากวิสุทธิสถาน พระวิหารของพระยาห์เวห์ก็ได้เต็มไปด้วยเมฆ 11 จนพวกปุโรหิตไม่อาจยืนปรนนิบัติอยู่ได้เพราะเมฆ เพราะพระสิริของพระยาห์เวห์เต็มพระวิหารของพระองค์
12 แล้วกษัตริย์ซาโลมอนจึงตรัสว่า “พระยาห์เวห์ตรัสว่า พระองค์จะประทับในความมืดมิด 13 แต่ข้าพระองค์ได้สร้างที่ประทับที่สูงส่งสำหรับพระองค์ เป็นสถานที่เพื่อพระองค์จะสถิตอยู่ตลอดไป”
14 แล้วกษัตริย์ทรงหันมา และทรงอวยพรที่ชุมนุมอิสราเอลทั้งปวงขณะที่ที่ชุมนุมอิสราเอลทั้งหมดกำลังยืนอยู่ 15 พระองค์ได้ตรัสว่า “สาธุการแด่พระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งอิสราเอล ผู้ทรงสัญญากับดาวิดพระบิดาของข้าพระองค์และทรงให้สำเร็จด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง ตรัสว่า 16 ‘นับจากวันที่เราได้นำอิสราเอลประชาชนของเราออกจากอียิปต์ เราไม่ได้กำหนดเมืองใดจากทุกเผ่าในอิสราเอลเพื่อจะสร้างพระวิหาร เพื่อนามของเราจะอยู่ที่นั่น อย่างไรก็ตามเราได้เลือกดาวิดให้อยู่ปกครองอิสราเอลประชาชนของเรา’
17 บัดนี้ดาวิดพระบิดาของข้าพระองค์มีพระทัยแน่วแน่ที่จะสร้างพระวิหารสำหรับพระนามแห่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอล 18 แต่พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับดาวิดพระบิดาของข้าพระองค์ว่า ‘ตามที่เจ้าได้ตั้งใจสร้างพระวิหารสำหรับนามของเรานั้น เจ้าก็ได้ทำดีแล้ว ในเรื่องความแน่วแน่ของเจ้า 19 แม้กระนั้นเจ้าจะไม่ได้สร้างพระวิหาร แต่บุตรชายผู้เกิดจากบั้นเอวของเจ้าจะสร้างพระวิหารสำหรับนามของเรา’
20 พระยาห์เวห์ทรงให้พระสัญญาของพระองค์สำเร็จตามที่ได้ตรัสไว้นั้น เพราะข้าพระองค์ได้ขึ้นมาแทนที่ดาวิดพระบิดาของข้าพระองค์ และนั่งอยู่บนบัลลังก์ของอิสราเอล ดังที่พระยาห์เวห์ได้ทรงสัญญาไว้ ข้าพระองค์ได้สร้างพระวิหารสำหรับพระนามของพระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งอิสราเอล 21 ข้าพระองค์ได้กำหนดสถานที่วางหีบที่นั่น ที่บรรจุพันธสัญญาของพระยาห์เวห์ไว้ ซึ่งพระองค์ได้ทรงทำกับบรรพบุรุษของพวกเรา เมื่อครั้งพระองค์ทรงนำพวกเขาออกจากดินแดนอียิปต์”
22 กษัตริย์ซาโลมอนทรงยืนอยู่หน้าแท่นบูชาของพระยาห์เวห์ ต่อหน้าที่ชุมนุมอิสราเอลทั้งปวงและได้กางพระหัตถ์ของพระองค์ออกสู่ท้องฟ้า 23 พระองค์ทูลว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งอิสราเอล ไม่มีพระเจ้าองค์ใดเหมือนพระองค์ในฟ้าเบื้องบน หรือที่ดินแดนเบื้องล่าง ผู้ทรงรักษาพันธสัญญา ด้วยความสัตย์ซื่อแก่ผู้รับใช้ของพระองค์ ผู้ดำเนินอยู่ต่อพระพักตร์พระองค์ด้วยหมดจิตใจ 24 พระองค์ได้ทรงรักษาพระสัญญาที่ทรงให้ไว้กับดาวิดพระบิดาของข้าพระองค์ ผู้รับใช้ของพระองค์ ตามที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้ ใช่แล้ว พระองค์ได้ตรัสด้วยด้วยพระโอษฐ์และทรงทำให้สำเร็จด้วยพระหัตถ์ในวันนี้
25 บัดนี้ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งอิสราเอล ได้ดำเนินตามสิ่งที่พระองค์ได้ให้พระสัญญาที่ให้ไว้กับผู้รับใช้ของพระองค์ คือให้กับดาวิดพระบิดาของข้าพระองค์ เมื่อพระองค์ได้ตรัสว่า ‘เจ้าจะไม่ขาดผู้ชายผู้หนึ่งต่อสายตาเราที่จะนั่งบนบัลลังก์ของอิสราเอล ถ้าเพียงแต่ลูกหลานของเจ้าจะรักษาทางของเขาที่ดำเนินไปต่อหน้าเราด้วยความระมัดระวัง เหมือนอย่างที่เจ้าได้กระทำต่อหน้าเรานั้น’ 26 บัดนี้ข้าแต่พระเจ้าแห่งอิสราเอล ข้าพระองค์ขอให้พระสัญญาที่พระองค์ได้ทรงให้ไว้กับผู้รับใช้ของพระองค์ คือดาวิดพระบิดาของข้าพระองค์ให้เป็นความจริง
27 แต่พระเจ้าจะทรงประทับบนดินแดนโลกอย่างนั้นหรือ? ดูเถิด จักรวาลทั้งหมดและฟ้าเองยังไม่อาจจะรองรับพระองค์ได้ แล้วพระวิหารที่ข้าพระองค์ได้สร้างขึ้นอันน้อยนิดจะรองรับพระองค์ได้มากสักเท่าใด 28 แม้กระนั้น ขอพระองค์โปรดสนพระทัยในคำอธิษฐานของผู้รับใช้ของพระองค์ และในคำวิงวอนของเขา ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระเจ้าของข้าพระองค์ โปรดทรงสดับเสียงร้องและคำอธิษฐาน ซึ่งผู้รับใช้ของพระองค์ อธิษฐานต่อพระองค์ในวันนี้
29 ขอพระเนตรของพระองค์จะทรงเฝ้าดูพระวิหารนี้ทั้งวันและคืน คือสถานที่ซึ่งพระองค์ได้ตรัสว่า ‘สร้างในนามของเราและเราจะอยู่ที่นั่น’ แล้วพระองค์จะทรงสดับคำอธิษฐาน ซึ่งผู้รับใช้ของพระองค์จะอธิษฐานในสถานที่นี้ 30 ดังนั้นขอพระองค์ทรงสดับคำวิงวอนของผู้รับใช้ของพระองค์ และของอิสราเอลประชาชนของพระองค์ เมื่อพวกเขาอธิษฐานในสถานที่นี้ ใช่แล้ว พระองค์เองทรงสดับจากสถานที่ประทับของพระองค์คือจากฟ้า และเมื่อทรงสดับก็จะโปรดทรงอภัยโทษบาป
31 ถ้าผู้ชายผู้หนึ่งทำบาปต่อเพื่อนบ้านของเขา และถูกบังคับให้ทำการสาบาน และถ้าเขามาทำการสาบานต่อหน้าแท่นบูชาของพระองค์ในพระวิหารนี้ 32 ขอพระองค์ทรงสดับในท้องฟ้าและโปรดทรงกระทำ โปรดทรงพิพากษาเหล่าผู้รับใช้ของพระองค์ โดยลงโทษผู้ทำผิด และให้การกระทำของเขาตกบนศีรษะของเขา และตัดสินว่าผู้เที่ยงธรรมนั้นบริสุทธิ์ โดยประทานรางวัลให้กับเขาตามความเที่ยงธรรมของเขา
33 เมื่ออิสราเอลประชาชนของพระองค์พ่ายแพ้ศัตรู เพราะได้ทำผิดบาปต่อพระองค์ แล้วถ้าพวกเขาหันกลับมาหาพระองค์ และยอมรับพระนามของพระองค์ อธิษฐานและขอพระเมตตาต่อพระองค์ในพระวิหารนี้ 34 แล้วขอพระองค์ทรงสดับในฟ้าและทรงอภัยบาปของอิสราเอลประชาชนของพระองค์ โปรดทรงนำพวกเขากลับมายังดินแดน ซึ่งพระองค์ได้ประทานแก่บรรพบุรุษของพวกเขา
35 เมื่อฟ้าทั้งหลายปิดอยู่และไม่มีฝน เพราะพวกเขาได้ทำผิดบาปต่อพระองค์ แล้วพวกเขาได้อธิษฐานในสถานที่นี้ และยอมรับพระนามของพระองค์ และหันกลับจากบาปผิดของเขา เนื่องจากพระองค์ได้ทรงลงโทษพวกเขา 36 แล้วก็โปรดทรงสดับในฟ้า และทรงอภัยบาปผิดของอิสราเอลซึ่งเป็นผู้รับใช้และประชาชนของพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงสอนทางดีซึ่งพวกเขาควรจะดำเนินไป ขอประทานฝนตกบนดินแดนของพระองค์ ซึ่งพระองค์ประทานให้เป็นมรดกแก่ประชาชนของพระองค์
37 ถ้ามีการกันดารอาหารในดินแดน ถ้ามีโรคระบาด ถ้ามีข้าวลีบ ข้าวขึ้นรา ภัยจากตั๊กแตนหรือหนอนผีเสื้อ หรือถ้าศัตรูโจมตีประตูเมืองใดๆ ของเขาในดินแดน หรือมีภัยพิบัติใด หรือเกิดความเจ็บไข้ใด 38 และหากคำอธิษฐานหรือคำขอของคนหนึ่งคนใด หรืออิสราเอลประชาชนทั้งหมดของพระองค์ ได้สำนึกในใจของเขาเรื่องภัยพิบัติ โดยกางมือของเขาสู่พระวิหารนี้
39 แล้วก็ขอพระองค์ทรงสดับในฟ้า อันเป็นที่ประทับของพระองค์ และโปรดทรงอภัย และทรงกระทำการและประทานรางวัลแก่แต่ละคนตามการประพฤติทั้งหมดของเขา ซึ่งพระองค์ทรงทราบจิตใจ เพราะพระองค์เท่านั้นทรงทราบจิตใจของมนุษย์ทุกคน 40 ทรงกระทำการนี้เพื่อพวกเขาจะได้ยำเกรงพระองค์ ตลอดวันเวลาที่มีชีวิตบนดินแดน ซึ่งพระองค์ประทานแก่บรรพบุรุษของพวกข้าพระองค์
41 มากกว่านั้น เกี่ยวกับคนต่างด้าว ผู้ซึ่งไม่ใช่อิสราเอลประชาชนของพระองค์ แต่มาจากแดนไกลเนื่องจากพระนามของพระองค์ 42 เพราะพวกเขาจะได้ยินถึงพระนามยิ่งใหญ่ และถึงพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ และถึงพระกรที่เหยียดออกของพระองค์ เมื่อเขามาอธิษฐานในพระวิหารนี้ 43 แล้วก็ขอพระองค์ทรงสดับในฟ้า อันเป็นที่ประทับของพระองค์ และโปรดทรงทำตามทุกสิ่งซึ่งคนต่างด้าวได้ทูลขอพระองค์ โปรดทรงทำเพื่อชนทุกชาติแห่งดินแดนโลกจะรู้จักพระนามของพระองค์ และยำเกรงพระองค์ เหมือนทรงทำต่ออิสราเอลประชาชนของพระองค์ โปรดทรงทำเพื่อพวกเขาจะทราบว่า พระวิหารนี้ซึ่งข้าพระองค์ได้สร้างไว้ด้วยพระนามของพระองค์
44 ถ้าประชาชนของพระองค์ออกไปต่อสู้กับศัตรู โดยทางใดๆ ที่พระองค์ทรงใช้พวกเขาออกไปก็ตาม และพวกเขาได้อธิษฐานต่อพระองค์ พระยาห์เวห์ ตรงไปยังเมืองซึ่งพระองค์ได้ทรงเลือกสรรไว้ และตรงไปยังพระวิหารที่ข้าพระองค์ได้สร้างเพื่อพระนามของพระองค์ 45 แล้วก็ขอพระองค์ทรงสดับคำอธิษฐาน และคำวิงวอนของพวกเขาในฟ้า และขอความช่วยเหลือแก่พวกเขา
46 ถ้าพวกเขาทำผิดบาปต่อพระองค์ เพราะไม่มีมนุษย์คนใดไม่ได้ทำผิดบาป และพระองค์กริ้วพวกเขา และทรงมอบเขาไว้กับศัตรู แล้วพวกเขาก็ถูกจับเขาไปเป็นเชลยยังดินแดนของศัตรูนั้น ไม่ว่าไกลหรือใกล้ 47 แล้วถ้าเขาสำนึกผิดในดินแดนที่เขาถูกจับไปเป็นเชลย และได้กลับใจ แล้วขอความเมตตาต่อพระองค์ในดินแดนพวกเขาถูกจับเขาไปเป็นเชลยทูลว่า ‘ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ทำความผิดรุนแรงและทำบาป ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ประพฤติอย่างชั่วร้าย’
48 ถ้าพวกเขากลับมาหาพระองค์ด้วยสุดจิตหมดจิตใจ ในดินแดนแห่งศัตรูผู้จับเขาไปเป็นเชลย และถ้าเขาอธิษฐานต่อพระองค์ตรงไปยังดินแดน ซึ่งพระองค์ประทานแก่บรรพบุรุษของพวกเขา และไปยังเมืองซึ่งพระองค์ทรงเลือกสรรไว้ และพระวิหารซึ่งข้าพระองค์ได้สร้างไว้เพื่อพระนามของพระองค์แล้ว
49 แล้วก็ขอพระองค์ทรงสดับคำอธิษฐานและคำวิงวอนเพื่อขอความช่วยเหลือของพวกเขาในฟ้า อันเป็นที่ประทับของพระองค์ และขอประทานความยุติธรรมแก่พวกเขา 50 โปรดทรงอภัยประชาชนของพระองค์ผู้ทำบาปซึ่งฝ่าฝืนต่อพระบัญชาของพระองค์ และทรงอภัยต่อการทรยศที่พวกเขาได้ทำต่อพระองค์ และขอให้พระองค์ประทานความเมตตาต่อพวกเขาก่อนที่ศัตรูจับพวกเขาไปเป็นเชลย เพื่อศัตรูจะได้เมตตาประชาชนของพระองค์ด้วย
51 พวกเขาเป็นประชาชนของพระองค์ซึ่งพระองค์ได้ทรงเลือก ซึ่งพระองค์ทรงช่วยกู้ออกมาจากอียิปต์ ดุจออกจากท่ามกลางเตาซึ่งเหล็กถูกหลอม 52 ข้าพระองค์อธิษฐานขอให้ทรงลืมพระเนตรของพระองค์อยู่ต่อคำวิงวอนของผู้รับใช้ของพระองค์ และต่อคำวิงวอนของอิสราเอลประชาชนของพระองค์ โปรดทรงฟังเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาร้องต่อพระองค์ 53 เพราะพระองค์ทรงแยกพวกเขาจากท่ามกลางชนทุกชาติแห่งแผ่นดินโลก ให้เป็นสมบัติของพระองค์และรับพระสัญญาของพระองค์ ตามซึ่งพระองค์ได้ตรัสทางโมเสสผู้รับใช้ของพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงนำบรรพบุรุษของข้าพระองค์ทั้งหลายออกจากอียิปต์ ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์พระผู้เป็นเจ้า”
54 ดังนั้นเมื่อกษัตริย์ซาโลมอนทรงจบคำอธิษฐาน และคำวิงวอนทั้งหมดนี้ต่อพระยาห์เวห์แล้ว พระองค์ได้ทรงลุกขึ้นจากหน้าแท่นบูชาของพระยาห์เวห์ จากที่ทรงคุกเข่าทั้งกางพระหัตถ์สู่ฟ้า 55 พระองค์ได้ทรงยืน และทรงอวยพรแก่ที่ชุมนุมอิสราเอลด้วยเสียงดังว่า 56 “สาธุการแด่พระยาห์เวห์ ผู้ประทานการหยุดพักแก่อิสราเอลประชาชนของพระองค์ ตามที่ทรงสัญญาไว้ทุกประการ พระสัญญาอันดีทั้งหมดของพระองค์ซึ่งทรงสัญญาทางโมเสสผู้รับใช้ของพระองค์นั้นไม่ล้มเหลวสักคำเดียว
57 ขอพระยาห์เวห์พระเจ้าของเราทั้งหลายสถิตกับพวกเรา เหมือนอย่างที่พระองค์ได้สถิตกับบรรพบุรุษของเรา ขออย่าทรงละเราหรือละทิ้งพวกเราเลย 58 แต่ขอพระองค์ทรงโน้มจิตใจของพวกเราให้มาหาพระองค์ เพื่อดำเนินในทางทั้งหมดของพระองค์ และรักษาพระบัญญัติ กฎเกณฑ์ และกฎหมายของพระองค์ ซึ่งพระองค์ได้ทรงบัญชาไว้แก่บรรพบุรุษของพวกเรา
59 ขอให้ถ้อยคำเหล่านี้ ที่ข้าพเจ้าได้วิงวอนต่อพระยาห์เวห์ อยู่ใกล้พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเราทั้งวันและคืน และโปรดทรงช่วยผู้รับใช้ของพระองค์ และแก่อิสราเอลประชาชนของพระองค์ตามน้ำพระทัยของพระองค์ ตามความจำเป็นในแต่ละวัน 60 เพื่อชนทุกชาติแห่งดินแดนโลกจะทราบว่า พระยาห์เวห์นั้นทรงเป็นพระเจ้า ไม่มีพระอื่นเลย 61 เพราะฉะนั้นขอให้จิตใจของท่านทั้งหลายภักดีต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเราคือ ดำเนินอยู่ในกฎเกณฑ์ของพระองค์ และรักษาพระบัญญัติของพระองค์ดังในวันนี้”
62 ดังนั้นกษัตริย์และคนอิสราเอลทั้งหมดที่อยู่กับพระองค์ ได้ถวายเครื่องสัตวบูชาแด่พระยาห์เวห์ 63 กษัตริย์ซาโลมอนได้ถวายสัตวบูชาเป็นเครื่องถวายสันติบูชาซึ่งพระองค์ได้ทรงถวายแด่พระยาห์เวห์ คือวัว สองหมื่นสองพันตัว และแกะ 120,000 ตัว ดังนั้นกษัตริย์และประชาชนอิสราเอลทั้งหมด จึงอุทิศถวายพระวิหารของพระยาห์เวห์
64 ในวันเดียวกันนั้น กษัตริย์ทรงทำพิธีชำระส่วนกลางของลาน ซึ่งอยู่หน้าพระวิหารของพระยาห์เวห์ เพราะว่าพระองค์ทรงใช้ที่นั่นถวายเครื่องเผาบูชา ธัญบูชา และไขมันของสันติบูชา เพราะว่าแท่นทองสัมฤทธิ์ซึ่งอยู่ต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์นั้น เล็กเกินกว่าจะรับเครื่องเผาบูชา ธัญบูชา และไขมันของสันติบูชาได้
65 ดังนั้นกษัตริย์ซาโลมอนจึงได้ทรงจัดฉลองงานเลี้ยงในเวลานั้น ทั้งอิสราเอลทั้งหมด เป็นการชุมนุมใหญ่ ตั้งแต่ทางเข้าเมืองเลโบฮามัทจนถึงลำธารอียิปต์ เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเราทั้งเจ็ดวันและต่ออีกเจ็ดวัน รวมสิบสี่วัน 66 พระองค์ทรงให้ประชาชนกลับ และพวกเขาจึงถวายพระพรแด่กษัตริย์ และกลับไปยังบ้านของตนด้วยจิตใจชื่นบานและยินดี เนื่องด้วยความดีทั้งหมดซึ่งพระยาห์เวห์ได้ทรงสำแดงแก่ดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์ และแก่อิสราเอลประชาชนของพระองค์
1 หลังจากกษัตริย์ซาโลมอนทรงสร้างพระวิหารของพระยาห์เวห์และพระราชวังของกษัตริย์ รวมทั้งพระองค์ทรงสร้างสำเร็จทุกสิ่งซึ่งพระองค์ทรงมีพระประสงค์นั้น 2 พระยาห์เวห์ได้ทรงปรากฏแก่กษัตริย์ซาโลมอนเป็นครั้งที่สอง เหมือนอย่างที่พระองค์ทรงปรากฏแก่พระองค์ที่เมืองกิเบโอน
3 แล้วพระยาห์เวห์ตรัสกับพระองค์ว่า “เราได้ยินคำอธิษฐานและคำวิงวอนของเจ้า ซึ่งเจ้าได้อ้อนวอนต่อเรานั้นแล้ว เราได้ชำระวิหารนี้ซึ่งเจ้าได้สร้างนี้ให้บริสุทธิ์สำหรับเราเอง และใส่นามของเราไว้ที่นั่นตลอดไป ตาของเราและใจของเราจะอยู่ที่นั่นตลอดเวลา
4 และส่วนเจ้า ถ้าเจ้าดำเนินต่อหน้าเราเหมือนอย่างดาวิดบิดาของเจ้าได้ดำเนิน ด้วยใจซื่อสัตย์ และด้วยความเที่ยงธรรม และทำทั้งสิ้นตามที่เราได้บัญชาเจ้าไว้ อีกทั้งรักษากฎเกณฑ์และกฎหมายของเรา 5 แล้วเราจะแต่งตั้งราชบัลลังก์แห่งอาณาจักรของเจ้าเหนืออิสราเอลตลอดไป ดังที่เราได้กล่าวกับดาวิดพระบิดาของเจ้าว่า ‘เจ้าจะไม่ขาดผู้สืบเชื้อสายที่จะนั่งบนบัลลังก์แห่งอิสราเอล’
6 แต่ถ้าเจ้าทั้งหลายหรือลูกหลานหันไปจากการติดตามเรา และไม่ได้รักษาพระบัญญัติและกฎเกณฑ์ของเรา ซึ่งเราได้ตั้งไว้ต่อหน้าพวกเจ้า แต่ไปนมัสการพระอื่นๆ และก้มกราบพระเหล่านั้น 7 แล้วเราจะตัดอิสราเอลออกเสียจากดินแดนซึ่งเราได้ให้แก่พวกเขา และเราจะขว้างวิหารซึ่งเราทำให้บริสุทธิ์เพื่อนามของเราไปจากสายตาของเรา และอิสราเอลจะเป็นคำเปรียบเปรยที่ถูกล้อเลียน และเป็นที่น่าเยาะเย้ยในหมู่ชนชาติทั้งหลาย
8 พระวิหารนี้จะกลายเป็นกองสิ่งปรักหักพัง และทุกคนที่ผ่านไปจะประหลาดใจ และจะเยาะเย้ยและพวกเขาจะกล่าวว่า ‘ทำไมพระยาห์เวห์จึงทรงทำเช่นนี้แก่ดินแดนนี้และพระวิหารนี้?’ 9 แแล้วพวกคนทั้งหลายก็จะตอบว่า ‘เพราะพวกเขาละทิ้งพระยาห์เวห์พระเจ้าของเขา ผู้ทรงนำบรรพบุรุษของพวกเขาออกจากดินแดนอียิปต์ และได้ไปยึดถือพระอื่น อีกทั้งได้ก้มกราบและนมัสการพระอื่น ๆ เหล่านั้น เพราะฉะนั้น พระยาห์เวห์ได้ทรงนำภัยพิบัติทั้งหมดนี้มาเหนือพวกเขา’”
10 ต่อมาเมื่อหมดสุดปีที่ยี่สิบ ที่กษัตริย์ซาโลมอนได้ทรงสร้างอาคารสองหลัง คือพระวิหารของพระยาห์เวห์ และพระราชวังของกษัตริย์ 11 บัดนี้ฮีรามกษัตริย์แห่งไทระจึงส่งไม้สนสีดาร์ ไม้สนสามใบและทำจากทองคำให้กษัตริย์ซาโลมอน ดังนั้นกษัตริย์ซาโลมอนได้ใช้ตกแต่งตามพระประสงค์ แล้วกษัตริย์ซาโลมอนก็ประทานเมืองในดินแดนกาลิลีแก่ฮีรามยี่สิบเมือง
12 ฮีรามได้เสด็จจากเมืองไทระเพื่อชมเมืองที่กษัตริย์ซาโลมอนประทานแก่พระองค์ แต่เมืองเหล่านั้นไม่เป็นที่พอพระทัยพระองค์ 13 ดังนั้นฮีรามจึงได้ตรัสว่า “น้องชายเอ๋ย เมืองที่ท่านให้เรานั้นเป็นเมืองอะไรอย่างนี้?” พระองค์จึงเรียกเมืองเหล่านั้นว่า ดินแดนคาบูล ซึ่งพวกเขายังคงเรียกชื่อจนถึงทุกวันนี้ 14 ฮีรามได้ส่งทำจากทองคำหนัก 120 ตะลันต์แก่กษัตริย์
15 ต่อไปนี้เรื่องของการจัดหาแรงงาน ซึ่งกษัตริย์ซาโลมอนให้มาสร้างพระวิหารของพระยาห์เวห์ และพระราชวังของพระองค์เอง ป้อมมิลโล กำแพงกรุงเยรูซาเล็ม และสร้างที่ป้องกันเมืองฮาโซร์ เมืองเมกิดโด และเมืองเกเซอร์ 16 ฟาโรห์กษัตริย์อียิปต์ได้ทรงกรีฑาทัพขึ้นมาและยึดครองเมืองเกเซอร์ พระองค์ได้จุดไฟเผา และฆ่าชาวคานาอันซึ่งอยู่ในเมืองนั้น แล้วฟาโรห์ได้ประทานเมืองเหล่านี้ให้แก่พระธิดาของพระองค์ ซึ่งเป็นพระมเหสีของซาโลมอนเป็นสินสมรส
17 แล้วซาโลมอนก็ได้ทรงสร้างเมืองเกเซอร์และสร้างเมืองเบธโฮโรนตอนล่างขึ้นมาใหม่ 18 เมืองบาอาลัทและเมืองทามาร์ในแดนทุรกันดาร ในดินแดนของยูดาห์นั้น 19 และทั้งบรรดาเมืองคลังหลวงที่กษัตริย์ซาโลมอนได้ครอบครองอยู่ และเมืองทั้งหลายสำหรับรถม้าศึกของพระองค์ และเมืองทั้งหลายสำหรับพลม้าของพระองค์ และสิ่งใดๆ ซึ่งพระองค์พอพระทัยอยากจะสร้างในกรุงเยรูซาเล็ม ในเลบานอน และดินแดนทั้งหมดภายใต้การปกครองของพระองค์
20 ประชาชนทั้งหมดผู้ที่เหลืออยู่ได้แก่ คนอาโมไรต์ คนฮิตไทต์ คนเปริสซี คนฮีไวต์ และคนเยบุส ซึ่งไม่ใช่คนอิสราเอล 21 เชื้อสายของพวกเขาต่อจากพวกเขาที่เหลืออยู่ในแผ่นดิน ซึ่งประชาชนอิสราเอลไม่สามารถจะทำลายให้สิ้นได้ กษัตริย์ซาโลมอนก็บังคับให้เป็นแรงงานอยู่ตราบเท่าทุกวันนี้
22 อย่างไรก็ตาม ซาโลมอนไม่ได้ทรงบังคับใช้แรงงานของประชาชนอิสราเอลนั้น เพราะเขาทั้งหลายเป็นทหาร ข้าบริพาร ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ และผู้บัญชาการของรถม้าศึก และเป็นพลม้าของพระองค์
23 เหล่านี้เป็นหัวหน้าข้าราชบริพารจัดการราชกิจของกษัตริย์ซาโลมอน จำนวน 550 คน พวกเขาเป็นผู้ควบคุมประชาชนที่ทำงาน
24 พระธิดาของฟาโรห์ได้ย้ายจากนครดาวิดมายังพระตำหนักของพระนางซึ่งกษัตริย์ซาโลมอนทรงสร้างสำหรับพระนาง หลังจากนั้นกษัตริย์ซาโลมอนจึงได้สร้างป้อมมิลโล
25 ปีละสามครั้งที่กษัตริย์ซาโลมอนได้ทรงถวายเครื่องเผาบูชา และเครื่องสันติบูชาบนแท่นบูชา ซึ่งพระองค์ได้ทรงสร้างสำหรับพระยาห์เวห์ และทรงเผาบรรดาเครื่องหอมบนแท่นบูชาต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ ดังนั้นพระองค์จึงได้ทรงสร้างพระวิหารจนสำเร็จและยังคงใช้มาจนถึงบัดนี้
26 กษัตริย์ซาโลมอนได้ทรงสร้างกองเรือที่เมืองเอซิโอนเกเบอร์ ซึ่งอยู่ใกล้เมืองเอโลทบนฝั่งของทะเลแดงในดินแดนเอโดม 27 กษัตริย์ฮีรามได้ส่งข้าราชการไปกับกองเรือและพลเรือผู้รู้เรื่องทะเลดี พร้อมกับข้าบริพารของกษัตริย์ซาโลมอน 28 พวกเขาได้ไปถึงเมืองโอฟีร์พร้อมกับข้าราชบริพารของกษัตริย์ซาโลมอน จากที่นั่นพวกเขาได้นำทองคำกลับมาถวายแด่กษัตริย์ซาโลมอนจำนวน 420 ตะลันต์
1 เมื่อพระราชินีแห่งเชบาทรงได้ยินชื่อเสียงของกษัตริย์ซาโลมอน เนื่องจากพระนามของพระยาห์เวห์ พระนางก็ทรงมาทดสอบพระองค์ด้วยคำถามที่ยาก 2 พระนางได้ทรงมายังกรุงเยรูซาเล็มพร้อมด้วยกองขบวนตามเสด็จที่ยาวมาก ทั้งอูฐบรรทุกเครื่องเทศต่างๆ ทองคำจำนวนมาก และอัญมณีอันมีค่ามากมาย เมื่อพระนางทรงมาถึง พระนางก็ได้ทูลกษัตริย์ซาโลมอนเรื่องทุกสิ่งที่อยู่ในใจของพระนาง
3 ซาโลมอนได้ตรัสตอบทุกคำถามของพระนาง ไม่มีคำตอบใดที่พระนางได้ทูลถามกษัตริย์แล้วกษัตริย์ไม่ได้ทรงตอบ 4 เมื่อพระราชินีแห่งเชบาได้ทรงเห็นพระสติปัญญาทั้งหมดของซาโลมอน และพระราชวังที่พระองค์ได้ทรงสร้าง 5 และอาหารที่บนโต๊ะเสวย กับที่นั่งของบรรดาข้าราชบริพาร และกิจการของพวกข้าราชบริพารของพระองค์ รวมถึงเครื่องแต่งกายของพวกเขา รวมทั้งพนักงานเชิญถ้วยเสวยของพระองค์ อีกทั้งลักษณะที่พระองค์ได้ทรงถวายเครื่องบูชาเผาที่ในพระวิหารของพระยาห์เวห์ พระนางก็ทรงแทบหยุดหายใจ
6 พระนางได้ทูลต่อกษัตริย์ว่า “เป็นความจริงเรื่องรายงานซึ่งหม่อมฉันได้ยินที่ในดินแดนของหม่อมฉัน เกี่ยวกับพระถ้อยคำและสติปัญญาของพระองค์ 7 หม่อมฉันไม่เชื่อสิ่งที่หม่อมฉันได้ยิน จนกว่าหม่อมฉันได้มาที่นี่ และบัดนี้หม่อมฉันได้เห็นด้วยตา ไม่ถึงครึ่งหนึ่งของพระสติปัญญาและความร่ำรวยของพระองค์ที่เขาบอกแก่หม่อมฉัน คือพระองค์ทรงมีชื่อเสียงมากกว่าที่หม่อมฉันได้ยินมาอีก
8 บรรดามเหสีทั้งหลายและข้าราชบริพารของพระองค์ช่างมีความสุข เพราะพวกเขารับใช้พระองค์อย่างสม่ำเสมอ 9 ขอพระยาห์เวห์พระเจ้าของพระองค์ได้รับการสรรเสริญผู้ซึ่งทรงพอพระทัยในพระองค์ และทรงวางพระองค์ไว้บนบัลลังก์แห่งอิสราเอล เพราะพระยาห์เวห์ทรงรักอิสราเอลตลอดมา พระองค์จึงได้ทรงแต่งตั้งให้พระองค์เป็นกษัตริย์ เพื่อพระองค์จะทรงกระทำความยุติธรรมและความเที่ยงธรรม”
10 พระนางก็ได้ถวายทองคำหนัก 120 ตะลันต์แด่กษัตริย์ รวมทั้งเครื่องเทศ และอัญมณีอันมีค่ามากมาย ไม่เคยมีใครถวายเครื่องเทศมากมายเท่าพระราชินีแห่งเชบาได้ถวายแก่กษัตริย์ซาโลมอนอีกเลย
11 กองเรือของฮีรามก็ได้นำทองคำมาจากโอฟีร์ และยังได้นำไม้จันทน์แดงและอัญมณีอันมีค่าจำนวนร์มากจากโอฟีด้วย 12 กษัตริย์ได้ทรงเอาไม้จันทน์แดงมาทำเสาสำหรับพระวิหารของพระยาห์เวห์ และสำหรับพระราชวังของกษัตริย์ และทำพิณเขาคู่และพิณใหญ่สำหรับพวกนักร้อง ไม่มีไม้จันทน์แดงที่ปรากฏให้เห็นมากมายอย่างนี้อีกเลยจนถึงวันนี้
13 กษัตริย์ซาโลมอนทรงประทานแก่พระราชินีแห่งเชบาในทุกสิ่งที่พระนางทรงขอและทรงต้องการ ยิ่งกว่านั้นซาโลมอนทรงยังประทานแก่พระนางด้วยพระทัยกว้างขวางของพระองค์ ดังนั้นพระนางก็เสด็จกลับไปยังดินแดนของพระนาง พร้อมกับพวกข้าราชบริพารของพระนาง
14 บัดนี้น้ำหนักของทองคำที่ได้เข้ามาถวายซาโลมอนในปีหนึ่งนั้นเป็นทองคำหนักถึง 666 ตะลันต์ 15 นอกเหนือจากนี้ยังมีทองซึ่งพวกคนค้าขายและจากสินค้าของพวกพ่อค้านำมา บรรดากษัตริย์แห่งอาระเบียทั้งปวงและจากบรรดาเจ้าเมืองต่างๆในประเทศก็ได้นำเครื่องทองและเครื่องเงินมาถวายแด่ซาโลมอน
16 กษัตริย์ซาโลมอนทรงทำโล่ใหญ่สองร้อยอันจากทองคำ โล่แต่ละอันใช้ทองคำหกร้อยเชเขล 17 พระองค์ยังทรงทำโล่จากทองคำสามร้อยอัน โล่แต่ละอันใช้ทองคำสามมิเน กษัตริย์ทรงเก็บโล่ไว้ในพระราชวัง ป่าแห่งเลบานอน
18 แล้วกษัตริย์ได้ทรงสร้างบัลลังก์ที่ยิ่งใหญ่จากงาช้าง และทรงบุด้วยทองคำอย่างดีที่สุด 19 มีบันไดหกขั้นขึ้นไปยังบัลลังก์ และข้างหลังด้านบนของมันก็มียอดทรงกลม และได้มีที่เท้าแขนแต่ละข้างของพระที่นั่ง มีรูปสิงโตสองตัวยืนข้างที่วางแขน 20 มีรูปสิงโตอีกสิบสองตัวยืนอยู่บนขั้นบันได หนึ่งตัวอยู่แต่ละข้างของทั้งหกขั้น ไม่มีบัลลังก์ใดจะเหมือนบัลลังก์นี้ในอาณาจักรนี้เลย
21 ถ้วยเสวยทั้งหมดของกษัตริย์ซาโลมอนทำด้วยทองคำ และถ้วยเครื่องดื่มทั้งหมดของพระราชวังป่าเลบานอนนั้นทำด้วยทองคำบริสุทธิ์ ไม่มีที่ทำด้วยเงินเลย เพราะเงินนั้นถือว่าไม่มีค่าในสมัยของซาโลมอน 22 กษัตริย์ได้ทรงมีกองเรือเดินสมุทรพร้อมกับกองเรือของฮีราม ทุกสามปีกองเรือได้นำทองคำ เงิน งาช้าง ลิง และลิงบาบูน
23 ดังนั้นกษัตริย์ซาโลมอนจึงได้ทรงเหนือกว่าบรรดากษัตริย์ในโลกทั้งปวง ในเรื่องความร่ำรวยและความเฉลียวฉลาด 24 ทั้งโลกก็อยากเข้าพบซาโลมอน เพื่อจะฟังพระปัญญาของพระองค์ ซึ่งพระเจ้าได้ประทานใส่ไว้ในพระทัยของพระองค์ 25 ทุกคนที่ได้มาเข้าเฝ้าก็ได้นำราชบรรณาการมา คือภาชนะเงินและภาชนะทอง เสื้อผ้า อาวุธ เครื่องเทศ รวมทั้งม้าและล่อ ในทุกปี
26 กษัตริย์ซาโลมอนทรงรวบรวมรถม้าศึกและพลม้า พระองค์ทรงมีรถม้าศึก 1,400 คัน และพลม้าหนึ่งหมื่นสองพันนาย ซึ่งพระองค์ทรงให้ประจำที่เมืองรถม้าศึก และได้ประจำอยู่กับพระองค์ในกรุงเยรูซาเล็ม 27 กษัตริย์ทรงทำให้มีเงินในกรุงเยรูซาเล็มมากเหมือนก้อนหินบนพื้นดิน และพระองค์ทรงทำให้มีไม้สนสีดาร์มีความอุดมสมบูรณ์มากเหมือนต้นมะเดื่อในที่ราบ
28 กษัตริย์ซาโลมอนได้ครอบครองม้าที่ได้ซื้อมาจากอียิปต์ และเซลิเซีย และบรรดาพ่อค้าของกษัตริย์ก็ได้ซื้อฝูงม้ามาเป็นฝูงๆ คิดเงินแบบเป็นราคาตามฝูง 29 รถม้าศึกซื้อมาจากอียิปต์คันหนึ่งมีราคาเป็นเงินหกร้อยเชเขล ม้าตัวหนึ่งมีราคาเป็นเงิน 150 เชเขลเป็น ม้าจำนวนมากเหล่านี้ก็ได้ขายไปให้แก่กษัตริย์ทั้งสิ้นของคนฮิตไทต์และคนอาราม
1 กษัตริย์ซาโลมอนทรงรักหญิงต่างชาติมากมาย ได้แก่พระธิดาของฟาโรห์ หญิงสาวชาวโมอับ หญิงสาวชาวอัมโมน หญิงสาวชาวเอโดม หญิงสาวชาวไซดอน และหญิงสาวชาวฮิตไทต์ 2 ผู้ซึ่งเป็นชนชาติที่พระยาห์เวห์ตรัสกับคนอิสราเอลว่า “พวกเจ้าจงห้ามแต่งงานกับพวกเขา หรือห้ามให้พวกเขามาแต่งงานกับพวกเจ้า เพราะพวกเขาจะชักนำจิตใจของพวกเจ้าไปตามพระต่างๆ ของพวกเขาแน่” แต่กษัตริย์ซาโลมอนทรงรักผู้หญิงเหล่านี้
3 กษัตริย์ซาโลมอนทรงมีพระมเหสีตามตำแหน่งเจ็ดร้อยคน และนางสนมสามร้อยคน และพวกพระมเหสีของพระองค์จึงได้ทำพระทัยของพระองค์หันเหไป 4 เมื่อกษัตริย์ซาโลมอนทรงพระชราลง บรรดาพระเหสีของพระองค์ได้หันพระทัยของพระองค์ไปตามพระอื่นๆ และพระทัยของพระองค์ไม่ภักดีอย่างสิ้นเชิงต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของพระองค์ ไม่เหมือนกับดาวิดพระบิดาของพระองค์
5 เพราะกษัตริย์ซาโลมอนได้ทรงติดตามอัชโทเรทซึ่งเป็นพระเจ้าแม่ของชาวไซดอน และพระองค์ทรงติดตามพระโมเลค เทวรูปที่น่าเกลียดของชาวอัมโมน 6 กษัตริย์ซาโลมอนทรงทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ และไม่ได้ทรงติดตามพระยาห์เวห์อย่างเต็มเปี่ยม ไม่เหมือนอย่างดาวิดพระบิดาของพระองค์ได้ทรงกระทำ
7 จากนั้นกษัตริย์ซาโลมอนทรงสร้างสถานสูงสำหรับเคโมชซึ่งเป็นพระของชาวโมอับที่น่าเกลียด บนภูเขาที่อยู่ทางตะวันออกของกรุงเยรูซาเล็ม และอีกทั้งโมเลคซึ่งเป็นพระของชาวอัมโมนที่น่ารังเกียจด้วย 8 พระองค์ทรงสร้างสถานสูงสำหรับมเหสีต่างชาติทั้งหมดของพระองค์ ผู้ที่ได้เผาเครื่องหอมและถวายเครื่องสัตวบูชาแก่บรรดาพระของพวกนาง
9 พระยาห์เวห์ทรงมีพระพิโรธต่อกษัตริย์ซาโลมอน เพราะพระทัยของพระองค์ได้ไปจากพระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งอิสราเอล ทั้งที่พระองค์ได้ทรงสำแดงแก่พระองค์ถึงสองครั้ง 10 และได้ทรงสั่งพระองค์เกี่ยวกับเรื่องนี้ ว่าพระองค์ไม่ควรไปติดตามพระอื่นๆ แต่ซาโลมอนไม่ได้ทรงเชื่อฟังคำสั่งของพระยาห์เวห์
11 ดังนั้นพระยาห์เวห์ตรัสกับซาโลมอนว่า “เพราะเจ้าได้ทำสิ่งนี้ และเจ้าไม่ได้รักษาพันธสัญญาและกฎเกณฑ์ของเรา ซึ่งเราได้สั่งเจ้า เราจะแยกอาณาจักรเสียจากเจ้าอย่างแน่นอน และมอบให้ข้าราชบริพารของเจ้า 12 อย่างไรก็ดีเพราะเห็นแก่ดาวิดพระบิดาของเจ้า เราจะไม่ทำในช่วงชีวิตของเจ้า แต่เราจะแยกมันออกจากมือบุตรชายของเจ้า 13 แม้กระนั้น เราจะไม่แยกอาณาจักรเสียทั้งหมด แต่เราจะให้เผ่าหนึ่งแก่บุตรชายของเจ้า เพราะเห็นแก่ดาวิดผู้รับใช้ของเรา และเพราะเห็นแก่เยรูซาเล็มซึ่งเราได้เลือกไว้”
14 แล้วพระยาห์เวห์ทรงให้ศัตรูได้เกิดขึ้นต่อสู้กษัตริย์ซาโลมอน คือฮาดัดคนเอโดม เขามาจากเชื้อพระวงศ์แห่งเอโดม 15 เมื่อดาวิดอยู่ในเอโดมนั้น โยอาบผู้บัญชาการกองทัพได้ขึ้นไปฝังผู้ที่ถูกฆ่า และได้ฆ่าผู้ชายทุกคนในเอโดมจนหมด 16 โยอาบและคนอิสราเอลทั้งหมดยังอยู่ที่นั่นหกเดือน จนกว่าเขาจะได้สังหารชีวิตผู้ชายทุกคนในเอโดมหมด 17 แต่ฮาดัดได้หนีไปอียิปต์ รวมทั้งคนเอโดมบางคนผู้เป็นข้าราชบริพารของพระบิดาของเขา เวลานั้นฮาดัดยังเป็นเด็กเล็กๆ อยู่
18 พวกเขาได้ออกจากมีเดียนและมาปาราน จากที่นั่นพวกเขาเข้าไปยังอียิปต์ เพื่อเข้าเฝ้าฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์ ผู้ได้ประทานบ้าน ที่ดิน และอาหารให้เขาด้วย 19 ฮาดัดเป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของฟาโรห์ ฟาโรห์จึงได้ประทานน้องสาวของพระมเหสีของพระองค์เอง คือน้องสาวของพระราชินีทาเปเนสให้เป็นภรรยาของเขา
20 น้องสาวของทาเปเนสก็ให้บุตรชายแก่ฮาดัด พวกเขาได้ตั้งชื่อว่าเกนูบัท ทาเปเนสได้เลี้ยงเขาในพระราชวังของฟาโรห์ ดังนั้นเกนูบัทได้อาศัยอยู่ในพระราชวังของฟาโรห์ท่ามกลางบรรดาพระโอรสของฟาโรห์ 21 ขณะที่เขาอยู่ในอียิปต์ ฮาดัดได้ยินว่า ดาวิดได้ทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์แล้ว และโยอาบผู้บัญชาการกองทัพก็ได้สิ้นชีวิตแล้ว ฮาดัดจึงได้ทูลฟาโรห์ว่า “โปรดให้ข้าพระองค์จากไป และข้าพระองค์จะกลับไปยังประเทศของข้าพระองค์” 22 แล้วฟาโรห์ตรัสกับเขาว่า “เจ้าอยู่กับเรา เจ้าขาดอะไรหรือ? เจ้าจึงหาทางที่จะกลับไปประเทศของเจ้า” และฮาดัดได้ทูลพระองค์ว่า “ไม่ขาดสิ่งใดเลย แต่ขอให้ข้าพระองค์กลับไปเถิด”
23 พระเจ้าได้ทรงให้ศัตรูอีกคนหนึ่งต่อสู้ซาโลมอน คือเรโซนบุตรชายของเอลียาดา ผู้ที่ได้หนีไปจากเจ้านายของเขาฮาดัดเอเซอร์กษัตริย์แห่งโศบาห์ 24 เรโซนได้รวบรวมผู้คนให้อยู่กับเขา และได้กลายเป็นกองกำลังเล็กๆ เมื่อดาวิดได้เอาชนะชาวโศบาห์นั้น ผู้คนของเรโซนได้ไปในเมืองดามัสกัสและอาศัยอยู่ที่นั่น และเรโซนได้ครอบครองเมืองดามัสกัส 25 เขาเป็นได้เป็นหนึ่งในกองทัพของอิสราเอลในสมัยของกษัตริย์ซาโลมอน ฮาดัดได้สร้างปัญหาไปพร้อมๆ กัน เรโซนได้เกลียดชังอิสราเอล และได้ปกครองอารัมต่อมา
26 แล้วเยโรโบอัมบุตรชายของเนบัท คนเอฟราอิม จากเมืองเศเรดาห์ ข้าราชบริพารคนหนึ่งของกษัตริย์ซาโลมอน ผู้ซึ่งมารดาของเขาเป็นหญิงม่ายชื่อเศรุอาห์ ได้ยกตนขึ้นต่อสู้กษัตริย์ 27 เหตุผลที่เขายกตนขึ้นต่อสู้กษัตริย์ เพราะกษัตริย์ซาโลมอนได้ทรงสร้างป้อมมิลโล และอุดรอยแยกของกำแพงเมืองของดาวิดพระบิดาของพระองค์
28 เยโรโบอัมเป็นนักรบผู้เข้มแข็ง เมื่อกษัตรย์ซาโลมอนได้ทรงเห็นว่าชายหนุ่มคนนั้นเป็นคนหมั่นเพียร ดังนั้นพระองค์ทรงตั้งให้เขาดูแลแรงงานทั้งหมดที่ถูกเกณฑ์มาจากวงศ์วานของโยเซฟ 29 ในเวลานั้น เมื่อเยโรโบอัมออกไปจากกรุงเยรูซาเล็ม อาหิยาห์ผู้เผยพระวจนะชาวชีโลห์ได้พบเขาระหว่างทาง บัดนี้อาหิยาห์ได้แต่งกายคลุมด้วยเสื้อคลุมตัวใหม่ และทั้งสองคนก็ได้อยู่ตามลำพังในทุ่งนา 30 แล้วอาหิยาห์ก็ได้จับเสื้อคลุมตัวใหม่ที่เขาใส่อยู่และแยกออกเป็นสิบสองชิ้น
31 เขาได้พูดกับเยโรโบอัมว่า “จงเอาไปสิบชิ้น เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า ‘ดูเถิด เรากำลังจะแยกอาณาจักรจากมือของซาโลมอน และจะแบ่งให้เจ้าสิบเผ่า 32 (แต่ซาโลมอนจะมีหนึ่งเผ่าเพราะเห็นแก่ดาวิดผู้รับใช้ของเรา และเพราะเห็นแก่เยรูซาเล็มเมืองซึ่งเราได้เลือกจากเผ่าทั้งหมดของอิสราเอล) 33 เพราะพวกเขาได้ละทิ้งเราไปนมัสการอัชโทเรทพระของชาวไซดอน เคโมชพระของชาวโมอับ และโมเลคพระของชาวอัมโมน และไม่ได้ติดตามทางของเราคือทำสิ่งที่เที่ยงธรรมในสายตาของเรา อีกทั้งไม่ได้รักษาบัญญัติและกฎเกณฑ์ของเรา ไม่เหมือนอย่างดาวิดบิดาของเขาได้กระทำ
34 กระนั้นก็ดี เราจะไม่เอาอาณาจักรทั้งหมดไปจากมือของซาโลมอน แต่เราจะให้เขาเป็นผู้ปกครองตลอดชีวิตของเขา เพื่อเห็นแก่ดาวิดผู้รับใช้ของเราผู้ที่เราเลือกเขาไว้ ผู้ได้รักษากฎเกณฑ์และกฎหมายของเรา 35 แต่เราจะเอาอาณาจักรออกไปจากมือบุตรชายของเขา และจะมอบสิบเผ่าแก่เจ้า 36 เราจะให้เผ่าหนึ่งแก่พระโอรสของซาโลมอน เพราะดาวิดผู้รับใช้ของเราจะเหลือตะเกียงดวงหนึ่งเบื้องหน้าเราเสมอในกรุงเยรูซาเล็ม เมืองซึ่งเราเลือกให้ตัวเราเองเพื่อจารึกชื่อของเราไว้
37 เราจะเอาตัวเจ้า และเจ้าจะครอบครองทุกอย่างที่ใจของเจ้าปรารถนา และเจ้าจะเป็นกษัตริย์ของอิสราเอล 38 หากเจ้าเชื่อฟังทุกสิ่งที่เราสั่งเจ้า และทำตามทางทั้งหลายของเรา และปฏิบัติสิ่งที่เที่ยงธรรมในสายตาของเรา โดยรักษากฎเกณฑ์และกฎหมายของเรา เหมือนอย่างดาวิดผู้รับใช้ของเราได้กระทำ จากนั้นเราจะอยู่กับเจ้า และจะสร้างราชวงศ์ที่เข้มแข็งให้แก่เจ้า เหมือนกับที่เราสร้างให้แก่ดาวิด และเราจะมอบอิสราเอลให้แก่เจ้า 39 เราจะลงโทษเชื้อสายของดาวิด แต่ไม่ตลอดกาลไป’”
40 ดังนั้นกษัตริย์ซาโลมอนจึงได้ทรงพยายามที่จะสังหารเยโรโบอัมเสีย แต่เยโรโบอัมได้ยืนขึ้นหนีไปอียิปต์ ไปยังชิชักกษัตริย์อียิปต์ และเขาอยู่ในอียิปต์จนกระทั่งซาโลมอนสวรรคต
41 ส่วนเรื่องอื่นๆ นอกนั้นของซาโลมอน และทุกสิ่งที่พระองค์ได้ทรงกระทำและพระสติปัญญาของพระองค์ เรื่องราวเหล่านั้นได้ถูกบันทึกไว้ในหนังสือพระราชกิจของซาโลมอนแล้วไม่ใช่หรือ? 42 ซาโลมอนได้ทรงปกครองกรุงเยรูซาเล็มต่ออิสราเอลเป็นเวลาทั้งสิ้นสี่สิบปี 43 พระองค์ได้ทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และพระองค์ถูกฝังไว้ในเมืองดาวิดพระบิดาของพระองค์ เรโหโบอัมพระโอรสของพระองค์ก็ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์แทน
1 เรโหโบอัมไปเมืองเชเคม เพราะอิสราเอลทั้งหมดได้มายังเชเคม เพื่อจะแต่งตั้งเขาให้เป็นกษัตริย์ 2 เมื่อเยโรโบอัมโอรสของเนบัทรู้เรื่องนี้แล้ว (เขายังคงอยู่ในอียิปต์ เพราะเขาหนีจากพระพักตร์กษัตริย์ซาโลมอน) เยโรโบอัมได้ตั้งรกรากอยู่ในอียิปต์
3 ดังนั้นพวกเขาได้ใช้คนไปและเชิญเขา และเยโรโบอัม และชุมชนอิสราเอลทั้งสิ้นได้มาและทูลต่อเรโหโบอัมว่า 4 “พระบิดาของพระองค์ได้ทรงทำให้แอกของพวกข้าพระองค์หนักนัก บัดนี้ขอพระองค์ทรงลดงานหนักของพระบิดาของพระองค์ และทำให้แอกที่หนักของพระองค์ที่พระองคฺ์วางบนพวกข้าพระองค์เบาลง แล้วพวกข้าพระองค์จะรับใช้พระองค์” 5 เรโหโบอัมได้ตรัสต่อพวกเขาว่า “จงกลับไปก่อน อีกสามวันค่อยมาหาเรา” ดังนั้นประชาชนจึงได้กลับไป
6 กษัตริย์เรโหโบอัมก็ได้ทรงหารือกับพวกผู้อาวุโส ผู้ได้รับใช้กษัตริย์ซาโลมอนพระบิดาของพระองค์ ตอนเมื่อพระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ และพระองค์ได้ตรัสว่า “พวกท่านจะชี้แนะเราให้ตอบกับประชาชนนี้อย่างไรดี?” 7 พวกเขาได้ทูลพระองค์ว่า “ถ้าพระองค์จะทรงเป็นผู้รับใช้ประชาชนเหล่านี้ในวันนี้ และรับใช้พวกเขา และจงตรัสถ้อยคำดีๆ แก่พวกเขาเถิด แล้วพวกเขาจะเป็นผู้รับใช้ของพระองค์เสมอไป”
8 แต่เรโหโบอัมได้ทรงเพิกเฉยต่อคำชี้แนะที่บรรดาผู้อาวุโสถวายนั้น และพระองค์ได้ไปหารือกับพวกคนหนุ่มที่โตมากับพระองค์ และได้อยู่ฝ่ายพระองค์ 9 พระองค์ได้ตรัสกับพวกเขาว่า “ท่านจะชี้แนะอะไรแก่เรา เพื่อพวกเราจะตอบประชาชนนี้ผู้ที่ได้ขอเราว่า ‘ขอทรงทำให้แอกซึ่งพระบิดาของพระองค์ได้ทรงวางอยู่บนพวกข้าพระองค์เบาลงได้อย่างไร’? ”
10 คนหนุ่มเหล่านั้นผู้ได้โตขึ้นมากับเรโหโบอัม ได้ทูลพระองค์ว่า “ขอพระองค์ตรัสดังนี้แก่ประชาชนนี้ผู้ได้ทูลพระองค์ว่า พระบิดาของพระองค์ กษัตริย์ซาโลมอนได้ทรงทำให้แอกของพวกข้าพระองค์หนัก แต่ขอพระองค์ทรงทำให้เบาลง นั้น ขอพระองค์ตรัสแก่เขาทั้งหลายอย่างนี้ว่า ‘นิ้วก้อยของเราก็หนากว่าเอวของพระบิดาเรา 11 ดังนั้นตอนนี้แม้ว่าพระบิดาของเราได้วางภาระหนักบนพวกเจ้าด้วยแอกหนัก ส่วนเราก็จะเพิ่มแอกบนพวกเจ้า พระบิดาของเราลงโทษพวกเจ้าด้วยบรรดาแส้ แต่เราจะลงโทษพวกเจ้าด้วยบรรดาแมงป่อง’”
12 ดังนั้นเยโรโบอัมกับประชาชนทั้งสิ้น จึงได้มาพบเรโหโบอัมในวันที่สาม ดังที่กษัตริย์ได้ทรงรับสั่งว่า “ในวันที่สามจงมาหาเรา” 13 กษัตริย์ได้ตรัสตอบประชาชนอย่างแข็งกร้าว และทรงเพิกเฉยต่อคำชี้แนะที่พวกผู้อาวุโสได้ถวายพระองค์นั้น 14 พระองค์ได้ตรัสกับเขาทั้งหลายตามคำชี้แนะของพวกคนหนุ่มว่า “พระบิดาของเราได้วางภาระหนักบนท่านทั้งหลายด้วยแอกที่หนัก ส่วนเราก็จะเพิ่มแอกของท่านทั้งหลายอีก พระบิดาของเราลงโทษพวกเจ้าด้วยบรรดาแส้ แต่เราจะลงโทษพวกเจ้าด้วยบรรดาแมงป่อง”
15 เพราะฉะนั้นกษัตริย์ไม่ได้ทรงฟังประชาชน เพราะการเปลี่ยนแปลงนี้มาจากพระยาห์เวห์ เพื่อพระองค์จะได้ทรงทำให้ถ้อยคำของพระองค์จะเป็นไปตามที่พระองค์ได้ตรัสโดยอาหิยาห์ชาวชีโลห์แก่เยโรโบอัมบุตรชายของเนบัท
16 เมื่ออิสราเอลทั้งหมดได้เห็นว่ากษัตริย์ไม่ได้ทรงฟังพวกเขา ประชาชนก็ทูลตอบกษัตริย์ว่า “พวกข้าพระองค์มีส่วนแบ่งอะไรในดาวิดหรือ? พวกข้าพระองค์ไม่มีส่วนร่วมมรดกในบุตรชายของเจสซี อิสราเอล จงกลับไปเต็นท์ของท่านเถิด ข้าแต่ดาวิด จงดูแลราชวงศ์ของพระองค์เองเถิด” ดังนั้นคนอิสราเอลจึงได้กลับไปยังเต็นท์ของพวกเขา 17 แต่ประชาชนอิสราเอลที่ยังอาศัยอยู่ในเมืองต่างๆ ของยูดาห์ เรโหโบอัมยังทรงเป็นกษัตริย์ปกครองพวกเขา
18 แล้วกษัตริย์เรโหโบอัมได้ทรงใช้อาโดรัมดูแลแรงงานที่เกณฑ์มา แต่ชาวอิสราเอลทั้งหมดก็เอาหินขว้างเขาตาย กษัตริย์เรโหโบอัมก็ทรงรีบขึ้นรถม้าศึกหนีไปยังกรุงเยรูซาเล็ม 19 ดังนั้นอิสราเอลจึงกบฏต่อราชวงศ์ของดาวิดตั้งแต่วันนี้
20 ฝ่ายอิสราเอลทั้งสิ้นเมื่อได้ยินว่าเยโรโบอัมได้กลับมาแล้ว พวกเขาได้ส่งคนไปและเชิญพระองค์มายังที่ประชุม แล้วก็แต่งตั้งท่านให้เป็นกษัตริย์ปกครองอิสราเอลทั้งสิ้น ไม่มีผู้ใดทำตามเชื้อพระวงศ์ของดาวิด นอกจากเผ่ายูดาห์เท่านั้น
21 เมื่อเรโหโบอัมได้ถึงกรุงเยรูซาเล็มแล้ว พระองค์ได้ทรงระดมพลจากพงศ์พันธุ์ยูดาห์ทั้งหมดและเผ่าเบนยามิน เป็นผู้ชายที่คัดเลือกเพื่อมาเป็นทหาร 180,000 นาย เพื่อจะต่อสู้กับพงศ์พันธุ์อิสราเอล เพื่อจะกอบกู้ราชอาณาจักรคืนมาให้แก่เรโหโบอัมพระโอรสของกษัตริย์ซาโลมอน
22 แต่พระคำของพระเจ้าได้มายังเชไมยาห์ คนของพระเจ้าว่า 23 “จงไปบอกเรโหโบอัมพระโอรสของกษัตริย์ซาโลมอนแห่งยูดาห์ และบอกกับเชื้อสายทั้งสิ้นของยูดาห์และเบนยามิน และประชาชนที่เหลืออยู่ว่า 24 ‘พระยาห์เวห์ได้ตรัสดังนี้ว่า พวกเจ้าห้ามขึ้นไปโจมตีหรือต่อสู้กับประชาชนอิสราเอลพี่น้องของเจ้าเลย แต่ละคนจงกลับบ้านของตนเถิด เพราะสิ่งนี้เป็นมาจากเรา’” ดังนั้นพวกเขาจึงได้เชื่อฟังพระคำของพระยาห์เวห์ และกลับไปตามทางของตน และพวกเขาได้เชื่อพระคำของพระองค์
25 แล้วเยโรโบอัมได้ทรงสร้างเมืองเชเคมในดินแดนเทือกเขาเอฟราอิม และประทับในที่นั้น พระองค์ได้เสด็จออกจากที่นั่น และสร้างเมืองเปนูเอล 26 เยโรโบอัมได้ดำริในพระทัยว่า “ตอนนี้ราชอาณาจักรจะกลับไปเป็นของราชวงศ์ของดาวิด 27 หากประชาชนเหล่านี้ขึ้นไปถวายเครื่องสัตวบูชา ในพระวิหารของพระยาห์เวห์ที่กรุงเยรูซาเล็ม จากนั้นจิตใจของประชาชนนี้จะกลับใจไปยังเจ้านายของพวกเขา คือไปยังเรโหโบอัมกษัตริย์แห่งยูดาห์ พวกเขาจะสังหารเรา แล้วกลับใจไปยังเรโหโบอัมกษัตริย์แห่งยูดาห์”
28 เพราะฉะนั้นกษัตริย์เยโรโบอัมจึงได้ทรงหารือ และได้ทรงสร้างลูกวัวทองคำขึ้นสองตัว แล้วพระองค์ตรัสกับประชาชนว่า “พวกท่านขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็มลำบากเกินไป โอ อิสราเอล จงดูพระเจ้าของท่านเถิด ผู้ได้ทรงนำท่านขึ้นมาจากอียิปต์” 29 พระองค์ได้ทรงวางตัวหนึ่งไว้ที่เบธเอล และอีกตัวหนึ่งก็ทรงวางไว้ที่เมืองดาน 30 ดังนั้นการกระทำนี้เป็นบาป เพราะประชาชนได้ไปหาตัวใดตัวหนึ่ง ตามทางที่จะไปเมืองดาน
31 เยโรโบอัมได้ทรงสร้างวิหารบนสถานสูง และพระองค์ได้ทรงตั้งปุโรหิตจากคนธรรมดาผู้ซึ่งไม่ใช่บรรดาบุตรชายของคนเลวี 32 เยโรโบอัมได้ทรงตั้งเทศกาลเลี้ยง ในวันที่สิบห้าเดือนแปดเหมือนกับการเลี้ยงในยูดาห์ และพระองค์ได้ไปที่แท่นบูชา พระองค์ได้ทรงกระทำเช่นนั้นในเบธเอล ได้แก่ ตั้งเครื่องสัตวบูชาแก่รูปลูกวัวที่พระองค์ทรงสร้างขึ้น และพระองค์ได้ทรงแต่งตั้งปุโรหิตไว้ดูแลสถานสูงที่เบธเอล ซึ่งพระองค์ได้ทรงสร้างนั้น
33 เยโรโบอัมได้ทรงขึ้นไปยังแท่นบูชา ที่พระองค์ได้ทรงสร้างขึ้นที่เบธเอล ในวันที่สิบห้าเดือนแปด ในเดือนซึ่งพระองค์ทรงดำริเอง และได้ทรงจัดให้มีงานเลี้ยงเพื่อคนอิสราเอล และได้ทรงขึ้นไปยังแท่นบูชาเพื่อเผาเครื่องหอม
1 คนของพระเจ้าคนหนึ่งออกยูดาห์ไปเบธเอลโดยพระคำของพระยาห์เวห์ เยโรโบอัมได้ทรงกำลังยืนอยู่ที่แท่นบูชาเพื่อเผาเครื่องหอม 2 พระองค์ทรงร้องตำหนิแท่นบูชานั้นโดยพระคำของพระยาห์เวห์ว่า “ แท่นบูชา แท่นบูชา พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า ‘ดูเถิด บุตรชายคนหนึ่งนาม โยสิยาห์จะเกิดมาในวงศ์วานของดาวิด และ เขาจะบูชายัญปุโรหิตแห่งสถานสูงผู้จะเผาเครื่องหอมและเผากระดูกคนบนเจ้า คือ บนแท่นบูชานี้’” 3 จากนั้นคนของพระเจ้าได้ให้หมายสำคัญในวันเดียวกันนั้น กล่าวว่า “สิ่งนี้คือหมายสำคัญที่พระยาห์เวห์ได้ตรัสว่า ‘ดูเถิด แท่นบูชานั้นจะถูกแยกออกจากกันและขี้เถ้าที่อยู่บนแท่นจะถูกเทออก’”
4 เมื่อกษัตริย์ได้ทรงสดับถ้อยคำของคนของพระเจ้า ซึ่งได้ตำหนิแท่นบูชาที่เบธเอลนั้น เยโรโบอัมก็ได้ทรงถอนพระหัตถ์ออกจากแท่น ตรัสว่า “จับเขาไว้” จากนั้นพระหัตถ์ของพระองค์ซึ่งกางไปหาชายนั้นก็ได้แห้งจนไม่ทรงสามารถดึงกลับหาตัวเองได้” 5 (แท่นบูชาก็ได้แยกออกจากกัน และขี้เถ้าก็ได้ถูกเท ดังที่ได้กล่าวตามหมายสำคัญที่คนของพระเจ้าโดยพระคำของพระยาห์เวห์ )
6 กษัตริย์เยโรโบอัมได้ตรัสตอบคนของพระเจ้าว่า “ขอพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงพระกรุณา และขอท่านอธิษฐานเพื่อเรา เพื่อว่าเราจะดึงมือเข้าหาตัวได้” ดังนั้นคนของพระเจ้าก็ได้อธิษฐานขอพระกรุณาแห่งพระยาห์เวห์ และพระหัตถ์ของกษัตริย์ก็สามารถดึงเข้าหาพระองค์ได้อีก และกลับเป็นปกติเหมือนที่เคยเป็นมาก่อน 7 กษัตริย์ได้ตรัสกับคนของพระเจ้าว่า “เชิญมาวังกับเราเถิด และให้ท่านเองได้สดชื่น และเราจะมอบรางวัลแก่ท่าน”
8 คนของพระเจ้าได้ทูลกษัตริย์ว่า “แม้นพระองค์จะประทานราชสมบัติให้กึ่งหนึ่ง ข้าพระองค์ก็จะไม่สามารถไปกับพระองค์ได้ และจะไม่อาจรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำจากสถานที่แห่งนี้ 9 เพราะพระยาห์เวห์ได้ทรงสั่งข้าพระองค์ โดยพระคำของพระองค์ว่า ‘ห้ามกินอาหาร หรือดื่มน้ำ หรือหันหลังกลับไปทางที่เจ้ามา’” 10 ดังนั้นคนของพระเจ้าจึงได้ไปอีกทางหนึ่ง และไม่ได้กลับไปบ้านของเขาตามทางที่เขาได้มาเบธเอล
11 ตอนนี้มีผู้เผยพระวจนะชราคนหนึ่งอยู่ในเบธเอล หนึ่งในบุตรชายของเขาได้มาและเล่าให้ฟังถึงทุกอย่างในวันนั้นที่คนของพระเจ้าได้กระทำในเบธเอล บุตรชายของเขายังได้เล่าให้เขาฟังถึงคำพูดที่คนของพระเจ้าได้ทูลต่อกษัตริย์ 12 บิดาของพวกเขาได้ถามพวกเขาว่า “เขาไปซึ่งทางใด?” ตอนนี้พวกบุตรชายได้เห็นทางที่คนของพระเจ้าผู้มาจากยูดาห์ไป 13 ฉะนั้นเขาจึงได้พูดกับพวกบุตรชายของเขาว่า “จงผูกอานลาให้พ่อ” ดังนั้นพวกเขาจึงได้ผูกอานลาและเขาก็ได้ขึ้นขี่บนลา
14 ผู้เผยพระวจนะชราได้ไปตามคนของพระเจ้า และได้พบเขากำลังนั่งอยู่ใต้ต้นโอ๊กและเขาจึงพูดกับท่านว่า “ท่านเป็นคนของพระเจ้าที่มาจากยูดาห์ใช่ไหม ? ” เขาตอบว่า “ข้าพเจ้าเป็น” 15 แล้วผู้เผยพระวจนะชราได้พูดกับเขาว่า “ขอเชิญท่านไปบ้านกับข้าพเจ้า และรับประทานอาหาร” 16 คนของพระเจ้าได้พูดว่า “ข้าพเจ้าไม่อาจจะกลับไปกับท่าน หรือเข้าไปพักกับท่าน ข้าพเจ้าจะไม่อาจรับประทานอาหาร หรือดื่มน้ำกับท่านในสถานที่นี้ 17 เพราะพระวจนะของพระยาห์เวห์ได้ตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘เจ้าห้ามรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำของที่นั่น หรือกลับไปทางที่เจ้ามา’”
18 ฉะนั้นผู้เผยพระวจนะชราจึงได้พูดกับเขาว่า “ข้าพเจ้าก็เป็นผู้เผยพระวจนะเช่นเดียวกับท่านด้วย มีทูตสวรรค์องค์หนึ่งได้บอกข้าพเจ้าโดยพระวจนะของพระยาห์เวห์ว่า ‘จงพาเขากลับบ้านกับเจ้า เพื่อว่าเขาจะได้รับประทานอาหารและดื่มน้ำ’” แต่เขาโกหกคนของพระเจ้า 19 ฉะนั้นคนของพระเจ้าจึงได้กลับไปกับผู้เผยพระวจนะชราและในบ้านของเขาเขาได้รับประทานอาหารและดื่มน้ำ
20 ระหว่างที่พวกเขาได้นั่งอยู่ที่โต๊ะ พระวจนะของพระยาห์เวห์ได้มายังผู้เผยพระวจนะผู้ได้นำท่านกลับมา 21 และเขาได้ตำหนิคนของพระเจ้าผู้ได้มาจากยูดาห์ว่า “พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า ‘เหตุที่เจ้าไม่ได้เชื่อฟังพระคำของพระยาห์เวห์ และไม่ได้รักษากฎเกณฑ์ที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าได้ทรงสั่งเจ้าไว้ 22 แต่เจ้าได้กลับมาและรับประทานอาหาร และได้ดื่มน้ำในสถานที่ซึ่งพระองค์ตรัสกับเจ้าว่า “จงห้ามรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำ” มิฉะนั้นศพของเจ้าจะไม่ได้ถูกฝังในอุโมงค์ของบรรพบุรุษของเจ้า’”
23 หลังจากเขาได้รับประทานอาหารและเขาได้ดื่มน้ำแล้ว ผู้เผยพระวจนะได้ผูกอานลาให้กับคนของพระเจ้าผู้ที่เขาได้พากลับมากับเขา 24 เมื่อคนของพระเจ้าได้จากไป มีสิงโตได้มาพบเขาที่ถนนและได้ฆ่าเขา และศพของเขาก็ได้ถูกทิ้งไว้ที่ถนน แล้วลาได้ยืนอยู่ด้านข้างมันและสิงโตตัวนั้นก็ได้ยืนอยู่ข้างศพ 25 เมื่อพวกผู้ชายได้ผ่านไปได้เห็นศพทิ้งอยู่ที่ถนน และเห็นสิงโตก็ยืนอยู่ข้างศพนั้น พวกเขาก็ได้มาดูและได้ไปเล่ากันในเมืองที่ซึ่งผู้เผยพระวจนะชราได้อยู่
26 ครั้นผู้เผยพระวจนะผู้ที่นำเขากลับมาได้ทราบข่าว เขาก็ได้พูดว่า “นี่คือคนของพระเจ้า ผู้ที่ไม่ได้เชื่อฟังพระคำของพระยาห์เวห์ ดังนั้นพระยาห์เวห์ได้ทรงมอบเขาไว้กับสิงโต ซึ่งได้กัดฉีกเขาออกเป็นชิ้น ๆ และได้ฆ่าเขา ตามพระคำซึ่งพระยาห์เวห์ได้เตือนต่อเขา” 27 ดังนั้น ผู้เผยพระวจนะชราจึงได้พูดกับพวกบุตรชายของเขาว่า “จงผูกอานให้ข้า” แล้วพวกเขาก็ได้ผูกอาน 28 เขาจึงได้ไปและได้พบศพนั้นทิ้งอยู่ที่ถนน และลากับสิงโตก็กำลังยืนอยู่ข้างศพ สิงโตไม่ได้กินศพนั้นหรือได้ฆ่าลานั้น
29 ผู้เผยพระวจนะก็ได้เอาศพคนของพระเจ้าขึ้นวางบนลา แล้วได้นำกลับไปเขาได้นำกลับไปยังเมืองของตนเอง เพื่อไว้ทุกข์ให้และฝังเขา 30 เขาได้วางศพนั้นในอุโมงค์ฝังศพของตนเอง และพวกเขาก็ได้ไว้ทุกข์ให้เขากล่าวว่า “หายนะแล้ว น้องชายของข้า”
31 พอหลังจากที่เขาได้ฝังเขา ผู้เผยพระวจนะชราก็ได้พูดกับพวกบุตรชายของเขาว่า “เมื่อพ่อตาย จงฝังพ่อไว้ในอุโมงค์ฝังศพที่ฝังคนของพระเจ้านั้น จงวางกระดูกของพ่อไว้ข้างกระดูกของเขา 32 เพราะว่าคำพูดที่เขาได้ประกาศโดยพระคำของพระยาห์เวห์ ตำหนิแท่นบูชาในเบธเอล และตำหนิพระวิหารทุกแห่งของสถานสูงซึ่งอยู่ในเมืองต่างๆ ของสะมาเรีย จะเกิดขึ้นอย่างแน่แท้”
33 ภายหลังเหตุการณ์นี้ เยโรโบอัมไม่ได้ทรงกลับตัวจากทางชั่วของพระองค์ แต่ยังคงแต่งตั้งปุโรหิตจากผู้ใดก็ได้เป็นปุโรหิตประจำสถานสูงต่างๆ ในท่ามกลางประชาชนต่อไป ผู้ใดที่ประสงค์รับใช้พระองค์ก็ได้ทรงได้แต่งตั้งเขาให้เป็นปุโรหิต 34 สิ่งนี้ได้กลายเป็นบาปต่อราชวงศ์เยโรโบอัม และเป็นเหตุให้ถูกทำลายและล้างผลาญราชวงศ์นั้นเสียจากพื้นแผ่นดินโลก
1 ในตอนนั้น อาบียาห์พระโอรสของเยโรโบอัมได้ป่วยหนัก 2 เยโรโบอัมได้สั่งกับพระมเหสีของพระองค์ว่า “จงยืนขึ้นและอำพรางตัว เพื่อจะไม่ให้มีใครจำเจ้าได้ว่าเจ้าเป็นพระมเหสีของเรา และจงไปยังเมืองชีโลห์ เพราะอาหิยาห์ผู้เผยพระวจนะอยู่ที่นั่น เขาเป็นผู้กล่าวเรื่องเราว่า เราจะได้เป็นกษัตริย์เหนือประชาชนเหล่านี้ 3 เจ้าจงเอาขนมปังสิบก้อน ขนมเค้กบางส่วน และน้ำผึ้งหนึ่งไห ไปหาอาหิยาห์ เขาจะบอกเจ้าว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับลูก”
4 มเหสีของเยโรโบอัมก็ได้ทำตามนั้น พระนางได้ออกไปและมายังเมืองชีโลห์ และมาถึงบ้านของอาหิยาห์ ตอนนี้อาหิยาห์มองไม่เห็น เพราะว่าเขาเสียสายตาด้วยความชราของเขา 5 พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับอาหิยาห์ว่า “ดูเถิด พระมเหสีของเยโรโบอัมกำลังมา เพื่อจะถามเจ้าเกี่ยวกับลูกของนาง เพราะเขาป่วย เจ้าจงบอกนางอย่างนี้ เพราะเมื่อพระนางมาถึง นางจะก็ทำตัวเป็นเหมือนหญิงคนอื่นๆ ”
6 เมื่ออาหิยาห์ได้ยินเสียงฝีเท้าของพระนางเมื่อพระนางมาถึงประตู เขาได้พูดว่า “เสด็จเข้ามาข้างในเถิด พระมเหสีของเยโรโบอัม เหตุไฉนจึงทรงทำตัวเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวท่านเองเล่า? ข้าพระองค์ได้รับพระบัญชาให้ทูลข่าวร้ายแก่ท่าน 7 ขอเสด็จไปรายงานต่อเยโรโบอัมว่า พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า ‘เราได้ชูเจ้าขึ้นจากท่ามกลางประชาชน และทำให้เจ้าเป็นผู้นำเหนืออิสราเอลประชาชนของเรา 8 เราได้แยกราชอาณาจักรจากราชวงศ์ของดาวิดและได้มอบให้เจ้า แต่เจ้าก็ไม่เหมือนอย่างดาวิดผู้รับใช้ของเรา ผู้ซึ่งได้รักษาพระบัญญัติทั้งหลายของเรา และติดตามเราด้วยหมดทั้งใจของเขา ทำแต่สิ่งที่ถูกต้องในสายตาของเรา
9 แต่เจ้าได้ทำชั่วมากกว่าทุกคนที่อยู่ก่อนเจ้า เจ้าไปทำพระอื่นและรูปหล่อโลหะและทำให้เราโกรธ และโยนเราทิ้งเบื้องหลังของเจ้า 10 เหตุฉะนั้น ดูเถิด เราจะนำภัยพิบัติมาเหนือราชวงศ์ของเจ้า เราจะตัดชายทุกคนในอิสราเอลทั้งทาสและเสรี และจะผลาญราชวงศ์ของเจ้าอย่างที่คนเผามูลสัตว์ให้ไหม้จนสิ้น
11 ผู้ใดที่เป็นคนในราชวงศ์ของเจ้าที่ตายในเมือง สุนัขก็จะกิน และใครก็ตามที่ตายในทุ่งนา นกในอากาศก็จะกิน เพราะพระยาห์เวห์ได้ตรัสไว้’ 12 ดังนั้น มเหสีของเยโรโบอัมจึงยืนขึ้นกลับไปยังพระตำหนักของพระนาง เมื่อเท้าของพระนางย่างเข้าเมือง พระกุมารของอาบียาห์นั้นก็จะตาย 13 จากนั้นอิสราเอลทั้งสิ้นจะโศกเศร้า และพระศพจะได้ฝังไว้ เพราะมีพระกุมารผู้เดียวเท่านั้นในวงศ์วานเยโรโบอัมที่จะไปถึงอุโมงค์ฝังศพ เพราะในตัวพระกุมารซึ่งอยู่ในวงศ์วานของเยโรโบอัมนั้นไม่เห็นว่ามีอะไรดีในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล
14 อีกทั้งพระยาห์เวห์จะทรงแต่งตั้งกษัตริย์องค์หนึ่งของอิสราเอล ผู้ที่จะมากำจัดราชวงศ์ของเยโรโบอัมเสียในวันนั้น วันนั้นคือวันนี้ ตั้งแต่นี้ไป 15 เพราะพระยาห์เวห์จะทรงตีอิสราเอลดุจต้นกกที่กำลังสั่นอยู่ในน้ำ และพระองค์จะทรงถอนรากอิสราเอลออกเสียจากดินแดนอันดีนี้ ซึ่งพระองค์ได้ทรงให้แก่บรรพบุรุษของพวกเขา พระองค์จะกระจัดกระจายกระจายพวกเขาให้เลยพ้นแม่น้ำยูเฟรติสไป เพราะพวกเขาได้สร้างบรรดาเสาพระอาเชราห์ ซึ่งได้ทำให้พระยาห์เวห์ทรงกริ้ว 16 พระองค์จะทรงไม่ใส่พระทัยต่ออิสราเอลไว้ เพราะบาปของเยโรโบอัม บาปซึ่งพระองค์ได้ทำ และโดยทางพระองค์ที่ยังทรงนำให้อิสราเอลทำบาปด้วย”
17 ดังนั้นพระมเหสีของเยโรโบอัมทรงยืนขึ้น และทรงจากไป และเสด็จถึงเมืองทีรซาห์ เมื่อพระนางได้เสด็จถึงธรณีประตูพระตำหนักของพระนาง พระกุมารก็สวรรคต 18 แล้วคนอิสราเอลทั้งหมดก็ฝังพระศพพระกุมารและไว้ทุกข์ให้ อย่างที่พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับพวกเขาโดยถ้อยคำของผู้รับใช้ของพระองค์คืออาหิยาห์ผู้เผยพระวจนะ
19 ในเรื่องพระราชกิจต่างๆ ของเยโรโบอัม ในเรื่องพระองค์ได้ทรงทำศึก และทรงครอบครองอย่างไรนั้น ดูเถิด ได้บันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์ของอิสราเอล 20 เยโรโบอัมได้ทรงปกครองเป็นเวลายี่สิบสองปี แล้วได้ทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และนาดับพระโอรสของพระองค์ก็ขึ้นเป็นกษัตริย์แทนที่ของพระองค์
21 บัดนี้เรโหโบอัมพระราชโอรสของซาโลมอนได้ทรงครอบครองยูดาห์ ขณะที่เรโหโบอัมทรงมีพระชนมายุสี่สิบเอ็ดพรรษา พระองค์ได้ทรงเป็นกษัตริย์ และพระองค์ทรงครองราชย์สิบเจ็ดปีในกรุงเยรูซาเล็ม ซึ่งเป็นเมืองที่พระยาห์เวห์ได้ทรงเลือกจากเผ่าทั้งหมดของอิสราเอล เพื่อพระนามของพระองค์จะอยู่ที่นั่น พระมารดาของพระองค์มีพระนามว่า นาอามาห์ เป็นคนอัมโมน 22 ยูดาห์ได้ทำสิ่งที่ชั่วในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ พวกเขาได้ยั่วยุให้พระองค์ขัดพระทัยต่อความบาปที่พวกเขาได้กระทำ มากกว่าทุกสิ่งที่บรรพบุรุษได้ทำทุกอย่าง
23 เพราะพวกเขาได้สร้างสิ่งเหล่านี้ให้ตัวพวกเขาเอง คือ สถานสูง เสาหิน และพวกเสาอาเชราห์ ที่บนภูเขาสูงทุกลูก และใต้ต้นไม้สีเขียวทุกต้น 24 มีโสเภณีในพิธีศาสนาในแผ่นดินนั้นด้วย พวกเขาได้ทำตามสิ่งที่น่าชังทั้งสิ้นของบรรดาชนชาติ ที่พระยาห์เวห์ได้ทรงไล่พวกเขาออกไปให้จากหน้าประชาชนอิสราเอล
25 สิ่งนี้ได้เกิดขึ้นในปีที่ห้าแห่งกษัตริย์เรโหโบอัม ชิชักกษัตริย์อียิปต์ได้เสด็จขึ้นมาสู้รบกับกรุงเยรูซาเล็ม 26 พระองค์ทรงเอาทรัพย์สมบัติของพระนิเวศของพระยาห์เวห์ และทรัพย์สมบัติแห่งพระราชวังของกษัตริย์ พระองค์ทรงเอาไปทุกอย่าง พระองค์ยังทรงเอาโล่ทองคำทั้งหมดที่ซาโลมอนได้ทรงสร้างไป
27 กษัตริย์เรโหโบอัมทรงทำโล่ทองสัมฤทธิ์ขึ้นแทนที่ และมอบไว้ในการดูแลของพวกผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ ผู้ได้เฝ้าดูแลประตูพระราชวังของกษัตริย์ 28 เมื่อใดก็ตามที่กษัตริย์เสด็จไปยังพระนิเวศของพระยาห์เวห์ ทหารรักษาพระองค์ก็จะถือบรรดาโล่ออกมา แล้วพวกเขาจะนำกลับไปเก็บไว้ในป้อมของทหารรักษาพระองค์ตามเดิม
29 ในเรื่องนอกจากนี้ ที่เกี่ยวข้องกับเรโหโบอัม และทุกอย่างที่พระองค์ได้ทรงกระทำ ได้ถูกบันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์แห่งยูดาห์แล้วไม่ใช่หรือ? 30 มีสงครามดำเนินอย่างต่อเนื่องในรัชสมัยระหว่างเรโหโบอัมกับเยโรโบอัม 31 ดังนั้นเรโหโบอัมก็ได้ทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และฝังพระศพไว้กับบรรพบุรุษของพระองค์ในเมืองดาวิด พระมารดาของพระองค์มีพระนามว่า นาอามาห์ เป็นคนอัมโมน อาบียาห์พระโอรสก็ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์แทนที่ของพระองค์
1 ในปีที่สิบแปดของรัชกาลเยโรโบอัมโอรสของเนบัท อาบียาห์ได้ทรงเริ่มปกครองเหนือยูดาห์ 2 พระองค์ทรงครองราชย์อยู่ในกรุงเยรูซาเล็มสามปี มีมารดาชื่อว่า มาอาคาห์ นางเป็นธิดาของอาบีชาโลม 3 พระองค์ทรงทำบาปทุกสิ่งเช่นเดียวกับที่พระบิดาของพระองค์ได้ทรงกระทำก่อนสมัยของพระองค์ และพระทัยของพระองค์ก็ไม่ได้อุทิศต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของพระองค์เหมือนจิตใจของดาวิดบรรพบุรุษของพระองค์ที่ได้ทรงกระทำ
4 แต่เพื่อเห็นแก่ดาวิด พระยาห์เวห์พระเจ้าของเขาได้โปรดประทานดวงประทีปดวงหนึ่งในเยรูซาเล็ม โดยให้พระโอรสองค์หนึ่งได้ขึ้นมาปกครองต่อและทำให้กรุงเยรูซาเล็มเข้มแข็ง 5 พระเจ้าได้ทรงกระทำสิ่งนี้เพราะดาวิดได้ทรงทำสิ่งที่ถูกต้องในสายพระเนตรของพระองค์ ตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ พระองค์ได้ทรงปฏิบัติตามพระบัญชาของพระองค์ทุกประการ ยกเว้นเรื่องที่เกี่ยวกับอุรียาห์ชาวฮิตไทต์ 6 บัดนี้มีสงครามระหว่าง เรโหโบอัมกับเยโรโบอัม ตลอดพระชนม์ชีพของอาบียาห์
7 เหตุการณ์อื่นๆ ในรัชกาลอาบียาห์และพระราชกิจทั้งปวงได้มีบันทึกไว้ในจดหมายเหตุกษัตริย์แห่งยูดาห์ไม่ใช่หรือ? และมีสงครามช่วงเวลาของอาบียาห์กับเยโรโบอัม 8 อาบียาห์ได้ทรงล่วงลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์และพวกเขาได้ฝังพระองค์ไว้ในเมืองดาวิด อาสาโอรสของพระองค์ก็ได้กลายเป็นกษัตริย์แทน
9 ในปีที่ยี่สิบของรัชกาลเยโรโบอัมกษัตริย์แห่งอิสราเอล อาสาได้เริ่มปกครองเหนือยูดาห์ 10 พระองค์ได้ทรงปกครองอยู่ สี่สิบเอ็ดปีในกรุงเยรูซาเล็ม สมเด็จย่าของพระองค์คือมาอาคาห์ บุตรหญิงของอาบีชาโลม 11 อาสาได้ทรงกระทำสิ่งที่ถูกต้องในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์เหมือนดาวิดบรรพบุรุษของเขาได้กระทำ
12 อาสาทรงขับไล่โสเภณีประจำศาสนาออกไปจากดินแดน และทรงขจัดรูปเคารพทั้งปวงที่บรรพบุรุษของเขาสร้างขึ้น 13 พระองค์ทรงถอดนางมาอาคาห์ย่าของพระองค์ออกจากตำแหน่งพระพันปีหลวง เพราะพระนางได้สร้างเสาเจ้าแม่อาเชราห์อันน่ารังเกียจ อาสาทรงโค่นเสานั้นและเผาทิ้งที่หุบเขาขิดโรน
14 แม้พระองค์ไม่ได้ทรงรื้อสถานบูชาบนที่สูงทั้งหลายทิ้ง แต่พระทัยของอาสาก็อุทิศแน่วแน่ต่อพระยาห์เวห์ตลอดพระชนม์ชีพ 15 พระองค์ทรงนำเงินและทองกับภาชนะต่างๆ ซึ่งพระองค์กับพระบิดาได้ทรงถวายแด่พระเจ้ามาไว้ในพระวิหารของพระยาห์เวห์
16 สงครามยังมีขึ้นช่วงของอาสากับบาอาชากษัตริย์ของอิสราเอลตลอดรัชกาล 17 บาอาชากษัตริย์ของอิสราเอลได้ทรงมาสู้รบอย่างหนักกับยูดาห์ และบาอาชาได้ทรงสร้างป้อมปราการที่เมืองรามาห์ เพื่อทรงปิดทางเข้าออกสู่เขตแดนของกษัตริย์อาสาแห่งยูดาห์
18 แล้วอาสาจึงทรงนำเงินและทองคำที่เหลือทั้งสิ้นจากพระคลังพระนิเวศของพระยาห์เวห์ และจากท้องพระคลังของพระราชวังของกษัตริย์ พระองค์ได้ทรงนำมอบให้กับมือของข้าราชบริพารและเพื่อนำไปถวายกษัตริย์เบนฮาดัดเป็นโอรสของทับริมโมโอรสของเฮซีโอน กษัตริย์แห่งอารัมซึ่งประทับอยู่ที่เมืองดามัสกัส พระองค์ตรัสว่า 19 “ขอให้เราทำพันธสัญญาระหว่างเรากับเจ้า เหมือนอย่างที่เคยทำระหว่างพระบิดาของเราและพระบิดาของท่าน ดูเถิด ข้าพเจ้าส่งของกำนัลที่เป็นเงินและทองมาให้ท่าน ขอให้ท่านได้ทรงตัดสัมพันธไมตรีกับบาอาชากษัตริย์แห่งอิสราเอล เพื่อว่าพระองค์ทิ้งข้าพเจ้าไว้เพียงลำพัง”
20 เบนฮาดัดได้ทรงเห็นชอบกับกษัตริย์อาสา และได้ทรงส่งแม่ทัพและกองกำลังไปโจมตีเมืองต่างๆ ของอิสราเอล ได้ทรงพิชิตเมืองอิโยน ดาน อาเบล เบธมาอาคาห์ คินเนเรททั้งสิ้น รวมทั้งนัฟทาลี 21 เมื่อบาอาชาทรงรู้ข่าวก็หยุดการสร้างเมืองรามาห์ แล้วได้ทรงถอยทัพกลับไปยังเมืองทีรซาห์ 22 จากนั้นกษัตริย์อาสาทรงประกาศให้ทุกคนในยูดาห์ ไม่ละเว้นผู้ใดเลย ให้พวกเขาช่วยกันขนหินและไม้ซึ่งบาอาชาได้ทรงใช้อยู่ที่เมืองรามาห์ แล้วกษัตริย์อาสาทรงนำไปสร้างเมืองเกบาในแดนเบนยามินและเมืองมิสปาห์
23 ในเรื่องอื่นๆ ในรัชกาลของอาสา ความสำเร็จทั้งปวง พระราชกิจทั้งหมด และเมืองต่างๆ ที่ได้ทรงสร้างขึ้นมีบันทึกในจดหมายเหตุกษัตริย์แห่งยูดาห์ไม่ใช่หรือ? เมื่ออาสาทรงชราแล้วก็ทรงประชวรด้วยโรคที่พระบาท 24 แล้วอาสาก็ได้ทรงล่วงลับไปอยู่กับบรรพบุรุษ และได้ทรงถูกฝังไว้ด้วยกันในเมืองดาวิด และเยโฮชาฟัทพระโอรสของพระองค์ได้เป็นกษัตริย์แทน
25 นาดับพระโอรสของเยโรโบอัมได้ทรงปกครองเหนืออิสราเอล ตรงกับปีที่สองของรัชกาลอาสากษัตริย์แห่งยูดาห์ ได้ทรงปกครองเหนืออิสราเอลอยู่สองปี 26 พระองค์ได้ทรงกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ กระทำตามวิถีและบาปของพระบิดา ซึ่งชักนำอิสราเอลให้ทำบาปตาม
27 ฝ่ายบาอาชาบุตรชายของอาหิยาห์เชื้อสายอิสสาคาร์วางแผนและลงมือสังหารนาดับ ขณะที่ได้ทรงร่วมกับกองทัพอิสราเอลล้อมเมืองกิบเบโธนของฟีลิสเตีย 28 ในปีที่สามของรัชกาลอาสากษัตริย์แห่งยูดาห์ บาอาชาได้ปลงพระชนม์นาดับแล้วขึ้นปกครองแทน
29 ทันทีที่พระองค์เป็นกษัตริย์ บาอาชาก็ทรงสังหารวงศ์วานทั้งปวงของเยโรโบอัม ไม่ปล่อยให้ใครในเชื้อสายของเยโรโบอัมรอดชีวิต โดยวิธีนี้พระองค์ได้ทำลายหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ของเขา เป็นไปตามที่พระยาห์เวห์ตรัสไว้ผ่านทางอาหิยาห์ชาวชิโลห์ผู้รับใช้ของพระองค์ 30 เพราะบาปที่เยโรโบอัมได้ทรงกระทำและชักนำอิสราเอลให้กระทำตาม และเพราะเขาได้ทรงยั่วยุความกริ้วของพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล
31 ในเรื่องอื่นๆ ในรัชกาลของนาดับและพระราชกิจทั้งปวงได้ทรงมีบันทึกไว้ในจดหมายเหตุกษัตริย์แห่งอิสราเอลไม่ใช่หรือ? 32 มีสงครามในช่วงเวลาของอาสาและบาอาชากษัตริย์แห่งอิสราเอลตลอดช่วงเวลาของพวกเขา
33 รัชกาลอาสากษัตริย์แห่งยูดาห์ในปีที่สามของ บาอาชาพระโอรสของอาหิยาห์ได้ทรงปกครองเหนือดินแดนอิสราเอลทั้งปวงที่เมืองทีรซาห์ ได้ทรงปกครองยี่สิบสี่ปี 34 บาอาชาได้ทรงกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ ได้ทรงกระทำตามวิถีและบาปของเยโรโบอัม และพระองค์ได้ทรงชักนำให้อิสราเอลทำบาปตาม
1 พระวจนะของพระยาห์เวห์ที่ได้มายังเยฮูบุตรชายของฮานานี ได้ตำหนิบาอาชาว่า 2 “ในเมื่อเราได้ยกย่องเจ้าขึ้นมาจากผงคลี และได้แต่งตั้งเจ้าเป็นผู้นำปกครองอิสราเอลประชาชนของเรา เจ้าได้กระทำตามทางของเยโรโบอัม และได้ทำให้อิสราเอลประชาชนของเรากระทำบาปซึ่งยั่วยุให้เราโกรธด้วยบาปของพวกเขา
3 ดูเถิดเราจะทำลายล้างบาอาชาและราชวงศ์ของเขาให้หมด และทำให้ราชวงศ์ของเจ้าเป็นอย่างกับราชวงศ์ของเยโรโบอัมบุตรชายของเนบัท 4 สุนัขจะกินผู้ที่อยู่ในวงศ์บาอาชาที่ตายในเมือง และนกในอากาศจะกินผู้ที่ตายในทุ่งนา”
5 เรื่องอื่นๆ ของบาอาชาและสิ่งต่างๆ ที่พระองค์ได้ทรงกระทำ และพระราชอำนาจของพระองค์ได้บันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารเหล่ากษัตริย์แห่งอิสราเอลไม่ใช่หรือ? 6 บาอาชาได้ทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์และได้ทรงฝังไว้ที่เมืองทีรซาห์ และเอลาห์โอรสก็ได้เป็นกษัตริย์แทนที่
7 ดังนั้นโดยผู้เผยพระวจนะเยฮูบุตรชายของฮานานี พระคำของพระยาห์เวห์ได้มากล่าวตำหนิบาอาชาและเชื้อพระวงศ์ของพระองค์ ทั้งเรื่องความชั่วร้ายทุกสิ่งซึ่งได้ทรงกระทำในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ คือทำให้พระองค์มีพระพิโรธด้วยพระราชกิจแห่งพระหัตถ์ของพระองค์ที่เป็นเช่นเดียวกันกับวงศ์วานของเยโรโบอัม และเพราะพระองค์ได้ทรงสังหารราชวงศ์เยโรโบอัมทั้งหมดด้วย
8 ในปีที่ยี่สิบหกแห่งสมัยของอาสากษัตริย์ของยูดาห์ เอลาห์โอรสของบาอาชาได้ทรงเริ่มปกครองเหนืออิสราเอลในเมืองทีรซาห์ และพระองค์ได้ทรงปกครองอยู่สองปี 9 ศิมรีข้าราชบริพารของพระองค์ ซึ่งเป็นผู้บัญชาการกองรถม้าศึกครึ่งหนึ่งของพระองค์ ได้คิดกบฏต่อพระองค์ ขณะนั้นเอลาห์ได้ประทับที่เมืองทีรซาห์ พระองค์ได้เสวยน้ำจัณฑ์จนเมาในบ้านของอารซา ผู้ซึ่งดูแลทรัพย์สินของเมืองทีรซาห์ 10 ศิมรีได้เข้ามาโจมตีและสังหารพระองค์ ในปีที่ยี่สิบเจ็ดแห่งรัชกาลอาสากษัตริย์ของยูดาห์แล้วก็ได้เป็นกษัตริย์แทนที่พระองค์
11 เมื่อศิมรีได้เริ่มปกครองและประทับบนบัลลังก์ของพระองค์ พระองค์ก็ได้ทรงสังหารราชวงศ์ของบาอาชาจนหมดพระองค์ไม่ได้ทรงเหลือผู้ชายสักคนเดียวทั้งที่เป็นญาติพี่น้อง หรือมิตรสหายของบาอาชา 12 ดังนั้นศิมรีได้ทรงทำลายราชวงศ์ของบาอาชาจนหมด ตามพระวจนะของพระยาห์เวห์ซึ่งได้ทรงกล่าวตำหนิบาอาชาโดยเยฮูผู้เผยพระวจนะ 13 เพราะบาปทั้งหมดของบาอาชาและบาปของเอลาห์ พระโอรสของพระองค์ซึ่งได้ทรงกระทำ และได้ทรงทำให้อิสราเอลกระทำบาปด้วย พวกเขาได้กระตุ้นให้พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลมีพระพิโรธเพราะบรรดารูปเคารพของพวกเขา
14 ในเรื่องอื่นๆ ของเอลาห์และทุกอย่างซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำ ได้ถูกบันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารเหล่ากษัตริย์แห่งอิสราเอลไม่ใช่หรือ?
15 ในปีที่ยี่สิบเจ็ดแห่งรัชกาลอาสากษัตริย์แห่งยูดาห์ ศิมรีได้ทรงปกครองได้เพียงเจ็ดวันในเมืองทีรซาห์ บัดนี้กองทัพได้ตั้งค่ายเพื่อสู้กับเมืองกิบเบโธนซึ่งเป็นของพวกคนฟีลิสเตีย 16 กองทัพนั้นที่ตั้งค่ายอยู่ได้รู้ข่าวว่า “ศิมรีได้วางแผนร้ายและได้ปลงพระชนม์กษัตริย์” ในวันนั้นที่ในค่ายคนอิสราเอลทั้งหมดจึงตั้งอมรีผู้บัญชาการกองทัพให้เป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอล 17 อมรีและคนอิสราเอลทั้งหมดได้ขึ้นไปจากเมืองกิบเบโธน พวกเขาได้เข้าโอบล้อมเมืองทีรซาห์
18 ดังนั้น เมื่อศิมรีได้ทรงเห็นว่าเมืองนั้นยึดได้แล้ว พระองค์ก็ได้เข้าไปที่ป้อมที่ติดกับพระราชวังของกษัตริย์ และพระองค์ได้ทรงเผาไฟอาคารนั้นรวมกับพระองค์ และในวิธีนี้พระองค์ก็ได้สวรรคตในกองไฟ 19 เพราะบาปซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำไว้ คือได้ทรงกระทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรพระยาห์เวห์ ได้ทรงกระทำแบบเดียวกับเยโรโบอัม และด้วยบาปซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำ ดังนั้นจึงชักนำอิสราเอลให้กระทำบาปด้วย 20 แต่เรื่องอื่นของศิมรี และการกบฏซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำ ได้ถูกบันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารเหล่ากษัตริย์แห่งอิสราเอลไม่ใช่หรือ?
21 แล้วประชาชนอิสราเอลได้ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ประชาชนครึ่งหนึ่งได้ติดตามทิบนีบุตรชายของกีนัท และได้แต่งตั้งท่านขึ้นเป็นกษัตริย์ และครึ่งหนึ่งได้ติดตามอมรี 22 แต่ประชาชนผู้ที่ได้ติดตามอมรีได้มีความแข็งแกร่งกว่าประชาชนที่ได้ติดตามทิบนีบุตรชายของของกีนัท ดังนั้นทิบนีจึงได้ตาย และอมรีก็ได้กลายเป็นกษัตริย์
23 อมรีได้เริ่มปกครองอิสราเอลในปีที่สามสิบเอ็ดแห่งรัชกาลอาสากษัตริย์แห่งยูดาห์ และพระองค์ได้ทรงปกครองอยู่สิบสองปี พระองค์ได้ทรงครองราชย์ในเมืองทีรซาห์เป็นเวลาหกปี 24 พระองค์ได้ทรงซื้อภูเขาสะมาเรียจากเชเมอร์เป็นเงินสองตะลันต์ พระองค์ได้ทรงสร้างเมืองบนเนินเขานั้น และได้ทรงเรียกนามเมืองนั้นว่า สะมาเรีย ตามชื่อของเชเมอร์ผู้เป็นอดีตเจ้าของเนินเขา
25 อมรีได้ทรงกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายพระเนตรพระยาห์เวห์ และได้ทรงกระทำชั่วมากกว่าบรรดากษัตริย์ผู้อยู่มาก่อน 26 เพราะพระองค์ได้ทรงกระทำตามทางทุกอย่างของเยโรโบอัมบุตรชายของเนบัท และโดยบาปของพระองค์ทรงกระทำ พระองค์ก็ได้นำอิสราเอลให้กระทำบาปด้วย ทำให้พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลถูกยั่วยุความกริ้วเพราะเหล่ารูปเคารพที่ไร้ค่าทั้งหลายของพวกเขา
27 ในเรื่องอื่นๆ ของอมรีซึ่งได้ทรงกระทำ และพระราชอำนาจซึ่งได้ทรงสำแดงไว้แล้ว ได้ถูกบันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารเหล่ากษัตริย์แห่งอิสราเอลไม่ใช่หรือ? 28 ดังนั้นอมรีได้ทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และเขาฝังพระศพในกรุงสะมาเรีย และอาหับพระโอรสของพระองค์ก็ได้กลายเป็นกษัตริย์แทนที่พระองค์
29 ในสมัยของอาสากษัตริย์ของยูดาห์ในปีที่สามสิบแปด อาหับพระโอรสของอมรีได้ทรงเริ่มปกครองเหนืออิสราเอล อาหับโอรสของอมรีได้ทรงปกครองเหนืออิสราเอลในกรุงสะมาเรียยี่สิบสองปี 30 อาหับโอรสของอมรีได้ทรงกระทำชั่วในสายพระเนตรพระยาห์เวห์ มากยิ่งกว่าบรรดากษัตริย์ที่อยู่มาก่อนพระองค์
31 การที่อาหับได้ทรงดำเนินตามบาปของเยโรโบอัมบุตรชายของเนบัทนั้นดูเหมือนว่าเป็นสิ่งไม่สำคัญสำหรับพระองค์ พระองค์จึงได้ทรงรับเยเซเบลพระธิดาของเอ็ทบาอัลกษัตริย์ของชาวไซดอนมาเป็นมเหสี และพระองค์ได้ไปนมัสการพระบาอัล และก้มกราบพระนั้น 32 พระองค์ได้ทรงสร้างแท่นบูชาพระบาอัลในพระวิหารของพระบาอัล ที่พระองค์ได้ทรงสร้างไว้ในกรุงสะมาเรีย 33 อาหับได้ทรงสร้างเสาพระอาเชราห์ อาหับได้ทรงทำการที่ทำให้พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลได้ทรงมีความกริ้วมากยิ่งกว่ากษัตริย์แห่งอิสราเอลทุกพระองค์ซึ่งมาก่อนพระองค์
34 ระหว่างการปกครองของอาหับ ฮีเอลชาวเบธเอลได้สร้างเมืองเยรีโคขึ้นมาใหม่ ฮีเอลได้วางฐานรากเมืองนั้นด้วยมูลค่าของชีวิตของอาบีรัมพระราชโอรสหัวปีของท่าน และเสกุบพระโอรสคนสุดท้องของท่านที่ต้องเสียชีวิตขณะที่พระองค์กำลังสร้างประตูเมือง ตามพระวจนะของพระยาห์เวห์ ซึ่งพระองค์ได้ตรัสผ่านทางโยชูวาบุตรชายของนูน
1 เอลียาห์ชาวทิชบีแห่งเมืองทิชบีในกิเลอาด ได้ทูลอาหับว่า “พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ผู้ซึ่งข้าพระองค์ได้รับใช้ ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด จะไม่มีน้ำค้างหรือฝนในปีเหล่านี้ นอกจากข้าพระองค์จะทูลขอฉันนั้น”
2 พระวจนะของพระยาห์เวห์ได้มาถึงเอลียาห์ว่า 3 “จงออกจากที่นี่และไปทางตะวันออกและซ่อนตัวข้างลำธารเครีท ที่อยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน 4 สิ่งนี้จะเกิดขึ้นเมื่อเจ้าจะดื่มน้ำจากลำธาร และเราได้บัญชาให้ฝูงกาเลี้ยงดูเจ้าที่นั่น”
5 ดังนั้นเอลียาห์จึงได้ไปและกระทำตามพระวจนะของพระยาห์เวห์ที่ได้ทรงบัญชา เขาได้ไปอาศัยอยู่ข้างลำธารเครีท ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน 6 ฝูงกาได้นำขนมปังและเนื้อมาให้เขาในตอนเช้า และได้นำขนมปังและเนื้อมาในตอนเย็น และเขาได้ดื่มน้ำจากลำธาร 7 แต่หลังจากนั้นไม่นาน ลำธารก็แห้งเหือด เพราะไม่มีฝนตกในดินแดน
8 พระวจนะของพระยาห์เวห์ได้มาถึงเอลียาห์ว่า 9 “จงยืนขึ้นไปที่เมืองศาเรฟัท ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของเมืองไซดอน และอยู่ที่นั่น ดูเถิด เราได้สั่งให้หญิงม่ายคนหนึ่งที่นั่นให้ให้อาหารสำหรับเจ้า” 10 ดังนั้นเขาจึงได้ยืนขึ้นและเดินทางไปเมืองศาเรฟัท และเมื่อเขามาถึงประตูของเมือง ซึ่งหญิงม่ายคนหนึ่งอยู่ที่นั่นกำลังรวบรวมไม้ฟืน ดังนั้นเขาจึงได้เรียกนางและพูดว่า “ขอเอาน้ำใส่เหยือกมาให้ข้าพเจ้าสักเล็กน้อย เพื่อข้าพเจ้าจะได้ดื่ม”
11 เมื่อในขณะที่นางจะไปเอาน้ำมาให้ เขาก็ได้เรียกนางแล้วบอกว่า “ขอนำขนมปังในมือเจ้ามาให้ข้าพเจ้าสักชิ้นหนึ่งเถิด” 12 นางได้ตอบว่า “พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ดิฉันไม่มีขนมปังเลย นอกจากอาหารในกำมือเดียวในหม้อ และน้ำมันเล็กน้อยในเหยือก ดูเถิด ดิฉันกำลังรวบรวมไม้ฟืนสักสองอัน เพื่อว่าดิฉันจะเข้าไปปรุงอาหารสำหรับตัวเองและบุตรชายของดิฉัน เพื่อพวกเราจะกินและตาย” 13 เอลียาห์บอกนางว่า “จงอย่ากลัว จงไปและทำอย่างที่เจ้าพูด แต่จงทำขนมปังก้อนเล็กน้อยให้ข้าพเจ้าก่อน แล้วเอาออกมาให้ข้าพเจ้า ต่อมาภายหลังจึงทำสำหรับตัวเจ้าและบุตรชายของเจ้า
14 เหตุเพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอลตรัสว่า ‘อาหารในหม้อนั้นจะไม่หมด และน้ำมันในเหยือกนั้นจะไหลไม่หยุดไหลจนกว่าในวันที่พระยาห์เวห์ได้ทรงส่งฝนตกลงมายังโลก” 15 ดังนั้นนางก็ไปทำตามคำของเอลียาห์ที่ได้บอกนาง นางและเอลียาห์พร้อมด้วยครอบครัวของนางก็ได้รับประทานอยู่หลายวัน 16 อาหารในหม้อก็ไม่ขาด และน้ำมันในเหยือกก็จะไม่หยุดไหล ตามพระวจนะของพระยาห์เวห์ซึ่งพระองค์ได้ตรัสผ่านทางเอลียาห์
17 ภายหลังจากเหตุการณ์เหล่านี้ บุตรชายของหญิงนั้นผู้เป็นเจ้าของบ้านได้ป่วย อาการป่วยของเขานั้นหนักมาก จนหายใจไม่ออก 18 ดังนั้นนางจึงได้กล่าวแก่เอลียาห์ว่า “ คนของพระเจ้า ดิฉันทำอะไรผิดต่อท่าน? ท่านจึงมาหาดิฉัน เพื่อเตือนความบาปของดิฉัน และเพื่อฆ่าบุตรชายของดิฉันเช่นนั้นหรือ?”
19 แล้วเอลียาห์พูดกับนางว่า “เอาบุตรชายของเจ้ามาให้ข้าพเจ้าเถิด” เขาก็นำเด็กชายไปจากแขนของนาง และแบกเขาขึ้นไปที่ห้องชั้นบนที่ท่านพัก และเขาวางเด็กชายบนที่นอนของเขาเอง 20 เขาร้องทูลพระยาห์เวห์ว่า “พระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพระองค์ พระองค์ได้ทรงนำหายนะมาสู่หญิงม่ายที่ข้าพระองค์อาศัยอยู่ด้วย โดยได้ทรงสังหารบุตรชายของนางเช่นนั้นหรือ? ” 21 แล้วเอลียาห์ได้ยืดตัวลงบนเด็กนั้นสามครั้ง เขาได้ร้องต่อพระยาห์เวห์และพูดว่า “พระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ขอร้องพระองค์ ได้โปรดประทานชีวิตของเด็กคนนี้กลับเข้ามาในตัวเขาด้วยเถิด”
22 พระยาห์เวห์ได้ทรงรับฟังเสียงเอลียาห์ ชีวิตของเด็กนั้นจึงกลับคืนมาหาเขา และเขาก็ได้ฟื้น 23 เอลียาห์ก็ได้จับเด็กนั้น และได้พาเขาลงมาจากห้องชั้นบนเข้าไปในบ้าน เขาได้มอบเด็กชายให้แก่มารดาของเด็กและพูดว่า “ดูเถิด บุตรชายของเจ้ายังมีชีวิตอยู่” 24 หญิงนั้นได้พูดกับเอลียาห์ว่า “บัดนี้ดิฉันทราบแล้วว่าท่านเป็นคนของพระเจ้า และพระวจนะของพระยาห์เวห์ที่มาจากปากท่านนั้นเป็นความจริง”
1 หลังจากนั้นเป็นเวลาหลายต่อหลายวันพระคำของพระยาห์เวห์ได้มาถึงเอลียาห์ ในปีที่สามของความแห้งแล้งกล่าวว่า “จงไปแสดงตัวของเจ้าต่ออาหับ และเราจะส่งฝนให้ตกลงมาในโลก” 2 เอลียาห์จึงได้ไปแสดงตัวของเขาต่ออาหับ บัดนี้ความอดอยากในสะมาเรียรุนแรงมาก
3 อาหับทรงรับสั่งให้โอบาดีห์ผู้ดูแลราชวังมาพบ บัดนี้โอบาดีห์ได้ถวายเกียรติพระยาห์เวห์มาก 4 เพราะเมื่อครั้งเยเซเบลได้เข่นฆ่าผู้เผยพระวจนะของพระยาห์เวห์ โอบาดีห์ได้ช่วยเหลือพวกผู้เผยพระวจนะหนึ่งร้อยคนและได้ซ่อนตัวพวกเขาแห่งละห้าสิบคนในแต่ละถ้ำและเลี้ยงอาหารกับน้ำ
5 อาหับจึงตรัสกับโอบาดีห์ว่า “จงไปยังตาน้ำและลำธารทุกแห่งทั่วดินแดน บางทีเราอาจจะพบหญ้าและช่วยชีวิตม้าและล่อของเราให้มีชีวิต เพื่อว่าเราจะได้ไม่สูญเสียสัตว์ทั้งหมด” 6 เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงแยกพื้นที่กันเพื่อจะได้เสาะหาให้ทั่วและค้นหาน้ำ อาหับได้เสด็จไปทางหนึ่งด้วยตัวพระองค์เองและโอบาดีห์ได้ไปอีกทางหนึ่ง
7 ขณะที่โอบาดีห์เดินไปตามถนน เอลียาห์ก็บังเอิญมาพบเขา โอบาดีห์นั้นจำเอลียาห์ได้ และได้หมอบคำนับลงกับพื้น เขาได้กล่าวว่า “เอลียาห์นายของข้าพเจ้าคือท่านใช่ไหม? ” 8 เอลียาห์ตอบเขาว่า “ข้าพเจ้าเอง ไปกราบทูลเจ้านายของท่านเถิดว่า ‘ดูสิ เอลียาห์อยู่ที่นี่แล้ว’”
9 โอบาดีห์ได้ตอบว่า “ข้าพเจ้าได้กระทำบาปผิดอะไรหรือ ท่านจึงใคร่จะให้ข้าพเจ้าผู้รับใช้ของท่านเข้าไปในมือของอาหับ เพื่อให้พระองค์ประหารข้าพเจ้า? 10 พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านได้ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ก็ไม่มีชาติใดหรืออาณาจักรใดที่นายของข้าพเจ้าไม่ได้ส่งคนไปค้นหาตัวท่าน และเมื่อใดก็ตามที่มีชาติใดหรืออาณาจักรใดบอกว่า ‘เอลียาห์ไม่ได้อยู่ที่นั่น’ อาหับก็จะทรงให้พวกเขาสาบานว่าพวกเขาไม่พบท่าน 11 มาตอนนี้ท่านบอกให้ ‘ไปทูลเจ้านายว่าเอลียาห์อยู่ที่นี่’
12 แต่เมื่อข้าพเจ้าไปแล้ว พระวิญญาณของพระยาห์เวห์จะมารับตัวท่านไปในที่ที่ข้าพเจ้าไม่รู้ แล้วเมื่อข้าพเจ้าไปและทูลแล้วอาหับเสด็จมาไม่พบท่าน พระองค์จะทรงสังหารข้าพเจ้า ทั้งๆ ที่ข้าพเจ้าผู้รับใช้ของท่านได้นมัสการพระยาห์เวห์มาตั้งแต่ข้าพเจ้ายังหนุ่ม นายของข้าพเจ้า 13 เจ้านายของข้าพเจ้า ไม่มีใครบอกท่านหรือว่า ข้าพเจ้าได้ทำอะไรเมื่อครั้งเยเซเบลเข่นฆ่าผู้เผยพระวจนะของพระยาห์เวห์นั้น ข้าพเจ้าได้ซ่อนตัวผู้เผยพระวจนะของพระยาห์เวห์ร้อยคนในถ้ำ โดยได้แบ่งห้าสิบคนในแต่ละถ้ำ และจัดส่งอาหารกับน้ำให้อย่างไร?
14 บัดนี้ท่านบอกข้าพเจ้าให้ทูลว่า ‘ไปและบอกนายของเจ้าว่าเอลียาห์อยู่ที่นี่’ ดังนั้นพระองค์จะสังหารชีวิตข้าพเจ้า” 15 แล้วเอลียาห์ได้กล่าวว่า “พระยาห์เวห์จอมเจ้านายที่ข้าพเจ้าเคยยืนหยัดเพื่อพระองค์ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ข้าพเจ้าก็จะแสดงตัวต่ออาหับในวันนี้อย่างแน่นอนฉันนั้น”
16 ดังนั้นโอบาดีห์จึงได้ไปเข้าเฝ้าอาหับและกราบทูลพระองค์ในสิ่งที่เอลียาห์ได้พูด แล้วกษัตริย์ก็ได้เสด็จออกมาพบเอลียาห์ 17 เมื่ออาหับเห็นเอลียาห์ พระองค์ก็ได้ตรัสว่า “นี่เจ้าหรือ? เจ้าคือคนที่นำความเดือดร้อนมาสู่อิสราเอล”
18 เอลียาห์ได้ตอบว่า “ข้าพระองค์ไม่ได้นำความเดือดร้อนมาสู่อิสราเอล แต่พระองค์และวงศ์วานของพระบิดาของพระองค์ต่างหากที่ได้นำความเดือดร้อนมา โดยพระองค์ได้ทรงละทิ้งพระบัญญัติของพระยาห์เวห์ และโดยการติดตามพระบาอัล 19 บัดนี้จงส่งข่าวไปและรวมอิสราเอลทั้งหมดมาพบข้าพเจ้าบนภูเขาคารเมล พร้อมทั้ง ผู้พระยากรณ์ของพระบาอัล 450 คน และผู้เผยพระวจนะของเจ้าแม่อาเชราห์สี่ร้อยคน ซึ่งร่วมโต๊ะเสวยของเยเซเบล”
20 เพราะฉะนั้นอาหับจึงได้ส่งข่าวไปยังประชาชนทั้งสิ้นของอิสราเอล และเรียกบรรดาผู้เผยพระวจนะให้มาประชุมบนภูเขาคารเมล 21 เอลียาห์เข้ามาใกล้ประชาชนทั้งหมดและได้พูดว่า “พวกท่านจะเปลี่ยนใจไปมาอีกนานสักเท่าใด? หากพระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้า จงติดตามพระองค์ แต่หากพระบาอัลเป็นพระเจ้า ก็จงติดตามเขา” แต่ประชาชนไม่ได้ตอบอะไรกับท่านแม้นคำเดียวเลย
22 จากนั้นเอลียาห์จึงกล่าวกับประชาชนว่า “เรา เราเพียงคนเดียวเป็นผู้เผยพระวจนะของพระยาห์เวห์ที่หลงเหลืออยู่ แต่ฝ่ายพระบาอัลมีผู้พระยากรณ์ถึง 450 คน 23 ดังนั้นพวกท่านจงมอบโคผู้มาสองตัวให้พวกเรา ให้พวกเขาเลือกไปตัวหนึ่ง และตัดเป็นชิ้นๆ วางบนไม้ฟืน แต่ไม่ต้องจุดไฟข้างล่าง แล้วข้าพเจ้าจะเตรียมโคผู้อีกตัว และนำมาวางบนไม้ฟืนโดยไม่จุดไฟข้างล่าง 24 จากนั้นพวกท่านจงร้องออกนามพระของพวกท่าน และเราจะร้องออกนามพระยาห์เวห์ และพระเจ้าองค์ที่ตอบโดยส่งไฟมานั่นแหละคือพระเจ้าที่แท้จริง” ดังนั้นประชาชนทั้งปวงจึงตอบ และได้กล่าวว่า “นี่เข้าท่าดี”
25 ดังนั้นเอลียาห์ได้กล่าวกับ ผู้พระยากรณ์ของพระบาอัลว่า “จงเลือกโคผู้ไปตัวหนึ่งสำหรับพวกท่านและจัดเตรียมก่อนเถิดเพราะพวกท่านมีกันหลายคน แล้วจงร้องเรียกพระนามของพระของพวกท่าน แต่อย่าจุดไฟข้างล่างโคผู้” 26 พวกเขาจึงได้รับโคผู้ที่มีคนนำมามอบให้ไปและได้จัดเตรียม แล้วพวกเขาได้ร้องเรียกพระนามของพระบาอัลตั้งแต่ตอนเช้าจนในตอนเที่ยง ร้องตะโกนว่า “ข้าแต่พระบาอัล โปรดสดับพวกข้าพระองค์เถิด” แต่ไม่มีเสียงหรือผู้ใดตอบอะไรมาเลย พวกเขาร่ายรำไปรอบๆ แท่นที่พวกเขาได้สร้างขึ้น
27 ตอนเที่ยงเอลียาห์จึงถากถางพวกเขาว่า “ตะโกนดังขึ้นอีกหน่อย ก็พระบาอัลคือพระเจ้านี่ บางทีพระองค์อาจจะกำลังใจลอย หรือปลดทุกข์อยู่ หรือกำลังเดินทาง ไม่พระองค์อาจกำลังหลับอยู่ ต้องช่วยกันปลุกให้ตื่น” 28 ฉะนั้นพวกเขายิ่งร้องตะโกนดังขึ้น และพวกเขาได้เอาดาบและหอกมาเฉือนเนื้อตัวเองตามพิธีจนพวกเขาเลือดไหลทั่วตัวพวกเขาเอง 29 เที่ยงวันผ่านไป และพวกเขายังคงทำสิ่งที่บ้าคลั่งต่อไปจนถึงเวลาถวายบูชาเครื่องบูชาเวลาตอนเย็น แต่ไม่มีเสียงตอบรับหรือไม่มีใครตอบอะไรเลย ไม่มีใครสนใจคำทูลร้องขอของพวกเขา
30 จากนั้นเอลียาห์จึงได้กล่าวแก่เหล่าประชาชนว่า “มาใกล้ๆเรา” และพวกเขาทั้งหมดก็มาใกล้เขา แล้วเอลียาห์ได้ซ่อมแซมแท่นบูชาของพระยาห์เวห์ซึ่งอยู่ในสภาพปรักพักพัง 31 เอลียาห์ได้นำหินมาสิบสองก้อน หนึ่งก้อนแทนหนึ่งเผ่าของบรรดาบุตรชายของยาโคบ เป็นยาโคบผู้ซึ่งพระยาห์เวห์ได้ตรัสไว้ว่า “อิสราเอลจะเป็นนามของเจ้า” 32 ด้วยหินเหล่านี้ เขาได้ใช้ในการสร้างแท่นบูชาในพระนามพระยาห์เวห์และเขาได้ขุดร่องรอบแท่นบูชาขนาดใหญ่พอที่จะใส่เมล็ดพืชได้ถึงสองซีอาห์
33 เขาได้เรียงไม้ฟืนเพื่อจุดไฟ สับโคผู้เป็นชิ้นๆ วางชิ้นต่างๆของโคผู้บนไม้ฟืน เขาได้พูดว่า “จงตักน้ำให้เต็มสี่ถัง และเทลงบนเครื่องเผาบูชาและบนไม้ฟืน” 34 แล้วเขาได้กล่าวว่า “จงทำอีกเป็นครั้งที่สอง” และพวกเขาก็ทำเป็นครั้งที่สอง ทำอีกครั้งหนึ่ง เขาจึงพูดว่า “จงทำเป็นครั้งที่สาม” และพวกเขาได้ทำตามเป็นครั้งที่สาม 35 น้ำนั้นไหลรอบๆ แท่นบูชาและเต็มร่องที่ขุดไว้
36 เหตุการณ์ได้เกิดขึ้นในตอนเย็นเวลาถวายบูชาเครื่องบูชา ผู้เผยพระวจนะเอลียาห์ได้เดินมาใกล้และกล่าวว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์พระเจ้าของอับราฮัม อิสอัค และอิสราเอล ขอให้เป็นที่ทราบทั่วกันในวันนี้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแห่งอิสราเอล และข้าพระองค์เป็นผู้รับใช้ของพระองค์ และข้าพระองค์ได้กระทำทั้งหมดเหล่านี้ตามพระบัญชาของพระองค์ 37 ขอโปรดสดับข้าพระองค์ ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอโปรดสดับข้าพระองค์ เพื่อประชาชนเหล่านี้จะได้รู้ว่าคือพระองค์ พระยาห์เวห์เป็นพระเจ้าและขอพระองค์ทรงนำจิตใจของพวกเขากลับมาหาพระองค์เองอีกครั้ง”
38 หลังจากนั้นเองไฟของพระยาห์เวห์ก็ตกลงมาและเผาไหม้เครื่องเผาบูชา ขณะที่ไม้ฟืน หิน และพื้นดินตรงนั้น และแม้แต่น้ำในร่องรอบๆ แท่นก็แห้งไปหมด 39 เมื่อประชาชนได้เห็นดังนั้น พวกเขาก็ได้ก้มหน้าลงที่พื้นดินและร้องว่า “พระยาห์เวห์ พระองค์คือพระเจ้า พระยาห์เวห์ พระองค์คือพระเจ้า” 40 ดังนั้นเอลียาห์ก็ได้กล่าวกับพวกเขาว่า “จงจับกุมตัว ผู้พยากรณ์ของพระบาอัลไว้ อย่าให้พวกเขาหนีรอดไปได้แม้แต่คนเดียว” ดังนั้นพวกเขาก็เข้าจับกุม และเอลียาห์ได้นำตัวบรรดาผู้พระยากรณ์ของพระบาอัลที่ลงไปยังลำธารคีโชนและสังหารพวกเขาที่นั่น
41 เอลียาห์ได้กราบทูลอาหับว่า “ขอทรงยืนขึ้นเชิญเสวยและทรงดื่มเถิด เพราะมีเสียงฝนห่าใหญ่” 42 ดังนั้นอาหับจึงได้เสด็จไปเสวยและทรงดื่ม แล้วเอลียาห์ได้ปีนขึ้นไปบนยอดเขาคารเมล แล้วเขาได้โค้งตัวลงถึงพื้นดิน และก้มหน้าของเขาลงตรงกลางเข่าของเขา
43 เขาได้สั่งคนรับใช้ของเขาว่า “จงไปและมองไปทางทะเล” คนรับใช้ของเขาได้ขึ้นไป และมองดู และพูดว่า “ไม่มีอะไรเลย” ดังนั้น เอลียาห์จึงได้พูดว่า “กลับไปดูอีกเจ็ดครั้ง” 44 ในครั้งที่เจ็ด คนรับใช้นั้นได้พูดว่า “ดูเถิด มีเมฆเล็กๆ ขนาดราวฝ่ามือของคนกำลังเคลื่อนขึ้นมาจากทะเล” เอลียาห์จึงได้กล่าวว่า “จงไปทูลต่ออาหับว่า ‘จงเตรียมรถม้าศึกของพระองค์แล้วลงจากภูเขา ก่อนพระองค์จะทรงติดฝน’”
45 สิ่งนี้ก็ได้เกิดขึ้นในไม่ช้าท้องฟ้าก็มืดทะมึนด้วยเมฆและลม มีฝนโหมกระหน่ำ อาหับได้รีบเสด็จไปยังยิสเรเอล 46 แต่พระหัตถ์ของพระยาห์เวห์ได้ทรงลงมาบนเอลียาห์ เขาได้กระชับที่คาดเอวเสื้อคลุมของเขา และวิ่งแซงหน้าอาหับมาจนถึงทางเข้าเมืองยิสเรเอล
1 อาหับได้ทรงกล่าวแก่เยเซเบลถึงทุกอย่างที่เอลียาห์ได้กระทำ และการที่เอลียาห์ได้ประหารผู้พยากรณ์ของพระบาอัลทั้งหมดด้วยดาบ 2 จากนั้นเยเซเบลส่งคนมาแจ้งเอลียาห์ว่า “ขอให้พระทั้งหลายทำกับเราและมากยิ่งกว่านั้น หากภายในพรุ่งนี้เวลาเดียวกันนี้ เรายังไม่ปลิดชีวิตเจ้าเหมือนที่เจ้าทำปลิดชีวิตของผู้พยากรณ์เหล่านั้น” 3 เมื่อเอลียาห์ได้ยินดังนั้น เขาก็ยืนขึ้นและรีบหนีเอาชีวิตรอด ไปยังเบเออร์เชบาซึ่งเป็นของอาณาจักรยูดาห์ และทิ้งคนรับใช้ของเขาไว้ที่แห่งนั่น
4 ส่วนเขาเองเดินทางเข้าไปในถิ่นทุรกันดารแต่ลำพัง รอนแรมตลอดวัน แล้วเขาจึงได้มาและนั่งลงใต้ต้นไม้พุ่มต้นหนึ่ง เขาได้อธิษฐานให้ตัวเองตายเสียและกล่าวว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์ ข้าพระองค์ทนมามากพอแล้ว ขอทรงเอาชีวิตของข้าพระองค์ไปเถิด ข้าพระองค์ก็ไม่ได้ดีไปกว่าบรรพบุรุษของข้าพระองค์ที่ได้ตายไปแล้ว” 5 ฉะนั้นเขาก็นอนลงใต้ต้นไม้พุ่มและหลับไป ทันใดนั้นมีทูตสวรรค์องค์หนึ่งมาสัมผัสตัวเขาและบอกว่า “จงลุกขึ้นและรับประทานอาหาร” 6 เอลียาห์ได้มองไปรอบๆ และมีขนมปังปิ้งอยู่บนถ่านร้อนๆ และมีน้ำเหยือกหนึ่งอยู่ที่ใกล้ศีรษะของเขา ฉะนั้นเขาจึงรับประทานขนมปัง ดื่มน้ำ แล้วล้มตัวลงนอนอีกครั้ง
7 ทูตสวรรค์ของพระยาห์เวห์ก็ได้มาอีกครั้งหนึ่งเป็นครั้งที่สอง ได้สัมผัสตัวขาและได้บอกว่า “จงลุกขึ้นและรับประทานอาหารเพราะการเดินทางครั้งนี้มากเกินกว่ากำลังของท่าน” 8 ดังนั้นเอลียาห์จึงได้ลุกขึ้นรับประทานและดื่ม และเขาได้เดินทางด้วยกำลังจากอาหารนั้นเป็นเวลาสี่สิบวันสี่สิบคืนจนมาถึงโฮเรบภูเขาของพระเจ้า
9 เขาได้เข้าไปพักในถ้ำแห่งหนึ่งที่นั่น แล้วพระวจนะของพระยาห์เวห์จึงมาถึงเขาและได้ตรัสแก่เขาว่า “เอลียาห์ เจ้ามาทำอะไรอยู่ที่นี่?” 10 เอลียาห์ทูลตอบว่า “ข้าพระองค์ได้ทุ่มเทอย่างมากเพื่อพระยาห์เวห์ พระเจ้าจอมเจ้านาย เพราะประชาชนอิสราเอลได้ละทิ้งพันธสัญญาของพระองค์ ได้ทำลายแท่นบูชาของพระองค์ และได้สังหารผู้เผยพระวจนะของพระองค์ด้วยคมดาบ บัดนี้เหลือข้าพระองค์เพียงคนเดียว และพวกเขากำลังพยายามเอาชีวิตของข้าพระองค์ด้วย”
11 พระยาห์เวห์ตรัสว่า “จงออกไปยืนต่อหน้าเราบนภูเขา” แล้วเมื่อพระยาห์เวห์เสด็จผ่านไป ก็มีลมพายุกล้าพัดปะทะภูเขาอย่างรุนแรง ทำให้หินแตกเป็นชิ้นๆ ต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ แต่พระยาห์เวห์ไม่ได้ประทับอยู่ในลม แล้วต่อจากลมก็เกิดแผ่นดินไหว แต่พระยาห์เวห์ไม่ได้ประทับอยู่ในแผ่นดินไหวนั้น 12 จากนั้นแผ่นดินไหวก็เกิดไฟลุก แต่พระยาห์เวห์ไม่ได้ประทับอยู่ในไฟนั้น หลังจากไฟมีเสียงกระซิบเบาๆ
13 ครั้นเมื่อเอลียาห์ได้ยินเสียง เขาก็ได้ยกเสื้อคลุมขึ้นคลุมหน้า และได้ออกไปยืนอยู่ตรงทางเข้าปากถ้ำ แล้วก็มีเสียงหนึ่งกล่าวกับเขาว่า “เอลียาห์ เจ้ามาทำอะไรอยู่ที่นี่?” 14 เอลียาห์ได้ทูลตอบว่า “ข้าพระองค์ได้ทุ่มเทอย่างมากเพื่อพระยาห์เวห์ พระเจ้าจอมเจ้านาย เพราะประชาชนอิสราเอลได้ละทิ้งพันธสัญญาของพระองค์ ได้ทำลายแท่นบูชาของพระองค์ และได้สังหารผู้เผยพระวจนะของพระองค์ด้วยคมดาบ บัดนี้เหลือข้าพระองค์เพียงคนเดียว และพวกเขากำลังพยายามเอาชีวิตของข้าพระองค์ด้วย”
15 แล้วพระยาห์เวห์ได้ตรัสกับเขาว่า “จงกลับไปเส้นทางที่เจ้ามา แล้วไปยังแดนทุรกันดารแห่งดามัสกัส และเมื่อเจ้าไปถึงที่นั่น จงเจิมตั้งฮาซาเอลให้เป็นกษัตริย์เหนืออารัม 16 และเจ้าจงเจิมเยฮูบุตรชายของนิมชีให้เป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอล แล้วเจ้าจงเจิมเอลีชาบุตรชายของชาฟัทจากอาเบลเมโหลาห์ให้เป็นผู้เผยพระวจนะสืบต่อจากเจ้า
17 สิ่งนี้จะเกิดขึ้น ผู้ใดหนีรอดจากคมดาบของฮาซาเอลจะถูกเยฮูฆ่า และผู้ใดหนีรอดจากคมดาบของเยฮูจะถูกเอลีชาฆ่า 18 แต่เราจะเหลือประชาชนไว้เจ็ดพันคนในอิสราเอล ผู้ซึ่งเข่าของพวกเขาไม่ได้คุกลงกราบไหว้ และปากของพวกเขาไม่ได้จูบพระบาอัล”
19 ดังนั้นเอลียาห์จึงไปจากที่แห่งนั่น และพบเอลีชาบุตรชายของชาฟัทกำลังไถนา โดยมีโคเทียมแอกสิบสองคู่อยู่ต่อหน้าเขา และตัวเขาเองนั้นกำลังไถนาอยู่กับแอกที่สิบสอง เอลียาห์จึงได้ตรงเข้าไปหาและสวมเสื้อคลุมให้เอลีชา 20 แล้วเอลีชาได้ทิ้งโคเหล่านั้นไว้และวิ่งตามเอลียาห์ แล้วเขากล่าวว่า “ขอให้ข้าพเจ้าไปจูบลาบิดามารดาเสียก่อน แล้วจะติดตามท่านไป” แล้วเอลียาห์ได้ตอบเขาว่า “กลับไปเถอะ แต่อย่าลืมสิ่งที่เราได้ทำต่อเจ้า ”
21 ดังนั้นเอลีชาได้ออกไปจากเอลียาห์ เอาแอกโคมาทำเป็นฟืน ฆ่าสัตว์ และ เอาเนื้อมาปรุงอาหารด้วยไม้ของแอกโค แล้วเขาได้แจกจ่ายเนื้อให้ประชาชนและพวกเขาก็ได้รับประทาน จากนั้นเอลีชาลุกขึ้นติดตามเอลียาห์ไปและได้รับใช้เอลียาห์
1 เบนฮาดัดกษัตริย์อารัมได้ทรงสั่งสมไพร่พลทั้งหมดของพระองค์ มีกษัตริย์ที่รองจากพระองค์สามสิบสององค์ทรงอยู่กับพระองค์ รวมทั้งม้าและรถม้าศึก และพระองค์ได้เสด็จขึ้นไปล้อมสะมาเรีย และต่อสู้กับชาวเมืองนั้น 2 พระองค์ได้ส่งผู้สื่อสารเข้าเมืองไปพบอาหับกษัตริย์ของอิสราเอล และทูลพระองค์ว่า “เบนฮาดัดตรัสดังนี้ว่า 3 ‘เงินและทองของพระองค์เป็นของเรา บรรดาพระมเหสีและพระโอรสที่ดีที่สุดของพระองค์บัดนี้ก็เป็นของเราด้วย’”
4 กษัตริย์แห่งอิสราเอลตรัสตอบว่า “ข้าแต่กษัตริย์เจ้านายของข้าพเจ้า เป็นดังที่พระองค์ตรัส ข้าพเจ้าและทุกสิ่งที่ข้าพเจ้ามีเป็นของพระองค์” 5 บรรดาผู้สื่อสารได้กลับมาอีกครั้งและกล่าวว่า “เบนฮาดัดตรัสตอบดังนี้ว่า ‘เราส่งถ้อยคำมายังพระองค์ว่า จงให้เงินและทองของพระองค์ บรรดาพระมเหสีและพระโอรสทั้งหลายของพระองค์กับเรา 6 แต่เราจะส่งข้าราชบริพารของเราไปหาพระองค์พรุ่งนี้ประมาณเวลานี้ และพวกเขาจะค้นวังของพระองค์ ค้นบ้านข้าราชบริพารของพระองค์ แล้วพวกเขาจะหยิบสิ่งใดที่ต้องตาของพวกเขาไป’”
7 จากนั้นกษัตริย์อิสราเอลได้เรียกประชุมพวกผู้อาวุโสทั้งหมดของดินแดน ตรัสว่า “ขอใคร่ครวญดูและดูว่าชายผู้นี้หาเรื่องเดือดร้อนให้เราอย่างไร เขาได้ส่งถ้อยคำแก่เราเพื่อจะให้คนมาเอาภรรยาและลูกของเรา ทั้งเงินและทองของเรา และเราก็ไม่ได้ปฏิเสธเขา” 8 บรรดาผู้อาวุโสและประชาชนทั้งหมดได้ทูลอาหับว่า “ขออย่าทรงฟัง หรืออย่าทรงยอมตามคำสั่งของเขา”
9 ดังนั้นอาหับจึงได้รับสั่งแก่ผู้สื่อสารของเบนฮาดัดว่า “จงไปทูลกษัตริย์เจ้านายของเราว่า ‘เราเห็นด้วยกับทุกสิ่งที่พระองค์เรียกร้องจากผู้รับใช้ของพระองค์ในครั้งแรกนั้น แต่คำสั่งที่สองนี้เรายอมรับไม่ได้’” ดังนั้นผู้สื่อสารก็ได้จากไป และกลับไปรายงานต่อเบนฮาดัด 10 แล้วเบนฮาดัดได้ส่งข่าวกลับมายังอาหับและพูดว่า “ขอให้พวกพระทั้งหลายลงโทษเราและสาหัสยิ่งกว่า หากว่าเราเหลือผงขี้เถ้าแห่งสะมาเรียพอให้ประชาชนทั้งหมดที่ติดตามเรากำได้คนละหนึ่งกำมือ”
11 กษัตริย์อิสราเอลได้ตรัสตอบว่า “จงทูลเบนฮาดัดว่า ‘ไม่มีใครที่สวมเกราะจะอวดอ้างราวกับว่าเขาได้ถอดเกราะออกแล้ว’” 12 เบนฮาดัดได้ทรงทราบข่าวนี้ เวลาที่พระองค์ทรงกำลังดื่มอยู่กับพวกกษัตริย์ที่อยู่ภายใต้พระองค์ ที่ในเต็นท์ เบนฮาดัดก็ได้ทรงรับสั่งคนของพระองค์ว่า “จงเข้าประจำการเพื่อพร้อมรบ” ฉะนั้นเขาทั้งหลายก็ได้เตรียมตัวเองให้พร้อมรบเพื่อเข้าโจมตีเมืองนั้นแล้ว
13 ดูเถิด ผู้เผยพระวจนะคนหนึ่ง ได้มาหาอาหับกษัตริย์แห่งอิสราเอลและได้ทูลว่า “พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า เจ้าเห็นกองทัพอันยิ่งใหญ่นี้หรือไม่? ดูสิ เราจะให้ไว้กับมือของเจ้าในวันนี้ จากนั้นเจ้าจะได้รู้ว่าเราเป็นพระยาห์เวห์’” 14 อาหับได้ตรัสว่า “โดยใครหรือ?” พระยาห์เวห์ได้ตรัสดังนี้ว่า “โดยมือของข้าราชบริพารหนุ่มผู้ทำหน้าที่เป็นผู้ปกครองหัวเมืองทั้งหลาย” จากนั้นอาหับได้ตรัสว่า “ใครจะเริ่มเข้าสู้รบ?” พระยาห์เวห์ได้ตรัสว่า “เจ้าไงเล่า” 15 แล้วอาหับจึงทรงรวบรวมข้าราชบริพารหนุ่ม ผู้ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ปกครองหัวเมืองทั้งหลายเหล่านั้น ซึ่งมี 232 คน ภายหลังพระองค์ได้ทรงรวบรวมทหารทั้งมวล เป็นกองทัพของอิสราเอลทั้งหมด มีเจ็ดพันคน
16 พวกเขาได้ยกทัพออกไปในตอนเที่ยง ฝ่ายเบนฮาดัดทรงกำลังดื่มอย่างเมามายในเต็นท์ รวมทั้งพระองค์และกษัตริย์ที่รองจากพระองค์อีกสามสิบสององค์ที่ทรงช่วยพระองค์ 17 ข้าราชบริพารหนุ่มผู้ทำหน้าที่เป็นผู้ปกครองหัวเมืองทั้งหลายได้ยกออกไปก่อน แล้วเบนฮาดัดได้รับรายงานจากผู้สอดแนมที่พระองค์ได้ทรงส่งออกไปว่า “มีคนกำลังออกมาจากสะมาเรีย”
18 เบนฮาดัดได้ตรัสว่า “ ไม่ว่าพวกเขาออกมาด้วยสันติหรือทำสงคราม จงจับพวกเขามาทั้งที่ยังมีชีวิต ” 19 ดังนั้นข้าราชบริพารหนุ่มผู้ทำหน้าที่เป็นผู้ปกครองหัวเมืองทั้งหลาย และไพร่พลที่ได้ติดตามพวกเขาได้เดินทัพออกจากเมือง
20 พวกเขาแต่ละคนก็ได้สังหารคู่ต่อสู้ของเขา คนอารัมได้วิ่งหนี และคนอิสราเอลได้ไล่ติดตามพวกเขาไป เบนฮาดัดกษัตริย์แห่งอารัมได้ทรงม้าหนีไปกับทหารม้า 21 แล้วกษัตริย์แห่งอิสราเอลได้ทรงออกไปและทรงโจมตีม้าและรถม้าศึก และทรงสังหารคนอารัมเป็นอันมาก
22 ดังนั้นผู้เผยพระวจนะคนนั้นได้มาเข้าเฝ้ากษัตริย์แห่งอิสราเอลและทูลพระองค์ว่า “จงไป ขอเสริมกำลังของพระองค์ และใคร่ครวญดูว่า พระองค์จะทรงทำสิ่งใด เพราะในฤดูใบไม้ผลิปีหน้า กษัตริย์แห่งอารัมจะยกกองทัพมาต่อสู้กับพระองค์อีกครั้ง” 23 ข้าราชบริพารของกษัตริย์อารัมได้กราบทูลพระองค์ว่า “บรรดาพระของเขาเป็นพระเจ้าแห่งภูเขา พวกเขาจึงแข็งแกร่งกว่าเรา แต่ขอให้เราต่อสู้กับเขาในที่ราบ แล้วเราจะต้องแข็งแกร่งกว่าเขาอย่างแน่นอน
24 ดังนั้นขอพระองค์ทรงกระทำเช่นนี้ ขอทรงถอดถอนกษัตริย์เสียทุกองค์จากตำแหน่ง และทรงแต่งตั้งนายทหารแทน 25 จงเพิ่มจำนวนพลของกองทัพเข้าแทนส่วนที่พระองค์ได้สูญเสียไป ม้าต่อม้า รถม้าศึกต่อรถม้าศึก แล้วเราทั้งหลายจะต่อสู้กับพวกเขาในที่ราบ พวกเราจะต้องแข็งแกร่งกว่าพวกเขาอย่างแน่นอน” ดังนั้นเบนฮาดัดทรงฟังเสียงของพวกเขา และทรงทำตามที่พวกเขาได้แนะนำ
26 หลังจากเริ่มปีใหม่ เบนฮาดัดได้ทรงรวบรวมคนอารัมและยกขึ้นไปที่เมืองอาเฟกสู้รบกับคนอิสราเอล 27 คนอิสราเอลก็ถูกรวบรวม และได้ออกไปสู้รบกับเขาทั้งหลาย คนอิสราเอลตั้งค่ายตรงหน้าพวกเขาราวกับแพะสองฝูงที่เล็กน้อยแต่คนอารัมได้เต็มพื้นดินไปทั่ว
28 จากนั้นคนของพระเจ้าคนหนึ่งได้เข้าไปใกล้ และกราบทูลกษัตริย์อิสราเอลว่า “พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า ‘เพราะคนอารัมได้กล่าวว่า พระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้าแห่งเนินเขา พระองค์ไม่ได้ทรงเป็นพระเจ้าแห่งที่ราบ เราจะให้กองทัพใหญ่ทั้งสิ้นนี้ในมือของเจ้า และพวกเจ้าจะได้รู้ว่า เราเป็นพระยาห์เวห์’”
29 ดังนั้นเขาทั้งหลายได้ตั้งค่ายทหารฝั่งตรงข้ามกันเป็นเวลาเจ็ดวัน จากนั้นในวันที่เจ็ดการสู้รบได้เริ่มต้นขึ้น คนอิสราเอลได้ฆ่าคนอารัม ซึ่งเป็นทหารราบ 100,000 คนในหนึ่งวัน 30 พวกที่รอดได้หนีเข้าเมืองอาเฟก และกำแพงเมืองได้ล้มทับคนที่เหลือรอดสองหมื่นเจ็ดพันคน เบนฮาดัดทรงหนีและได้เข้าไปในห้องด้านในที่ในเมือง
31 ข้าราชบริพารของเบนฮาดัดได้ทูลพระองค์ว่า “ บัดนี้ ดูเถิด เราได้ยินว่าบรรดากษัตริย์แห่งราชวงศ์อิสราเอลเป็นกษัตริย์ที่ทรงปราณี ขอให้เราได้เอาผ้ากระสอบคาดเอว และเอาเชือกพันรอบศีรษะของเรา และออกไปหากษัตริย์แห่งอิสราเอล พระองค์อาจจะไว้ชีวิตพระองค์” 32 ดังนั้นพวกเขาจึงได้เอาผ้ากระสอบคาดเอว ได้เอาเชือกพันศีรษะ ไปเฝ้ากษัตริย์อิสราเอล และทูลว่า “เบนฮาดัดผู้รับใช้ของพระองค์ขอกราบทูลว่า ‘ขอทรงโปรดไว้ชีวิตข้าพระองค์’” อาหับได้ตรัสว่า “พระองค์ยังทรงมีชีวิตอยู่หรือ? พระองค์ทรงเป็นพระอนุชาของเรา”
33 บัดนี้คนเหล่านั้นผู้ที่ได้ฟังเห็นสัญญาณดีจากอาหับ ดังนั้นพวกเขาก็รีบตอบโดยเร็วว่า “เบนฮาดัดพระอนุชาของพระองค์ยังทรงมีพระชนม์อยู่” แล้วอาหับตรัสว่า “ไปนำพระองค์มาเถิด” แล้วเบนฮาดัดก็เสด็จออกมาหาพระองค์ แล้วอาหับก็ให้พระองค์ขึ้นไปบนรถม้าศึกของพระองค์ 34 เบนฮาดัดได้กราบทูลอาหับว่า “เมืองต่างๆ ซึ่งพระบิดาของข้าพเจ้ายึดเอาไปจากพระบิดาของพระองค์นั้น ข้าพเจ้าขอคืนให้พระองค์ และพระองค์จะทรงสร้างที่ค้าขายสำหรับพระองค์เองในเมืองดามัสกัส อย่างที่พระบิดาข้าพเจ้าได้ทรงกระทำในสะมาเรีย” แล้วอาหับตรัสว่า “เราจะยอมให้พระองค์ไป ตามพันธสัญญานี้” ดังนั้นอาหับจึงได้ทรงทำพันธสัญญากับพระองค์ และปล่อยพระองค์ไป
35 หนึ่งคนในกลุ่มบุตรชายของผู้เผยพระวจนะ ได้พูดกับหนึ่งในบรรดาเพื่อนของเขา ตามพระคำของพระยาห์เวห์ว่า “ได้โปรดตีข้าที” แต่ชายคนนั้นก็ได้ปฏิเสธที่จะตีเขา 36 จากนั้นผู้เผยพระวจนะจึงพูดกับเพื่อนของเขาว่า “เพราะเจ้าไม่ได้เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระยาห์เวห์ ทันใดที่เจ้าจากข้าไป สิงโตตัวหนึ่งจะฆ่าเจ้า” ทันทีที่ชายคนนั้นได้จากเขาไป สิงโตตัวหนึ่งก็ได้มาพบเขาและได้ฆ่าเขา
37 จากนั้นผู้เผยพระวจนะได้ไปพบชายอีกคนหนึ่ง และกล่าวว่า “ได้โปรดตีข้า” ชายคนนั้นได้ตีท่านและทำให้ท่านได้บาดเจ็บ 38 แล้วผู้เผยพระวจนะนั้นจึงได้จากไป และได้คอยพบกษัตริย์อยู่ที่ถนน เขาได้ปลอมตัวเขาเองด้วยผ้าพันที่ตาของเขา
39 พอกษัตริย์ทรงผ่านไป ผู้เผยพระวจนะได้ร้องทูลกษัตริย์ว่า “ผู้รับใช้ของพระองค์เข้าไปในกลางศึก และทหารคนหนึ่งได้หยุดและนำชายคนหนึ่งมาให้ข้าพระองค์ บอกว่า ‘จงระวังชายคนนี้ไว้ ถ้าเขาหลุดไปได้โดยเหตุใดๆ ชีวิตของท่านจะต้องแทนชีวิตของเขา หรือท่านจะต้องสูญเสียเงินหนึ่งตะลันต์’ 40 แต่เพราะผู้รับใช้ของพระองค์ไม่สะดวกที่จะมาที่นี่และที่นั่น ศัตรูทหารนั้นจึงได้หนีไป” แล้วกษัตริย์แห่งอิสราเอลได้ตรัสกับเขาว่า “โทษของเจ้าต้องเป็นอย่างนั้นแหละ เพราะเจ้าเองได้ตัดสินแล้ว”
41 จากนั้นผู้เผยพระวจนะจึงรีบเอาผ้าซึ่งได้เอาพันตาของเขาออก และกษัตริย์แห่งอิสราเอลทรงระลึกได้ว่าท่านเป็นหนึ่งในบรรดาผู้เผยพระวจนะ 42 ผู้เผยพระวจนะจึงทูลกษัตริย์ว่า “พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า ‘เพราะเจ้าได้ปล่อยชายคนที่อยู่ในมือของเจ้า ผู้ซึ่งเราได้กำหนดให้ตาย ดังนั้นชีวิตของเจ้าจะต้องทดแทนชีวิตของเขา และประชาชนของเจ้าต้องทดแทนประชาชนของเขา’” 43 ดังนั้นกษัตริย์แห่งอิสราเอลได้เสด็จเข้าไปในพระราชวัง ด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวและโกรธยิ่งนัก และได้เสด็จมาถึงสะมาเรีย
1 บัดนี้ ในเวลาต่อมา นาโบทชาวยิสเรเอลมีสวนองุ่นอยู่ในยิสเรเอล ใกล้วังของอาหับกษัตริย์แห่งสะมาเรีย 2 อาหับได้ตรัสกับนาโบทว่า “จงมอบสวนองุ่นของเจ้าให้แก่เรา เพื่อเราจะใช้เป็นสวนผัก เพราะอยู่ใกล้พระราชวังของเรา เพื่อแลกเปลี่ยนกัน เราจะให้สวนองุ่นที่ดีกว่าเพื่อแลกกันกับสวนนี้ หรือหากเจ้าไม่ขัดข้อง เราจะจ่ายเงินจำนวนสมกับราคาสวน”
3 นาโบทได้ทูลอาหับว่า “ขอพระยาห์เวห์ห้ามข้าพระองค์ไม่ให้ยกมรดกของบรรพบุรุษของข้าพระองค์ให้แก่พระองค์” 4 ดังนั้นอาหับจึงได้เสด็จเข้าในวังด้วยความผิดหวังและโกรธจัดเพราะเหตุว่าคำตอบของนาโบทชาวยิสเรเอลที่ได้ทูลตอบพระองค์ เมื่อเขาได้กล่าวว่า “ข้าพระองค์จะไม่ให้มรดกแห่งบรรพบุรุษของข้าพระองค์แก่พระองค์” และพระองค์ก็ได้ทรงเอนพระกายลงบนพระแท่นของพระองค์ ได้ทรงหันพระพักตร์ของพระองค์และได้ทรงปฏิเสธที่จะเสวยพระกระยาหารใดๆ
5 เยเซเบลพระมเหสีของพระองค์ได้เข้าพบพระองค์ และได้ทูลถามพระองค์ว่า “ทำไมพระทัยของพระองค์จึงกลัดกลุ้มยิ่งนักจนกระทั่งพระองค์ไม่เสวยพระกระยาหาร? ” 6 พระองค์ได้ตรัสตอบพระนางว่า “เพราะเราได้พูดกับนาโบทชาวยิสเรเอลและได้แจ้งว่า ‘จงขายสวนองุ่นของเจ้าให้แก่เรา หรือหากเจ้าพอใจ เราจะให้สวนองุ่นอีกที่หนึ่งแก่เจ้า’ แล้วเขาได้ตอบเราว่า ‘ข้าพระองค์จะไม่ถวายสวนองุ่นของข้าพระองค์แก่พระองค์’” 7 ดังนั้นเยเซเบลพระมเหสีของพระองค์ได้ทูลพระองค์ว่า “พระองค์ยังคงเป็นผู้ปกครองอาณาจักรอิสราเอลมิใช่หรือ? ขอทรงยืนขึ้นและเสวยพระกระยาหารเถิด ขอพระองค์ทำพระทัยให้สบาย หม่อมฉันจะนำสวนองุ่นของนาโบทชาวยิสเรเอลมาถวายแก่พระองค์เอง”
8 ดังนั้นเยเซเบลจึงได้เขียนและประทับตราจดหมายในพระนามของอาหับ และได้ส่งไปยังบรรดาผู้อาวุโส และผู้มั่งคั่งซึ่งนั่งกับพระองค์ในการชุมนุม และอาศัยอยู่ใกล้กับนาโบท 9 พระนางได้ทรงเขียนจดหมายว่า “จงประกาศให้อดอาหาร และให้นาโบทนั่งสูงเด่นท่ามกลางประชาชน 10 นอกจากนี้ให้คนไม่ซื่อสัตย์สองคนอยู่กับเขาด้วย และให้พวกเขาเป็นพยานเท็จต่อเขาว่า ‘เจ้าได้แช่งด่าพระเจ้าและกษัตริย์’” จากนั้นนำเขาออกไปและเอาหินขว้างเขาให้ตาย
11 ดังนั้นคนของเมืองของเขานั้น คือบรรดาผู้อาวุโสและผู้มั่งคั่งซึ่งอาศัยอยู่ในเมืองของนาโบทนั้น ได้กระทำตามที่เยเซเบลได้ทรงเขียนจดหมายสั่งไปถึงพวกเขา ดังปรากฏในลายพระหัตถ์ซึ่งพระนางได้ส่งถึงพวกเขานั้น 12 พวกเขาได้ประกาศให้อดอาหาร และได้ให้นาโบทนั่งในที่นั่งสูงเด่นท่ามกลางประชาชน 13 คนไม่ซื่อสัตย์สองคนนั้นก็ได้เข้ามา และได้นั่งอยู่ตรงหน้านาโบท พวกเขาได้ปรักปรำนาโบทตรงหน้าประชาชนกล่าวว่า “นาโบทได้แช่งด่าทั้งพระเจ้าและกษัตริย์” พวกเขาจึงพานาโบทไปนอกเมือง และได้ขว้างเขาจนตาย 14 จากนั้นพวกผู้อาวุโสก็ได้ส่งข่าวไปทูลเยเซเบลว่า “นาโบทได้ถูกหินขว้างและตายแล้ว”
15 ดังนั้น เมื่อเยเซเบลได้ทรงได้ยินว่า นาโบทได้ถูกหินขว้างและตายแล้ว พระนางจึงได้ทูลอาหับว่า “ขอทรงลุกขึ้นและทรงไปรับเอาสวนของนาโบทชาวยิสเรเอล ซึ่งเขาไม่ขายให้กับพระองค์ เพราะว่านาโบทไม่มีชีวิต แต่ตายแล้ว” 16 เมื่ออาหับได้ยินว่านาโบทได้ตายลง พระองค์ก็ได้ทรงยืนขึ้น ลงไปที่สวนองุ่นของนาโบทชาวยิสเรเอลเพื่อเอาสวนนั้น
17 จากนั้นพระวจนะของพระยาห์เวห์ได้มายังเอลียาห์ชาวทิชบีว่า 18 “จงยืนขึ้นและเข้าพบอาหับกษัตริย์แห่งอิสราเอล ผู้อาศัยในสะมาเรีย เขาอาศัยอยู่ในสวนของนาโบทที่เขาลงไปยึดมา
19 เจ้าต้องพูดกับเขาดังนี้ว่า ‘พระยาห์เวห์ได้ตรัสดังนี้ว่า “เจ้าได้ฆ่าและยังได้ยึดเอาสมบัติเขามาอีกหรือ? ’ และเจ้าจงบอกเขาว่า พระยาห์เวห์ตรัสว่า ‘ตรงที่สุนัขเลียเลือดของนาโบท สุนัขจะเลียเลือดของเจ้าเช่นกัน ใช่แล้วล่ะ เลือดของเจ้า’” 20 อาหับได้ทรงตอบกับเอลียาห์ว่า “ เจ้ามาหาเราหรือ ศัตรูของเรา? ” เอลียาห์ทูลตอบว่า “ข้าพระองค์หาพระองค์เจอแล้ว เพราะว่าพระองค์ได้ขายตัวพระองค์เองเพื่อกระทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์
21 พระยาห์เวห์ได้ตรัสต่อพระองค์ว่า ‘ดูเถิด เราจะนำภัยพิบัติมาต่อเจ้า และจะกวาดล้างเจ้าออกไปเสียให้หมด และจะกำจัดผู้ชายทุกคนทั้งที่เป็นทาสและเป็นไทในอิสราเอลออกจากเจ้า 22 เราจะทำให้วงศ์วานของเจ้าเหมือนวงศ์วานของเยโรโบอัมบุตรชายของเนบัท และเหมือนวงศ์วานของบาอาชาบุตรชายของอาหิยาห์ เพราะเจ้าทำให้เราโกรธและเจ้าทำให้อิสราเอลกระทำบาปด้วย
23 พระยาห์เวห์ได้ตรัสว่าส่วนเยเซเบล ‘สุนัขจะกินเยเซเบลที่ข้างกำแพงยิสเรเอล’ 24 สุนัขจะกินผู้ที่อยู่ในวงศ์วานของอาหับที่ตายในเมือง และนกในอากาศจะกินผู้ที่อยู่ในวงศ์วานของเขาที่ตายในทุ่งนา ”
25 ไม่มีผู้ใดเหมือนเช่นอาหับ ผู้ซึ่งได้ขายตนเอง เพื่อกระทำสิ่งชั่วในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ ผู้ที่เยเซเบลพระมเหสีได้ส่งเสริมให้ทำบาป 26 อาหับได้ทรงทำสิ่งที่น่าชังอย่างมาก คือพระองค์ได้ติดตามรูปเคารพ ตามธรรมเนียมทุกสิ่งของคนอาโมไรต์ที่ได้กระทำ ผู้ที่พระยาห์เวห์ได้ทรงโยนออกไปให้พ้นหน้าประชาชนอิสราเอล
27 เมื่ออาหับได้ทรงได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ พระองค์ก็ได้ฉีกฉลองพระองค์และได้ทรงใส่เสื้อผ้ากระสอบ ได้ทรงอดอาหาร ได้ทรงเอนพระกายในผ้ากระสอบ และได้ทรงโศกเศร้ามาก 28 แล้วถ้อยคำของพระยาห์เวห์ได้มาถึงเอลียาห์ชาวทิชบีว่า 29 “เจ้าได้เห็นอาหับถ่อมตนลงต่อเราไหม? เพราะเขาได้ถ่อมตนของเขาลงต่อเรา เราจะไม่นำภัยพิบัติมาในยุคของเขา แต่เราจะนำเหตุร้ายมายังวงศ์วานของเขาในสมัยบุตรชายของเขา”
1 สามปีผ่านไปโดยปราศจากสงครามระหว่างอารัมกับอิสราเอล 2 แล้วเมื่อประมาณในปีที่สาม เยโฮชาฟัทกษัตริย์แห่งยูดาห์ได้เสด็จลงไปพบกษัตริย์แห่งอิสราเอล
3 บัดนี้กษัตริย์แห่งอิสราเอลได้ตรัสถามพวกข้าราชบริพารของพระองค์ว่า “ พวกท่านรู้ไหมว่า ราโมทกิเลอาดเป็นของพวกเรา แต่เรายังจะนิ่ง เรายังไม่ได้ไปเอาจากกษัตริย์แห่งอารัมหรือ?” 4 ดังนั้นพระองค์ได้ตรัสกับเยโฮชาฟัทว่า “ท่านจะยกทัพไปสู้รบที่ราโมทกิเลอาดกับเราหรือไม่?” และเยโฮชาฟัทได้ตรัสตอบกษัตริย์แห่งอิสราเอลว่า “ข้าพเจ้ากับพระองค์เป็นดั่งคนเดียวกัน ประชาชนของข้าพเจ้าก็เป็นดั่งประชาชนของพระองค์ และม้าของข้าพเจ้าก็เป็นดั่งม้าของพระองค์”
5 เยโฮชาฟัทได้ตรัสกับกษัตริย์แห่งอิสราเอลว่า “ขอแสวงหาการทรงนำจากพระทัยของพระยาห์เวห์ก่อนว่าเราควรทำประการใด” 6 จากนั้นกษัตริย์แห่งอิสราเอลก็ได้ทรงเรียกประชุมพวกผู้เผยพระวจนะสี่ร้อยคน และได้ตรัสกับพวกเขาว่า “ควรที่เราจะไปทำสงครามโจมตีราโมทกิเลอาดหรือไม่?” พวกเขาได้ทูลตอบว่า “ขอทรงโจมตีเถิด ด้วยเหตุว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะได้มอบไว้ในพระหัตถ์ของกษัตริย์”
7 แต่เยโฮชาฟัทได้ตรัสว่า “ที่แห่งนี้ไม่มีผู้เผยพระวจนะของพระยาห์เวห์อีกหรือ ที่เราจะปรึกษาได้?” 8 กษัตริย์แห่งอิสราเอลได้ตรัสกับเยโฮชาฟัทว่า “มีชายอีกคนหนึ่งซึ่งโดยเขาเราจะได้รับคำแนะนำของพระยาห์เวห์ มีคายาห์บุตรชายของอิมลาห์ แต่เราเองก็ชังเขา เพราะเขาเผยแต่เรื่องร้าย ไม่เคยเผยเรื่องดีๆ แก่เราเลย” แต่เยโฮชาฟัทได้ตรัสว่า “ขอกษัตริย์อย่าได้ตรัสเช่นนั้น” 9 จากนั้นกษัตริย์แห่งอิสราเอลจึงเรียกมหาดเล็กคนหนึ่ง และได้ตรัสสั่งว่า “จงรีบไปนำมีคายาห์บุตรชายของอิมลาห์มาทันที”
10 บัดนี้อาหับกษัตริย์แห่งอิสราเอลและเยโฮชาฟัทกษัตริย์แห่งยูดาห์ได้ต่างประทับบนพระที่นั่งและได้ทรงฉลองพระองค์เต็มยศ ตรงที่ลานนวดข้าว ที่ทางเข้าประตูเมืองสะมาเรีย และผู้เผยพระวจนะทั้งหมดก็เผยเฉพาะพระพักตร์ทั้งสองพระองค์ 11 เศเดคียาห์บุตรชายของเคนาอะนาห์จึงได้ทำเขาสัตว์จากเหล็ก แล้วพูดว่า “พระยาห์เวห์ได้ตรัสดังนี้ว่า ‘จากสิ่งเหล่านี้ เจ้าจะดันคนอารัมไปจนพวกเขาสิ้นซาก’” 12 แล้วผู้เผยพระวจนะทั้งหมดก็เผยพระวจนะเหมือนกันว่า “ขอไปโจมตีราโมทกิเลอาดและมีชัยเพราะพระยาห์เวห์จะได้มอบเมืองนั้นไว้ในพระหัตถ์ของกษัตริย์”
13 ผู้สื่อสารที่ไปเรียกมีคายาห์ได้บอกท่านว่า “บัดนี้จงดูเถิด ถ้อยคำของบรรดาผู้เผยพระวจนะก็ได้เผยสิ่งที่ดีแก่กษัตริย์เป็นเสียงเดียวกัน ขอให้ถ้อยคำของท่านเป็นอย่างถ้อยคำของคนหนึ่งในพวกนั้น และเผยแต่สิ่งที่ดี” 14 มีคายาห์ได้ตอบว่า “พระยาห์เวห์ทรงพระชนม์อยู่ สิ่งที่พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็จะพูด” 15 เมื่อท่านได้มาเฝ้ากษัตริย์ กษัตริย์ได้ตรัสถามท่านว่า “มีคายาห์ พวกเราควรจะไปรบกับราโมทกิเลอาดดีหรือไม่?” และมีคายาห์ได้ทูลตอบพระองค์ว่า “ขอเชิญเสด็จขึ้นไปตี และมีชัย พระยาห์เวห์จะได้ทรงมอบเมืองไว้ในพระหัตถ์ของกษัตริย์”
16 แล้วกษัตริย์ได้ตรัสกับท่านว่า “กี่ครั้งแล้วที่เราได้ให้เจ้าปฏิญาณว่า เจ้าจะพูดความจริงกับเราในพระนามของพระยาห์เวห์?” 17 ดังนั้นมีคายาห์ได้ทูลว่า “ข้าพระองค์ได้เห็นคนอิสราเอลทั้งหมดกระจัดกระจายไปยังภูเขา เหมือนแกะที่ไม่มีผู้เลี้ยง และพระยาห์เวห์ได้ตรัสว่า ‘คนเหล่านี้ไม่มีผู้เลี้ยง ให้พวกเขาทุกคนกลับบ้านของพวกเขาเองด้วยสวัสดิภาพเถิด’”
18 ดังนั้นกษัตริย์แห่งอิสราเอลจึงได้ตรัสกับเยโฮชาฟัทว่า “เราบอกท่านแล้วใช่หรือไม่ว่า เขาจะไม่เผยเรื่องดีเกี่ยวกับเราเลย แต่จะมีเรื่องร้ายเท่านั้น?” 19 แล้วมีคายาห์ได้ทูลว่า “ดังนั้น ขอได้ทรงฟังพระวจนะของพระยาห์เวห์ ข้าพระองค์ได้เห็นพระยาห์เวห์ประทับบนพระที่นั่งของพระองค์ และกองทัพทั้งหมดแห่งท้องฟ้ายืนข้างๆ พระองค์ ทั้งทางข้างขวาและข้างซ้ายพระหัตถ์ของพระองค์ 20 พระยาห์เวห์ได้ตรัสว่า ‘ใครจะล่อลวงอาหับให้ขึ้นไป เพื่อที่เขาจะล้มลงที่ราโมทกิเลอาด?’ บางคนก็ทูลแบบนี้ อีกคนก็ทูลแบบนั้น
21 แล้วมีวิญญาณหนึ่งได้ออกมายืนต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ และได้ทูลว่า ‘ข้าพระองค์เองจะล่อลวงเขา’ และพระยาห์เวห์ได้ตรัสกับมันว่า ‘จะทำเช่นไร?’ 22 วิญญาณได้ทูลว่า ‘ข้าพระองค์จะออกไป และจะเป็นวิญญาณมุสาอยู่ในปากของผู้เผยพระวจนะทุกคนของเขา’ พระองค์ได้ตรัสว่า ‘เจ้าไปล่อลวงเขาได้ และเจ้าจะทำได้สำเร็จ จงไปและทำเถิด’ 23 บัดนี้ ดูเถิด พระยาห์เวห์ได้ทรงใส่วิญญาณมุสาในปากของผู้เผยพระวจนะทุกคนของกษัตริย์ และพระยาห์เวห์ได้ตรัสเรื่องภัยพิบัติเกี่ยวกับกษัตริย์”
24 แล้วเศเดคียาห์บุตรชายของเคนาอะนาห์ได้เข้า และได้ตบแก้มมีคายาห์และได้พูดว่า “ วิธีใดเล่าที่พระวิญญาณของพระยาห์เวห์ไปจากข้าแล้วพูดกับเจ้าได้?” 25 มีคายาห์ได้ตอบว่า “ดูเถิด เจ้าจะเห็นในวันนั้น เมื่อเจ้าเข้าไปซ่อนตัว ภายในห้อง”
26 กษัตริย์แห่งอิสราเอลได้ตรัสกับข้าราชบริพารของพระองค์ว่า “จงจับมีคายาห์แล้วส่งเขาไปให้อาโมนเจ้าเมืองและโยอาชโอรสของเรา 27 บอกเขาว่า ‘กษัตริย์ได้ตรัสดังนี้ว่า “เอาคนนี้ไปขังไว้ ให้อาหารกับน้ำอย่างจำกัด จนกว่าเราจะกลับมาด้วยความปลอดภัย”’ 28 แล้วมีคายาห์ได้ทูลว่า “ถ้าพระองค์เสด็จกลับมาด้วยความปลอดภัยได้จริง พระยาห์เวห์ก็ไม่ได้ตรัสผ่านข้าพระองค์” แล้วท่านได้กล่าวอีกว่า “ประชาชนทั้งหมด จงฟังเถิด”
29 ดังนั้นอาหับกษัตริย์แห่งอิสราเอลกับเยโฮชาฟัท กษัตริย์แห่งยูดาห์จึงได้เสด็จไปยังราโมทกิเลอาด 30 กษัตริย์แห่งอิสราเอลได้ตรัสกับเยโฮชาฟัทว่า “เราจะปลอมตัวเข้าสนามรบ แต่ท่านจงใส่ฉลองพระองค์ของกษัตริย์ ดังนั้นกษัตริย์แห่งอิสราเอลก็ได้ทรงปลอมพระองค์และได้เข้าสนามรบ
31 บัดนี้ กษัตริย์แห่งอารัมได้ทรงบัญชาพวกแม่ทัพรถม้าศึกของพระองค์ทั้งสามสิบสองคนว่า “ห้ามรบกับทหารที่ไม่สำคัญ แต่ให้โจมตีกษัตริย์แห่งอิสราเอลเท่านั้น” 32 ในเวลานั้นเมื่อพวกแม่ทัพรถม้าศึกได้เห็นเยโฮชาฟัท พวกเขาก็ได้พูดว่า “ใช่แล้วนี่เป็นกษัตริย์อิสราเอล” พวกเขาจึงกรูกันไปสู้กับพระองค์ ดังนั้น เยโฮชาฟัทได้ทรงตะโกนออกไป 33 ต่อมาเมื่อพวกแม่ทัพรถม้าศึกได้เห็นว่าไม่ใช่กษัตริย์อิสราเอล พวกเขาก็ได้เลี้ยวรถกลับจากการไล่ตามพระองค์
34 แต่มีชายคนหนึ่งได้โก่งธนูยิงสุ่มไปถูกกษัตริย์แห่งอิสราเอลเข้าช่องเกล็ดเกราะและแผ่นบังพระอุระ อาหับจึงรับสั่งคนขับรถม้าศึกว่า “เลี้ยวกลับเถอะ พาเราออกจากสนามรบ เพราะเราบาดเจ็บมาก”
35 สนามรบในวันนั้นก็ได้รุนแรงขึ้น เขาก็ได้ประคองกษัตริย์ขึ้นในรถม้าศึกให้หันพระพักตร์ไปทางพวกอารัม จนในตอนเย็นพระองค์ก็ได้สวรรคต และพระโลหิตที่บาดแผลก็ไหลออกเจิ่งนองทั่วท้องรถม้าศึก 36 แล้วประมาณตอนพระอาทิตย์กำลังจะตก มีเสียงร้องไปทั่วกองทัพว่า “ให้ทุกคนกลับไปยังเมืองของตน และภูมิลำเนาของตน”
37 ดังนั้นเมื่อกษัตริย์อาหับได้สวรรคตแล้ว เขาก็นำมายังสะมาเรีย และพวกเขาได้ฝังพระองค์ในสะมาเรีย 38 พวกเขาได้ล้างรถม้าศึกที่สระน้ำสะมาเรีย และพวกสุนัขก็เลียโลหิตของพระองค์ (ที่นี่พวกหญิงโสเภณีได้ลงอาบน้ำ) เป็นไปตามพระวจนะของพระยาห์เวห์ที่ได้ตรัสไว้
39 ในเรื่องบรรดาพระราชกิจอื่นๆ ของอาหับ และทุกอย่างที่พระองค์ได้ทรงกระทำ และราชวังงาช้างซึ่งพระองค์ได้ทรงสร้างไว้ รวมทั้งเมืองทั้งหมดที่พระองค์ได้ทรงสร้าง สิ่งทั้งหมดนี้ได้ถูกบันทึกในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์แห่งอิสราเอลมิใช่หรือ? 40 ดังนั้นอาหับได้ทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ แล้วอาหัสยาห์พระโอรสของพระองค์ก็ขึ้นเป็นกษัตริย์แทน
41 แล้วเยโฮชาฟัทพระโอรสของอาสาได้ทรงปกครองเหนือยูดาห์ ในปีที่สี่แห่งรัชกาลอาหับกษัตริย์แห่งอิสราเอล 42 เยโฮชาฟัทรงมีพระชนม์ได้สามสิบห้าพรรษาเมื่อพระองค์ได้ทรงเริ่มปกครองและพระองค์ได้ทรงปกครองกรุงเยรูซาเล็มยี่สิบห้าปี พระมารดาของพระองค์ทรงมีพระนามว่า อาซูบาห์ บุตรหญิงของชิลหิ
43 พระองค์ได้ทรงดำเนินตามทางทั้งปวงของอาสาพระบิดาของพระองค์ และไม่ได้ทรงหันเหจากทางนั้น พระองค์ได้ทรงทำสิ่งที่ชอบธรรมในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ แต่สถานสูงทั้งหลายนั้นยังไม่ได้ถอนลง ผู้คนยังคงถวายเครื่องสัตวบูชา และเผาเครื่องหอมอยู่บนสถานสูงเหล่านั้น 44 เยโฮชาฟัทได้ทรงสงบศึกกับกษัตริย์แห่งอิสราเอลด้วย
45 ในเรื่องพระราชกิจอื่นๆ ของเยโฮชาฟัท และพระอำนาจที่พระองค์ได้ทรงสำแดง และสงครามที่ได้ทรงกระทำ สิ่งทั้งหมดนี้ได้ถูกบันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์แห่งยูดาห์มิใช่หรือ? 46 พระองค์ก็ได้ทรงกวาดล้างจากแผ่นดินคือ โสเภณีในพิธีศาสนาที่เหลืออยู่ ซึ่งยังเหลือในสมัยของอาสาพระราชบิดานั้น 47 ในเอโดมไม่มีกษัตริย์ แต่มีผู้สำเร็จราชการแผ่นดินปกครองแทน
48 เยโฮชาฟัทได้ทรงสร้างเรือเดินมหาสมุทรหลายลำ สำหรับขนทองคำจากโอฟีร์ แต่ไม่อาจไปถึงเพราะเรือล่มที่เอซิโอนเกเบอร์ 49 จากนั้นอาหัสยาห์พระโอรสของอาหับได้ตรัสกับเยโฮชาฟัทว่า “ขอให้ข้าราชบริพารของข้าพระองค์นั่งเรือไปกับข้าราชบริพารของพระองค์” แต่เยโฮชาฟัทไม่ทรงยอม 50 เยโฮชาฟัทได้ทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และเขาก็ได้ฝังพระศพไว้กับบรรพบุรุษของพระองค์ในเมืองดาวิด และเยโฮรัมพระโอรสก็ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์แทน
51 อาหัสยาห์พระโอรสของอาหับได้ทรงเริ่มปกครองเหนืออิสราเอลในสะมาเรีย ในปีที่สิบเจ็ดแห่งรัชกาลเยโฮชาฟัทกษัตริย์แห่งยูดาห์ และพระองค์ได้ทรงปกครองอิสราเอลสองปี 52 พระองค์ได้ทรงกระทำสิ่งชั่วในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ และได้ทรงดำเนินในทางของพระบิดาของพระองค์ และในทางของพระมารดาของพระองค์ และในทางของเยโรโบอัมบุตรชายของเนบัท ในวิธีนี้พระองค์ได้ชักนำอิสราเอลให้กระทำบาปด้วย 53 พระองค์ได้ทรงรับใช้พระบาอัลและได้นมัสการพระนั้น ทำให้พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลได้ทรงกริ้ว โดยทำตามทุกสิ่งที่พระบิดาของพระองค์ได้ทรงกระทำนั้น
1 โมอับก็ได้ก่อการกบฏต่ออิสราเอล หลังจากที่อาหับได้สวรรคต 2 แล้วอาหัสยาห์ได้ทรงตกลงมาจากช่องไม้ระแนงหน้าต่างที่ห้องชั้นบนของพระองค์ในสะมาเรีย และทรงบาดเจ็บ ดังนั้น พระองค์จึงได้ทรงใช้บรรดาผู้สื่อสารไป และได้ทรงบอกกับพวกเขาว่า “จงไปสอบถามพระบาอัลเซบูบ พระของเอโครนว่าเราจะหายจากการบาดเจ็บนี้หรือไม่?”
3 แต่ทูตสวรรค์ของพระยาห์เวห์ได้พูดกับเอลียาห์ชาวทิชบีว่า “จงขึ้นไปหาพวกผู้สื่อสารของกษัตริย์ของเมืองสะมาเรีย และพูดกับพวกเขาว่า ‘เหตุเพราะไม่มีพระเจ้าในอิสราเอลหรือ ท่านจึงไปขอการปรึกษาพระบาอัลเซบูบ พระของเอโครน? 4 ดังนั้นพระยาห์เวห์ทรงกล่าวดังนี้ว่า ‘เจ้าจะไม่ได้ลุกจากที่นอนของเจ้า แต่เจ้าจะต้องตายอย่างแน่นอน’” แล้วเอลียาห์ได้จากไป
5 เมื่อผู้สื่อสารนั้นได้กลับมาเฝ้าอาหัสยาห์พระองค์ได้ทรงกล่าวถามเขาทั้งหลายว่า “เหตุใดพวกเจ้าจึงพากันมา?” 6 เขาทั้งหลายได้พูดต่อพระองค์ว่า “มีชายคนหนึ่งขึ้นมาหาพวกข้าพระองค์ และได้พูดกับพวกข้าพระองค์ว่า ‘จงกลับไปเข้าเฝ้ากษัตริย์ผู้ทรงใช้ท่านมา และพูดต่อพระองค์ว่า องค์พระยาห์เวห์ทรงกล่าวดังนี้ว่า เหตุเพราะไม่มีพระเจ้าในอิสราเอลหรือ เจ้าจึงใช้คนไปขอการปรึกษาพระบาอัลเซบูบพระของเอโครน? ดังนั้น เจ้าจะไม่ได้ลุกจากที่นอนของเจ้า แต่เจ้าจะต้องตายอย่างแน่นอน’”
7 อาหัสยาห์ได้ทรงกล่าวถามผู้สื่อสารของพระองค์ว่า “คนที่ขึ้นพบเจ้าและบอกสิ่งเหล่านี้แก่เจ้านั้นมีลักษณะเช่นไร?” 8 พวกเขาได้ทูลพูดต่อพระองค์ว่า “เขาได้สวมเสื้อผ้าที่ทำด้วยขนสัตว์และมีสายหนังคาดเอวของเขา” ดังนั้น กษัตริย์ได้ทรงกล่าวว่า “นั่นคือ เอลียาห์ชาวทิชบี”
9 แล้วกษัตริย์ก็ได้ทรงรับสั่งให้นายกองกับทหารห้าสิบนายไปหาเอลียาห์ นายกองได้ขึ้นไปหาเอลียาห์ที่ซึ่งเขากำลังนั่งอยู่บนยอดเขา นายกองได้กล่าวแก่เขาว่า “ท่าน คนของพระเจ้า กษัตริย์ได้ทรงกล่าวดังนี้ว่า ‘จงลงมา’” 10 แต่เอลียาห์ได้ตอบนายกองและได้พูดว่า “หากเราเป็นคนของพระเจ้า ก็ขอให้ไฟลงมาจากท้องฟ้าเผาไหม้ท่าน และคนทั้งห้าสิบของท่านเถิด” แล้วไฟก็ได้ลงมาจากท้องฟ้า และได้เผาไหม้เขากับคนทั้งห้าสิบของเขา
11 แล้วกษัตริย์อาหัสยาห์ได้รับสั่งให้นายกองอีกคนหนึ่งกับทหารห้าสิบนายของเขาไปหาเอลียาห์ นายกองคนนี้ก็ได้กล่าวแก่เอลียาห์ว่า “ท่าน คนของพระเจ้า กษัตริย์ทรงกล่าวดังนี้ว่า ‘จงลงมาเร็วๆ’” 12 เอลียาห์ได้ตอบและได้พูดว่า “หากเราเป็นคนของพระเจ้า ก็ขอให้ไฟลงมาจากท้องฟ้าเผาไหม้ท่าน และคนทั้งห้าสิบของท่านเถิด” แล้วไฟของพระเจ้าได้ลงมาจากท้องฟ้า และได้เผาไหม้เขากับคนทั้งห้าสิบของเขาอีก
13 อีกครั้ง กษัตริย์ยังได้รับสั่งให้นายกองกลุ่มที่สามกับนายกองห้าสิบนายของเขา นายกองคนนี้ก็ได้ขึ้นไป คุกเข่าต่อหน้าเอลียาห์ ได้วิงวอนและพูดกับเขาว่า “ท่าน คนของพระเจ้า ข้าพเจ้าได้ขอร้องท่าน ขอให้ชีวิตของข้าพเจ้าและชีวิตของผู้รับใช้ของท่านอีกห้าสิบคนนี้เป็นสิ่งที่มีค่าในสายตาของท่าน 14 แท้จริงแล้วไฟได้ลงมาจากท้องฟ้า และได้เผาผลาญนายกองสองคนแรก พร้อมทั้งทหารของเขาที่มาก่อน แต่บัดนี้ขอให้ชีวิตของข้าพเจ้าเป็นสิ่งที่มีค่าในสายตาของท่านด้วยเถิด”
15 แล้วทูตสวรรค์ของพระยาห์เวห์ได้กล่าวแก่เอลียาห์ว่า “จงลงไปกับเขาเถิด อย่ากลัวเขาเลย” ดังนั้น เอลียาห์ก็ได้ลุกขึ้นและลงไปกับเขาเพื่อเข้าเฝ้ากษัตริย์ 16 ต่อมา เอลียาห์ได้กราบทูลอาหัสยาห์ว่า “นี่คือเหตุที่พระยาห์เวห์ตรัสว่า ‘เพราะเจ้าได้ส่งผู้สื่อสารไปปรึกษาพระบาอัลเซบูบ พระแห่งเอโครน เพราะไม่มีพระเจ้าในอิสราเอลให้ทูลถามอย่างนั้นหรือ? เพราะฉะนั้น บัดนี้เจ้าจะไม่ได้ลุกขึ้นจากที่นอน แต่เจ้าจะต้องตายอย่างแน่นอน’”
17 เพราะเหตุนั้น กษัตริย์อาหัสยาห์ก็ได้สวรรคต เป็นไปตามพระวจนะของพระยาห์เวห์ซึ่งเอลียาห์ได้พูดไว้ และโยรัมได้ทรงขึ้นปกครองแทน ในปีที่สองของรัชกาลเยโฮรัม โอรสของเยโฮชาฟัทกษัตริย์ของยูดาห์ เพราะอาหัสยาห์ไม่มีโอรส 18 ในส่วนพระราชกรณียกิจอื่นของอาหัสยาห์ ไม่ได้ถูกบันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์ของอิสราเอลหรือ?
1 ดังนั้น แล้วสิ่งนี้ก็ได้เกิดขึ้น เมื่อพระยาห์เวห์จะทรงรับเอลียาห์ไปยังท้องฟ้าด้วยพายุหมุน ที่ซึ่งเอลียาห์และเอลีชากำลังเดินทางจากกิลกาล 2 เอลียาห์ได้พูดกับเอลีชาว่า “พระยาห์เวห์ทรงใช้เราไปเบธเอล ดังนั้นจงคอยอยู่ที่นี่เถิด” แล้วเอลีชาได้ตอบว่า “หากแม้พระยาห์เวห์ทรงพระชนม์อยู่และท่านเองมีชีวิตอยู่อย่างแน่นอน ข้าพเจ้าจะไม่ไปจากท่านเหมือนกัน” ดังนั้น เขาทั้งสองก็ได้ลงไปเบธเอล
3 เหล่าผู้เผยพระวจนะผู้อยู่ในเบธเอลได้ออกมาหาเอลีชา และได้บอกเขาว่า “เจ้าทราบไหมว่า วันนี้พระยาห์เวห์จะทรงรับเจ้านายของเจ้าไปจากเจ้า?” เอลีชาได้ตอบว่า “ข้าพเจ้าทราบแล้ว แต่อย่าพูดถึงเรื่องนี้” 4 เอลียาห์ได้พูดกับเขาว่า “เอลีชา จงคอยอยู่ที่นี่เถิด เพราะพระยาห์เวห์ทรงได้ส่งเราไปเมืองเยรีโค” แล้วเอลีชาได้ตอบว่า “หากแม้พระยาห์เวห์ทรงพระชนม์อยู่และท่านเองมีชีวิตอยู่อย่างแน่นอน ข้าพเจ้าจะไม่ไปจากท่านเหมือนกัน” ดังนั้น เขาทั้งสองก็ได้มายังเมืองเยรีโค
5 แล้วเหล่าผู้เผยพระวจนะผู้อยู่ในเมืองเยรีโคได้เข้ามาใกล้เอลีชาและได้พูดกับท่านว่า “เจ้าทราบไหมว่า วันนี้พระยาห์เวห์จะทรงรับเจ้านายของเจ้าไปจากเจ้า?” เอลีชาได้ตอบว่า “ข้าพเจ้าทราบแล้ว แต่อย่าพูดถึงเรื่องนี้” 6 แล้วเอลียาห์ได้พูดกับเขาว่า “จงคอยอยู่ที่นี่เถิด เพราะพระยาห์เวห์ทรงใช้เราไปที่แม่น้ำจอร์แดน” เอลีชาได้ตอบว่า “หากแม้พระยาห์เวห์ทรงพระชนม์อยู่และท่านเองมีชีวิตอยู่อย่างแน่นอน ข้าพเจ้าจะไม่ไปจากท่านเหมือนกัน” ดังนั้น เขาทั้งสองก็ได้เดินต่อไป
7 ต่อมามีเหล่าผู้เผยพระวจนะห้าสิบคนได้ยืนฝั่งตรงข้ามกับพวกเขาที่อยู่ไกลออกไป ส่วนเขาทั้งสองยืนอยู่ริมแม่น้ำจอร์แดน 8 เอลียาห์ได้เอาเสื้อคลุมของท่าน ม้วนเข้าแล้วฟาดลงที่น้ำนั้น แม่น้ำก็ได้แยกออกไปสองข้าง เพื่อว่าเขาทั้งสองได้เดินข้ามไปบนดินแห้ง
9 แล้วสิ่งนี้ก็ได้เกิดขึ้น หลังจากพวกเขาได้ข้ามไปแล้ว เอลียาห์ได้พูดกับเอลีชาว่า “จงขอเราเถิด เจ้าอยากให้เราทำอะไรให้แก่เจ้า ก่อนที่เราจะถูกรับไปจากเจ้า” เอลีชาได้ตอบว่า “โปรดให้วิญญาณของท่านสองเท่ามาอยู่เหนือข้าพเจ้า” 10 เอลียาห์ได้ตอบว่า “เจ้าขอสิ่งที่ยากนัก อย่างไรก็ดี ถ้าเจ้าเห็นเราถูกรับไปจากเจ้า เจ้าก็จะได้อย่างนั้น แต่ถ้าเจ้าไม่เห็น เจ้าก็จะไม่ได้”
11 เมื่อพวกเขายังได้เดินสนทนากันต่อไป ดูสิ รถม้าศึกเพลิงคันหนึ่งและพวกม้าเพลิงได้แยกเขาทั้งสองออกจากกัน และเอลียาห์ได้ขึ้นไปท้องฟ้าโดยพายุหมุน 12 เอลีชาได้เห็น และได้ร้องว่า “บิดาของข้า บิดาของข้า รถม้าศึกแห่งอิสราเอล และทหารม้าของพวกเขา" เขาก็ไม่ได้เห็นเอลียาห์อีกเลย แล้วเอลีชาได้จับเสื้อผ้าของตนและได้ฉีกออกเป็นสองท่อน
13 เอลีชาก็ได้หยิบเสื้อคลุมของเอลียาห์ ที่ตกลงมาจากเอลียาห์นั้น และได้กลับไปยืนอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำจอร์แดน 14 เขาก็ได้เอาเสื้อคลุมของเอลียาห์ที่ตกลงมานั้น ฟาดลงไปที่น้ำและได้กล่าวว่า “พระยาห์เวห์พระเจ้าของเอลียาห์สถิตที่ใด?” เมื่อเขาฟาดลงที่น้ำ น้ำก็แยกออกเป็นสองข้าง และเอลีชาก็ได้เดินข้ามไป
15 เมื่อเหล่าผู้เผยพระวจนะที่อยู่เมืองเยรีโคเห็นเขาอยู่แต่ไกล เขาทั้งหลายได้พูดว่า “วิญญาณของเอลียาห์อยู่กับเอลีชา” ดังนั้นเขาทั้งหลายจึงมาพบเขา และได้ก้มลงถึงดินทำการเคารพต่อหน้าเขา 16 เขาทั้งหลายได้พูดกับเขาว่า “ดูเถิดบัดนี้ มีชายฉกรรจ์ห้าสิบคนอยู่กับพวกผู้รับใช้ของท่าน พวกเราวิงวอนขอให้พวกเขาไปและเสาะหาเจ้านายของท่าน เผื่อว่าพระวิญญาณของพระยาห์เวห์ได้รับท่านไปแล้วและได้เหวี่ยงท่านลงมาที่ภูเขาลูกหนึ่งหรือหุบเขาแห่งหนึ่ง” เอลีชาได้ตอบว่า “อย่าใช้พวกเขาไปเลย”
17 แต่เมื่อพวกเขาได้รบเร้าเอลีชาจนเขาละอาย แล้วเขาจึงได้พูดว่า “ใช้พวกเขาไปเถิด” แล้วพวกเขาจึงใช้ห้าสิบคนไป และพวกเขาได้เสาะหาเอลียาห์อยู่สามวันแต่ไม่พบท่าน 18 พวกเขาก็ได้กลับมาหาเอลีชา ขณะที่เขาพักอยู่ที่เมืองเยรีโค และเอลีชาได้พูดกับพวกเขาว่า “เราบอกพวกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือว่า ‘อย่าไปเลย?’”
19 ผู้คนในเมืองนั้นได้พูดกับเอลีชาว่า “ดูสิ พวกเราได้ขอร้องท่าน ทำเลเมืองนี้ร่มรื่นดี เหมือนที่เจ้านายของข้าพเจ้าได้เห็นแล้ว แต่น้ำไม่ดีและแผ่นดินก็ไม่เกิดผล” 20 เอลีชาได้พูดว่า “จงเอาชามใหม่มาใบหนึ่งและใส่เกลือในนั้น” แล้วเขาทั้งหลายก็ได้นำมาให้เขา
21 แล้วเอลีชาก็ได้ไปที่น้ำพุและโยนเกลือลงในนั้นและเขาได้กล่าวว่า “พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า ‘เราทำน้ำนี้ให้ดีแล้ว ตั้งแต่นี้ไปจะไม่มีความตายหรือการไม่เกิดผล’” 22 ดังนั้น น้ำนั้นจึงดีมาจนถึงทุกวันนี้ ตามถ้อยคำที่เอลีชาได้กล่าวนั้น
23 แล้วเอลีชาได้ขึ้นไปจากที่นั่นถึงเมืองเบธเอล และขณะขึ้นไปตามทาง มีพวกเด็กหนุ่มได้ออกมาจากเมืองและล้อเลียนเขา โดยพูดกับเขาว่า “ไปให้พ้น เจ้าหัวล้าน ไปให้พ้น เจ้าหัวล้าน” 24 เอลีชาก็ได้หันมาเห็นเขาและได้มองพวกเขา เอลีชาจึงได้แช่งพวกเขาในพระนามพระยาห์เวห์ แล้วมีหมีตัวเมียสองตัวได้ออกมาจากป่าและได้ทำให้เด็กชายเหล่านั้นสี่สิบสองคนได้รับบาดเจ็บ 25 แล้วเอลีชาได้ขึ้นไปถึงภูเขาคารเมล และจากที่นั่นเขาก็ได้กลับมายังกรุงสะมาเรีย
1 บัดนี้ ในปีที่สิบแปดของรัชกาลเยโฮชาฟัทกษัตริย์ยูดาห์ โยรัมพระราชโอรสของอาหับได้ทรงครองอิสราเอลในกรุงสะมาเรีย พระองค์ได้ทรงปกครองอยู่สิบสองปี 2 พระองค์ได้ทรงทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ แต่ไม่ได้ทรงเหมือนพระบิดาและพระมารดาของพระองค์ เพราะพระองค์ได้ทรงรื้อเสาหินศักดิ์สิทธิ์ของพระบาอัล ซึ่งพระบิดาของพระองค์ได้ทรงทำไว้ 3 อย่างไรก็ดี พระองค์ยังได้ทรงยึดติดอยู่กับบรรดาความบาปของเยโรโบอัมบุตรชายของเนบัท ผู้เป็นเหตุให้อิสราเอลทำบาป พระองค์ไม่ได้ทรงหันจากบาปนั้น
4 บัดนี้ เมชากษัตริย์โมอับได้ทรงเป็นผู้เพาะพันธุ์แกะ พระองค์ต้องถวายลูกแกะ 100,000 ตัว และขนแกะตัวผู้ 100,000 ผืนแก่กษัตริย์แห่งอิสราเอล 5 แต่ต่อมาเมื่ออาหับได้สวรรคตแล้ว กษัตริย์แห่งโมอับก็ได้กบฏต่อกษัตริย์แห่งอิสราเอล 6 ดังนั้น ในครั้งนั้นกษัตริย์โยรัมได้ทรงออกจากกรุงสะมาเรียเพื่อระดมพลคนอิสราเอลทั้งสิ้นเพื่อการสงคราม
7 พระองค์ได้ทรงส่งสาสน์ไปยังเยโฮชาฟัทกษัตริย์ยูดาห์ กล่าวว่า “กษัตริย์โมอับได้กบฏต่อข้าพเจ้า ท่านจะไปรบกับโมอับกับข้าพเจ้าหรือไม่?” เยโฮชาฟัทได้ตรัสตอบว่า “ข้าพเจ้าจะไป ข้าพเจ้าก็เป็นเหมือนที่ท่านเป็น และประชาชนของข้าพเจ้าก็เป็นเหมือนประชาชนของท่าน บรรดาม้าของข้าพเจ้าก็เป็นเหมือนบรรดาม้าของท่าน” 8 แล้วพระองค์ได้ตรัสว่า “พวกเราควรจะยกขึ้นไปโจมตีทางไหน?” เยโฮชาฟัทได้ตรัสตอบว่า “ไปทางถิ่นทุรกันดารเอโดม”
9 ดังนั้น กษัตริย์อิสราเอลจึงได้เสด็จไปกับกษัตริย์ยูดาห์ และกษัตริย์เอโดม และเมื่อทั้งสามกษัตริย์เสด็จอ้อมไปได้เจ็ดวันแล้ว ก็หาน้ำให้กองทัพหรือให้ม้าทั้งหลายของพวกเขาหรือเหล่าสัตว์ต่างๆ ที่มาด้วยไม่ได้ 10 ดังนั้น กษัตริย์อิสราเอลจึงได้ตรัสว่า “นี่คืออะไร? พระยาห์เวห์ได้ทรงเรียกสามกษัตริย์มาเพื่อจะมอบไว้ในมือของโมอับหรือ?”
11 แต่เยโฮชาฟัทได้ตรัสว่า “ที่นี่ไม่มีผู้เผยพระวจนะของพระยาห์เวห์ เพื่อเราจะให้เขาทูลปรึกษาพระยาห์เวห์หรือ?” แล้วข้าราชบริพารคนหนึ่งในบรรดาข้าราชบริพารของกษัตริย์อิสราเอลได้ทรงตอบและทูลว่า “เอลีชาบุตรชายของชาฟัทอยู่ที่นี่ คือผู้ที่ได้เทน้ำลงบนมือของเอลียาห์” 12 เยโฮชาฟัทได้ตรัสว่า “พระวจนะของพระยาห์เวห์อยู่กับเขา” ดังนั้น เยโฮชาฟัท กษัตริย์อิสราเอล และกษัตริย์เอโดมจึงได้เสด็จลงไปหาท่าน
13 เอลีชาได้ทูลกษัตริย์อิสราเอลว่า “ข้าพระองค์มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับพระองค์หรือ? ขอเสด็จไปหาผู้เผยพระวจนะของพระราชบิดาและพระราชมารดาของพระองค์เถิด” ดังนั้น กษัตริย์อิสราเอลได้ตรัสกับท่านว่า “ไม่ไป เพราะพระยาห์เวห์ได้ทรงเรียกบรรดากษัตริย์ทั้งสามนี้มาเพื่อมอบพวกเขาไว้ในมือของโมอับ” 14 เอลีชาได้ทูลว่า “พระยาห์เวห์ผู้ทรงเป็นจอมทัพ ผู้ทรงพระชนม์อยู่ ผู้ซึ่งข้าพระองค์ได้อยู่ต่อพระพักตร์พระองค์ แน่ที่เดียว ถ้าข้าพระองค์ไม่ได้เคารพนับถือเยโฮชาฟัทกษัตริย์ยูดาห์แล้ว ข้าพระองค์จะไม่เอาใจจดจ่ออยู่กับพระองค์เลย
15 แต่บัดนี้ ขอได้ทรงนำนักดนตรีมาให้ข้าพระองค์สักคนหนึ่ง” แล้วสิ่งนี้ก็ได้เกิดขึ้นเมื่อนักเล่นพิณได้เล่นแล้ว พระหัตถ์ของพระยาห์เวห์ก็มาเหนือเอลีชา 16 ท่านได้ทูลว่า “พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า ‘จงทำหุบเขานี้ให้เต็มไปด้วยร่องน้ำ’ 17 เพราะพระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า ‘เจ้าทั้งหลายจะไม่เห็นลมหรือฝน แต่หุบเขานั้นจะเต็มไปด้วยน้ำ และเจ้าจะได้ดื่ม ทั้งเจ้าเองกับฝูงปศุสัตว์ของเจ้า และสัตว์ใช้งานทั้งหมดของเจ้า’
18 เรื่องอย่างนี้เป็นเรื่องเล็กน้อยในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ พระองค์จะทรงมอบชัยชนะเหนือคนโมอับให้แก่เจ้าด้วย 19 พวกเจ้าจะโจมตีเมืองที่มีป้อมทุกเมือง และเมืองหลักทุกเมือง โค่นต้นไม้ดีทุกต้น อุดน้ำพุทุกที่ และทำไร่นาดีทุกแปลงให้เสียไปด้วยหิน”
20 ดังนั้น ในเวลาตอนเช้าประมาณเวลาถวายเครื่องบูชา มีน้ำไหลมาทางเมืองเอโดม จนแผ่นดินเต็มไปด้วยน้ำ
21 บัดนี้ เมื่อคนโมอับทั้งหมดได้ยินว่าบรรดากษัตริย์ได้ยกขึ้นมารบกับพวกเขา พวกเขาก็รวบรวมทุกคนที่สวมเสื้อเกราะได้ และพวกเขาได้ไปตั้งรับที่พรมแดน 22 พวกเขาได้ตื่นขึ้นตอนเช้าตรู่ และพระอาทิตย์ส่องแสงอยู่บนน้ำ เมื่อคนโมอับได้เห็นน้ำที่อยู่ตรงข้ามกับพวกเขา สีนั้นแดงเหมือนเลือด 23 พวกเขาได้อุทานว่า “นี่คือเลือด บรรดากษัตริย์ได้สู้รบกันแน่ๆ และพวกเขาได้ฆ่ากันเอง บัดนี้ โมอับเอ๋ย จงมาริบเอาข้าวของของพวกเขาเถิด
24 เมื่อพวกเขาได้มาถึงค่ายอิสราเอล คนอิสราเอลก็ได้ทำให้พวกเขาประหลาดใจและได้ต่อสู้กับพวกโมอับจนเขาทั้งหลายหนีไปต่อหน้าพวกเขา กองทัพของอิสราเอลได้รุกไล่คนโมอับรุกหน้าเข้าไปในแผ่นดินและได้ฆ่าฟันพวกเขา 25 พวกเขาได้ทำลายเมืองต่างๆ และทุกคนได้โยนหินเข้าไปในไร่นาที่ดีทุกแปลง พวกเขาได้อุดน้ำพุเสียทุกที่ และโค่นต้นไม้ดีๆ เสียหมด เหลือแต่เมืองคีร์หะเรเซทเท่านั้น แต่พวกกองทหารกับบรรดานักสลิงได้ล้อมเมืองไว้และได้โจมตี
26 เมื่อกษัตริย์เมชาโมอับทรงเห็นว่าจะสู้ไม่ได้ พระองค์จึงทรงพาพลดาบเจ็ดร้อยนายตีฝ่าออกไปทางกษัตริย์เอโดม แต่พวกเขาออกมาไม่ได้ 27 แล้วพระองค์ได้ทรงนำพระราชโอรสหัวปีของพระองค์ ผู้ควรจะขึ้นครองราชย์ต่อจากพระองค์ และได้ถวายพระโอรสเป็นเครื่องเผาบูชาที่บนกำแพง ดังนั้นจึงมีความโกรธแค้นอย่างใหญ่หลวงต่อพวกอิสราเอล และกองทัพอิสราเอลจึงได้ถอยไปจากกษัตริย์เมชาและได้ยกทัพกลับแผ่นดินของตน
1 บัดนี้ ภรรยาของคนหนึ่งในพวกผู้เผยพระวจนะได้ร้องทุกข์ต่อเอลีชา กล่าวว่า “คนรับใช้ของท่าน คือสามีของฉันได้เสียชีวิตแล้ว และท่านทราบอยู่แล้วว่าคนรับใช้ของท่านเกรงกลัวพระยาห์เวห์ บัดนี้ เจ้าหนี้ได้มาเพื่อจะเอาลูกสองคนของดิฉันไปเป็นทาสของเขา” 2 ดังนั้น เอลีชาได้ตอบนางว่า “จะให้เราทำอะไรให้แก่เจ้า ? จงบอกเราซิว่าเจ้ามีอะไรอยู่ในบ้านบ้าง?” นางได้ตอบว่า “คนรับใช้ของท่านไม่มีอะไรในบ้าน นอกจากน้ำมันหนึ่งไห”
3 แล้วเอลีชาได้กล่าวว่า “จงออกไป ขอยืมเหยือกเปล่าจากเพื่อนบ้านทุกคน ขอยืมมามากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ 4 แล้วเจ้าจงเข้าบ้าน และปิดประตูขังตัวเองและบุตรชายไว้ แล้วเทน้ำมันใส่เหยือกเหล่านี้ทั้งหมด ใบที่เต็มแล้วให้แยกไว้ต่างหาก”
5 ดังนั้น นางก็ได้ไปจากเอลีชา และปิดประตูขังตัวเองกับบุตรชายของนางไว้ พวกเขาได้นำเหยือกมาให้นาง และนางก็ได้เติมน้ำมันใส่เหยือกเหล่านั้น 6 เมื่อภาชนะเต็มหมดแล้วนางจึงได้บอกบุตรชายของนางว่า “เอาเหยือกอีกใบหนึ่งมาให้แม่” แต่เขาได้ตอบนางว่า “ไม่มีเหยือกเหลือแล้ว” แล้วน้ำมันก็หยุดไหล
7 แล้วนางก็ได้มาบอกให้คนของพระเจ้าทราบ เขาพูดว่า “จงไปขายน้ำมัน แล้วเอาเงินชำระหนี้ของเธอ และส่วนที่เหลือนั้นเธอกับลูกๆ จงใช้เลี้ยงชีวิต”
8 วันหนึ่งเอลีชาได้ผ่านไปยังเมืองชูเนม ที่ซึ่งหญิงผู้มั่งคั่งคนหนึ่งได้อาศัยอยู่ นางได้ชวนให้เขารับประทานอาหารกับนาง ฉะนั้นบ่อยครั้งเมื่อเอลีชาได้ผ่านไปทางนั้น เขาก็ได้แวะเข้าไปรับประทานอาหารที่นั่น 9 หญิงคนนี้ได้บอกสามีของนางว่า “ดูสิ ฉันเห็นว่าชายคนนี้ที่เดินผ่านบ้านเราบ่อยๆ นั้นเป็นคนบริสุทธิ์ของพระเจ้า
10 ขอให้เราทำห้องเล็กไว้บนดาดฟ้าสำหรับเอลีชา และให้พวกเราวางเตียงนอน โต๊ะ เก้าอี้ และตะเกียงไว้ให้ท่าน เพื่อว่าเมื่อท่านมาหาเรา ท่านจะได้เข้าไปพักในห้องนั้น” 11 ฉะนั้น เมื่อวันที่เอลีชาได้มาหยุดที่นั่นอีก เขาก็พักที่ในห้องนั้น และนอนพักอยู่ที่นั่น
12 เอลีชาจึงได้บอกเกหะซีคนใช้ของท่านว่า “ไปเรียกหญิงชาวชูเนมคนนี้มา” เมื่อเขาเรียกนาง นางก็ได้มายืนอยู่ต่อหน้าเขา 13 เอลีชาจึงได้บอกแก่เกหะซีว่า “จงบอกนางว่า ‘นางลำบากมากมายอย่างนี้เพื่อเรา จะให้เราทำอะไรเพื่อนางบ้าง? มีอะไรจะให้ทูลกษัตริย์เพื่อนางหรือไม่? หรือจะให้พูดอะไรกับผู้บัญชาการกองทัพ?'" นางได้ตอบว่า “ฉันอยู่สบายดีในท่ามกลางคนของฉัน”
14 ดังนั้นเอลีชาได้กล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นจะให้ทำอะไรเพื่อนาง?” เกหะซีได้ตอบว่า “แท้จริงนางไม่มีบุตรชายและสามีของนางก็ได้แก่แล้ว” 15 ดังนั้น เอลีชาจึงได้บอกว่า “ไปเรียกนางมา” และเมื่อเขาไปเรียกนาง นางก็ได้มายืนอยู่ที่ประตู 16 เอลีชาได้กล่าวว่า “เมื่อถึงเวลานี้ในปีหน้า เจ้าจะได้อุ้มบุตรชายคนหนึ่ง” นางได้ตอบว่า “อย่าเลย คนของพระเจ้า เจ้านายของดิฉัน อย่าหลอกคนรับใช้ของท่านเลย”
17 แต่หญิงนั้นก็ได้ตั้งครรภ์และคลอดบุตรชายคนหนึ่ง เมื่อถึงเวลานั้นในปีต่อมาตามที่เอลีชาได้บอกนาง 18 เมื่อเด็กนั้นเติบโตขึ้น วันหนึ่งเขาออกไปหาบิดาของเขาในหมู่คนเกี่ยวข้าว 19 เขาได้บอกบิดาว่า “หัวของฉัน หัวของฉัน” บิดาจึงได้สั่งคนใช้ว่า “อุ้มเขาไปหาแม่” 20 เมื่อคนใช้ได้อุ้มและนำเขามาให้มารดา เด็กนั้นก็นั่งอยู่บนตักมารดาจนเที่ยงวัน แล้วเขาก็เสียชีวิต
21 ดังนั้น นางจึงลุกขึ้นและวางเขาไว้บนที่นอนของคนของพระเจ้า ปิดประตู แล้วออกไปข้างนอก 22 นางก็ได้ไปเรียกสามีของนางและกล่าวว่า “ขอโปรดส่งคนใช้คนหนึ่งกับลาตัวหนึ่งมาให้ฉัน เพื่อฉันจะรีบไปหาคนของพระเจ้า แล้วกลับมาอีก”
23 สามีของนางได้ถามว่า “วันนี้เจ้าจะไปหาท่านทำไม? มันไม่ใช่วันข้างขึ้นหรือวันสะบาโต” นางได้ตอบว่า “ไม่เป็นไร” 24 แล้วนางได้ผูกอานลาและได้สั่งคนใช้ว่า “จงเร่งลาไปเร็วๆ อย่าชะลอฝีเท้า นอกจากฉันสั่ง”
25 ดังนั้น นางก็ได้ออกเดินทาง และมาถึงคนของพระเจ้าที่ภูเขาคารเมล ดังนั้นเมื่อคนของพระเจ้าได้เห็นนางมา เขาก็ได้พูดกับเกหะซีคนใช้ของเขาว่า “ดูสิ หญิงชาวชูเนมคนนั้นนี่ 26 จงรีบไปรับนางเถิด และถามนางว่า ‘เจ้ารวมทั้งสามีของเจ้าและเด็กสบายดีหรือ?’” นางได้ตอบว่า “สบายดีค่ะ”
27 เมื่อนางได้มาพบคนของพระเจ้าที่ภูเขาแล้ว นางก็เข้าไปกอดเท้าของเขา เกหะซีจึงเข้ามาเพื่อจะจับนางออกไป แต่คนของพระเจ้าได้กล่าวว่า “ปล่อยนางเถอะ เพราะนางมีความระทมขมขื่นมาก และพระยาห์เวห์ได้ทรงปิดเรื่องนี้ไว้จากเรา ไม่ได้ทรงแจ้งให้เราทราบ”
28 แล้วนางจึงได้บอกว่า “ฉันขอบุตรชายจากเจ้านายของฉันหรือ? ฉันไม่ได้พูดหรือว่า ‘อย่าหลอกฉันเลย’?” 29 แล้วเอลีชาจึงได้สั่งเกหะซีว่า “คาดเอวของเจ้า แล้วถือไม้เท้าของเราไว้ในมือของเจ้า ไปที่บ้านของนางเถอะ ถ้าเจ้าพบใคร อย่าทักทายเขา และถ้าใครทักทายเจ้า ก็ได้อย่าได้ตอบ จงวางไม้เท้าของเราบนหน้าของเด็กนั้น”
30 แต่มารดาของเด็กนั้นได้เรียนว่า “พระยาห์เวห์ได้ทรงพระชนม์อยู่และตัวท่านเองมีชีวิตอยู่แน่ฉันใด ฉันจะไม่ไปจากท่านฉันนั้น” ดังนั้น เอลีชาจึงได้ลุกขึ้นตามนางไป 31 เกหะซีได้ล่วงหน้าไปก่อน และได้วางไม้เท้าบนหน้าของเด็กนั้น แต่เด็กนั้นไม่พูดหรือได้ยิน แล้วดังนั้นเกหะซีจึงได้กลับมาพบเอลีชาและบอกเขาว่า “เด็กนั้นยังไม่ตื่นเลย”
32 เมื่อเอลีชามาถึงที่บ้านหลังนั้น เด็กนั้นก็ตายแล้วและยังอยู่บนที่นอน 33 ดังนั้น เอลีชาจึงเข้าไปข้างใน ปิดประตูอยู่กับเด็กนั้น และได้อธิษฐานต่อพระยาห์เวห์ 34 เขาได้ขึ้นไปและได้นอนทับเด็กคนนั้น เขาเอาปากทับปาก ตาทับตา และมือทับมือ เขาได้เหยียดตัวของเขาบนเด็กชาย และร่างกายของเด็กชายนั้นก็เริ่มอุ่นขึ้นมา
35 แล้วเอลีชาก็ได้ลุกขึ้นและเดินไปรอบๆ ห้อง เขาขึ้นไปและเหยียดตัวของเขาบนเด็กชายอีกครั้ง เด็กนั้นก็ได้จามเจ็ดครั้ง และได้ลืมตาของเขา 36 ดังนั้น เอลีชาจึงเรียกเกหะซีมาและสั่งว่า “ไปเรียกหญิงชาวชูเนมมา” ดังนั้น เขาจึงไปเรียกนางเข้ามาข้างในห้อง เอลีชาได้กล่าวว่า “จงอุ้มบุตรชายของเจ้าขึ้นมาเถิด” 37 แล้วนางจึงได้เข้ามาทรุดตัวลงที่เท้าของเอลีชาและกราบลงถึงดิน แล้วก็อุ้มบุตรชายของนางขึ้นและพาออกไปข้างนอก
38 แล้วเอลีชาได้กลับมาที่กิลกาลอีกครั้ง แผ่นดินเกิดกันดารอาหาร และพวกผู้เผยพระวจนะกำลังนั่งอยู่ต่อหน้าเขา เขาก็ได้บอกคนใช้ของเขาว่า “จงตั้งหม้อใบใหญ่และต้มน้ำแกงให้แก่พวกผู้เผยพระวจนะ” 39 คนหนึ่งในพวกเขาได้ออกไปเก็บผักที่ทุ่งนา พวกเขาได้พบไม้เถาป่าเถาหนึ่งและเก็บน้ำเต้าป่าห่อไว้ในเสื้อคลุมของเขาจนเต็ม พวกเขาได้หั่นและใส่ในน้ำแกงโดยไม่รู้ว่าเป็นผลชนิดอะไร
40 ดังนั้น พวกเขาได้เทน้ำแกงออกให้คนเหล่านั้นกิน ต่อมา ขณะที่พวกเขากำลังกินอยู่นั้น พวกเขาได้ร้องขึ้นและพูดว่า “คนของพระเจ้า มีความตายอยู่ในหม้อนั้น” ฉะนั้นพวกเขาก็ไม่อาจกินอีกต่อไปได้ 41 แต่เอลีชาได้สั่งว่า “จงเอาแป้งมา” เขาก็ได้ใส่แป้งลงในหม้อ และได้บอกว่า “จงเทออกให้คนเหล่านั้นกิน” แล้วไม่มีอันตรายอยู่ในหม้อนั้นอีกเลย
42 มีชายคนหนึ่งได้มาจากบาอัลชาลิชาห์ มาหาคนของพระเจ้าและได้นำขนมปังบาร์เลย์ยี่สิบก้อนจากการเก็บเกี่ยวพืชผลแรกใส่กระสอบของเขามา และรวงข้าวใหม่ เอลีชาได้กล่าวว่า “จงให้แก่คนเหล่านั้นเพื่อพวกเขาจะกินได้” 43 คนรับใช้ของเขาได้ตอบว่า “ข้าพเจ้าจะตั้งอาหารเพียงเท่านี้ให้คนหนึ่งร้อยคนกินกันได้อย่างไร?” แต่เอลีชาได้พูดว่า “จงให้สิ่งนี้แก่คนเหล่านั้นเพื่อว่าพวกเขาจะได้กิน เพราะพระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า ‘เขาทั้งหลายจะได้กินและยังเหลืออีก’” 44 ดังนั้น คนรับใช้ของเขาจึงได้ตั้งอาหารไว้ต่อหน้าเขาทั้งหลาย พวกเขาได้กิน และยังเหลืออยู่จริงตามพระวจนะของพระยาห์เวห์ที่ได้ทรงสัญญาไว้
1 บัดนี้ นาอามานผู้บัญชาการกองทัพของกษัตริย์อารัม เป็นคนสำคัญมากและมีเกียรติในสายพระเนตรของเจ้านายของเขา เพราะพระยาห์เวห์ได้ประทานชัยชนะแก่อารัมโดยเขานี้ เขาเป็นคนแข็งแรงกล้าหาญ แต่เขาป่วยเป็นโรคเรื้อน 2 มีกองโจรชาวอารัมได้ออกไป และได้จับเด็กหญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งจากดินแดนอิสราเอล เธอได้มารับใช้ภรรยาของนาอามาน
3 เด็กหญิงได้พูดกับนายผู้หญิงว่า “ฉันปรารถนาให้นายผู้ชายได้ไปพบกับผู้เผยพระวจนะซึ่งอยู่ในสะมาเรีย แล้วเขาจะได้รักษาเจ้านายของฉันให้หายจากโรคเรื้อนของท่าน” 4 ดังนั้น นาอามานจึงได้ไปและได้ทูลกษัตริย์อารัมว่า เด็กหญิงตัวเล็กจากดินแดนอิสราเอลพูดเช่นนั้น
5 ดังนั้น กษัตริย์อารัมได้ตรัสว่า “จงไปเถิดและเราจะส่งจดหมายไปยังกษัตริย์อิสราเอล” นาอามานก็ได้ไปและได้นำเงินสิบตะลันต์ ทองคำหกพันแผ่น และเสื้อผ้าเพื่อเปลี่ยนอีกสิบชุดไปด้วย 6 เขาก็นำจดหมายไปยังกษัตริย์อิสราเอล มีใจความว่า “บัดนี้ เมื่อสารนี้มาถึงท่าน ท่านจะทราบว่า เราได้ส่งนาอามานข้าราชบริพารของเรามายังท่าน เพื่อให้ท่านรักษาเขาให้หายจากโรคเรื้อนของเขา”
7 เมื่อกษัตริย์แห่งอิสราเอลได้ทรงอ่านจดหมายนั้นแล้ว พระองค์ก็ได้ฉีกฉลองพระองค์และตรัสว่า “เราเป็นพระเจ้าซึ่งจะให้ตายและให้มีชีวิตหรือ ผู้ชายคนนี้จึงต้องการให้เรารักษาคนหนึ่งให้หายจากโรคเรื้อน? ดูเหมือนเขากำลังเริ่มหาเรื่องทะเลาะกับเรา”
8 ดังนั้น เมื่อเอลีชาคนของพระเจ้าได้ยินว่า กษัตริย์อิสราเอลได้ฉีกฉลองพระองค์ของพระองค์ เขาจึงได้ใช้คนไปทูลกษัตริย์ว่า “ทำไมพระองค์จึงได้ฉีกฉลองพระองค์? ให้เขามาหาข้าพระองค์เถิด และเขาจะรู้ว่า มีผู้เผยพระวจนะคนหนึ่งในอิสราเอล” 9 ดังนั้น นาอามานจึงได้มาพร้อมกับบรรดาม้าและรถม้าศึกของเขา และยืนอยู่ที่ประตูบ้านของเอลีชา 10 เอลีชาก็ได้ส่งผู้สื่อสารมาบอกเขาว่า “จงไปและจุ่มตัวของท่านในแม่น้ำจอร์แดนเจ็ดครั้ง และเนื้อของท่านจะกลับคืนอย่างเดิม และท่านจะสะอาด”
11 แต่นาอามานก็โกรธและได้ไปเสีย และกล่าวว่า “ดูสิ ข้าคิดว่าเขาจะออกมาหาข้าแน่ๆ และมายืนอยู่ และออกพระนามของพระยาห์เวห์พระเจ้าของเขา แล้วโบกมือเหนือที่นั้นและรักษาโรคเรื้อนของข้า 12 อาบานาห์และฟารปาร์แม่น้ำเมืองดามัสกัส ไม่ดีกว่าบรรดาลำน้ำทั้งหมดของอิสราเอลหรือ? ข้าจะชำระตัวในแม่น้ำเหล่านั้น และจะสะอาดไม่ได้หรือ?” ดังนั้น เขาจึงได้หันหลังไปเสียด้วยความเดือดดาล
13 แล้วคนรับใช้ของนาอามาน ได้เข้ามาใกล้ และได้พูดกับเขาว่า “บิดาของข้าพเจ้า ถ้าผู้เผยพระวจนะจะสั่งให้ท่านทำสิ่งยากอย่างหนึ่ง ท่านจะไม่ทำหรือ? ถ้าเช่นนั้นแล้วเมื่อผู้เผยพระวจนะสั่งท่านให้ทำสิ่งง่ายว่า ‘จงไปจุ่มตัวของท่าน และสะอาดเถิด”’ ท่านยิ่งควรจะทำสักเท่าไร? 14 แล้วเขาจึงได้ลงไปและได้จุ่มตัวเจ็ดครั้งในแม่น้ำจอร์แดนเพราะเชื่อฟังตามถ้อยคำของคนของพระเจ้า เนื้อของเขาก็กลับคืนเป็นอย่างเนื้อของเด็กเล็ก และเขาก็หายโรค
15 นาอามานก็ได้กลับมาหาคนของพระเจ้า ทั้งตัวเขาและพรรคพวกของเขา และได้มายืนอยู่ต่อหน้าเอลีชา เขาได้กล่าวว่า “ดูสิ ข้าพเจ้ารู้แล้วว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใด ไม่ว่าที่ไหนในโลก นอกจากในอิสราเอล เพราะฉะนั้น บัดนี้ โปรดรับของกำนัลจากคนรับใช้ของท่านเถิด” 16 แต่เอลีชาได้ตอบว่า “พระยาห์เวห์ซึ่งเราปรนนิบัติ ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด เราจะไม่รับอะไรเลยฉันนั้น” นาอามานได้คะยั้นคะยอให้เอลีชารับของกำนัลไว้ แต่เขาได้ปฏิเสธ
17 ดังนั้น นาอามานจึงได้กล่าวว่า “หากท่านไม่รับ ก็โปรดให้คนรับใช้ของท่านเอาดินที่นี่กลับไปมากพอที่ล่อสองตัวจะบรรทุกได้เถิด เพราะตั้งแต่นี้ไป คนรับใช้ของท่านจะไม่ถวายเครื่องเผาบูชาหรือเครื่องสัตวบูชาแด่พระอื่น แต่จะถวายแด่พระยาห์เวห์เท่านั้น 18 ในเรื่องนี้ ขอพระยาห์เวห์ทรงให้อภัยคนรับใช้ของพระองค์ คือเมื่อกษัตริย์นายของข้าพเจ้าได้เข้าไปในนิเวศของพระริมโมนเพื่อจะนมัสการที่นั่น พระองค์ได้ทรงพิงอยู่ที่มือของข้าพเจ้าทำให้ข้าพเจ้าต้องก้มตัวลงทำความเคารพในนิเวศของพระริมโมน เมื่อข้าพเจ้าก้มตัวลงทำความเคารพในนิเวศของพระริมโมนนั้น ขอพระยาห์เวห์ทรงให้อภัยคนรับใช้ของพระองค์ในเรื่องนี้เถิด” 19 เอลีชาจึงได้ตอบเขาว่า “จงไปโดยสวัสดิภาพเถิด” ดังนั้นนาอามานจึงได้จากไป
20 เขาออกไปได้ไม่ไกลนัก เมื่อเกหะซีคนใช้ของเอลีชาคนของพระเจ้าคิดในใจว่า “ดูสิ นายของข้าไม่ยอมรับของจากมือของนาอามานคนอารัมที่เขานำมา พระยาห์เวห์ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ข้าจะวิ่งตามไปเอามาจากเขาบ้างฉันนั้น” 21 ดังนั้น เกหะซีจึงได้ตามนาอามานไป เมื่อนาอามานได้เห็นคนวิ่งตามเขามา เขาก็ได้กระโดดลงจากรถม้าศึกต้อนรับเขาและได้พูดว่า “ทุกอย่างเรียบร้อยดีหรือ?” 22 เกหะซีได้ตอบว่า “เรียบร้อยดี นายข้าได้ใช้ข้ามาบอกว่า ‘ดูเถิด บัดนี้ชายหนุ่มสองคนในกลุ่มผู้เผยพระวจนะจากแดนเทือกเขาเอฟราอิมมาหาเรา โปรดให้เงินพวกเขาสักหนึ่งตะลันต์ และเสื้อผ้าเพื่อเปลี่ยนสักสองชุด’”
23 นาอามานได้กล่าวว่า “ข้าพเจ้ายินดีที่จะให้สองตะลันต์” นาอามานก็ได้คะยั้นคะยอเกหะซี และเอาเงินสองตะลันต์ใส่ในถุงสองใบพร้อมกับเสื้อผ้าเพื่อเปลี่ยนสองตัว แล้วให้คนใช้สองคนแบกถุงเงินนำหน้าเกหะซีไป 24 เมื่อเกหะซีได้มาถึงภูเขา เขาก็ได้รับถุงใส่เงินมาจากมือของพวกเขา และเขาได้ซ่อนถุงเงินต่างๆ เก็บไว้ในบ้าน เขาได้ส่งคนเหล่านั้นกลับ และพวกเขาได้จากไป 25 เมื่อเกหะซีได้เข้าไปยืนอยู่ต่อหน้านายของเขา เอลีชาได้ถามเขาว่า “เจ้าไปไหนมาเกหะซี?” เขาได้ตอบว่า “คนรับใช้ของท่านไม่ได้ไปไหน”
26 เอลีชาได้กล่าวกับเกหะซีว่า “จิตใจของเราไม่ได้ไปกับเจ้าหรือ เมื่อชายคนนั้นเลี้ยวรถม้าศึกกลับมาพบเจ้า? นี่เป็นเวลาควรที่จะรับเงิน เสื้อผ้า สวนมะกอก และสวนองุ่น แกะ และโค และคนใช้ชายหญิงหรือ? 27 ฉะนั้นโรคเรื้อนของนาอามานจะติดอยู่กับเจ้าและเชื้อสายของเจ้าตลอดไป” ดังนั้น เกหะซีก็ได้ไปจากหน้าเขา และเป็นโรคเรื้อนขาวอย่างหิมะ
1 บรรดาผู้เผยพระวจนะได้กล่าวกับเอลีชาว่า “สถานที่ที่พวกเราอยู่กับท่านนั้นก็เล็กเกินไปสำหรับเราทุกคน” 2 ขอให้พวกเราไปที่แม่น้ำจอร์แดน ให้ทุกคนตัดไม้ท่อนหนึ่งมาและสร้างเป็นที่อาศัยที่นั่น” และเอลีชาได้ตอบว่า “เจ้าจงไปเถิด” 3 คนหนึ่งในพวกเขาจึงกล่าวว่า “ขอท่านโปรดไปกับผู้รับใช้ของท่านด้วย” เอลีชาได้ตอบว่า “ข้าพเจ้าจะไป”
4 ดังนั้น ท่านก็ไปกับเขาทั้งหลาย และเมื่อพวกเขามาถึงแม่น้ำจอร์แดน พวกเขาก็ตัดต้นไม้ 5 แต่ขณะที่คนหนึ่งกำลังตัดต้นไม้อยู่ หัวขวานของเขาตกลงไปในน้ำ เขาจึงร้องขึ้นว่า “แย่แล้ว เจ้านาย ขวานนั้นข้าพเจ้าได้ยืมเขามา”
6 แล้วคนของพระเจ้าถามว่า “ขวานนั้นตกที่ไหน?” เมื่อคนนั้นชี้จุดที่ขวานตกให้เอลีชาแล้ว ท่านก็ตัดไม้อันหนึ่งทิ้งลงไปในน้ำ ทำให้ขวานเหล็กนั้นลอยขึ้นมา 7 เอลีชาจึงบอกว่า “หยิบขึ้นมาซิ” เขาก็เอื้อมมือไปหยิบขึ้นมา
8 บัดนี้ กษัตริย์อารัมกำลังรบกับอิสราเอล พระองค์ได้ทรงปรึกษากับข้าราชบริพารของพระองค์ว่า “เราจะตั้งค่ายของเราที่นั่น” 9 ดังนั้น คนของพระเจ้าจึงได้ส่งข่าวไปยังกษัตริย์อิสราเอลว่า “ขอพระองค์ทรงระวัง อย่าผ่านมาทางนั้น เพราะคนอารัมกำลังลงไปที่นั่น”
10 กษัตริย์อิสราเอลได้ทรงส่งข่าวไปยังสถานที่ซึ่งคนของพระเจ้าได้บอก และเคยเตือนพระองค์ไว้ เมื่อกษัตริย์เสด็จไปที่นั่นไม่ใช่เพียงครั้งสองครั้ง พระองค์ได้ทรงระวังตัว 11 กษัตริย์แห่งอารัมก็กริ้วเพราะเรื่องคำเตือนนี้ พระองค์จึงได้ทรงเรียกข้าราชบริพารมา และได้ตรัสว่า “พวกท่านจะไม่บอกเราหรือว่า คนไหนในพวกเราที่อยู่ฝ่ายกษัตริย์อิสราเอล?”
12 ดังนั้น ข้าราชบริพารคนหนึ่งได้ทูลว่า “ไม่มีใครเลย ข้าแต่กษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์ เพราะเอลีชาผู้เผยพระวจนะในอิสราเอลบอกกษัตริย์อิสราเอลด้วยถ้อยคำซึ่งพระองค์ตรัสในห้องบรรทมของพระองค์” 13 กษัตริย์จึงได้ตรัสว่า “จงไปดูที่เอลีชาอยู่ เพื่อเราจะใช้คนไปจับเขามา” มีบางคนได้ทูลพระองค์ว่า “ดูสิ เขาอยู่ในโดธาน”
14 ดังนั้น กษัตริย์จึงได้ทรงส่งม้า รถม้าศึกทั้งหลาย และกองทัพใหญ่ไปที่โดธาน พวกเขาได้ไปกันในเวลากลางคืน และได้ล้อมเมืองนั้นไว้ 15 เมื่อผู้รับใช้ของคนของพระเจ้าตื่นขึ้นในเวลาตอนเช้า และออกไปข้างนอก นี่แน่ะ กองทัพพร้อมกับม้าและรถม้าศึกได้ล้อมเมืองไว้ และคนใช้นั้นได้บอกท่านว่า “แย่แล้ว เจ้านาย เราจะทำอย่างไรดี?” 16 เอลีชาได้ตอบว่า “อย่ากลัวเลย เพราะคนของเรามีมากกว่าคนของเขา”
17 เอลีชาก็ได้อธิษฐานว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอทรงเปิดตาของเขาเพื่อเขาจะได้เห็น” และพระยาห์เวห์ได้ทรงเปิดตาของผู้รับใช้คนนั้น และเขาก็ได้มองเห็นภูเขาเต็มไปด้วยม้า และรถม้าศึกพร้อมไฟรอบ ๆ เอลีชา 18 และเมื่อคนอารัมได้ลงมาหาท่าน เอลีชาก็ได้อธิษฐานต่อพระยาห์เวห์ว่า “พระองค์เจ้าข้า ขอทรงให้คนเหล่านี้ตาบอด” พระองค์จึงได้ทรงให้เขาทั้งหลายตาบอดไปตามที่เอลีชาได้ขอ 19 แล้วเอลีชาได้บอกคนอารัมเหล่านั้นว่า “ไม่ใช่ทางนี้ และไม่ใช่เมืองนี้ จงตามข้ามา และข้าจะพาไปหาคนนั้นที่พวกท่านกำลังมองหาอยู่” และท่านก็ได้พาพวกเขาไปกรุงสะมาเรีย
20 ต่อมาเมื่อพวกเขาได้เข้าไปในกรุงสะมาเรีย เอลีชาได้ทูลว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอทรงเปิดตาของคนเหล่านี้เพื่อเขาจะเห็นได้” พระยาห์เวห์จึงทรงเปิดตาของพวกเขาและเขาก็ได้เห็น และนี่แน่ะ พวกเขาได้มาอยู่กลางกรุงสะมาเรีย 21 กษัตริย์แห่งอิสราเอลจึงได้ตรัสแก่เอลีชาเมื่อพระองค์ได้ทรงทอดพระเนตรพวกเขาว่า “พระบิดาของข้าพระองค์ เราควรฆ่าพวกมันดีไหม? เราควรฆ่าพวกมันเลยไหม?”
22 เอลีชาได้ทูลตอบว่า “ขอพระองค์อย่าทรงสังหารพวกเขาเลย คนพวกนี้ที่พระองค์จะทรงประหารนั้น พระองค์ทรงได้จับมาด้วยดาบและธนูก็หาไม่? ขอทรงจัดอาหารและน้ำให้เขารับประทานและดื่ม แล้วปล่อยให้พวกเขาไปหาเจ้านายของพวกเขาเถิด” 23 ดังนั้น กษัตริย์จึงได้ทรงจัดอาหารมื้อใหญ่ให้พวกเขา และเมื่อพวกเขาได้กินและได้ดื่มแล้ว กษัตริย์ก็ได้ทรงปล่อยพวกเขาไป และพวกเขาทั้งหลายได้กลับไปหาเจ้านายของพวกเขา และพวกอารัมไม่ได้กลับมาในดินแดนอิสราเอลอีก
24 อีกภายหลัง เบนฮาดัดกษัตริย์แห่งอารัมได้ทรงจัดกองทัพทั้งหมดของพระองค์ แล้วได้ไปโจมตีและได้ปิดล้อมสะมาเรียไว้ 25 จึงได้เกิดมีการขาดแคลนอาหารอย่างหนักในสะมาเรีย ดูเถิดขณะเมื่อพวกเขาได้ล้อมเมืองไว้ แม้กระทั่งหัวลาตัวหนึ่งยังมีราคาสูงเป็นเงินหนักถึงแปดสิบเชเขล และเมล็ดถั่วป่าขนาดจุดสี่กับมีราคาขายถึงห้าเชเขล 26 ขณะที่กษัตริย์แห่งอิสราเอลได้เสด็จผ่านใกล้กำแพงเมือง มีผู้หญิงคนหนึ่งได้ร้องทูลพระองค์ว่า “ข้าแต่กษัตริย์ เจ้านายของหม่อมฉัน ขอทรงช่วยด้วยเถิด”
27 พระองค์ได้ตรัสว่า “หากพระยาห์เวห์ไม่ทรงช่วยเจ้า เราจะเอาความช่วยเหลือจากที่ไหนมาให้เจ้า? จากลานนวดข้าวหรือ จากบ่อย่ำองุ่นหรือ?” 28 กษัตริย์จึงได้ตรัสถามนางต่อว่า “เจ้ามีเรื่องอะไร?” นางได้ทูลตอบว่า “หญิงคนนี้บอกหม่อมฉันว่า ‘เอาบุตรชายของเจ้ามาให้พวกเรากินวันนี้เถิด และพวกเราจะกินบุตรชายของฉันวันพรุ่งนี้’” 29 ดังนั้น พวกเราจึงได้ต้มบุตรชายของหม่อมฉันและได้กินเขา และรุ่งขึ้นหม่อมฉันก็ได้พูดกับนางว่า “เอาบุตรชายของเจ้ามา เพื่อพวกเราจะกินกัน แต่นางก็ได้ซ่อนบุตรชายของนางเสีย”
30 เมื่อกษัตริย์ทรงได้ยินถ้อยคำของหญิงนั้น พระองค์ก็ได้ฉีกฉลองพระองค์ (ขณะที่พระองค์ได้เสด็จผ่านใกล้กำแพง) และประชาชนก็ได้มองเห็นพระองค์ทรงฉลองพระองค์ผ้ากระสอบอยู่แนบเนื้อ 31 แล้วพระองค์ได้ตรัสว่า “ถ้าศีรษะของเอลีชาบุตรชาฟัทยังอยู่บนบ่าของเขาในวันนี้ ก็ขอพระเจ้าทรงลงโทษเราและยิ่งหนักกว่า”
32 แต่เอลีชานั่งอยู่ในบ้านของเขา และพวกผู้อาวุโสก็นั่งอยู่ด้วย กษัตริย์ทรงใช้คนหนึ่งมาหาเขา แต่ก่อนที่ผู้สื่อสารจะมาถึงเอลีชา เขาก็ได้พูดกับพวกผู้อาวุโสว่า “ท่านทั้งหลายได้เห็นหรือไม่ว่า ฆาตกรคนนี้ได้ส่งคนมาตัดศีรษะของเรา ดูสิ เมื่อผู้สื่อสารมา จงปิดประตู และยึดประตูให้แน่น ป้องกันเขาไว้ นั่นไม่ใช่เสียงฝีเท้าของเจ้านายของเขาที่ตามมาหรือ?” 33 ขณะที่ท่านกำลังพูดกับพวกเขาทั้งหลายอยู่ ดูเถิด ผู้สื่อสารได้มาหาท่าน กษัตริย์ได้ตรัสว่า “จงดูเถิด ความเดือดร้อนนี้มาจากพระยาห์เวห์ ทำไมเรารอคอยพระยาห์เวห์อยู่อีก?”
1 เอลีชาได้ทูลว่า “ขอทรงฟังพระวจนะของพระยาห์เวห์ นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์ตรัส ‘พรุ่งนี้ประมาณเวลานี้ แป้งอย่างดีถังหนึ่งเขาจะขายกันหนึ่งเชเขล และข้าวบาร์เลย์สองถังหนึ่งเชเขลที่ประตูเมืองสะมาเรีย’” 2 แล้วผู้บังคับการทหารคนที่กษัตริย์ได้ทรงยืนพิงมือเขาอยู่ได้ตอบคนของพระเจ้า และได้พูดว่า “ดูเถิด ถ้าแม้พระยาห์เวห์ได้ทรงสร้างหน้าต่างในท้องฟ้าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้หรือ?” เอลีชาได้บอกว่า “ดูเถิด ท่านจะเฝ้าดูสิ่งที่จะเกิดขึ้นด้วยตาของท่านเอง แต่ท่านจะไม่ได้กินอะไรเลย”
3 บัดนี้ มีคนป่วยเป็นโรคเรื้อนสี่คนอยู่ที่ทางเข้าด้านนอกประตูเมือง พวกเขาได้พูดกันว่า “พวกเราจะนั่งที่นี่จนตายทำไมเล่า? 4 ถ้าพวกเราพูดว่า ให้พวกเราเข้าไปในเมือง การขาดแคลนอาหารก็อยู่ในเมืองนั้น และพวกเราก็จะตายที่นั่น แต่ถ้าพวกเรายังนั่งอยู่ที่นี่พวกเราก็จะตายเหมือนกัน ฉะนั้นจงมาเถิด ให้พวกเราไปยังค่ายของคนอารัม ถ้าพวกเขาไว้ชีวิตของพวกเรา พวกเราก็จะรอดตาย และถ้าพวกเขาฆ่าพวกเรา พวกเราก็จะแค่ตายเท่านั้นเอง”
5 ดังนั้น พวกเขาจึงได้ลุกขึ้นในเวลาพลบค่ำ เพื่อจะไปยังค่ายของคนอารัม เมื่อพวกเขาได้มาถึงด้านนอกค่ายของคนอารัม ไม่มีใครที่นั่นสักคน 6 เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงทำให้กองทัพของคนอารัมได้ยินเสียงของรถม้าศึก เสียงของม้า และเสียงของกองทัพใหญ่อื่นๆ อีก และพวกเขาจึงได้พูดกันว่า “ดูสิ กษัตริย์อิสราเอลได้จ้างบรรดากษัตริย์ของคนฮิตไทต์ และบรรดากษัตริย์ของคนอียิปต์ให้มาสู้กับพวกเรา”
7 ดังนั้น พวกทหารจึงได้ลุกขึ้นและได้หนีไปในเวลาพลบค่ำ และได้ทิ้งบรรดาเต็นท์ ม้า และลาของพวกเขา และได้ทิ้งค่ายไว้อย่างนั้นเอง และหนีเพื่อเอาชีวิตรอด 8 เมื่อคนโรคเรื้อนเหล่านี้ได้มาถึงด้านนอกสุดของค่าย พวกเขาก็ได้เข้าไปในเต็นท์หนึ่ง กินและดื่ม และขนเงิน ทองคำ และเสื้อผ้าจากที่นั่นเอาไปซ่อนไว้ พวกเขาก็ได้กลับมาและได้เข้าไปในอีกเต็นท์หนึ่ง ขนเอาข้าวของออกไปจากที่นั่น เอาไปซ่อนไว้ด้วย
9 แล้วพวกเขาได้พูดกันว่า “พวกเราทำไม่ถูกเสียแล้ว วันนี้เป็นวันข่าวดี ถ้าพวกเรานิ่งอยู่ และคอยจนแสงอรุณขึ้น โทษจะตกอยู่กับพวกเรา บัดนี้แล้ว มาเถิด ให้พวกเราไปบอกสำนักพระราชวัง” 10 ดังนั้น พวกเขาจึงได้ไป และเรียกคนเฝ้าประตูเมือง และได้บอกแก่เขาทั้งหลาย “พวกเราได้ไปยังค่ายของคนอารัม แต่ไม่มีใครเลยที่นั่นและไม่มีเสียงใครเลย มีแต่ม้าถูกผูกไว้ และลาถูกผูกไว้ และเต็นท์ทั้งหลายก็ได้ตั้งอยู่อย่างนั้นเอง” 11 แล้วบรรดาคนเฝ้าประตูก็ได้ตะโกนแจ้งข่าวและได้บอกไปถึงสำนักพระราชวัง
12 แล้วกษัตริย์ได้ทรงตื่นบรรทมตอนกลางคืน และได้ตรัสกับพวกข้าราชบริพารของพระองค์ว่า “เราจะแจ้งพวกเจ้าเดี๋ยวนี้ ถึงสิ่งที่คนอารัมได้ทำกับเรา เขาทั้งหลายรู้ว่าเราหิว พวกเขาจึงได้ออกนอกค่ายไปซ่อนตัวที่กลางทุ่ง พวกเขาพูดกันว่า ‘เมื่ออิสราเอลออกจากเมือง เราจะจับเป็นพวกเขา แล้วจะเข้าไปในเมือง’” 13 ข้าราชบริพารคนหนึ่งของกษัตริย์ได้ตอบและทูลว่า “ขอรับสั่งให้บางคนเอาม้าห้าตัว ที่เหลืออยู่ในเมืองไป พวกเขาเป็นเหมือนที่คนอิสราเอลที่เหลืออยู่ในเมือง หรือจะเป็นอย่างคนอิสราเอลที่ส่วนมากได้ตายไปแล้ว ให้เราส่งพวกเขาออกไปและดู”
14 ดังนั้นพวกเขาจึงได้เอารถม้าศึกสองคันกับม้า และกษัตริย์ได้ทรงส่งพวกเขาให้ไปติดตามกองทัพของคนอารัม ตรัสว่า “จงไปและดู” 15 เขาทั้งหลายจึงได้ติดตามไปจนถึงแม่น้ำจอร์แดน และตลอดทางมีเสื้อผ้าและเครื่องใช้ซึ่งคนอารัมได้ทิ้งเพราะความรีบเร่งของพวกเขา ดังนั้นผู้สื่อสารก็ได้กลับมาและได้ทูลกษัตริย์
16 ประชาชนก็ได้ออกไปและริบข้าวของค่ายของคนอารัม ฉะนั้นแป้งอย่างดีจึงได้ขายกันถังละเชเขล และข้าวบาร์เลย์สองถังขายหนึ่งเชเขล ตามพระวจนะของพระยาห์เวห์ที่ได้ตรัสไว้ 17 กษัตริย์ได้ทรงสั่งผู้บังคับการทหารคนที่กษัตริย์ได้ทรงยืนพิงมือให้ไปเฝ้าดูแลประตูเมือง และประชาชนก็ได้เหยียบไปบนเขาตรงประตู เขาจึงได้สิ้นชีวิตตามที่คนของพระเจ้าได้กล่าวไว้ เมื่อกษัตริย์ได้เสด็จลงมาหาเขา
18 ดังนั้น สิ่งนี้ก็ได้เกิดขึ้นตามที่คนของพระเจ้าได้ทูลกษัตริย์ กล่าวว่า “ประมาณเวลานี้ที่ประตูเมืองสะมาเรีย ข้าวบาร์เลย์สองถังจะขายหนึ่งเชเขล และแป้งอย่างดีหนึ่งถังขายหนึ่งเชเขล” 19 ว่าผู้บังคับการทหารก็ได้ตอบคนของพระเจ้าและได้พูดว่า “ดูเถิด ถ้าแม้พระยาห์เวห์ได้ทรงสร้างหน้าต่างในท้องฟ้าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้หรือ?” และเอลีชาได้ตอบว่า “ดูเถอะ ท่านจะมองดูมันเกิดขึ้นด้วยตาของท่านเอง แต่จะไม่ได้กินอะไรเลย” 20 สิ่งนี้ก็ได้เกิดขึ้นจริงกับตัวเขา เพราะประชาชนได้เหยียบเขาที่ประตูเมือง และเขาได้เสียชีวิต
1 บัดนี้ เอลีชาได้บอกหญิงคนที่เขาได้ให้บุตรชายของนางกลับคืนชีวิต เขาได้พูดกับนางว่า “จงลุกขึ้นและไปกับครอบครัว และอยู่ในดินแดนอื่นที่เจ้าจะอยู่ได้ เพราะพระยาห์เวห์ได้ทรงบันดาลให้เกิดการขาดแคลนอาหาร และแผ่นดินนี้จะขาดแคลนอาหารอยู่เจ็ดปี” 2 ดังนั้น หญิงคนนั้นก็ได้ลุกขึ้นและนางได้เชื่อฟังถ้อยคำของคนของพระเจ้า นางได้เดินทางไปกับครอบครัวและอาศัยอยู่ในดินแดนฟีลิสเตียเจ็ดปี
3 สิ่งนี้ได้เกิดขึ้น เมื่อสิ้นปีที่เจ็ดแล้ว หญิงคนนั้นก็ได้กลับมาจากดินแดนฟีลิสเตีย และนางได้ไปร้องทูลต่อกษัตริย์เพื่อขอบ้านและที่ดินของนางคืน 4 บัดนี้ กษัตริย์ได้ทรงกำลังกล่าวกับเกหะซีคนรับใช้ของคนของพระเจ้าว่า “จงบอกเราถึงสิ่งยิ่งใหญ่ทุกอย่างที่เอลีชาได้ทำเถิด”
5 แล้วเมื่อเขากำลังทูลกษัตริย์เรื่องที่เอลีชาได้ชุบชีวิตเด็กที่ตายแล้ว ผู้หญิงคนที่ท่านได้ชุบชีวิตบุตรชายของนางได้มาได้มาร้องทูลต่อกษัตริย์ เพื่อขอบ้านและที่ดินของนางคืน เกหะซีได้ทูลว่า “ข้าแต่กษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์ นี่เป็นหญิงคนนั้นจริงๆ และนี่เป็นบุตรชายของนางที่เอลีชาได้ชุบชีวิต” 6 เมื่อกษัตริย์ได้ตรัสถามผู้หญิงนั้นเกี่ยวกับบุตรชายของนาง นางก็ได้ทูลพระองค์ ดังนั้นกษัตริย์จึงได้ทรงตั้งข้าราชบริพารคนหนึ่งให้ช่วยนาง และรับสั่งว่า “จงจัดการคืนทุกอย่างที่เป็นของนาง พร้อมทั้งพืชผลทั้งหมดของนางนั้น ตั้งแต่วันที่นางได้ออกจากแผ่นดินมาจนถึงเวลานี้”
7 เอลีชาได้มายังดามัสกัส ที่ซึ่งเบนฮาดัดกษัตริย์อารัมได้ทรงประชวรอยู่ และมีคนทูลกษัตริย์ว่า “คนของพระเจ้าได้มาที่นี่” 8 กษัตริย์ตรัสกับฮาซาเอลว่า “จงนำของกำนัลไปพบคนของพระเจ้า และให้ทูลถามพระยาห์เวห์โดยผ่านเขา ถามว่า ‘เราจะหายจากการป่วยไหม?’” 9 ดังนั้นฮาซาเอลจึงไปพบเขา และได้นำของกำนัลติดมือไปด้วย คือของดีทุกอย่างจากดามัสกัส ซี่งได้บรรทุกโดยอูฐสี่สิบตัว ดังนั้นฮาซาเซลได้มา ได้ยืนอยู่ต่อหน้าเอลีชา และกล่าวว่า “บุตรชายของท่าน เบนฮาดัดกษัตริย์อารัมได้ทรงใช้ข้าพเจ้ามาหาท่านเพื่อถามว่า ‘เราจะหายจากการป่วยไหม?’”
10 เอลีชาได้ตอบเขาว่า “จงไปทูลเบนฮาดัดว่า ‘พระองค์จะหายจากพระอาการประชวรแน่’ แต่พระยาห์เวห์ได้ทรงสำแดงแก่ข้าพเจ้าว่า พระองค์จะสวรรคตแน่” 11 แล้วเอลีชาจึงได้เพ่งดูฮาซาเอลจนเขาละอาย และคนของพระเจ้าก็ร้องไห้ 12 ฮาซาเอลได้ถามว่า “ทำไมเจ้านายของข้าพเจ้าจึงร้องไห้?” เขาจึงตอบว่า “เพราะข้าพเจ้าทราบถึงเหตุร้ายที่ท่านจะทำต่อคนอิสราเอล ท่านจะเอาไฟเผาป้อมปราการของเขา จะฆ่าคนหนุ่มด้วยดาบ จับเด็กเล็กฟาดจนแหลก และผ่าท้องหญิงมีครรภ์เสีย”
13 ฮาซาเอลได้ตอบว่า “คนรับใช้ของท่านเป็นใครเล่าที่จะทำสิ่งใหญ่นี้? เขาเป็นเพียงสุนัข” เอลีชาได้ตอบว่า “พระยาห์เวห์ทรงสำแดงแก่ข้าพเจ้าว่า ท่านจะเป็นกษัตริย์ที่ทรงครอบครองอารัม” 14 จากนั้น ฮาซาเอลก็ไปจากเอลีชาและมายังเจ้านายของเขา ผู้ซึ่งถามเขาว่า “เอลีชาพูดอย่างไรกับเจ้าบ้าง?” และเขาทูลตอบว่า “ท่านได้บอกว่าพระองค์จะทรงหายจากพระอาการประชวรแน่” 15 แล้วในวันรุ่งขึ้น ฮาซาเอลจึงได้เอาผ้าห่มจุ่มน้ำคลุมพระพักตร์ของเบนฮาดัดจนกระทั่งพระองค์เสด็จสวรรคต แล้วฮาซาเอลก็ได้ขึ้นครองราชย์แทน
16 ในปีที่ห้าของรัชกาลโยรัม โอรสของอาหับกษัตริย์อิสราเอล เยโฮรัมได้ทรงขึ้นครองราชย์ พระองค์เป็นโอรสของเยโฮชาฟัทกษัตริย์ยูดาห์ พระองค์ได้ทรงปกครองเมื่อเยโฮชาฟัทเป็นกษัตริย์ยูดาห์ 17 เยโฮรัมมีพระชนมายุสามสิบสองพรรษาเมื่อได้เริ่มปกครองและพระองค์ได้ทรงปกครองในกรุงเยรูซาเล็มแปดปี
18 เยโฮรัมได้ทรงดำเนินตามทางของบรรดากษัตริย์อิสราเอล ตามอย่างราชวงศ์อาหับได้ทำ เพราะว่าธิดาของอาหับเป็นมเหสีของพระองค์ และพระองค์ได้ทรงกระทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ 19 อย่างไรก็ดี เพราะได้ทรงเห็นแก่ดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์ พระยาห์เวห์ไม่ได้ทรงมีพระประสงค์ที่จะทำลายยูดาห์ เหตุที่พระองค์ได้ตรัสแก่เขาว่า จะทรงประทานเชื้อสายให้แก่พระองค์ตลอดไป
20 ในรัชกาลของเยโฮรัม เอโดมได้กบฏ ไม่ยอมอยู่ใต้อุ้งมือของยูดาห์ และพวกเขาได้ตั้งกษัตริย์ขึ้นเหนือพวกเขาเอง 21 แล้วเยโฮรัมจึงได้ทรงเสด็จข้ามไปยังเมืองศาอีร์พร้อมกับรถม้าศึกทั้งสิ้นของพระองค์ สิ่งนี้ได้เกิดขึ้นเมื่อพระองค์ได้ลุกขึ้นในตอนกลางคืนและได้ทรงถูกโจมตีและถูกโอบล้อมจากพวกเอโดม ผู้ซึ่งได้มาล้อมพระองค์และบรรดาแม่ทัพรถม้าศึก แล้วกองทัพของเยโฮรัมก็หนีกลับบ้านเมืองของพวกเขาได้
22 ดังนั้นเอโดมจึงได้กบฏ ไม่ยอมอยู่ใต้การปกครองของยูดาห์จนถึงปัจจุบัน แล้วลิบนาห์ก็ได้กบฏในเวลาเดียวกัน 23 ราชกิจต่างๆ ของเยโฮรัม และทุกอย่างที่พระองค์ได้ทรงกระทำ ได้ถูกบันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์ยูดาห์แล้วมิใช่? 24 เยโฮรัมจึงได้ทรงล่วงหลับไปและพักสงบอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และเขาฝังไว้กับบรรพบุรุษของพระองค์ในนครดาวิด แล้วอาหัสยาห์โอรสของพระองค์ได้ขึ้นครองราชย์แทน
25 ในปีที่สิบสองแห่งรัชกาลโยรัมโอรสของอาหับกษัตริย์แห่งอิสราเอล อาหัสยาห์โอรสของเยโฮรัมกษัตริย์แห่งยูดาห์ได้ทรงขึ้นครองราชย์ 26 เมื่ออาหัสยาห์ได้ทรงเป็นกษัตริย์นั้น พระองค์มีพระชนมายุยี่สิบสองพรรษา พระองค์ได้ทรงครองราชย์ในกรุงเยรูซาเล็มหนึ่งปี พระราชมารดาของพระองค์มีพระนามว่าอาธาลิยาห์ พระนางเป็นพระราชธิดาของอมรีกษัตริย์อิสราเอล 27 อาหัสยาห์ได้ทรงดำเนินในทางของราชวงศ์อาหับด้วย พระองค์ได้ทรงทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ ดังที่ราชวงศ์ของอาหับได้ทรงกระทำ เพราะเป็นบุตรเขยในราชวงศ์ของอาหับ
28 อาหัสยาห์ได้เสด็จไปกับโยรัมโอรสของอาหับ เพื่อทรงทำสงครามกับฮาซาเอลกษัตริย์อารัมที่ราโมทกิเลอาด คนอารัมได้ทำให้โยรัมบาดเจ็บ 29 กษัตริย์โยรัมได้ทรงกลับมารักษาการบาดเจ็บที่ยิสเรเอล ที่เกิดจากที่คนอารัมได้ทำแก่พระองค์ที่รามาห์ เมื่อพระองค์ได้ทรงต่อสู้กับฮาซาเอลกษัตริย์อารัม ดังนั้นอาหัสยาห์โอรสของเยโฮรัมกษัตริย์ยูดาห์ ได้เสด็จลงไปหาโยรัมโอรสของอาหับในเมืองยิสเรเอล เพราะโยรัมทรงบาดเจ็บ
1 เอลีชาผู้เผยพระวจนะได้เรียกคนหนึ่งในพวกบุตรชายของผู้เผยพระวจนะ และได้พูดกับเขาว่า “จงสวมชุดเดินทาง แล้วถือน้ำมันขวดเล็กนี้ไว้ในมือของเจ้า และไปที่ราโมทกิเลอาด 2 เมื่อเจ้าถึงที่นั่นแล้ว จงมองหาเยฮูบุตรชายของเยโฮชาฟัท บุตรชายของนิมชี และจงเข้าไปข้างใน ให้เขาลุกขึ้นจากหมู่พรรคพวกของเขา และนำเขาเข้าไปในห้องชั้นใน 3 แล้วจงเอาน้ำมันในขวดไปและเทลงบนศีรษะของเขา และพูดว่า ‘พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า “เราเจิมตั้งเจ้าให้เป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอล”’ แล้วจงเปิดประตูและวิ่งออกไป อย่ารอช้าอยู่”
4 ด้วยเหตุนี้ คนหนุ่มคนนั้น คือผู้เผยพระวจนะหนุ่ม จึงได้ไปยังราโมทกิเลอาด 5 เมื่อเขามาถึง ดูเถิด บรรดาผู้บังคับบัญชาทหารกำลังนั่งอยู่ ดังนั้นผู้เผยพระวจนะหนุ่มได้พูดว่า “ท่านผู้บัญชาการ ข้าพเจ้านำข่าวมาถึงท่าน” เยฮูได้พูดว่า “มาถึงใครในพวกเรา?” ผู้เผยพระวจนะหนุ่มได้ตอบว่า “มาถึงท่าน ท่านผู้บัญชาการ” 6 ดังนั้นเยฮูก็ได้ลุกขึ้นและได้เข้าไปในบ้าน และผู้เผยพระวจนะก็ได้เทน้ำมันลงบนศีรษะของเขาและได้พูดกับเยฮูว่า “พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า ‘เราได้เจิมตั้งเจ้าไว้เป็นกษัตริย์เหนือประชาชนของพระยาห์เวห์ คือเหนือคนอิสราเอล
7 เจ้าจงโค่นราชวงศ์ของอาหับนายของเจ้า เพื่อเราจะแก้แค้นให้เลือดของพวกผู้รับใช้ของเราคือบรรดาผู้เผยพระวจนะ และเลือดของพวกผู้รับใช้ทั้งสิ้นของพระยาห์เวห์ ผู้ซึ่งถูกฆ่าโดยมือของเยเซเบล 8 เพราะว่าราชวงศ์อาหับทั้งหมดจะต้องพินาศ และเราจะกำจัดบุตรชายทุกคนเสียจากอาหับ ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นทาสหรือไท
9 เราจะทำให้ราชวงศ์ของอาหับเป็นเหมือนราชวงศ์ของเยโรโบอัมบุตรชายของเนบัท และเหมือนราชวงศ์ของบาอาชาบุตรชายของอาหิยาห์ 10 พวกสุนัขจะกินเยเซเบลในยิสเรเอล และจะไม่มีใครฝังศพนาง’” แล้วผู้เผยพระวจนะก็ได้เปิดประตูและวิ่งหนีไป
11 แล้วเมื่อเยฮูได้ออกมาพบพวกข้าราชบริพารของเจ้านายของเขา พวกเขาได้ถามเขาว่า “ทุกอย่างเรียบร้อยดีหรือ? ทำไมคนบ้าคนนี้จึงมาหาท่าน?” เยฮูได้พูดกับเขาทั้งหลายว่า “พวกท่านรู้จักชายคนนั้นและสิ่งที่เขาพูดแล้ว” 12 แต่เขาทั้งหลายได้พูดว่า “นั่นไม่จริง จงบอกพวกเรามาเถิด” เยฮูได้ตอบว่า “เขาได้พูดอย่างนี้และอย่างนั้นกับข้าพเจ้า และเขายังได้พูดว่า ‘พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า เราเจิมตั้งเจ้าให้เป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอล’” 13 แล้วพวกเขาแต่ละคนก็ได้รีบเอาเครื่องแต่งกายที่สวมข้างนอกของเขาออกมาปูให้เยฮูเหยียบที่บันไดขั้นบนสุด พวกเขาได้เป่าเขาสัตว์ และพูดว่า “เยฮูเป็นกษัตริย์”
14 ด้วยวิธีนี้ เยฮูบุตรชายของเยโฮชาฟัท บุตรชายของนิมชีได้ร่วมกับคนอื่นคิดกบฏต่อโยรัม ตอนนี้โยรัมได้ทรงกำลังป้องกันเมืองราโมทกิเลอาด พระองค์กับอิสราเอลทั้งสิ้นไว้จากฮาซาเอลกษัตริย์อารัม 15 แต่กษัตริย์โยรัมได้ทรงกลับไปที่ยิสเรเอลเพื่อรักษาบาดแผลที่คนอารัมทำร้ายพระองค์ เมื่อพระองค์ได้ทรงสู้รบกับฮาซาเอลกษัตริย์อารัม เยฮูจึงได้กล่าวกับพวกข้าราชบริพารของโยรัมว่า “ถ้านี่เป็นความประสงค์ของท่านทั้งหลาย ก็อย่าให้คนหนึ่งคนใดเล็ดลอดออกจากเมืองเพื่อไปบอกข่าวนี้ในยิสเรเอลได้” 16 ดังนั้นเยฮูได้ขึ้นรถม้าศึกไปยังยิสเรเอล เพราะโยรัมทรงพักนอนที่นั่น ตอนนี้อาหัสยาห์กษัตริย์ยูดาห์ได้เสด็จลงมาเยี่ยมโยรัม
17 ทหารยามกำลังยืนอยู่บนหอคอยที่ยิสเรเอล และเขาได้มองเห็นพวกของเยฮูมา ขณะที่เขามาจากระยะไกล เขาได้พูดว่า “ข้าพเจ้าเห็นคนพวกหนึ่งกำลังมา” โยรัมตรัสว่า “จงใช้พลม้าคนหนึ่งไปและพบพวกเขาและให้ถามเขาว่า ‘ท่านมาอย่างสันติหรือ?’” 18 ดังนั้นพระองค์จึงส่งชายคนหนึ่งขี่หลังม้าไปพบเขา เขาได้พูดว่า “กษัตริย์ตรัสดังนี้ว่า ‘มาอย่างสันติหรือ?’” ดังนั้นเยฮูได้ตอบว่า “ท่านเกี่ยวข้องอะไรกับสันติ? จงเลี้ยวกลับตามเรามา” แล้วทหารยามก็ได้รายงานต่อกษัตริย์ว่า “ผู้สื่อสารได้ไปพบพวกเขาแล้ว แต่เขาไม่ได้กลับมา”
19 แล้วพระองค์จึงทรงใช้ชายคนที่สองขี่ม้าออกไป ผู้ซึ่งได้มาถึงพวกเขา และได้พูดว่า “กษัตริย์ตรัสดังนี้ว่า ‘ท่านมาอย่างสันติหรือ?’” เยฮูได้ตอบว่า “ท่านเกี่ยวข้องอะไรกับสันติ? จงเลี้ยวกลับและตามเรามา” 20 อีกครั้งหนึ่งทหารยามก็ได้รายงานว่า “เขาได้ไปพบคนเหล่านั้นแล้ว แต่ไม่กลับมา วิธีการขับรถม้านั้นก็เหมือนกับการขับรถม้าของเยฮูบุตรชายของนิมชี เพราะเขากำลังขับอย่างบ้าคลั่ง”
21 ดังนั้นโยรัมได้ตรัสว่า “จงเตรียมรถม้าศึกของเรา” พวกเขาก็ได้จัดรถม้าศึกของพระองค์ และโยรัมกษัตริย์แห่งอิสราเอล และอาหัสยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์แต่ละพระองค์ก็ได้ทรงรถม้าศึกของตนเพื่อจะทรงพบกับเยฮู พระองค์ทั้งสองได้พบเขาที่ที่ดินของนาโบทชาวยิสเรเอล 22 เมื่อโยรัมได้ทอดพระเนตรเยฮูแล้ว พระองค์จึงได้ตรัสว่า “เยฮู เจ้ามาอย่างสันติหรือ?” เยฮูได้ทูลตอบว่า “จะสันติได้อย่างไร เมื่อการนอกใจโดยการบูชารูปเคารพ และวิทยาคมของเยเซเบลมารดาของพระองค์ยังมีอยู่มากมายเช่นนี้?”
23 ดังนั้น โยรัมได้ทรงชักบังเหียนรถม้าศึกหันกลับและได้หนีไป และได้ตรัสกับอาหัสยาห์ว่า “อาหัสยาห์ มีกบฏ” 24 แล้วเยฮูก็ได้โก่งธนูของเขาด้วยสุดกำลัง และได้ยิงถูกโยรัมระหว่างพระอังสาทั้งสอง ลูกธนูจึงได้แทงทะลุพระหทัย และพระองค์ก็ได้ทรงล้มลงในรถม้าศึกของพระองค์
25 ต่อมาเยฮูได้พูดกับบิดคาร์ ผู้บัญชาการทหารว่า “จงยกเขาขึ้น และโยนทิ้งลงไปในที่ดินแปลงของนาโบทชาวยิสเรเอล ขอให้คิดถึงเมื่อเรากับเจ้าได้ขี่ม้าเคียงกันมา ให้พระองค์ตามอาหับบิดาของพระองค์ไป พระยาห์เวห์ได้ทรงกล่าวโทษพระองค์ว่า 26 ‘พระยาห์เวห์ตรัสว่า เมื่อวานนี้เราได้เห็นเลือดของนาโบทและเลือดของบุตรชายของเขา และเราจะได้ตอบสนองเจ้าบนที่ดินแปลงนี้แหละ พระยาห์เวห์ตรัสเวลานี้ว่า จงยกเขาขึ้นและโยนเขาทิ้งไว้บนที่ดินแปลงนี้ ตามพระวจนะของพระยาห์เวห์”
27 เมื่ออาหัสยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ได้ทอดพระเนตรเห็นดังนี้ พระองค์ได้ทรงหนีไปตามถนนไปทางเมืองเบธฮักกาน แต่เยฮูก็ได้ติดตามพระองค์ไป และได้พูดว่า “จงฆ่าเขาในรถม้าศึกด้วย” และเขาทั้งหลายได้ยิงพระองค์ตรงทางขึ้นไปตำบลกูร ซึ่งอยู่ใกล้อิบเลอัม และอาหัสยาห์ได้ทรงหนีไปถึงเมืองเมกิดโด และสวรรคตที่นั่น 28 บรรดาข้าราชบริพารของพระองค์ก็ได้บรรทุกพระศพใส่รถม้าศึกไปยังกรุงเยรูซาเล็ม และได้ฝังพระองค์ไว้ในอุโมงค์ฝังศพกับบรรพบุรุษของพระองค์ในนครดาวิด
29 บัดนี้ในปีที่สิบเอ็ดแห่งรัชกาลโยรัมโอรสของอาหับ ที่อาหัสยาห์ได้ทรงครองราชย์เหนือยูดาห์
30 เมื่อเยฮูได้มาถึงเมืองยิสเรเอล เยเซเบลทรงทราบเรื่อง และนางก็ได้ทรงเขียนตาของนาง ได้แต่งพระเกศา และทอดพระเนตรออกไปทางหน้าต่าง 31 เมื่อเยฮูได้ผ่านเข้าประตูเข้ามา พระนางจึงตรัสว่า “เจ้ามาอย่างสันติหรือ เจ้าฆ่านายของเจ้าอย่างเจ้าศิมรีหรือ?” 32 เยฮูได้แหงนหน้าไปที่หน้าต่างและกล่าวว่า “ใครอยู่ฝ่ายเรา? ใครบ้าง?” แล้วก็มีขันทีสองสามคนชะโงกหน้าต่างออกมาดู
33 ดังนั้นเยฮูจึงกล่าวว่า “โยนนางลงมา” ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงโยนเยซาเบลลงมา และเลือดของนางก็กระเด็นติดผนังกำแพงกับพวกม้า และเยฮูก็ได้เหยียบย่ำไปบนร่างของนาง 34 เมื่อเยฮูได้เข้าไปในพระราชวัง เขาได้กินและดื่ม แล้วได้พูดว่า “ บัดนี้จงดูหญิงที่ได้รับการแช่งสาปคนนี้เถิด จงเอานางไปฝังเสีย เพราะนางเป็นธิดาของกษัตริย์”
35 เมื่อพวกเขาได้ไปเพื่อจะฝังศพนาง แต่พวกเขาก็ไม่ได้พบอะไรมากไปกว่า กะโหลกศีรษะ เท้า และฝ่ามือของนาง 36 ดังนั้นพวกเขาได้กลับมาและได้บอกเยฮู เขาได้กล่าวว่า “สิ่งนี้เป็นไปตามพระวจนะของพระยาห์เวห์ ซึ่งได้พระองค์ได้ตรัสทางเอลียาห์ชาวทิชบีผู้รับใช้ของพระองค์ว่า ‘ในยิสเรเอลสุนัขจะกินเนื้อของเยเซเบล 37 และศพของเยเซเบลจะเป็นเหมือนมูลสัตว์บนที่ดินของแผ่นดินที่ยิสเรเอล เพื่อว่าจะไม่มีใครสามารถพูดได้ว่า “นี่คือ เยเซเบล’””
1 ตอนนี้อาหับได้ทรงมีโอรสเจ็ดสิบองค์ในสะมาเรีย เยฮูได้เขียนจดหมายส่งไปสะมาเรีย ถึงบรรดาผู้ปกครองเมืองยิสเรเอล รวมทั้งพวกผู้อาวุโส และบรรดาพี่เลี้ยงของโอรสของอาหับว่า 2 “ในเมื่อบรรดาบุตรชายของนายของพวกท่านอยู่กับท่าน ท่านมีรถม้าศึกกับม้า และเมืองที่มีป้อม และอาวุธ ดังนั้นแล้วทันทีที่จดหมายนี้มาถึงท่าน 3 จงคัดเลือกบุตรชายนายของท่าน คนที่ดีที่สุด และเหมาะสมที่สุด แล้วตั้งคนนั้นไว้บนบัลลังก์ของบิดาของเขา และจงสู้รบเพื่อราชวงศ์นายของพวกท่าน”
4 แต่พวกเขากลัวมาก และได้พูดว่า “ดูเถิด กษัตริย์สองพระองค์ยังทรงต้านทานเยฮูไม่ได้ แล้วพวกเราจะต้านทานได้อย่างไร?” 5 แล้วผู้ดูแลพระราชวัง ผู้ดูแลเมือง พวกผู้อาวุโสและพวกพี่เลี้ยงเด็ก ได้ส่งสารกลับไปถึงเยฮูว่า “พวกเราเป็นผู้รับใช้ของท่าน พวกเราจะทำทุกอย่างที่ท่านสั่ง พวกเราจะไม่ตั้งผู้ใดเป็นกษัตริย์ ขอทำตามที่ดวงตาท่านเห็นว่าดีเถิด”
6 แล้วเยฮูได้เขียนจดหมายเป็นฉบับที่สองถึงพวกเขาว่า “ถ้าท่านทั้งหลายอยู่ฝ่ายเรา และถ้าท่านจะเชื่อฟังเรา ท่านต้องนำศีรษะของบรรดาบุตรชายนายของท่าน และมาหาเราที่ยิสเรเอลพรุ่งนี้เวลานี้” บัดนี้บรรดาบุตรชายเจ็ดสิบคนของกษัตริย์อยู่กับคนใหญ่คนโตในเมือง ผู้ได้ชุบเลี้ยงพวกเขามา 7 ดังนั้นเมื่อจดหมายได้มาถึงพวกเขา พวกเขาก็ได้จับบุตรชายของกษัตริย์ทั้งเจ็ดสิบคนและได้สังหารเสีย แล้วได้เอาศีรษะใส่ตะกร้า และได้ส่งไปให้เยฮูที่ยิสเรเอล
8 ผู้สื่อสารได้มาบอกเยฮูว่า “พวกเขาได้นำศีรษะบุตรชายของกษัตริย์มาแล้ว” ดังนั้นเขาได้พูดว่า “จงกองบรรดาศีรษะไว้เป็นสองกองตรงทางเข้าประตูเมืองจนถึงตอนเช้า” 9 พอตอนเช้า เยฮูได้ออกไปและยืน และได้พูดกับประชาชนทั้งปวงว่า “ท่านทั้งหลายเป็นผู้ไร้ความผิด ดูเถิด เราได้กบฏต่อนายของเราและประหารพระองค์เสีย แต่ใครเล่าที่ฆ่าคนเหล่านี้?
10 บัดนี้ท่านจงทราบแน่เถิดว่า พระวจนะของพระยาห์เวห์ไม่ว่าส่วนใดก็ตาม ซึ่งพระองค์ได้ตรัสเกี่ยวกับราชวงศ์ของอาหับจะไม่ตกดินแต่อย่างใดเลย เพราะพระยาห์เวห์ได้ทรงทำตามที่ตรัสผ่านทางเอลียาห์ผู้รับใช้ของพระองค์” 11 ดังนั้นเยฮูได้ประหารทุกคนที่เหลืออยู่ในราชวงศ์ของอาหับในเมืองยิสเรเอล อีกทั้งคนใหญ่คนโตทุกคนของพระองค์ สหายสนิทของพระองค์ และปุโรหิตของพระองค์ จนพวกเขาไม่เหลือรอดชีวิตสักคนเดียวเลย
12 แล้วเยฮูได้ลุกขึ้นและได้ออกไป เขาได้ไปยังสะมาเรีย ในระหว่างทางที่เขาถึงที่เบธเอเขดหมู่บ้านของผู้เลี้ยงแกะ 13 เขาได้พบญาติของอาหัสยาห์กษัตริย์ยูดาห์ เยฮูได้ถามว่า “พวกท่านเป็นใคร?” พวกเขาได้ตอบว่า “พวกเราเป็นญาติของอาหัสยาห์ และพวกเรากำลังจะไปเยี่ยมบรรดาบุตรชายของกษัตริย์และของพระราชินีเยเซเบล” 14 เยฮูได้พูดกับพวกคนของเขาว่า “จับเป็นพวกเขา” ดังนั้น เขาทั้งหลายก็จับเป็นคนเหล่านั้น และสังหารพวกเขาทั้งสี่สิบสองคนที่บ่อเบธเอเขด เขาไม่ได้ไว้ชีวิตของพวกเขาสักคนเดียว
15 เมื่อเยฮูได้ออกจากที่นั่น เขาก็ได้พบเยโฮนาดับบุตรชายของเรคาบผู้ซึ่งกำลังมาหาเขา เยฮูได้ต้อนรับเขา และได้พูดกับเขาว่า “จิตใจของเจ้าซื่อตรงต่อจิตใจของเรา อย่างที่จิตใจของเราซื่อตรงต่อจิตใจของเจ้าหรือ?” เยโฮนาดับได้ตอบว่า “ซื่อตรงสิ” เยฮูได้พูดว่า “ถ้าซื่อตรงก็ยื่นมือของเจ้ามาให้เรา” เยโฮนาดับจึงยื่นมือของเขาให้เยฮู และเยฮูก็ดึงเยโฮนาดับขึ้นมาบนรถม้าศึก 16 เยฮูได้พูดว่า “มากับเราเถิด และดูความกระตือรือร้นของเราเพื่อพระยาห์เวห์” ดังนั้นเขาจึงให้เยโฮนาดับนั่งรถม้าศึกไปกับเขา 17 เมื่อเขาได้มาถึงสะมาเรีย เยฮูได้ประหารทุกคนในราชวงศ์ของอาหับที่เหลืออยู่ในสะมาเรียจนหมด เยฮูได้ทำลายเชื้อพระวงศ์ทุกคนในราชวงศ์ของอาหับ ตามพระวจนะของพระยาห์เวห์ซึ่งพระองค์ได้ตรัสกับเอลียาห์
18 แล้วเยฮูได้เรียกประชุมประชาชนทั้งหมด และได้พูดกับเขาทั้งหลายว่า “อาหับปรนนิบัติพระบาอัลเล็กน้อย แต่เยฮูจะปรนนิบัติพระองค์มากกว่า 19 ดังนั้นในเวลานี้ จงเรียกผู้พยากรณ์ของพระบาอัลมาหาเราให้หมด ทั้งผู้นมัสการและนักบวชทั้งหมดของพระบาอัล อย่าให้ใครขาดไปเลย เพราะเราจะมีการถวายสัตวบูชาครั้งใหญ่แก่พระบาอัล ใครขาดก็จะไม่ให้มีชีวิตอยู่” แต่เยฮูได้ทำอย่างมีเลศนัยเพื่อจะทำลายพวกที่นมัสการพระบาอัล 20 เยฮูได้พูดว่า “จงจัดประชุมเพื่อนมัสการพระบาอัล” ดังนั้นพวกเขาก็ป่าวร้องเรียกประชุมดังกล่าว
21 แล้วเยฮูได้ส่งข่าวไปทั่วอิสราเอล และพวกผู้นมัสการพระบาอัลก็มาทั้งหมด จึงไม่มีเหลือสักคนหนึ่งที่ไม่ได้มา เขาทั้งหลายก็เข้าไปในวิหารของพระบาอัล แล้ววิหารของพระบาอัลก็เต็มแน่นขนัดจากข้างหนึ่งถึงอีกข้างหนึ่ง 22 เยฮูได้สั่งผู้ดูแลตู้เสื้อคลุมว่า “จงเอาเสื้อสำหรับผู้นมัสการพระบาอัลออกมา” เขาก็เอาเสื้อออกมาให้เขาทั้งหลาย
23 ดังนั้นเยฮูได้เข้าไปในวิหารของพระบาอัล พร้อมกับเยโฮนาดับบุตรเรคาบ เขาได้พูดกับผู้นมัสการพระบาอัลว่า “จงค้นดู ดูให้ดีว่าไม่มีผู้นมัสการพระยาห์เวห์อยู่กับพวกท่าน ให้มีแต่ผู้นมัสการพระบาอัลเท่านั้น” 24 แล้วเขาทั้งหลายได้เข้าไปถวายเครื่องสัตวบูชาและเครื่องเผาบูชา เยฮูวางคนแปดสิบคนไว้ภายนอก และได้พูดว่า “ถ้าคนไหนปล่อยให้คนหนึ่งคนใดซึ่งเรามอบไว้ในมือพวกเจ้าหนีรอดไปได้ เขาต้องเสียชีวิตของเขาแทน”
25 ดังนั้นเมื่อเยฮูได้เสร็จการถวายเครื่องเผาบูชา เยฮูก็ได้สั่งทหารยามและพวกผู้บัญชาการว่า “จงเข้าไปฆ่าพวกเขาเสีย อย่าให้รอดสักคนเดียว” เมื่อฆ่าเขาทั้งหลายด้วยคมดาบแล้ว ทหารยามและพวกผู้บัญชาการก็โยนศพออกไปข้างนอก และก็เข้าไปที่ห้องข้างในของวิหารพระบาอัล 26 พวกเขาได้นำเอาเสาศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหารของพระบาอัลออกมาเผาเสีย 27 แล้วพวกเขาได้ทำลายเสาศักดิ์สิทธิ์ของพระบาอัล และได้ทำลายวิหารของพระบาอัล แล้วทำให้เป็นส้วมจนทุกวันนี้ 28 นี่คือวิธีที่เยฮูได้ทำลายผู้นมัสการพระบาอัลออกจากอิสราเอล
29 แต่เยฮูไม่ได้หันจากบาปของเยโรโบอัมบุตรชายของเนบัท ผู้ซึ่งเขาได้นำอิสราเอลให้ทำบาปด้วย นั่นคือ การนมัสการลูกวัวทองคำซึ่งอยู่ในเมืองเบธเอลและในเมืองดาน 30 ดังนั้นพระยาห์เวห์ได้ตรัสกับเยฮูว่า “เพราะเจ้าได้ทำดีโดยทำสิ่งที่ชอบในสายตาของเรา และได้ทำต่อราชวงศ์อาหับตามทุกอย่างที่อยู่ในใจของเรา บุตรชายของเจ้าสี่ชั่วอายุคนจะได้นั่งบนบัลลังก์ของอิสราเอล” 31 แต่เยฮูไม่ระมัดระวังที่จะดำเนินตามธรรมบัญญัติของพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลด้วยสุดใจของเขา เขาไม่ได้หันจากบาปของเยโรโบอัม ซึ่งเขาได้นำอิสราเอลให้ทำบาปด้วย
32 ในสมัยนั้น พระยาห์เวห์ทรงเริ่มตัดดินแดนของอิสราเอลออก และฮาซาเอลก็ได้รบชนะทั่วดินแดนอิสราเอล 33 ตั้งแต่แม่น้ำจอร์แดนฟากตะวันออก ทั่วแผ่นดินกิเลอาด คนกาด คนรูเบน และคนมนัสเสห์ ตั้งแต่อาโรเออร์ ซึ่งอยู่ข้างหุบเขาของอารโนน ผ่านกิเลอาดไปจนถึงบาชาน
34 ในส่วนราชกิจต่างๆ ของเยฮู และทุกอย่างที่ได้ทรงกระทำ และอำนาจทั้งสิ้นของพระองค์ ได้ถูกบันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์อิสราเอลแล้วมิใช่? 35 เยฮูจึงได้เสด็จสวรรคตไปอยู่กับบรรพบุรุษ และพวกเขาก็ฝังพระองค์ไว้ในกรุงสะมาเรีย และเยโฮอาหาสบุตรชายของพระองค์ก็ทรงเป็นกษัตริย์แทน 36 เวลาที่เยฮูได้ทรงปกครองอิสราเอลในสะมาเรียนั้นคือยี่สิบแปดปี
1 บัดนี้เมื่ออาธาลิยาห์ มารดาของอาหัสยาห์ ได้เห็นว่าบุตรชายของนางได้เสียชีวิตแล้ว นางก็ได้ลุกขึ้นและสังหารเชื้อพระวงศ์ทั้งสิ้น 2 แต่เยโฮเชบาธิดาของกษัตริย์เยโฮรัมและน้องสาวของอาหัสยาห์ ได้แอบนำโยอาบุตรชายของอาหัสยาห์มาและได้ซ่อนเขาไว้จากท่ามกลางบรรดาลูกชายของกษัตริย์ ซึ่งต้องถูกประหาร รวมทั้งพี่เลี้ยงของเขา นางได้วางเขาไว้ในห้องนอน พวกเขาได้ซ่อนเขาเสียจากอาธาลิยาห์ เพื่อที่ว่าเขาจะไม่ถูกประหารชีวิต 3 เขาได้อยู่กับเยโฮเชบาหกปี ผู้ซึ่งซ่อนเขาไว้ในพระนิเวศของพระยาห์เวห์ ในขณะที่อาธาลิยาห์ได้ทรงปกครองเหนือแผ่นดิน
4 แต่ในปีที่เจ็ด เยโฮยาดาได้ส่งสารและได้นำไปมอบให้บรรดาผู้บัญชาการของพวกคารี และของพวกทหารยามให้มาหาเขาในพระวิหารของพระยาห์เวห์ เยโฮยาดาได้ทำพันธสัญญากับเขาทั้งหลาย และให้พวกเขาสาบานในพระนิเวศของพระยาห์เวห์ แล้วเขาก็ได้นำบุตรชายของกษัตริย์มาให้พวกเขาเห็น 5 เขาได้สั่งคนเหล่านั้นว่า “สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เจ้าทั้งหลายต้องทำคือ กลุ่มหนึ่งในสามกลุ่มของเจ้าผู้ซึ่งเข้าเวรวันสะบาโตจะต้องเฝ้าดูวังของกษัตริย์ 6 อีกกลุ่มหนึ่งในสามกลุ่มจะต้องอยู่ที่ประตูสูร และกลุ่มหนึ่งในสามกลุ่มให้ประจำอยู่ที่ประตูข้างหลังป้อมยาม
7 ส่วนอีกสองกลุ่มซึ่งไม่ได้อยู่เวรในวันสะบาโต พวกเจ้าต้องเฝ้าระวังพระนิเวศของพระยาห์เวห์สำหรับกษัตริย์ 8 พวกเจ้าต้องล้อมกษัตริย์ไว้ ผู้ชายทุกคนพร้อมบรรดาอาวุธในมือของพวกเขา ผู้ใดก็ตามที่ได้เข้าไปใกล้ในแถวจะต้องถูกสังหาร เจ้าต้องอยู่กับกษัตริย์เมื่อพระองค์เสด็จออกและเมื่อพระองค์เสด็จเข้า”
9 ดังนั้นบรรดาผู้บัญชาการก็ได้เชื่อฟังทุกสิ่งตามที่เยโฮยาดาปุโรหิตได้สั่งไว้ แต่ละคนต่างก็นำคนของตน ผู้ซึ่งจะเข้าเวรวันสะบาโต พร้อมกับผู้ที่จะออกเวรวันสะบาโตนั้น และพวกเขาได้มาหาเยโฮยาดาปุโรหิต 10 แล้วเยโฮยาดาปุโรหิตก็ได้มอบหอกและโล่ซึ่งเป็นของกษัตริย์ดาวิดที่อยู่ในพระนิเวศของพระยาห์เวห์แก่บรรดาผู้บัญชาการ
11 ดังนั้นพวกทหารยามแต่ละคนได้ยืนพร้อมบรรดาอาวุธในมือของพวกเขา จากด้านขวาของไปถึงด้านซ้ายของพระวิหาร ใกล้แท่นบูชาและพระวิหารล้อมรอบกษัตริย์ 12 แล้วเยโฮยาดาก็ได้นำบุตรชายของกษัตริย์คือโยอาชออกมา ได้สวมมงกุฎให้เขา และได้มอบกฎเกณฑ์แห่งพันธสัญญาให้เขา แล้วเขาทั้งหลายได้ตั้งและเจิมเขาให้เป็นกษัตริย์ แล้วเขาทั้งหลายจึงตบมือ และได้บอกว่า “ขอให้กษัตริย์ทรงพระเจริญ”
13 เมื่ออาธาลิยาห์ได้ยินเสียงทหารยามและเสียงประชาชน นางก็ได้เข้าไปหาประชาชนในพระนิเวศของพระยาห์เวห์ 14 นางได้มอง และดูเถิด กษัตริย์ได้ทรงยืนอยู่ข้างเสา ตามธรรมเนียมที่เคยปฏิบัติ และมีบรรดาผู้บัญชาการและคนเป่าแตรได้อยู่ข้างกษัตริย์ ประชาชนทั้งสิ้นในแผ่นดินก็ได้ยินดีและเป่าแตร แล้วอาธาลิยาห์ก็ได้ฉีกเสื้อผ้าของนางและได้ตะโกนว่า “กบฏ กบฏ”
15 แล้วเยโฮยาดาปุโรหิตก็ได้สั่งพวกผู้บัญชาการที่ได้รับการตั้งให้ควบคุมกองทัพว่า “จงนำตัวนางออกมาระหว่างแถวทหาร ใครก็ตามที่ติดตามนางไปก็จงประหารเขาเสียด้วยดาบ” เพราะปุโรหิตได้กล่าวว่า “อย่าประหารนางในพระนิเวศของพระยาห์เวห์” 16 ดังนั้นเขาทั้งหลายจึงได้จับนาง ขณะที่นางได้ไปถึงทางที่ม้าเข้าลานพระราชวัง และนางได้ถูกสังหารที่นั่น
17 แล้วเยโฮยาดาได้ทำพันธสัญญาระหว่างพระยาห์เวห์กับกษัตริย์และประชาชน ว่าพวกเขาควรจะเป็นประชาชนของพระยาห์เวห์ และยังทำพันธสัญญาระหว่างกษัตริย์กับประชาชนด้วย 18 ดังนั้นประชาชนหมดทั้งแผ่นดินก็ได้เข้าไปในศาลาของพระบาอัล และพังศาลาลง พวกเขาได้ทำลายบรรดาแท่นบูชาและรูปเคารพของพระบาอัลแตกเป็นชิ้นๆ และพวกเขาได้ประหารมัทตาน นักบวชของพระบาอัลเสียที่หน้าแท่นบูชา แล้วเยโฮยาดาปุโรหิตได้แต่งตั้งพวกยามไว้เฝ้าพระนิเวศของพระยาห์เวห์
19 เยโฮยาดาได้พาพวกผู้บัญชาการ พวกคารี พวกทหารยาม และประชาชนทั้งสิ้นแห่งแผ่นดินไปกับเขา และเขาทั้งหลายได้เชิญกษัตริย์เสด็จลงมาจากพระนิเวศของพระยาห์เวห์ร่วมกัน และพวกเขาได้เข้าไปในวังของกษัตริย์ที่ทางประตูทหารยาม โยอาชก็ได้ประทับบนบัลลังก์ของกษัตริย์ 20 ดังนั้นประชาชนทั้งสิ้นแห่งแผ่นดินก็ได้เปรมปรีดิ์ และบ้านเมืองก็สงบหลังจากได้ประหารอาธาลิยาห์ด้วยดาบแล้วที่วังของกษัตริย์
21 โยอาชมีพระชนมายุเจ็ดพรรษา เมื่อพระองค์ได้ทรงครองราชย์
1 ในปีที่เจ็ดแห่งรัชกาลเยฮู โยอาชได้ทรงครองราชย์ พระองค์ได้ทรงครองราชย์สี่สิบปีในกรุงเยรูซาเล็ม มารดาของพระองค์คือ ศิบียาห์ชาวเบเออร์เชบา 2 โยอาชได้ทรงทำสิ่งที่ชอบธรรมในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ตลอดรัชกาล เพราะเยโฮยาดาปุโรหิตได้แนะนำพระองค์ 3 แต่สถานสูงต่าง ๆ ยังไม่ได้รื้อลง ประชาชนยังคงถวายสัตวบูชาและเผาเครื่องหอมในสถานสูงเหล่านั้น
4 โยอาชได้ตรัสกับพวกปุโรหิตว่า “เงินทั้งสิ้นอันเป็นของถวายที่บริสุทธิ์ ซึ่งได้นำเข้ามาในพระนิเวศของพระยาห์เวห์ ได้แก่เงินที่เรียกจากแต่ละคน คือเงินที่ได้เก็บโดยการสำรวจสำมะโนประชากร หรือเงินที่ได้จากการปฏิญาณของบุคคล หรือเงินที่ประชาชนได้ถวายโดยการดลใจจากพระยาห์เวห์ด้วยสมัครใจของพวกเขา 5 ปุโรหิตควรรับเงินนั้นจากหนึ่งในพวกผู้เก็บเงินทั้งหลายและซ่อมแซมพระวิหารตรงที่ที่เห็นว่าชำรุด”
6 แต่ในปีที่ยี่สิบสามของรัชกาลของกษัตริย์โยอาช พวกปุโรหิตไม่ได้ซ่อมแซมสิ่งใดในพระวิหารเลย 7 แล้วกษัตริย์โยอาชจึงได้ทรงเรียกเยโฮยาดาปุโรหิต และบรรดาปุโรหิตอื่นๆ พระองค์ได้ตรัสกับพวกเขาว่า “ทำไมพวกท่านจึงไม่ซ่อมแซมสิ่งใด ๆ ในพระวิหาร? เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้อย่ารับเงินจากผู้บริจาคเลย แต่ให้เก็บเงินมาเฉพาะที่จะซ่อมพระวิหาร และจ่ายให้แก่พวกผู้ที่จะซ่อมแซมพระวิหารเท่านั้น” 8 ดังนั้นพวกปุโรหิตจึงได้ตกลงกันว่าจะไม่รับเงินจากประชาชนอีก และจะไม่ซ่อมแซมพระวิหารด้วยตัวของพวกเขาเอง
9 แต่เยโฮยาดาปุโรหิตได้นำหีบมาใบหนึ่ง ได้เจาะรูหนึ่งที่ฝาหีบนั้น และได้ตั้งไว้ข้างแท่นบูชาด้านขวา ทางเข้าพระนิเวศของพระยาห์เวห์ และปุโรหิตผู้เฝ้าอยู่ที่ทางเข้าพระวิหารก็ได้ใส่เงินทั้งหมดลงไปในหีบที่ได้เข้ามาในพระนิเวศของพระยาห์เวห์ 10 เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาได้เห็นว่ามีเงินในหีบมากพอแล้ว อาลักษณ์ของกษัตริย์และมหาปุโรหิตจะมา และเอาเงินใส่ถุง แล้วเอาเงินที่พบในพระวิหารของพระยาห์เวห์ไปนับ
11 พวกเขาได้มอบเงินที่ชั่งแล้วให้แก่บรรดาคนที่ดูแลพระวิหารของพระยาห์เวห์ พวกเขาได้จ่ายให้แก่พวกช่างไม้และพวกช่างก่อสร้าง ผู้ซึ่งได้บูรณะวิหารของพระยาห์เวห์ 12 และให้แก่พวกช่างก่อ และพวกช่างสกัดหิน เพื่อซื้อไม้และหินสกัดที่ใช้ในการซ่อมแซมพระวิหารของพระยาห์เวห์ และสำหรับค่าใช้จ่ายอื่นๆ ทั้งหมดที่จำเป็นในการซ่อมแซม
13 แต่เงินที่ได้นำเข้ามาในพระนิเวศของพระยาห์เวห์นั้น ไม่ให้นำไปใช้ในการทำพวกถ้วยเงิน กรรไกรตัดไส้ตะเกียง อ่าง แตร หรือภาชนะทองคำ หรือภาชนะเงินที่ใช้ในการตกแต่งใดๆ 14 พวกเขาได้จ่ายเงินให้แก่พวกคนที่ได้ทำงานซ่อมพระนิเวศของพระยาห์เวห์
15 ยิ่งกว่านั้น พวกเขาไม่ต้องเขียนรายงานค่าใช้จ่ายในการซ่อมทั้งพวกผู้ที่ได้รับเงินและพวกผู้ที่ได้จ่ายเงินแก่พวกคนงาน เพราะเขาทั้งหลายได้ปฏิบัติงานด้วยความซื่อสัตย์ 16 แต่เงินถวายบูชาเพื่อการลบความผิดและเงินถวายบูชาเพื่อการลบล้างบาปจะไม่ได้นำมาไว้ในพระนิเวศของพระยาห์เวห์ เพราะเงินนั้นให้เป็นของพวกปุโรหิต
17 แล้วฮาซาเอลกษัตริย์อารัมได้ทรงยกขึ้นไปรบกับเมืองกัท และยึดเมืองนั้นได้ แล้วฮาซาเอลก็ได้หันขึ้นไปโจมตีกรุงเยรูซาเล็ม 18 โยอาชกษัตริย์ยูดาห์ได้ทรงนำเอาสิ่งของศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดที่เยโฮชาฟัท และเยโฮรัม และอาหัสยาห์บรรพบุรุษของพระองค์ ผู้เป็นกษัตริย์แห่งยูดาห์ได้ทรงชำระให้บริสุทธิ์ไว้นั้น และสิ่งของศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์เอง และทองคำทั้งหมดที่ได้พบในคลังของพระนิเวศพระยาห์เวห์และของพระราชวังมา แล้วพระองค์ได้ทรงส่งสิ่งเหล่านี้ไปให้ฮาซาเอลกษัตริย์แห่งอารัม แล้วฮาซาเอลก็ได้ทรงถอยทัพไปจากกรุงเยรูซาเล็ม
19 ส่วนราชกิจต่างๆ ของโยอาช และทุกอย่างที่ได้ทรงกระทำ ได้ถูกบันทึกในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์ของยูดาห์แล้วมิใช่? 20 พวกข้าราชบริพารของพระองค์ได้ลุกและได้ก่อกบฏ และได้ปลงพระชนม์โยอาชเสียในวัง เบธมิลโล ตามทางที่ลงไปยังสิลลา 21 โยซาบาดบุตรชิเมอัท และเยโฮซาบาดบุตรโชเมอร์ พวกข้าราชบริพารของพระองค์ได้สังหารพระองค์ พระองค์จึงได้สวรรคต พวกเขาได้ฝังโยอาชไว้กับบรรพบุรุษในนครดาวิด และอามาซิยาห์ผู้ซึ่งเป็นโอรสของพระองค์ได้ทรงขึ้นปกครองแทน 21 โยซาบาดบุตรชิเมอัท และเยโฮซาบาดบุตรโชเมอร์ พวกข้าราชบริพารของพระองค์ได้ประหารพระองค์ พระองค์จึงได้เสด็จสวรรคต พวกเขาได้ฝังโยอาชไว้กับบรรพบุรุษในนครดาวิด และอามาซิยาห์ผู้ซึ่งเป็นพระราชโอรสของพระองค์ได้ทรงขึ้นครองราชย์แทน
1 ในปีที่ยี่สิบสามแห่งรัชกาลโยอาช โอรสของอาหัสยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ เยโฮอาหาสโอรสของเยฮูได้ทรงครองราชย์เหนืออิสราเอลในกรุงสะมาเรีย พระองค์ได้ทรงครองราชย์อยู่สิบเจ็ดปี 2 พระองค์ได้กระทำสิ่งที่เลวร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ และได้กระทำความบาปทั้งสิ้นตามเยโรโบอัมโอรสของเนบัท ผู้ได้ชักจูงอิสราเอลให้กระทำความบาปด้วย และเยโฮอาหาสไม่ได้ทรงหันพระองค์จากความบาปนั้น
3 ความกริ้วขององค์พระยาห์เวห์ได้ปะทุขึ้นต่ออิสราเอล และพระองค์ได้ทรงมอบพวกเขาไว้ในมือของฮาซาเอลกษัตริย์อารัม และในมือของเบนฮาดัดโอรสของฮาซาเอลอย่างต่อเนื่อง 4 ดังนั้นเยโฮอาหาสได้ทรงวิงวอนพระยาห์เวห์ และพระยาห์เวห์ได้ทรงฟังพระองค์ เพราะพระยาห์เวห์ทรงเห็นการข่มเหงอิสราเอล คือที่กษัตริย์อารัมได้ทรงข่มเหงพวกเขา 5 เพราะฉะนั้นพระยาห์เวห์ได้ทรงประทานผู้ช่วยกู้คนหนึ่งแก่อิสราเอล พวกเขาจึงได้หลุดพ้นจากมือคนอารัม และประชาชนอิสราเอลก็ได้อาศัยอยู่ในบ้านของพวกเขาอย่างที่เคยมีมาก่อนนี้
6 ถึงกระนั้น พวกเขาก็หนีไม่พ้นจากบาปของราชวงศ์เยโรโบอัม ซึ่งพระองค์ได้ทรงเป็นต้นเหตุให้อิสราเอลได้กระทำบาปด้วย และพวกเขายังคงได้อยู่ในบาปเหล่านั้นต่อไป และเสาพระอาเชราห์ก็ยังคงอยู่ในสะมาเรียต่อไป 7 พวกคนอารัมได้เหลือเพียงทหารม้าห้าสิบคน รถม้าศึกสิบคัน และทหารราบหนึ่งหมื่นคนให้แก่เยโฮอาหาส เพราะกษัตริย์แห่งอารัมได้ทรงทำลายพวกเขาเสีย และทำให้พวกเขาเป็นอย่างแกลบในเวลานวดข้าว
8 ส่วนราชกิจต่างๆ ของเยโฮอาหาส และทุกอย่างที่ได้ทรงกระทำ และอำนาจของพระองค์ ได้ถูกบันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์อิสราเอลแล้วมิใช่? 9 ดังนั้นเยโฮอาหาสได้ทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และพวกเขาได้ฝังพระองค์ไว้ในสะมาเรีย เยโฮอาชโอรสของพระองค์ได้ขึ้นครองราชย์แทน
10 ในปีที่สามสิบเจ็ดแห่งรัชกาลโยอาชกษัตริย์แห่งยูดาห์ เยโฮอาชโอรสของเยโฮอาหาสได้ทรงปกครองเหนืออิสราเอลในสะมาเรียสิบหกปี 11 พระองค์ได้กระทำสิ่งที่เลวร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ พระองค์ไม่ได้ทรงหันหนีจากบาปทั้งสิ้นของเยโรโบอัมโอรสของเนบัท ผู้ได้ชักจูงอิสราเอลให้กระทำความบาปด้วย แต่พระองค์ได้ทรงดำเนินในบาปนั้น
12 ส่วนราชกิจต่างๆ ของเยโฮอาช และทุกอย่างที่ได้ทรงกระทำ และอำนาจซึ่งพระองค์ได้ทรงรบกับอามาซิยาห์กษัตริย์ของยูดาห์ ได้ถูกบันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์อิสราเอลแล้วมิใช่? 13 เยโฮอาชได้ทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และเยโรโบอัมได้ประทับบนพระที่นั่งของพระองค์ เยโฮอาชได้ทรงถูกฝังไว้ในสะมาเรียกับบรรดากษัตริย์แห่งอิสราเอล
14 บัดนี้เอลีชาได้ล้มป่วยด้วยโรคที่เขาจะต้องตายในไม่ช้า ดังนั้นเยโฮอาชกษัตริย์อิสราเอลได้เสด็จลงไปหาเขา และได้ทรงกันแสงต่อหน้าเขา พระองค์ได้ตรัสว่า “ท่านพ่อ ท่านพ่อของข้า รถม้าศึกแห่งอิสราเอล และทหารม้าประจำรถกำลังจะมารับท่านแล้ว” 15 เอลีชาได้ทูลพระองค์ว่า “ขอได้ทรงเอาคันธนูและลูกธนูมาจำนวนหนึ่งด้วย” ดังนั้นโยอาชจึงได้ทรงเอาคันธนูและลูกธนูมาจำนวนหนึ่งด้วย 16 เอลีชาได้ทูลกษัตริย์อิสราเอลว่า “ขอได้ทรงจับคันธนูไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์” ดังนั้นพระองค์ได้ทรงจับคันธนูไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์ แล้วเอลีชาได้วางมือของเขาบนพระหัตถ์ทั้งสองข้างของกษัตริย์
17 เอลีชาได้ทูลว่า “ขอได้ทรงเปิดหน้าต่างทางทิศตะวันออก” ดังนั้น พระองค์ได้ทรงเปิดแล้ว เอลีชาได้ทูลว่า “ขอทรงยิง” และพระองค์ก็ทรงยิงออกไป เอลีชาทูลว่า “นี่จะเป็นลูกธนูแห่งชัยชนะของพระยาห์เวห์ ลูกธนูแห่งชัยชนะเหนือพวกอารัม เพราะพระองค์จะได้ทรงทำลายคนอารัมได้อย่างราบคาบที่อาเฟก” 18 แล้วเอลีชาได้ทูลว่า “ขอทรงหยิบลูกธนูเหล่านั้นมา” ดังนั้นโยอาชจึงทรงหยิบลูกธนูเหล่านั้น และเขาได้ทูลกษัตริย์อิสราเอลว่า “ทรงตีลูกธนูลงพื้นดินสิ” และพระองค์ทรงตีสามครั้งแล้วจึงทรงหยุด 19 แต่คนของพระเจ้าได้โกรธพระองค์ และทูลว่า “พระองค์ควรจะตีสักห้าหรือหกครั้ง แล้วพระองค์จะได้ตีอารัมจนกว่าจะได้ทรงทำให้พวกเขาสิ้นไป แต่บัดนี้พระองค์จะตีชนะอารัมได้เพียงสามครั้งเท่านั้น”
20 แล้วเอลีชาได้สิ้นชีวิต และพวกเขาก็ได้ฝังเอลีชาไว้ ปกติในเวลานี้กลุ่มชาวโมอับที่ได้เคยปล้นในดินแดนนั้นในตอนต้นปี 21 ขณะที่พวกเขากำลังฝังศพชายคนหนึ่งอยู่ พวกเขาก็เห็นกลุ่มชาวโมอับกลุ่มนั้น ดังนั้นพวกเขาจึงได้โยนศพชายคนนั้นลงไปในหลุมฝังของเอลีชา เมื่อศพผู้ชายคนนั้นได้โดนกระดูกของเอลีชา ผู้ชายคนนั้นก็ได้กลับมีชีวิตขึ้นและยืนขึ้นด้วยตัวเอง
22 ฮาซาเอล กษัตริย์อารัมได้ทรงข่มเหงชาวอิสราเอลอยู่ตลอดรัชกาลของเยโฮอาหาส 23 แต่พระยาห์เวห์ได้ทรงพระกรุณาและได้ทรงพระเมตตาต่ออิสราเอล และพระองค์ทรงห่วงใยพวกเขา เพราะพันธสัญญาของพระองค์ที่ได้ทรงกระทำกับอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ ดังนั้นพระยาห์เวห์จึงไม่ได้ทรงทำลายพวกเขา และพระองค์ยังไม่ได้ทรงขับไล่พวกเขาไปให้พ้นพระพักตร์ของพระองค์เลย 24 ฮาซาเอลกษัตริย์อารัมได้สวรรคต เบนฮาดัดโอรสของพระองค์ได้ทรงขึ้นครองราชย์แทน 25 เยโฮอาชโอรสของเยโฮอาหาสได้ยึดบรรดาเมืองจากเบนฮาดัดโอรสของฮาซาเอลกลับคืนมา ซึ่งเป็นเมืองที่พระองค์ได้ทรงยึดจากเยโฮอาหาสบิดาของเยโฮอาชได้เมื่อตอนทำสงครามกัน เยโฮอาชได้รบชนะพระองค์สามครั้งและได้บรรดาเมืองอิสราเอลกลับคืนมา
1 ในปีที่สองแห่งรัชกาลเยโฮอาชโอรสของเยโฮอาหาสกษัตริย์แห่งอิสราเอล อามาซิยาห์โอรสของโยอาชกษัตริย์ยูดาห์ได้ทรงขึ้นครองราชย์ 2 เมื่อพระองค์ได้ทรงเป็นกษัตริย์นั้น พระองค์มีพระชนมายุยี่สิบห้าพรรษา พระองค์ทรงครองราชยี่สิบเก้าปีในกรุงเยรูซาเล็ม พระมารดาของพระองค์มีพระนามว่า เยโฮอัดดานชาวเยรูซาเล็ม 3 พระองค์ได้ทรงทำสิ่งที่เที่ยงธรรมในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ แต่ยังไม่เหมือนกับดาวิดบรรพบุรุษของพระองค์ พระองค์ได้ทรงทำตามทุกอย่างซึ่งโยอาชบิดาของพระองค์ได้ทรงกระทำ
4 แต่สถานสูงเหล่านั้นก็ยังไม่ได้รื้อเสีย ประชาชนยังคงถวายสัตวบูชา และเผาเครื่องหอมที่สถานสูงเหล่านั้น 5 สิ่งนี้ได้เกิดขึ้นเมื่อราชอาณาจักรได้อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์อย่างมั่นคงแล้ว พระองค์ก็ได้ทรงประหารพวกข้าราชบริพารที่ได้ปลงพระชนม์พระราชบิดาของพระองค์
6 แต่พระองค์ไม่ได้ทรงสังหารลูกหลานของผู้ที่ได้ปลงพระชนม์นั้น แต่พระองค์ได้ทรงปฏิบัติตามที่ได้ถูกบันทึกไว้ในหนังสือธรรมบัญญัติของโมเสส ซึ่งพระยาห์เวห์ได้ทรงบัญชาว่า “อย่าสังหารบิดาเพราะการกระทำของลูกหลานพวกเขา หรืออย่าสังหารลูกหลานเพราะการกระทำของบิดามารดาของพวกเขา แต่ละคนต้องถูกสังหารเพราะบาปของตนเอง” 7 พระองค์ได้ทรงสังหารคนเอโดมหนึ่งหมื่นคนในหุบเขาเกลือ และพระองค์ได้ทรงยึดเมืองเสลาด้วยในการสงครามและได้ทรงเรียกเมืองนั้นว่า โยกเธเอล ซึ่งเป็นชื่อมาถึงทุกวันนี้
8 แล้วอามาซิยาห์ได้ทรงส่งคณะทูตไปเฝ้าเยโฮอาช โอรสของเยโฮอาหาสโอรสของเยฮู กษัตริย์แห่งอิสราเอล ทูลว่า “มาเถิด ขอให้เราเผชิญหน้ากันในการต่อสู้” 9 แต่เยโฮอาชกษัตริย์อิสราเอลได้ทรงส่งผู้สื่อสารไปยังอามาซิยาห์กษัตริย์ยูดาห์ว่า “ต้นหนามในเลบานอนได้ส่งข่าวไปหาต้นสนสีดาร์ในเลบานอนว่า ‘จงยกลูกสาวของเจ้าให้เป็นภรรยาลูกชายของเรา’ แต่สัตว์ป่าตัวหนึ่งซึ่งอยู่ในเลบานอนได้ผ่านมา และได้ย่ำต้นหนามลงเสีย 10 ท่านได้โจมตีเอโดม และจิตใจของท่านก็ทำให้ท่านผยองขึ้น จงภูมิใจในชัยชนะของท่านเถิด แต่จงอยู่กับบ้านของตน เพราะทำไมท่านจึงสร้างปัญหาให้ตัวเองและล้มลง ทั้งท่านและยูดาห์ด้วย?”
11 แต่อามาซิยาห์ไม่ได้ทรงฟัง ดังนั้นเยโฮอาชกษัตริย์อิสราเอลจึงได้ทรงโจมตี และพระองค์กับอามาซิยาห์กษัตริย์ยูดาห์ก็ได้ทรงเผชิญหน้ากันที่เมืองเบธเชเมชซึ่งเป็นของยูดาห์ 12 ยูดาห์ได้พ่ายแพ้อิสราเอล และผู้ชายทุกคนจึงหนีกลับบ้าน
13 เยโฮอาชกษัตริย์อิสราเอลก็ได้ทรงจับอามาซิยาห์ กษัตริย์ยูดาห์โอรสของเยโฮอาช โอรสของอาหัสยาห์ได้ที่เมืองเบธเชเมช และได้เสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็ม และทรงพังกำแพงเยรูซาเล็มเป็นระยะทางสี่ร้อยศอกลง ตั้งแต่ประตูเอฟราอิมจนถึงประตูมุม 14 พระองค์ได้ทรงริบทองคำและเงินทั้งหมด และของใช้ทั้งหมดที่พบในพระนิเวศของพระยาห์เวห์และในคลังของราชวัง พร้อมทั้งจับตัวประกันด้วย และได้เสด็จกลับไปยังกรุงสะมาเรีย
15 ส่วนราชกิจต่างๆ ของเยโฮอาชที่ได้ทรงกระทำ ทั้งอำนาจของพระองค์ และการรบกับอามาซิยาห์ กษัตริย์ของยูดาห์นั้น ได้ถูกบันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์อิสราเอลแล้วมิใช่? 16 เยโฮอาชได้ทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษ และได้ทรงถูกฝังไว้ในสะมาเรียกับเหล่ากษัตริย์อิสราเอล และเยโรโบอัมโอรสของพระองค์ได้ทรงขึ้นปกครองแทน
17 อามาซิยาห์โอรสของโยอาชกษัตริย์ของยูดาห์ได้ทรงมีพระชนม์อยู่อีกสิบห้าปี หลังจากเยโฮอาชโอรสของเยโฮอาหาสกษัตริย์อิสราเอลได้สวรรคต 18 ส่วนราชกิจต่างๆ ของอามาซิยาห์ ได้ถูกบันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์ของยูดาห์แล้วมิใช่? 19 พวกเขาได้ร่วมกันกบฏต่ออามาซิยาห์ในกรุงเยรูซาเล็ม และพระองค์ได้ทรงหนีไปยังเมืองลาคีช แต่เขาทั้งหลายได้ส่งคนตามพระองค์ไปที่เมืองลาคีช และได้สังหารพระองค์ที่นั่น
20 พวกเขาได้นำพระศพบรรทุกม้ากลับมา และได้ฝังไว้กับบรรพบุรุษในเมืองของดาวิด 21 ประชาชนทั้งหมดของยูดาห์ก็ได้ตั้งอาซาริยาห์ ซึ่งมีพระชนมายุสิบหกพรรษา ให้เป็นกษัตริย์แทนอามาซิยาห์บิดาของพระองค์ 22 อาซาริยาห์ได้ทรงสร้างเมืองเอลัทขึ้นใหม่และบูรณะให้กลับมาขึ้นกับยูดาห์ หลังจากที่กษัตริย์อามาซิยาห์ได้ทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษ
23 ในปีที่สิบห้าแห่งรัชกาลอามาซิยาห์ โอรสของโยอาชกษัตริย์ยูดาห์ เยโรโบอัมโอรสของเยโฮอาชแห่งอิสราเอลได้ทรงครองราชย์ในกรุงสะมาเรียอยู่สี่สิบเอ็ดปี 24 พระองค์ได้ทรงทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ พระองค์ไม่ได้ทรงละจากบาปทั้งสิ้นของเยโรโบอัมบุตรชายของเนบัท ผู้ได้นำอิสราเอลให้ทำบาปด้วย 25 พระองค์ได้ทรงตีเอาดินแดนอิสราเอลคืนมา ตั้งแต่ทางเข้าเมืองเลโบฮามัท ไกลไปจนถึงทะเลแห่งอาราบาห์ ตามพระบัญชาตามพระวจนะของพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ซึ่งตรัสโดยผู้รับใช้ของพระองค์ คือโยนาห์ บุตรชายของอามิททัยผู้เผยพระวจนะผู้มาจากกัธเฮเฟอร์
26 เพราะพระยาห์เวห์ทอดพระเนตรเห็นว่า ความทุกข์ของอิสราเอลนั้นขมขื่นนัก ไม่ว่าทาสหรือไท และไม่มีใครช่วยกู้อิสราเอล 27 เหตุฉะนั้นพระยาห์เวห์ไม่ได้ตรัสว่า พระองค์จะไม่ทรงลบนามอิสราเอลจากใต้ท้องฟ้า แต่พระองค์กลับได้ทรงช่วยเขาโดยพระหัตถ์ของเยโรโบอัมโอรสของเยโฮอาช
28 ส่วนราชกิจต่างๆ ของเยโรโบอัม และทุกอย่างที่ได้ทรงกระทำ และอำนาจของพระองค์ การรบของพระองค์ และเรื่องที่ได้ทรงตีเอากรุงดามัสกัสและเมืองฮามัท ซึ่งเคยเป็นของยูดาห์คืนแก่อิสราเอล ได้ถูกบันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์อิสราเอลแล้วมิใช่? 29 เยโรโบอัมได้ทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษ คือเหล่ากษัตริย์อิสราเอล แล้วเศคาริยาห์โอรสของพระองค์ได้ทรงขึ้นปกครองแทน
1 ในปีที่ยี่สิบเจ็ดแห่งรัชกาลเยโรโบอัม กษัตริย์อิสราเอล อาซาริยาห์ โอรสของอามาซิยาห์ กษัตริย์แห่งยูดาห์ได้ทรงขึ้นครองราชย์ 2 อาซาริยาห์ทรงมีพระชนมายุสิบหกพรรษาเมื่อได้ทรงขึ้นครองราชย์ และพระองค์ได้ทรงปกครองในกรุงเยรูซาเล็มห้าสิบสองปี มารดาของพระองค์มีพระนามว่า เยโคลียาห์ และนางได้มาจากกรุงเยรูซาเล็ม 3 พระองค์ได้ทรงทำสิ่งชอบธรรมในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ เหมือนทุกอย่างที่อามาซิยาห์บิดาของพระองค์ได้ทรงกระทำ
4 อย่างไรก็ดี สถานสูงยังไม่ถูกกำจัดเสีย ประชาชนยังถวายสัตวบูชาและเผาเครื่องหอมบนสถานสูงเหล่านั้น 5 พระยาห์เวห์ได้ทรงลงโทษกษัตริย์ พระองค์ได้ทรงเป็นโรคเรื้อนจนถึงวันสวรรคต และพระองค์ประทับในวังต่างหาก โยธามโอรสของกษัตริย์ได้ทรงดูแลควบคุมสำนักพระราชวัง และได้ทรงปกครองประชาชนของแผ่นดิน
6 ส่วนราชกิจต่างๆ ของอาซาริยาห์และทุกอย่างที่พระองค์ได้ทรงกระทำ ได้ทรงบันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์ของยูดาห์แล้วมิใช่? 7 ดังนั้นอาซาริยาห์ได้ทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษ และพวกเขาก็ได้ฝังพระศพไว้กับบรรพบุรุษของพระองค์ในนครดาวิด โยธามโอรสของพระองค์ได้ทรงเป็นกษัตริย์แทน
8 ในปีที่สามสิบแปดแห่งรัชกาลอาซาริยาห์กษัตริย์ยูดาห์ เศคาริยาห์โอรสของเยโรโบอัมได้ทรงปกครองเหนืออิสราเอลในสะมาเรียได้หกเดือน 9 พระองค์ก็ได้ทรงทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ ดังที่บรรพบุรุษของพระองค์ได้ทรงกระทำ พระองค์ไม่ได้ทรงละทิ้งจากบาปทั้งหลายของเยโรโบอัมบุตรชายของเนบัท ผู้ที่ได้ทรงนำอิสราเอลให้ทำบาปด้วย
10 ชัลลูมบุตรชายของยาเบชได้ก่อการกบฏต่อเศคาริยาห์ โค่นพระองค์ลงในอิเบลอัม และสังหารพระองค์เสีย และพระองค์ได้ทรงขึ้นเป็นกษัตริย์แทน 11 ส่วนราชกิจอื่นๆ ของเศคาริยาห์ ได้ทรงถูกบันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์แห่งอิสราเอล 12 เหตุการณ์นี้เป็นไปตามพระวจนะที่พระยาห์เวห์ได้ตรัสแก่เยฮูว่า “เชื้อสายของเจ้าจะนั่งบนบัลลังก์ของอิสราเอลถึงสี่ชั่วอายุคน” และก็เป็นดังนั้น
13 ชัลลูมบุตรชายของยาเบชได้ทรงขึ้นครองราชย์ในปีที่สามสิบเก้า แห่งรัชกาลอาซาริยาห์ กษัตริย์แห่งยูดาห์ และพระองค์ได้ทรงปกครองในสะมาเรียได้หนึ่งเดือน 14 เมนาเฮมบุตรชายของกาดีก็ได้ขึ้นมาจากเมืองทีรซาห์ไปยังสะมาเรีย ที่นั่นเขาได้โค่นล้มชัลลูมบุตรชายของยาเบชในสะมาเรีย และประหารพระองค์เสีย และได้ทรงขึ้นเป็นกษัตริย์แทน
15 ส่วนราชกิจอื่นๆ ของชัลลูม และการกบฏที่พระองค์ได้ทรงทำ ได้ทรงถูกบันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์แห่งอิสราเอล 16 ต่อมาเมนาเฮมได้โจมตีทิฟสาห์ และทุกคนที่อยู่ในเมืองนั้นและชายแดนของเมืองนั้นตั้งแต่ทีรซาห์ไป เพราะพวกเขาไม่เปิดประตูเมืองให้เขา ดังนั้นเขาได้โจมตีเมืองนั้น และเขาได้ผ่าท้องหญิงมีครรภ์ของหมู่บ้านนั้นทุกคน
17 ในปีที่สามสิบเก้าแห่งรัชกาลอาซาริยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ เมนาเฮมบุตรชายของกาดีได้ทรงปกครองอิสราเอลในสะมาเรียสิบปี 18 พระองค์ก็ได้ทรงทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ ตลอดรัชกาลของพระองค์ก็ไม่ได้ทรงละทิ้งบาปทั้งหลายของเยโรโบอัมบุตรชายของเนบัท ผู้ได้ทรงนำอิสราเอลให้ทำบาปด้วย
19 ต่อมาปูลกษัตริย์อัสซีเรียได้ทรงยกขึ้นมาต่อต้านดินแดนนั้น และเมนาเฮมได้ทรงถวายเงินหนึ่งพันตะลันต์แก่ปูล เพื่อให้ปูลทรงสนับสนุนพระองค์ และทำให้อาณาจักรอิสราเอลที่อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์เข้มแข็งขึ้น 20 เมนาเฮมได้ทรงรีดเงินจากคนอิสราเอลคือ จากคนมั่งมีทุกคน คนละห้าสิบเชเขล เพื่อทรงถวายแด่กษัตริย์อัสซีเรีย ดังนั้นกษัตริย์อัสซีเรียจึงยกทัพกลับ และไม่ได้ประทับอยู่ในดินแดนนั้น
21 ส่วนราชกิจอื่นๆ ของเมนาเฮม และทุกสิ่งที่ได้ทรงกระทำ ได้ถูกบันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์แห่งอิสราเอลไม่ใช่หรือ? 22 ดังนั้นเมนาเฮมได้ทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษ และเปคาหิยาห์โอรสของพระองค์ได้ทรงขึ้นเป็นกษัตริย์แทน
23 ในปีที่ห้าสิบแห่งรัชกาลอาซาริยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ เปคาหิยาห์โอรสของเมนาเฮมได้ทรงปกครองเหนืออิสราเอลในสะมาเรีย พระองค์ได้ทรงครองราชย์สองปี 24 พระองค์ก็ได้ทรงทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ พระองค์ไม่ได้ทรงละทิ้งบาปทั้งหลายของเยโรโบอัมบุตรชายของเนบัท ฉะนั้นพระองค์จึงได้ทรงเป็นเหตุให้อิสราเอลทำบาปด้วย
25 เปคาหิยาห์มีข้าราชการคนหนึ่งชื่อเปคาห์บุตรชายของเรมาลิยาห์ ผู้ได้ก่อการกบฏต่อพระองค์ เปคาห์ร่วมกับคนกิเลอาดห้าสิบคนได้ประหารเปคาหิยาห์พร้อมกับอารโกบและอารีเอห์ในป้อมของพระราชวังในสะมาเรีย เปคาห์ได้ประหารเปคาหิยาห์และได้ขึ้นเป็นกษัตริย์แทน 26 ส่วราชกิจอื่นๆ ของเปคาหิยาห์ และทุกสิ่งที่ได้ทรงกระทำถูกบันทึกในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์แห่งอิสราเอล
27 ในปีที่ห้าสิบสองแห่งรัชกาลอาซาริยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ เปคาห์บุตรชายของเรมาลิยาห์ได้ทรงปกครองเหนืออิสราเอลในสะมาเรีย พระองค์ได้ทรงครองราชย์ยี่สิบปี 28 พระองค์ได้ทรงทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ พระองค์ไม่ได้ทรงละทิ้งจากบาปทั้งหลายของเยโรโบอัมบุตรชายของเนบัท ผู้เป็นเหตุให้อิสราเอลทำบาปด้วย
29 ในรัชกาลของเปคาห์กษัตริย์อิสราเอล ทิกลัทปิเลเสอร์กษัตริย์อัสซีเรียได้ทรงยกมายึดเมืองอิโยน อาเบลเบธมาอาคาห์ ยาโนอาห์ คาเดช ฮาโซร์ กิเลอาด กาลิลี และแผ่นดินนัฟทาลีทั้งหมด พระองค์ได้ทรงกวาดต้อนประชาชนไปเป็นเชลยยังอัสซีเรีย 30 ดังนั้นโฮเชยาบุตรชายของเอลาห์ได้ทรงร่วมกันคิดกบฏต่อเปคาห์บุตรชายของเรมาลิยาห์ เขาได้โค่นพระองค์ลงและประหารพระองค์เสีย แล้วเขาได้ขึ้นเป็นกษัตริย์แทนในปีที่ยี่สิบแห่งรัชกาลโยธามโอรสของอุสซียาห์ 31 ส่วนราชกิจอื่นๆ ของเปคาห์และทุกสิ่งที่ได้ทรงกระทำถูกบันทึกในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์แห่งอิสราเอล
32 ในปีที่สองแห่งรัชกาลเปคาห์บุตรชายของเรมาลิยาห์ กษัตริย์แห่งอิสราเอล โยธามโอรสของอาซาริยาห์กษัตริย์ยูดาห์ ได้ทรงขึ้นครองราชย์ 33 เมื่อพระองค์ได้ทรงขึ้นครองราชย์นั้นมีพระชนมายุยี่สิบห้าพรรษา พระองค์ได้ทรงปกครองในกรุงเยรูซาเล็มสิบหกปี มารดาของพระองค์มีพระนามว่า เยรูชา นางเป็นบุตรหญิงของศาโดก
34 โยธามได้ทรงทำสิ่งที่ถูกต้องในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ พระองค์ได้ทรงทำตามทุกอย่างที่อาซาริยาห์บิดาของพระองค์ได้ทรงกระทำ 35 อย่างไรก็ดี สถานสูงยังไม่ได้ถูกกำจัดเสีย ประชาชนยังคงถวายสัตวบูชาและเผาเครื่องหอมบนสถานสูงเหล่านั้น โยธามได้ทรงสร้างประตูบนของพระนิเวศแห่งพระยาห์เวห์ 36 ส่วนราชกิจอื่นๆ ของโยธาม และทุกสิ่งที่ได้ทรงกระทำถูกบันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์แห่งยูดาห์ไม่ใช่หรือ? 37 ในเวลานั้นพระยาห์เวห์ได้ทรงใช้เรซีน กษัตริย์แห่งอารัม และเปคาห์บุตรชายของเรมาลิยาห์ให้มาสู้กับยูดาห์ 38 โยธามได้ทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และได้ทรงถูกฝังไว้กับบรรพบุรุษของพระองค์ในนครดาวิด ผู้เป็นบรรพบุรุษของพระองค์ แล้วอาหัสโอรสของพระองค์ได้ทรงขึ้นเป็นกษัตริย์แทน
1 ในปีที่สิบเจ็ดแห่งรัชกาลเปคาห์บุตรชายของเรมาลิยาห์ อาหัสโอรสของโยธามกษัตริย์แห่งยูดาห์ได้ขึ้นครองราชย์ 2 เมื่ออาหัสได้ทรงเป็นกษัตริย์นั้น มีพระชนมายุยี่สิบพรรษา และพระองค์ได้ทรงครองราชย์ในกรุงเยรูซาเล็มสิบหกปี พระองค์ไม่ได้ทรงทำสิ่งที่เที่ยงธรรมในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพระองค์ เหมือนอย่างดาวิดบรรพบุรุษของพระองค์ได้ทรงกระทำ
3 แต่พระองค์ได้ทรงดำเนินตามทางของกษัตริย์ทั้งหลายแห่งอิสราเอล ถึงกับได้ทรงให้โอรสของพระองค์ลุยไฟ ตามการกระทำอันน่าเกลียดน่าชังของชนชาติทั้งหลาย ซึ่งพระยาห์เวห์ทรงขับไล่ไปให้พ้นหน้าประชาชนอิสราเอล 4 พระองค์ได้ทรงถวายสัตวบูชา และเผาเครื่องหอมที่สถานสูง บนยอดเขารวมทั้งใต้ต้นไม้เขียวสดทุกต้น
5 แล้วเรซีนกษัตริย์อารัมกับเปคาห์บุตรชายของเรมาลิยาห์ กษัตริย์อิสราเอลได้ทรงยกขึ้นมาโจมตีกรุงเยรูซาเล็ม ทั้งสองพระองค์ทรงล้อมอาหัสไว้ แต่ทั้งสองไม่ได้ทรงสามารถเอาชัยชนะพระองค์ได้ 6 เวลานั้นเรซีนกษัตริย์อารัมได้ตีเมืองเอลัทคืนให้คนอารัม และทรงขับไล่ประชาชนยูดาห์ออกจากเอลัท แล้วคนอารัมมาที่เอลัทและพวกเขาอยู่ที่นั่นจนทุกวันนี้
7 ดังนั้นอาหัสจึงได้ทรงส่งผู้สื่อสารไปเฝ้าทิกลัทปิเลเสอร์กษัตริย์อัสซีเรีย ให้ทูลว่า “ข้าพเจ้าเป็นคนรับใช้ของท่าน และเป็นบุตรชายของท่าน ขอเสด็จขึ้นมาช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากมือของกษัตริย์อารัม และจากมือของกษัตริย์อิสราเอล ผู้มาโจมตีข้าพเจ้าด้วยเถิด” 8 ดังนั้นอาหัสจึงทรงนำเงินและทองคำซึ่งพบในพระนิเวศพระยาห์เวห์ และในท้องพระคลังของพระราชวัง และพระองค์ทรงส่งไปเป็นเครื่องบรรณาการแก่กษัตริย์อัสซีเรีย 9 แล้วกษัตริย์อัสซีเรียก็ได้ทรงฟังพระองค์ และกษัตริย์แห่งอัสซีเรียจึงทรงยกทัพขึ้นไปยังกรุงดามัสกัสและยึดได้ ทั้งกวาดต้อนประชาชนเมืองนั้นไปเป็นเชลยยังเมืองคีร์ พระองค์ยังได้ทรงประหารเรซีนกษัตริย์อารัมด้วยเช่นกัน
10 เมื่อกษัตริย์อาหัสได้เสด็จไปกรุงดามัสกัสเพื่อพบทิกลัทปิเลเสอร์กษัตริย์อัสซีเรีย พระองค์ทอดพระเนตรแท่นบูชาที่อยู่ในดามัสกัส และพระองค์ทรงส่งแบบจำลองแท่นบูชาไปยังอุรียาห์ปุโรหิต พร้อมทั้งแบบแปลนของแท่นนั้นและรูปแบบสำหรับงานก่อสร้างที่จำเป็น 11 ดังนั้นอุรียาห์ปุโรหิตจึงได้สร้างแท่นบูชานั้นตามแบบทุกอย่างที่กษัตริย์อาหัสได้ทรงส่งมาจากดามัสกัส เขาจึงทำแท่นบูชาเสร็จก่อนที่กษัตริย์อาหัสเสด็จกลับมาจากดามัสกัส 12 เมื่อกษัตริย์เสด็จกลับจากดามัสกัส พระองค์ได้ทอดพระเนตรแท่นบูชา แล้วกษัตริย์ทรงเข้ามาใกล้แท่นบูชาและถวายเครื่องบูชาบนแท่นนั้น
13 พระองค์ได้ทรงเผาเครื่องเผาบูชาและธัญบูชา และได้ทรงเทเครื่องดื่มบูชา และทรงพรมเลือดแห่งเครื่องสันติบูชาของพระองค์ลงบนแท่นนั้น 14 แท่นบูชาทองสัมฤทธิ์ซึ่งอยู่เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์นั้น พระองค์ทรงย้ายออกเสียจากข้างหน้าพระวิหาร บริเวณระหว่างแท่นบูชาของพระองค์กับพระวิหารของพระยาห์เวห์ และตั้งไว้ทางด้านเหนือของแท่นบูชาของพระองค์นั้น
15 แล้วกษัตริย์อาหัสได้ทรงบัญชาอุรียาห์ปุโรหิตว่า “บนแท่นใหญ่นี้ ท่านจงเผาเครื่องเผาบูชาตอนเช้า และธัญบูชาตอนเย็น และเครื่องเผาบูชาของกษัตริย์ และเครื่องธัญบูชาของพระองค์ พร้อมกับเครื่องเผาบูชาของประชาชนทั้งหมดในแผ่นดิน รวมทั้งธัญบูชา และเครื่องดื่มบูชาของเขาทั้งหลาย จงพรมเลือดทั้งหมดของเครื่องเผาบูชาและเลือดของเครื่องสัตวบูชา แต่แท่นบูชาทองสัมฤทธิ์ให้เป็นที่สำหรับเราที่เราจะทูลขอการทรงนำ” 16 อุรียาห์ปุโรหิตได้ทำทุกอย่างตามพระบัญชาของกษัตริย์อาหัส
17 แล้วกษัตริย์อาหัสได้ทรงเอาแผงของแท่นนั้นและทรงยกขันออกไป และพระองค์ทรงเอาอ่างทะเลลงมาจากโคทองสัมฤทธิ์ที่รองอยู่นั้นและทรงตั้งไว้บนพื้นหิน 18 พระองค์ได้ทรงรื้อส่วนปิดทางเดินของศาลาวันสะบาโต ซึ่งพวกเขาสร้างไว้ในพระวิหารและทางเข้าชั้นนอกสำหรับกษัตริย์ที่มายังพระวิหารของพระยาห์เวห์ออก เพราะเห็นแก่กษัตริย์แห่งอัสซีเรีย
19 ส่วนราชกิจอื่นๆ ของอาหัสที่ได้ทรงกระทำถูกบันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์แห่งยูดาห์ไม่ใช่หรือ? 20 อาหัสได้ทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษ และได้ทรงถูกฝังไว้กับบรรพบุรุษในนครดาวิด เฮเซคียาห์โอรสของพระองค์ก็ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์แทน
1 ในปีที่สิบสองแห่งรัชกาลอาหัสกษัตริย์แห่งยูดาห์ โฮเชยาโอรสของเอลาห์ได้ทรงขึ้นครองราชย์ พระองค์ได้ทรงปกครองในกรุงสะมาเรียเหนืออิสราเอลอยู่เก้าปี 2 พระองค์ทรงทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ แต่ก็ไม่เหมือนกับบรรดากษัตริย์อิสราเอลที่อยู่ก่อนพระองค์ 3 แชลมาเนเสอร์กษัตริย์อัสซีเรียได้ทรงยกทัพมารบกับพระองค์ และโฮเชยาทรงยอมเป็นเมืองขึ้นของพระองค์และถวายเครื่องบรรณาการแก่พระองค์
4 แล้วกษัตริย์อัสซีเรียได้ตระหนักว่าโฮเชยาเป็นกบฏต่อพระองค์ เพราะโฮเชยาได้ทรงใช้ผู้สื่อสารไปยังโส กษัตริย์อียิปต์ด้วย พระองค์ไม่ได้ทรงถวายเครื่องบรรณาการแก่กษัตริย์อัสซีเรียอย่างที่พระองค์ทรงเคยทำมาทุกปี เพราะฉะนั้นกษัตริย์อัสซีเรียจึงทรงขังโฮเชยาไว้ และทรงจำพระองค์ไว้ในคุก 5 แล้วกษัตริย์อัสซีเรียจึงได้ทรงบุกเข้าทั่วแผ่นดิน และขึ้นมายังกรุงสะมาเรีย และทรงล้อมเมืองไว้สามปี 6 ในปีที่เก้าแห่งรัชกาลโฮเชยา กษัตริย์แห่งอัสซีเรียทรงยึดสะมาเรียได้ พระองค์ได้ทรงกวาดต้อนคนอิสราเอลไปยังอัสซีเรีย พระองค์ทรงให้พวกเขาอยู่ที่ฮาลาห์ ที่ข้างแม่น้ำฮาโบร์แห่งเมืองโกซาน และในเมืองต่างๆ ของคนมีเดีย
7 การตกเป็นเชลยในครั้งนี้ก็เพราะคนอิสราเอลได้ทำบาปต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขา ผู้ได้ทรงนำพวกเขาออกจากแผ่นดินอียิปต์ จากใต้พระหัตถ์ของฟาโรห์กษัตริย์อียิปต์ เพราะประชาชนได้นมัสการบรรดาพระอื่นๆ 8 และได้ดำเนินตามธรรมเนียมปฏิบัติของบรรดาประชาชาติ ซึ่งพระยาห์เวห์ทรงขับไล่ไปเสียให้พ้นหน้าคนอิสราเอล และตามปฏิบัติอย่างที่บรรดากษัตริย์แห่งอิสราเอลที่พวกพระองค์ทรงกระทำ
9 ประชาชนอิสราเอลทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขาอย่างลับๆ เขาทั้งหลายได้สร้างสถานสูงสำหรับตนทั่วบ้านทั่วเมือง ตั้งแต่ที่มีหอสังเกตการณ์ จนถึงเมืองที่มีป้อม 10 พวกเขาได้ตั้งเสาศักดิ์สิทธิ์และเสาอาเช-ราห์บนเขาสูงทุกแห่ง และใต้ต้นไม้เขียวสดทุกต้น
11 ที่นั่นพวกเขาได้เผาเครื่องหอมบนสถานสูงทุกที่ ตามอย่างประชาชาติทั้งหลายได้กระทำ คนเหล่านั้นซึ่งพระยาห์เวห์ได้ทรงกวาดไปให้พ้นหน้าพวกเขา ชาวอิสราเอลได้ทำสิ่งชั่วต่างๆ ทำให้พระยาห์เวห์ทรงพระพิโรธ 12 เขาทั้งหลายนมัสการรูปเคารพซึ่งพระยาห์เวห์ได้ตรัสแก่พวกเขาแล้วว่า “เจ้าอย่าทำอย่างนี้”
13 พระยาห์เวห์ยังได้ทรงตักเตือนอิสราเอลและยูดาห์ ผ่านทางผู้เผยพระวจนะทุกคนและผู้ทำนายทุกคนว่า “จงหันจากทางชั่วทั้งหลายของเจ้า และรักษาพระบัญญัติของเราและกฎเกณฑ์ของเรา ตามธรรมบัญญัติทั้งสิ้นซึ่งเราได้บัญชาแก่บรรพบุรุษของเจ้า และซึ่งเราได้ส่งมายังเจ้า ทางบรรดาผู้เผยพระวจนะผู้รับใช้ของเรา”
14 แต่พวกเขาไม่ฟัง พวกเขาดื้อดึงอย่างมากเหมือนอย่างบรรพบุรุษของพวกเขาผู้ไม่เชื่อถือพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขา 15 พวกเขาได้ปฏิเสธกฎเกณฑ์และพันธสัญญาของพระองค์ซึ่งพระองค์ทรงกระทำกับบรรพบุรุษของพวกเขา รวมทั้งพระดำรัสเตือนซึ่งประทานแก่พวกเขา เขาทั้งหลายได้ติดตามสิ่งไร้ค่าและพวกเขากลายเป็นคนไร้ค่าไป พวกเขาติดตามชนชาติที่อยู่รอบๆ พวกเขาที่ไม่ได้นับถือพระเจ้า ซึ่งพระยาห์เวห์ได้ทรงห้ามไม่ให้พวกเขาเลียนแบบคนเหล่านั้น
16 เขาทั้งหลายได้เพิกเฉยพระบัญญัติทั้งสิ้นของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขา พวกเขาได้สร้างรูปเคารพหล่อเป็นลูกโคโลหะสองตัวเพื่อนมัสการ และพวกเขาได้ทำเสาอาเช-ราห์ และพวกเขาได้นมัสการดวงดาวต่างๆ ในท้องฟ้าและพระบาอัล 17 เขาทั้งหลายให้บุตรชายหญิงของเขาลุยไฟ และเขาทำนายโชคชะตาและทำเวทมนตร์ ทั้งได้ขายตัวเองเพื่อไปทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ ได้ยั่วยุพระองค์ให้ทรงพระพิโรธ 18 เพราะฉะนั้น พระยาห์เวห์จึงทรงพระพิโรธต่ออิสราเอลยิ่งนัก และทรงให้พวกเขาออกไปพ้นพระพักตร์ของพระองค์ ไม่มีใครเหลืออยู่นอกจากเผ่ายูดาห์เท่านั้น
19 แม้แต่เผ่ายูดาห์เองก็ไม่ได้รักษาพระบัญญัติของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขา แต่ทำตามในสิ่งที่พวกอิสราเอลได้ทำ 20 ดังนั้นพระยาห์เวห์จึงทรงปฏิเสธเชื้อสายของอิสราเอลทั้งสิ้น พระองค์ทรงให้เขาทั้งหลายทนทุกข์ และมอบพวกเขาไว้ในมือของผู้ปล้นชิง จนกว่าพระองค์จะทรงเหวี่ยงพวกเขาไปพ้นพระพักตร์ของพระองค์
21 พระองค์ทรงฉีกอิสราเอลจากราชวงศ์ของดาวิด และพวกเขาได้ตั้งเยโรโบอัมบุตรชายของเนบัทให้เป็นกษัตริย์ เยโรโบอัมได้ทรงชักนำอิสราเอลไปจากการติดตามพระยาห์เวห์ และทรงทำให้พวกเขาทำบาปอย่างใหญ่หลวง 22 ประชาชนอิสราเอลได้ดำเนินในบาปทั้งสิ้นของเยโรโบอัมที่ได้ทรงกระทำ เขาทั้งหลายไม่ได้ละทิ้งจากบาปเหล่านั้นเลย 23 ดังนั้นพระยาห์เวห์ทรงให้อิสราเอลออกไปพ้นพระพักตร์ของพระองค์ ตามที่ตรัสทางบรรดาผู้เผยพระวจนะผู้รับใช้ของพระองค์ ทั้งหมด ดังนั้นอิสราเอลจึงถูกกวาดจากแผ่นดินของตนไปเป็นเชลยในอัสซีเรียจนทุกวันนี้
24 กษัตริย์อัสซีเรียได้ทรงนำประชาชนมาจากบาบิโลน คูธาห์ อัฟวา ฮามัท เสฟารวาอิม และให้พวกเขาอาศัยอยู่ในเมืองต่างๆ ของสะมาเรียแทนประชาชนอิสราเอล พวกเขาก็ได้เข้าถือกรรมสิทธิ์ในสะมาเรีย และอาศัยอยู่ในเมืองเหล่านั้น 25 สิ่งนี้ได้เกิดขึ้นตั้งแต่แรกที่พวกเขามาอาศัยอยู่ที่นั่น พวกเขาก็ไม่ได้ให้พระเกียรติพระยาห์เวห์ ฉะนั้น พระยาห์เวห์จึงได้ทรงส่งให้พวกสิงโตมาฆ่าบางคนในท่ามกลางพวกเขา 26 ดังนั้นพวกเขาจึงทูลต่อกษัตริย์แห่งอัสซีเรียว่า “พวกประชาชาติซึ่งพระองค์ได้ทรงพาไปและให้อยู่ในเมืองต่างๆ ของสะมาเรียล้วนไม่รู้ธรรมเนียมปฏิบัติของพระของแผ่นดินนั้น ฉะนั้นพระนั้นจึงให้สิงโตมาท่ามกลางพวกเขา และดูสิ พวกสิงโตได้ฆ่าผู้คนที่อยู่ที่นั่น เพราะพวกเขาไม่รู้ธรรมเนียมปฏิบัติของพระของแผ่นดินนั้น”
27 แล้วกษัตริย์อัสซีเรียจึงบัญชาว่า “จงนำคนหนึ่งในพวกปุโรหิตที่พวกเจ้าได้กวาดต้อนมาจากสะมาเรียกลับไปอยู่ที่นั่น และให้พวกเขาสั่งสอนธรรมเนียมปฏิบัติของพระของแผ่นดินนั้น” 28 ฉะนั้นคนหนึ่งในพวกปุโรหิตที่พวกเขาได้กวาดต้อนมาจากสะมาเรีย ได้มาอาศัยอยู่ในเมืองเบธเอล เขาสั่งสอนคนเหล่านั้นถึงวิธีการที่พวกเขาควรถวายพระเกียรติแด่พระยาห์เวห์
29 ชนเผ่าทุกกลุ่มได้สร้างพวกรูปพระของตนเอง และตั้งไว้ในสถานสูงต่างๆ ซึ่งชาวสะมาเรียสร้างขึ้น ชนเผ่าทุกกลุ่มที่อยู่ในเมืองต่างๆที่พวกเขาอาศัยอยู่ 30 ประชาชนชาวบาบิโลนได้สร้างพระสุคคทเบโนท ประชาชนชาวคูทได้สร้างพระเนอร์กัล ประชาชนชาวฮามัทได้สร้างพระอาชิมา 31 คนอัฟวาได้สร้างพระนิบหัสและพระทารทัก คนเสฟารวาอิมได้เผาบุตรของตนในไฟถวายพระอัดรัมเมเลคและพระอานัมเมเลค ซึ่งเป็นพระของเมืองเสฟารวาอิม
32 พวกเขายังได้ถวายพระเกียรติแด่พระยาห์เวห์ด้วย และได้ตั้งนักบวชแห่งสถานสูงในท่ามกลางพวกเขา ให้ทำหน้าที่แทนพวกเขาในวิหารต่างๆ ที่บนสถานสูง 33 พวกเขาได้ถวายพระเกียรติแด่พระยาห์เวห์ และได้นมัสการบรรดาพระของพวกเขาเองด้วย ตามธรรมเนียมของบรรดาประชาชาติในท่ามกลางผู้คนที่พวกเขาได้กวาดต้อนมา
34 ทุกวันนี้พวกเขาก็ยังคงทำตามธรรมเนียมเดิมของพวกเขา เขาทั้งหลายไม่ถวายพระเกียรติแด่พระยาห์เวห์ และไม่ติดตามกฎเกณฑ์ กฎหมาย ธรรมบัญญัติ หรือพระบัญญัติต่างๆ ซึ่งพระยาห์เวห์ได้ทรงบัญชาแก่คนของยาโคบ ผู้ที่พระองค์ได้ประทานนามให้ว่าอิสราเอล 35 และผู้ที่พระยาห์เวห์ได้ทรงทำพันธสัญญากับเขาทั้งหลายและบัญชาพวกเขาว่า “อย่ายำเกรงพระอื่นๆ หรือกราบนมัสการพระนั้น หรือปรนนิบัติ หรือถวายสัตวบูชาแก่พระนั้น
36 แต่เจ้าจงยำเกรงพระยาห์เวห์ ผู้ได้นำเจ้าออกจากแผ่นดินอียิปต์ด้วยฤทธานุภาพยิ่งใหญ่ และด้วยพระกรที่เหยียดออก คือผู้เดียวที่เจ้าต้องถวายพระเกียรติ เจ้าจะหมอบกราบต่อพระองค์ และจงถวายสัตวบูชาแด่พระองค์ 37 กฎเกณฑ์ กฎหมาย ธรรมบัญญัติ และพระบัญญัติต่างๆ ซึ่งพระองค์ได้ทรงจารึกสำหรับพวกเจ้า เจ้าจงระวังที่จะทำตามเสมอ ดังนั้นเจ้าต้องไม่ยำเกรงพระอื่นใดเลย 38 และเจ้าอย่าลืมพันธสัญญาที่เราได้ทำไว้กับเจ้า เจ้าต้องไม่ลืม อย่าถวายเกียรติบรรดาพระอื่นเลย
39 แต่เจ้าทั้งหลายจงถวายพระเกียรติพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้า พระองค์จะทรงช่วยกู้พวกเจ้าให้พ้นจากอำนาจของศัตรูทั้งสิ้นของพวกเจ้า” 40 พวกเขาไม่ได้ฟัง เพราะว่าพวกเขายังคงทำสิ่งที่เคยกระทำในอดีตอยู่เรื่อยๆ 41 ดังนั้นประชาชาติเหล่านี้จึงได้ยำเกรงพระยาห์เวห์ และพวกเขาก็นมัสการรูปเคารพแกะสลักของพวกเขาด้วย พวกบุตรของพวกเขาก็ทำอย่างเดียวกัน หลานของพวกเขาก็ทำอย่างเดียวกัน พวกเขาก็ยังคงทำสิ่งที่บรรพบุรุษของพวกเขาทำจนถึงทุกวันนี้
1 บัดนี้ในปีที่สามแห่งรัชกาลโฮเชยาโอรสของเอลาห์ กษัตริย์แห่งอิสราเอล เฮเซคียาห์โอรสของอาหัสกษัตริย์ยูดาห์ได้ทรงขึ้นครองราชย์ 2 เมื่อพระองค์ทรงครองราชย์นั้น พระองค์มีพระชนมายุยี่สิบห้าพรรษา พระองค์ทรงครองราชย์ในกรุงเยรูซาเล็มยี่สิบเก้าปี พระมารดาของพระองค์มีพระนามว่า อาบียาห์ นางเป็นบุตรหญิงของเศคาริยาห์ 3 พระองค์ทรงทำสิ่งที่ชอบธรรมในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ ตามที่ดาวิดบรรพบุรุษของพระองค์ทรงกระทำตัวอย่างไว้ทั้งสิ้น
4 พระองค์ทรงรื้อสถานสูงทิ้งไป ทรงทำลายเสาหินศักดิ์สิทธิ์ลง และทรงโค่นพวกเสาอาเชราห์ลงเสีย พระองค์ทรงทุบงูทองสัมฤทธิ์ซึ่งโมเสสสร้างขึ้นนั้นเสียเป็นชิ้นๆ เพราะว่าคนอิสราเอลเผาเครื่องหอมให้แก่งูนั้นจนถึงวันเหล่านั้น งูนั้นเรียกว่า “เนหุชทาน” 5 เฮเซคียาห์ทรงวางพระทัยในพระยาห์เวห์พระเจ้าอิสราเอล เพราะฉะนั้นในบรรดากษัตริย์ยูดาห์ต่อจากพระองค์มา หรือในบรรดาผู้อยู่ก่อนพระองค์ ไม่มีผู้ใดเหมือนพระองค์
6 เพราะว่าพระองค์ทรงวางใจในพระยาห์เวห์อย่างมั่นคง พระองค์ไม่ทรงหยุดการติดตามพระองค์เลย แต่ได้ทรงรักษาพระบัญญัติซึ่งพระยาห์เวห์ทรงบัญชาโมเสส 7 ดังนั้นพระยาห์เวห์จึงสถิตกับเฮเซคียาห์ และพระองค์ทรงประสบความสำเร็จไม่ว่าที่ใดก็ตามที่ได้ทรงกระทำ พระองค์ทรงกบฏต่อกษัตริย์อัสซีเรีย และไม่ยอมปรนนิบัติพระองค์ 8 พระองค์ทรงโจมตีคนฟีลิสเตียไปจนถึงเมืองกาซาและดินแดนโดยรอบ ตั้งแต่หอคอยจนถึงป้อมปราการ
9 ในปีที่สี่แห่งรัชกาลกษัตริย์เฮเซคียาห์ ซึ่งเป็นปีที่เจ็ดแห่งรัชกาลโฮเชยาโอรสของเอลาห์ กษัตริย์อิสราเอล แชลมาเนเสอร์กษัตริย์อัสซีเรียได้ทรงยกทัพขึ้นมารบกับสะมาเรีย และล้อมเมืองไว้ 10 สิ้นสามปีก็ยึดเมืองนั้นได้ ในปีที่หกของรัชกาลเฮเซคียาห์ ซึ่งเป็นปีที่เก้าของรัชกาลโฮเชยากษัตริย์อิสราเอล สะมาเรียก็ถูกยึดไปได้
11 ดังนั้นกษัตริย์อัสซีเรียได้กวาดต้อนคนอิสราเอลไปยังอัสซีเรีย และพาพวกเขาไปไว้ที่ฮาลาห์ และที่แม่น้ำฮาโบร์แห่งเมืองโกซาน และในเมืองต่างๆ ของคนมีเดีย 12 พระองค์ทรงทำสิ่งนี้เพราะพวกเขาไม่เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขา แต่พวกเขาได้ทำผิดต่อข้อกำหนดของพันธสัญญาของพระองค์ คือทำผิดต่อทุกอย่างซึ่งโมเสสผู้รับใช้ของพระยาห์เวห์ได้สั่งไว้ เขาทั้งหลายปฏิเสธที่จะฟังหรือทำตาม
13 แล้วในปีที่สิบสี่แห่งรัชกาลกษัตริย์เฮเซคียาห์ เซนนาเคอริบกษัตริย์อัสซีเรียได้ทรงยกขึ้นมาต่อสู้บรรดาเมืองที่มีป้อมของยูดาห์ และยึดเมืองเหล่านั้น 14 ดังนั้นเฮเซคียาห์กษัตริย์ยูดาห์จึงทรงใช้คนไปทูลกษัตริย์อัสซีเรียที่เมืองลาคีชว่า “ข้าพเจ้าได้ทำผิดต่อท่าน ขอท่านถอนทัพไปจากข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะยอมเสียเครื่องบรรณาการตามที่ท่านเรียกร้อง” และกษัตริย์อัสซีเรียได้เรียกร้องเอาจากเฮเซคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์เป็นเงินสามร้อยตะลันต์ และทองคำสามสิบตะลันต์ 15 ดังนั้นเฮเซคียาห์ได้มอบเงินทั้งหมดซึ่งมีอยู่ในพระนิเวศของพระยาห์เวห์ และในพระคลังของพระราชวังของกษัตริย์
16 แล้วเฮเซคียาห์ทรงลอกทองคำจากประตูทั้งหลายของพระวิหารของพระยาห์เวห์ และจากเสาประตูทั้งหลายซึ่งเฮเซคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ได้ทรงหุ้มไว้ พระองค์ทรงมอบแก่กษัตริย์อัสซีเรีย 17 แต่กษัตริย์แห่งอัสซีเรียทรงมีรับสั่งให้เคลื่อนกองทัพอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ โดยส่งทารทานและรับสารีสกับผู้บัญชาการใหญ่ออกจากเมืองลาคีชไปเข้าเฝ้ากษัตริย์เฮเซคียาห์ที่กรุงเยรูซาเล็ม พวกเขาได้ขึ้นไปทางถนนและไปถึงด้านนอกของกรุงเยรูซาเล็ม พวกเขาเดินทัพมาใกล้ตรงทางรางระบายน้ำสระบน ซึ่งเป็นเส้นทางของการซักล้าง และหยุดทัพที่นั่น 18 เมื่อพวกเขาเรียกหากษัตริย์เฮเซคียาห์ เอลียาคิมบุตรชายของฮิลคียาห์เจ้ากรมวัง เชบนาห์ราชอาลักษณ์ และโยอาห์บุตรชายของอาสาฟราชเลขาได้ออกมาพบพวกเขา
19 ดังนั้นผู้บัญชาการใหญ่พูดกับพวกเขาให้บอกกับเฮเซคียาห์ว่า กษัตราธิราชแห่งอัสซีเรียตรัสดังนี้ว่า “อะไรคือแหล่งของความวางใจของพวกเจ้า? 20 พวกเจ้าพูดแต่สิ่งที่ไร้สาระ กล่าวว่ามีพันธมิตรและแสนยานุภาพเพื่อการสงคราม บัดนี้พวกเจ้าวางใจในใครหรือ? ใครหรือที่มอบความกล้าหาญให้พวกเจ้าเพื่อแข็งข้อต่อเรา? 21 นี่แน่ะ เจ้าพึ่งไม้เท้าต้นกกที่หักคือ อียิปต์ ซึ่งจะตำมือคนที่ใช้ไม้เท้านั้นค้ำยันด้วยความเจ็บปวด นั่นคือฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์เป็นเช่นนี้ต่อทุกคนที่พึ่งเขา
22 แต่ถ้าเจ้าทั้งหลายจะบอกข้าว่า ‘พวกเราพึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเรา’ ก็สถานสูงและแท่นบูชาของพระเจ้านั้นไม่ใช่หรือที่เฮเซคียาห์ รื้อทิ้งเสียและกล่าวกับยูดาห์ และเยรูซาเล็มว่า ‘ท่านทั้งหลายจงนมัสการที่หน้าแท่นบูชานี้ในกรุงเยรูซาเล็มเถิด’? 23 ดังนั้นมาทำข้อต่อรองกับกษัตริย์อัสซีเรียเจ้านายของข้า แล้วข้าจะให้ม้าสองพันตัวแก่เจ้า ถ้าเจ้าหาพวกคนขี่ม้าให้กับพวกเขาได้
24 เจ้าจะต้านทานนายกองคนเดียวในหมู่ข้าราชบริพารผู้อ่อนแอที่สุดของนายข้าได้อย่างไร? เพราะเจ้ายังพึ่งอียิปต์เรื่องรถม้าศึกและทหารม้า 25 ข้าได้เดินทางมาที่นี่โดยที่ไม่มีพระยาห์เวห์ที่สถานที่นี้เพื่อต่อสู้และทำลายหรือ? พระยาห์เวห์ตรัสกับข้าว่า ‘จงขึ้นไปต่อสู้กับแผ่นดินนี้และทำลายเสีย’”
26 แล้วเอลียาคิมบุตรชายของฮิลคียาห์และเชบนาห์ และโยอาห์ได้พูดกับผู้บัญชาการใหญ่ว่า “ขอพูดกับผู้รับใช้ของท่านด้วยภาษาอาราเมคเถิด เพราะเราเข้าใจภาษานั้น อย่าพูดกับเราด้วยภาษายูดาห์ให้เข้าหูประชาชนผู้อยู่บนกำแพงนั้นเลย” 27 แต่ผู้บัญชาการใหญ่ได้พูดกับเขาทั้งหลายว่า “นายของข้าใช้ให้มาพูดถ้อยคำเหล่านี้แก่นายของเจ้า และแก่เจ้าเท่านั้นหรือ? ไม่ใช่ให้พูดกับคนที่นั่งอยู่บนกำแพง ผู้ที่จะต้องกินอุจจาระและดื่มปัสสาวะของพวกเขาเองพร้อมกับเจ้าด้วยหรือ?”
28 แล้วผู้บัญชาการใหญ่ยืนขึ้นตะโกนเสียงดังเป็นภาษายูดาห์ว่า “จงฟังดำรัสของกษัตราธิราชคือกษัตริย์อัสซีเรีย 29 กษัตริย์ตรัสว่า ‘อย่าให้เฮเซคียาห์หลอกลวงเจ้าทั้งหลาย เพราะเขาจะไม่สามารถช่วยเจ้าจากอำนาจของข้า 30 อย่าให้เฮเซคียาห์ทำให้เจ้าพึ่งพระยาห์เวห์โดยกล่าวว่า “พระยาห์เวห์จะทรงช่วยกู้พวกเราแน่ และจะไม่ได้ทรงมอบเมืองนี้ไว้ในมือของกษัตริย์อัสซีเรีย”’
31 อย่าฟังเฮเซคียาห์ เพราะกษัตริย์อัสซีเรียได้ตรัสว่า ‘จงสวามิภักดิ์ต่อเรา และออกมาหาเรา แล้วเจ้าแต่ละคนจะได้กินจากเถาองุ่นของตน และจากต้นมะเดื่อของตน และจะได้ดื่มน้ำจากบ่อเก็บน้ำของตน 32 จนเราจะมานำเจ้าไปยังแผ่นดินที่เหมือนแผ่นดินของเจ้าเอง เป็นแผ่นดินที่มีข้าวและเหล้าองุ่นใหม่ เป็นแผ่นดินที่มีขนมปังและพวกสวนองุ่น แผ่นดินที่มีพวกต้นมะกอกและน้ำผึ้ง เพื่อเจ้าทั้งหลายจะมีชีวิตอยู่และไม่ตาย ‘อย่าฟังเฮเซคียาห์เมื่อเขาชักชวนเจ้าโดยกล่าวว่า ‘พระยาห์เวห์จะทรงช่วยกู้พวกเรา’
33 มีพระองค์ไหนของประชาชาติเคยช่วยกู้แผ่นดินของตนให้พ้นจากพระหัตถ์ของกษัตริย์อัสซีเรียได้บ้าง? 34 พระของเมืองฮามัทและเมืองอารปัดอยู่ที่ไหน? พระของเมืองเสฟารวาอิม เฮนาและอิฟวาห์อยู่ที่ไหน? พระเหล่านี้ได้ช่วยกู้สะมาเรียจากมือของเราหรือ? 35 พระองค์ไหนในบรรดาพระทั้งหมดของประเทศทั้งหลาย ได้ช่วยกู้ประเทศของตนจากมือของเราหรือ? พระยาห์เวห์จะช่วยกู้เยรูซาเล็มจากมือของเราได้หรือ?”
36 แต่ประชาชนได้แต่นิ่งไม่ตอบสนองแม้แต่คำเดียว เพราะพระบัญชาของกษัตริย์ได้มีว่า “อย่าตอบเขา” 37 แล้วเอลียาคิมบุตรชายของฮิลคียาเจ้ากรมวัง และเชบนาห์ราชอาลักษณ์ และโยอาห์บุตรอาสาฟราชเลขา ได้เข้าเฝ้าเฮเซคียาห์ด้วยเสื้อผ้าฉีกขาด และกราบทูลพระองค์ถึงถ้อยคำของผู้บัญชาการใหญ่
1 สิ่งนี้ได้เกิดขึ้นเมื่อกษัตริย์เฮเซคียาห์ได้สดับรายงานของพวกเขา พระองค์ทรงฉีกฉลองพระองค์ ทรงเอาผ้ากระสอบคลุมพระองค์ และเสด็จเข้าไปในพระนิเวศของพระยาห์เวห์ 2 พระองค์ได้ทรงใช้เอลียาคิมเจ้ากรมวัง และเชบนาห์ราชอาลักษณ์ และพวกปุโรหิตอาวุโสคลุมตัวด้วยผ้ากระสอบ ได้ไปหาผู้เผยพระวจนะอิสยาห์บุตรชายของอามอส
3 เขาทั้งหลายทูลพระองค์ว่า “เฮเซคียาห์ได้ตรัสดังนี้ว่า ‘วันนี้เป็นวันทุกข์ใจ วันถูกติเตียนและอดสู เพราะว่าเด็กก็ถึงกำหนดคลอดแต่พวกเขาไม่มีกำลังที่จะคลอดออกมา 4 อาจะเป็นเพราะว่าพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านจะทรงสดับถ้อยคำทั้งสิ้นของผู้บัญชาการใหญ่ผู้ที่กษัตริย์อัสซีเรียนายของเขาได้ส่งมาเยาะเย้ยพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ และพระองค์จะทรงว่ากล่าวเขาด้วยเรื่องถ้อยคำซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านได้สดับ บัดนี้ขอให้ท่านอธิษฐานเพื่อคนที่ยังคงเหลืออยู่ที่นี่’”
5 ดังนั้นเมื่อข้าราชบริพารของกษัตริย์เฮเซคียาห์มาถึงอิสยาห์ 6 และอิสยาห์จึงบอกเขาทั้งหลายว่า “จงทูลนายของท่านเถิดว่า ‘พระยาห์เวห์ได้ตรัสดังนี้ว่า อย่ากลัวเพราะถ้อยคำที่เจ้าได้ยินนั้น ซึ่งข้าราชบริพารทั้งหลายของกษัตริย์อัสซีเรียได้หมิ่นประมาทเรา 7 ดูสิ เราจะใส่วิญญาณอย่างหนึ่งในเขา เพื่อเขาจะได้ยินข่าวลือและกลับไปยังแผ่นดินของเขา และเราจะให้เขาล้มลงด้วยดาบในแผ่นดินของเขาเอง’””
8 แล้วผู้บัญชาการใหญ่จึงกลับไป และพบว่ากษัตริย์อัสซีเรียกำลังสู้รบกับเมืองลิบนาห์ เพราะเขาได้ยินว่ากษัตริย์ได้เสด็จออกจากเมืองลาคีชแล้ว 9 แล้วเซนนาเคอริบได้สดับว่าทีรหะคาห์กษัตริย์แห่งเอธิโอเปียและอียิปต์ได้ยกกองทัพออกมาสู้รบกับพระองค์แล้ว ดังนั้นพระองค์จึงส่งบรรดาผู้สื่อสารไปเฝ้าเฮเซคียาห์อีกครั้งด้วยข้อความว่า
10 “เจ้าจงพูดกับเฮเซคียาห์กษัตริย์ยูดาห์ดังนี้ว่า ‘อย่าให้พระเจ้าของท่านซึ่งท่านวางใจนั้นหลอกลวงท่านว่า “เยรูซาเล็มจะไม่ถูกมอบไว้ในมือของกษัตริย์แห่งอัสซีเรีย” 11 ดูสิ ท่านได้ยินแล้วว่าสิ่งที่บรรดากษัตริย์อัสซีเรียได้ทรงทำกับแผ่นดินทั้งหมดโดยการทำลายจนหมดสิ้น ฉะนั้นแล้วท่านเองจะรอดพ้นหรือ?
12 บรรดาพระของเหล่าประชาชาติซึ่งบรรพบุรุษของเราได้ทำลาย คือชนชาติโกซาน ฮาราน เรเซฟ และประชาชนของเอเดนซึ่งอยู่ในเทลอัสสาร์ได้ช่วยกู้พวกเขาให้พ้นหรือ? 13 กษัตริย์ของฮามัท กษัตริย์ของอารปัด กษัตริย์ของเมืองเสฟารวาอิม เฮนาและอิฟวาห์อยู่ที่ไหน?’”
14 เฮเซคียาห์ทรงรับจดหมายจากมือของผู้สื่อสารและได้ทรงอ่าน และเสด็จขึ้นไปยังพระนิเวศของพระยาห์เวห์ และเฮเซคียาห์ทรงคลี่จดหมายนั้นออกเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ 15 แล้วเฮเซคียาห์ทรงอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์และตรัสว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์จอมโยธาพระเจ้าแห่งอิสราเอล ผู้ประทับเหนือเหล่าเครูบ พระองค์คือพระเจ้าองค์เดียวที่อยู่เหนือบรรดาราชอาณาจักรของแผ่นดินโลกทั้งสิ้น พระองค์ทรงสร้างฟ้าและแผ่นดินโลก
16 ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอทรงเงี่ยพระกรรณและสดับ ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอเบิกพระเนตรมองดู และขอสดับถ้อยคำของเซนนาเคอริบซึ่งเขาส่งมาเย้ยพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ 17 ข้าแต่พระยาห์เวห์ เป็นความจริงที่กษัตริย์แห่งอัสซีเรียได้ทำให้ประชาชาติและแผ่นดินของพวกเขาร้างเปล่า 18 พวกเขาได้เหวี่ยงพระของพวกเขาลงในกองไฟ เพราะสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่พระเจ้า เป็นแต่ผลงานของมือมนุษย์ เป็นไม้และหิน เพราะฉะนั้นชาวอัสซีเรียจึงทำลายสิ่งเหล่านั้นได้
19 ฉะนั้นบัดนี้ ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย ขอทรงช่วยพวกข้าพระองค์ให้พ้นอำนาจของเขา เพื่อราชอาณาจักรทั้งสิ้นแห่งแผ่นดินโลกจะทราบว่า พระองค์คือพระยาห์เวห์ ทรงเป็นพระเจ้าแต่องค์เดียว”
20 แล้วอิสยาห์บุตรชายของอามอสได้ใช้คนส่งสารไปถึงเฮเซคียาห์ทูลว่า “พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า ‘เพราะเจ้าได้อธิษฐานต่อเราเรื่องเซนนาเคอริบกษัตริย์อัสซีเรีย เราได้ยินคำอธิษฐานของเจ้าแล้ว 21 สิ่งนี้คือถ้อยคำของพระยาห์เวห์ที่ได้ตรัสถึงเขา “ธิดาพรหมจารีแห่งศิโยน ดูถูกเจ้า และหัวเราะเยาะเจ้า ธิดาแห่งเยรูซาเล็มสั่นศีรษะของนางใส่เจ้า 22 เจ้าได้เย้ยและกล่าวหยาบช้าต่อผู้ใดหรือ? เจ้าขึ้นเสียงของเจ้าต่อผู้ใด และได้เบิ่งตาของเจ้าอย่างเย่อหยิ่งต่อผู้ใดหรือ? ก็ต่อองค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอลน่ะซิ
23 โดยผู้สื่อสารของเจ้า เจ้าได้เย้ยองค์พระผู้เป็นเจ้า และเจ้าได้ว่า ‘ด้วยรถม้าศึกมากมายของข้า ข้าได้ขึ้นไปที่สูงของภูเขาต่างๆ ถึงที่ไกลสุดของเลบานอน ข้าจะโค่นต้นสนสีดาร์ที่สูงที่สุดของมันลง ทั้งต้นสนสามใบที่ดีที่สุดของมัน ข้าจะเข้าไปยังที่พักไกลลิบที่สุดของมัน ที่ป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดของมัน 24 ข้าได้ขุดบ่อ และดื่มน้ำในดินแดนต่างด้าว ข้าได้เอาฝ่าเท้าของข้า ทำให้ธารน้ำทั้งสิ้นของอียิปต์แห้งไป’
25 เจ้าไม่ได้ยินหรือว่า เราได้ตัดสินใจไว้นานแล้ว และที่เราได้วางแผนงานไว้แต่ดึกดำบรรพ์อย่างไร? บัดนี้เรากำลังให้มันเกิดขึ้นแล้ว เจ้าอยู่ที่นี่เพื่อทำให้บรรดาเมืองที่แข็งแกร่งพังลงเหลือเป็นซากปรักหักพัง 26 ส่วนชาวเมืองผู้อาศัยในเมืองนั้นซึ่งมีกำลังน้อย ได้ถูกทำให้เสื่อมเสียและอับอาย พวกเขาเป็นเหมือนต้นไม้ในทุ่งนา เหมือนหญ้าเขียวอ่อน เหมือนหญ้าบนหลังคาเรือนหรือในทุ่งนา ซึ่งถูกเผาไหม้ก่อนที่จะงอกงาม
27 แต่เราได้รู้จักการที่เจ้านั่งลง การที่เจ้าออกไปและการที่เจ้าเข้ามา และการเกรี้ยวกราดของเจ้าต่อเรา 28 เพราะการเกรี้ยวกราดของเจ้าต่อเรา และความจองหองของเจ้าได้มาเข้าหูของเรา ฉะนั้นเราจะเอาตะขอของเราเกี่ยวจมูกเจ้า และเอาบังเหียนของเราใส่ปากเจ้า แล้วเราจะหันเจ้าให้กลับไปตามทางซึ่งเจ้ามานั้น”
29 และนี่จะเป็นหมายสำคัญแก่เจ้าคือ ปีนี้เจ้าจะกินสิ่งที่งอกขึ้นเอง และในปีที่สองกินสิ่งที่ผลิจากต้นเดิม แต่ในปีที่สามเจ้าต้องเพาะปลูกและเก็บเกี่ยว ต้องทำสวนองุ่นและกินผลของพวกมัน 30 คนของวงศ์วานยูดาห์ที่เหลืออยู่และรอดชีวิตจะหยั่งรากลงและเกิดผลขึ้นอีกครั้ง 31 เพราะคนที่เหลืออยู่จะออกจากกรุงเยรูซาเล็ม และคนที่รอดอยู่จะออกจากภูเขาศิโยน ความกระตือรือร้นของพระยาห์เวห์จอมโยธาจะทำการนี้
32 เพราะฉะนั้นพระยาห์เวห์จึงตรัสเกี่ยวกับกษัตริย์แห่งอัสซีเรียดังนี้ว่า “เขาจะไม่เข้าในเมืองนี้ หรือยิงลูกธนูมาที่นี่ หรือเขาจะไม่เข้ามาก่อนด้วยโล่ หรือสร้างบันไดบุกขึ้นมา 33 ทางไหนที่เขาเข้ามา ก็จะเป็นทางเดียวกันที่เขาจะกลับไปทางนั้น เขาจะไม่เข้าเมืองนี้ พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ” 34 เพราะเราจะป้องกันเมืองนี้ไว้ให้รอด เพื่อเห็นแก่เราเอง และเห็นแก่ดาวิดผู้รับใช้ของเรา’”
35 อยู่มาในคืนนั้น ทูตสวรรค์ของพระยาห์เวห์ได้ออกไป และประหารทหารในค่ายอัสซีเรียเสีย 185,000 นาย และเมื่อคนลุกขึ้นในตอนเช้ามืด ดูสิ พวกเขาทั้งหมดกลายเป็นศพในทุกที่ 36 ดังนั้นเซนนาเคอริบกษัตริย์แห่งอัสซีเรียจึงจึงทรงยกทัพออกจากอิสราเอลและทรงเสด็จกลับวัง และทรงประทับในกรุงนีนะเวห์ 37 ต่อมา เมื่อพระองค์นมัสการในศาลาของพระนิสโรคพระของพระองค์ อัดรัมเมเลคและชาเรเซอร์ โอรสของพระองค์ก็ได้ประหารพระองค์ด้วยดาบ แล้วเขาทั้งสองก็หนีไปยังแผ่นดินอารารัต แล้วเอสารฮัดโดนโอรสของพระองค์ก็ได้ทรงเป็นกษัตริย์แทน
1 ในเวลานั้น เฮเซคียาห์ได้ทรงพระประชวรใกล้จะสวรรคต ดังนั้นผู้เผยพระวจนะอิสยาห์บุตรชายของอามอสมาเข้าเฝ้าพระองค์ และทูลพระองค์ว่า “พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า ‘จงจัดการบ้านเมืองของเจ้าให้เรียบร้อย เพราะเจ้าจะตายและไม่มีชีวิตอยู่’” 2 แล้วเฮเซคียาห์ทรงหันพระพักตร์เข้าข้างฝา และอธิษฐานต่อพระยาห์เวห์ว่า 3 “ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอทรงระลึกว่า ข้าพระองค์ได้ดำเนินอยู่เฉพาะพระพักตร์ของพระองค์ด้วยความซื่อสัตย์และด้วยความเต็มใจ และทำสิ่งที่ดีในสายพระเนตรของพระองค์” แล้วเฮเซคียาห์จึงกันแสงเสียงดัง
4 ก่อนที่อิสยาห์จะออกไปถึงลานกลาง พระวจนะของพระยาห์เวห์มาถึงท่านว่า 5 “จงกลับไปบอกเฮเซคียาห์ผู้นำประชาชนของเราว่า 'นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของดาวิดบรรพบุรุษของเจ้าตรัส “เราได้ยินคำอธิษฐานของเจ้าแล้ว เราได้เห็นน้ำตาของเจ้าแล้ว เราจะรักษาเจ้า ในวันที่สาม เจ้าจะขึ้นไปยังพระนิเวศของพระยาห์เวห์
6 เราจะเพิ่มชีวิตของเจ้าอีกสิบห้าปี เราจะช่วยกู้เจ้าและเมืองนี้จากมือของกษัตริย์แห่งอัสซีเรีย และเราจะป้องกันเมืองนี้ไว้เพื่อเห็นแก่เราเอง และเพื่อเห็นแก่ดาวิดผู้รับใช้ของเรา”’” 7 ดังนั้นอิสยาห์จึงบอกว่า “จงเอาขนมมะเดื่อมาอันหนึ่ง” พวกเขาก็เอามาวางไว้บนพระยอดของพระองค์นั้น แล้วพระองค์ก็ทรงหายเป็นปกติ
8 เฮเซคียาห์ตรัสกับอิสยาห์ว่า “อะไรเป็นหมายสำคัญที่แสดงว่าพระยาห์เวห์จะทรงรักษาข้าพเจ้า และที่แสดงว่าข้าพเจ้าจะได้ขึ้นไปยังพระนิเวศของพระยาห์เวห์ในวันที่สาม?” 9 อิสยาห์ทูลว่า “นี้เป็นหมายสำคัญสำหรับพระองค์จากพระยาห์เวห์ ที่พระยาห์เวห์จะได้ทรงทำตามที่พระองค์ตรัสไว้ คือจะให้เงาคืบไปข้างหน้าสิบขั้น หรือจะให้ย้อนกลับมาสิบขั้น?”
10 เฮเซคียาห์ตรัสตอบว่า “เป็นเรื่องง่ายที่เงาจะยาวออกไปอีกสิบขั้น อย่าเลย ขอให้เงาย้อนกลับมาสิบขั้นเถิด” 11 ดังนั้นอิสยาห์ผู้เผยพระวจนะได้ร้องทูลพระยาห์เวห์ และพระองค์ทรงนำเงาย้อนกลับมาสิบขั้น จากที่ซึ่งมันย้อนกลับขึ้นไปบนขั้นบันไดของอาหัส
12 คราวนั้นเมโรดัคบาลาดัน พระราชโอรสของบาลาดันกษัตริย์แห่งบาบิโลน ได้ทรงส่งพระราชสารและเครื่องบรรณาการมายังเฮเซคียาห์ เพราะพระองค์ได้สดับว่าเฮเซคียาห์ทรงพระประชวร 13 เฮเซคียาห์ทรงฟังพระราชสารเหล่านั้น และทรงพาพวกผู้สื่อสารชมคลังทรัพย์ทั้งหมดของพระองค์ ให้ชมเงิน ทองคำ เครื่องเทศ น้ำมันอย่างดี และคลังพระแสงของพระองค์ และให้ทอดพระเนตรทุกอย่างซึ่งมีในท้องพระคลังของพระองค์ ไม่มีสิ่งใดในพระราชวังหรือในราชอาณาจักรทั้งสิ้นของพระองค์ ซึ่งเฮเซคียาห์ไม่ได้สำแดงแก่พวกพระองค์
14 แล้วอิสยาห์ผู้เผยพระวจนะจึงมาเข้าเฝ้ากษัตริย์เฮเซคียาห์ และทูลถามพระองค์ว่า “คนเหล่านี้ทูลอะไรบ้าง? และเขามาเฝ้าพระองค์จากที่ไหน?” เฮเซคียาห์ได้ตรัสว่า “พวกเขามาจากเมืองไกลคือจากประเทศบาบิโลน” 15 อิสยาห์ทูลถามว่า “พวกเขาเห็นอะไรในพระราชวังของพระองค์บ้าง?” เฮเซคียาห์ตรัสตอบว่า “เขาเห็นทุกอย่างในวังของเรา ไม่มีสิ่งมีค่าใดในพระคลังของเราที่เราไม่ได้สำแดงแก่พวกเขา”
16 ดังนั้นอิสยาห์จึงทูลเฮเซคียาห์ว่า “จงฟังพระวจนะของพระยาห์เวห์ 17 ‘นี่แน่ะ วันเวลากำลังมาถึงเมื่อทุกสิ่งในวังของท่าน และสิ่งที่บรรพบุรุษของท่านได้สะสมมาจนถึงทุกวันนี้ จะต้องถูกเอาไปยังบาบิโลน และไม่มีสิ่งใดเหลือเลย พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ 18 โอรสทั้งหลายซึ่งถือกำเนิดจากท่าน ผู้ซึ่งท่านได้เป็นบิดา คนเหล่านั้นจะเอาตัวพวกเขาไป และพวกเขาจะไปเป็นขันทีในพระราชวังของกษัตริย์แห่งบาบิโลน’”
19 แล้วเฮเซคียาห์ได้ตรัสกับอิสยาห์ว่า “พระวจนะของพระยาห์เวห์ซึ่งท่านกล่าวนั้นดีแล้ว” เพราะพระองค์ไทรงคิดว่า “ก็ดีแล้วมิใช่หรือ ในเมื่อมีความอยู่เย็นเป็นสุขและความปลอดภัยในสมัยของเรา?” 20 ส่วนพระราชกิจอื่นๆ ของเฮเซคียาห์ และพระราชอำนาจทั้งสิ้นของพระองค์ และการที่พระองค์ได้ทรงสร้างสระและรางระบายน้ำ และวิธีที่พระองค์ได้นำน้ำเข้ามาในกรุงได้อย่างไร ได้บันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์แห่งยูดาห์ไม่ใช่หรือ? 21 เฮเซคียาห์ได้ทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และมนัสเสห์พระราชโอรสของพระองค์ได้ทรงขึ้นเป็นกษัตริย์แทน
1 มนัสเสห์ทรงมีพระชนมายุสิบสองพรรษาเมื่อได้ทรงครองราชย์ พระองค์ทรงครองราชย์ในกรุงเยรูซาเล็มห้าสิบห้าปี พระมารดาของพระองค์มีพระนามว่าเฮฟซีบาห์ 2 พระองค์ได้ทรงทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ ตามการกระทำที่น่าเกลียดน่าชังของประชาชาติทั้งหลายซึ่งพระยาห์เวห์ทรงขับไล่ไปให้พ้นหน้าประชาชนอิสราเอล 3 พระองค์ทรงสร้างสถานสูงซึ่งเฮเซคียาห์พระราชบิดาของพระองค์ได้ทรงทำลายนั้น และพระองค์ทรงตั้งแท่นบูชาต่างๆ แด่พระบาอัล และทรงสร้างเสาพระอาเชราห์ขึ้นใหม่เหมือนที่อาหับกษัตริย์แห่งอิสราเอลได้ทรงกระทำ และทรงก้มกราบดวงดาวทั้งหมดของท้องฟ้า และนมัสการสิ่งเหล่านั้น
4 มนัสเสห์ได้ทรงสร้างแท่นบูชาของพระต่างชาติในพระนิเวศของพระยาห์เวห์ ทั้งๆ ที่พระยาห์เวห์ได้ตรัสว่า “เราจะใส่ชื่อของเราไว้ในกรุงเยรูซาเล็มตลอดไป” 5 พระองค์ได้ทรงสร้างแท่นบูชาต่างๆ แด่ดวงดาวต่างๆ ทั้งหมดของท้องฟ้า ในลานทั้งสองแห่งของพระนิเวศของพระยาห์เวห์ 6 พระองค์ได้ทรงนำพระราชโอรสไปเผาไฟ และทรงดูฤกษ์ยาม ทรงทำเวทมนตร์ และทรงติดต่อกับคนที่ตายไปแล้ว และคนที่พูดกับภูติผีต่างๆ ได้ พระองค์ได้ทรงทำสิ่งชั่วร้ายมากมายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ ยั่วยุให้พระเจ้าพิโรธ
7 ส่วนรูปแกะสลักของพระอาเชราห์ที่พระองค์ได้ทรงสร้างนั้น พระองค์ทรงตั้งไว้ในพระนิเวศ ซึ่งพระนิเวศนี้พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับดาวิดและซาโลมอนพระราชโอรสของพระองค์ว่า “ในนิเวศนี้ และในกรุงเยรูซาเล็ม ซึ่งเราได้เลือกออกจากเผ่าทั้งหมดของอิสราเอล ที่เราจะใส่ชื่อของเราไว้เป็นนิตย์ 8 เราจะไม่เป็นเหตุให้เท้าของอิสราเอลพเนจรออกจากแผ่นดินที่เราให้กับบรรพบุรุษของพวกเขาอีก ถ้าเพียงแต่พวกเขาระมัดระวังที่จะทำตามทุกสิ่งซึ่งเราได้บัญชาพวกเขา และทำตามธรรมบัญญัติทั้งสิ้นที่โมเสสผู้รับใช้ของเราได้บัญชาพวกเขาไว้” 9 แต่ประชาชนไม่ฟัง และมนัสเสห์ได้ทรงนำพวกเขาให้หลงทำชั่วยิ่งกว่าบรรดาประชาชาติซึ่งพระยาห์เวห์ได้ทรงทำลายให้พ้นหน้าประชาชนอิสราเอล
10 ดังนั้นพระยาห์เวห์ได้ตรัสทางพวกผู้เผยพระวจนะผู้รับใช้ของพระองค์ว่า 11 “เพราะมนัสเสห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ได้ทำสิ่งที่น่าเกลียดน่าชังเหล่านี้ และทำชั่วยิ่งกว่าที่คนอาโมไรต์ผู้อยู่ก่อนเขาได้ทำทั้งหมด อีกทั้งยังทำให้ยูดาห์ทำบาปด้วยบรรดารูปเคารพของเขา 12 เพราะฉะนั้น พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า นี่แน่ะ เรากำลังนำเหตุร้ายมาเหนือกรุงเยรูซาเล็มและยูดาห์ ที่ใครก็ตามได้ยินแล้ว หูทั้งสองข้างของเขาจะอื้อไป
13 เราจะวัดกรุงกรุงเยรูซาเล็มโดยใช้เชือกเส้นเดียวกับที่เราวัดกรุงสะมาเรีย และใช้ลูกดิ่งอันเดียวกับที่วัดราชวงศ์อาหับ เราจะล้างกรุงเยรูซาเล็มให้สะอาดอย่างคนล้างจาน คือล้างแล้วก็คว่ำลง 14 เราจะทิ้งมรดกส่วนที่เหลือของเราเสีย และมอบพวกเขาไว้ในมือศัตรูของพวกเขา และพวกเขาจะเป็นเหยื่อและเป็นของริบของศัตรูทั้งหมดของพวกเขา 15 เพราะพวกเขาได้ทำสิ่งชั่วร้ายในสายตาของเรา และยั่วให้เราโกรธ ตั้งแต่วันที่บรรพบุรุษของพวกเขาออกจากอียิปต์จนถึงทุกวันนี้”
16 ยิ่งกว่านั้นอีก มนัสเสห์ได้ทรงทำให้โลหิตของผู้บริสุทธิ์ตกเป็นอันมาก จนพระองค์ทำให้ความตายเต็มกรุงเยรูซาเล็มจากด้านหนึ่งถึงอีกด้านหนึ่ง นอกเหนือจากบาปที่ได้ทรงทำให้ยูดาห์ทำผิดด้วย เมื่อพวกเขาทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ 17 ส่วนราชกิจอื่นๆ ของมนัสเสห์ และทุกสิ่งที่ได้ทรงกระทำ และบาปซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำถูกบันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์แห่งยูดาห์ไม่ใช่หรือ? 18 มนัสเสห์ทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษ และได้ทรงถูกฝังไว้ในพระราชอุทยานของพระราชวังของพระองค์เองในสวนอุสซา อาโมนพระราชโอรสของพระองค์ได้ทรงขึ้นเป็นกษัตริย์แทน
19 อาโมนมีพระชนมายุยี่สิบสองพรรษาเมื่อพระองค์ได้ทรงครองราชย์ พระองค์ทรงครองราชย์ในกรุงเยรูซาเล็มสองปี พระมารดาของพระองค์มีพระนามว่า เมชุลเลเมท นางเป็นบุตรหญิงของฮารูสชาวโยทบาห์ 20 พระองค์ทรงทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ เหมือนมนัสเสห์บิดาของพระองค์ได้ทรงกระทำ
21 อาโมนทรงดำเนินในทางทั้งสิ้นที่พระราชบิดาของพระองค์ได้ทรงดำเนิน และนมัสการรูปเคารพซึ่งพระราชบิดาของพระองค์ได้ทรงนมัสการ และก้มกราบรูปเคารพเหล่านั้น 22 พระองค์ทรงละทิ้งพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของพระองค์ และไม่ได้ทรงดำเนินในมรรคาของพระยาห์เวห์ 23 ข้าราชบริพารของอาโมนได้ร่วมกันคิดกบฏ และได้ปลงพระชนม์กษัตริย์ในพระราชวังของพระองค์เอง
24 แต่ประชาชนในแผ่นดินได้ฆ่าทุกคนที่ร่วมกันคิดกบฏต่อกษัตริย์อาโมน แล้วประชาชนในแผ่นดินตั้งโยสิยาห์พระราชโอรสของพระองค์ให้เป็นกษัตริย์แทน 25 ส่วนราชกิจอื่นๆ ของอาโมนที่ได้ทรงกระทำ ได้ถูกบันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์แห่งยูดาห์ไม่ใช่หรือ? 26 ประชาชนได้ฝังพระองค์ไว้ในอุโมงค์ฝังศพของพระองค์ในสวนอุสซา และโยสิยาห์พระราชโอรสของพระองค์ได้ทรงขึ้นเป็นกษัตริย์แทน
1 โยสิยาห์ทรงมีพระชนมายุได้แปดพรรษาเมื่อพระองค์ทรงครองราชย์ พระองค์ทรงครองราชย์ในกรุงเยรูซาเล็มสามสิบเอ็ดปี พระมารดาของพระองค์มีพระนามว่า เยดีดาห์ (นางเป็นบุตรหญิงของอาดายาห์ชาวโบสคาท) 2 พระองค์ทรงทำสิ่งที่ชอบธรรมในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ พระองค์ทรงดำเนินตามทางทั้งสิ้นของดาวิดบรรพบุรุษของพระองค์ และพระองค์ไม่ได้ทรงหันเหไปทางขวาหรือทางซ้าย
3 สิ่งนี้ได้เกิดขึ้นในปีที่สิบแปดแห่งรัชกาลกษัตริย์โยสิยาห์ พระองค์ได้ทรงใช้ชาฟานบุตรชายของอาซาลิยาห์ บุตรชายของเมชุลลามราชอาลักษณ์ไปยังพระนิเวศของพระยาห์เวห์ ตรัสว่า 4 “จงขึ้นไปหาฮิลคียาห์มหาปุโรหิต และบอกท่านให้นับเงินที่ได้นำเข้ามาในพระนิเวศของพระยาห์เวห์ ซึ่งผู้เฝ้าประตูเก็บจากประชาชน 5 ขอให้มอบไว้ในมือของผู้ทำหน้าที่ดูแลพระนิเวศของพระยาห์เวห์ และให้พวกเขาจ่ายแก่คนงานผู้อยู่ในพระนิเวศของพระยาห์เวห์เพื่อซ่อมแซมพระวิหารสำหรับพวกเขา
6 ขอให้พวกเขาให้เงินแก่ช่างไม้ ช่างก่อสร้าง และช่างปูน และที่จะซื้อไม้และหินสกัดเพื่อซ่อมแซมพระวิหารด้วย” 7 แต่ไม่ต้องรายงานเกี่ยวกับเงินที่มอบไว้ในมือของพวกเขา เพราะพวกเขาได้ทำอย่างซื่อสัตย์
8 ฮิลคียาห์มหาปุโรหิตได้พูดกับชาฟานราชอาลักษณ์ว่า “ข้าพเจ้าพบหนังสือธรรมบัญญัติในพระนิเวศของพระยาห์เวห์” ดังนั้นฮิลคียาห์จึงมอบหนังสือนั้นให้ชาฟานและเขาก็ได้อ่าน 9 ชาฟานได้จากไปและได้นำหนังสือไปถวายกษัตริย์และทูลรายงานต่อพระองค์ว่า “พวกข้าราชบริพารของพระองค์ได้จ่ายเงินที่พบในพระนิเวศ และพวกเขาได้นำเงินไปมอบไว้ในมือของคนงานผู้ทำหน้าที่ดูแลพระนิเวศของพระยาห์เวห์” 10 แล้วชาฟานราชอาลักษณ์ได้ทูลกษัตริย์ว่า “ฮิลคียาห์ปุโรหิตได้มอบหนังสือแก่ข้าพระองค์ม้วนหนึ่ง” แล้วชาฟานก็ได้อ่านถวายกษัตริย์
11 สิ่งนี้ได้เกิดขึ้นเมื่อกษัตริย์ได้สดับถ้อยคำของหนังสือธรรมบัญญัตินั้น และพระองค์ก็ทรงฉีกฉลองพระองค์ 12 กษัตริย์ทรงบัญชาฮิลคียาห์ปุโรหิต และอาหิคัมบุตรชายของชาฟาน และอัคโบร์บุตรชายของมีคายาห์และชาฟานราชอาลักษณ์ และอาสายาห์องครักษ์ของพระองค์เอง ตรัสว่า 13 “จงไปทูลถามพระยาห์เวห์เพื่อเรา และเพื่อประชาชน และเพื่อยูดาห์ทั้งหมด เกี่ยวกับถ้อยคำในหนังสือนี้ที่ได้พบ เพราะว่าพระพิโรธของพระยาห์เวห์ซึ่งพลุ่งขึ้นต่อพวกเรานั้นใหญ่หลวงนัก เพราะว่าบรรพบุรุษของเราไม่ได้เชื่อฟังถ้อยคำของหนังสือนี้ ที่จะทำทุกสิ่งตามที่เขียนไว้เกี่ยวกับพวกเรา”
14 ดังนั้นฮิลคียาห์ปุโรหิต อาหิคัม อัคโบร์ ชาฟาน และอาสายาห์ จึงได้ไปหาฮุลดาห์ผู้เผยพระวจนะหญิงผู้เป็นภรรยาของชัลลูม บุตรชายของทิกวาห์บุตรชายของฮารฮัสผู้ดูแลตู้เสื้อผ้า (นางได้อยู่ในกรุงเยรูซาเล็มในเขตสอง) และพวกเขาได้สนทนากับนาง 15 นางได้บอกพวกเขาว่า “นี่แหละคือสิ่งที่พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลได้ตรัสว่า ‘จงบอกคนที่ใช้พวกท่านมาหาฉันว่า 16 “นี่แหละคือสิ่งที่พระยาห์เวห์ตรัส ‘นี่แน่ะ เราจะนำเหตุร้ายมายังสถานที่นี้ และมายังชาวเมืองนี้ ตามถ้อยคำทั้งหมดในหนังสือซึ่งกษัตริย์แห่งยูดาห์ได้อ่านนั้น
17 เพราะพวกเขาได้ละทิ้งเรา และเผาเครื่องหอมถวายพระอื่นๆ ซึ่งยั่วยุให้เราโกรธด้วยการกระทำทั้งหมดจากที่พวกเขาได้กระทำ ดังนั้นความโกรธของเราจะจุดขึ้นต่อสถานที่นี้ และจะดับไม่ได้’” 18 แต่กษัตริย์แห่งยูดาห์ผู้ทรงใช้พวกท่านมาถามน้ำพระทัยของพระยาห์เวห์นั้น จงไปบอกพระองค์ว่า “พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสไว้ว่า ‘เรื่องบรรดาถ้อยคำที่เจ้าได้ยิน 19 เพราะใจของเจ้าอ่อนน้อม และเจ้าถ่อมตัวลงเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ เมื่อเจ้าได้ยินถ้อยคำซึ่งเรากล่าวโทษสถานที่นี้และชาวเมืองนี้ ซึ่งจะกลายเป็นที่ร้างและที่ถูกแช่งสาป และเจ้าได้ฉีกเสื้อผ้าของเจ้า และร้องไห้ต่อหน้าเรา เราเองก็ได้ยินเจ้าด้วย นี่คือคำประกาศของพระยาห์เวห์
20 ดูเถิด เราจะนำเจ้าไปไว้กับบรรพบุรุษทั้งหลายของเจ้า และเจ้าจะถูกนำไปยังอุโมงค์ฝังศพของเจ้าอย่างสงบสุข ดวงตาของเจ้าจะไม่เห็นเหตุร้ายทั้งสิ้นที่เราจะนำมายังสถานที่นี้’’”” ดังนั้นผู้ชายทั้งหลายก็ได้นำข่าวสารนี้กลับมาทูลกษัตริย์
1 ดังนั้นกษัตริย์ได้ทรงใช้ผู้ส่งสารผู้ซึ่งรวบรวมผู้อาวุโสทั้งหมดของยูดาห์และของกรุงเยรูซาเล็มให้มาเข้าเฝ้าพระองค์ 2 แล้วกษัตริย์ได้เสด็จขึ้นไปยังพระนิเวศของพระยาห์เวห์ พร้อมกับคนยูดาห์ทั้งหมด และชาวกรุงเยรูซาเล็มทั้งสิ้นที่อยู่กับพระองค์ รวมทั้งพวกปุโรหิต พวกผู้เผยพระวจนะ และประชาชนทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นผู้เล็กน้อยหรือผู้ใหญ่ แล้วพระองค์ทรงอ่านถ้อยคำทั้งหมดในหนังสือพันธสัญญา ที่พบในพระนิเวศของพระยาห์เวห์ให้พวกเขาฟัง
3 กษัตริย์ได้ทรงยืนข้างเสา และทรงทำพันธสัญญาเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ ว่าจะดำเนินตามพระยาห์เวห์ และจะรักษาพระบัญญัติ พระโอวาท และกฎเกณฑ์ของพระองค์ ด้วยสุดจิตสุดใจของพระองค์ จะยืนยันถ้อยคำของพันธสัญญานี้ที่เขียนไว้ในหนังสือนี้ ดังนั้น ประชาชนทั้งหมดก็ได้เข้าร่วมในพันธสัญญานั้น
4 กษัตริย์ได้ทรงบัญชาฮิลคียาห์มหาปุโรหิต และพวกปุโรหิตที่รองลงมา และผู้เฝ้าประตู ให้นำเครื่องใช้ทั้งสิ้นที่ทำขึ้นสำหรับพระบาอัล สำหรับพระอาเชราห์ และสำหรับบรรดาดวงดาวของท้องฟ้าทั้งสิ้นออกมาจากพระวิหารของพระยาห์เวห์ พระองค์จึงทรงเผาเสียที่ภายนอกกรุงเยรูซาเล็มในทุ่งนาแห่งหุบเขาขิดโรน และทรงขนมูลเถ้าของมันไปยังเบธเอล 5 พระองค์ทรงกำจัดพวกนักบวชของรูปเคารพ ผู้ที่บรรดากษัตริย์แห่งยูดาห์ได้ทรงแต่งตั้งให้เผาเครื่องหอมในสถานสูง ที่เมืองต่างๆ ของยูดาห์ และที่รอบๆ กรุงเยรูซาเล็ม รวมทั้งคนเหล่านั้นที่เผาเครื่องหอมถวายพระบาอัล ถวายดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดาวเคราะห์ และหมู่ดาวทั้งสิ้นของท้องฟ้า
6 พระองค์ทรงนำพระอาเชราห์ออกจากพระวิหารของพระยาห์เวห์ ไปยังหุบเขาขิดโรนภายนอกเยรูซาเล็ม และทรงเผาเสียที่นั่น พระองค์ทรงทุบให้เป็นผงคลีและทรงโยนผงคลีนั้นลงบนหลุมศพของสามัญชน 7 พระองค์ทรงรื้อที่พักของโสเภณีในพิธีทางศาสนา ซึ่งอยู่ในพระวิหารของพระยาห์เวห์ ที่ผู้หญิงได้ทอเสื้อผ้าสำหรับพระอาเชราห์
8 โยสิอาห์ทรงให้นักบวชทั้งหมดออกจากเมืองต่างๆ ของยูดาห์ และทรงทำให้สถานสูงคือที่ซึ่งนักบวชได้เผาเครื่องหอมเสียความศักดิ์สิทธิ์ ตั้งแต่เมืองเกบาถึงเบเออร์เชบา และพระองค์ทรงทำลายสถานสูงของประตู ซึ่งอยู่ตรงทางเข้าประตูของโยชูวา (ผู้ว่าราชการเมือง) ซึ่งอยู่ทางซ้ายมือที่ประตูเมือง 9 ถึงแม้ว่า บรรดานักบวชแห่งสถานสูงไม่ได้รับอนุญาตให้ปรนนิบัติที่แท่นบูชาของพระยาห์เวห์ในกรุงเยรูซาเล็ม แต่เขาทั้งหลายได้กินขนมปังไร้เชื้อ ท่ามกลางพวกพี่น้องของพวกเขาเอง
10 โยสิยาห์ได้ทรงทำให้โทเฟทที่อยู่ในหุบเขาเบนฮินโนมเป็นมลทิน เพื่อจะไม่มีใครเผาบุตรชายหรือบุตรหญิงของเขาให้เป็นเครื่องบูชาต่อพระโมเลค 11 พระองค์ทรงกำจัดพวกม้าซึ่งบรรดากษัตริย์แห่งยูดาห์ได้ถวายแก่ดวงอาทิตย์ ที่อยู่ในบริเวณทางเข้าพระวิหารของพระยาห์เวห์ ใกล้ห้องนาธันเมเลคมหาดเล็ก โยสิยาห์ทรงเผารถม้าของดวงอาทิตย์
12 กษัตริย์โยสิยาห์ทรงทำลายแท่นบูชาบนหลังคาห้องชั้นบนของอาหัส ซึ่งบรรดากษัตริย์ของยูดาห์ได้ทรงสร้างไว้ และแท่นบูชาซึ่งมนัสเสห์ได้ทรงสร้างไว้ในลานทั้งสองของพระวิหารของพระยาห์เวห์ โยสิยาห์ทรงทุบสิ่งเหล่านั้นเป็นชิ้นๆ และทรงโยนมันทิ้งไปในหุบเขาขิดโรน 13 กษัตริย์ทรงทำลายสถานสูงซึ่งอยู่ทางตะวันออกของกรุงเยรูซาเล็ม และอยู่ทางใต้ของภูเขาแห่งความเสื่อมทรามนั้นเสียความศักดิ์สิทธิ์ ที่ซาโลมอนกษัตริย์แห่งอิสราเอลได้ทรงสร้างไว้สำหรับพระอัชโทเรท เป็นรูปเคารพสิ่งน่าชังของชาวไซดอน และสำหรับพระเคโมช เป็นรูปเคารพสิ่งน่าชังของชาวโมอับ และสำหรับพระโมเลค เป็นรูปเคารพสิ่งน่าชังของชาวอัมโมน 14 พระองค์ทรงทุบเสาศักดิ์สิทธิ์เป็นชิ้นๆ และโค่นบรรดาเสาอาเชราห์ลงเสีย แล้วเอาบรรดากระดูกมนุษย์ถมที่นั้น
15 โยสิยาห์ทรงทำลายแท่นบูชาที่เบธเอลกับสถานสูงซึ่งได้ทรงตั้งขึ้นโดยเยโรโบอัมบุตรชายของเนบัท (ผู้ได้นำอิสราเอลให้ทำบาปด้วย) พระองค์ทรงเผาแท่นบูชากับสถานสูงนั้นลง และทรงเผาสถานสูงนั้น แล้วบดให้เป็นผง พระองค์ยังได้ทรงเผาเสาอาเชราห์ด้วย 16 ขณะที่โยสิยาห์ได้ทอดพระเนตรไปรอบบริเวณนั้น พระองค์ทรงสังเกตเห็นหลุมฝังศพซึ่งอยู่ข้างภูเขา พระองค์ทรงใช้คนให้ไปเอาบรรดากระดูกออกมาจากหลุมฝังศพ และพระองค์ทรงเผาเสียบนแท่นบูชา เพื่อทำให้เสียความศักดิ์สิทธิ์ ตามพระวจนะของพระยาห์เวห์ซึ่งคนของพระเจ้าได้พูดไว้ คนที่ได้พูดถึงสิ่งเหล่านี้ไว้ก่อนแล้ว
17 แล้วพระองค์ได้ตรัสว่า “อนุสาวรีย์อะไรที่เรามองเห็น?” พวกคนเมืองนั้นจึงทูลพระองค์ว่า “เป็นหลุมฝังศพของคนของพระเจ้า ผู้มาจากยูดาห์และพูดถึงสิ่งเหล่านี้ ซึ่งพระองค์พึ่งได้ทรงกระทำต่อแท่นบูชาที่เบธเอล” 18 ดังนั้นโยสิยาห์จึงตรัสว่า “ให้เขาอยู่ที่นั่นแหละ อย่าให้ใครย้ายกระดูกของเขา” เขาทั้งหลายจึงทิ้งกระดูกของเขาไว้อย่างนั้น พร้อมกับกระดูกของผู้เผยพระวจนะผู้ออกมาจากสะมาเรีย
19 แล้วโยสิยาห์ได้ทรงย้ายบรรดาศาลาทั้งสิ้นของสถานสูง ที่อยู่ในเมืองต่างๆ ของสะมาเรีย ซึ่งบรรดากษัตริย์แห่งอิสราเอลได้ทรงสร้างไว้ และเป็นการยั่วยุให้พระยาห์เวห์กริ้ว พระองค์ทรงทำต่อสิ่งเหล่านั้นเหมือนทุกอย่างที่ได้ทรงทำที่เบธเอล 20 พระองค์ทรงประหารนักบวชแห่งสถานสูงทั้งหมดบนแท่นบูชา และทรงเผากระดูกคนบนแท่นเหล่านั้น แล้วพระองค์ก็ได้เสด็จกลับกรุงเยรูซาเล็ม
21 แล้วกษัตริย์ทรงบัญชาประชาชนทั้งหมดว่า “จงถือเทศกาลปัสกาถวายแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้า ดังที่เขียนไว้ในหนังสือพันธสัญญานี้” 22 เพราะว่าการฉลองเทศกาลปัสกาเช่นนี้ไม่เคยถือกันมาตั้งแต่สมัยผู้วินิจฉัยซึ่งได้ปกครองอิสราเอล ไม่เคยมีในสมัยบรรดากษัตริย์แห่งอิสราเอลและกษัตริย์แห่งยูดาห์ 23 แต่ในปีที่สิบแปดแห่งรัชกาลกษัตริย์โยสิยาห์ มีการฉลองเทศกาลปัสกาของพระยาห์เวห์อย่างนี้ในกรุงเยรูซาเล็ม
24 โยสิยาห์ยังได้ทรงกำจัดบรรดาพวกที่คุยกับคนตายหรือภูตผี พระองค์ยังได้ทรงกำจัด บรรดาเครื่องราง รูปเคารพ และสิ่งน่าเกลียดน่าชังซึ่งเห็นกันอยู่ในแผ่นดินยูดาห์และกรุงเยรูซาเล็ม เพื่อทรงยืนยันถ้อยคำแห่งธรรมบัญญัติ ซึ่งได้เขียนอยู่ในหนังสือที่ฮิลคียาห์ปุโรหิตได้พบในพระนิเวศของพระยาห์เวห์ 25 ก่อนโยสิยาห์ก็ไม่มีกษัตริย์องค์ใดเหมือนพระองค์ ผู้ได้หันกลับมาหาพระยาห์เวห์ด้วยสุดจิตสุดใจและด้วยสุดกำลังของพระองค์ผู้ซึ่งได้ทรงทำตามธรรมบัญญัติทั้งสิ้นของโมเสส หลังพระองค์ก็ไม่มีกษัตริย์องค์ใดขึ้นมาเหมือนพระองค์
26 ถึงกระนั้น พระยาห์เวห์ก็ไม่ได้ทรงหันจากพระพิโรธอันแรงกล้าของพระองค์ ซึ่งได้พลุ่งขึ้นต่อยูดาห์ เพราะการนมัสการพระของคนต่างชาติทั้งสิ้นที่มนัสเสห์ได้ทรงยั่วยุให้พระองค์กริ้ว 27 ดังนั้นพระยาห์เวห์ตรัสว่า “เราจะให้ยูดาห์ออกไปให้พ้นสายตาเราด้วย เหมือนที่เราได้ทำต่ออิสราเอล และเราจะเหวี่ยงเมืองนี้ซึ่งเราได้เลือกออกไปเสีย คือกรุงเยรูซาเล็มกับพระนิเวศ ซึ่งเราได้บอกว่า ‘นามของเราจะอยู่ที่นั่น’”
28 ส่วนราชกิจอื่นๆ ของโยสิยาห์ และทุกสิ่งที่ได้ทรงกระทำ ได้บันทึกในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์แห่งยูดาห์ไม่ใช่หรือ? 29 ในสมัยของพระองค์ ฟาโรห์เนโคกษัตริย์แห่งอียิปต์ได้ยกทัพสู้กับกษัตริย์แห่งอัสซีเรียที่แม่น้ำยูเฟรติส กษัตริย์โยสิยาห์ได้ทรงไปพบกับเนโคในสนามรบ และเนโคก็ทรงประหารพระองค์ที่เมืองเมกิดโด 30 ข้าราชบริพารของโยสิยาห์จึงได้นำพระศพใส่รถม้าศึกจากเมืองเมกิดโด นำมายังกรุงเยรูซาเล็ม และได้ฝังพระองค์ไว้ในหลุมฝังศพของพระองค์เอง แล้วประชาชนในแผ่นดินนั้นก็นำเยโฮอาหาสพระราชโอรสของโยสิยาห์มาและได้เจิมพระองค์ แล้วได้ตั้งให้เป็นกษัตริย์แทนพระราชบิดา
31 เยโฮอาหาสมีพระชนมายุยี่สิบสามพรรษาเมื่อทรงขึ้นครองราชย์ และทรงครองราชย์ในกรุงเยรูซาเล็มสามเดือน พระมารดาของพระองค์มีพระนามว่า ฮามุทาล พระนางเป็นบุตรหญิงของเยเรมีย์ชาวลิบนาห์ 32 เยโฮอาหาสทรงกระทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ ตามทุกอย่างซึ่งบรรพบุรุษของพระองค์ได้ทรงกระทำ 33 ฟาโรห์เนโคได้ทรงจับพระองค์ขังไว้ที่ริบลาห์ในแผ่นดินฮามัท เพื่อไม่ให้พระองค์ปกครองในกรุงเยรูซาเล็ม แล้วเนโคได้ทรงปรับยูดาห์ด้วยเงินหนึ่งร้อยตะลันต์ และทองคำหนึ่งตะลันต์
34 ฟาโรห์เนโคได้ทรงตั้งเอลียาคิมพระราชโอรสของโยสิยาห์เป็นกษัตริย์แทนโยสิยาห์พระราชบิดาของพระองค์ และทรงเปลี่ยนชื่อให้เป็นเยโฮยาคิม แต่พระองค์ทรงพาเยโฮอาหาสไปยังอียิปต์ และเยโฮอาหาสก็ได้เสด็จสวรรคตที่นั่น 35 เยโฮยาคิมได้ทรงจ่ายเงินและทองคำแก่ฟาโรห์ ตามพระบัญชาของฟาโรห์ เยโฮยาคิมทรงเก็บภาษีที่ดินและบังคับประชาชนแต่ละคนของแผ่นดินให้เอาเงินและทองคำมาถวายให้พระองค์ตามการประเมินของพวกเขา
36 เยโฮยาคิมทรงมีพระชนมายุยี่สิบห้าพรรษา เมื่อพระองค์ทรงขึ้นครองราชย์ และพระองค์ทรงครองราชย์ในกรุงเยรูซาเล็มสิบเอ็ดปี พระมารดาของพระองค์มีพระนามว่า เศบิดาห์ พระนางเป็นบุตรหญิงของเปดายาห์ชาวรูมาห์ 37 เยโฮยาคิมทรงกระทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ ตามทุกอย่างซึ่งบรรพบุรุษของพระองค์ได้ทรงกระทำ
1 ในรัชกาลของเยโฮยาคิม เนบูคัดเนสซาร์ กษัตริย์แห่งบาบิโลนได้โจมตียูดาห์ เยโฮยาคิมเป็นคนรับใช้ของพระองค์สามปี แล้วเยโฮยาคิมก็กลับเป็นกบฏต่อเนบูคัดเนสซาร์ 2 พระยาห์เวห์ทรงใช้คนเคลเดีย คนอารัม คนโมอับและคนอัมโมนมาต่อสู้กับเยโฮยาคิม พระองค์ทรงใช้เขาทั้งหลายไปต่อสู้ยูดาห์เพื่อจะทำลายเสีย สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นตามพระวจนะของพระยาห์เวห์ซึ่งได้ตรัสผ่านทางบรรดาผู้เผยพระวจนะผู้รับใช้ของพระองค์
3 แท้จริงเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับยูดาห์ตามคำตรัสของพระยาห์เวห์ เพื่อจะเอาพวกเขาออกไปให้พ้นสายพระเนตรของพระองค์ เพราะบาปทั้งหลายของมนัสเสห์ ทุกอย่างที่พระองค์ได้ทรงกระทำ 4 และเพราะโลหิตที่ไร้ความผิดซึ่งพระองค์ได้ทำให้ไหลออกนั้นด้วย เพราะพระองค์ได้ทำให้กรุงเยรูซาเล็มเต็มไปด้วยโลหิตที่ไร้ความผิด พระยาห์เวห์ไม่ทรงประสงค์ที่จะทรงอภัย
5 ส่วนราชกิจอื่นๆ ของเยโฮยาคิม และทุกสิ่งที่พระองค์ได้ทรงกระทำได้ถูกบันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์แห่งยูดาห์ไม่ใช่หรือ? 6 เยโฮยาคิมทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษ และเยโฮยาคีนพระราชโอรสของพระองค์ได้ทรงขึ้นเป็นกษัตริย์แทน
7 กษัตริย์แห่งอียิปต์ไม่ได้ทรงยกทัพมาโจมตีจากแผ่นดินของพระองค์อีกเลย เพราะกษัตริย์แห่งบาบิโลนได้พิชิตดินแดนทั้งสิ้น ซึ่งควบคุมโดยกษัตริย์แห่งอียิปต์ตั้งแต่ลำห้วยของอียิปต์ถึงแม่น้ำยูเฟรติส
8 เยโฮยาคีนมีพระชนมายุสิบแปดพรรษาเมื่อพระองค์ทรงครองราชย์ พระองค์ทรงครองราชย์ในกรุงเยรูซาเล็มสามเดือน พระมารดาของพระองค์มีพระนามว่าเนหุชทา พระนางคือบุตรหญิงของเอลนาธันชาวเยรูซาเล็ม 9 พระองค์ทรงทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ พระองค์ทรงกระทำทุกอย่างตามที่พระบิดาของพระองค์ได้ทรงกระทำ
10 ในเวลานั้นกองทัพของเนบูคัดเนสซาร์ กษัตริย์แห่งบาบิโลน ได้ยกทัพขึ้นมาโจมตีกรุงเยรูซาเล็มและล้อมกรุงไว้ 11 เนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนเสด็จมาที่เมืองนั้น ขณะที่พวกทหารของพระองค์ยังล้อมเมืองนั้นอยู่ 12 และเยโฮยาคีนกษัตริย์แห่งยูดาห์ทรงออกไปหากษัตริย์แห่งบาบิโลน ทั้งตัวพระองค์เองพร้อมกับพระราชมารดา พวกข้าราชบริพาร พวกเจ้าเมือง และพวกข้าราชสำนักของพระองค์ กษัตริย์แห่งบาบิโลนได้จับพระองค์เป็นเชลยในปีที่แปดแห่งการครองราชย์ของพระองค์
13 เนบูคัดเนสซาร์ทรงขนเอาสิ่งที่มีค่าในพระนิเวศของพระยาห์เวห์ทั้งหมดและทรัพย์สินในพระราชวังของกษัตริย์ พระองค์ทรงตัดเครื่องใช้ทองคำที่ซาโลมอนกษัตริย์แห่งอิสราเอลได้ทรงสร้างไว้ในพระวิหารของพระยาห์เวห์ออกเป็นชิ้นๆ ดังที่พระยาห์เวห์ได้ตรัสไว้ก่อนแล้วว่าจะเกิดขึ้น 14 พระองค์ทรงกวาดต้อนชาวเยรูซาเล็มไปเป็นเชลยทั้งหมด คือผู้นำทั้งหมด นักรบทั้งหมด เชลยหนึ่งหมื่นคน รวมทั้งช่างฝีมือและช่างโลหะทั้งหมด ไม่เหลือผู้ใดไว้เลยนอกจากประชาชนของแผ่นดินที่ยากจนที่สุด
15 เนบูคัดเนสซาร์ทรงนำเยโฮยาคีนไปเป็นเชลยที่บาบิโลน รวมทั้งพระมารดาของกษัตริย์ บรรดาพระมเหสี ข้าราชสำนักของพระองค์ และบุคคลชั้นหัวหน้าของแผ่นดินด้วย พระองค์ทรงนำพวกเขาจากกรุงเยรูซาเล็มไปยังบาบิโลนเพื่อเป็นเชลย 16 นักรบทั้งหมดเจ็ดพันคน ช่างฝีมือและช่างเหล็กหนึ่งพันคน และทุกคนที่เหมาะสำหรับการรบ กษัตริย์แห่งบาบิโลนได้ทรงนำคนเหล่านี้มายังบาบิโลนเพื่อไปเป็นเชลย 17 กษัตริย์แห่งบาบิโลนทรงตั้งมัทธานิยาห์ พระปิตุลาของเยโฮยาคีนเป็นกษัตริย์แทนพระองค์ และเปลี่ยนพระนามให้ว่า เศเดคียาห์
18 เศเดคียาห์มีพระชนมายุยี่สิบเอ็ดพรรษา เมื่อพระองค์ทรงครองราชย์ พระองค์ทรงครองราชย์ในกรุงเยรูซาเล็มสิบเอ็ดปี พระมารดาของพระองค์มีพระนามว่า ฮามุทาล พระนางเป็นบุตรหญิงของเยเรมีย์ชาวลิบนาห์ 19 พระองค์ทรงทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ พระองค์ทรงกระทำทุกอย่างตามที่เยโฮยาคิมได้ทรงกระทำ 20 เพราะพระพิโรธของพระยาห์เวห์ สิ่งเหล่านี้ทั้งปวงจึงได้เกิดขึ้นต่อเยรูซาเล็มและยูดาห์ จนกระทั่งพระองค์ได้ทรงขับไล่ทั้งสองไปให้พ้นพระพักตร์ของพระองค์ แล้วเศเดคียาห์ก็ได้ทรงกบฏต่อกษัตริย์แห่งบาบิโลน
1 สิ่งนี้ได้เกิดขึ้นในปีที่เก้าแห่งรัชกาลของเศเดคียาห์เมื่อเดือนสิบวันที่สิบ เนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์บาบิโลนได้ทรงยกกองทัพทั้งสิ้นของพระองค์มาโจมตีกรุงเยรูซาเล็ม พระองค์ทรงตั้งค่ายด้านตรงข้าม และเขาทั้งหลายสร้างกำแพงดินไว้ล้อมรอบ 2 ดังนั้น กรุงนั้นจึงถูกล้อมอยู่ถึงปีที่สิบเอ็ดแห่งรัชกาลกษัตริย์เศเดคียาห์ 3 ในวันที่เก้าของเดือนที่สี่ของปีนั้น เกิดการขาดแคลนอาหารรุนแรงในกรุงนั้น ไม่มีอาหารให้แก่ประชาชนของแผ่นดิน
4 แล้วกรุงนั้นก็แตก และทหารทั้งสิ้นได้หนีออกไปในเวลากลางคืนตามทางประตูเมืองระหว่างกำแพงทั้งสองซึ่งอยู่ริมอุทยานของกษัตริย์ ทั้งๆ ที่คนเคลเดียอยู่รอบเมือง กษัตริย์จึงเสด็จออกไปทางทะเลทรายอารบา 5 แต่กองทัพของคนเคลเดียได้ไล่ตามกษัตริย์เศเดคียาห์ และมาทันพระองค์ในที่ราบของแม่น้ำจอร์แดนใกล้เมืองเยรีโค กองทัพทั้งสิ้นของพระองค์ก็กระจัดกระจายไปจากพระองค์
6 พวกเขาจึงจับกษัตริย์ และนำพระองค์มายังกษัตริย์บาบิโลนที่เมืองริบลาห์ ที่ซึ่งพวกเขาได้ตัดสินลงโทษพระองค์ 7 สำหรับบรรดาพระราชโอรสของเศเดคียาห์ พวกเขาได้ประหารชีวิตต่อเบื้องพระเนตรของพระองค์ แล้วเขาได้ควักพระเนตรของเศเดคียาห์ออก ตีโซ่ตรวนสัมฤทธิ์พระองค์ และได้พาพระองค์ไปยังบาบิโลน
8 บัดนี้เมื่อวันที่เจ็ด ในเดือนที่ห้า ซึ่งเป็นปีที่สิบเก้าของรัชกาลกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลน เนบูซาระดาน ผู้เป็นข้าราชบริพารคนหนึ่งของกษัตริย์แห่งบาบิโลนและเป็นผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ ได้มายังกรุงเยรูซาเล็ม 9 เขาได้เผาพระนิเวศของพระยาห์เวห์พระราชวังของกษัตริย์ และบ้านเรือนทั้งหมดของกรุงเยรูซาเล็ม เขาได้เผาอาคารสำคัญทุกหลังในเมืองลงด้วย 10 สำหรับกำแพงทั้งหมดรอบเยรูซาเล็ม ทหารชาวบาบิโลนทั้งหมดผู้อยู่กับผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ได้ทำลายลง
11 ประชาชนที่เหลืออยู่ซึ่งอยู่ในเมือง และคนซึ่งหลบหนีไปหากษัตริย์แห่งบาบิโลน พร้อมกับมวลชนที่เหลืออยู่นั้น เนบูซาระดานผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ได้กวาดต้อนพวกเขาไปเป็นเชลย 12 แต่ผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ได้ทิ้งคนจนที่สุดแห่งแผ่นดินไว้ให้เป็นคนทำสวนองุ่นและเป็นคนทำไร่ไถนา
13 สำหรับเสาทองสัมฤทธิ์ซึ่งอยู่ในพระนิเวศของพระยาห์เวห์ และแท่นกับอ่างทะเลทองสัมฤทธิ์ซึ่งอยู่ในพระนิเวศของพระยาห์เวห์นั้น คนเคลเดียได้ทุบเป็นชิ้นๆ และได้ขนเอาทองสัมฤทธิ์ไปยังบาบิโลน 14 บรรดาหม้อ พลั่ว และกรรไกรตัดไส้ตะเกียง และช้อน และเครื่องใช้ทองสัมฤทธิ์ทั้งหมดซึ่งปุโรหิตใช้ในงานของพระวิหาร พวกชาวเคลเดียได้เอาไปหมด 15 กระถางสำหรับตักขี้เถ้า กับชามที่ทำด้วยทองคำและด้วยเงิน ผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ก็ได้ขนเอาไปหมดด้วย
16 เสาใหญ่สองต้น อ่างทะเล และพวกขาตั้งซึ่งซาโลมอนได้ทรงสร้างสำหรับพระนิเวศของพระยาห์เวห์นั้น ทองสัมฤทธิ์ของภาชนะเหล่านี้ก็หนักเกินกว่าที่จะชั่งได้ 17 เสาใหญ่ต้นหนึ่งสูงประมาณสิบแปดศอก และมีบัวคว่ำทองสัมฤทธิ์บนเสา บัวคว่ำนั้นสูงประมาณสามศอกพร้อมตาข่ายและลูกทับทิมที่ล้อมรอบบัว ทั้งหมดล้วนทำด้วยทองสัมฤทธิ์ เสาใหญ่อีกต้นและตาข่ายก็เหมือนกับเสาต้นแรก
18 ผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ก็ได้จับเสไรยาห์ปุโรหิตใหญ่ และเศฟันยาห์ปุโรหิตรอง กับผู้เฝ้าประตูสามคนไปด้วย 19 จากเมืองนั้นเขาได้จับข้าราชสำนัก ซึ่งเป็นผู้บัญชาการกองทัพ ที่ปรึกษาของกษัตริย์ห้าคนที่ยังคงอยู่ในเมืองนั้นไปเป็นนักโทษ เขายังได้จับข้าราชการของกษัตริย์ซึ่งรับผิดชอบเกณฑ์คนไปเป็นทหาร พร้อมกับหกสิบคนสำคัญของแผ่นดินซึ่งพบในเมืองไปเป็นนักโทษ
20 แล้วเนบูซาระดานผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ได้จับพวกเขาเหล่านี้พามาเฝ้ากษัตริย์แห่งบาบิโลนที่ริบลาห์ 21 กษัตริย์แห่งบาบิโลนได้ทรงประหารชีวิตเขาทั้งหลายเสียที่ริบลาห์ในแผ่นดินฮามัท ในวิธีนี้ยูดาห์จึงออกจากแผ่นดินของตนไปเป็นเชลย
22 สำหรับประชาชนที่เหลือในแผ่นดินยูดาห์ ผู้ซึ่งเนบูคัดเนสซาร์ กษัตริย์บาบิโลนได้ทรงเหลือไว้ พระองค์ทรงแต่งตั้งเกดาลิยาห์บุตรชายของอาหิคัม บุตรชายของชาฟานให้เป็นผู้ควบคุมพวกเขา 23 บัดนี้ เมื่อบรรดาผู้บังคับบัญชากองทัพทั้งหมด ทั้งตัวเขาทั้งหลาย และคนของเขาได้ยินว่า กษัตริย์แห่งบาบิโลนทรงแต่งตั้งเกดาลิยาห์ให้เป็นเจ้าเมือง พวกเขาได้มาหาเกดาลิยาห์ที่มิสปาห์ คนเหล่านี้คืออิชมาเอลบุตรชายของเนธานิยาห์ โยฮานันบุตรชายของคาเรอาห์ เสไรยาห์บุตรชายของทันหุเมทชาวเนโทฟาห์ และยาอาซันยาห์บุตรชายของคนตระกูลมาอาคาห์ ทั้งตัวพวกเขา และคนของเขา 24 เกดาลิยาห์ได้ทำสัตย์สาบานแก่พวกเขาและคนของเขาว่า “อย่ากลัวข้าราชบริพารเคลเดียเลย จงอาศัยในแผ่นดินและปรนนิบัติกษัตริย์บาบิโลน แล้วพวกเจ้าก็จะอยู่เย็นเป็นสุข”
25 แต่ในเดือนที่เจ็ด อิชมาเอลบุตรชายของเนธานิยาห์ บุตรชายของเอลีชามา ผู้เป็นเชื้อพระวงศ์ ได้เข้ามาพร้อมกับชายสิบคน ได้โจมตีเกดาลิยาห์ เกดาลิยาห์ตายพร้อมกับคนยูดาห์กับคนบาบิโลนผู้อยู่กับเขาที่มิสปาห์ 26 แล้วประชาชนทั้งสิ้น ทั้งผู้น้อย และผู้ใหญ่ และผู้บังคับบัญชาพลรบได้ลุกขึ้น และไปยังอียิปต์ เพราะพวกเขากลัวคนบาบิโลน
27 ต่อมาในปีที่สามสิบเจ็ดที่เยโฮยาคีนกษัตริย์ยูดาห์ถูกเนรเทศในเดือนที่สิบสอง เมื่อวันที่ยี่สิบเจ็ดของเดือนนั้นที่เอวิลเมโรดักกษัตริย์แห่งบาบิโลนได้ทรงปล่อยเยโฮยาคีนกษัตริย์ยูดาห์พ้นจากเรือนจำ สิ่งนี้ได้เกิดขึ้นในปีที่เอวิลเมโรดักได้ทรงขึ้นครองราชย์
28 พระองค์ได้ตรัสอย่างเมตตาแก่ดยโฮยาคีน และให้ที่นั่งที่มีเกียรติกว่าบรรดาที่นั่งของบรรดากษัตริย์ที่อยู่ในกรุงบาบิโลนกับพระองค์ 29 เอวิลเมโรดักจึงได้ถอดเครื่องแต่งกายของนักโทษออกจากเยโฮยาคีน เยโฮยาคีนได้รับประทานที่โต๊ะเสวยของกษัตริย์เป็นประจำทุกวันตลอดชีวิตของพระองค์ 30 พระองค์ทรงได้รับค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงชีพทุกๆ วันไปจนตลอดชีวิตที่เหลือของพระองค์
1 อาดัม เสท เอโนช 2 เคนัน มาหะลาเลล ยาเรด 3 เอโนค เมธูเสลาห์ ลาเมค 4 บุตรชายทั้งหลายของโนอาห์คือ เชม ฮาม ยาเฟท
5 บุตรชายทั้งหลายของยาเฟทคือโกเมอร์ มาโกก มาดัย ยาวาน ทูบัล เมเชค และทิราส 6 บุตรชายทั้งหลายของโกเมอร์คืออัชเคนัส รีฟัท และโทการมาห์ 7 บุตรชายทั้งหลายของยาวานคือเอลีชาห์ ทารชิช คิทธิม และโรดานิม
8 บุตรชายทั้งหลายของฮามคือคูช มิสรายิม พูด และคานาอัน 9 บุตรชายทั้งหลายของคูชคือเสบา ฮาวิลาห์ สับทา ราอามาห์ และสับเทคา บุตรชายทั้งหลายของราอามาห์ คือเชบา และเดดาน 10 คูชเป็นบิดาของนิมโรดซึ่งเป็นผู้พิชิตคนแรกบนแผ่นดินโลก
11 อียิปต์เป็นบรรพบุรุษของคนลูดิม คนอานามิน คนเลหะบิม คนนัฟทูฮิม 12 คนปัทรุสิม คนคัสลูฮิม(ต้นเผ่าคนฟีลิสเตีย) และคนคัฟโทร์
13 คานาอันเป็นบิดาของไซดอน บุตรหัวปีของเขา และของเฮท 14 เขาเป็นบรรพบุรุษคนเยบุส คนอาโมไรต์ คนเกอร์กาชี 15 คนฮีไวต์ คนอารคี คนสินี 16 คนอารวัด คนเศเมอร์ และคนฮามัท
17 บุตรชายทั้งหลายของเชมคือเอลาม อัสชูร อารปัคชาด ลูด อารัม อูส ฮูล เกเธอร์ และเมเชค 18 อารปัคชาดเป็นบิดาของเชลาห์ และเชลาห์เป็นบิดาของเอเบอร์ 19 เอเบอร์มีบุตรชายสองคน ชื่อของคนหนึ่งคือเปเลก เพราะว่าในสมัยของเขามีการแบ่งดินแดนกันและน้องชายของเขาชื่อโยกทาน
20 โยกทานเป็นบิดาของอัลโมดัด เชเลฟ ฮาซารมาเวท เยราห์ 21 ฮาโดรัม อุซาล และดิคลาห์ 22 เอบาล อาบีมาเอล เชบา 23 โอฟีร์ ฮาวิลาห์ และโยบับ คนทั้งหมดเหล่านี้เป็นเชื้อสายทั้งหลายของโยกทาน
24 เชม อารปัคชาด เชลาห์ 25 เอเบอร์ เปเลก เรอู 26 เสรุก นาโฮร์ เทราห์ 27 อับรามผู้ซึ่งคืออับราฮัม
28 บุตรชายทั้งหลายของอับราฮัมคืออิสอัค และอิชมาเอล 29 คนเหล่านี้คือบุตรชายทั้งหลายของพวกเขา บุตรหัวปีของอิชมาเอลคือเนบาโยท และเคดาร์ อัดเบเอล มิบสัม 30 มิชมา ดูมาห์ มัสสา ฮาดัด เทมา
31 เยทูร์ นาฟิช และเคเดมาห์ คนเหล่านี้เป็นพวกบุตรชายของอิชมาเอล 32 บุตรชายทั้งหลายของเคทูราห์ภรรยาน้อยของอับราฮัม คือศิมราน โยกชาน เมดาน มีเดียน อิชบาก และชูอาห์ และบุตรชายทั้งหลายของโยกชานคือเชบา และเดดาน 33 บุตรชายทั้งหลายของมีเดียนคือเอฟาห์ เอเฟอร์ ฮาโนค อาบีดา และเอลดาอาห์ คนเหล่านี้ทั้งหมดเป็นเชื้อสายทั้งหลายของเคทูราห์
34 อับราฮัมเป็นบิดาของอิสอัค บุตรชายทั้งหลายของอิสอัคคือเอซาว และอิสราเอล 35 บุตรชายทั้งหลายของเอซาวคือ เอลีฟัส เรอูเอล เยอูส ยาลาม และโคราห์ 36 บุตรชายทั้งหลายของเอลีฟัสคือเทมาน โอมาร์ เศโฟ กาทาม เคนัส ทิมนาและอามาเลข 37 บุตรของชายทั้งหลายเรอูเอลคือนาหัท เศราห์ ชัมมาห์ และมิสซาห์
38 บุตรชายทั้งหลายของเสอีร์คือโลทาน โชบาล ศิเบโอน อานาห์ ดีโชน เอเซอร์ และดีชาน 39 บุตรชายทั้งหลายของโลทานคือโฮรี และโฮมัม และน้องสาวของโลทานคือทิมนา 40 บุตรชายทั้งหลายของโชบาลคืออัลวาน มานาฮาท เอบาล เชฟี และโอนัม บุตรชายทั้งหลายของศิเบโอนคืออัยยาห์ และอานาห์
41 บุตรชายของอานาห์คือดีโชน บุตรชายทั้งหลายของดีโชนคือเฮมดาน เอชบาน อิธรานและเคราน 42 บุตรชายทั้งหลายของเอเซอร์คิอบิลฮาน ศาวาน และยาอาคาน บุตรชายทั้งหลายของดีชานคืออูส และอารัน
43 ต่อไปนี้คือกษัตริย์ทั้งหลายผู้ทรงครองราชย์อยู่ในแผ่นดินเอโดม ก่อนที่มีกษัตริย์องค์ใดๆ ครองราชย์เหนือคนอิสราเอลคือเบลาบุตรเบโอร์ เมืองของท่านชื่อดินฮาบาห์ 44 เมื่อเบลาได้สวรรคต โยบับบุตรชายเศราห์ของเมืองโบสราห์ได้ขึ้นครองราชย์แทนพระองค์
45 เมื่อโยบับสวรรคตแล้ว หุชามของแผ่นดินคนเทมานได้ขึ้นครองราชย์แทนพระองค์ 46 เมื่อหุชามสวรรคตแล้ว ฮาดัดบุตรเบดัดผู้รบชนะมีเดียนในดินแดนโมอับได้ขึ้นครองราชย์แทนพระองค์ และเมืองของท่านชื่ออาวีท
47 เมื่อฮาดัดสวรรคตแล้ว สัมลาห์แห่งเมืองมัสเรคาห์ได้ขึ้นครองราชย์แทนพระองค์ 48 เมื่อสัมลาห์สวรรคตแล้ว ชาอูลแห่งเมืองเรโหโบทฮันนาฮาร์ได้ขึ้นครองราชย์แทนพระองค์ 49 เมื่อชาอูลสวรรคตแล้ว บาอัลฮานันบุตรอัคโบร์ได้ขึ้นครองราชย์แทนพระองค์
50 เมื่อบาอัลฮานันบุตรชายของอัคโบร์สวรรคตแล้ว ฮาดัดได้ขึ้นครองราชย์แทนพระองค์ และเมืองของท่านชื่อปาอี มเหสีของพระองค์มีพระนามว่าเมเหทาเบล บุตรหญิงของมัทเรด บุตรหญิงของเมซาหับ 51 ฮาดัดสวรรคต หัวหน้าทั้งหลายของตระกูลต่างๆ ในเอโดมคือ ทิมนา อ้ลวาห์ เยเธท
52 โอโฮลีบามาห์ เอลาห์ ปิโนน 53 เคนัส เทมาน มิบซาร์ 54 มักดีเอล อิราม คนเหล่านี้เป็นหัวหน้าทั้งของตระกูลต่างๆ ในเอโดม
1 คนเหล่านี้คือบุตรชายทั้งหลายของอิสราเอลคือ รูเบน สิเมโอน เลวี ยูดาห์ อิสสาคาร์ เศบูลุน 2 ดาน โยเซฟ เบนยามิน นัฟทาลี กาด และอาเชอร์
3 บุตรชายทั้งหลายของยูดาห์คือเอร์ โอนัน และเชลาห์ ผู้ซึ่งบุตรหญิงของชูวาหญิงชาวคานาอันได้ให้กำเนิดแก่ท่านคือ เอร์บุตรหัวปีของยูดาห์ ซึ่งเป็นคนชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ พระองค์จึงได้ทรงประหารเขาเสีย 4 ทามาร์บุตรสะใภ้ของท่านให้กำเนิดเปเรศ และเศราห์ให้ท่าน ยูดาห์มีบุตรชายทั้งหมดห้าคน
5 บุตรชายทั้งหลายของเปเรศคือเฮสโรน และฮามูล 6 บุตรชายทั้งหลายของเศราห์คือศิมรี เอธาน เฮมาน คาลโคล์ และดารดา รวมทั้งหมดห้าคน 7 บุตรชายของคารมีคืออาคาร์ ผู้ได้ก่อความเดือดร้อนต่ออิสราเอล เมื่อเขาได้ขโมยสิ่งที่สงวนไว้สำหรับพระเจ้า 8 บุตรชายของเอธานคืออาซาริยาห์
9 บุตรชายทั้งหลายของเฮสโรนคือเยราห์เมเอล ราม และเคลุบัย 10 รามเป็นบิดาของอัมมีนาดับ และอัมมีนาดับเป็นบิดาของนาโชน เป็นผู้นำคนหนึ่งท่ามกลางเชื้อสายของยูดาห์ 11 นาโชนเป็นบิดาของสัลมา สัลมาเป็นบิดาของโบอาส 12 โบอาสเป็นบิดาของโอเบด และโอเบดเป็นบิดาของเจสซี
13 เจสซีเป็นบิดาของเอลีอับบุตรหัวปีของท่าน อาบีนาดับคนที่สอง ชิเมอาคนที่สาม 14 นาธันเอลคนที่สี่ รัดดัยคนที่ห้า 15 โอเซมคนที่หก ดาวิดคนที่เจ็ด 16 พี่สาวของพวกเขาคือนางเศรุยาห์ และนางอาบีกายิล บุตรชายทั้งหลายของนางเศรุยาห์คืออาบีชัย โยอาบ และอาสาเฮล รวมสามคน 17 นางอาบีกายิลได้ให้กำเนิดอามาสาซึ่งมีบิดาคือเยเธอร์ คนอิชมาเอล
18 คาเลบบุตรชายของเฮสโรนมีบุตรกับนางอาซุบาห์ภรรยาของเขา และกับนางเยรีโอท บุตรชายทั้งหลายของเขาคือเยเชอร์ โชบับ และอารโดน 19 เมื่ออาซุบาห์สวรรคต คาเลบก็แต่งงานกับเอฟราธผู้ให้กำเนิดเฮอร์แก่เขา 20 เฮอร์เป็นบิดาของอุรี และอุรีเป็นบิดาของเบซาเลล
21 ภายหลังเฮสโรน (เมื่อเขาอายุหกสิบปี) ได้แต่งงานกับบุตรหญิงของมาคีร์บิดาของกิเลอาด นางได้ให้กำเนิดเสกุบ 22 เสกุบเป็นบิดาของยาอีร์ ผู้ควบคุมยี่สิบสามเมืองในแผ่นดินกิเลอาด 23 เกชูร์กับอารัมยึดเมืองยาอีร์ และเมืองเคนาทรวมทั้งอีกหกสิบเมืองรอบๆ เมืองเหล่านั้น คนทั้งหมดเหล่านี้ที่อาศัยอยู่เป็นเชื้อสายของมาคีร์บิดาของกิเลอาด 24 ภายหลังเฮสโรนตายแล้ว คาเลบได้หลับนอนกับเอฟราธาห์ ภรรยาของเฮสโรนบิดาของเขา นางได้ให้กำเนิดอัชฮูร์แก่เขา ซึ่งเป็นบิดาของเทโคอา
25 บุตรชายทั้งหลายของเยราห์เมเอล บุตรหัวปีของเฮสโรนคือราม บุตรหัวปีของท่าน บุนาห์ โอเรน โอเซม และอาหิยาห์ 26 เยราห์เมเอลมีภรรยาอีกคนหนึ่งชื่อนางอาทาราห์ นางเป็นมารดาของโอนัม 27 บุตรชายทั้งหลายของรามบุตรหัวปีของเยราห์เมเอลคือมาอัส ยามีน และเอเคอร์ 28 บุตรชายทั้งหลายของโอนัมคือชัมมัย และยาดา บุตรชายทั้งหลายของชัมมัยชื่อนาดับ และอาบีชูร์ 29 ภรรยาของอาบีชูร์ชื่ออาบีฮาอิล และนางได้ให้กำเนิดอัคบาน และโมลิด
30 บุตรชายทั้งหลายของนาดับคือเสเลด และอัปปาอิม แต่เสเลดตายโดยไม่มีบุตร 31 บุตรชายของอัปปาอิมคืออิชอี บุตรชายของอิชอีคือเชชัน บุตรชายของเชชันชื่ออัคลัย 32 บุตรชายทั้งหลายของยาดา น้องชายของชัมมัยคือ เยเธอร์ และโยนาธาน แต่เยเธอร์ตายโดยไม่มีบุตร 33 บุตรชายทั้งหลายของโยนาธานชื่อเปเลธ และศาซา คนเหล่านี้เป็นเชื้อสายของเยราห์เมเอล
34 เชชันไม่มีบุตรชาย มีแต่พวกบุตรหญิง เชชันมีคนรับใช้ชาวอียิปต์อยู่คนหนึ่งชื่อยารฮา 35 เชชันจึงยกบุตรหญิงของเขาให้เป็นภรรยาของยารฮาคนรับใช้ของเขา และนางได้ให้กำเนิดอัททัยแก่เขา 36 อัททัยเป็นบิดาของนาธัน และนาธันเป็นบิดาของศาบาด 37 ศาบาดเป็นบิดาของเอฟลาล และเอฟลาลเป็นบิดาของโอเบด 38 โอเบดเป็นบิดาของเยฮู และเยฮูเป็นบิดาของอาซาริยาห์
39 อาซาริยาห์เป็นบิดาของเฮเลส และเฮเลสเป็นบิดาของเอเลอาสาห์ 40 เอเลอาสาห์เป็นบิดาของสิสมัย และสิสมัยเป็นบิดาของชัลลูม 41 ชัลลูมเป็นบิดาของเยคามิยาห์ และเยคามิยาห์เป็นบิดาของเอลีชามา
42 บุตรชายทั้งหลายของคาเลบน้องชายของเยราห์เมเอลคือเมชา บุตรหัวปีของเขา ซึ่งเป็นบิดาของศีฟ บุตรชายคนที่สองของเขาคือมาเรชาห์ ผู้เป็นบิดาของเฮโบรน 43 บุตรชายทั้งหลายของเฮโบรนคือโคราห์ ทัปปูวาห์ เรเคม และเชมา 44 เชมาเป็นบิดาของราฮัม ผู้เป็นบิดาของโยรเคอัม และเรเคมเป็นบิดาของชัมมัย
45 บุตรของชัมมัยคือมาโอน และมาโอนเป็นบิดาของเบธซูร์ 46 เอฟาห์ภรรยาน้อยของคาเลบได้ให้กำเนิดฮาราน โมซา และกาเซส ฮารานเป็นบิดาของกาเซส 47 บุตรชายทั้งหลายของยาห์ดัยคือเรเกม โยธาม เกชาน เปเลท เอฟาห์ และชาอัฟ 48 มาอาคาห์ ภรรยาน้อยอีกคนหนึ่งของคาเลบได้ให้กำเนิดเชเบอร์ และทีรหะนาห์
49 นางได้ให้กำเนิดชาอัฟบิดาของมัดมันนาห์ เชวาบิดาของมัคเบนาห์ และบิดาของกิเบอา บุตรหญิงของคาเลบคืออัคสาห์ คนเหล่านี้เป็นเชื้อสายของคาเลบ 50 คนเหล่านี้คือบุตรชายทั้งหลายของเฮอร์ ผู้เป็นบุตรหัวปีของเอฟราธาห์คือโชบาล บิดาของคีริยาทเยอาริม
51 สัลมาบิดาของเบธเลเฮม และฮาเรฟ บิดาของเบธกาเดอร์ 52 โชบาลบิดาของคีริยาทเยอาริมมีเชื้อสายทั้งหลายคือฮาโรเอห์ และครึ่งหนึ่งของคนมานาฮาท 53 และครึ่งหนึ่งของตระกูลของคีริยาทเยอาริมคือคนอิทไรต์ คนปุไท คนชุมัท คนมิชรา คนโศราห์ และคนเอชทาโอลสืบเชื้อสายมาจากคนเหล่านี้
54 ตระกูลของของสัลมามีดังต่อไปนี้ คือเบธเลเฮม คนเนโทฟาห์ อัทโรทเบธโยอาบ และครึ่งหนึ่งของคนมานาฮาท และคนโศราห์ 55 ทั้งบรรดาตระกูลของอาลักษณ์ซึ่งอยู่ ณ เมืองยาเบส คือคนทิราไธต์ คนชิเมอี และคนสุคา คนเหล่านี้เป็นคนเคไนต์ผู้สืบเชื้อสายมาจากฮัมมัท บรรพบุรุษของคนเรคาบ
1 คนเหล่านี้คือโอรสทั้งหลายของดาวิดที่ประสูติในเมืองเฮโบรน โอรสหัวปีคืออัมโนนโดยพระนางอาหิโนอัมจากยิสเรเอล องค์ที่สองคือดาเนียลโดยพระนางอาบีกายิลจากคารเมล 2 องค์ที่สามคืออับซาโลมผู้ซึ่งพระมารดาคือพระนางมาอาคาห์ราชธิดาของทัลมัยกษัตริย์แห่งเมืองเกชูร์ องค์ที่สี่คืออาโดนียาห์โอรสของพระนางฮักกีท 3 องค์ที่ห้าคือเชฟาทิยาห์จากพระนางอาบีทัล องค์ที่หกคืออิทเรอัมจากพระนางเอกลาห์มเหสีของพระองค์
4 โอรสทั้งหกพระองค์ได้กำเนิดแก่ดาวิดในเมืองเฮโบรนที่ซึ่งพระองค์ได้ทรงปกครองมานานเจ็ดปีกับหกเดือน จากนั้นพระองค์ได้ทรงปกครองสามสิบสามปีในเยรูซาเล็ม 5 โอรสสี่พระองค์เหล่านี้ พระนางบัทเชบาบุตรหญิงของอัมมีเอลได้กำเนิดแก่พระองค์ในเยรูซาเล็มคือ ชัมมูอา โชบับ นาธัน และซาโลมอน 6 โอรสอีกเก้าพระองค์ของดาวิดคือ อิบฮาร์ เอลีชูอา เอลเปเลท 7 โนกาห์ เนเฟก ยาเฟีย 8 เอลีชามา เอลียาดา และเอลีเฟเลท 9 โอรสเหล่านี้ของดาวิดไม่นับรวมโอรสทั้งหลายโดยนางสนมทั้งหลายของพระองค์ ทามาร์เป็นน้องหญิงของพวกเขา
10 โอรสของซาโลมอนคือเรโหโบอัม โอรสของเรโหโบอัมคืออาบียาห์ โอรสของอาบียาห์คืออาสา โอรสของอาสาคือเยโฮชาฟัท 11 โอรสของเยโฮชาฟัทคือโยรัม โอรสของโยรัมคืออาหัสยาห์ โอรสของอาหัสยาห์คือโยอาช 12 โอรสของโยอาชคืออามาซิยาห์ โอรสของอามาชิยาห์คืออาซาริยาห์ โอรสของอาซาริยาห์คือโยธาม
13 โอรสของโยธามคืออาหัส โอรสของอาหัสคือเฮเซคียาห์ โอรสของเฮเซคียาห์คือมนัสเสห์ 14 โอรสของมนัสเสห์คืออาโมน โอรสของอาโมนคือโยสิยาห์
15 บรรดาโอรสของโยสิยาห์ โอรสหัวปีคือโยฮานัน องค์ที่สองคือเยโฮยาคิม องค์ที่สามคือเศเดคียาห์ องค์ที่สี่คือชัลลูม 16 โอรสของเยโฮยาคิมคือเยโฮยาคีน และเศเดคียาห์
17 บรรดาโอรสของเยโฮยาคีนผู้ตกเป็นเชลยนั้นคือเชอัลทิเอล 18 มัลคีราม เปดายาห์ เชนาสซาร์ เยคามิยาห์ โฮชามา และเนดาบียาห์
19 บรรดาบุตรชายของเปดายาห์คือ เศรุบบาเบล และชิเมอี บุตรชายทั้งหลายของเศรุบบาเบลคือ เมชุลลาม และฮานันยาห์ เชโลมิทเป็นน้องหญิงของพวกเขา 20 บุตรชายอีกห้าคนของเขาคือฮาชูบาห์ โอเฮล เบเรคิยาห์ ฮาสาดิยาห์ และยูชับเฮเสด 21 บุตรชายทั้งหลายของฮานันยาห์คือ ปาลาติยาห์ และเยชายาห์ บุตรชายของเขาคือเรไฟยาห์ และเชื้อสายทั้งหลายต่อไปคืออารนัน โอบาดีห์ และเชคานิยาห์
22 บุตรชายของเชคานิยาห์คือ เชไมอาห์ และบุตรชายทั้งหลายของเชไมอาห์คือฮัทธัช อิกาล บารียาห์ เนอารียาห์ และชาฟัท 23 บุตรชายสามคนของเนอารียาห์คือเอลีโอนัย ฮิสคียาห์ และอัสรีคัม 24 บุตรชายเจ็ดคนของเอลีโอนัยคือโฮดาวิยาห์ เอลียาชีบ เปไลยาห์ อักขูบ โยฮานัน เดไลยาห์ และอานานี
1 เชื้อสายทั้งหลายของยูดาห์คือ เปเรศ เฮสโรน คารมี เฮอร์ และโชบาล 2 โชบาลเป็นบิดาของเรอายาห์ เรอายาห์เป็นบิดาของยาหาท ยาหาทเป็นบิดาของอาหุมัย และลาฮาด คนเหล่านี้เป็นบรรพบุรุษของตระกูลทั้งหลายของคนโศราห์
3 คนเหล่านี้เป็นบรรพบุรุษทั้งหลายของตระกูลต่างๆ ในเมืองเอธามคือ ยิสเรเอล อิชมา และอิดบาช น้องหญิงของพวกเขาชื่อฮัสเซเลลโพนี 4 เปนูเอลเป็นบรรพบุรุษของตระกูลทั้งหลายในเมืองเกโดร์ เอเซอร์เป็นผู้ตั้งต้นตระกูลทั้งหลายในหุชาห์ คนเหล่านี้เป็นเชื้อสายทั้งหลายของเฮอร์ บุตรหัวปีของเอฟราธาห์ผู้ก่อตั้งเมืองเบธเลเฮม
5 อัชฮูร์บิดาของเทโคอา มีภรรยาสองคนคือเฮลาห์และนาอาราห์ 6 นางนาอาราห์ได้ให้กำเนิดอาหุสซาม เฮเฟอร์ เทเมนี และฮาอาหัชทารีแก่เขา คนเหล่านี้เป็นบุตรชายทั้งหลายของนางนาอาราห์ 7 บุตรชายทั้งหลายของนางเฮลาห์คือเศเรท อิสฮาร์ เอทนาน 8 และโขสเป็นบิดาของอานูบ และโศเบบาห์ และบรรดาตระกูลทั้งหลายที่สืบเชื้อสายมาจากอาหารเฮลบุตรชายของฮารูม
9 ยาเบสเป็นผู้ที่ได้รับการนับถือมากกว่าพวกพี่น้องของเขา มารดาของเขาได้เรียกเขาว่ายาเบส นางกล่าวว่า “เพราะฉันได้คลอดเขาด้วยความเจ็บปวด” 10 ยาเบสได้ร้องทูลต่อพระเจ้าของอิสราเอล และกล่าวว่า “ถ้าพระองค์จะทรงอวยพรแก่ข้าพระองค์จริงๆ ขอทรงขยายเขตแดนของข้าพระองค์ และพระหัตถ์ของพระองค์จะทรงอยู่กับข้าพระองค์ และเมื่อพระองค์ทรงกระทำเช่นนี้ พระองค์จะทรงปกปักรักษาข้าพระองค์จากการทำร้าย ดังนั้นข้าพระองค์จะไม่ได้รับความเจ็บปวด” และพระเจ้าได้ประทานตามที่เขาทูลขอ 11 เคลูบพี่ชายของชูอาห์เป็นบิดาของเมหิร์ ผู้เป็นบิดาของเอชโทน 12 เอชโทนเป็นบิดาของ เบธราฟา ปาเสอาห์ และเทหินนาห์ ผู้เป็นบิดาของอิรนาหาช คนเหล่านี้ได้อาศัยอยู่ในเรคาห์
13 บุตรชายทั้งหลายของเคนัสคือโอทนีเอล และเสไรอาห์ บุตรชายทั้งหลายของโอทนีเอลคือฮาธาท และเมโอโนธัย 14 เมโอโนธัยเป็นบิดาของโอฟราห์ และเสไรอาห์เป็นบิดาของโยอาบ ผู้ตั้งต้นเกหะราชิม ผู้ซึ่งเป็นช่างฝีมือ
15 บุตรชายทั้งหลายของคาเลบบุตรเยฟูนเนห์คือ อิรู เอลาห์ และนาอัม บุตรชายของเอลาห์คือเคนัส 16 บุตรชายของเยฮาลเลเลลคือ ศิฟ ศิฟาห์ ทีรียา และอาสาเรล
17 บุตรชายทั้งหลายของเอสราคือเยเธอร์ เมเรด เอเฟอร์ และยาโลน ภรรยาคนอียิปต์ของเมเรดได้ให้กำเนิดมิเรียม ชัมมัย และอิชบาห์ผู้ซึ่งเป็นบิดาของเอชเทโมอา คนเหล่านี้เป็นบุตรชายทั้งหลายของบิทิยาห์ พระราชธิดาของฟาโรห์ผู้ซึ่งเมเรดได้แต่งงานด้วย 18 ภรรยาคนยิวได้ให้กำเนิดเยเรดผู้เป็นบิดาของเกโดร์ ฮาเบอร์ผู้ซึ่งเป็นบิดาของโสโค และเยคูธีเอลผู้เป็นบิดาของศาโนอาห์
19 บุตรชายทั้งสองคนของภรรยาของโฮดียาห์ น้องหญิงของนาฮาม คนหนึ่งเป็นบิดาของเคอีลาห์ คนเกเรม อีกคนหนึ่งคือเอชเทโมอา คนมาอาคาห์ 20 บุตรชายทั้งหลายของชิโมนคืออัมโนน รินนาห์ เบนฮานัน และทิโลน บุตรชายทั้งหลายของอิชอีคือโศเหท และเบนโซเฮท
21 เชื้อสายทั้งหลายของเชลาห์บุตรชายของยูดาห์คือ เอร์บิดาของเลคาห์ ลาอาดาห์บิดาของมาเรชาห์และตระกูลทั้งหลายผู้ทำผ้าป่านแห่งเบธชัชเบอา 22 โยคิมคนเมืองโคเซบา และโยอาชและสาราฟผู้ปกครองในโมอับและยาชูบิเลเฮม (ข้อมูลนี้มาจากบันทึกโบราณ) 23 คนเหล่านี้เป็นช่างปั้นหม้อผู้ซึ่งได้อาศัยในเมืองเนทาอิม และเกดาราห์ และได้ทำงานให้แก่กษัตริย์
24 เชื้อสายทั้งหลายของสิเมโอนคือ เนมูเอล ยามีน ยารีบ เศราห์ และชาอูล 25 ชัลลูมเป็นบุตรชายของชาอูล มิบสัมเป็นบุตรชายของชัลลูม และมิชมาเป็นบุตรชายของมิบสัม 26 เชื้อสายทั้งหลายของมิชมาคือฮัมมูเอลผู้ซึ่งเป็นบุตรชายของเขา ศักเกอร์หลานชายของเขา และชิมเมอีเหลนชายของเขา 27 ชิเมอีมีบุตรชายสิบหกคน และบุตรหญิงหกคน พี่น้องของเขามีบุตรไม่มาก ดังนั้นตระกูลทั้งหลายของพวกเขาจึงไม่ได้เพิ่มจำนวนอย่างมากมายเหมือนที่คนยูดาห์ได้ทำ
28 พวกเขาทั้งหลายได้อาศัยในเมืองเบเออร์เชบา โมลาดาห์ และที่ฮาซารชูอาล 29 พวกเขาอาศัยอยู่ที่บิลฮาห์ เอเซม โทลัด 30 เบธูเอล โฮรมาห์ ศิกลาก 31 เบธมารคาโบท ฮาซารสูลิม เบธบิรี และ ชาอาราอิม เหล่านี้คือเมืองทั้งหลายของพวกเขาจนถึงรัชสมัยของดาวิด
32 หมู่บ้านของพวกเขาห้าหมู่บ้านคือ เอตาม อิน รินโมน โทเคนและอาชัน 33 รวมกับหมู่บ้านอื่นๆ ไกลไปถึงเมืองบาอัล หมู่บ้านเหล่านี้คือที่ตั้งถิ่นฐานของพวกเขา และพวกเขาได้รักษาบันทึกลำดับวงศ์วานไว้ 34 ตระกูลผู้นำทั้งหลายคือ เมโชบับ ยัมเลค โยชาห์บุตรชายของอามาซิยาห์ 35 โยเอล เยฮู บุตรชายของโยชิบียาห์ บุตรชายของเสไรอาห์ บุตรชายของอาสิเอล 36 เอลีโอนัย ยาอาโคบาห์ เยโชฮายาห์ อาสายาห์ อาดีเอล เยสิมีเอล เบไนยาห์ 37 และศีซา บุตรชายของชิฟี บุตรชายของอาโลน บุตรชายของเยดายาห์ บุตรชายของชิมรี บุตรชายของเชไมอาห์
38 รายชื่อเหล่านี้ที่ได้กล่าวถึงคือผู้นำทั้งหลายในตระกูลทั้งหลายของพวกเขาและตระกูลของพวกเขาเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย 39 พวกเขาได้ไปใกล้เมืองเกโดร์ ทางทิศตะวันออกของหุบเขา เพื่อแสวงหาทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์สำหรับฝูงสัตว์เลี้ยงของพวกเขา 40 พวกเขาพบทุ่งหญ้าที่กว้างใหญ่และดี แผ่นดินนั้นกว้างใหญ่ เงียบ และสงบ คนฮามเคยอยู่ที่นั่นมาก่อน
41 นี่คือรายชื่อของผู้ที่ได้เข้ามาในสมัยเฮเซคียาห์กษัตริย์ของยูดาห์ และได้โจมตีคนฮามที่ตั้งถิ่นฐาน และคนเมอูอิมผู้ที่อยู่ที่นั่นด้วย พวกเขาได้ทำลายพวกเขาอย่างสิ้นเชิง และอาศัยอยู่ที่นั่น เพราะพวกเขาพบทุกหญ้าสำหรับฝูงสัตว์ทั้งหลายของพวกเขา 42 ผู้ชายคนสิเมโอนห้าร้อยคนได้ไปยังภูเขาเสอีร์ ด้วยผู้นำทั้งหลายของพวกเขา คือเปลาทียาห์ เนอารียาห์ เรไฟยาห์ และอุสซีเอล บุตรชายทั้งหลายของอิชอี 43 พวกเขาโจมตีคนลี้ภัยอามาเลขที่เหลืออยู่ และได้อาศัยอยู่ที่นั่นจนทุกวันนี้
1 บุตรชายทั้งหลายของรูเบน บุตรหัวปีของอิสราเอล รูเบนเป็นบุตรชายหัวปีของอิสราเอล แต่สิทธิบุตรหัวปีของเขาถูกมอบให้บุตรชายทั้งหลายของโยเซฟบุตรชายของอิสราเอลเพราะรูเบนได้กระทำให้ที่นอนของบิดาเป็นมลทิน ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ถูกบันทึกว่าเป็นบุตรชายคนโต 2 ยูดาห์ได้เป็นผู้ที่แข็งแรงที่สุดในหมู่พี่น้องของเขา และผู้นำจะมาจากเขา แต่สิทธิบุตรหัวปีเป็นของบุตรชายทั้งหลายของโยเซฟ
3 บุตรชายทั้งหลายของรูเบนบุตรหัวปีของอิสราเอลคือฮาโนค ปัลลู เฮสโรน และคารมี 4 บรรดาเชื้อสายทั้งหลายของโยเอลคือคนเหล่านี้้ บุตรชายของโยเอลคือเชไมอาห์ บุตรชายของเชไมอาห์คือโกก บุตรชายของโกกคือชิเมอี
5 บุตรชายของชิเมอีคือมีคาห์ บุตรชายของมีคาห์คือเรอายาห์ บุตรชายของเรอายาห์คือบาอัล 6 บุตรชายของบาอัลคือเบเอราห์ผู้ซึ่งทิกลัทปิเลเสอร์ กษัตริย์อัสซีเรียได้ทรงกวาดต้อนไปเป็นเชลย เบเอราห์ได้เป็นผู้นำคนหนึ่งในเผ่ารูเบน
7 พวกญาติของเบเอราห์ตามตระกูลทั้งหลายของพวกเขาดังที่ได้ทำบัญชีรายชื่อวงศ์วานของพวกเขาไว้คือ เยอีเอลคนโต เศคาริยาห์ และ 8 เบลาบุตรชายของอาซาส บุตรชายของเชมา บุตรชายของโยเอล พวกเขาได้อาศัยในอาโรเออร์ ไกลไปถึงเมืองเนโบ และบาอัลเมโอน
9 และทางทิศตะวันออกไปเริ่มต้นถิ่นทุรกันดารและขยายไปถึงแม่น้ำยูเฟรติส เพราะว่าพวกเขามีฝูงสัตว์เลี้ยงมากมายในแผ่นดินกิเลอาด 10 ในรัชสมัยของชาอูล เผ่ารูเบนได้โจมตีคนฮาการ์และชนะพวกเขา พวกเขาได้อาศัยในเต็นท์ของคนฮาการ์ในแถบตะวันออกทั้งหมดของกิเลอาด
11 คนเผ่ากาดจำนวนมากได้อาศัยอยู่ใกล้พวกเขา ในแผ่นดินบาชานไกลไปจนถึงสาเลคาห์ 12 ผู้นำทั้งหลายของพวกเขาคือโยเอลผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าตระกูล และชาฟามเป็นที่สอง และยานัยและชาฟัทในบาชาน
13 พวกญาติทางฝ่ายครอบครัวบิดาทั้งหลายของพวกเขา มีทั้งหมดเจ็ดคนคือ มีคาเอล เมชุลลาม เชบา โยรัย ยาคาน ศิอา และเอเบอร์ รวมทั้งหมด 7 คน 14 คนเหล่านี้ที่มีรายชื่อข้างต้นเป็นเชื้อสายของอาบีฮาอิล อาบีฮาอิลเป็นบุตรชายของหุรี หุรีเป็นบุตรชายของยาโรอาห์ ยาโรอาห์เป็นบุตรชายของกิเลอาด กิเลลาดเป็นบุตรชายของมีคาเอล มีคาเอลเป็นบุตรชายของเยชิชัย เยชิชัยเป็นบุตรชายของยาโด ยาโดเป็นบุตรชายของบุส
15 อาหิเป็นบุตรชายของอับดีเอล ผู้เป็นบุตรกุนี ผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าครอบครัวบิดาของพวกเขา 16 พวกเขาได้อาศัยอยู่ในกิเลอาด ในบาชาน ในเมืองทั้งหลายและในทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ทั้งหมดของชาโรน ไปไกลถึงเขตแดนทั้งหลาย 17 ทั้งหมดนี้ได้ถูกบันทึกตามรายชื่อวงศ์วานในรัชสมัยของโยธามกษัตริย์แห่งยูดาห์ และรัชสมัยของเยโรโบอัมกษัตริย์แห่งอิสราเอล
18 คนรูเบน คนกาด และครึ่งหนึ่งของคนเผ่ามนัสเสห์มีทหารจำนวน 44,760 คนที่ได้รับการฝึกสำหรับการทำสงครามผู้ซึ่งถือโล่ และดาบ และพร้อมพลธนู 19 พวกเขาได้โจมตีคนฮาการ์ คนเยทูร์ คนนาฟิช และคนโนดับ
20 พวกเขาได้รับการช่วยเหลือจากพระเจ้าในการต่อสู้กับคนเหล่านั้น ด้วยวิธีนี้คนฮาการ์ และทั้งหมดผู้ซึ่งอยู่กับพวกเขาได้พ่ายแพ้ นี่เป็นเพราะคนอิสราเอลได้ร้องเรียกพระเจ้าในสงครามนั้น และพระองค์ได้ตอบสนองต่อพวกเขา เพราะพวกเขามอบความไว้วางใจไว้กับพระองค์ 21 พวกเขาได้จับยึดสัตว์ทั้งหลายของคนฮาการ์ รวมทั้งอูฐห้าหมื่นตัว แกะ 250,000 ตัว ลาสองพันตัว ผู้ชาย 100,000 คน 22 เพราะพระเจ้าได้ทรงต่อสู้เพื่อพวกเขา พวกเขาได้ฆ่าศัตรูจำนวนมาก พวกเขาได้อาศัยอยู่ในแผ่นดินของพวกเขาจนถึงสมัยตกเป็นเชลย
23 ครึ่งหนึ่งของเผ่ามนัสเสห์ได้อาศัยในแผ่นดินบาชานไกลไปถึงบาอัลเฮอร์มอน และเสนีร์ (นั่นคือภูเขาเฮอร์โมน) 24 คนเหล่านี้คือหัวหน้าทั้งหลายของครอบครัวบิดาทั้งหลายของพวกเขาคือ เอเฟอร์ อิชอี เอลีเอล อัสรีเอล เยเรมีย์ โฮดาวิยาห์ และยาดีเอล พวกเขาทั้งหลายเป็นผู้ชายที่เข้มแข็ง กล้าหาญ และมีชื่อเสียง เป็นเหล่าผู้นำของครอบครัวทั้งหลายของพวกเขา
25 แต่พวกเขาไม่สัตย์ซื่อต่อพระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของพวกเขา พวกเขาได้นมัสการพระทั้งหลายของประชาชนทั้งหลายของแผ่นดินนั้น ผู้ที่พระเจ้าได้ทรงทำลายไปต่อหน้าพวกเขา 26 พระเจ้าของอิสราเอลจึงทรงปลุกเร้าพระทัยของปูล กษัตริย์อัสซีเรีย (เรียกอีกชื่อว่า ทิกลัทบีเลเสอร์ กษัตริย์อัสซีเรีย) พระองค์ได้ทรงกวาดต้อนคนรูเบน คนกาด และครึ่งหนึ่งของคนมนัสเสห์ พระองค์นำพวกเขาไปยังฮาลาห์ ฮาโบร์ ฮารา และแม่น้ำโกซาน ที่ซึ่งพวกเขายังคงอยู่จนถึงทุกวันนี้
1 บุตรชายทั้งหลายของเลวีคือเกอร์โชม โคฮาท และเมรารี 2 บุตรชายทั้งหลายของโคฮาทคืออัมราม อิสฮาร์ เฮโบรน และอุสซีเอล
3 บุตรทั้งหลายของอัมรามคืออาโรน โมเสส และนางมิเรียม บุตรชายทั้งหลายของอาโรนคือนาดับ อาบีฮู เอเลอาซาร์ และอิธามาร์ 4 เอเลอาซาร์เป็นบิดาของฟีเนหัส และฟีเนหัสเป็นบิดาของอาบีชูวา
5 อาบีชูวาเป็นบิดาของบุคคี บุคคีเป็นบิดาของอุสซี 6 อุสซีเป็นบิดาของเศราหิยาห์ เศราหิยาห์เป็นบิดาของเมราโยท 7 เมราโยทเป็นบิดาของอามาริยาห์ และอามาริยาห์เป็นบิดาของอาหิทูบ
8 อาหิทูบเป็นบิดาของศาโดก ศาโดกเป็นบิดาของอาหิมาอัส 9 อาหิมาอัสเป็นบิดาของอาซาริยาห์ อาซาริยาห์เป็นบิดาของโยฮานัน 10 โยฮานันเป็นบิดาของอาซาริยาห์ ผู้ได้รับใช้ในพระวิหารซึ่งซาโลมอนได้ทรงสร้างขึ้นในเยรูซาเล็ม
11 อาซาริยาห์เป็นบิดาของอามาริยาห์ และอามาริยาห์เป็นบิดาของอาหิทูบ 12 อาหิทูบเป็นบิดาของศาโดก และศาโดกเป็นบิดาของชัลลูม 13 ชัลลูมเป็นบิดาของฮิลคียาห์ และฮิลคียาห์เป็นบิดาของอาซาริยาห์ 14 อาซาริยาห์เป็นบิดาของเสไรอาห์ และเสไรอาห์เป็นบิดาของเยโฮซาดัก 15 เยโฮซาดักถูกจับไปเป็นเชลย เมื่อพระยาห์เวห์ได้ทรงมอบยูดาห์ และเยรูซาเล็มไว้ในพระหัตถ์ของเนบูคัดเนสซาร์
16 บุตรชายทั้งหลายของเลวีคือเกอร์โชม โคฮาท และเมรารี 17 บุตรชายทั้งหลายของเกอร์โชมคือลิบนี และชิเมอี 18 บุตรชายทั้งหลายของโคฮาทคืออัมราม อิสฮาร์ เฮโบรน และอุสซีเอล 19 บุตรชายทั้งหลายของเมรารีคือมาห์ลี และมูชี เหล่านี้เป็นบรรดาตระกูลของคนเลวีตามบัญชีบิดาทั้งหลายของพวกเขา 20 เชื้อสายทั้งหลายของเกอร์โชม บุตรชายของเขาคือลิบนี บุตรชายของลิบนีคือยาหาท บุตรชายของเขาคือศิมมาห์
21 บุตรชายของเขาคือโยอาห์ บุตรชายของเขาคืออิดโด บุตรชายของเขาคือเศราห์ บุตรชายของเขาคือเยอาเธรัย 22 เชื้อสายทั้งหลายของโคฮาท บุตรชายของเขาคืออัมมีนาดับ บุตรชายของเขาคือโคราห์ บุตรชายของเขาคืออัสสีร์ 23 บุตรชายของเขาคือเอลคานาห์ บุตรชายของเขาคือเอบียาสาฟ บุตรชายของเขาคืออัสสีร์ 24 บุตรชายของเขาคือทาหัท บุตรชายของเขาคืออุรีเอล บุตรชายของเขาคืออุสซียาห์ บุตรชายของเขาคือชาอูล
25 บุตรชายทั้งหลายของเอลคานาห์คืออามาสัย อาหิโมท 26 และบุตรชายชื่อเอลคานาห์คือ โศฟัยคือบุตรชายของเขา นาหัทคือบุตรชายของเขา 27 เอลีอับคือบุตรชายของเขา เยโรฮัมคือบุตรชายของเขา และเอลคานาห์คือบุตรชายของเขา 28 บุตรชายทั้งหลายของซามูเอลคือโยเอล บุตรหัวปีของเขา คนที่สองคืออาบียาห์ 29 บุตรชายของเมรารีคือมาห์ลี บุตรชายของเขาคือลิบนี บุตรชายของเขาคือชิเมอี บุตรชายของเขาคืออุสซาห์ 30 บุตรชายของเขาคือชิเมอา บุตรชายของเขาคือฮักกียาห์ บุตรชายของเขาคืออาสายาห์
31 ต่อไปนี้เป็นรายชื่อของพวกผู้ชายผู้ที่ดาวิดทรงแต่งตั้งให้ดูแลเรื่องดนตรีในพระนิเวศของพระยาห์เวห์ หลังจากที่หีบพันธสัญญาได้มาตั้งอยู่ที่นั่นแล้ว 32 เขาทั้งหลายได้ปรนนิบัติด้วยการร้องเพลง ข้างหน้าพลับพลา เต็นท์นัดพบ จนกระทั่งซาโลมอนได้ทรงสร้างพระนิเวศของพระยาห์เวห์ในเยรูซาเล็ม พวกเขาได้ปฏิบัติตามหน้าที่ตามที่กำหนด ตามคู่มือที่ให้ไว้กับพวกเขา
33 คนเหล่านี้เป็นคนที่ปฏิบัติงานกับบุตรชายทั้งหลายของพวกเขา จากตระกูลของคนโคฮาทที่มาจากเฮมาน นักดนตรี นี่คือพวกบรรพบุรุษของเขาที่กำลังกลับมาในเวลานั้นคือ เฮมานบุตรชายของโยเอล โยเอลเป็นบุตรชายของซามูเอล 34 ซามูเอลผู้เป็นบุตรชายของเอลคานาห์ เอลคานาห์ผู้เป็นบุตรชายของเยโรฮัม เยโรฮัมผู้เป็นบุตรชายของเอลีเอล เอลีเอลผู้เป็นบุตรชายของโทอาห์ 35 โทอาห์ผู้เป็นบุตรชายของศูฟ ศูฟผู้เป็นบุตรชายของเอลคานาห์ เอลคานาห์ผู้เป็นบุตรชายของมาฮาท มาฮาทผู้เป็นบุตรชายของอามาสัย อามาสัยผู้เป็นบุตรชายของเอลคานาห์ 36 อามาสัยผู้เป็นบุตรชายของเอลคานาห์ เอลคานาห์ผู้เป็นบุตรชายของโยเอล โยเอลผู้เป็นบุตรชายของอาซาริยาห์ อาซาริยาห์ผู้เป็นบุตรชายของเศฟันยาห์ 37 เศฟันยาห์ผู้เป็นบุตรชายของทาหัท ทาหัทผู้เป็นบุตรชายของอัสสีร์ อัสสีร์ผู้เป็นบุตรชายของเอบียาสาฟ เอบียาสาฟผู้เป็นบุตรชายของโคราห์ 38 โคราห์ผู้เป็นบุตรชายของอิสฮาร์ อิสฮาร์ผู้เป็นบุตรชายของโคฮาท โคฮาทผู้เป็นบุตรชายของเลวี เลวีผู้เป็นบุตรชายของอิสราเอล
39 เฮมานเป็นเพื่อนร่วมงานกับอาสาฟผู้ยืนอยู่ข้างขวาของเขา อาสาฟเป็นบุตรชายของเบเรคิยาห์ เบเรคิยาห์ผู้เป็นบุตรชายของชิเมอา 40 ชิเมอาผู้เป็นบุตรชายของมีคาเอล มีคาเอลผู้เป็นบุตรชายของบาอาเสยาห์ บาอาเสยาห์ผู้เป็นบุตรชายของมัลคิยาห์ 41 มัลคิยาห์ผู้เป็นบุตรชายของเอทนี เอทนีผู้เป็นบุตรชายของเศราห์ เศราห์ผู้เป็นบุตรชายของอาดายาห์ 42 อาดายาห์ผู้เป็นบุตรชายของเอธาน เอธานผู้เป็นบุตรชายของศิมมาห์ ศิมมาห์ผู้เป็นบุตรชายของชิเมอี 43 ชิเมอีผู้เป็นบุตรชายของยาหาท ยาหาทผู้เป็นบุตรชายของเกอร์โชม เกอร์โชมผู้เป็นบุตรชายของเลวี
44 ที่ข้างซ้ายมือของเฮมานมีพวกเพื่อนร่วมงานของเขา คือบุตรชายทั้งหลายของเมรารี พวกเขารวมทั้งเอธานผู้เป็นบุตรชายของคีชี คีชีผู้เป็นบุตรชายของอับดี อับดีผู้เป็นบุตรชายของมัลลูค 45 มัลลูคผู้เป็นบุตรชายของฮาชาบิยาห์ ฮาชาบิยาห์ผู้เป็นบุตรชายของอามาซิยาห์ อามาซิยาห์ผู้เป็นบุตรชายของฮิลคียาห์ 46 ฮิลคียาห์ผู้เป็นบุตรชายของอัมซี อัมซีผู้เป็นบุตรชายของบานี บานีผู้เป็นบุตรชายของเชเมอร์ 47 เชเมอร์ผู้เป็นบุตรชายของมาห์ลี มาห์ลีผู้เป็นบุตรชายของมูชี มูชีผู้เป็นบุตรชายของเมรารี เมรารีผู้เป็นบุตรชายของเลวี
48 บรรดาญาติพี่น้องคนเลวี ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติงานทุกอย่างของพลับพลา ซึ่งก็คือพระนิเวศของพระเจ้า 49 อาโรนและบุตรชายทั้งหลายของเขาถวายเครื่องบูชาบนแท่นบูชาสำหรับเครื่องเผาบูชา และบนแท่นเครื่องหอม เพื่อปฏิบัติงานทุกอย่างในอภิสุทธิสถาน การทำการลบบาปเพื่ออิสราเอล ตามทุกอย่างที่โมเสสผู้รับใช้ของพระเจ้าได้บัญชาไว้ 50 ต่อไปนี้เป็นเชื้อสายของอาโรนที่ได้ถูกนับไว้ บุตรชายของอาโรนคือเอเลอาซาร์ บุตรชายของเอเลอาซาร์คือฟีเนหัส บุตรชายของฟีเนหัสคืออาบีชูวา 51 บุตรชายของอาบีชูวาคือบุคคี บุตรชายของบุคคีคืออุสซี บุตรชายของอุสซีคือเศราหิยาห์ 52 บุตรชายของเศราหิยาห์คือเมราโยท บุตรชายของเมราโยทคืออามาริยาห์ บุตรชายของอามาริยาห์คืออาหิทูบ 53 บุตรชายของอาหิทูบคือศาโดก บุตรชายของศาโดกคืออาหิมาอัส
54 ต่อไปนี้เป็นที่ตั้งถิ่นฐานสำหรับเชื้อสายของอาโรนผู้ซึ่งมาจากตระกูลคนโคฮาท (ฉลากแรกตกเป็นของพวกเขา) 55 พวกเขาได้เมืองเฮโบรนในแผ่นดินยูดาห์ และทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ทั้งหลายของมัน 56 แต่บรรดาทุ่งนาของเมือง และหมู่บ้านต่างๆ ของเมืองนั้น พวกเขาได้ยกให้แก่คาเลบบุตรชายของเยฟุนเนห์
57 แก่เชื้อสายทั้งหลายของอาโรน พวกเขาได้ให้เมืองเฮโบรน (เมืองลี้ภัยเมืองหนึ่ง) และเมืองลิบนาห์พร้อมกับทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ของมัน เมืองยาททีร์ เมืองเอชเทโมอากับทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ของมัน 58 เมืองฮีเลนพร้อมกับทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ของมัน และเมืองเดบีร์พร้อมกับทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ของมัน 59 พวกเขาได้ให้เชื้อสายของอาโรนคือ เมืองอาชานพร้อมกับทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ของมัน และเมืองเบธเชเมชพร้อมกับทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ของมัน 60 และจากเผ่าเบนยามินพวกเขาได้ให้เมืองเกบาพร้อมกับทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ของมัน เมืองอาเลเมทพร้อมกับทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ของมัน และเมืองอานาโธทพร้อมกับทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ของมัน เมืองเหล่านี้ทั้งสิ้นนับได้สิบสามเมือง เมืองเหล่านี้ได้ถูกแบ่งท่ามกลางตระกูลของโคฮาท ทั้งหมดสิบสามเมือง
61 ส่วนที่เหลือของตระกูลทั้งหลายของโคฮาทได้รับเมืองสิบเมืองจากการจับฉลากจากเผ่ามนัสเสห์ครึ่งเผ่า 62 ให้กับเชื้อสายทั้งหลายของเกอร์โชมตามตระกูลต่างๆ สิบสามเมืองจากเผ่าต่างๆ ของอิสสาคาร์ เผ่าอาเชอร์ เผ่านัฟทาลี และจากเผ่ามนัสเสห์ครึ่งเผ่าในบาชาน 63 ให้กับเชื้อสายของของเมรารีตามตระกูลของพวกเขาและตระกูล สิบสองเมืองจากเผ่ารูเบน เผ่ากาด และเผ่าเศบูลุน 64 ดังนั้นประชาชนอิสราเอลได้มอบเมืองต่างๆ เหล่านี้ กับทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ของมันให้แก่คนเลวี 65 พวกเขาได้รับเมืองต่างๆ ตามที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น จากเผ่ายูดาห์ เผ่าสิเมโอน และเผ่าเบนยามิน
66 บางส่วนของตระกูลของคนโคฮาทบางตระกูลได้รับเมืองต่างๆ จากดินแดนของพวกเผ่าเอฟราอิม 67 พวกเขาได้ให้ เมืองเชเคม (เมืองลี้ภัยเมืองหนึ่ง) กับทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ของมันในถิ่นภูเขาเอฟราอิม เมืองเกเซอร์พร้อมทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ของมัน 68 เมืองโยกเมอัมพร้อมทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ของมัน เมืองเบธโฮโรนทุ่งหญ้าพร้อมทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ของมัน 69 เมืองอัยยาโลนพร้อมทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ของมัน เมืองกัทริมโมนพร้อมทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ของมัน 70 จากเผ่ามนัสเสห์ครึ่งเผ่าได้ให้กับคนโคฮาทคือ เมืองอาเนอร์พร้อมทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ของมัน เมืองบิเลอัมพร้อมทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ของมัน เมืองเหล่านี้ได้ให้แก่ตระกูลทั้งหลายของคนโคฮาทที่เหลืออยู่
71 ให้กับเชื้อสายทั้งหลายของเกอร์โชมรับจากตระกูลเผ่ามนัสเสห์ครึ่งเผ่าดังนี้ พวกเขาได้ให้โกลานในเมืองบาชานพร้อมทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ของมัน และเมืองอัชทาโรทกับพร้อมทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ของมัน 72 เผ่าอิสสาคาร์ได้ให้กับเชื้อสายทั้งหลายของเกอร์โชมคือเมืองเคเดชพร้อมทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ของมัน เมืองดาเบรัทพร้อมทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ของมัน 73 เมืองราโมทพร้อมทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ของมัน และเมืองอาเนมพร้อมทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ของมัน
74 อิสสาคาร์ได้รับจากเผ่าอาเชอร์คือ เมืองมาชาลพร้อมทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ของมัน เมืองฮับโดนพร้อมทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ของมัน 75 เมืองหุกอกพร้อมทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ของมัน และเมืองเรโหบกับพร้อมทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ของมัน 76 พวกเขาได้รับจากเผ่านัฟทาลีคือเมืองเคเดชในกาลิลีพร้อมทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ของมัน เมืองฮัมโมนพร้อมทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ของมัน เมืองคีริยาธาอิมพร้อมทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ของมัน
77 ส่วนเชื้อสายทั้งหลายของเมรารีที่เหลืออยู่นั้นได้รับจากเผ่าเศบูลุนคือ เมืองโยกเนอัม เมืองคาร์ทาห์และเมืองริมโมโนพร้อมทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ของมัน เมืองทาโบร์พร้อมทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ของมัน 78 และจากเผ่ารูเบนตรงข้ามแม่น้ำจอร์แดน ด้านตะวันออกเมืองเยรีโค พวกเขาได้รับเมืองเบเซอร์ในทะเลทราย เมืองยาซาห์ 79 เมืองเคเดโมทพร้อมทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ของมัน และเมืองเมฟาอาทพร้อมทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ของมัน 80 คนเลวีได้รับจากเผ่ากาดคือเมืองราโมทในกิเลอาดพร้อมทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ของมัน เมืองมาหะนาอิมพร้อมทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ของมัน 81 เมืองเฮสโบนพร้อมทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ของมัน และเมืองยาเซอร์พร้อมทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ของมัน
1 บุตรชายสี่คนของอิสสาคาร์ คือ โทลา ปูอาห์ ยาชูบ และชิมโรน 2 บุตรชายทั้งหลายของโทลาคือ อุสซี เรไฟยาห์ เยรีเอล ยามัย ยิบสัม และเชมูเอล เขาทั้งหลายเป็นพวกหัวหน้าในเรือนของพวกบิดาของพวกเขา จากเชื้อสายทั้งหลายของโทลา และพวกเขาได้ถูกขึ้นบัญชีเป็นทแกล้วทหารท่ามกลางพงศ์พันธุ์ของพวกเขา และนับจำนวนได้ 22,600 คนในรัชสมัยของดาวิด
3 บุตรชายของอุสซีคือ อิสราหิยาห์ บุตรชายทั้งหลายของเขาคือ มีคาเอล โอบาดีห์ โยเอล และอิสชีอาห์ ทั้งหมดห้าคน พวกเขาเป็นหัวหน้าตระกูลทั้งหลาย 4 พร้อมกับคนเหล่านี้ พวกเขามีทหารสามหมื่นหกพันคนสำหรับการทำสงครามตามบัญชีรายชื่อตระกูลของบรรพบุรุษทั้งหลายของพวกเขา เพราะพวกเขามีภรรยาและบุตรชายหลายคน 5 พวกญาติพี่น้องของพวกเขาเป็นทแกล้วทหารจากคนในเผ่าอิสคาร์ และพวกเขานับจำนวนได้ทั้งหมดแปดหมื่นเจ็ดพันคน ตามบัญชีรายชื่อที่เป็นของตระกูลทั้งหลายของพวกบรรพบุรุษของพวกเขา
6 บุตรชายสามคนของเบนยามินคือ เบลา เบเคอร์ และเยดียาเอล 7 บุตรชายห้าคนของเบลาคือ เอสโบน อุสซี อุสซีเอล เยรีโมท และอิรี พวกเขาเป็นทหาร และต้นตระกูลทั้งหลาย พวกเขานับจำนวนได้ 22,034 คนที่เป็นทแกล้วทหาร ตามบัญชีทะเบียนสำมะโนครัวที่เป็นของตระกูลบรรพบุรุษของพวกเขา 8 บุตรชายทั้งหลายของเบเคอร์คือ เศมิราห์ โยอาช เอลีเยเซอร์ เอลีโอนัย อมรี เยเร โมท อาบียาห์ อานาโธท และอาเลเมท คนเหล่านี้ทั้งหมดเป็นบุตรชายทั้งหลายของเขา 9 บัญชีของตระกูลทั้งหลายของพวกเขานับจำนวนได้ 20,200 คน เป็นผู้นำครอบครัวทั้งหลาย และเป็นทแกล้วทหาร
10 บุตรชายของเยดียาเอลคือ บิลฮาน บุตรชายทั้งหลายของบิลฮานคือ เยอูช เบนยามิน เอฮูด เคนาอะนาห์ เศธาน ทารชิช และอาหิชาฮาร์ 11 ทั้งหมดนี้เป็นบุตรชายทั้งหลายของเยดียาเอล ตามบัญชีตระกูลของพวกเขา 17,200 คน เป็นผู้นำทั้งหลาย เป็นทแกล้วทหารพร้อมที่จะทำศึกสงคราม 12 (คนชุปปิม และคนหุปปิม เป็นบุตรชายทั้งหลายของอิระ และคนหุชิมเป็นบุตรชายของอาเฮอร์)
13 บุตรชายทั้งหลายของนัฟทาลีคือ ยาซีเอล กุนี เยเซอร์ และชัลลูม คนเหล่านี้เป็นลูกหลานของนางบิลฮาห์ 14 บุตรชายของมนัสเสห์คือ อัสรีเอลผู้ซึ่งภรรยาน้อยคนอารัมของเขาได้ให้กำเนิดแก่เขา นางได้ให้กำเนิดมาคีร์บิดาของกิเลอาดด้วย 15 มาคีร์ได้รับคนหุปปิมและคนชุปปิมมาเป็นภรรยา พี่สาวชื่อมาอาคาห์ เชื้อสายอีกคนหนึ่งของมนัสเสห์คือเศโลเฟหัดผู้ซึ่งมีเฉพาะบุตรหญิงทั้งหลายเท่านั้น 16 มาอาคาห์ภรรยาของมาคีร์ได้ให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง นางได้เรียกชื่อเขาว่า เปเรช น้องชายของเขาชื่อเชเรช และบุตรชายทั้งหลายของเขาคือ อุลาม และราเคม
17 บุตรชายของอุลามคือเบดาน คนเหล่านี้เป็นเชื้อสายทั้งหลายของกิเลอาด ผู้เป็นบุตรชายมาคีร์ ผู้เป็นบุตรชายมนัสเสห์ 18 น้องสาวของกิเลอาดคือฮัมโมเลเคทได้ให้กำเนิดอิชโฮด อาบีเยเซอร์ และมาฮาลาห์ 19 บุตรชายทั้งหลายของเชมิดาคือ อาหิยัน เชเคม ลิคฮี และอานียัม
20 เชื้อสายทั้งหลายของเอฟราอิมมีดังต่อไปนี้ บุตรชายของเอฟราอิมคือชูเธลาห์ บุตรชายของชูเธลาห์คือเบเรด บุตรชายของเบเรดคือทาหัท บุตรชายของทาหัทคือเอลอาดาห์ บุตรชายของเอลอาดาห์คือทาหัท 21 บุตรชายของทาหัทคือศาบาด บุตรชายของศาบาดคือชูเธลาห์ (เอเซอร์และเอเลอัดซึ่งถูกฆ่าโดยผู้ชายทั้งหลายของเมืองกัทคนท้องถิ่นของแผ่นดินนั้น เมื่อเขาทั้งหลายได้ลงมาปล้นสัตว์เลี้ยงของพวกเขา 22 เอฟราอิมบิดาของพวกเขาไว้ทุกข์ให้พวกเขาเป็นหลายวัน และพี่น้องทั้งหลายของเขาก็ได้มาปลอบใจเขา 23 เอฟราอิมจึงเข้าไปหาภรรยาของเขา นางได้ตั้งครรภ์และคลอดบุตรชายคนหนึ่ง เอฟราอิมได้เรียกชื่อเขาว่า เบรียาห์ เพราะเหตุชั่วร้ายได้ตกอยู่กับครอบครัวของเขา
24 บุตรหญิงของเขาคือเชเอราห์ ผู้ซึ่งสร้างเมืองเบธโฮโรนล่างและบน และเมืองอุสเซนเชเอราห์ 25 บุตรชายของเขาชื่อเรฟาห์ บุตรชายของเรฟาห์คือเรเชฟ บุตรชายของเรเชฟคือเทลาห์ บุตรชายของเทลาห์คือทาหาน 26 บุตรชายของทาหานคือลาดาน บุตรชายของลาดานคืออัมมีฮูด บุตรชายของอัมมีฮูดคือเอลีชามา 27 บุตรชายของเอลีชามาคือนูน บุตรชายของนูนคือโยชูวา
28 ที่ดินกรรมสิทธิ์และภูมิลำเนาของเขาคือ เบธเอลพร้อมกับหมู่บ้านต่างๆ รอบๆ พวกเขาได้ขยายตัวไปทางด้านตะวันออกถึงเมืองนาอารัน และด้านตะวันตกถึงเมืองเกเซอร์ พร้อมกับบรรดาหมู่บ้านทั้งหลาย และไปถึงเชเคมพร้อมกับบรรดาหมู่บ้านทั้งหลาย ไปถึงเมืองอัยยาพร้อมกับบรรดาหมู่บ้านทั้งหลาย 29 ตามพรมแดนของคนมนัสเสห์ มีเมืองเบธชานพร้อมกับบรรดาหมู่บ้านทั้งหลาย เมืองทาอานาคพร้อมกับบรรดาหมู่บ้านทั้งหลาย เมืองเมกิดโดพร้อมกับบรรดาหมู่บ้านทั้งหลาย และเมืองโดร์พร้อมกับบรรดาหมู่บ้านทั้งหลาย ในเมืองทั้งหลายเหล่านี้บรรดาเชื้อสายทั้งหลายของโยเซฟบุตรชายของอิสราเอลได้อาศัยอยู่
30 บุตรชายทั้งหลายของอาเชอร์คือ อิมนาห์ อิชวาห์ อิชวี เบรียาห์ และเสราห์น้องหญิงของพวกเขา 31 บุตรชายของเบรียาห์คือ เฮเบอร์และมัลคีเอล ผู้เป็นบิดาของบิรซาวิธ 32 เฮเบอร์ให้กำเนิดบุตรชื่อยาเฟล็ท โชเมอร์ โฮธาม ชูวาเป็นน้องหญิงของพวกเขา 33 บุตรทั้งหลายของยาเฟล็ทคือ ปาสัค บิมฮาล และอัชวาท คนเหล่านี้เป็นบุตรทั้งหลายยาเฟล็ท
34 เชเมอร์ เป็นน้องชายของยาเฟล็ท มีบุตรชายทั้งหลายเหล่านี้คือ โรกาห์ เยฮุบบาห์ และอารัม 35 น้องชายของเชเมอร์คือเฮเลม มีบุตรชายทั้งหลายของเขาคือ โศฟาห์ อิมนา เชเลช และอามัล 36 บุตรชายของโศฟาห์คือ สุอาห์ ฮารเนเฟอร์ ชูอัล เบรี อิมราห์ 37 เบเชอร์ โฮด ชัมมา ชิลชาห์ อิธราน และเบโรา 38 บุตรชายทั้งหลายของเยเธอร์คือ เยฟุนเนห์ ปิสปา และอารา 39 บุตรชายทั้งหลายของอุลลาคือ อาราห์ ฮันนีเอล และรีเซีย 40 คนทั้งสิ้นเหล่านี้เป็นเชื้อสายของอาเชอร์ พวกเขาเป็นบรรพบุรุษทั้งหลายของตระกูลทั้งหลาย ผู้นำของครอบครัวทั้งหลายของพวกเขา เป็นผู้ชายที่โดดเด่น ทแกล้วทหาร และเป็นหัวหน้าท่ามกลางพวกผู้นำ จำนวนทั้งสิ้นสองหมื่นหกพันคน ผู้ซึ่งเหมาะสมสำหรับการสงคราม ตามจำนวนบัญชีรายชื่อของพวกเขา
1 บุตรชายห้าคนของเบนยามินคือ เบลาบุตรชายหัวปีของเขา อัชเบล อาหะราห์ 2 โนฮาห์ และราฟา 3 บุตรของเบลาคือ อัดดาร์ เกรา อาบีฮูด
4 อาบีชูวา นาอามาน อาโหอาห์ 5 เกรา เชฟูฟาน และหุราม 6 คนเหล่านี้เป็นเชื้อสายทั้งหลายของเอฮูด ผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าบรรดาเหล่าตระกูลที่อาศัยในเมืองเกบา ผู้ซึ่งถูกบังคับให้ย้ายไปยังเมืองมานาฮาท
7 คือนาอามาน อาหิยาห์ และเกรา ผู้ได้พาพวกเขาไปในการย้ายของพวกเขา เขาเป็นบิดาของอุสซา และอาหิฮูด 8 ชาหะราอิมมีบุตรหลายคนในดินแดนโมอับ ภายหลังที่เขาได้หย่าภรรยาทั้งหลายของเขาคือนางหุชิมและนางบาอารา 9 โดยนางโฮเดชภรรยาของเขา ชาหะราอิมเป็นบิดาของโยบับ ศิเบีย เมชา มัลคาม 10 เยอูส สาเคีย และมิรมาห์ คนเหล่านี้เป็นบุตรชายทั้งหลายของเขา เป็นพวกผู้นำในตระกูลต่างๆ ของพวกเขา
11 เขาได้มีบุตรกับนางหุชิมคืออาบีทูบและเอลปาอัล 12 บุตรชายทั้งหลายของเอลปาอัลคือเอเบอร์ มิชอัม และเชเมด (ผู้สร้างเมืองโอโน และเมืองโลดพร้อมกับหมู่บ้านทั้งหลายโดยรอบ) 13 ยังมีเบรียาห์ และเชมาด้วย เขาทั้งหลายเป็นหัวหน้าของตระกูลทั้งหลายที่อาศัยในเมืองอัยยาโลน ผู้ที่ได้ขับไล่ชาวเมืองกัทไป
14 เบรียาห์ มีบุตรชายทั้งหลายคืออาหิโย ชาชัก และเยเรโมท 15 เศบาดิยาห์ อาราด เอเดอร์ 16 มีคาเอล อิชปาห์ และโยฮา 17-18 เอลปาอัลมีบุตรชายทั้งหลายคือเศบาดิยาห์ เมชุลลาม ฮิสคี เฮเบอร์ อิชเมรัย อิสลิยาห์ และโยบับ
19-20 บุตรชายทั้งหลายของชิเมอี คือยาคิม ศิครี ศับดี เอลีเยนัย ศิลเลธัย เอลีเอล อาดายาห์ เบไรอาห์ 21 และชิมราท
22-23 บุตรชายทั้งหลายของชาชักคือ 24 อิชปาน 25 เอเบอร์ 26 เอลีเอล 27 อับโดน ศิครี ฮานาน ฮานันยาห์ เอลาม อันโธธียาห์ อิฟไดยาห์ และเปนูเอล 28 คนเหล่านี้เป็นบรรดาหัวหน้าของพวกตระกูล และพวกผู้นำที่อาศัยในเยรูซาเล็ม
29 บิดาของกิเบโอนคือ เยอิเอลผู้ซึ่งมีภรรยาชื่อมาอาคาห์ ได้อาศัยในเมืองกิเบโอน 30 บุตรหัวปีของท่านคืออับโดน แล้วก็มี ศูร์ คีช บาอัล นาดับ 31 เกโดร์ อาหิโย และเศเคอร์ 32 บุตรชายทั้งหลายของเยอิเอลอีกคนหนึ่งคือมิกโลท ผู้เป็นบิดาของชิเมอาห์ พวกเขาได้อาศัยอยู่ใกล้กับญาติทั้งหลายของพวกเขาในเยรูซาเล็ม
33 เนอร์เป็นบิดาของคีช คีชเป็นบิดาของซาอูล ซาอูลเป็นบิดาของโยนาธาน มัลคีชูวา อาบีนาดับ และเอชบาอัล 34 บุตรชายของโยนาธานคือเมริบบาอัล เมริบบาอัลเป็นบิดาของมีคาห์ 35 บุตรชายทั้งหลายของมีคาห์คือปีโธน เมเลค ทาเรีย และอาหัส 36 อาหัสเป็นบิดาของเยโฮอัดดาห์ เยโฮอัดดาห์เป็นบิดาของอาเลเมท อัสมาเวท และศิมรี ศิมรีเป็นบิดาของโมซา
37 โมซาเป็นบิดาของบิเนอา บิเนอาเป็นบิดาของราฟาห์ ราฟาห์เป็นบิดาของเอเลอาสาห์ เอเลอาสาห์เป็นบิดาของอาเซล 38 อาเซลมีบุตรชายหกคน คืออัสรีคัม โบเครู อิชมาเอล เชอาริยาห์ โอบาดีย์ และฮานัน ทั้งหมดนี้เป็นบุตรของอาเซล 39 บุตรชายทั้งหลายของเอเชก น้องชายของเขาคือ อุลามบุตรหัวปีของเขา เยอูชคนที่สอง และเอลีเฟเลทคนที่สาม 40 บุตรชายทั้งหลายของอุลามเป็นเหล่านักรบกล้าหาญ เป็นพวกนักธนู พวกเขามีบุตรชายหลายคนและหลานมากมายจำนวนทั้งสิ้น 150 คน คนทั้งหมดนี้เป็นเชื้อสายทั้งหลายของเบนยามิน
1 ดังนั้นรายชื่อคนอิสราเอลทั้งหมดได้ถูกบันทึกไว้ในลำดับพงศ์ พวกเขาถูกบันทึกไว้ในสมุดของกษัตริย์อิสราเอล เหมือนยูดาห์ที่พวกเขาได้ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยในบาบิโลนเพราะความบาปของพวกเขา 2 คนกลุ่มแรกที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานอีกครั้งในเมืองทั้งหลายของพวกเขาคือบางส่วนของคนอิสราเอล พวกปุโรหิต พวกเลวี และคนรับใช้ทั้งหลายของพระวิหาร 3 เชื้อสายบางส่วนของยูดาห์ เบนยามิน เอฟราอิม และมนัสเสห์ที่ได้อาศัยในเยรูซาเล็ม 4 บรรดาผู้ตั้งถิ่นฐานรวมทั้งอุทัยบุตรชายของอัมมีฮูด บุตรชายของอมรีบุตรชายของอัมรีบุตรชายของบานี หนึ่งในเชื้อสายทั้งหลายของเปเรศบุตรชายของยูดาห์
5 ท่ามกลางคนชิโลห์คืออาสายาห์บุตรชายหัวปีและบุตรชายทั้งหลายของเขา 6 ท่ามกลางเชื้อสายทั้งหลายของเศราห์คือเยอูเอล เชื้อสายทั้งหลายของพวกเขานับจำนวนได้ 690 คน 7 ท่ามกลางเชื้อสายทั้งหลายของเบนยามินคือสัลลูบุตรชายของเมชุลลามบุตรชายของโฮดาวิยาห์บุตรชายของหัสเสนูอาห์ 8 ยังมีอิบเนยาห์บุตรชายของเยโรฮัมด้วย คือเอลาห์บุตรชายของอุสซีบุตรชายของมิครี และเมสุนลามบุตรชายของเชฟาทิยาห์บุตรชายของเรอูเอลบุตรชายของอับนียาห์ 9 ญาติทั้งหลายของพวกเขาได้ถูกเขียนไว้ในบัญชีรายชื่อลำดับพงศ์นับจำนวนได้ 956 คน ผู้ชายเหล่านี้ทั้งหมดเป็นพวกผู้นำในตระกูลทั้งหลายของเหล่าบรรพบุรุษของพวกเขา
10 พวกปุโรหิตคือเยดายาห์ เยโฮยาริบ และยาคีน 11 มีอาซาริยาห์บุตรชายของฮิลคียาห์ด้วย บุตรชายของเมชุลลามบุตรชายของศาโดกบุตรชายของเมราโยทบุตรชายของอาหิทูบ ผู้รับผิดชอบพระนิเวศของพระเจ้า 12 มีอาดายาห์บุตรชายของเยโรฮัมบุตรชายของปาชเออร์บุตรชายของมัลคียาห์ ยังมีอามาสัยบุตรชายของอาดีเอลด้วย บุตรชายของยาเซราห์บุตรชายของเมชุลลามบุตรชายของเมชิลเลมิทบุตรชายของอิมเมอร์ 13 ญาติทั้งหลายของพวกเขาผู้ซึ่งเป็นพวกผู้นำในพวกตระกูลบรรพบุรุษของพวกเขา นับจำนวนคนได้ 1,760 คน พวกเขาเป็นผู้ที่มีความสามารถในการทำงานในพระนิเวศของพระเจ้า
14 ท่ามกลางคนเลวี มีเชไมอาห์ผู้เป็นบุตรชายของหัสชูบบุตรชายของอัสรีคัมบุตรชายของฮาซาบิยาห์ ท่ามกลางเชื้อสายทั้งหลายของเมรารี 15 ยังมีบัคบัคคาร์ เฮเรส กาลาล และมัทธานิยาห์บุตรชายของมีคาบุตรชายของศิครีบุตรชายของอาสาฟ 16 ยังมีโอบาดีห์บุตรชายของเชไมอาห์ด้วย บุตรชายของกาลาลบุตรชายของเยดูธูน และเบเรคยาห์บุตรชายของอาสาบุตรชายของเอลคานาห์ผู้ที่ได้อาศัยในหมู่บ้านทั้งหลายของคนเนโทฟาห์
17 บรรดาผู้ดูแลประตูทั้งหลายคือ ชัลลูม อักขูบ ทัลโมน อาหิมาน และเชื้อสายทั้งหลายของพวกเขา ชัลลูมเป็นผู้นำของพวกเขา 18 ก่อนหน้านี้พวกเขาได้ยืนรักษาการอยู่ที่ประตูกษัตริย์ทางด้านทิศตะวันออก สำหรับค่ายของเชื้อสายทั้งหลายของคนเลวี 19 ชัลลูมบุตรชายของโคเรบุตรชายของเอบียาสาฟ ผู้ซึ่งเป็นบุตรชายของโคราห์ และญาติทั้งหลายของเขาจากครัวเรือนของบิดาของเขา คนโคราห์ได้รับผิดชอบงานบริการ พวกเขาได้รักษาประตูเข้าเต็นท์เหมือนพวกบรรพบุรุษของพวกเขาที่ได้รักษาค่ายของพระยาห์เวห์และพวกเขาได้รักษาทางเข้านั้นด้วย 20 ฟีเนหัสบุตรชายของเอเลอาซาร์ได้รับผิดชอบงานนี้ในอดีต และพระยาห์เวห์ได้ทรงอยู่ด้วยกับเขา 21 เศคาริยาห์บุตรชายของเมเชเลมิยาห์คือผู้รักษาทางเข้าพระวิหารคือ "เต็นท์นัดพบ"
22 คนทั้งหมดเหล่านี้ผู้ซึ่งถูกเลือกเป็นเหล่าคนเฝ้าประตู ที่ทางเข้าทั้งหลายนับจำนวนได้ 212 คน ชื่อของพวกเขาได้ถูกบันทึกในบันทึกของประชาชนในหมู่บ้านทั้งหลายของพวกเขา ดาวิดและซามูเอลผู้ดูแลได้ตั้งพวกเขาในตำแหน่งหน้าที่ต่างๆ 23 ดังนั้นพวกเขาและบุตรทั้งหลายของพวกเขาได้รักษาประตูทั้งหลายของพระนิเวศของพระยาห์เวห์คือพลับ 24 ผู้รักษาประตูทั้งหลายได้ถูกตั้งทั้งสี่ด้าน ทิศตะวันออก ตะวันตก เหนือ และใต้ 25 พวกพี่น้องของพวกเขาผู้ที่ได้อาศัยในหมู่บ้านทั้งหลายของพวกเขา ได้หมุนเวียนเข้ามาทำงานทุกเจ็ดวัน 26 แต่พวกผู้นำสี่คนที่รักษาประตูทั้งหลายได้แก่ คนเลวีได้รับมอบหมายให้รักษาห้องทั้งหลายและห้องพัสดุทั้งหลายในพระนิเวศของพระเจ้า 27 พวกเขาจะอยู่ทั้งคืนในตำแหน่งทั้งหมดรอบๆ พระนิเวศของพระเจ้า เพราะพวกเขาได้รับผิดชอบการรักษาพระนิเวศ พวกเขาจะเปิดพระนิเวศทุกเช้า
28 ส่วนหนึ่งของพวกเขาได้ดูแลอุปกรณ์ของพระวิหารคือ พวกเขาได้นับสิ่งต่างๆ เมื่อสิ่งเหล่านั้นได้ถูกนำเข้ามาหรือเอาออกไป 29 ส่วนหนึ่งของพวกเขาได้ถูกกำหนดให้ดูแลสิ่งต่างๆ ที่บริสุทธิ์ อุปกรณ์ และเครื่องใช้ รวมทั้งแป้งอย่างดี เหล้าองุ่น น้ำมัน เครื่องหอม และเครื่องเทศ 30 พวกบุตรชายของปุโรหิตบางส่วนได้ผสมเครื่องเทศ 31 มัททียาห์ คนเลวีคนหนึ่งผู้ซึ่งเป็นบุตรหัวปีของชัลลูม คนโคราห์ได้รับผิดชอบเตรียมขนมปังสำหรับการถวาย 32 พี่น้องบางส่วนของพวกเขา เชื้อสายทั้งหลายของคนโคราห์ได้รับผิดชอบการตั้งขนมปัง และจัดเตรียมขนมปังทุกวันสะบาโต
33 บรรดานักร้อง และผู้นำทั้งหลายของครอบครัวคนเลวีได้อาศัยในห้องทั้งหลายที่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์เมื่อพวกเขาว่างจากการทำงานเพราะพวกเขาต้องทำงานตามที่ได้รับมอบหมายในเวลากลางวันและกลางคืน 34 คนเหล่านี้คือครอบครัวผู้นำทั้งหลายท่ามกลางคนเลวี ตามบัญชีที่ได้ถูกบันทึกไว้ในบันทึกพงศ์ของพวกเขา พวกเขาได้อาศัยอยู่ในเยรูซาเล็ม
35 บิดาของกิเบโอนคือ เยอิเอล ผู้ซึ่งภรรยาของเขาชื่อมาอาคาห์ที่ได้อาศัยในกิเบโอน 36 บุตรชายคนหัวปีของเขาคือ อับโดน และบุตรชายทั้งหลายของเขาคือ ศูร์ คีช บาอัล เนอร์ นาดับ 37 เกโดร์ อาหิโย เศคาริยาห์ และมิกโลท 38 มิกโลทเป็นบิดาของชิเมอัม พวกเขาได้อาศัยอยู่ใกล้พวกพี่น้องของพวกเขาในเยรูซาเล็ม
39 เนอร์เป็นบิดาของคีช คีชเป็นบิดาของซาอูล ซาอูลเป็นบิดาของโยนาธาน มัลคีชูวา อาบีนาดับ และเอชบาอัล 40 บุตรชายของโยนาธานคือเมริบบาอัล เมริบบาอัลเป็นบิดาของมีคาห์ 41 บุตรชายทั้งหลายของมีคาห์คือปิโธน เมเลค ทาเรีย และอาหัส 42 อาหัสเป็นบิดาของยาราห์ ยาราห์เป็นบิดาของอาเลเมท อัสมาเวท และศิมรี ศิมรีเป็นบิดาของโมซา 43 โมซาเป็นบิดาของบิเนอา บิเนอาเป็นบิดาของเรไฟยาห์ เรไฟยาห์เป็นบิดาของเอเลอาสาห์ เอเลอาสาห์เป็นบิดาของอาเซล 44 อาเซลมีบุตรชายหกคนคือ อัสรีคัม โบเครู อิชมาเอล เชอาริยาห์ โอบาดีห์ และฮานัน คนเหล่านี้เป็นบุตรชายทั้งหลายของอาเซล
1 บัดนี้คนฟีลิสเตียได้ทำสงครามต่อสู้คนอิสราเอล ผู้ชายอิสราเอลทุกคนได้แตกหนีไปต่อหน้าคนฟีลิสเตียและล้มลงเสียชีวิตบนภูเขากิลโบอา 2 พวกคนฟีลิสเตียได้ยกเข้ามาใกล้จะตามทันซาอูลและพระโอรสของพระองค์ พวกคนฟีลิสเตียได้ฆ่าพระโอรสทั้งหลายของพระองค์คือ โยนาธัน อาบีนาดับ และมัลคีชูอา
3 การสู้รบหนักได้เข้ามาประชิดซาอูล พวกพลธนูได้ยิงพระองค์ ทำให้พระองค์ทรงได้รับบาดเจ็บ 4 ซาอูลได้ตรัสกับผู้ถืออาวุธประจำพระองค์ว่า “จงดึงดาบของเจ้าออกมา และแทงเราให้ทะลุ มิฉะนั้นพวกคนที่มิได้เข้าสุหนัตเหล่านี้จะเข้ามาและทำร้ายเรา” แต่ผู้ถืออาวุธประจำพระองค์ไม่กล้าเพราะเขากลัวมาก ดังนั้นซาอูลจึงได้ชักดาบของพระองค์ออกและล้มทับดาบนั้น 5 เมื่อผู้ถืออาวุธประจำพระองค์ได้เห็นว่าซาอูลได้ทรงสิ้นพระชนม์แล้ว เขาก็ได้ทำอย่างเดียวกันคือล้มทับดาบของตนและเสียชีวิตด้วย 6 ดังนั้นซาอูลได้ทรงสิ้นพระชนม์พร้อมกับพระโอรสทั้งสามพระองค์ พระราชวงศ์ทั้งหมดของพระองค์ก็ได้ทรงสิ้นพระชนม์ด้วยกัน
7 เมื่อพวกผู้ชายอิสราเอลทุกคนในหุบเขาได้เห็นการที่ซาอูลและพวกพระโอรสของพระองค์ได้ทรงสิ้นพระชนม์ พวกเขาก็ได้แตกหนี พวกเขาได้ละทิ้งเมืองทั้งหลายของพวกเขาและหนีไป จากนั้นพวกฟีลิสเตียได้เข้ามาและได้อาศัยอยู่แทน 8 ในวันต่อมาเมื่อพวกฟีลิสเตียได้เข้ามาปลดเสื้อผ้าของผู้ที่เสียชีวิต พวกเขาได้พบพระศพของซาอูลกับพวกพระโอรสของพระองค์บนภูเขากิลโบอา 9 พวกเขาได้ถอดเครื่องทรงพระองค์ เอาพระเศียรและอาวุธของพระองค์ไป พวกเขาได้ให้คนส่งข่าวไปทั่วฟีลิสเตีย ส่งข่าวไปยังพวกรูปเคารพและพวกประชาชนทั้งหลายของพวกเขา
10 พวกเขาได้นำเอาอาวุธของพระองค์ไปไว้ในวิหารเทพเจ้าทั้งหลายของพวกเขา และมัดพระเศียรของพระองค์ไว้ในวิหารของพระดาโกน 11 เมื่อคนยาเบชกิเลอาดทั้งหมดได้ยินทุกสิ่งที่คนฟีลิสเตียได้กระทำแก่ซาอูล 12 พวกผู้ชายนักรบทั้งหมดได้ออกไป และชิงเอาพระศพของซาอูลและพวกพระโอรสของพระองค์ และนำไปไว้ที่ยาเบช พวกเขาได้ฝังกระดูกของพวกเขาใต้ต้นโอ๊คในเยเบชและได้อดอาหารเป็นเวลาเจ็ดวัน
13 ดังนั้นซาอูลทรงสิ้นพระชนม์เพราะพระองค์ไม่ทรงสัตย์ซื่อต่อพระยาห์เวห์ พระองค์ไม่ทรงเชื่อฟังพระบัญชาทั้งหลายของพระยาห์เวห์ แต่ได้ตรัสถามหาคำแนะนำจากบางคนผู้ซึ่งได้พูดกับคนตาย 14 พระองค์ไม่ได้ทรงแสวงหาการทรงนำจากพระยาห์เวห์ ดังนั้นพระยาห์เวห์จึงได้ทรงประหารพระองค์และมอบราชอาณาจักรแก่ดาวิดบุตรชายของเจสซี
1 จากนั้นคนอิสราเอลทั้งหมดได้มาหาดาวิดที่เมืองเฮโบรน และทูลว่า "ดูเถิด พวกข้าพระองค์เป็นเนื้อและกระดูกของพระองค์ 2 ในอดีตที่ผ่านมา เมื่อซาอูลได้ทรงเป็นกษัตริย์ปกครองพวกข้าพระองค์ เป็นพระองค์ผู้ที่ได้ทรงนำกองทัพอิสราเอล พระยาห์เวห์พระเจ้าของพระองค์ได้ตรัสกับพระองค์ 'เจ้าจะดูแลคนอิสราเอลประชาชนของเราและเจ้าจะเป็นเจ้านายเหนืออิสราเอลประชาชนของเรา'" 3 ดังนั้นผู้อาวุโสทั้งหลายของคนอิสราเอลได้เข้ามาหากษัตริย์ที่เมืองเฮโบรน และดาวิดได้ทำพันธสัญญากับพวกเขาต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ พวกเขาได้เจิมดาวิดเป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอล โดยการนี้ พระวจนะของพระยาห์เวห์ที่ประกาศโดยซามูเอลจึงเป็นความจริง
4 ดาวิดและคนอิสราเอลทุกคนได้ขึ้นไปยังเยรูซาเล็ม (นั่นคือคนเยบุส) ขณะนั้นคนเยบุสคือผู้อาศัยของแผ่นดินอยู่ที่นั่น 5 คนเยบุสทั้งหลายที่อาศัยอยู่ที่นั่นพูดกับดาวิดว่า "ท่านจะเข้ามาที่นี่ไม่ได้" แต่ดาวิดได้ยึดป้อมศิโยน นั่นคือเมืองดาวิด 6 ดาวิดตรัสว่า "คนแรกที่โจมตีคนเยบุสจะได้เป็นผู้บังคับบัญชา" ดังนั้นโยอาบบุตรชายของนางเศรุยาห์โจมตีได้เป็นคนแรก และเขาจึงได้รับแต่งตั้งเป็นผู้บังคับบัญชา 7 จากนั้นดาวิดได้ประทับอยู่ที่ป้อมนั้น ดังนั้นพวกเขาจึงเรียกมันว่านครดาวิด 8 พระองค์ได้ทรงเสริมเมืองโดยรอบให้แข็งแรงมากขึ้น ตั้งแต่ป้อมมิลโล และเสริมกำแพงล้อมรอบ โยอาบก็เสริมส่วนที่เหลือของเมืองนั้น 9 ดาวิดได้ทรงยิ่งใหญ่มากขึ้น และมากขึ้นเพราะพระยาห์เวห์จอมเจ้านายสถิตกับพระองค์
10 คนเหล่านี้คือพวกผู้นำภายใต้ดาวิด ผู้ที่ได้แสดงว่าพวกเขาเป็นคนที่เข้มแข็งอยู่กับพระองค์ในอาณาจักรของพระองค์ร่วมกับคนอิสราเอลทั้งหมดที่สนับสนุนพระองค์เป็นกษัตริย์ การเชื่อถ้อยคำของพระยาห์เวห์เกี่ยวกับอิสราเอล 11 นี่คือบัญชีรายชื่อยอดทหารทั้งหลายของดาวิดคือยาโชเบอัมบุตรชายของคนฮัคโมนี เป็นผู้บังคับบัญชาทหารสามสิบนาย เขาได้ฆ่าผู้ชายสามร้อยคนด้วยหอกของเขาในครั้งเดียว
12 ถัดจากเขาคือเอเลอาซาร์บุตรชายของโดโด คนอาโหอาห์ ผู้ซึ่งเป็นหนึ่งในสามของยอดทหารนั้น 13 เขาได้อยู่กับดาวิดที่ปัสดัมมิม และที่นั่นคนฟีลิสเตียได้ชุมนุมกันเพื่อทำสงคราม มีข้าวบาร์เลย์แปลงหนึ่งและกองทัพได้แตกหนีพวกฟีลิสเตีย 14 พวกเขาได้ยืนอยู่กลางทุ่งนา พวกเขาได้เอาชนะและฆ่าพวกคนฟีลิสเตีย และพระยาห์เวห์ทรงช่วยกู้พวกเขาด้วยชัยชนะอันยิ่งใหญ่
15 จากนั้นสามยอดทหารของพวกผู้นำสามสิบคนได้ลงมาหาดาวิดที่ศิลานั้น ที่ถ้ำอดุลลัม กองทัพฟีลิสเตียได้ตั้งค่ายในหุบเขาเรฟาอิม 16 ในเวลานั้นดาวิดได้อยู่ในที่มั่นของพระองค์ ในถ้ำ ในขณะที่พวกฟีลิสเตียได้ตั้งค่ายของพวกเขาที่เบธเลเฮม 17 ดาวิดกระหายน้ำและตรัสว่า "ถ้ามีใครสักคนจะไปเอาน้ำจากบ่อน้ำที่อยู่ข้างประตูเมืองเบธเลเฮมมาให้เราดื่มก็คงจะดี" 18 ดังนั้นยอดทหารทั้งสามได้บุกฝ่ากองทัพพวกฟีลิสเตียเข้าไปและตักน้ำจากบ่อน้ำที่ข้างประตูเมืองเบธเลเฮม พวกเขาได้นำน้ำนั้นกลับมาถวายดาวิด พระองค์ได้ทรงปฏิเสธที่จะดื่ม แต่ได้ทรงเทน้ำนั้นออกถวายแก่พระยาห์เวห์ 19 และพระองค์ได้ตรัสว่า "ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอให้สิ่งนี้อยู่ห่างไกลจากข้าพระองค์เถิด ควรหรือที่ข้าพระองค์จะดื่มน้ำนี้ ควรหรือที่ข้าพระองค์จะดื่มโลหิตของพวกผู้ชายผู้ที่เสี่ยงชีวิตของพวกเขา?" เพราะว่าพวกเขาได้เสี่ยงชีวิตของพวกเขา พระองค์ได้ปฏิเสธที่จะดื่มน้ำนั้น สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ยอดทหารทั้งสามคนได้ทำ
20 อาบีชัยน้องชายของโยอาบได้เป็นผู้บังคับบัญชายอดทหารทั้งสามนาย ครั้งหนึ่งเขาเคยใช้หอกของเขาสู้กับคนสามร้อยคนและฆ่าพวกเขาทั้งหลาย เขาได้ถูกกล่าวถึงร่วมกับยอดทหารทั้งสาม 21 เขาได้รับเกียรติเป็นสองเท่าของยอดทหารทั้งสามและได้เป็นผู้บังคับบัญชาของพวกเขา ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ใช่หนึ่งในทหารสามนายนั้น
22 เบไนยาห์บุตรชายของเยโฮยาดาเป็นผู้ชายแข็งแรงผู้ซึ่งได้ทำการอย่างกล้าหาญหลายอย่าง เขาได้ฆ่าบุตรชายสองคนของอารีเอลคนโมอับ เขาได้ลงไปในบ่อและฆ่าสิงโตตัวหนึ่งในขณะที่หิมะกำลังตก 23 เขาได้ฆ่าคนอียิปต์คนหนึ่ง ผู้ชายที่สูงห้าศอก ผู้ชายอียิปต์ที่มีหอกเหมือนไม้กระพั่นแต่เขาได้ลงไปหาผู้ชายคนนี้ด้วยไม้เท้าอันเดียว เขาได้ดึงหอกออกจากมือของคนอียิปต์และได้ฆ่าเขาด้วยหอกของเขาเอง 24 เบไนยาห์บุตรชายของเยโฮยาดาได้ทำการกล้าหาญเหล่านี้ และเขาได้ถูกกล่าวชื่อไปพร้อมกับยอดทหารทั้งสามนาย 25 เขาได้รับการยกย่องมากกว่าทหารสามสิบนายในด้านทั่วๆ ไป แต่เขาไม่ได้รับการยกย่องมากมายเท่ากับยอดทหารทั้งสามนาย ดาวิดได้ตั้งเขาเป็นราชองครักษ์ของพระองค์
26 พวกทแกล้วทหารคืออาสาเฮล น้องชายของโยอาบ เอลฮานันบุตรชายของโดโดคนเบธเลเฮม 27 ชัมโมทคนฮาโรด เฮเลสคนเปโลน 28 อิราบุตรชายของอิกเขชคนเทโคอา อาบีเยเซอร์คนอานาโธท 29 สิบเบคัยคนหุชาห์ อิลัย คนอาโหอาห์ 30 มาหะรัยคนเนโทฟาห์ เฮเลด บุตรชายของบาอานาห์คนเนโทฟาห์
31 อิธัยบุตรชายของรีบัย แห่งเมืองกิเบอาห์ของคนเบนยามิน เบไนยาห์คนปิราโธน 32 หุรัยคนหุบเขากาอัช อาบีเอล คนอารบาห์ 33 อัสมาเวทคนบาฮูริม เอลียาบาคนชาอัลโบน 34 บุตรชายทั้งหลายของฮาเชมคนกิมโซ โยนาธาน บุตรชายของชากีคนฮาราห์ 35 อาหิอัมบุตรชายของสาคาร์คนฮาราห์ เอลีฟัลบุตรชายของอูระ
36 เฮเฟอร์คนเมเคราไธด์ อาหิยาห์คนเปโลน 37 เฮสโรคนคารเมล นาอารัยบุตรชายของเอสบัย 38 โยเอลน้องชายของนาธัน มิบฮาร์บุตรชายของฮากรี 39 เศเลกคนอัมโมน นาหะรัยคนเบเอโรท (ผู้ถืออาวุธประจำตัวของโยอาบ บุตรชายของนางเศรุยาห์) 40 อิรา คนอิทไรต์ กาเรบคนอิทไรต์
41 อุรียาห์คนฮิตไทต์ ศาบาด บุตรชายของอัคลัย 42 อาดีนาบุตรชายของชิซา คนรูเบน (หัวหน้าคนหนึ่งของคนรูเบน) และทหารสามสิบนายด้วยกันกับเขา 43 ฮานันบุตรชายของมาอาคาห์ และโยชาฟัทคนมิทเน 44 อุสชียาคนอัชทาโรท ชามาและเยอีเอล บุตรชายทั้งหลายของโฮธามคนอาโรเออร์ 45 เยดียาเอล บุตรชายของชิมรี โยฮา (น้องชายของเขา คนทิไซ)
46 เอลีเอล คนมาหะไวต์ เยรีบัย และโยชาวิยาห์ บุตรชายของเอลนาอัม อิทมาห์คนโมอับ 47 เอลีเอล โอเบด และยาอาซีเอล คนเมโซบัย
1 ผู้ชายเหล่านี้ได้มาหาดาวิดที่ศิกลาก ขณะที่เขาถูกขับออกไปให้พ้นจากพระพักตร์ของซาอูล บุตรชายของคีช เขาทั้งหลายอยู่ในท่ามกลางพวกทหาร พวกผู้ช่วยของเขาในการรบ 2 พวกเขาติดอาวุธคือธนูและสามารถใช้ได้ทั้งมือซ้ายมือขวาในการเหวี่ยงหินด้วยสลิงและยิงธนู พวกเขาเป็นคนเบนยามิน คนเผ่าเดียวกับซาอูล
3 อาหิเยเซอร์เป็นหัวหน้า ถัดไปคือโยอาชทั้งสองเป็นบุตรชายของเชมาอาห์คนเมืองกิเบอาห์ มีเยซีเอลกับเปเลทบุตรชายของอัสมาเวท มีเบราคาห์ เยฮูคนอานาโธทด้วย 4 อิชมัยยาห์คนกิเบโอน ทหารคนหนึ่งในพวกทหารสามสิบนายนั้น (และอยู่ในบังคับบัญชาของทหารสามสิบนายนั้น) เยเรมีย์ ยาซีเอล โยฮานัน โยซาบาด คนเกเดราห์ 5 เอลูซัย เยรีโมท เบอัลยาห์ เชมาริยาห์ เชฟาทิยาห์คนฮารูฟ 6 คนโคราห์คือเอลคานาห์ อิสซีอาห์ อาซาเรล โยเอเซอร์ ยาโชเบอัม และ 7 โยเอลาห์และเศบาดิยาห์ บุตรชายของเยโรฮัมแห่งเกโดร์
8 คนกาดบางส่วนได้มาร่วมกับดาวิด ณ ที่มั่นอันแข็งแรงในถิ่นทุรกันดาร พวกเขาเป็นผู้ชายที่ชำนาญในการสู้รบผู้ซึ่งถูกฝึกมาเพื่อการสู้รบ พวกเขาสามารถถือโล่และหอก หน้าของพวกเขาดุร้ายเหมือนหน้าพวกสิงโต พวกเขารวดเร็วเหมือนละมั่งบนภูเขา 9 มีเอเซอร์เป็นผู้นำ โอบาดีห์ลำดับที่สอง เอลีอับลำดับที่สาม 10 มิชมันนาห์ลำดับที่สี่ เยเรมีย์ลำดับที่ห้า 11 อัททัยลำดับที่หก เอลีเอลลำดับที่เจ็ด 12 โยฮานันลำดับที่แปด เอลซาบาดลำดับที่เก้า 13 เยเรมีย์ลำดับที่สิบ มัคบันนัยลำดับที่สิบเอ็ด
14 คนเหล่านี้เป็นบุตรชายของกาดซึ่งเป็นผู้นำของกองทัพ เป็นผู้นำทหารอย่างน้อยหนึ่งร้อยนาย และมากที่สุดเป็นผู้นำทหารหนึ่งพันนาย 15 พวกเขาได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดนในเดือนที่หนึ่งเมื่อน้ำท่วมฝั่งแม่น้ำ และขับไล่สิ่งที่มีชีวิตทั้งหลายในหุบเขาทั้งหลายไปทางฝั่งตะวันออกและไปทางฝั่งตะวันตก
16 พวกผู้ชายเบนยามินและยูดาห์ส่วนหนึ่งได้มาหาดาวิด ณ ที่มั่นที่แข็งแรง 17 ดาวิดได้ออกไปพบพวกเขา และพูดกับพวกเขาว่า “ถ้าท่านทั้งหลายมาอย่างสันติ มาเพื่อช่วยข้าพเจ้า ก็ขอเชิญมาร่วมกับข้าพเจ้า แต่ถ้าพวกท่านมาเพื่อที่จะขายข้าพเจ้าให้แก่พวกปฏิปักษ์ของข้าพเจ้า ก็ขอพระเจ้าแห่งบรรพบุรุษทั้งหลายของพวกเราทอดพระเนตร และทรงกล่าวโทษพวกท่านทั้งหลายเถิด เพราะว่าข้าพเจ้าไม่ได้กระทำความผิดใดๆ” 18 จากนั้นพระวิญญาณได้มาเหนืออามาสัย หัวหน้าของทั้งสามสิบคนนั้น อามาสัยได้พูดว่า “ดาวิด บุตรชายของเจสซี เราทั้งหลายเป็นของท่าน พวกเราอยู่ข้างท่าน สันติสุข ขอให้สันติสุขอยู่กับคนทั้งหลายที่สนับสนุนท่าน เพราะพระเจ้าของท่านช่วยท่าน" จากนั้นดาวิดได้รับพวกเขาไว้และได้ตั้งให้พวกเขาเป็นพวกผู้บังคับบัญชาผู้ชายทั้งหลายของเขา
19 คนบางส่วนจากมนัสเสห์ด้วยที่ถูกทอดทิ้งให้ดาวิด เมื่อเขาได้มากับคนฟีลิสเตียเพื่อทำสงครามกับซาอูล แต่พวกเขาไม่ได้ช่วยคนฟีลิสเตีย เพราะพวกเจ้านายคนฟีลิสเตียได้หารือกันและส่งดาวิดจากไป พวกเขาได้พูดว่า “เขาจะหลบหนีไปหาซาอูลเจ้านายของเขา เป็นการเสี่ยงชีวิตของพวกเรา” 20 เมื่อเขาไปยังศิกลาก พวกผู้ชายมนัสเสห์ผู้ซึ่งมาร่วมกับเขาคืออัดนาห์ โยซาบาด เยดียาเอล มีคาเอล โยซาบาด เอลีฮูและศิลเลธัย ผู้บังคับบัญชาทหารหนึ่งพันนายของมนัสเสห์ 21 เขาทั้งหลายได้ช่วยเหลือดาวิดต่อสู้พวกปล้น เพราะเขาทั้งหลายเป็นผู้ชายที่ชำนาญศึกทั้งสิ้นและภายหลังได้เป็นผู้บังคับบัญชาในกองทัพ 22 ทุกๆ วันมีพวกผู้ชายได้เข้าหาดาวิดเพื่อจะช่วยเหลือเขา จนกระทั่งกลายเป็นกองทัพใหญ่อย่างกองทัพของพระเจ้า
23 นี่เป็นบันทึกของพวกทหารติดอาวุธสำหรับสงคราม ผู้ได้มาหาดาวิดในเมืองเฮโบรน เพื่อจะเปลี่ยนราชอาณาจักรของซาอูลให้เป็นของเขา ตามที่พระวจนะของพระเจ้าได้กล่าวไว้ 24 จากคนยูดาห์ที่ถือโล่และหอกมี 6,800 คนเป็นผู้ที่ติดอาวุธ สำหรับสงคราม 25 จากคนสิเมโอน มีผู้ชายที่ชำนาญศึก 7,100 คน 26 จากคนเลวีมีผู้ชายที่ชำนาญศึก 4,600 คน
27 เยโฮยาดาเป็นผู้นำพวกเชื้อสายของอาโรน มีคนมากับเขา 3,700 คน 28 กับศาโดก ชายหนุ่มที่แข็งแรง และกระตือรือร้น มีผู้นำยี่สิบสองคนจากครอบครัวของบิดาของเขา 29 จากคนเบนยามิน เผ่าของซาอูลมีสามพันคน เกือบทั้งหมดของพวกเขายังคงจงรักภักดีต่อซาอูลจนกระทั่งถึงเวลานี้ 30 จากคนเอฟราอิมมีผู้ชายที่ชำนาญศึก 20,800 คน เป็นผู้ชายมีชื่อเสียงในครอบครัวทั้งหลายของพวกบิดาของพวกเขา 31 จากคนมนัสเสห์กึ่งเผ่ามีผู้ชายที่มีชื่อเสียง หนึ่งหมื่นแปดพันคน ผู้ซึ่งได้มาเพื่อทำให้ดาวิดเป็นกษัตริย์
32 จากคนอิสสาคาร์ มีผู้นำสองร้อยคนผู้ที่เข้าใจในเรื่องจังหวะเวลาและได้รู้ว่าคนอิสราเอลควรทำอะไร พวกญาติทั้งหมดของพวกเขาอยู่ใต้การบังคับบัญชาของพวกเขา 33 จากคนเศบูลุน มีผู้ชายที่ชำนาญศึกห้าหมื่นคนที่ถูกเตรียมมาพร้อมสำหรับการสู้รบ พร้อมด้วยอาวุธทุกอย่างเพื่อทำสงคราม และมีความจงรักภักดีเดียว 34 จากคนนัฟทาลี มีข้าราชการทั้งหลายหนึ่งพันคน และพร้อมกับพวกเขามีผู้ชายที่ติดโล่และหอกมาด้วยสามหมื่นเจ็ดพันคน
35 จากคนดาน มีผู้ชายที่เตรียมพร้อมทำสงคราม 28,600 คน 36 จากคนอาเชอร์ มีผู้ชายที่เตรียมพร้อมทำสงครามสี่หมื่นคน 37 จากอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดน จากคนรูเบน คนกาด และคนมนัสเสห์กึ่งเผ่า มี 120,000 คน ที่ติดอาวุธทุกอย่างเพื่อทำสงคราม
38 ทหารทั้งสิ้นเหล่านี้ พร้อมที่จะทำศึก ได้มายังเมืองเฮโบรน ด้วยเจตนาเต็มเปี่ยมที่จะให้ดาวิดเป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอลทั้งสิ้น คนอิสราเอลทั้งหมดที่เหลืออยู่ได้ตกลงกันที่จะให้ดาวิดเป็นกษัตริย์ด้วย 39 เขาทั้งหลายได้อยู่ที่นั่นกับดาวิดสามวัน กินและดื่ม เพราะว่าญาติของพวกเขาได้ส่งพวกเขามาด้วยการเตรียมการไว้ 40 ยิ่งกว่านั้น คนเหล่านั้นผู้ที่อยู่ใกล้เขาทั้งหลาย ที่ไกลออกไปถึงอิสสาคาร์ และเศบูลุน และนัฟทาลีได้จัดอาหารบรรทุกพวกลา อูฐ ล่อ และวัวกับขนม มะเดื่อ ช่อองุ่นแห้ง เหล้าองุ่น น้ำมัน วัว และแกะ เพราะว่าคนอิสราเอลได้มีการฉลอง
1 ดาวิดได้หารือกับพวกผู้บังคับบัญชาทหารกองพันและกองร้อย และผู้นำทุกคน 2 ดาวิดพูดกับชุมนุมชนอิสราเอลทั้งปวงว่า “ถ้าท่านทั้งหลายเห็นด้วยและถ้านี่มาจากพระยาห์เวห์พระเจ้าของเรา ก็ให้เราทั้งหลายส่งพวกคนสื่อสารไปทุกหนแห่ง ไปหาพวกพี่น้องของพวกเรา ผู้ที่ยังคงอยู่ในแผ่นดินอิสราเอลทั้งสิ้น ให้ไปยังพวกปุโรหิตและคนเลวีผู้ซึ่งอยู่ในเมืองต่างๆ ของพวกเขา จงบอกเขาทั้งหลายให้มาร่วมกับพวกเรา 3 ให้เราทั้งหลายนำหีบของพระเจ้าของพวกเรากลับมายังพวกเรา เพราะในรัชสมัยของซาอูลเราทั้งหลายมิได้แสวงหาน้ำพระทัยของพระองค์” 4 ที่ชุมนุมชนทั้งสิ้นนั้นจึงได้ตกลงที่จะกระทำสิ่งเหล่านี้ เพราะในสายตาของประชาชนทั้งหลาย พวกเขาเห็นชอบด้วย
5 ดังนั้นดาวิดจึงได้ประชุมคนอิสราเอลทั้งสิ้น จากแม่น้ำชิโหร์ในอียิปต์ ถึงทางเข้าเมืองฮามัท เพื่อจะเชิญหีบพระเจ้าจากคีริยาทเยอาริม 6 ดาวิดและอิสราเอลทั้งปวงได้ขึ้นไปยังบาอาลาห์ คือคีริยาทเยอาริมซึ่งเป็นของยูดาห์ เพื่อจะเชิญหีบของพระเจ้าจากที่นั่น ซึ่งได้ถูกเรียกโดยพระนามของพระยาห์เวห์ผู้ประทับเหนือพวกเครูบ 7 ดังนั้นเขาทั้งหลายได้บรรทุกหีบของพระเจ้าบนเกวียนเล่มใหม่ พวกเขาได้นำออกจากเรือนของอาบีนาดับ อุสซากับอาหิโยได้เป็นคนนำเกวียนนั้น 8 ดาวิดกับอิสราเอลทั้งปวงได้ฉลองต่อพระพักตร์พระเจ้าด้วยเต็มกำลังของเขาทั้งหลาย พวกเขาร้องเพลงด้วยเครื่องสาย รำมะนา ฉาบ และแตร
9 เมื่อเขาทั้งหลายได้เข้ามาถึงลานนวดข้าวของคิโดน อุสซาได้ยื่นมือออกจับหีบไว้เพราะโคสะดุด 10 ดังนั้นพระพิโรธของพระยาห์เวห์ได้พลุ่งขึ้นต่ออุสซา และพระยาห์เวห์ทรงประหารเขา เพราะอุสซาได้ยื่นมือออกจับหีบนั้น เขาจึงสิ้นชีวิตต่อพระพักตร์พระเจ้าที่นั่น 11 ดาวิดโกรธเพราะพระยาห์เวห์ทรงประหารอุสซา ที่นั่นถูกเรียกว่าเปเรศอุสซามาจนถึงทุกวันนี้ 12 ในวันนั้นดาวิดจึงได้เกรงกลัวต่อพระเจ้า เขาพูดว่า “เราจะนำหีบของพระเจ้ากลับบ้านเพื่อเราได้อย่างไร?” 13 ดังนั้นดาวิดจึงมิได้ย้ายหีบไปไว้ในนครของดาวิด แต่นำหีบไปไว้ที่ข้างบ้านโอเบดเอโดมคนกัท 14 หีบของพระเจ้ายังคงอยู่กับครัวเรือนของโอเบดเอโดมในบ้านของเขาสามเดือน ดังนั้นพระยาห์เวห์ทรงอำนวยพระพรแก่ครัวเรือนของโอเบดเอโดมกับทั้งสิ้นซึ่งเขามีอยู่
1 จากนั้นฮีรามกษัตริย์เมืองไทระ ได้ทรงส่งเหล่าทูตมาเฝ้าดาวิด พร้อมทั้งไม้สนสีดาร์ พวกช่างไม้และช่างก่อสร้าง พวกเขาได้สร้างวังสำหรับพระองค์ 2 ดาวิดทรงทราบว่าพระยาห์เวห์ได้ทรงตั้งพระองค์เป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอล และอาณาจักรของพระองค์เป็นที่ยกย่องสูงส่ง เพื่อเห็นแก่อิสราเอลประชากรของพระองค์
3 ในเยรูซาเล็ม ดาวิดทรงมีพระสนมเพิ่มมากขึ้น และพระองค์ได้ทรงเป็นพระบิดาของพวกโอรสและราชธิดา 4 ต่อไปนี้เป็นรายชื่อบรรดาโอรสซึ่งได้ประสูติให้กับพระองค์ในเยรูซาเล็มคือชัมมุวา โชบับ นาธัน ซาโลมอน 5 อิบฮาร์ เอลีชูวา เอลเปเลท 6 โนกาห์ เนเฟก ยาเฟีย 7 เอลีชามา เบเอลยาดา และเอลีเฟเลท
8 บัดนี้เมื่อคนฟีลิสเตียได้ยินว่าดาวิดทรงรับการเจิมเป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอลทั้งปวงแล้ว พวกเขาจึงออกไปแสวงหาดาวิด แต่ดาวิดทรงทราบเรื่องนี้และได้เสด็จออกไปต่อสู้พวกเขา 9 ขณะนั้นคนฟีลิสเตียได้เข้ามาและปล้นในหุบเขาเรฟาอิม 10 จากนั้นดาวิดได้ทรงทูลขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า พระองค์ได้ตรัสว่า “ควรที่ข้าพระองค์จะโจมตีพวกฟีลิสเตียหรือ? พระองค์จะทรงมอบชัยชนะเหนือพวกเขาหรือ?” พระยาห์เวห์ได้ตรัสตอบพระองค์ว่า “จงโจมตีเถิด เพราะเราจะมอบพวกเขาให้เจ้า” 11 ดังนั้นพวกเขาได้ขึ้นไปยังบาอัลเปราซิม และที่นั่นดาวิดได้ทรงรบชนะเขาทั้งหลายที่นั่น พระองค์ได้ตรัสว่า “พระเจ้าทรงเป็นเหมือนน้ำท่วม ที่ได้ทรงพลุ่งใส่เหล่าข้าศึกของข้าพระองค์โดยมือของข้าพระองค์” ดังนั้นชื่อของสถานที่นั้นจึงกลายเป็น บาอัลเปราซิม 12 พวกคนฟีลิสเตียได้ละทิ้งบรรดารูปเคารพของพวกเขาเสียที่นั่น และดาวิดได้ทรงมีพระบัญชาให้เผาบรรดารูปเคารพเหล่านั้น
13 จากนั้นคนฟีลิสเตียได้มาปล้นหุบเขานั้นอีกครั้ง 14 ดังนั้นดาวิดจึงทูลขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าอีก พระเจ้าตรัสกับพระองค์ว่า “เจ้าต้องไม่โจมตีพวกเขาซึ่งหน้า แต่จงล้อมพวกเขาจากด้านหลัง และโจมตีพวกเขาผ่านหมู่ต้นยาง 15 เมื่อเจ้าได้ยินเสียงกระบวนทัพในสายลมที่กำลังพัดผ่านบนยอดหมู่ต้นยางแล้ว จากนั้นจงโจมตีด้วยกองกำลัง จงกระทำอย่างนี้เพราะว่าพระเจ้าจะเสด็จออกไปข้างหน้าเจ้าเพื่อทรงโจมตีกองทัพคนฟีลิสเตีย” 16 ดังนั้นดาวิดได้ทรงกระทำตามที่พระเจ้าบัญชาแก่พระองค์ พระองค์จึงทรงชนะทัพคนฟีลิสเตียตั้งแต่เมืองกิเบโอนไปจนถึงเมืองเกเซอร์ 17 จากนั้นกิตติศัพท์ของดาวิดก็ลือไปทั่วทั้งแผ่นดิน และพระยาห์เวห์ทรงทำให้ประชาชาติทั้งปวงเกรงกลัวดาวิด
1 ดาวิดทรงสร้างพระราชวังต่างๆ เพื่อพระองค์เองในนครดาวิด พระองค์ทรงเตรียมที่ไว้สำหรับหีบของพระเจ้าและทรงตั้งเต็นท์ไว้ให้ 2 แล้วดาวิดตรัสว่า “คนเลวีเท่านั้นที่จะหามหีบของพระเจ้าได้ เพราะว่าพวกเขาได้ถูกเลือกโดยพระยาห์เวห์ให้หามหีบของพระยาห์เวห์ และปรนนิบัติพระองค์ตลอดไปเป็นนิตย์”
3 แล้วดาวิดทรงประชุมคนอิสราเอลทั้งหมดที่กรุงเยรูซาเล็ม เพื่อจะนำหีบของพระยาห์เวห์มาสู่สถานที่ซึ่งพระองค์ได้ทรงเตรียมไว้ 4 ดาวิดทรงรวบรวมเชื้อสายทั้งหลายของอาโรนและคนเลวี 5 จากเชื้อสายทั้งหลายของโคฮาท มีอุรีเอลเป็นผู้นำพร้อมกับพวกญาติผู้ชายของเขา 120 คน
6 จากเชื้อสายทั้งหลายของเมรารี มีอาสายาห์เป็นผู้นำพร้อมกับพวกญาติผู้ชายของเขา 220 คน 7 จากเชื้อสายทั้งหลายของเกอร์โชม มีโยเอลเป็นผู้นำกับพวกญาติผู้ชายของเขา 130 คน 8 จากเชื้อสายทั้งหลายของเอลีซาฟาน มีเชไมยาห์เป็นผู้นำกับพวกญาติผู้ชายของเขา 200 คน 9 จากเชื้อสายทั้งหลายของเฮโบรน มีเอลีเอลเป็นผู้นำกับพวกญาติผู้ชายของเขาแปดสิบคน 10 จากเชื้อสายทั้งหลายของอุสซีเอล มีอัมมีนาดับเป็นผู้นำกับพวกญาติผู้ชายของเขา 112 คน
11 ดาวิดทรงเรียกปุโรหิตคือ ศาโดกและอาบียาธาร์ และคนเลวีคืออุรีเอล อาสายาห์ โยเอล เชไมอาห์ เอลีเอลและอัมมีนาดับ 12 พระองค์ตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “เจ้าทั้งหลายเป็นผู้นำทั้งหลายของพวกครอบครัวคนเลวี จงชำระตัวของเจ้าทั้งหลายให้บริสุทธิ์ ทั้งตัวพวกเจ้าและพวกพี่น้องของเจ้า ดังนั้นพวกเจ้าจะได้นำหีบของพระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอลขึ้นมายังสถานที่ซึ่งเราได้จัดเตรียมไว้ 13 ในตอนแรกพวกเจ้าไม่ได้ไปหามหีบนั้น นั่นคือสาเหตุที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเราทรงพิโรธพลุ่งใส่พวกเรา เพราะพวกเราไม่ได้แสวงหาพระองค์ หรือเชื่อฟังพระบัญชาของพระองค์ 14 ดังนั้นเหล่าปุโรหิตและคนเลวีจึงชำระตัวของพวกเขาให้บริสุทธิ์ เพื่อที่พวกเขาจะสามารถนำหีบของพระยาห์เวห์พระเจ้าของคนอิสราเอลขึ้นมา 15 ดังนั้นคนเลวีจึงหามหีบของพระเจ้าบนบ่าของพวกเขาด้วยคานหามทั้งหลาย ดังที่โมเสสได้สั่งไว้ตามกฎทั้งหลายที่ถูกมอบไว้โดยพระดำรัสของพระยาห์เวห์
16 ดาวิดตรัสแก่บรรดาผู้นำของคนเลวีทั้งหลายเพื่อมอบหมายให้พวกพี่น้องของพวกเขาเป็นพวกนักดนตรีพร้อมกับเครื่องดนตรีทั้งหลาย เครื่องสายทั้งหลายคือ พิณใหญ่และฉาบเพื่อร้องเพลงด้วยเสียงดัง และด้วยความชื่นบาน 17 ดังนั้นคนเลวีจึงแต่งตั้งเฮมานบุตรชายของโยเอล และพวกพี่น้องคนหนึ่งของเขาด้วยคือ อาสาฟบุตรชายของเบเรคิยาห์ พวกเขาได้แต่งตั้งพวกญาติผู้ชายจากเชื้อสายทั้งหลายของเมรารี และเอธาน บุตรชายของคูชายาห์ 18 พร้อมกับพวกเขามีพวกญาติผู้ชายของพวกเขาในอันดับสองคือเศคาริยาห์ ยาอาซีเอล เชมิราโมท เยฮีเอล อุนนี เอลีอับ เบไนยาห์ มาอาเสยาห์ มัททีธิยาห์ เอลีเฟเลหุ มิกเนยาห์ โอเบดเอโดม และเยอีเอลให้เป็นพวกคนเฝ้าประตู
19 เหล่านักดนตรีคือเฮมาน อาสาฟ และเอธานได้รับแต่งตั้งเป็นคนตีฉาบทองสัมฤทธิ์เสียงดัง 20 เศคาริยาห์ อาซีเอล เชมิราโมท เยฮีเอล อุนนี เอลีอับ มาอาเสยาห์ และเบไนยาห์ เป็นผู้เล่นเครื่องสายทั้งหลายตามทำนองอาลาโมท 21 มัททีธิยาห์ เอลีเฟเลหุ มิกเนยาห์ โอเบดเอโดม เยอีเอล และอาซาซิยาห์เป็นผู้นำด้วยพิณใหญ่ตามทำนองเชมินิท 22 เคนานิยาห์ผู้นำของคนเลวี เป็นผู้อำนวยการของการร้องเพลง เพราะเขาเป็นครูสอนดนตรี 23 เบเรคิยาห์และเอลคานาห์ เป็นผู้รักษาหีบ 24 เชบานิยาห์ โยชาฟัท เนธันเอล อามาสัย เศคาริยาห์ เบไนยาห์ และเอลีเอเซอร์พวกปุโรหิตเป็นผู้เป่าแตรหน้าหีบของพระเจ้า โอเบดเอโดมและเยฮีห์เป็นผู้รักษาหีบ
25 ดังนั้นดาวิด บรรดาผู้อาวุโสของอิสราเอล และผู้บัญชากองพันจึงไปนำหีบพันธสัญญาของพระยาห์เวห์ออกมาจากบ้านของโอเบดเอโดมด้วยความเปรมปรีดิ์ 26 ในขณะที่พระเจ้าทรงช่วยคนเลวีผู้ซึ่งได้หามหีบพันธสัญญาของพระยาห์เวห์นั้น เขาทั้งหลายได้ถวายเครื่องบูชาเป็นวัวผู้เจ็ดตัวและแกะผู้เจ็ดตัว 27 ดาวิดทรงฉลองพระองค์ด้วยผ้าป่านเนื้อละเอียดเหมือนคนเลวีทั้งปวงผู้ซึ่งได้หามหีบ บรรดานักร้องและเคนานิยาห์ผู้นำการร้องเพลงพร้อมกับพวกนักร้อง ดาวิดได้ทรงสวมเอโฟดผ้าป่าน 28 ดังนั้นคนอิสราเอลทั้งปวงได้นำหีบพันธสัญญาของพระยาห์เวห์ขึ้นมาด้วยเสียงโห่ร้องยินดี และด้วยเสียงของเขาสัตว์ทั้งหลาย ด้วยฉาบ และด้วยเครื่องสายทั้งหลาย และพิณใหญ่
29 แต่เมื่อหีบพันธสัญญาของพระยาห์เวห์ได้มาถึงนครดาวิดแล้ว มีคาลราชธิดาของซาอูลทรงมองดูทางช่องหน้าต่าง พระนางทรงเห็นกษัตริย์ดาวิดกำลังทรงเต้นรำและทรงเฉลิมฉลองร่าเริงอยู่ พระนางจึงได้ทรงดูหมิ่นพระองค์ในใจ
1 เขาทั้งหลายได้นำหีบของพระเจ้าเข้ามา และได้วางไว้กลางเต็นท์ซึ่งดาวิดได้ทรงตั้งไว้ และเขาทั้งหลายได้ถวายเครื่องเผาบูชา และเครื่องศานติบูชาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า 2 เมื่อดาวิดได้ทรงถวายเครื่องเผาบูชา และเครื่องศานติบูชาเสร็จแล้ว พระองค์ได้ทรงอวยพรแก่ประชาชนในพระนามพระยาห์เวห์ 3 พระองค์ได้ทรงแจกขนมปังคนละก้อน และเนื้อหนึ่งชิ้น และขนมลูกเกดหนึ่งอันแก่คนอิสราเอลทุกคนทั้งพวกผู้ชายและพวกผู้หญิง
4 ดาวิดได้ทรงตั้งคนเลวีโดยเฉพาะบางคนเพื่อปรนนิบัติอยู่หน้าหีบของพระยาห์เวห์ และเพื่อฉลอง ขอบพระคุณและสรรเสริญพระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอล 5 คนเลวีเหล่านี้คืออาสาฟเป็นผู้นำ และรองจากเขาคือเศคาริยาห์ ยาซิเอล เชมิราโมท เยฮีเอล มัททีธิยาห์ เอลีอับ เบไนยาห์ โอเบดเอโดม และเยอีเอล พวกเขาจะเล่นเครื่องสายต่าง ๆ และด้วยพิณใหญ่ อาสาฟเป็นคนตีฉาบเสียงดัง 6 เบไนยาห์และยาฮาซีเอล ปุโรหิตจะเป่าพวกเขาสัตว์เป็นประจำต่อหน้าหีบพันธสัญญาของพระเจ้า
7 แล้วในวันนั้นดาวิดได้ทรงกำหนดเป็นครั้งแรกให้อาสาฟ และพวกพี่น้องของเขาให้ร้องเพลงขอบพระคุณถวายแด่พระยาห์เวห์ 8 จงขอบพระคุณแด่พระยาห์เวห์ จงร้องออกพระนามของพระองค์ จงประกาศบรรดาพระราชกิจของพระองค์ท่ามกลางชนชาติทั้งหลาย 9 จงร้องเพลงถวายพระองค์ ร้องเพลงสรรเสริญถวายพระองค์ จงกล่าวถึงพระราชกิจอันยิ่งใหญ่ทั้งสิ้นของพระองค์ 10 จงโอ้อวดในพระนามบริสุทธิ์ของพระองค์ จงให้จิตใจของบรรดาผู้แสวงหาพระยาห์เวห์ยินดี 11 จงแสวงหาพระยาห์เวห์ และพระกำลังของพระองค์ จงแสวงหาการสถิตอยู่ด้วยของพระองค์อย่างสม่ำเสมอ
12 จงระลึกถึงสิ่งทั้งหลายที่ยิ่งใหญ่ซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำ การอัศจรรย์ทั้งหลายของพระองค์และพระบัญชาทั้งหลายจากพระโอษฐ์ของพระองค์ 13 โอ เชื้อสายทั้งหลายของอิสราเอล ผู้รับใช้ของพระองค์ คนทั้งหลายของยาโคบ บรรดาผู้ที่ถูกเลือกสรรของพระองค์ 14 พระองค์คือพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเรา พระบัญชาทั้งหลายของพระองค์อยู่ทั่วทั้งแผ่นดินโลก
15 จงรักษาพันธสัญญาของพระองค์ไว้ในจิตใจตลอดไปเป็นนิตย์ คือพระวจนะที่พระองค์ได้ทรงบัญชาไว้เพื่อหนึ่งพันชั่วอายุคน 16 พระองค์ทรงระลึกถึงพันธสัญญาที่พระองค์ได้ทรงกระทำกับอับราฮัมและคำปฏิญาณของพระองค์ต่ออิสอัค 17 นี่คือสิ่งที่พระองค์ได้ทรงยืนยันกับยาโคบให้เป็นกฎเกณฑ์ และแก่คนอิสราเอลเป็นพันธสัญญานิรันดร์ 18 พระองค์ได้ตรัสว่า “เราจะให้แผ่นดินคานาอันแก่พวกเจ้าเป็นส่วนมรดกของเจ้าทั้งหลาย”
19 เราได้กล่าวสิ่งนี้มื่อพวกเจ้ายังเป็นแต่คนจำนวนน้อย น้อยมากจริงๆ และเป็นคนแปลกหน้าในแผ่นดินนั้น 20 พวกเขาได้พเนจรไปจากประชาชาติถึงประชาชาติ จากราชอาณาจักรหนึ่งไปยังอีกอาณาจักรหนึ่ง 21 พระองค์มิได้ทรงยอมให้ใครมาบีบบังคับพวกเขา พระองค์ได้ทรงลงโทษบรรดากษัตริย์เพราะเห็นแก่พวกเขา 22 พระองค์ได้ตรัสว่า “อย่าแตะต้องผู้ที่ได้ถูกเจิมไว้ของเรา อย่าทำอันตรายผู้เผยพระวจนะทั้งหลายของเรา”
23 แผ่นดินโลกทั้งสิ้น จงร้องเพลงถวายพระยาห์เวห์ จงประกาศความรอดของพระองค์วันต่อวัน 24 จงประกาศถึงพระสิริของพระองค์ ท่ามกลางบรรดาประชาชาติ พระราชกิจทั้งหลายที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์ท่ามกลางบรรดาประชาชาติ 25 เพราะพระยาห์เวห์นั้นยิ่งใหญ่ และทรงสมควรรับการสรรเสริญอย่างใหญ่ยิ่ง และพระองค์ได้ทรงเป็นที่เกรงกลัวเหนือพระทั้งปวง 26 เพราะพระทั้งปวงของประชาชาติทั้งหลายเป็นพวกรูปเคารพ แต่พระยาห์เวห์ได้เป็นผู้ทรงสร้างท้องฟ้า 27 พระสิริและความสง่างามอยู่เฉพาะพระพักตร์ของพระองค์ พระกำลังและความชื่นบานมีอยู่ในสถานที่ของพระองค์
28 จงพรรณาแก่พระยาห์เวห์ พวกตระกูลของชนชาติทั้งหลายเอ๋ย จงพรรณาถึงพระสิริและพระกำลังของพระยาห์เวห์ 29 จงพรรณาถึงพระเกียรติของพระยาห์เวห์ซึ่งควรแก่พระนามของพระองค์ จงนำเครื่องบูชาและมาเข้าเฝ้าต่อพระพักตร์พระองค์ จงโค้งคำนับต่อพระยาห์เวห์ในความบริสุทธิ์ที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์ 30 แผ่นดินโลกทั้งสิ้นเอ๋ย จงตัวสั่นเฉพาะพระพักตร์พระองค์ โลกได้ถูกสถาปนาไว้ด้วย มันจะไม่ถูกสั่นคลอนเลย
31 จงให้ท้องฟ้ายินดีและแผ่นดินโลกเปรมปรีดิ์ จงให้พวกเขาพูดท่ามกลางบรรดาประชาชาติว่า “พระยาห์เวห์ทรงครอบครอง” 32 จงให้ท้องทะเลคำราม และสิ่งทั้งหลายที่อยู่ในนั้นตะโกนด้วยความยินดี จงให้ทุ่งนากับทุกอย่างที่อยู่ในทุ่งนานั้นยินดี 33 แล้วจงให้ต้นไม้ทั้งสิ้นในป่านั้นตะโกนด้วยความยินดีเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์เพราะพระองค์กำลังเสด็จมาพิพากษาแผ่นดินโลก 34 จงขอบพระคุณพระยาห์เวห์เพราะพระองค์ดีประเสริฐ เพราะพันธสัญญาที่สัตย์ซื่อของพระองค์ดำรงอยู่เป็นนิตย์
35 จากนั้นจงกล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้าแห่งการช่วยให้รอดของข้าพระองค์ทั้งหลาย ขอทรงช่วยข้าพระองค์ทั้งหลายให้รอด ขอทรงรวบรวมข้าพระองค์ทั้งหลายและทรงช่วยกู้ข้าพระองค์ทั้งหลายจากบรรดาประชาชาติ ดังนั้นข้าพระองค์ทั้งหลายสมควรจะขอบพระคุณพระนามบริสุทธิ์ของพระองค์และพระสิริในการสรรเสริญพระองค์” 36 พระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอลสมควรได้รับการสรรเสริญตั้งแต่นิรันดร์กาลจนถึงนิรันดร์กาล ประชาชนทั้งสิ้นได้กล่าวว่า “อาเมน” และได้สรรเสริญพระยาห์เวห์
37 ดังนั้นดาวิดจึงได้ทรงมอบหมายให้อาสาฟและพวกพี่น้องของท่านอยู่ที่นั่นต่อหน้าหีบพันธสัญญาของพระยาห์เวห์ เพื่อปรนนิบัติอยู่ต่อหน้าหีบนั้นเรื่อยไป เป็นงานประจำวันที่ต้องทำ 38 โอเบดเอโดมและเหล่าญาติหกสิบแปดคนได้ถูกรวมอยู่ด้วย โอเบดเอโดมบุตรชายเยดูธูนกับโฮสาห์เป็นคนเฝ้าประตูทั้งหลาย 39 ศาโดกปุโรหิตและพี่น้องปุโรหิตทั้งหลายของเขาให้ปรนนิบัติรับใช้อยู่หน้าพลับพลาแห่งพระยาห์เวห์ที่ปูชนียสถานสูงในเมืองกิเบโอน
40 พวกเขาได้ถวายเครื่องเผาบูชาแด่พระยาห์เวห์บนแท่นสำหรับเผาเครื่องบูชาอย่างต่อเนื่องในเวลาเช้าและเวลาเย็น ตามซึ่งได้บันทึกไว้ทั้งสิ้นในธรรมบัญญัติของพระยาห์เวห์ ซึ่งพระองค์ได้ทรงบัญชาแก่อิสราเอล 41 เฮมานและเยดูธูนได้อยู่กับเขาทั้งหลาย รวมกับผู้ที่เหลืออยู่ผู้ซึ่งถูกเลือกสรรโดยชื่อ ให้ขอบพระคุณแด่พระยาห์เวห์เพราะพันธสัญญาที่สัตย์ซื่อของพระองค์ดำรงอยู่เป็นนิตย์ 42 เฮมานและเยดูธูนรับผิดชอบกับคนเหล่านั้นที่เล่นแตร ฉาบและอุปกรณ์อื่นๆ เพื่อดนตรีศักดิ์สิทธิ์นั้น บุตรชายทั้งหลายของเยดูธูนได้เฝ้าประตู 43 จากนั้นประชาชนทั้งปวงต่างก็ได้กลับไปยังบ้านของพวกเขา และดาวิดได้เสด็จกลับไปเพื่อทรงอวยพรแด่เชื้อพระวงศ์ของพระองค์
1 มันได้เกิดขึ้นหลังจากที่กษัตริย์ได้ประทับในพระราชวังของพระองค์ พระองค์ได้ตรัสกับนาธันผู้เผยพระวจนะว่า "ดูเถิด เราอาศัยในพระราชวังไม้สนสีดาร์ แต่หีบพันธสัญญาของพระยาห์เวห์อยู่ในเต็นท์" 2 แล้วนาธันได้ทูลดาวิดว่า "ขอทรงเสด็จไป และทำในสิ่งที่อยู่ในพระทัยของพระองค์ เพราะพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับพระองค์"
3 แต่ในคืนเดียวกันนั้น พระวจนะของพระเจ้าได้มาถึงนาธันว่า 4 "จงไปและบอกดาวิดผู้รับใช้ของเรา 'นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์ตรัส เจ้าจะไม่สร้างพระนิเวศให้เราอยู่อาศัย 5 เพราะเราไม่อาศัยในพระนิเวศตั้งแต่เวลาที่เราได้นำคนอิสราเอลขึ้นมาจนถึงทุกวันนี้ แทนที่เราจะอาศัยอยู่ในเต็นท์ พลับพลาในที่สถานที่ต่างๆ 6 ในทุกสถานที่เราได้เคลื่อนไหวท่ามกลางคนอิสราเอลทั้งหมด เราได้พูดอะไรกับพวกผู้นำอิสราเอลคนใดผู้ที่เราได้แต่งตั้งให้เลี้ยงดูประชาชนของเรา ว่า "ทำไมพวกเจ้าไม่สร้างพระนิเวศไม้สนสีดาร์ให้เรา?"'"
7 "บัดนี้ จงบอกดาวิดผู้รับใช้ของเราว่า 'นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์จอมโยธาตรัสว่า เราได้นำเจ้าจากทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ จากการติดตามฝูงแกะ ดังนั้นเจ้าจึงได้เป็นผู้ปกครองเหนืออิสราเอลประชาชนของเรา 8 เราได้อยู่กับเจ้าไม่ว่าเจ้าจะไปที่ไหนและได้ทำลายบรรดาศัตรูของเจ้าจากหน้าของเจ้า และเราจะทำให้เจ้ามีชื่อ เหมือนชื่อของผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งผู้ซึ่งอยู่บนโลกนี้ 9 เราจะกำหนดสถานที่สำหรับอิสราเอลประชาชนของเรา และจะปลูกพวกเขาที่นั่น ดังนั้นพวกเขาจะอาศัยในสถานที่ของพวกเขาเอง และจะไม่มีปัญหาอีกต่อไป คนชั่วร้ายทั้งหลายจะไม่ข่มเหงพวกเขาเหมือนที่พวกเขาได้ทำมาก่อนอีกต่อไป 10 เหมือนที่พวกเขาได้กำลังกระทำจากวันทั้งหลายที่เราได้บัญชาให้มีการพิพากษาเหนืออิสราเอลประชาชนของเรา แล้วเราจะปราบบรรดาศัตรูทั้งหมดของเจ้า ยิ่งกว่านั้นเราบอกเจ้าว่าเรา พระยาห์เวห์จะสร้างบ้านให้เจ้า
11 แล้วมันจะมาถึงเมื่อวันทั้งหลายของเจ้าครบถ้วนแล้วเจ้าไปอยู่กับบรรพบุรุษทั้งหลายของเจ้า เราจะยกเชื้อสายคนหนึ่งของเจ้าขึ้นหลังจากเจ้า และสำหรับคนหนึ่งของเชื้อสายทั้งหลายของเจ้า เราจะสถาปนาอาณาจักรของเขา 12 เขาจะสร้างพระนิเวศของเรา และเราจะสถาปนาพระราชบัลลังก์ของเขาตลอดไปเป็นนิตย์ 13 เราจะเป็นบิดาของเขา และเขาจะเป็นบุตรของเรา เราจะไม่นำพันธสัญญาสัตย์ซื่อของเราไปจากเขา เหมือนดังที่เราได้นำไปจากซาอูล ผู้ซึ่งปกครองอยู่ก่อนเจ้า 14 เราจะตั้งเขาเหนือพระนิเวศของเราและในราชอาณาจักรของเราเป็นนิตย์ และราชบัลลังก์ของเขาจะถูกสถาปนาเป็นนิตย์'" 15 นาธันได้ทูลต่อดาวิดและได้ถวายรายงานพระองค์ถึงพระวจนะทั้งหมดเหล่านี้ และเขาได้ทูลพระองค์ถึงนิมิตทั้งหมด
16 แล้วกษัตริย์ดาวิดได้เข้าไปข้างในและประทับต่อพระพักตร์พระยาห์เวห์ พระองค์ทูลว่า "ข้าแต่พระยาห์เวห์พระเจ้า ข้าพระองค์คือใคร และครอบครัวของข้าพระองค์เป็นใคร ที่พระองค์ได้ทรงนำข้าพระองค์มาถึงจุดนี้? 17 เพราะว่านี่เป็นสิ่งเล็กน้อยในสายพระเนตรของพระองค์ โอ พระเจ้า พระองค์ได้ตรัสถึงครอบครัวของผู้รับใช้พระองค์สำหรับความยิ่งใหญ่ในเวลาที่จะเข้ามาและสำแดงถึงคนรุ่นอายุถัดมาทั้งหลายแก่ข้าพระองค์ โอ พระเจ้าพระยาห์เวห์ 18 ข้าพระองค์คือดาวิดจะพูดอะไรถึงพระองค์มากไปกว่านี้ได้เล่า? พระองค์ได้ทรงให้เกียรติผู้รับใช้ของพระองค์ พระองค์ประทานการยอมรับอย่างพิเศษแก่ผู้รับใช้ของพระองค์
19 ข้าแต่พระยาห์เวห์ เพราะเห็นแก่ผู้รับใช้ของพระองค์ และเพื่อให้พระประสงค์ของพระองค์สำเร็จ พระองค์ได้ทรงกระทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่เพื่อเปิดเผยพระราชกิจที่ยิ่งใหญ่ทั้งสิ้นของพระองค์ 20 ข้าแต่พระยาห์เวห์ไม่มีเหมือนพระองค์ และไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ เท่าที่เราเคยได้ยิน 21 จะมีใครบนแผ่นดินโลกนี้เป็นเหมือนชนชาติอิสราเอลของพระองค์เล่า ผู้ซึ่งพระองค์ พระเจ้าได้ช่วยชีวิตออกจากอียิปต์เหมือนประชาชนสำหรับพระองค์เอง เพื่อทำให้พระนามเป็นที่ประจักษ์สำหรับพระองค์เองโดยพระราชกิจอันยิ่งใหญ่และน่าเกรงขาม? พระองค์ได้ขับไล่บรรดาประชาชาติไปจากหน้าประชาชนของพระองค์ ผู้ซึ่งพระองค์ได้ช่วยชีวิตจากอียิปต์ 22 พระองค์ได้ทำให้อิสราเอลเป็นประชาชนของพระองค์เองตลอดไปเป็นนิตย์ และพระองค์ พระยาห์เวห์ได้เป็นพระเจ้าของพวกเขา
23 ดังนั้น ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอให้คำสัญญาที่พระองค์ได้ทรงให้เกี่ยวกับผู้รับใช้ของพระองค์ และครอบครัวของเขาตั้งมั่นคงอยู่เป็นนิตย์ ขอพระองค์ทรงกระทำดังที่พระองค์ได้ตรัส 24 ขอให้พระนามของพระองค์ตั้งมั่นคงอยู่เป็นนิตย์และยิ่งใหญ่ ดังที่ประชาชนจะกล่าวว่า 'พระยาห์เวห์จอมโยธาคือพระเจ้าของอิสราเอล' ขณะที่บ้านของข้าพระองค์คือดาวิด ผู้รับใช้ของพระองค์ได้ตั้งอยู่ต่อพระพักตร์พระองค์ 25 เพราะพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ได้เปิดเผยแก่ผู้รับใช้ของพระองค์ที่พระองค์จะสร้างบ้านให้เขา นั่นคือทำไมข้าพระองค์ ผู้รับใช้ของพระองค์จึงได้มีกำลังใจที่จะอธิษฐานต่อพระองค์
26 บัดนี้ ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า และได้ให้สัญญาที่ดีแก่ผู้รับใช้ของพระองค์ 27 บัดนี้ขอพระองค์ได้โปรดทรงอวยพระพรแก่พงศ์พันธุ์ของผู้รับใช้ของพระองค์ตลอดไปเป็นนิตย์ต่อพระพักตร์พระองค์ ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระองค์ได้ทรงอวยพระพรสิ่งใด และสิ่งนั้นจะได้รับพระพรตลอดไปเป็นนิตย์
1 ต่อมาเมื่อดาวิดได้ทรงโจมตีคนฟีลิสเตียและทรงชนะพวกเขา พระองค์ทรงยึดเมืองกัทและหมู่บ้านต่างๆ ของเมืองนั้นจากการควบคุมของคนฟีลิสเตีย 2 จากนั้นพระองค์ได้ทรงชนะโมอับและคนโมอับก็ได้กลายเป็นพวกคนรับใช้ของดาวิดและนำบรรณาการมาถวายพระองค์
3 จากนั้นดาวิดได้ทรงชนะฮาดัดเอเซอร์กษัตริย์เมืองโศบาห์ที่เมืองฮามัท ขณะที่ฮาดัดเอเซอร์ได้กำลังเสด็จไปตั้งอาณาเขตของพระองค์ที่แม่น้ำยูเฟรติส 4 ดาวิดได้ทรงยึดรถม้าศึกจากเขาหนึ่งพันคัน พลม้าเจ็ดพันคน และทหารราบสองหมื่นคน ดาวิดได้ทรงตัดเอ็นโคนขาม้ารถม้าศึกเสียสิ้น แต่ได้ทรงเหลือไว้ให้พอแก่รถม้าศึกหนึ่งร้อยคัน 5 และเมื่อคนซีเรียเมืองดามัสกัสได้มาช่วยฮาดัดเอเซอร์ กษัตริย์เมืองโศบาห์ ดาวิดได้ทรงฆ่าคนซีเรียเสียสองหมื่นสองพันคน 6 แล้วดาวิดได้ทรงตั้งกองทหารรักษาการในซีเรียแห่งเมืองดามัสกัส และคนซีเรียได้กลายเป็นคนรับใช้ของพระองค์ และได้นำบรรณาการมาถวายพระองค์ พระยาห์เวห์ได้ประทานชัยชนะแก่ดาวิดทุกแห่งที่พระองค์ได้เสด็จไป 7 ดาวิดได้ทรงนำโล่ทองคำจากผู้รับใช้ของฮาดัดเอเซอร์ และนำไปยังเยรูซาเล็ม 8 ดาวิดได้ทรงนำทองสัมฤทธิ์เป็นอันมากจากทิบหาทและคูนซึ่งเป็นเมืองของฮาดัดเอเซอร์ ที่ภายหลังซาโลมอนได้ทรงใช้ทองสัมฤทธิ์นี้สร้างอ่างที่เรียกว่า "ทะเล" ทองสัมฤทธิ์ พวกเสาหาน และเครื่องใช้ทองสัมฤทธิ์
9 เมื่อโทอูกษัตริย์เมืองฮามัทได้ทรงได้ยินว่า ดาวิดได้ทรงชนะกองทัพทั้งสิ้นของฮาดัดเอเซอร์กษัตริย์เมืองโศบาห์แล้ว 10 และดังนั้นโทอูได้ทรงใช้ฮาโดรัมโอรสของพระองค์ไปเฝ้ากษัตริย์ดาวิดเพื่อคำนับพระองค์ และถวายพระพรพระองค์ ที่พระองค์ทรงได้ทรงกระทำอย่างนี้เพราะดาวิดได้ทรงรบกับฮาดัดเอเซอร์และได้ทรงชนะพระองค์ และเพราะว่าฮาดัดเอเซอร์ได้ทำสงครามต่อสู้โทอู ฮาโดรัมได้นำสิ่งของทั้งหลายที่ทำด้วยเงิน ทองคำ และทองสัมฤทธิ์มากับพระองค์ด้วย 11 กษัตริย์ดาวิดได้ทรงแยกถวายสิ่งเหล่านี้แด่พระยาห์เวห์พร้อมกับเงิน และทองคำซึ่งพระองค์ทรงนำมาจากประชาชาติทั้งปวงคือเอโดม โมอับ ประชาชนอัมโมน คนฟีลิสเตีย และอามาเลข
12 อาบีชัยบุตรชายนางเศรุยาห์ได้ฆ่าคนเอโดมหนึ่งหมื่นแปดพันคนในหุบเขาเกลือ 13 เขาได้ตั้งกองทหารประจำป้อมในเอโดม และคนเอโดมทั้งสิ้นจึงได้กลายเป็นคนรับใช้ของดาวิด พระยาห์เวห์ได้ประทานชัยชนะแก่ดาวิดทุกแห่งที่พระองค์ได้เสด็จไป
14 ดาวิดได้ทรงครองราชย์เหนืออิสราเอลทั้งสิ้น และพระองค์ได้ทรงบริหารอย่างยุติธรรมและชอบธรรมแก่ประชาชนทั้งสิ้นของพระองค์ 15 โยอาบบุตรชายของนางเศรุยาห์เป็นผู้บัญชาการกองทัพ และเยโฮชาฟัทบุตรชายของอาหิลูดเป็นผู้จดบันทึก 16 ศาโดกบุตรชายอาหิทูบและอาหิเมเลคบุตรชายของอาบียาธาร์เป็นพวกปุโรหิต และชาวะชาเป็นอาลักษณ์ 17 เบไนยาห์บุตรชายของเยโฮยาดาอยู่เหนือคนเคเรธีและคนเปเลธ และบรรดาโอรสของดาวิดก็เป็นผู้นำที่ปรึกษาทั้งหลายของกษัตริย์
1 แล้วสิ่งนี้ได้เกิดขึ้นต่อมา นาหาชกษัตริย์ของคนอัมโมนได้สิ้นพระชนม์ และโอรสของพระองค์ได้ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์แทน 2 ดาวิดได้ตรัสว่า “เราจะแสดงความเมตตาต่อฮานูนโอรสของนาหาช เพราะว่าบิดาของพระองค์ได้แสดงความเมตตาต่อเรา” ดังนั้นดาวิดจึงได้ทรงส่งคณะทูตไปปลอบโยนพระองค์เกี่ยวกับพระบิดาของพระองค์ พวกข้าราชการของดาวิดได้เข้าไปในแผ่นดินของคนอัมโมนและได้ไปเข้าเฝ้าฮานูน เพื่อจะปลอบโยนพระองค์ 3 แต่บรรดาเจ้านายของคนอัมโมนได้ทูลฮานูนว่า “ฝ่าพระบาททรงคิดหรือว่า ดาวิดทรงให้เกียรติพระราชบิดาของฝ่าพระบาทเพราะพระองค์ได้ส่งพวกผู้ชายมาปลอบโยนฝ่าพระบาทเช่นนั้นหรือ? เหล่าข้าราชการของพระองค์มาหาฝ่าพระบาทเพื่อสำรวจและตรวจสอบแผ่นดินเพื่อจะล้มล้างมันไม่ใช่หรือ?” 4 ดังนั้นฮานูนจึงได้จับเหล่าข้าราชการของดาวิดและได้ทรงโกนเคราของพวกเขาเสีย และได้ทรงตัดเครื่องแต่งกายเสียที่ตรงกลางจนถึงสะโพก และได้ทรงปล่อยพวกเขากลับไป 5 เมื่อพวกเขาได้กราบทูลเรื่องนี้ต่อดาวิดพระองค์ได้ทรงใช้คนไปหาพวกเขา เพราะผู้ชายเหล่านั้นอายมาก กษัตริย์ได้ตรัสว่า “จงพักอยู่ที่เมืองเยรีโคจนกว่าเคราของท่านทั้งหลายจะขึ้น แล้วค่อยกลับมา”
6 เมื่อคนอัมโมนได้เห็นว่า พวกเขาได้กลายเป็นที่เกลียดชังแก่ดาวิด ฮานูนและคนอัมโมนจึงได้ส่งเงินหนึ่งพันตะลันต์ไปจ้างรถม้าศึก และทหารม้าคนอารัมจากเมืองนาฮาราอิม เมืองมาอาคาห์ และเมืองโศบาห์ 7 พวกเขาได้จ้างรถม้าศึกสามหมื่นสองพันคันพร้อมด้วยกษัตริย์เมืองมาอาคาห์กับประชาชนของพระองค์ ผู้ซึ่งได้มาและได้ตั้งค่ายอยู่ที่หน้าเมืองเมเดบา คนอัมโมนก็ได้รวบรวมพวกตนเองจากเมืองต่างๆ ของเขาทั้งหลาย และได้ออกมาเพื่อทำสงคราม 8 เมื่อดาวิดได้ทรงทราบเรื่อง พระองค์ได้ทรงส่งโยอาบ และกองทัพของพระองค์ทั้งสิ้นไปพบพวกเขา 9 คนอัมโมนได้ออกมาจัดทัพเพื่อทำสงครามที่ประตูเมือง ขณะที่บรรดากษัตริย์ผู้ซึ่งได้มาก็อยู่ตามลำพังในท้องทุ่ง
10 เมื่อโยอาบได้เห็นว่าแนวรบนั้นประชิดหน้าท่านอยู่ทั้งข้างหน้าและข้างหลัง ท่านได้คัดเอาคนอิสราเอลที่มีฝีมือในการต่อสู้ที่ดีที่สุดและจัดเตรียมพวกเขาไปต่อสู้คนอารัม 11 ส่วนกองทัพที่เหลือ ท่านได้มอบไว้ในการบัญชาการของอาบีชัยน้องชายของท่าน และท่านได้นำพวกเขาเข้าสู่แนวรบต่อสู้กองทัพคนอัมโมน 12 และโยอับได้พูดว่า “ถ้ากำลังคนซีเรียแข็งแรงเหลือกำลังของเรา แล้วอาบีชัย เจ้าต้องมาช่วยเรา แต่ถ้ากองทัพคนอัมโมนแข็งแรงเกินกำลังของเจ้า แล้วเราจะมาและช่วยเจ้า 13 จงเข้มแข็ง และให้เราแสดงว่าพวกเราเองเข้มแข็งเพื่อประชาชนของเรา และเพื่อเมืองทั้งหลายของพระเจ้าของเรา เพราะพระยาห์เวห์จะทรงกระทำสิ่งที่ดีสำหรับพระประสงค์ของพระองค์” 14 ดังนั้นโยอาบและพวกทหารของกองทัพของท่านได้บุกเข้าไปทำสงครามกับคนซีเรียผู้ซึ่งถูกผลักดันให้แตกหนีไปต่อหน้ากองทัพอิสราเอล 15 เมื่อกองทัพอัมโมนได้เห็นว่าคนซีเรียได้หนีไปแล้ว พวกเขาก็ได้หนีไปจากอาบีชัยน้องชายของโยอาบด้วย และได้กลับเข้าไปในเมือง แล้วโยอาบได้กลับไปจากประชาชนอัมโมนและได้กลับไปยังเยรูซาเล็ม
16 เมื่อคนซีเรียได้เห็นว่าพวกเขาได้ถูกทำให้พ่ายแพ้โดยอิสราเอล พวกเขาได้ขอกำลังเสริมจากอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำยูเฟรติสมา พร้อมกับโชฟัคผู้บังคับบัญชากองทัพของฮาดัดเอเซอร์ 17 เมื่อดาวิดได้ทรงทราบเรื่องนี้ พระองค์ได้ทรงรวมอิสราเอลทั้งสิ้นเข้าด้วยกัน ได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดน และได้มาหาพวกเขา พระองค์ได้จัดกองทัพเพื่อทำสงครามต่อสู้คนอารัม และพวกเขาได้ต่อสู้กับพระองค์ 18 คนอารัมได้แตกหนีไปจากอิสราเอล และดาวิดได้ทรงฆ่าทหารรถม้าศึกคนอารัมเจ็ดพันคน และทหารราบสี่หมื่นคน พระองค์ได้ทรงฆ่าโชฟัคผู้บัญชาการกองทัพนั้นด้วย 19 เมื่อเหล่ากษัตริย์ผู้ซึ่งเป็นคนรับใช้ของฮาดัดเอเซอร์ได้เห็นว่าพวกเขาได้ถูกทำให้พ่ายแพ้โดยอิสราเอล พวกเขาได้ยอมสงบศึกกับดาวิด และรับใช้พวกเขา ดังนั้นคนอารัมจึงไม่ยินยอมที่จะช่วยคนอัมโมนอีกต่อไป
1 ครั้นถึงฤดูใบไม้ผลิ ในเวลาปกติเมื่อบรรดากษัตริย์ยกกองทัพออกไปเพื่อทำสงคราม โยอาบก็ได้นำกองทัพไปในการรบและได้ทำลายแผ่นดินของคนอัมโมน เขาได้ไปและล้อมเมืองรับบาห์ไว้ ดาวิดได้ยังคงประทับอยู่ในเยรูซาเล็ม โยอาบได้โจมตีเมืองรับบาห์ และได้ชัยชนะ 2 ดาวิดได้ทรงถอดมงกุฎจากพระเศียรของกษัตริย์ของเขาทั้งหลาย และพระองค์ได้ทรงพบว่า มงกุฎนั้นมีทองคำหนักหนึ่งตะลัันต์ และมีเพชรพลอยประดับ มงกุฏนั้นได้ถูกสวมบนพระเศียรของดาวิด และพระองค์ได้ทรงนำออกจากของที่ริบจากเมืองนั้นมากมาย 3 พระองค์ได้ทรงนำประชาชนที่อยู่ในเมืองนั้นออกมา บังคับพวกเขาให้ทำงานอยู่กับเลื่อย และพวกเหล็กขุดและพวกขวาน ดาวิดได้ทรงบังคับเมืองทั้งหลายของคนอัมโมนให้ทำงานกรรมกรนี้ แล้วดาวิดกับกองทัพทั้งปวงก็ได้กลับสู่เยรูซาเล็ม
4 อยู่มาภายหลังเหตุการณ์นี้ ได้เกิดสงครามขึ้นกับคนฟีลิสเตียที่เมืองเกเซอร์ สิบเบคัยคนหุชาห์ได้ฆ่าสิปปัยคนหนึ่งในเชื้อสายทั้งหลายของคนเรฟาอิมเสีย และคนฟีลิสเตียก็ได้ถูกปราบ 5 แล้วมีสงครามกับคนฟีลิสเตียอีกที่เมืองโกบ ที่เอลฮานันบุตรชายของยาอีร์คนเบธเลเฮมได้ฆ่าลามี น้องชายของโกลิอัทชาวกัทผู้มีหอกด้ามโตเท่าไม้กระพั่นทอผ้า 6 และมีสงครามที่เมืองกัทอีก มีชายคนหนึ่งรูปร่างสูงใหญ่ ผู้ซึ่งมีนิ้วมือข้างละหกนิ้ว และนิ้วเท้าข้างละหกนิ้ว เขาได้สืบเชื้อสายมาจากคนเรฟาอิมด้วย 7 เมื่อเขาได้ท้าทายกองทัพอิสราเอล เยโฮนาดับบุตรชายของชิเมอี พระเชษฐาของดาวิดได้ฆ่าเขาเสีย 8 คนเหล่านี้เป็นบรรดาเชื้อสายทั้งหลายของคนเรฟาอิมเมืองกัท และพวกเขาได้ถูกฆ่าด้วยพระหัตถ์ของดาวิดและด้วยมือพวกทหารของพระองค์
1 ซาตานได้ลุกขึ้นต่อสู้อิสราเอล และเร้าใจให้ดาวิดนับจำนวนอิสราเอล 2 ดาวิดตรัสกับโยอาบและบรรดาผู้บัญชาการของกองทัพว่า “จงไปและนับคนอิสราเอลตั้งแต่เมืองเบเออร์เชบาถึงเมืองดาน แล้วนำรายงานมาให้เรา เพื่อที่เราจะได้ทราบจำนวนของเขาทั้งหลาย” 3 โยอาบทูลว่า “ขอพระยาห์เวห์ทรงเพิ่มกองทัพของพระองค์อีกร้อยเท่าของที่มีอยู่ ข้าแต่กษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์ พวกเขาทั้งหมดไม่ได้รับใช้เจ้านายของข้าพระองค์หรือ? ทำไมเจ้านายของข้าพระองค์ทรงต้องการเช่นนี้? ทำไมพระองค์จึงทรงนำความผิดมาสู่อิสราเอล?” 4 แต่พระบัญชาของกษัตริย์เป็นที่สิ้นสุดโยอาบขัดรับสั่งไม่ได้ ดังนั้นโยอาบจึงออกไปทั่วอิสราเอลทั้งสิ้น และเขากลับมายังเยรูซาเล็ม 5 แล้วโยอาบได้ถวายรายงานจำนวนพวกผู้ชายที่เป็นนักรบเพื่อดาวิด ในอิสราเอลมีทั้งสิ้น 1,100,000 คนที่เป็นนักรบ เฉพาะยูดาห์มี 470,000 คนที่เป็นทหาร 6 แต่ไม่ได้นับรวมคนเลวีและคนเบนยามิน เนื่องจากพระบัญชาของกษัตริย์นั้นทำให้โยอาบไม่พอใจ
7 โดยการกระทำนี้พระเจ้าไม่ทรงพอพระทัย ดังนั้นพระองค์จึงทรงโจมตีอิสราเอล 8 ดาวิดทูลพระเจ้าว่า “ข้าพระองค์ได้ทำบาปใหญ่ยิ่งโดยการกระทำนี้ บัดนี้ขอทรงนำเอาความผิดของผู้รับใช้ของพระองค์ไป เพราะข้าพระองค์ทำการอย่างโง่เขลามาก” 9 พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับกาดผู้เผยพระวจนะของดาวิดว่า
10 “จงไปบอกดาวิดว่า 'นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์ตรัสคือว่า เราเสนอเจ้าสามประการ จงเลือกเอาประการหนึ่ง’” 11 ดังนั้นกาดจึงได้เข้าเฝ้าดาวิดและกราบทูลพระองค์ว่า “พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า 'จงเลือกหนึ่งในสิ่งเหล่านี้ 12 ว่าจะเป็นกันดารอาหารสามปี หรือการกวาดล้างสามเดือนโดยศัตรูของเจ้า และดาบของศัตรูจะไล่ทันเจ้า หรือโดนดาบของพระยาห์เวห์สามวันนั่นคือโรคระบาดบนแผ่นดิน และด้วยทูตสวรรค์ของพระยาห์เวห์ทำลายตลอดทั่วทั้งแผ่นดินทั้งสิ้นของอิสราเอล' บัดนี้ขอทรงตัดสินพระทัยว่าจะให้ข้าพระบาทกลับไปทูลพระองค์ผู้ได้ทรงส่งข้าพระบาทมาว่าประการใด” 13 แล้วดาวิดตรัสกับกาดว่า “เรามีความทุกข์ใจมาก ขอให้เราตกเข้าไปอยู่ในพระหัตถ์ของพระยาห์เวห์ดีกว่าที่จะตกอยู่ในมือของมนุษย์ เพราะพระกรุณาของพระองค์นั้นใหญ่ยิ่งนัก”
14 ดังนั้นพระยาห์เวห์จึงทรงส่งโรคระบาดไปบนอิสราเอล และคนอิสราเอลได้ล้มตายไปเจ็ดหมื่นคน 15 พระเจ้าทรงใช้ทูตสวรรค์ไปยังเยรูซาเล็มเพื่อจะทำลายเสีย แต่เมื่อท่านจะลงมือทำลายนั้น พระยาห์เวห์ทรงเฝ้าดูและพระองค์ทรงกลับพระทัยในการที่จะทำให้เกิดความเสียหายนั้น พระองค์ตรัสกับทูตสวรรค์ผู้ที่กำลังจะทำลายนั้นว่า “พอแล้ว จงยับยั้งมือของเจ้า” ในเวลานั้นทูตสวรรค์ของพระยาห์เวห์กำลังยืนอยู่ที่ลานนวดข้าวของโอรนันคนเยบุส 16 และดาวิดจึงแหงนพระพักตร์ขึ้น และทรงเห็นทูตสวรรค์ของพระยาห์เวห์ กำลังยืนอยู่ระหว่างแผ่นดินโลกและท้องฟ้า และกำลังชักดาบในมือของเขายกขึ้นเหนือเยรูซาเล็ม แล้วดาวิดและพวกผู้ใหญ่ได้สวมผ้ากระสอบซบหน้าลงบนพื้น 17 ดาวิดทูลกับพระเจ้าว่า “ข้าพระองค์เองไม่ใช่หรือที่บัญชาให้นับกองทัพ? ข้าพระองค์ได้ทำสิ่งที่ชั่วร้ายนี้ แต่บรรดาแกะเหล่านี้พวกเขาได้ทำอะไร? ข้าแต่พระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพระองค์ ขอให้พระหัตถ์ของพระองค์โจมตีข้าพระองค์ และครอบครัวของข้าพระองค์ แต่ขออย่าให้โรคร้ายนั้นคงอยู่บนประชากรของพระองค์”
18 ดังนั้นทูตสวรรค์ของพระยาห์เวห์จึงบัญชาให้กาดทูลดาวิดว่า ดาวิดควรเสด็จขึ้นไปสร้างแท่นบูชาถวายแด่พระยาห์เวห์ที่ลานนวดข้าวของโอรนันคนเยบุส 19 ดังนั้นดาวิดจึงเสด็จขึ้นไปตามคำของกาดที่ได้สั่งให้พระองค์เพื่อที่จะทรงกระทำในพระนามของพระยาห์เวห์ 20 ในขณะที่โอรนัมกำลังนวดข้าวสาลี เขาหันมาเห็นทูตสวรรค์ เขาและบุตรชายสี่คนของเขาที่อยู่กับเขาได้ซ่อนตัวพวกเขาเอง 21 เมื่อดาวิดเสด็จเข้ามายังโอรนัน โอรนันได้มองเห็นดาวิด เขาจึงละลานนวดข้าวและถวายบังคมต่อดาวิดด้วยการซบหน้าลงถึงดิน
22 แล้วดาวิดตรัสกับโอรนันว่า “จงขายที่ลานนวดข้าวแก่เรา เพื่อเราจะสามารถสร้างแท่นบูชาสำหรับพระยาห์เวห์ เราจะจ่ายเต็มตามราคา เพื่อว่าภัยพิบัตินั้นจะได้หมดไปจากประชาชน” 23 โอรนันทูลดาวิดว่า “ขอทรงรับที่ดินนี้เป็นของพระองค์เถิด กษัตริย์เจ้านายของข้าพระองค์ ขอทรงทำสิ่งที่ดีในสายพระเนตรพระองค์เถิด ดูเถิดข้าพระองค์จะถวายโคให้พระองค์เพื่อสำหรับเป็นเครื่องเผาบูชา และถวายเลื่อนนวดข้าวให้เป็นฟืน และข้าวสาลีเป็นธัญบูชา ข้าพระองค์จะขอถวายทั้งหมดแด่พระองค์” 24 กษัตริย์ดาวิดตรัสกับโอรนันว่า “ไม่ได้ เรายืนยันที่จะซื้อที่ดินนี้เต็มตามราคา เราจะไม่เอาของของเจ้าและถวายเป็นเครื่องเผาบูชาแด่พระยาห์เวห์หากสิ่งนั้นเราได้มาเปล่าๆ" 25 ดังนั้นดาวิดจึงทรงจ่ายให้โอรนันเป็นทองคำหกร้อยเชเขลเพื่อสถานที่นั้น 26 ดาวิดได้ทรงสร้างแท่นบูชาสำหรับพระยาห์เวห์ที่นั่น และทรงถวายเครื่องเผาบูชาและเครื่องศานติบูชาบนนั้น พระองค์ร้องทูลต่อพระยาห์เวห์ ผู้ทรงตอบพระองค์ด้วยไฟจากท้องฟ้าบนแท่นบูชาเพื่อการถวายเครื่องเผาบูชา 27 แล้วพระยาห์เวห์ทรงบัญชาแก่ทูตสวรรค์ และทูตสวรรค์นั้นได้เอาดาบของเขากลับใส่ฝักของมันเสีย
28 เมื่อดาวิดทรงเห็นว่าพระยาห์เวห์ได้ทรงตอบพระองค์ที่ลานนวดข้าวของโอรนันคนเยบุส พระองค์ทรงถวายสัตวบูชาที่นั่นในเวลาเดียวกัน 29 บัดนี้ในเวลานั้น พลับพลาของพระยาห์เวห์ซึ่งโมเสสได้สร้างขึ้นในถิ่นทุรกันดาร และแท่นเผาบูชาเครื่องเผาบูชา อยู่ที่สถานที่สูงที่กิเบโอน 30 อย่างไรก็ตาม ดาวิดไม่ทรงสามารถเสด็จไปที่นั่นเพื่อทูลถามการทรงนำของพระเจ้าได้ เพราะพระองค์ทรงกลัวดาบของทูตสวรรค์ของพระยาห์เวห์
1 แล้วดาวิดได้ตรัสว่า “นี่คือสถานที่สำหรับพระนิเวศของพระยาห์เวห์พระเจ้าที่จะอยู่ พร้อมกับแท่นเผาเครื่องบูชาของอิสราเอล” 2 ดังนั้นดาวิดได้ทรงบัญชาแก่คนรับใช้ทั้งหลายของพระองค์ให้รวบรวมพวกคนต่างด้าวที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินอิสราเอล พระองค์ได้ทรงมอบหมายให้พวกเขาเป็นคนสกัดหินเพื่อสกัดหินเป็นก้อนๆ เพื่อสร้างพระนิเวศของพระเจ้า 3 ดาวิดยังได้ทรงเตรียมเหล็กเป็นจำนวนมาก เพื่อเป็นตะปูสำหรับประตูทั้งหลายที่จะเข้าไปสู่ประตูทางเข้าและเป็นเหล็กหนีบ พระองค์ได้ประทานทองสัมฤทธิ์เป็นจำนวนมากเหลือที่จะชั่งได้ 4 และไม้สนสีดาร์นับไม่ถ้วน (ชาวไซดอน และชาวไทระ ได้นำไม้สนสีดาร์จำนวนมากมายมาถวายให้ดาวิดนับ) 5 ดาวิดตรัสว่า “ซาโลมอนบุตรชายของเรายังหนุ่มและอ่อนประสบการณ์ และพระนิเวศซึ่งจะถูกสร้างขึ้นสำหรับพระยาห์เวห์นั้นต้องงดงามอย่างยิ่ง เพื่อที่จะมีชื่อเสียงและสง่าราศีในแผ่นดินทั้งหมด เพราะฉะนั้นเราจึงจะจัดเตรียมการก่อสร้างไว้” ดังนั้นดาวิดจึงได้ทรงจัดเตรียมไว้มากมายก่อนพระองค์สิ้นพระชนม์
6 จากนั้นพระองค์ได้ทรงเรียกหาซาโลมอนโอรสของพระองค์ และมีพระบัญชาแก่ท่านให้สร้างพระนิเวศสำหรับพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล 7 ดาวิดตรัสกับซาโลมอน ว่า “ลูกชายของเราเอ๋ย มันเป็นความตั้งใจของเราที่จะสร้างพระนิเวศด้วยตัวเรา สำหรับพระนามแห่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของเรา 8 แต่พระยาห์เวห์ได้เสด็จมาหาเราและตรัสว่า ‘เจ้าได้ทำให้โลหิตตกเป็นอันมาก และได้ทำสงครามมากมาย เจ้าจะไม่ได้สร้างพระนิเวศเพื่อนามของเรา เพราะเจ้าได้ทำให้โลหิตตกเป็นอันมากบนพื้นแผ่นดินในสายตาของเรา
9 อย่างไรก็ดี เจ้าจะมีบุตรชายคนหนึ่งผู้ซึ่งจะเป็นสันติบุรุษ เราจะให้เขาพักสงบจากศัตรูทั้งสิ้นของเขาโดยรอบด้าน เพราะชื่อของเขาคือซาโลมอน และเราจะให้สันติภาพและความสงบแก่อิสราเอลในรัชสมัยของเขา 10 เขาจะสร้างนิเวศเพื่อนามของเรา เขาจะเป็นบุตรชายของเรา และเราจะเป็นบิดาของเขา เราจะสถาปนาบัลลังก์แห่งราชอาณาจักรของเขาเหนืออิสราเอลตลอดไปเป็นนิตย์’ 11 บัดนี้ บุตรชายของเราเอ๋ย ขอพระยาห์เวห์สถิตอยู่กับเจ้า และสามารถทำให้เจ้าประสบความสำเร็จ ขอให้เจ้าสร้างพระนิเวศของพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า ตามที่พระองค์ได้ตรัสว่าเจ้าจะทำ
12 ขอเพียงพระยาห์เวห์ประทานให้เจ้ามีความเฉลียวฉลาด และความเข้าใจ เพื่อที่เจ้าจะเชื่อฟังพระบัญญัติของพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า เมื่อพระองค์ตั้งเจ้าให้อยู่เหนืออิสราเอล 13 แล้วเจ้าจะประสบความสำเร็จ ถ้าเจ้าเชื่อฟังบทบัญญัติทั้งหลายและพระบัญชาทั้งหลายที่พระยาห์เวห์ได้ทรงประทานแก่โมเสสเกี่ยวกับอิสราเอลอย่างระมัดระวัง จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด อย่ากลัวและอย่าหวาดหวั่นเลย 14 บัดนี้จงดูเถิด เราได้จัดเตรียมไว้เพื่อพระนิเวศของพระยาห์เวห์ด้วยความเหนื่อยยาก เป็นทองคำ 100,000 ตะลันต์ เงินหนึ่งล้านตะลันต์ และทองสัมฤทธิ์และเหล็กจำนวนมากมาย เราได้เตรียมไม้และหินด้วย เจ้าต้องเพิ่มเติมอีกมากเพื่อทั้งหมดนี้ 15 เจ้ามีคนทำงานมากมายอยู่กับเจ้าคือ ช่างสกัดหิน ช่างก่อ ช่างไม้ และช่างผู้ชำนาญในงานทุกชนิด 16 ที่เกี่ยวกับทองคำ เงิน ทองสัมฤทธิ์ และเหล็ก ดังนั้นจงเริ่มต้นทำงานเถอะ และขอพระยาห์เวห์สถิตอยู่กับเจ้า”
17 ดาวิดได้ทรงบัญชาผู้นำทั้งปวงของอิสราเอลให้ช่วยซาโลมอนโอรสของพระองค์ด้วย ตรัสว่า 18 “พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านทรงอยู่กับพวกท่าน และได้ประทานสันติภาพในทุกๆ ด้าน พระองค์ได้ประทานชาวแผ่นดินนี้ไว้ในมือของเรา แผ่นดินนั้นก็ราบคาบเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์และต่อหน้าประชากรของพระองค์ 19 บัดนี้จงแสวงหาพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านด้วยจิตใจและจิตวิญญาณทั้งหมดของพวกท่าน จงลุกขึ้นและสร้างบริสุทธิ์สถานของพระยาห์เวห์พระเจ้า จากนั้นพวกเจ้าจึงจะสามารถนำหีบพันธสัญญาของพระยาห์เวห์ และบรรดาสิ่งที่เป็นของพระเจ้า เข้ามาในพระนิเวศที่สร้างขึ้นเพื่อพระนามของพระยาห์เวห์”
1 เมื่อดาวิดทรงชราและใกล้จะถึงวาระสุดท้ายแห่งชีวิต พระองค์ได้ทรงตั้งซาโลมอน พระราชโอรสของพระองค์เป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอล 2 พระองค์ทรงเรียกประชุมผู้นำทั้งสิ้นของอิสราเอล พร้อมทั้งบรรดาปุโรหิตและคนเลวี 3 คนเลวีที่มีอายุสามสิบปีและมากกว่านั้นก็ได้ถูกนับไว้ พวกเขานับได้สามหมื่นแปดพันคน ดาวิดตรัสว่า 4 “จากพวกนี้สองหมื่นสี่พันคนจะต้องดูแลการงานในพระนิเวศของพระยาห์เวห์ และหกพันคนเป็นพวกเจ้าหน้าที่และพวกผู้วินิจฉัย 5 สี่พันคนเป็นพวกนายประตู และอีกสี่พันคนได้ให้ถวายสรรเสริญพระยาห์เวห์ด้วยเครื่องดนตรีต่างๆ ซึ่งเราทำไว้ให้ใช้สรรเสริญ”
6 พระองค์ได้ทรงจัดแบ่งพวกเขาเป็นกองๆ ตามพวกบุตรชายของคนเลวีคือเกอร์โชม โคฮาท และเมรารี 7 จากพวกตระกูลที่สืบเชื้อสายมาจากเกอร์โชมคือลาดาน และชิเมอี 8 บุตรชายของลาดานสามคนคือ เยฮีเอลเป็นผู้นำ เศธาม และโยเอล 9 บุตรชายชิเมอีสามคนคือ เชโลโมท ฮาซีเอล และฮาราน คนเหล่านี้เป็นผู้นำของตระกูลลาดาน 10 บุตรชายสี่คนของชิเมอีคือ ยาหาท คินา เยอูช และเบรียาห์ 11 ยาหาทเป็นบุตรชายคนโต และศิซาห์เป็นคนที่สอง แต่เยอูชและเบรียาห์ ไม่มีบุตรชายหลายคน เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงถูกนับเป็นตระกูลเดียวมีหน้าที่ทั้งหลายอย่างเดียวกัน
12 บุตรชายสี่คนของโคฮาทคืออัมราม อิสฮาร์ เฮโบรน และอุสซีเอล 13 บุตรชายทั้งหลายของอัมรามคืออาโรน และโมเสส อาโรนได้ถูกเลือกแยกออกต่างหาก พวกสิ่งที่บริสุทธิ์ที่สุด ซึ่งเขาและพวกเชื้อสายของเขาจะเผาเครื่องหอมเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ เพื่อปรนนิบัติพระองค์ และอวยพรในพระนามของพระองค์ตลอดไปเป็นนิตย์ 14 ส่วนโมเสสคนของพระเจ้านั้น บุตรชายทั้งหลายของเขาถูกจัดเป็นคนเผ่าเลวี 15 พวกบุตรชายของโมเสสคือเกอร์โชมและเอลีเอเซอร์
16 เชื้อสายของเกอร์โชมคือเชบูเอล บุตรชายคนโต 17 เชื้อสายของเอลีเอเซอร์คือเรหับยาห์ เอลีเอเซอร์ไม่มีบุตรอีก แต่เรหับยาห์มีเชื้อสายมากมาย 18 บุตรชายของอิสฮาร์คือเชโลมิทเป็นผู้นำ 19 เชื้อสายทั้งหลายของเฮโบรนคือเยรียาห์บุตรชายคนโต อามาริยาห์เป็นคนที่สอง ยาฮาซีเอลเป็นคนที่สาม และเยคาเมอัมเป็นคนที่สี่ 20 บุตรชายทั้งหลายของอุสซีเอลคือมีคาห์ เป็นบุตรชายคนโต และอิสชีอาห์เป็นคนที่สอง
21 บุตรชายทั้งหลายของเมรารีคือมาห์ลี และมูชี บุตรชายทั้งหลายของมาห์ลีคือ เอเลอาซาร์ และคีช 22 เอเลอาซาร์สิ้นชีวิตโดยไม่มีบุตรชาย เขามีแต่บุตรหญิงหลายคน บุตรชายทั้งหลายของคีชได้แต่งงานกับพวกเขา 23 บุตรชายสามคนของมูชีคือมาห์ลี เอเดอร์ และเยเรโมท
24 คนเหล่านี้เป็นเชื้อสายทั้งหลายของคนเลวีตามตระกูลของพวกเขา พวกเขาเป็นพวกผู้นำ ได้ถูกนับและขึ้นบัญชีโดยชื่อของตระกูลทั้งหลายที่ได้ทำงานในงานปรนนิบัติของพระนิเวศของพระยาห์เวห์ อายุตั้งแต่ยี่สิบปีขึ้นไป 25 เพราะดาวิดได้ตรัสว่า “พระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอลได้ประทานการหยุดพักสงบแก่ประชากรของพระองค์ พระองค์ทรงทำให้กรุงเยรูซาเล็มเป็นพระนิเวศของพระองค์ตลอดเป็นนิตย์ 26 คนเลวีจะไม่ต้องหามพลับพลา และเครื่องใช้ทั้งหมดที่ใช้ในงานปรนนิบัติอีก” 27 เพราะโดยพระดำรัสสุดท้ายของดาวิด คนเลวีได้ถูกนับตั้งแต่อายุยี่สิปีขึ้นไป
28 หน้าที่ของพวกเขาคือเพื่อช่วยพวกเชื้อสายของอาโรนในงานปรนนิบัติของพระนิเวศแห่งพระยาห์เวห์ พวกเขามีงานดูแลลานและพวกห้องและพิธีชำระของทุกอย่างที่เป็นของพระยาห์เวห์ และงานอื่นๆ ในการปรนนิบัติของพระนิเวศของพระเจ้า 29 พวกเขาได้ดูแลเกี่ยวกับขนมปังที่ตั้งถวายเฉพาะพระพักตร์ แป้งอย่างดีสำหรับธัญบูชา ขนมปังไร้เชื้อ ของปิ้งบูชา ของบูชาเคล้าน้ำมัน และการชั่งตวงวัดทุกอย่างและขนาดของสิ่งต่างๆ 30 และทุกๆ เช้า เขาจะต้องยืนเพื่อขอบพระคุณและสรรเสริญพระยาห์เวห์ พวกเขาได้ทำสิ่งนี้ในเวลาเย็นด้วย 31 และทุกครั้งเมื่อมีการถวายเครื่องเผาบูชาแด่พระยาห์เวห์ในวันสะบาโต และในเทศกาลวันขึ้นหนึ่งค่ำและวันเทศกาลเลี้ยงทั้งหลาย จำนวนที่กำหนด ได้ถูกมอบหมายโดยคำสั่ง ให้ต้องถวายบูชาเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์เรื่อยไป 32 พวกเขาได้ดูแลเต็นท์นัดพบ วิสุทธิสถาน และได้ช่วยเพื่อนร่วมงานของพวกเขา เชื้อสายทั้งหลายของอาโรน เพื่องานปรนนิบัติแห่งพระนิเวศของพระยาห์เวห์
1 พวกกลุ่มทำงานจากบรรดาเชื้อสายอาโรนคือคนเหล่านี้ นาดับ อาบีฮู เอเลอาซาร์ และอิธามาร์ 2 นาดับและอาบีฮูสิ้นชีวิตก่อนบิดาของพวกเขาสิ้นชีวิต พวกเขาไม่มีบุตร ดังนั้นเอเลอาซาร์และอิธามาร์จึงได้รับใช้เหมือนพวกปุโรหิต 3 ดาวิดร่วมกับศาโดกเชื้อสายคนหนึ่งของเอเลอาซาร์ และอาหิเมเลคเชื้อสายคนหนึ่งของอิธามาร์ ได้แบ่งพวกเขาเป็นกลุ่มต่างๆ เพราะงานของพวกเขาเหมือนพวกปุโรหิต 4 ยังมีพวกผู้นำผู้ชายมากกว่านี้อีกในท่ามกลางเชื้อสายทั้งหลายของเอเลอาซาร์มากกว่าท่ามกลางเชื้อสายทั้งหลายอิธามาห์ ดังนั้นพวกเขาจึงได้แบ่งเชื้อสายทั้งหลายของเอเลอาซาร์เป็นสิบหกกลุ่ม พวกเขาได้กระทำสิ่งนี้โดยหัวหน้าทั้งหลายของพวกตระกูล และโดยพวกเชื้อสายของอิธามาร์ การแบ่งเหล่านี้มีจำนวนแปดกลุ่มตามตระกูลของพวกเขา 5 พวกเขาได้แบ่งพวกเขาอย่างยุติธรรมโดยฉลาก เพราะมีพวกเจ้าหน้าที่สำหรับบริสุทธิ์สถาน และพวกเจ้าหน้าที่ของพระเจ้า จากทั้งพวกเชื้อสายของเอเลอาซาร์และพวกเชื้อสายของอิธามาร์ 6 เชไมอาห์ บุตรชายของนาธันเอลอาลักษณ์ คนเลวี ที่ได้เขียนชื่อพวกเขาไว้เฉพาะพระพักตร์กษัตริย์ ต่อหน้าพวกข้าราชการ ปุโรหิตศาโดก อาหิเมเลคบุตรชายของอาบียาธาร์ และบรรดาผู้นำของพวกครอบครัวปุโรหิตและของคนเลวี ตระกูลหนึ่งถูกเลือกโดยฉลากจากพวกเชื้อสายของเอเลอาซาร์ และจากนั้นต่อไปจะจับฉลากจากพวกเชื้อสายของอิธามาร์
7 ฉลากใบแรกตกกับเยโฮยาริบ ใบที่สองตกแก่เยดายาห์ 8 ใบที่สามแก่ฮาริม ใบที่สี่แก่เสโอริม 9 ใบที่ห้าแก่มัลคิยาห์ ใบที่หกแก่มิยามิน 10 ใบที่เจ็ดแก่ฮักโขส ใบที่แปดแก่อาบียาห์ 11 ใบที่เก้าแก่เยชูอา ใบที่สิบแก่เชคานิยาห์
12 ใบที่สิบเอ็ดแก่เอลียาชีบ ใบที่สิบสองแก่ยาคิม 13 ใบที่สิบสามแก่หุปปาห์ ใบที่สิบสี่แก่เยเชเบอับ 14 ใบที่สิบห้าแก่บิลกาห์ ใบที่สิบหกแก่อิมเมร์ 15 ใบที่สิบเจ็ดแก่เฮซีร์ ใบที่สิบแปดแก่ฮัปปิสเซส 16 ใบที่สิบเก้าแก่เปธาหิยาห์ ใบที่ยี่สิบแก่เยเฮเซเคล
17 ใบที่ยี่สิบเอ็ดแก่ยาคีน ใบที่ยี่สิบสองแก่กามูล 18 ใบที่ยี่สิบสามแก่เดไลยาห์ ใบที่ยี่สิบสี่แก่มาอาซิยาห์ 19 นี่คือระเบียบของการปรนนิบัติรับใช้ของพวกเขา เมื่อพวกเขาได้เข้ามายังพระนิเวศของพระยาห์เวห์ ตามขั้นตอนที่ได้กำหนดแก่พวกเขาโดยอาโรน บรรพบุรุษของพวกเขา ดังที่พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลได้ทรงบัญชาเขา
20 คนเหล่านี้คือส่วนที่เหลือของเลวีคือของพวกบุตรชายของอัมราม ชูบาเอล ของพวกบุตรชายของชูบาเอล เยเดยาห์ 21 พวกบุตรชายของเรหับยาห์ ของพวกบุตรชายของเรหับยาห์ อิสฮาร์เป็นผู้นำ 22 ของอิสฮาร์ เชโลโมท ของพวกบุตรชายของเชโลโมท ยาหาท 23 พวกบุตรชายของเฮโบรนคือเยรียาห์เป็นผู้นำ อามาริยาห์ที่สอง ยาฮาซีเอลที่สาม และเยคาเมอัมที่สี่
24 บุตรชายของเชื้อสายของอุสซีเอลรวมทั้งมีคาห์ เชื้อสายของมีคาห์รวมทั้งชามีร์ 25 น้องชายของมีคาห์คืออิสชียาห์ พวกบุตรชายของอิสชียาห์รวมทั้งเศคาริยาห์ 26 พวกบุตรชายเมรารีคือมาห์ลีและมูชี บุตรชายของยาอาซียาห์คือเบโน 27 พวกบุตรชายของเมรารีคือยาอาซียาห์ เบโน โชฮัม ศักเกอร์ และอิบรี 28 พวกบุตรชายของมาห์ลีคือเอเลอาซาร์ผู้ไม่มีบุตรชาย
29 พวกบุตรชายของคีช บุตรชายทั้งหลายของคิชคือ เยราเมเอล 30 บุตรชายทั้งหลายของมูชีคือมาห์ลี เอเดอร์ และเยรีโมท คนเหล่านี้คือคนเลวี ลำดับตามพวกครอบครัวของพวกเขา 31 ผู้ชายเหล่านี้ผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าของครัวเรือนของบิดาของแต่ละคน และพวกน้องของพวกเขาแต่ละคนก็ได้จับฉลากต่อพระพักตร์กษัตริย์ดาวิดและศาโดก และอาหิเมเลค พร้อมกับผู้นำทั้งหลายของคอบครัวทั้งหลายของพวกปุโรหิตและเลวี พวกเขาได้จับฉลากเหมือนที่เหล่าเชื้อสายทั้งหลายของอาโรนได้กระทำ
1 ดาวิดและบรรดาผู้นำงานพลับพลาได้เลือกงานเพื่อพวกบุตรชายของอาสาฟ ของเฮมาน และของเยดูธูน ผู้ชายเหล่านี้ได้เผยพระวจนะด้วยพิณใหญ่ ด้วยเครื่องสายทั้งหลาย ด้วยพวกฉาบ นี่คือรายชื่อพวกผู้ชายผู้ที่ได้ทำงานนี้ 2 จากพวกบุตรชายของอาสาฟคือศักเกอร์ โยเซฟ เนธานิยาห์ และอาชาเรลาห์ พวกบุตรชายของอาสาฟ ภายใต้การนำของอาสาฟ ผู้ได้เผยพระวจนะภายใต้การทรงควบคุมดูแลของกษัตริย์ 3 จากพวกบุตรชายของเยดูธูนคือเกดาลิยาห์ เศรี เยชายาห์ ชิเมอี ฮาชาบิยาห์ และมัททีธิยาห์ รวมหกคนภายใต้การนำของบิดาของพวกเขาคือเยดูธูน ผู้เล่นพิณใหญ่เพื่อการขอบพระคุณและการสรรเสริญพระยาห์เวห์ 4 จากพวกบุตรชายของเฮมานคือบุคคียาห์ มัทธานิยาห์ อุสซีเอล เชบูเอล และเยรีโมท ฮานานิยาห์ ฮานานี เอลียาธาห์ กิดดาลที โรมัมทีเอเซอร์ โยชเบคาชาห์ มัลโลธี โฮธีร์ และมาหะซิโอท 5 คนทั้งหมดนี้เป็นพวกบุตรชายของเฮมานผู้เผยพระวจนะของกษัตริย์ พระเจ้าได้ประทานบุตรชายสิบสี่คน และบุตรหญิงสามคนแก่เฮมานเพื่อเป็นยกชูเขาของเขาขึ้น
6 คนทั้งหมดเหล่านี้อยู่ภายใต้การนำของบิดาของพวกเขา พวกเขาเป็นนักดนตรีในพระนิเวศของพระยาห์เวห์ ด้วยฉาบ และเครื่องสายทั้งหลาย เมื่อพวกเขาได้ปรนนิบัติในพระนิเวศของพระเจ้า อาสาฟ เยดูธูน และเฮมานได้อยู่ภายใต้การทรงควบคุมดูแลของกษัตริย์ 7 พวกเขาและพี่น้องของพวกเขาผู้ซึ่งมีความชำนาญ และรับการฝึกในเรื่องดนตรีถวายพระยาห์เวห์มีจำนวน 288 คน 8 เขาทั้งหลายจับฉลากเพื่อหน้าที่ของพวกเขา ทั้งหมดเหมือนกันสำหรับคนหนุ่มหรือคนแก่ ครูกับศิษย์ก็เหมือนกัน
9 บัดนี้เกี่ยวกับพวกบุตรชายของอาสาฟ ฉลากใบแรกตกเป็นของครอบครัวของโยเซฟ ฉลากใบที่สองตกเป็นของครอบครัวของเกดาลิยาห์ พวกบุตรชายของเขาสิบสองคน 10 ฉลากใบที่สามตกเป็นของศักเกอร์ พวกบุตรชายของเขา และพวกญาติพี่น้องของเขาจำนวนสิบสองคน 11 ฉลากใบที่สี่ตกเป็นของอิสรี พวกบุตรชายของเขา และพวกญาติพี่น้องของเขาจำนวนสิบสองคน 12 ฉลากใบที่ห้าตกเป็นของเนธานิยาห์ พวกบุตรชายของเขา และพวกญาติพี่น้องของเขาจำนวนสิบสองคน 13 ฉลากใบที่หกตกเป็นของบุคคิยาห์ พวกบุตรชายของเขา และพวกญาติพี่น้องของเขาจำนวนสิบสองคน
14 ฉลากใบที่เจ็ดตกเป็นของเยชาเรลาห์ พวกบุตรชายของเขา และพวกญาติพี่น้องของเขาจำนวนสิบสองคน 15 ฉลากใบที่แปดตกเป็นของเยชายาห์ พวกบุตรชายของเขา และพวกญาติพี่น้องของเขาจำนวนสิบสองคน 16 ฉลากใบที่เก้าตกเป็นของมัทธานิยาห์ พวกบุตรชายของเขา และพวกญาติพี่น้องของเขาจำนวนสิบสองคน 17 ฉลากใบที่สิบตกเป็นของชิเมอี พวกบุตรชายของเขา และพวกญาติพี่น้องของเขาจำนวนสิบสองคน 18 ฉลากใบที่สิบเอ็ดตกเป็นของอาซาเรล พวกบุตรชายของเขา และพวกญาติพี่น้องของเขาจำนวนสิบสองคน
19 ฉลากใบที่สิบสองตกเป็นของฮาชาบิยาห์ พวกบุตรชายของเขา และพวกญาติพี่น้องของเขาจำนวนสิบสองคน 20 ฉลากใบที่สิบสามตกเป็นของชูบาเอล พวกบุตรชายของเขา และพวกญาติพี่น้องของเขาจำนวนสิบสองคน 21 ฉลากใบที่สิบสี่ตกเป็นของมัททีธิยาห์ พวกบุตรชายของเขา และพวกญาติพี่น้องของเขาจำนวนสิบสองคน 22 ฉลากใบที่สิบห้าตกเป็นของเยเรโมท พวกบุตรชายของเขา และพวกญาติพี่น้องของเขาจำนวนสิบสองคน 23 ฉลากใบที่สิบหกตกเป็นของฮานานิยาห์ พวกบุตรชายของเขา และพวกญาติพี่น้องของเขาจำนวนสิบสองคน
24 ฉลากใบที่สิบเจ็ดตกเป็นของโยชเบคาชาห์ พวกบุตรชายของเขา และพวกญาติพี่น้องของเขาจำนวนสิบสองคน 25 ฉลากใบที่สิบแปดตกเป็นของฮานานี พวกบุตรชายของเขา และพวกญาติพี่น้องของเขาจำนวนสิบสองคน 26 ฉลากใบที่สิบเก้าตกเป็นของมัลโลธี พวกบุตรชายของเขา และพวกญาติพี่น้องของเขาจำนวนสิบสองคน 27 ฉลากใบที่ยี่สิบตกเป็นของเอลียาธาห์ พวกบุตรชายของเขา และพวกญาติพี่น้องของเขาจำนวนสิบสองคน 28 ฉลากใบที่ยี่สิบเอ็ดตกเป็นของโฮธีร์ พวกบุตรชายของเขา และพวกญาติพี่น้องของเขาจำนวนสิบสองคน
29 ฉลากใบที่ยี่สิบสองตกเป็นของกิดดาลที พวกบุตรชายของเขา และพวกญาติพี่น้องของเขาจำนวนสิบสองคน 30 ฉลากใบที่ยี่สิบสามตกเป็นของมาหะซิโอท พวกบุตรชายของเขา และพวกญาติพี่น้องของเขาจำนวนสิบสองคน 31 ฉลากใบที่ยี่สิบสี่ตกเป็นของโรมัมทีเอเซอร์ พวกบุตรชายของเขา และพวกญาติพี่น้องของเขาจำนวนสิบสองคน
1 นี่คือแผนกทั้งหลายของพวกคนเฝ้าประตู จากคนโคราห์ มีเมเชเลมิยาห์บุตรชายของโคเร เชื้อสายคนหนึ่งของอาสาฟ 2 เมเชเลมิยาห์มีบุตรชายทั้งหลายคือเศคาริยาห์บุตรหัวปี เยดียาเอลคนที่สอง เศบาดิยาห์คนที่สาม ยาทนีเอลคนที่สี่ 3 เอลามคนที่ห้า เยโฮฮานันคนที่หก เอลีโฮเอนัยคนที่เจ็ด 4 และโอเบดเอโดมมีบุตรชายทั้งหลายคือ เชไมอาห์บุตรหัวปี เยโฮซาบาดคนที่สอง โยอาห์คนที่สาม สาคาร์คนที่สี่ เนธันเอลคนที่ห้า 5 อัมมีเอลคนที่หก อิสสาคาร์คนที่เจ็ด เปอุลเลธัยคนที่แปด เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงอวยพรโอเบดเอโดม
6 แก่เชไมอาห์บุตรชายของเขา ผู้มีบุตรชายหลายคนเกิดกับเขา ผู้ได้ปกครองเหนือครอบครัวทั้งหลายของพวกเขา เขาทั้งหลายเป็นพวกผู้ชายที่มีความสามารถหลายอย่าง 7 บุตรชายทั้งหลายของเชไมอาห์คือโอทนี เรฟาเอล โอเบด และเอลซาบาด พวกญาติพี่น้องของเขาคือเอลีฮู และเสมาคิยาห์ก็เป็นพวกผู้ชายที่มีความสามารถหลายอย่างด้วย 8 คนเหล่านี้ทั้งหมดเป็นพวกเชื้อสายของโอเบดเอโดม พวกเขากับพวกบุตรชายของพวกเขา และพวกญาติพี่น้องของพวกเขาเป็นพวกผู้ชายที่มีความสามารถในการปฏิบัติหน้าที่ต่างๆ ในการปรนนิบัติที่เต็นท์นัดพบ ในพวกเขามีจำนวนหกสิบสองคนที่มีความสัมพันธ์กับโอเบดเอโดม 9 เมเชเลมิยาห์มีบุตรชายหลายคน และพวกญาติพี่น้องเป็นพวกผู้ชายที่มีความสามารถมีทั้งหมดสิบแปดคน 10 โฮสาห์ เชื้อสายคนหนึ่งของเมรารี มีบุตรชายหลายคน มีชิมรีเป็นผู้นำ (ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เป็นบุตรหัวปี บิดาของเขาได้ตั้งให้เขาเป็นผู้นำ) 11 ฮิลคียาคนที่สอง เทบาลิยาห์คนที่สาม เศคาริยาห์คนที่สี่ พวกบุตรชายทั้งหมด และพวกพี่น้องทั้งสิ้นมีสิบสามคน
12 แผนกทั้งหลายของพวกคนเฝ้าประตู สอดคล้องตามบรรดาผู้นำของพวกเขา มีหน้าที่ต่างๆ เช่นเดียวกับพวกญาติพี่น้องของพวกเขา ในการปรนนิบัติในพระนิเวศของพระยาห์เวห์ 13 พวกเขาได้จับฉลากกันทั้งคนหนุ่มและคนแก่ เป็นไปตามครอบครัวทั้งหลายของพวกเขาสำหรับทุกประตู 14 เมื่อฉลากนั้นถูกจับสำหรับประตูด้านตะวันออก ฉลากนั้นได้ตกแก่เชเลมิยาห์ จากนั้นพวกเขาได้จับฉลากสำหรับเศคาริยาห์บุตรชายของเขา ที่ปรึกษาที่เฉลียวฉลาด และฉลากของเขาออกมาสำหรับประตูด้านเหนือ 15 สำหรับโอเบดเอโดมได้ถูกมอบหมายสำหรับประตูด้านใต้ และพวกบุตรชายของเขาได้รับมอบหมายให้ดูแลคลังพัสดุ
16 ชุปปิมและโฮสาห์ได้ถูกมอบหมายให้ดูแลประตูด้านตะวันตกพร้อมกับประตูชัลเลเคท ตามถนนด้านบน การเฝ้ายามได้ตั้งขึ้นสำหรับแต่ละครอบครัว 17 ด้านตะวันออกมีคนเลวีหกคน ด้านเหนือวันละสี่คน ด้านใต้วันละสี่คน และสองคู่ที่คลังพัสดุ 18 ส